Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: March 2019

KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’
Early childhood
19 March 2019

KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

เคยไหม…เจอปัญหาลูกติดเกม ติดโทรศัพท์ พอบอกให้เลิกเล่น ลูกก็เอาแต่พูดว่า ‘เดี๋ยวก่อนๆๆ’

เหตุการณ์เช่นนี้ อาจทำให้พ่อแม่รู้สึกโมโห ไม่พอใจ หงุดหงิด จนแสดงออกต่อลูกอย่างเกรี้ยวกราด ดุด่าลูก สั่งห้ามลูก สารพัดการแสดงออกอย่างหัวร้อน!

‘เมื่อดุลูก-ลูกกลัว-ยอมทำตามคำสั่ง’ แต่นั่นไม่ใช่การสร้างวินัยที่ยั่งยืน

Kind but firm คือเทคนิคฝึกวินัยเชิงบวก พ่อแม่ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน-ไม่ใช่แค่ขู่แต่ต้องเอาจริง

ผลลัพธ์ทั้งหมดทั้งมวลจะช่วยลดแรงปะทะ ลดความเครียด หลีกหนีความประสาทเสียให้พ่อแม่ และทำให้ลูกจะมี self control หรือการควบคุมตัวเองดีขึ้น

อ่านบทความวินัยเชิงบวกฉบับเต็มได้ ที่นี่

Tags:

ปฐมวัยวินัยเชิงบวกพัฒนาการทางอารมณ์พ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

3 นักนวัตกรรมบนเวที THAILAND IT CONTEST FESTIVAL กับประสบการณ์ ‘เวที’ สร้างคนได้อย่างไร?
Creative learning
18 March 2019

3 นักนวัตกรรมบนเวที THAILAND IT CONTEST FESTIVAL กับประสบการณ์ ‘เวที’ สร้างคนได้อย่างไร?

เรื่อง

  • งานแถลงข่าวจัดงาน มหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อดีตผู้เข้าร่วมประกวด 3 ท่านขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บอกเล่าที่มาที่ไปกว่าจะเป็นพวกเขาในวันนี้
  • อัจฉริยะ ดาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท AIYA บริษัท Start up ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี AI, ดร.รณพีร์ ชัยเชาวรัตน์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ภูมินทร์ ประกอบแสง ครูประจำสาขาวิชาไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ คือวิทยากร 3 คนบนเวที
  • ทั้งสามคนนี้ จะตอบคำถามที่ว่า ‘เวทีประกวดช่วยสร้างคนได้อย่างไร’ ได้ชัดเจน  
เรื่อง: รัตนภรณ์ แผลงชีพ
ภาพ: NECTEC

โอกาสที่เด็กคนหนึ่งได้รับ อาจเป็นประตูเริ่มต้นของการเดินทาง ได้ค้นพบโลกใบใหม่ และหนึ่งในโอกาสของเด็กสายไอที คือเวทีแข่งขัน มหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย (Thailand IT Contest Festival) ครั้งที่ 18 ประกอบด้วย การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC), การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) และ การประกวดวงจรอิเล็กทรอนิกส์รุ่นเยาว์ (YECC)

สนามประลองวิชาเหล่านี้ เปิดโอกาสให้เยาวชนทั่วประเทศได้มาปล่อยแสง สร้างโอกาส และสร้างคนมาแล้วมากมาย

ยืนยันได้จาก อดีตผู้เข้าร่วมประกวด 3 คน คือ อัจฉริยะ ดาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท AIYA บริษัท Start up ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี AI, ดร.รณพีร์ ชัยเชาวรัตน์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ภูมินทร์ ประกอบแสง ครูประจำสาขาวิชาไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ

ทั้งสามมาแชร์เรื่องราวของตัวเองและตอบคำถามนี้เอาไว้ในงานแถลงข่าวจัดงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อฟังจบ อาจกลับไปตอบคำถามข้างต้น และอาจเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคน รวมทั้งอาจมีหน่วยงานผู้เกี่ยวข้อง อยากสร้างพื้นที่ สร้างสนามประลองความรู้เพื่อสร้างคนคุณภาพให้กับประเทศ โดยเฉพาะโลกในยุค disruptive ต่อไป

อัจฉริยะ ดาโรจน์: สร้างตัวจากการแข่งขัน

“ผมชอบเขียนโปรแกรมมาก ชอบการแก้ปัญหา ถ้าโจทย์ไหนแก้ปัญหาด้วยสมองไม่ได้ ก็จะเขียนโปรแกรมขึ้นเพื่อแก้ปัญหามัน ถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าผลงานเราก็น่าจะมีคนชอบ เลยเอาไปเอาประกวด

“ผมเคยเข้าประกวด NSC 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 ผมร่วมกับเพื่อนๆ ทำโปรแกรมเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อคนพิการ แต่ไปได้แค่เข้ารอบชิงชนะเลิศหัวข้อเครื่องมือทางการแพทย์ พอถึงปี 4 ผมไม่ยอมแพ้ลองดูใหม่ คราวนี้เป็นโปรเจ็คท์จบของผมเอง สาขาคนพิการอีกเหมือนเดิม ชื่อโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์อ่านออกเสียงและส่งสัญญาณได้ด้วยเสียง เป็นผลงานที่ผมได้รับรางวัลรองชนะเลิศในโครงการ NSC ซึ่งผมภูมิใจมาก” 

นี่คือจุดเริ่มต้นการสร้างตัวของอัจริยะเมื่อ 15 ปีที่แล้ว

หลังจากนั้น ประสบการณ์เคยทำโปรแกรมดิกชันนารีอ่านออกเสียงฯ ก็ถูกดึงมาใช้อย่างถูกที่และถูกเวลา

“หลังเรียนจบผมได้ทำงานกับบริษัทซับคอนแทรคของ Nokia ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์สเปเชียลลิสต์ ได้ร่วมงานกับคนฟินแลนด์ทำซอฟแวร์ชื่อ อีซี่ไทย เพราะมือถือ Nokia ไม่มีภาษาไทย จึงต้องติดซอฟต์แวร์ตัวนี้ จึงเป็นการใช้ความรู้ครั้งที่ผมทำดิกชันนารีอ่านออกเสียงที่มีแต่ภาษาไทยล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นการสังเคราะห์เสียง การเปลี่ยนเสียงให้กลายเป็น Text”

ด้วยความฝันที่อยากจะมีบริษัทเป็นของตัวเองก่อนอายุ 25 อัจฉริยะออกมาเปิดบริษัทของตัวเองในปี 2550 บวกกับผลงานดิกชันนารีที่เคยประกวด NSC ถูกเชิญไปจัดแสดง หนึ่งคำถามจากผู้ชมครั้งนั้นถามเขาว่า

“คุณทำซอฟแวร์แปลดิกชันนารีโดยไม่ต้องพิมพ์ได้ไหม?”

นี่คือแรงบันดาลที่อยากจะต่อยอดงานชิ้นนั้นขึ้นไปอีก หลังจากนั้น 1 ปี บริษัทคลอดลูกคนแรกในชื่อ MegaDict ซอฟต์แวร์ Dictionary ที่ใช้ง่ายและอ่านออกเสียงได้ด้วย แถมยังได้รางวัลชนะเลิศ Thailand ICT Awards 2008 หมวด Education and Training

“ผมเอาผลงานที่เคยส่ง NSC แล้วมาต่อยอดขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นผลงาน MegaDict สมัยนั้นขายเป็นซีดีวางขายตามพันทิป หรือออกบูธตามงานหนังสือต่างๆ ยอดขายกว่า 50,000 ก็อบปี้ ปีนั้นผมตั้งตัวได้จากผลงานที่ผมต่อยอดมาเรื่อยๆ”

ต่อมาในปี 2556 อัจฉริยะสร้างซอฟต์แวร์ในชื่อ Keng Thai เป็น Mobile Software โปรแกรมเขียนตัวอักษรภาษาไทย ลากตัวอักษรแข่งกับเพื่อนแล้วแชร์ในเฟสบุ๊คได้ ปัจจุบันยังเปิดให้ดาวน์โหลดในแอปสโตร์ มียอดดาวน์โหลดกว่าล้านดาวน์โหลด

เมื่อ 2 ปีที่แล้วอัจฉริยะก่อตั้งอีกหนึ่งบริษัทสตาร์ทอัพขึ้นมา 

“ผมทำซอฟต์แวร์ด้านการศึกษามาเป็นสิบปีก็รู้สึกเหนื่อย เลยทำธุรกิจเกี่ยวกับ Co-working Space ที่ขอนแก่นด้วย ทำไปทำมาก็เห็นว่าตัวเองก็บ่มเพาะสตาร์ทอัพอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่ทำไมต่างจังหวัดไม่มีสตาร์ทอัพที่เจ๋งๆ สักที เราเองก็อยู่ในวงการธุรกิจเทคโนโลยีมา อยากจะทำเองแต่ก็รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ต้องตัดใจแล้วลองมาทำอีกสักครั้งหนึ่ง ก็เลยเกิดสตาร์ทอัพชื่อว่า AIYA

“ผมเอาสิ่งที่ผมเคยทำมาไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมตัดคำ เน้นหนักเรื่องการทำ Machine Learning, NLP, AI ที่เขาบอกกันว่า AI มันจะมาเนี่ยทำยังไงให้เอา AI มาใช้ได้ เรารู้ว่าเทคโนโลยีมันดีแต่ในโลกความเป็นจริง เราจะเอามันมาใช้ยังไง”

ความสำเร็จที่ได้มาคงไม่ใช่เพียงแค่ความบังเอิญ หรือโอกาสที่ผู้ใหญ่เปิดพื้นที่เพียงอย่างเดียว

“จริงๆ การประกวดมันก็ไม่ได้ง่าย สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือเราจะต้องทุ่มเวลาในการพัฒนาผลงาน ความยากในการพัฒนาคือส่วนหนึ่ง แต่นอกจากนั้นคือความยากในการนำเสนอ คุณจะต้องนำเสนอให้ผลงานนั้นมีคุณค่า และตอบโจทย์”

“ทุกอย่างที่เกิดขั้น มันมาสั่งสมจากความพยายาม NSC เป็นเวทีเดียวที่ทำให้รู้ว่าจริงๆ ผมมีศักยภาพแค่ขนาดไหน รู้ว่าเราอยู่ระดับไหน” เด็กที่เข้ามาประกวดผ่านความพยายามและอดทนมาก กว่าจะแก้แต่ละตัว กว่าที่โปรแกรมจะออกมาได้ ไม่ใช่อยู่ๆ เขียนเสร็จมันก็ทำงานออกมาได้เลย มันต้องทดลอง ถ้าเขียนโปรแกรมผิดมันก็จะ error แล้วก็ต้องหาจุดที่ผิดว่ามัน error ตรงไหน บางทีแก้ตรงนี้แล้วก็ยังไป error ตรงอื่นอีก แก้ไปแก้มาแก้ไปแก้มาอยู่อย่างนี้เป็นพันๆ หมื่นๆ รอบ นี่คือคนที่ผ่านเวที NSC”

ดร.รณพีร์ ชัยเชาวรัตน์: ทำมาแล้วจะเอาไปช่วยใคร?

สำหรับ รณพีร์ เมื่อครั้งยังเป็นเด็กมัธยมปลายสายวิทย์-คณิต และสนใจงานวิชาการ เขามีโอกาสเห็นรุ่นพี่เข้าร่วมโครงการ YSC มาบ้าง จนกระทั่งอยู่ ม.6 ปีสุดท้ายจึงมีสิทธิ์เข้าแข่งขัน

“ตอนนั้นเราชอบวิชาฟิสิกส์และเรียนจนแตกฉาน แต่มาเข้าใจภายหลังว่าจริงๆ แล้วในประเทศไทย Pure Science เป็นสิ่งสำคัญ แต่เทคโนโลยีก็สำคัญเช่นเดียวกัน อธิบายก่อนว่า จุดอ่อนระบบการศึกษาบ้านเรา ถ้าเป็นสายสามัญก็จะเรียนแต่วิชาการ สายอาชีพก็จะศึกษาเฉพาะเทคโนโลยี แต่มันยังไม่มีเด็กที่เอาสองอย่างนี้มารวมกัน ตัวเราเองก็รู้ว่าขาดสกิลช่างและการสร้าง

“ตอนนั้นอยู่ ม.6 อยากชนะการประกวด เลยรู้สึกว่าต้องทำอะไรที่มันเป็น engineer สักหน่อย ถ้าเป็นงาน pure science หรือเอาแต่ทฤษฎีฟิสิกส์มาแข่งยังไงก็ไม่ชนะ เราเองอยากเข้าคณะวิศวกรรม แต่ไม่เคยเขียนโปรแกรมหรือมีพื้นฐานด้านวิศวกรรมอะไรเลย การสมัคร YSC ทำให้มีเวลาทำผลงานส่งภายใน 3-6 เดือน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ส่งผลงานด้วย แล้วได้เขียนโปรแกรมเป็นด้วย”

เริ่มต้นอย่างไร? – หลายคนอาจสังสัย

“หาโจทย์ง่ายๆ อย่างการดูรถเมล์วิ่งรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ ความรู้เดิมของเราคือ เวลารถวิ่ง โค้งล้อซ้ายล้อขวาจะวิ่งเร็วไม่เท่ากัน ก็เลยหยิบปากกาขึ้นมาเขียนว่าเราจะทำอะไรได้จากความเร็วที่ต่างกัน ลองแก้สมการ คำนวณหารัศมีวงกลมได้จากระยะทางที่ล้อ 2 ข้างวิ่ง นี่เป็นพื้นฐานคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ แต่ยังไม่มีส่วนของ engineer ตอนนั้นเราเขียนโปรแกรมไม่เป็นเลย สมัยนั้นไมโครคอนโทรลเลอร์เป็นเรื่องที่ไกลตัวมากสำหรับเรา

“จากนั้นนั่งรถเมล์มาจากศาลายามาบ้านหม้อเพื่อมาถามว่าถ้าผมจะเริ่มเขียนโปรแกรมผมควรทำยังไงครับ? ซื้อของแบบนี้ต้องไปร้านไหน  ไปถามร้านหนังสือว่าควรอ่านเล่มไหน เขาก็ใจดีแนะนำเรา เราก็เอาหนังสือไปลองอ่านลองเขียนโปรแกรม สุดท้ายเราก็ชอบ ได้ผลงานทั้งส่วนที่เป็นทฤษฎี ส่วนที่เขียนโปรแกรม ได้สกิลการต่อวงจรที่ต้องใช้รองรับ และได้สกิล engineer เป็นของแถม”

ผลงานที่ได้จากความรู้ด้านวิชาการ ผสมผสานกับการเขียนโปรแกรม ได้รับรางวัลชนะเลิศ YSC ปี 2008 เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขัน Intel  ISEF ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา นับเป็นก้าวแรกที่ทำให้ ดร.รณพีร์ ได้เอาความสามารถของตัวเองมาสร้างคุณค่าให้กับคนอื่น

“ผมก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากทำอะไรก็ทำ อยากเล่นของเล่นก็เล่น อยากเรียนรู้อะไรก็เรียน สิ่งที่เรามองข้ามไปคือประโยชน์ของงานที่เราจะทำ นี่คือสิ่งที่ YSC สอนเพื่อเตรียมงานไปแข่ง Intel ISEF

“งานที่ทำตอนนั้นก็เป็นเทคโนโลยีที่ไปต่อฟังก์ชันของรถยนต์ ช่วยในการสำรวจถนนของกรมทางหลวง ซึ่งเขาต้องวิ่งไปตามถนนเพื่อสำรวจเส้นทางว่าแต่ละช่วงมีทางโค้งมากน้อยแค่ไหน รถควรวิ่งเร็วเท่าไหร่เพื่อจะไม่หลุดโค้ง แล้วจึงทำป้ายเตือน สิ่งนี้มันติดตัวผมมาว่า

“ถ้าเราจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาจริงๆ ขั้นตอนแรกมันไม่ใช่แค่ความคิดว่าคุณอยากจะทำอะไร แต่จะสร้างสรรค์อะไรเพื่อไปช่วยใคร ตอบโจทย์ใคร”

จากรถเมล์วิ่งรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ ต่อยอดไปสู่การเรียนต่อเรื่องรถยนต์ สู่ปริญญาตรี โท และเอกในเรื่องเดียวกัน รวมถึงศึกษาต่อสาขาหุ่นยนต์ที่ญี่ปุ่น จนนายรณพีร์มีตำแหน่ง ดร. นำหน้า  

“เพราะทำงานเรื่องเดียวมาตลอด ต่อยอดขึ้นมาเรื่อยๆ จากรถที่วิ่งรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มันไปผูกกับโจทย์อีกเรื่องหนึ่ง คือ ผู้ขับรถทุกคนจะรู้จักเบรก ABS ป้องกันการไถลของล้อ แต่ผมมองว่า ผมก็เป็นเด็กแว้นคนหนึ่งที่ชอบรถตอนมันดริฟต์ แต่ผมเป็นเด็กแว้นที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมมองว่าที่รถมันดริฟ เขาทำเอาสนุกหรือทำเพราะมันมีข้อดีในการดริฟต์ เราก็เอาความรู้ทางคณิตศาสตร์การเขียนโปรแกรมมาคำนวณหาอะไรบางอย่าง แล้วมันก็ตอบโจทย์ได้ว่า ถ้าเราควบคุมการไถลไปในโซนที่มันคุมยากหน่อย เราจะได้ benefit ของการเบรกหรือการเลี้ยวที่มากกว่านี้ ประยุกต์ได้กับ mobile platform หุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่บนพื้น เป็นเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้กันได้”

งานของเราจะมีประโยชน์กับใคร? คือคำถามเมื่อครั้ง ดร.รณพีร์ ยังเข้าโครงการ YSC เข้ามาตอกย้ำและเป็นจุดเปลี่ยนความสนใจด้านเทคโนโลยี

“ในระยะเวลาสั้นๆ เทคโนโลยีที่เราสร้างมันถูกบรรจุอยู่ในรถยนต์ราคาแพง แต่รถยนต์ของไทยยังไม่มีเทคโนโลยีตัวนี้ คนที่จะได้กำไรจากเทคโนโลยีตัวนี้เป็นบริษัทรถยนต์จากต่างชาติ งานตรงนี้มันค่อนข้างเหนื่อย เราก็มามองว่าเราควรจะทุ่มความพยายามของเราไปเพื่อใคร? มันไปตอบโจทย์ให้กับเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับรถยนต์บางประเภท สำหรับคนที่มีเงินซื้อรถยนต์ราคาแพงเท่านั้นหรือเปล่า? หรือเราควรจะมาทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราจริงๆ

“ตอนไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็เลยพยายามผันตัวเองจาก Mobile Robot หรือ Auto Mobile ที่เป็นรถยนต์หรือหุ่นยนต์เคลื่อนที่ มาเป็น Wearable Robot หรือหุ่นยนต์ที่สวมใส่บนร่างกาย เพราะมองว่าที่เมืองไทย Infrastructure ต้องพึ่งหน่วยงานรัฐบาล หรือต้องใช้เงินทุนจำนวนสูงมาสนับสนุนบางครั้ง มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น เราอยากเห็นคนแก่หรือคนพิการเดินขึ้นรถประจำทางง่ายๆ ถ้าเราจะเปลี่ยนรถประจำทางทุกคันให้มีบันไดเตี้ยๆ เพื่อให้คนแก่คนพิการขึ้นง่ายๆ มันทำได้ยาก คนไม่สามารถหิ้ววีลแชร์ขึ้นรถได้ ผมเลยมองว่า wearable Robot คือหุ่นยนต์ที่สวมใส่บนร่างกายอาจจะตอบโจทย์ตรงนี้ ก็เลยเปลี่ยนสายมาทางหุ่นยนต์ที่สวมใส่บนร่างกาย หวังว่าจะเอามาประยุกต์ใช้กับผู้สูงอายุ หรือคนพิการที่มีความลำบากในการเคลื่อนไหว เพราะว่าประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ aging Society แล้ว”

ปรมินทร์  ประกอบแสง (ครูต่าย): โอกาสจากครูที่สร้างให้

ปรมินทร์ หรือ ครูต่าย บอกว่า ด้วยความที่ตัวเองเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง พ่อแม่เป็นเกษตรกร จึงเห็นว่าความรู้และโอกาสที่เขาจะได้รับนั้นไม่มากเท่ากับเด็กในเมือง กระทั่งเมื่อได้สมัครเป็นพี่ ค่ายโครงการค่ายนักอิเล็กทรอนิกส์รุ่นเยาว์ (eCamp) ความคิดก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป 

“ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่ 2 ผมรู้จักค่ายอีแคมป์ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จัก YECC ผมสมัครเป็นพี่ค่ายสอนน้องๆ ชั้นประถมและมัธยมต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากได้สอนน้องๆ ก็เริ่มรู้ตัวว่าชอบการสอน ชอบการเป็นครู พี่ๆ จากค่ายอีแคมป์เข้ามาบอกว่ายังมีเวทีอื่นอีกนะ เป็นเวทีการประกวดสำหรับรุ่นพี่ชื่อว่า YECC ที่จะได้เปิดโลกของตัวเอง”

ครูต่ายจึงชวนรุ่นพี่ที่เรียนอยู่คณะเดียวกันมาทำเครื่องควบคุมโรงเพาะเห็ดเพื่อเป็นชิ้นงานส่งแข่งขัน YECC ได้ไอเดียมาจากการเห็นคุณป้าท่านหนึ่งมีปัญหาเห็ดในโรงเพาะเกิดไม่พร้อมกัน  

“ตอนนั้นก็ได้รู้จักการเขียนโปรแกรมบนไมโครคอนโทรลเลอร์เป็นครั้งแรก ได้ชิ้นงานส่งแข่งในเวทีของ YECC ตอนนั้นไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะได้รางวัล แค่รู้สึกว่าเราเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่มาหาประสบการณ์ เวทีนั้นเป็นเวทีที่ใหญ่มากสำหรับเรา แต่พอประกาศรางวัลแล้วมีชื่อผม ผมกับพี่ที่ทำงานด้วยกันยังแอบคิดว่าเลยว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ เรามาถึงจุดนี้แล้วเหรอ ก็เลยลองมาศึกษาทางนี้ดู แล้วก็ลองไปเวทีอื่นต่อไป”

ความตื่นเต้นกับรางวัลและความสำเร็จยังไม่ทันหาย ก็ดูเหมือนว่าอีกหนึ่งโอกาสจะวิ่งเข้ามาโดยที่ครูต่ายไม่ทันตั้งตัว แต่ครูต่ายก็พร้อมที่จะไปต่อกับโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ และโอกาสดีๆ ที่เข้ามาอีกหลายระลอก

“หลังจากได้เข้า โครงการต่อกล้าฯ คราวนี้ได้รู้จักอะไรขึ้นเยอะเลย มีโค้ชมาเทรนให้ ไม่ว่าจะเป็นตัวชิ้นงานทางด้านซอฟต์แวร์ หรือฮาร์ดแวร์ให้งานของเราขายได้ จากเดิมเครื่องเพาะเห็ดที่เป็นเครื่องใหญ่ จะยกไปไหนก็เทอะทะ หลังจบต่อกล้าฯ หนึ่งปีผ่านไปมันสามารถเป็นชิ้นงานที่ถอดประกอบชิ้นส่วนได้ง่ายได้ บ้านไหนอยากปลูกเห็ดแต่ไม่มีความรู้เรื่องเห็ดก็ปลูกได้

“หลังจากจบเวทีต่อกล้าฯ ในปีนั้น สวทช. ติดต่อมาว่า สนใจเข้าโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนของรัฐบาลญี่ปุ่น หรือ JENESYS 2015 ไหม ผมก็เข้าไปดูรายละเอียดแล้วก็ตกลงไป เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปต่างประเทศ ผมเป็นเด็กบ้านนอก ฝันอยากขึ้นเครื่องบิน บอกแม่ว่าผมอยากขึ้นเครื่องบิน หยอดกระปุกทุกวันเพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นเครื่องบิน ผมได้ไปญี่ปุ่นครั้งแรกโดยไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายสักบาท มันเป็นภาพที่ประทับใจมากสำหรับผมที่จำมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อนที่ไปด้วยมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มีผมคนเดียวที่มาจากมหาวิทยาลัยเล็กๆ

“ในชิ้นงานเดิมนี้ ผมก็ได้เอาเข้าไปร่วมในโครงการเจ้าฟ้าไอที รัตนราชสุดา ผมอยากลองเอาชิ้นงานที่ผมได้ต่อยอดในโครงการต่อกล้าฯ มันจะไปได้ไกลแค่ไหน หลังจากนั้นพอประกาศรางวัลออกมาผมได้รางวัลดีเด่นด้านช่วยเหลือสังคม เริ่มรู้สึกว่าตัวเราก็ไม่ธรรมดา ที่มาได้ไกลขนาดนี้”

เบื้องหลังความสำเร็จและโอกาสที่ได้รับ ครูที่ปรึกษาของเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ต่อมาบทบาทความเป็นครูได้ส่งต่อมายังครูต่ายเมื่อได้มีโอกาสมาทำงานเป็นครู

“พอผมได้มาเป็นครู ผมจึงรู้ว่าเหตุผลที่ครูที่ปรึกษาของผมพาผมมาถึงจุดนี้ ทำไมต้องเข้มงวดกับผม ตามผมมาทำงานกับชิ้นงานนี้ ผมไปนอนที่บ้านครู ชิ้นงานก็ทำที่บ้าครู มีอะไรขาดเหลืออะไรก็บอกครู เขาก็ช่วยหาเต็มที่ ขอแค่ให้เราได้มา จนปัจจุบันผมได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ ผมอยากเป็นอาจารย์แบบอาจารย์ท่านนี้ เป็นอาจารย์ที่สร้างคน  

“ผมมองแววตาของนักเรียนเวลาที่ผมสอน ผมจะสอนให้เด็กตื่นเต้น ให้เด็กรู้สึกว่ามันจะมีอะไรอีกต่อไป ในคาบนี้มันจะมีอะไรที่ตื่นเต้นอีก”

เทคนิคการสอนของครูต่ายคือการให้ลูกศิษย์ได้นำความรู้จากห้องเรียนมาทดลองสร้างผลงานจริงกับเรื่องใกล้ตัว บวกกับการสร้างบันดาลใจ และท้าทายความสามารถของเด็กๆ ซึ่งเด็กๆ ของครูต่ายได้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นแล้ว

“ห้องน้ำแผนกไฟฟ้าเต็มไปด้วยระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่ามือ ก็อกน้ำ โถปัสสาวะ ผมจะบอกนักเรียนให้ไปหาว่าเขาขายกันในราคาเท่าไหร่ นักเรียนกลับมาบอกว่า ‘อาจารย์ครับมันมีราคาหลายพันจนถึงหลักหมื่นเลยนะครับ’ แต่ผมชวนนักเรียนทำในราคาไม่ถึงพัน ในขณะที่ตอนนี้บึงกาฬเป็นจังหวัดใหม่ยังไม่มีสนามบิน ยังไม่มีห้างใหญ่ๆ แม้แต่โรงหนังก็ยังไม่มี ต่อไปเป้าหมายของผมจะเอาเด็กๆ อาชีวะกลุ่มนี้เข้ามาสู่เวทีนี้ให้ได้”

สามคนคุณภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีโอกาสให้เด็กได้ลองเรียนรู้  ฝึกฝน และทดลองลงมือทำ บวกกับมีพื้นที่ให้แสดงความสามารถ สั่งสมประสบการณ์ไปใช้ต่อยอดทำงานจริงในอนาคต  

และคำถามที่ว่า “เวทีประกวดช่วยสร้างคนได้อย่างไร” สามคนนี้ตอบไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว  

Tags:

Disruptionโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรNECTECภูมินทร์ ประกอบแสง

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ปิยะธิดา อินทะนัย: จากนักเรียนสู่นักวิจัยรุ่นเยาว์ ผ่านโครงการทำอาหารกุ้งฝอยจากเบต้ากลูแคน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skillsVoice of New Gen
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา
Social Issues
18 March 2019

กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

เรื่อง The Potential

  • ปี 2017 วัยรุ่นในรัฐมิสซิสซิปปีกว่า 62 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภาวะซึมเศร้า จำนวนนั้นกว่า 13,000 คนไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
  • “รอคิวก่อน” คือคำตอบที่แม่ลูกสี่คนหนึ่งได้รับหลังจากแจ้งว่าลูกสาวมีความคิดฆ่าตัวตาย
  • คำถามที่น่าสนใจคือ การดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และภาวะซึมเศร้า แท้จริงแล้วเป็นของใคร

Her daughter was suicidal, but this mother was told the soonest she could get help was in six months – ลูกของเธออยากฆ่าตัวตาย แต่คนเป็นแม่ถูกบอกให้รออย่างน้อย 6 เดือนจึงจะถึงคิวได้รับการรักษา

คือพาดหัวบทความใน The Hechinger Report องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ติดตามประเด็นความเท่าเทียมและการศึกษา เผยแพร่ครั้งแรกเดือนมิถุนายน 2018 โดยแจ็คกี้ เมเดอร์ (Jackie Mader) นักข่าวประเด็นผู้หญิงและการศึกษา

เรื่องของเด็กผู้หญิงที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตายแล้วถูกบอกให้รอคิวก่อน เป็นเพียงประเด็นย่อยในบทความชิ้นนี้ แต่หลักใหญ่ใจความทั้งหมด เมเดอร์ต้องการเสนอประเด็น ‘เด็กที่ประสบภาวะซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่ได้เข้ารับการรักษา หรือได้รับคำปรึกษาอย่างจริงจัง’

ประชากรโลกที่ป่วยด้วยปัญหาทางจิตปี 2016 คือ ปัญหาทางจิตทั่วไป, ซึมเศร้า, วิตกกังวล, ไบโพลาร์, การกินผิดปกติ, จิตเภท, จิตเวชจากการดื่มสุรา, การใช้สารเสพติด – ที่มา: ourworldindata.org

จากการเก็บข้อมูลของ ourworldindata.org เรื่องประชากรโลกที่ป่วยด้วยปัญหาทางจิตปี 2016 ได้แก่ ปัญหาทางจิตทั่วไป, ซึมเศร้า, วิตกกังวล, ไบโพลาร์, การกินผิดปกติ, จิตเภท, จิตเวชจากการดื่มสุรา, การใช้สารเสพติด พบ 5 อันดับแรกคือ

  1. กรีนแลนด์ 22.14%
  2. ออสเตรเลีย 21.63%
  3. สหรัฐอเมริกา 21.56%
  4. นิวซีแลนด์ 21.28%
  5. อิหร่าน 19.936%

เมเดอร์ยกตัวอย่างของคุณแม่ลูกสี่ที่อาศัยในย่านชานเมืองของรัฐมิสซิสซิปปี เจนนิเฟอร์ ทาวน์เซน (Jennifer Townsend) เธอพบจดหมายของลูกสาวคนเล็กวัย 14 ปี วางแผนจะฆ่าตัวตาย ทาวน์เซนต้องการให้ลูกสาวเธอได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยโทรสายด่วนเข้าไปที่สำนักงานเทศบาลที่ทำงานด้านจิตวิทยาและได้รับคำตอบว่า อย่างเร็วที่สุด ลูกสาวของเธอจะต้องรอคิวรักษาราว 6 เดือน และถึงแม้เธอจะมีชื่อในรายการคนไข้แล้ว เธอจะได้พบคุณหมอเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น

“ฉันไม่คิดว่าการรักษาเดือนละครั้งจะเพียงพอ (…) ลูกสาวของฉัน เธอมีความคิดอยากฆ่าตัวตายแล้วนะ” ทาวน์เซนกล่าว อย่างไรก็ตาม โชคดีเป็นของครอบครัวทาวน์เซน เพราะเธอสมัครเข้ากลุ่มบำบัดอิสระซึ่งมีนักจิตวิทยาทำงานกับลูกสาววัย 14 ปีของเธอได้อย่างทันท่วงทีและทำได้สม่ำเสมอ

เมเดอร์ให้ข้อมูลว่ามิสซิสซิปปีคือหนึ่งในรัฐที่มีบริการด้านจิตเวชและบุคลากรด้านจิตเวชของรัฐ น้อยและเข้าถึงยากที่สุดของประเทศ รายงานจาก Mental Health America ปี 2017 ระบุว่า วัยรุ่นในรัฐมิสซิสซิปปีกว่า 62 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภาวะซึมเศร้า จำนวนนั้นกว่า 13,000 คนไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หากคนไข้รายใดต้องการเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วและสม่ำเสมอ ต้องเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อเข้ารับคำปรึกษาจากสถาบันด้านจิตเวชเอกชน แน่นอนว่านั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้กับผู้มีรายได้น้อย แรงงานที่มีเวลาทำงานไม่ยืดหยุ่น หรือคิดหยาบๆ แค่เหตุผลว่า ‘ไม่มีรถ’ ทางเลือกนี้จึงต้องตัดทิ้งไป

นอกจากคำอธิบายที่ว่าบุคลากรและคลินิกด้านจิตเวชของรัฐมิซซิสซิปปี้มีน้อยและเข้าถึงยาก ยังรวมถึงเหตุผลจากกระทรวงสาธารณสุขลดงบประมาณด้านทรัพยากรบุคคลจิตเวชและเพิกถอนบริการด้านจิตเวชบางประการ หนึ่งในนั้นคือบริการให้คำปรึกษาด้านจิตเวชกับวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงไปด้วย

“นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้ปกครองถึงรายงานว่า ‘พวกเขาโทรไปที่คลินิกรัฐแล้ว แต่พวกเขาช่วยเหลือเราไม่ได้’ ” จอย ฮอจจ์ (Joy Hogge) ผู้อำนวยการบริหาร Families as Allies องค์กรไม่แสดงผลกำไรด้านจิตเวชแห่งรัฐมิสซิสซิปปี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าความน่ากลัวของผู้ที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญมีความเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความเศร้าที่ไม่มีทางออก มีปัญหาที่โรงเรียน เสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษากลางคัน ท้ายที่สุด มีความคิดเรื่องการฆ่าตัวตาย ทั้งเริ่มลงมือทดลอง และกระทำการจริงๆ ที่น่ากังวลมากกว่านั้น คือครอบครัวที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีงานทำ – ซึ่งไม่ใช่เรื่องมีความเสี่ยง แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะเข้าสู่ระบบการรักษาได้

อย่างไรก็ตาม เมเดอร์พยายามสร้างทางเลือกและทำงานสื่อสารเพื่อผลักดันให้เกิดกลุ่มบำบัด กลุ่มให้ความช่วยเหลืออิสระ รวมทั้งสร้างองค์ความรู้เพื่อให้ครูและผู้ปกครอง ‘อ่าน’ เด็กๆ และหรือให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นได้เหมาะสม

หนึ่งในความเห็นที่น่าสนใจคือ ลาเบลลา เพลสตัน (Labella Preston) นักจิตวิทยาโรงเรียนของสถาบันด้านจิตวิทยา LifeHelp ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า ที่ครูไม่รู้ว่านักเรียนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้ากำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เป็นเพราะครูมักคิดว่านักเรียนแค่เงียบขรึม อาจเป็นบุคลิกที่ไม่สุงสิงกับใคร และขาดทักษะในการสังเกตว่าลักษณะแบบไหนที่เข้าข่ายซึมเศร้าแล้ว

ทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจว่า การดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และภาวะซึมเศร้า แท้จริงแล้วเป็นของใคร แค่นักจิตวิทยาหรือคนที่อยู่รอบๆ โดยเฉพาะหน่วยงานทางสังคมที่เข้ามาช่วยจัดการ ประคับประคองภาวะป่วยไข้ทางจิตใจของเด็กและวัยรุ่นเป็นเรื่องสำคัญ

Fun Fact

หน่วยงานรัฐและเอกชนที่ให้บริการปรึกษาในไทย

สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 ทั้งหมด 12 คู่สาย ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง โดยนักจิตวิทยาประมาณสามสิบคนสับเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่

บริการทางเฟซบุ๊ก 1323 เพื่อให้คำปรึกษาทางแชต ให้บริการตั้งแต่เวลา 6.30 – 22.30 น. ไม่มีวันหยุด

สายด่วนสุขภาพจิต 1667 โดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงสายด่วนให้คำปรึกษาสะมาริตันส์ 02 713 6793 เวลา 12.00 – 22.00 โดยอาสาสมัครราวสามสิบคนหมุนเวียนให้บริการ เวลา 12.00 – 22.00 น.

เว็บไซต์ istrong.co ปรึกษาส่วนตัวกับนักจิตวิทยา / โค้ช ทางทางโทรศัพท์และพบเจอตัว (มีค่าบริการ)

หน่วยงานให้บริการทางสุขภาพจิตและจิตเวชในสังกัดกรมสุขภาพจิต https://www.dmh.go.th/service/

Tags:

ซึมเศร้าวัยรุ่นกลั่นแกล้ง(bully)ความเหลื่อมล้ำสหรัฐอเมริกา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Early childhood
    ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ในโลกแห่งความจริง เราต่างเคย BULLY ซึ่งกันและกัน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ บัว คำดี

“ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน
Family Psychology
12 March 2019

“ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ นอกจากเป็นกุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ยังควบตำแหน่งเจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ เพจเลี้ยงลูกที่พ่อแม่ควรติดตาม เพราะส่งเสริมการเลี้ยงลูกเชิงบวก
  • หัวใจของการเลี้ยงลูกเชิงบวก มี 4 ข้อ คือ เข้าใจธรรมชาติของตัวเด็ก มีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก ฝึกวินัยเชิงบวก และสื่อสารเชิงบวก ทั้งหมดทั้งมวลนี้หลักของการเลี้ยงลูกเชิงบวกที่สามารถอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ทางสมองของมนุษย์
  • พ่อแม่ธรรมดาทุกคนทำได้ แค่เปิดใจและเข้าใจในความ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ ของมนุษย์

ช่วงหลังๆ แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน พยายามเขียนเรื่องที่ตัวเอง ‘ใส่อารมณ์’ กับลูก เพื่อเตือนพ่อแม่ว่า “หมอก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง”

“ตอนหลังพยายามเขียนวีนบ่อยๆ เดี๋ยวคนคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องดีงาม วีนได้ เราเป็นมนุษย์ มีความรู้แต่ไม่มีสติไง” 

เสียงหัวเราะท้ายประโยคของหมอโอ๋ อาจไม่ต่างอะไรจากการให้อภัยตัวเองแล้วเดินหน้าต่อ เพราะหมอเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ มีแต่พ่อแม่ธรรมดาและดีพอเพราะเรียนรู้อยู่เสมอ”

เรียนรู้ที่จะอยู่กับลูก สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ ที่ไม่ได้โลกสวยแต่คืออยู่กับความจริงและอ้างอิงได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ว่าด้วย ‘สมองของมนุษย์’

การเลี้ยงลูกเชิงบวกคืออะไร แล้วทำไมเราต้องเลี้ยงลูกเชิงบวก

การเลี้ยงลูกเชิงบวก คือ การเลี้ยงลูกที่อธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ทางสมองของมนุษย์ การเลี้ยงลูกเชิงบวกจะมีการทำความเข้าใจกับสมองของเด็ก สร้างความเข้าใจว่าสมองของเด็กก็มีข้อจำกัด เด็กไม่ได้เกิดมาแล้วจะเข้าใจหลักเหตุผลโดยทันที หรือรู้จักควบคุมอารมณ์ได้ดีแต่เล็กๆ ธรรมชาติของเด็กจะมีการพัฒนาสมองส่วนอารมณ์เร็วกว่าส่วนเหตุผล ซึ่งสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ถึงอายุ 25 ปี เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ก็จะทำให้เรามีมุมมองต่อการเลี้ยงดูที่เปลี่ยนไป

การที่เราจะพูดว่าโตแล้วทำไมถึงคิดไม่ได้ สอนแล้วทำไมไม่จำ ก็จะทำให้คลี่คลายและเข้าใจการพัฒนาของสมองของลูกได้ ข้อจำกัดทางธรรมชาติเด็กจะใช้สมองส่วนอารมณ์มากกว่าใช้ส่วนเหตุผล หน้าที่ของพ่อแม่คือช่วยทำให้เขาใช้สมองส่วนเหตุผลให้มากขึ้น ควบคุมอารมณ์ให้ดีขึ้น ดังนั้นการเลี้ยงลูกเชิงบวก ก็คือการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก การฝึกวินัยเชิงบวกเพื่อกระตุ้นสมองส่วนคิดวิเคราะห์พัฒนาให้เร็วขึ้น จะได้ควบคุมสมองส่วนอารมณ์และสัญชาตญาณที่ทำให้เกิดการต่อต้าน เกิดความโกรธ ความอยากเอาคืนพ่อแม่

การเลี้ยงลูกเชิงบวก จึงประกอบไปด้วยเรื่องหลักๆ 4 เรื่อง

  • หนึ่ง คือการเข้าใจธรรมชาติของตัวเด็กว่าเด็กแต่ละคนเกิดมามีธรรมชาติที่ต่างกัน เด็กไม่ใช่ผ้าขาวแบบที่เราเชื่อกัน เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับศักยภาพหรือความเก่งหรือความบกพร่องบางอย่าง ซึ่งเรามีหน้าที่เข้าใจ
  • สอง คือการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก หรือหมายถึงการมอบเวลาคุณภาพให้กับลูก รับฟังเขา ใส่ใจเขา
  • สาม คือการฝึกวินัยเชิงบวก นั่นคือการทำอย่างไรเพื่อให้ลูกรู้กติกา รู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ โดยที่ไม่ใช้วิธีเชิงลบไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ซึ่งจะก่อให้เกิดบาดแผลตามมา วินัยที่ดีคือวินัยที่เกิดจากการควบคุมตนเอง
  • สี่ คือการสื่อสารเชิงบวก หมายถึงการทำให้เกิดความรู้สึกดีต่อกัน ซึ่งถ้าเราศึกษาการเลี้ยงดูเชิงบวก จะเห็นว่าการเลี้ยงดูในวัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่ จะเป็นในการเลี้ยงดูในเชิงลบ เมื่อทำผิดต้องดุ ต้องตำหนิ ต้องขู่ให้กลัว ต้องตีให้หลาบจำ ต้องเปรียบเทียบ คือต้องทำให้เจ็บปวดถึงจะได้เรียนรู้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดเพราะสมองไม่ได้ถูกพัฒนาในรูปแบบนั้น การทำให้ลูกเจ็บปวดมันมีสิ่งที่ต้องแลกตามมาด้วยเสมอ เด็กอาจจะพัฒนาความก้าวร้าว ความรุนแรง หรือติดอยู่กับความรู้สึกที่ตัวเองแย่ ไม่ได้เรื่อง ไม่มีศักยภาพ เด็กหลายคนอาจซึมเศร้าเพราะคิดว่าเราไม่ดีพอ ดังนั้นการเลี้ยงลูกมาในเชิงลบ ก็จะส่งผลลบต่อสมอง

ทุกการกระทำของพ่อแม่มีความสัมพันธ์กับจิตวิทยาของลูกโดยที่อาจไม่รู้ตัว

คำว่าจิตวิทยา มันคือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ พฤติกรรม ความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อกัน ส่วนคำว่าครอบครัวหมายถึงการอยู่ร่วมกัน การพึ่งพาอาศัยกัน เพราะฉะนั้นการที่เรามีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลามันเป็นเรื่องของจิตวิทยา

ดังนั้นคนที่มีองค์ความรู้ด้านจิตวิทยา เราจะใช้วิธีใดในการสร้างความสัมพันธ์กับลูก คุยกับลูก แก้ปัญหาให้ลูก ช่วยให้ลูกพัฒนาศักยภาพ หมอคิดว่าเรื่องของจิตวิทยาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวโดยที่เราอาจไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่านั่นคือจิตวิทยาเชิงบวกหรือเชิงลบเท่านั้นเอง

ช่วยยกตัวอย่าง การฝึกวินัยเชิงบวกหรือเชิงลบให้เห็นภาพหน่อย

เช่น เหตุการณ์ลูกไม่ยอมอาบน้ำ แม่หลายคนอาจจะแค่บ่น “ทำไมไม่ยอมลุกไปอาบน้ำสักที?”

หรือบางคนก็อาจจะถึงขั้นลงไม้ลงมือตีลูก “ทำไมป่านนี้ยังไม่ยอมอาบน้ำอีกเหรอ?” “บอกให้อาบน้ำตั้งนานแล้วทำไมไม่อาบ?”

ซึ่งวิธีนี้ ไม่ใช่วิธีทำให้เด็กอยากที่จะทำด้วยตัวเอง เด็กจะรู้สึกว่าจะทำอะไรก็ตามต้องเกิดจากการบังคับ หรือถูกสั่ง แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธี ให้ทางเลือกกับเขา เมื่อเห็นลูกไม่อาบน้ำ ก็เดินเข้ามาถามว่า “ลูกกำลังทำอะไรอยู่ ดูน่าสนุกจัง แต่เดี๋ยวเราต้องอาบน้ำกันแล้ว ลูกจะเล่น อีก 3 หรือ 5 นาทีดี?” เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเขา ไม่ต้องทำให้เขารู้สึกว่าถูกสั่ง อาจจะเปลี่ยนคำพูดไปในเชิงถามว่า “ตอนนี้มันเวลาอะไรแล้วจ๊ะ เป็นเวลาที่ต้องทำอะไร อาบน้ำหรือเปล่า?” ให้ทางเลือกเพื่อให้เขาฝึกคิดด้วยตัวเอง นี่ก็คืออีกหนึ่งเทคนิคในการฝึกลูกให้ทำตามกติกาด้วยตัวเอง ไม่ใช่การถูกสั่งหรือบังคับให้ทำ

ยกตัวอย่างอีกอย่าง ปัญหาเด็กติดหน้าจอ เด็กติดเกม พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีเชิงลบ อาจจะตามใจลูก พอบอกให้ลูกเลิกเล่น กลัวลูกหงุดหงิดจึงปล่อยตามใจเรื่อยๆ เด็กก็จะเรียนรู้ไปว่าไม่ต้องมีกติกา การฝึกวินัยก็จะไม่เกิด

หรืออีกกรณีที่เดินเข้ามาดุด่าลูกบอกให้เลิกเล่นเกม ลูกก็จะเลิก แต่เลิกเพราะกลัว ความรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ ลามไปถึงอาจจะทำให้เกิดวามรู้สึกไม่ชอบพ่อแม่ได้

อีกอย่างที่เจอบ่อยเลยคือการฝึกวินัยแบบใช้ปาก นั่นคือการบ่นๆๆๆ เสร็จหรือยัง ทำไมถึงยังไม่เลิกเล่นอีก พ่อแม่ทำงานมาเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว บ่นไปเรื่อย ลูกก็ไม่เลิก พ่อแม่ก็เดินกลับมาบ่นใหม่ เรียนรู้ได้ว่าแค่ทนๆ ฟังเสียงบ่น แต่ไม่ต้องเลิกก็ได้

ฉะนั้นวิธีการที่อยากให้พ่อแม่ฝึกคือวิธีการ Kind but Firm พ่อแม่ไม่ต้องใช้อารมณ์ ไม่ต้องดุด่า แต่ว่าเอาจริง ตกลงกติกากับลูกไว้ก่อนแล้วพอถึงเวลาก็เข้าไปบอกว่า “ลูกจะเล่นได้อีก 5 นาที ตามที่เราตกลงกันไว้ ถ้าลูกไม่เก็บแม่จะเป็นคนเก็บนะจ๊ะ” ทำตามที่ตกลงกันไว้ และพ่อแม่ต้องทำจริงไม่ใช่แค่ขู่ ถ้าเขายังไม่เลิกเราก็อาจจะเดินมาบอกลูกว่า เวลานี้ลูกต้องเก็บแล้ว ถึงลูกจะงอแง แต่เราต้องเก็บเพราะทำตามกติกาที่เราตั้งด้วยกันไว้ นี่ต่างหากคือการทำให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเอง

ในช่วงแรกๆ เด็กอาจจะงอแงเป็นปกติ แต่เราก็ต้องฝึก ใช้วิธีนี้ฝึกเขาในทุกวัน วันนี้ยังไม่ได้ ก็เริ่มฝึกใหม่ในพรุ่งนี้ วิธีนี้จะช่วยให้เขามี self control หรือทักษะการควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น มากกว่าที่พ่อแม่ใช้ปากบ่น ใช้กำลังดุด่าหรือตี

วิธีนี้เอาไปใช้กับปัญหาโลกแตกอย่างการที่ลูกลงไปร้องดิ้นเมื่ออยากได้ของเล่นได้ไหม

ได้ เราควรคุยกับลูกตั้งแต่แรก เช่น “วันนี้เราจะไปซื้อของกันลูก แต่เราจะไปซื้อแค่ในซูเปอร์ฯ เราจะยังไม่ซื้อของเล่น เพราะว่าหนูเพิ่งซื้อไปหรืออะไรก็ตาม” ประเด็นอยู่ที่การคุยกับลูกก่อน ทำให้เขารู้ว่าวันนี้เราไม่ได้มาเพื่อซื้อของเล่น เมื่อลูกงอแงอยากได้ ลงไปดิ้นที่พื้น การตอบสนองของเด็กมักมาจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ดังนั้นการที่เด็กลงไปร้องดิ้นแล้วเห็นพ่อแม่ใจอ่อน ยอมซื้อของเล่นให้ เขาก็จะลงไปร้องดิ้นที่พื้นเรื่อยๆ เพราะเขาเรียนรู้จากสิ่งที่เราตอบสนอง และวิธีนี้ทำให้เขาได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ

หน้าที่ของเราง่ายๆ ก็คือสอนให้เขาดูว่าวิธีที่เขาทำมันไม่ได้ผล และพูดกับเขาดีๆ ว่า “แม่เข้าใจว่าหนูอาจจะเสียใจที่ไม่ได้ซื้อของเล่น” แสดงความเข้าใจเขา แล้วอาจจะถามว่า “หนูจะเดินห้างต่อไหมหรือจะไปนั่งร้องไห้ต่อในรถก่อน” ทำให้เขาเห็นจริงๆ ว่าเราจะไม่ใจอ่อนซื้อของให้เขา โดยที่เราไม่ต้องอารมณ์เสีย และไม่ต้องอาละวาด ไม่ต้องทำร้ายเขา

พ่อแม่ต้องฝึกจิตฝึกใจอย่างไรบ้าง เชื่อว่าทุกคนต้องอยากเลี้ยงลูกเชิงบวก แต่มันยากในการควบคุมตัวเอง

หมอเข้าใจและพูดอยู่เสมอว่า ‘การเลี้ยงลูกไม่ใช่แค่การพัฒนาแค่ลูก แต่มันคือการพัฒนาตัวพ่อแม่เองด้วย’ ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการควบคุมใจของเราเอง มันอาจจะยากเพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งความคาดหวัง ทั้งอารมณ์ เราจะโมโหถ้าลูกไม่เป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น เรากังวลว่าเขาจะเป็นเด็กก้าวร้าว เด็กเอาแต่ใจ กลัวว่าตัวเองจะเลี้ยงลูกได้ไม่ดี รู้สึกผิด ความคิดเหล่านี้จะรบกวนให้เราไม่นิ่ง

เราจึงต้องหาทางออกโดยการใช้วิธีการควบคุมหรือจัดการ ทำให้ลูกเชื่อฟัง อยู่ในโอวาทเราให้ได้ เพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเข้าใจเขาว่าในช่วงวัยของลูก เป็นช่วงที่เขายังฝึกตัวเองได้ไม่ดี สมองส่วนเหตุผลเขายังพัฒนาได้ไม่ดี มองให้มันเป็นเรื่องธรรมดามันก็จะทำให้เราสงบขึ้น

อย่ามองว่าเรื่องแบบนี้คือวิกฤติ ให้มองว่ามันคือโอกาสจะทำให้ลูกเราได้เรียนรู้ การที่เขาลงไปดิ้นเป็นโอกาสที่ทำให้เขารู้เลยว่ามันไม่ได้ผล และลูกเราจะพัฒนามากขึ้น มุมมองเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเรามองว่านี่คือความล้มเหลว รู้สึกมีอารมณ์ ทำให้เรารู้สึกโกรธ รู้สึกผิดหวัง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราปฏิบัติตัวออกมาได้ไม่ดี

การเลี้ยงลูกเชิงลบในอดีต อาจจะใช้ไม่ได้กับยุคนี้?

จริงๆ มันไม่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าใจการทำงานของสมองมนุษย์ มันมีหลายอย่างที่ส่งผล หมอยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุตินิ้วโป้งมือของเราเป็นสมองอารมณ์ ซึ่งในวัยเด็กสมองส่วนนี้โตมาก แล้วอีกสี่นิ้วที่เหลือเป็นสมองส่วนเหตุผล ดังนั้นหน้าที่พ่อแม่คือการสร้างให้สมองส่วนเหตุผลพัฒนาได้ดี

แต่เวลาทำงานจริง เมื่อไรก็ตามที่สมองส่วนอารมณ์ถูกกระตุ้น สมองส่วนเหตุผลจะปิดการทำงาน เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเด็กร้องไห้ ต่อให้เราใช้เหตุผลมากแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจ ยิ่งเราไปใช้วิธีเชิงลบ ใช้คำพูดแย่ๆ ใส่ลูก ลูกก็กลัว สมองส่วนอารมณ์ก็จะตอบสนองออกมาใน 3 รูปแบบ นั่นคือ

1. สู้ สู้กลับ ตีพ่อแม่ ก้าวร้าว อาละวาด

2. ถอยหนี กลัว ไม่เถียงแต่ว่าทำ ไม่เข้าไปยุ่ง โกหก ปกปิด

3. ยอม แต่การยอมนั้นแลกมากับความรู้สึกว่า ฉันไม่ได้เรื่อง ฉันทำไม่ได้ เมื่อเขาโตขึ้นมาในใจข้างในเขาอาจจะรู้สึกว่างเปล่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีจุดสูงสุด เพราะไม่พอใจกับตัวเอง ต้องคอยแน่ใจว่าเป็นที่รักของใครอยู่ไหม การเลี้ยงลูกเชิงลบจึงเป็นการทำร้าย self esteem ของเด็กโดยที่ไม่รู้ตัว

ซึ่งวิธีแสดงออกของเด็กมักจะมาในรูปแบบ 3 รูปแบบนี้ และมันส่งผลในระยะยาวแน่นอน แต่อาจจะมากน้อยต่างกันไป  

ดังนั้นจิตวิทยาเชิงบวก จะทำให้เด็กสามารถสงบสมองส่วนอารมณ์เพื่อเปิดสมองส่วนคิดให้มันเชื่อมต่อกัน พออารมณ์สงบ ส่วนคิดเปิดทำงาน เด็กก็ตอบสนองโดยการควบคุมตัวเองได้ดี

ปมอะไรบ้างที่พ่อแม่ยึดถือไว้แล้วทำให้ลูกเกิดปัญหา

เยอะเลยนะ หนึ่งในนั้นคือความสมบูรณ์แบบ พ่อแม่หลายคนคิดว่าการที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวจะเป็นปมกับลูก

ถ้าเราพูดถึงครอบครัว หน้าตาของมันก็จะมีพ่อแม่ลูก ลูกคนเดียวก็ไม่พอ ต้องมีชาย 1 คน หญิง 1 คน นี่ถึงจะสมบูรณ์แบบ แต่จริงๆ แล้วครอบครัวที่สมบูรณ์มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนในครอบครัว มันคือใครแค่คนเดียวที่เลี้ยงเด็กคนหนึ่งได้อย่างมีความสุขและเป็นไปตามศักยภาพเขา มันไม่มีหรอกพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบมีแต่พ่อแม่ธรรมดาๆ นี่แหละก็เลี้ยงลูกให้ดีได้ อีกปมหนึ่งที่พ่อแม่มี นั่นคือ การคาดหวังกับตัวเอง คาดหวังว่าฉันจะต้องเป็นนางฟ้าตลอดเวลา ฉันจะต้องไม่สร้างบาดแผลให้ลูก

พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูกเลย คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก ตราบใดที่เรามีปฏิสัมพันธ์กัน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกัน หมอคิดว่าพ่อแม่มีหน้าที่ปลดปล่อยปมของตัวเอง โดยการยอมรับความเป็นมนุษย์ปกติ ยอมรับว่าเราผิดพลาด ล้มเหลว หรือทำอะไรไม่ถูกต้อง เด็กจะเรียนรู้ได้จากสิ่งเหล่านี้มากกว่าเสียอีก เรียนรู้จากพ่อแม่ที่ทำผิดพลาดและกล้าเดินมาขอโทษเขา ก้าวข้ามความผิดพลาดของตัวเองแล้วเริ่มใหม่

ดังนั้นที่มาของปมก็มาจากความคาดหวังทั้งนั้น คาดหวังจากตัวเอง และในตัวลูก เราอยากให้ลูกเป็นเด็กเรียบร้อย พูดเพราะ น่ารักว่าง่าย พูดอะไรแล้วทำตาม พูดคะพูดขาตลอด มันมีความน่ารักติดอยู่ในหัวของเราตลอดเวลา ซึ่งในความจริงเด็กทุกคนไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนั้น เด็กบางคนเกิดมากระโดดโลดเต้น เด็กบางคนเกิดมามีความคิดเป็นของตัวเอง เกิดมาเพื่อเถียง หมอคิดว่าความเข้าใจความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าเขามีคาแรคเตอร์ต่างกัน มันอาจจะไม่ใช่แบบที่เราชอบ แต่มันจะไปได้ดีในเส้นทางของเขา ปล่อยความคาดหวัง มันก็ช่วยลดปมให้คลี่คลายได้

พ่อแม่ที่ดีงาม เป็นยากไหม

ความเชื่อที่ว่า ลูกมาก่อน สามีมาก่อน ตัวเองมาทีหลัง เป็นเรื่องที่ผิดมาก เราไม่มีวันจะดูแลใครได้ดีเลยถ้าเราดูแลตัวเองได้ไม่ดี

นี่คือ fact การที่เราจะเป็นพ่อแม่ที่มีความสุข และทำให้ลูกมีความสุข ตัวเราเองต้องมีความสุขให้ได้ก่อน แทนที่เราจะทุ่มเทกับตัวลูกสุดๆ เราต้องทุ่มเทกับตัวเองด้วย การที่เราจะดูแลลูก อยู่กับความเหนื่อยยาก วันๆ ก็เอาแต่หงุดหงิด เมื่อลูกทำอะไรไม่ดีก็ผิดหวัง ชีวิตแบบนี้จะไม่สุขเลย จริงๆ แล้วควรจะกลับมาดูแลตัวเองให้ดี ออกกำลังกาย ออกไปช็อปปิ้ง ออกไปเจอเพื่อน ใช้ชีวิตให้เป็นปกติและธรรมดา จะช่วยมอบเวลาที่มีคุณภาพให้กับลูกได้มากกว่า

การที่พ่อแม่ออกไปเจอเพื่อน ออกไปช็อปปิ้ง แต่ในความเป็นจริง จะทำสิ่งเหล่านี้อย่างไรไม่ให้รู้สึกผิด

หลักๆ มันคือการสร้างความสมดุลนะ ไม่ได้แปลว่าเราจะเอาแต่ตัวเองก่อนตลอดเวลา มันอยู่กับการแบ่งเวลา การเลือก ถ้าเราไม่เลือกก็จะต้องอยู่ในวังวนนั้นตลอดเวลา รับส่งลูก ทำอาหาร แค่หาเวลาและเลือกทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ได้เลือกเพื่อตัวเราเอง ถ้าเราเครียด เราเศร้า เราไม่มีความสุข เราจะอยู่กับลูกอย่างมีความสุขไม่ได้เลย

พ่อแม่จะมีวิธีอย่างไรที่จะไม่ส่งต่อ pain point ไปถึงรุ่นลูก

เราต้องมีสติ รู้ตัว พ่อแม่ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เลี้ยงดู การเป็นพ่อแม่มันเข้าไปจัดการความคิดของเราได้เยอะพอสมควร ตั้งแต่เราคิดว่าเราจะมีลูกเพื่ออะไร พ่อแม่บางคนมีลูกเพื่อเลี้ยงตัวเองยามแก่ ถ้าตั้งเป้าแบบนี้พ่อแม่เตรียมตัวรับความผิดหวังได้เลย ถ้าลูกเกิดเรียนไม่เก่งขึ้นมา เกิดมาสติปัญญาไม่ดี หรือโตมาเขาอยากทำอะไรตามใจตัวเองไม่มีเวลาดูแล เราพร้อมที่จะรับความผิดหวังไหม ดังนั้นแค่การตั้งเป้าว่าอยากให้เขามาเลี้ยงดูนี่ก็เป็น pain point แล้ว เราควรจะสร้างชีวิตหนึ่งเพื่อให้อะไร เพื่อให้เขารับใช้ชีวิตตัวเองหรือรับใช้เรา การที่เรามีความสุขจากการได้ดูแล ได้เลี้ยงดู มันก็พอเป็นคำตอบได้อยู่แล้ว ส่วนการที่เขากลับมาดูแลเรายามแก่นี่คือกำไร

ในความสัมพันธ์ของเรากับลูก ควรจะรักกันแบบไหนถึงจะไม่สร้าง pain point ให้เขา

เราควรจะรักด้วยความเข้าใจว่า ‘เราไม่ใช่เจ้าของชีวิตกันและกัน’ รักโดยเข้าใจธรรมชาติของกันและกัน บางอย่างของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ แต่นั่นเป็นตัวเขา เรารักกันแบบที่เคารพการตัดสินใจ รักกันแบบที่ต้องถามตัวเองว่านี่เราไม่ได้รักแค่ตัวเองใช่ไหม บางคนรักลูกเพราะลูกน่ารัก พอลูกไม่น่ารักก็ไม่อยากจะรักลูก ถ้าเรารักเขาจริงๆ ไม่น่ารักอย่างไรก็รัก หมอเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีความรักแบบนี้กับลูก แต่พอรักมีการคาดหวัง หรือการรอหวังผลตอบแทนจากสิ่งที่ตั้งใจหรือทุ่มเทไป สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้มองไม่เห็นความรักที่แท้จริง

แล้วในแง่สามี-ภรรยา เราควรจะรักกันแบบไหนเพื่อไม่ให้สร้าง pain point ให้ลูก

หลายคนเชื่อว่าการที่เรามีลูก เราควรทุ่มเวลาไปให้ลูก แต่จริงๆ ในทางทฤษฎีการที่เด็กคนหนึ่งจะโตมามีความสัมพันธ์ที่ดีได้ ไม่ได้มาจากความสัมพันธ์ที่พุ่งมาถึงเขาอย่างเดียว แต่เป็นเด็กที่ได้รับความสัมพันธ์จากพ่อแม่ที่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และไม่น้อยไปกว่าความสัมพันธ์ที่ดีที่มีให้ลูก

หลายคนทุ่มเทเวลาไปให้ลูก จนทำให้ลืมความสัมพันธ์ระหว่างกัน

ระหว่างสามีภรรยา มันควรเป็นการ give มากกว่า take เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันมักจะอยากได้นั่น อยากได้นี่ จนหลงลืมไปว่า เราให้อะไรกันหรือยัง

มันควรจะเป็นความรักที่เข้าใจธรรมชาติและปลดปล่อยตัวเองออกจากความสมบูรณ์แบบ ความรักที่ดีควรเป็นรักที่เข้าใจ ให้อภัย ปล่อยวางในบางเรื่อง

กรณีพ่อแม่ต่างคนต่างทุ่มเทให้ลูก จนรู้สึกได้ แล้วถ้าพ่อแม่มีปัญหากันจนเด็กรู้สึกได้ เด็กจะโทษตัวเองหรือไม่อย่างไร

พ่อแม่ทุ่มเทกับลูกเยอะ จนมีปัญหากัน ในเด็กที่โตหน่อย หลายคนจะมีความรู้สึกผิด และคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุ การที่ปฏิสัมพันธ์มีกันอยู่แค่นี้ เด็กรู้สึก หลายครั้งๆ พ่อแม่ก็มีปัญหากันด้วยเรื่องลูกนี่แหละ ด้วยความที่ไม่เข้าใจกันในวิธีการเลี้ยงดู ปัญหาของลูกทำให้เกิดการโต้เถียงกัน เด็กเองมีความรู้สึกผิดอยู่แล้ว

แต่ไม่ได้แปลว่า พ่อแม่จะต้องอยู่กันแบบไม่มีปัญหากัน เป็นไปไม่ได้ที่พ่อแม่จะอยู่กันแบบไม่มีปัญหา มันมีปัญหากันได้แต่ทำยังไงให้ลูกได้เห็นว่า เมื่อมีปัญหากัน ปัญหาจบด้วยการพูดคุยกัน เข้าใจกัน ให้อภัยกัน และด้วยความรักที่มีต่อกัน ทำให้ทุกคนได้ก้าวต่อ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ลูกจะได้เรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่

โซเชียลมีเดียต่างๆ โพสต์ความสุขของพ่อแม่ เอาจริงๆ เหล่านี้ส่งผลต่อการเลี้ยงดูของพ่อแม่อย่างไร

มีๆ (ตอบทันที) เยอะมาก (ลากเสียงยาว) ปัจจุบันโซเชียลเข้ามามีผลต่อบทบาทของคนเป็นพ่อเป็นแม่ และลูก เปิดไปเห็นลูกคนนั้นทำอันนั้นได้ดี เห็นคนนี้ไปเรียนอันนั้น เราก็จะรู้สึกว่า ต้องทำบ้าง อยากไปบ้าง ทำไมลูกเราไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเขาบ้าง ทำไมลูกเขาอ่านออกแต่ลูกเรายังไก่กาอยู่เลย

หมอคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เราต้องฝึกสติมากๆ ในการเสพสิ่งเหล่านี้

เด็กไม่มีแพทเทิร์นเลยว่าต้องทำแบบไหนถึงจะประสบความสำเร็จ แต่มันมีทฤษฎีจริงๆ ว่าเด็กจะประสบความสำเร็จจากคาแรคเตอร์อะไร ดังนั้น การที่ลูกคนอื่นเล่นเปียโนได้ ลูกเราเล่นไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าลูกเราจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เราสร้างบางสิ่งหรือยังที่จะเป็นคาแรคเตอร์ของเด็กที่จะประสบความสำเร็จ คือ

1. เด็กที่มีอารมณ์เชิงบวก ยิ้มแย้ม มีความสุข แบบนี้จะประสบความสำเร็จและมีความสุขกับชีวิตได้ง่าย

2. เด็กที่มีการจดจ่อใส่ใจกับงานอะไรบางอย่าง และทำมันสำเร็จ มีความรับผิดชอบ

3. เด็กที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน คนรอบตัว มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

4. เด็กที่มีความรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีความหมาย เป็นที่รัก มีประโยชน์กับคนอื่น หรือเป็นความสุขของบางคน 

5. เด็กคิดเป็น

พ่อแม่สร้างแค่นี้ ไม่ต้องไปกังวลว่าใครเก่ง เป็นที่ 1 มันไม่ได้บอกอะไรเลย ตอนนี้เด็กเรียนแพทย์หลายคนเป็นซึมเศร้า มันไม่ได้มีอะไรบอกว่าถ้าลูกเราทำแล้วจะมีความสุขเหมือนอย่างเขา หลักมีแค่ ลูกเรา 1. ควบคุมตัวเองได้ไหม 2. คิดยืดหยุ่นเป็นหรือเปล่า 3. มีความจำที่ดีไหม 4. ถ้าทำได้เท่านี้ ชีวิตประสบความสำเร็จได้ จะเสพอะไรก็ควรชั่ง ว่าเราได้ประโยชน์หรือได้โทษจากมัน ถ้าเราได้ประโยชน์ เช่น เราส่องแล้วเห็นว่ามันมีบางอย่างพัฒนาลูกเราบ้าง เห็นวิธีการเลี้ยง เห็นวิธีคิด แล้วเอามาปรับกับเราได้ ก็เสพไป แต่ถ้าเราเสพแล้วเราเริ่มทุกข์ เห็นคนอื่นพาภรรยาไปดินเนอร์ ทำไมเราไม่เห็นมี แล้วมันเกิดความทุกข์ ก็ต้องเริ่มเลือกแล้วล่ะ หมอบอกเลยว่าต้องปิดโซเชียล

ลูกคุณไม่ได้ดีด้วยการถูกชื่นชมโดยใครในเฟซบุ๊ค หรือต้องมีอะไรไปอวดใคร ลูกคุณดีจากการเลี้ยงดูของคุณ เพราะฉะนั้นก็ต้องเลือก ถ้าไม่มีความสุขจากการเสพอะไรบางอย่าง ต้องหยุด

ถ้าเขาทุกข์ เขาไม่มาโพสต์โซเชียลหรอก?

ใช่ๆ โซเชียลมันไม่ใช่โลกที่อวดเรื่องทุกข์ มันถูกเอาไปเป็นพื้นที่อวดความสุข มันก็ไม่แปลกที่จะเปิดไปเจอนู่นนี่นั่น แต่เขาเลือกมาแล้วว่าเขาอยากบอกสิ่งนี้ ความทุกข์อีก 90 เปอร์เซ็นต์ เขาไม่ได้บอก หน้าที่ของเราคือเลือกรับและเสพแบบมีสติ ยินดีเมื่อเห็นความสุขของคนอื่น อย่ามีกิเลส อย่าเปรียบเทียบให้เกิดความทุกข์ น้อยเนื้อต่ำใจ

อย่างหมอเขียนเพจ หมอก็เขียนเวลาหมอทำได้ดี เวลาหมอวีนใส่ลูก หมอก็ไม่ได้เขียนตลอดมันก็ธรรมชาติ หมอก็ไม่รู้จะเขียนไปทำไม ก็เขียนก็ตอนเลี้ยงลูกเชิงบวกแล้วได้ผล คนก็อ่าน ตอนนี้หมอวีนก็เอามาเล่า คนก็ได้เรียนรู้ชีวิตจริง

ตอนหลังพยายามเขียนวีนบ่อยๆ เดี๋ยวคนคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องดีงาม วีนได้ เราเป็นมนุษย์ มีความรู้แต่ไม่มีสติไง (หัวเราะ)

ดังนั้นหมอคิดว่างานสำคัญของพ่อแม่คือหาความรู้แต่รู้แล้วไม่ทำก็ช่วยอะไรลูกไม่ค่อยได้ สำคัญที่สุดคือสติ เป็นงานที่สำคัญจริงๆ ถ้ามีเวลาควรทำ เหมือนการออกกำลังกาย แต่การฝึกสติเหมือนการออกกำลังใจ ฝึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ก็ทำได้เก่งขึ้น สติมาไวขึ้น ก่อนจะพูดหรือหลุดคำแย่ๆ ไปกับลูก สร้างบาดแผลให้ลูก 

ดังนั้น เรียนรู้เรื่องหลักการเพื่อได้รู้ แต่จะทำได้ไหมขึ้นกับเรื่องการฝึกสติจริงๆ แล้วถ้าเราไม่ได้ฝึกสติมันจะออกมาเป็นวิธีเชิงลบหมดเลย เพราะเราเติบโตมาแบบนั้น เคยชินกับคำพูดแบบนั้น เราถูกใช้คำพูดแบบนั้นมา เราก็ใช้วิธีการแบบที่เราอยู่กับมันมา ฉะนั้นมันจึงต้องอาศัยสติขั้นสูงที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นพ่อแม่เลี้ยงลูกเชิงบวก

คำพูดเชิงลบที่มักใช้สอนลูก ที่ผ่านมามีอะไรบ้าง

เยอะมาก คำพูดเชิงลบอยู่ในวัฒนธรรมตั้งแต่แรกเกิด เกิดมาเด็กก็ถูกชมว่าน่ารักไม่ได้ ต้องพูดว่าน่าเกลียด เศร้าไหมล่ะเกิดมาบนโลก มีแต่คนมาบอกว่าแกหน้าตาน่าเกลียดจังเลย ชมก็ไม่ได้เพราะมีความเชื่อ ชมเดี๋ยวผีมาลักไป อุ้มก็ไม่ได้ อุ้มเดี๋ยวติดมือ ต้องปล่อยร้อง ซึ่งผิดหลักการสุดๆ

เด็กขวบปีแรกเป็นวัยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ปีแรกตามหลักจิตวิทยาจะเป็นปีแห่งการสร้าง trust ความไว้เนื้อเชื่อใจว่าโลกปลอดภัย ร้องแล้วมีคนอุ้ม เปียกแล้วมีคนเปลี่ยนผ้าอ้อม หิวแล้วมีนมลอยใส่ปากทันที อันนี้จะสร้างความรู้สึกว่าโลกปลอดภัย ซึ่งสำคัญมากต่อการพัฒนาขั้นตอนต่อไปในชีวิต

ดังนั้นเด็กที่ฟอร์ม trust ไม่ดี ร้องก็ถูกปล่อยให้ร้อง ไม่มีใครมาอุ้ม จะโตมาเป็นเด็กยาก หวาดกลัว ระแวดระวัง กังวลเพราะถูกเลี้ยงดูมาแบบไม่ปลอดภัย อะไรก็น่ากลัวไปหมด ดังนั้นความเชื่อนี้เป็นความเชื่อเชิงลบที่อยู่ติดเรา อย่าชม เดี๋ยวเหลิง เดี๋ยวได้ใจ ทั้งที่จริงๆ เด็กเติบโตงดงามได้ด้วยคำชม เวลาชม สมองจะเบิกบานมีความสุข อยากทำอีก

หรือขู่ให้กลัว ดื้อเดี๋ยวหมอฉีดยา เดี๋ยวตำรวจมาจับ?

การทำให้เกิดความกลัว สามารถควบคุมได้สั้นๆ แต่เด็กไม่เรียนรู้เลยว่าทำไมต้องทำตัวดีๆ เวลาจะตรวจ เด็กรู้แต่ว่ากลัวก็เลยต้องหยุด พอถึงเวลาก็โดนฉีดยาจริงๆ เด็กก็จะสับสน ฉันดื้อเหรอ ทำไมฉันโดนฉีดยาล่ะ ฉันก็ไม่ได้ดื้อนะ เกิดความขัดแย้งอีก

คำขู่ คำหลอกทั้งหลาย เดี๋ยวตุ๊กแกกินตับ ร้องไห้เดี๋ยวซีอุยมากินตับ มันไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ มีเด็กที่ยอมเพราะกลัวแต่ยอมแล้วไง กังวล ทีนี้จะออกไปไหนก็ไม่ได้ แม่หายไปก็ร้องเพราะกลัว เครียด สมองแห่งความเครียดก็เป็นสมองที่พัฒนาไม่ดี ฉะนั้นก็ต้องมามองว่า ทำให้ลูกทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่ลูกสูญเสียอะไร และมีผลกระทบอะไรเกิดกับลูก เด็กบางคนโดนหลอกจนแม่หนีหายไปไม่ได้ ซึ่งลำบาก

ชมน่ารักไม่ได้ ผีมาลัก แม่ซื้อจะมาเอาตัวไป บางทีมันมาจากรากของการคิดว่าห้ามชมเดี๋ยวเด็กเหลิง

เด็กเมื่อเกิดความกลัว ความกล้าอยากทำอะไรก็ไม่มี สมมุติเราหลอกว่า เดี๋ยวซีอุยจะกินตับ มืดๆ ไม่กล้าออกจากบ้าน เสร็จแล้วเป็นปัญหาร้องโยเย กวน ขอให้อุ้ม แม่ก็หงุดหงิด ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ มากมายจากการพัฒนาไม่ได้ดีตามวัย

เรื่องอะไรที่คุณหมอให้คำปรึกษาบ่อยที่สุด

หลักๆ คือเรื่องการจัดการอารมณ์ของลูก ลูกอาละวาด โวยวาย ร้อง ไม่ฟัง ดื้อ พูดแล้วเถียง

ทางออกคือการจัดการอารมณ์ สมองของเด็กเป็นสมองอารมณ์เป็นหลัก จริงๆ เขามีความต้องการบางอย่างแต่เขาใช้วิธีอื่นไม่เป็น เรียนรู้ที่จะใช้อารมณ์ โวยวาย อาละวาด

วิธีการจัดการ อันดับแรกคือ ไม่ให้สิ่งที่เด็กต้องการ เช่น ลงไปอาละวาดอยากได้ของ พ่อแม่ไม่ควรหยิบยื่นของให้ เพราะเด็กจะรับรู้ว่าวิธีการนั้นจะคงอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเด็กเรียนรู้จากการตอบสนองของผู้ใหญ่

อันดับสอง เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์เด็ก เปรียบเทียบเหมือนกองไฟ เวลาไฟลุก การจะดับไฟ ทำได้ไม่กี่อย่างคือ หนึ่ง เอาน้ำดับ น้ำคือการกอด การทำให้สมองสงบ คำพูดแสดงความรู้สึกโกรธ โกรธใช่ไหมลูก หนูเศร้าเนอะ มา แม่อยู่นี่ ทำให้เกิดความสงบ

ประเด็นคือพ่อแม่ชอบเติมเชื้อเพลิง แค่นี้เอง ทำไมต้องร้องด้วย ทำไมเป็นเด็กงอแงอย่างนี้ ฉันเบื่อมากเลยนะ เลี้ยงลูกมาแล้วเป็นเด็กแบบนี้ อันนี้ยิ่งเติมเชื้อเพลิง ไฟเลยไม่ดับ ความเศร้าตอนแรกมันก็เลยทวีจากเชื้อเพลิงที่เติม

เช่น ลูกกำลังแย่งของอยู่ ก็ดึงออกมาจากพื้นที่ตรงนั้้น ลงไปร้องดิ้นหน้าร้าน ก็เอาออกมาจากร้าน สุดท้าย ไม่ทำอะไรเลย ไฟก็ดับ รอ ไม่ต้องทำอะไร กอดลูก ไม่ให้กอดก็นั่งข้างๆ ไม่มีเด็กคนไหนร้องไห้จนเสียชีวิต เขาจะได้เรียนรู้จากการจัดการอารมณ์ของเขา

ต่อมา ลูกมีทางเลือก อยากได้แล้วลงไปดิ้น โกรธแล้ว ทำอะไรได้ เช่น มานั่งกับแม่ตรงนี้ ขีดเขียนได้ แต่ปาของไม่ได้ คือมีทางเลือกให้ว่าถ้าไม่ทำอันนี้ จะทำอะไรได้บ้างที่จะแสดงความโกรธ

เด็กวัยรุ่นซึมเศร้ามากขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกเชิงลบมากน้อยแค่ไหน

ซึมเศร้ามีหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งก็คือ ปัจจัยทางสมองของเด็กเอง บางคนอาจมีความผิดปกติของสมองคือสารบางอย่าง เป็นกรรมพันธุ์ พ่อแม่ ปู่ย่าตายายเป็นซึมเศร้า ก็มีความเสี่ยงเยอะกว่าเด็กกลุ่มอื่น

ประการที่สอง การเลี้ยงดู ซึ่งมีผลอย่างแน่นอน

ที่เจอเยอะๆ เลยคือการเลี้ยงดูที่ถูกทอดทิ้ง มีพ่อแม่แต่ไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีใครคุยด้วย ไม่มีเวลาคุณภาพ เลี้ยงลูกให้เงินกินข้าว มีที่ให้อยู่ แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดี เด็กก็จะรู้สึกไม่มีตัวตน ไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย

อีกแบบหนึ่ง การเลี้ยงดูเชิงลบที่ทำให้เกิดบาดแผล เช่น ตำหนิ ตบตี ต่อว่ารุนแรง ทำให้รู้สึกเกิดการเปรียบเทียบ การเลี้ยงดูที่ทำให้รู้สึกลดทอนคุณค่าของตัวเอง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าได้

เดี๋ยวนี้ไม่ได้เจอเฉพาะวัยรุ่น ในเด็กเล็กๆ เราก็เจอว่าซึมเศร้ามาตั้งแต่เด็กได้

อีกอันหนึ่ง สังคม สิ่งแวดล้อม เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดซึมเศร้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบัน สื่อเข้าถึงตัวเด็ก เพื่อน โรงเรียนก็เป็นปัจจัยสำคัญ โรงเรียนที่ไปแล้ว ฉันไม่เคยมีความหมายอะไร ครูก็ชมแต่เด็กเรียนเก่ง หรือถูกตีตราว่าอยู่ห้องบ๊วย ทั้งหมดพัฒนาความรู้สึกแย่กับตัวเองได้ หรือเพื่อน ที่มีการแกล้ง ล้อ รังแก ไซโคหรือไซเบอร์บุลลี่ พวกนี้ก็ส่งผลกระทบ

ที่สำคัญมากๆ เลยคือสื่อ มีบทบาทกับวัยรุ่นเยอะ สื่อเข้าถึงวัยรุ่นเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เปิดไปเจอดาราหุ่นดี เราหุ่นไม่ดีก็เครียด โดยเฉพาะในวัยที่กำลังพัฒนาความเป็นตัวตน อยากสวย ดูดี เปิดเฟซบุ๊คไปก็เจอเพื่อนคนนั้นก็ดี เพื่อนคนนี้มีพ่อแม่พาไปเที่ยว มีการเปรียบเทียบ

ไซเบอร์บุลลี่ผ่านโลกออนไลน์ก็เยอะมาก บางทีไม่ได้มาแบบโพสต์ด่ากัน แต่เป็นการบุลลี่กันในเชิงจิตวิทยา เช่น โพสต์ไปในกรุ๊ปไลน์ไม่มีใครตอบ แต่พอเพื่อนอีกคนโพสต์ มีคนเข้ามาตอบมาคุยเต็มเลย หรือโพสต์รูปลงไนเฟซบุ๊ค ไม่มีคนกดไลค์ หลายคนก็เครียดแล้ว หรือไลค์น้อยกว่ารูปเดิม พวกนี้มีผลกับความเศร้าของเด็กได้มาก

แต่หมอเชื่อว่าครอบครัวก็ยังเป็นหลักสำคัญ ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น รู้สึกตัวเองมีค่า มีความหมาย เป็นที่รักของพ่อแม่ มันก็จะเป็นเกราะป้องกันสำคัญ

ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัวที่ครบพ่อแม่ลูก?

ไม่จำเป็น เป็นครอบครัวที่มีใครสักคนที่พร้อมและตั้งใจจะเลี้ยงดู ทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความสุข แค่นี้ก็พอแล้ว

หรือว่าเราไม่ควรจะมีคำว่าพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา

หมอไม่เคยคิดว่าจะต้องนิยามคำว่าพ่อแม่ที่ดี แค่ติดกับคำว่าต้องเป็นพ่อแม่ที่ดี นี่ก็เป็นความทุกข์แล้วนะ แค่ต้องสงสัยว่าดีพอหรือยัง แค่นี้เรียกว่าดีไหม นี่เรียกว่าดีหรือเปล่า หมอว่ามันเป็นความทุกข์ของการเป็นพ่อแม่แล้วนะ

ที่สำคัญ ดีนี่มันต้องแลกกับอะไร คือเป็นคนดีมากๆ มันต้องแลกกับการไม่เป็นตัวเอง การต้องไม่ผิดพลาด ไม่ต้องหรอกเป็นพ่อแม่ธรรมดานี่แหละ เป็นพ่อแม่ที่ผิดพลาดได้ ทำไม่ถูกบ้าง มีงี่เง่า โมโห โกรธ ก็เป็นพ่อแม่ที่ปกติมนุษย์

พ่อแม่ที่ดีสำหรับหมอคือพ่อแม่ที่พัฒนาตัวเอง เป็นพ่อแม่ที่เรียนรู้ คอยประเมินตัวเองเสมอว่าเราโอเคหรือเปล่า ลูกโอเคไหม เรามีอะไรที่ต้องพัฒนา มีอะไรที่ต้องทำให้ดีขึ้น ให้เวลากับลูกเยอะพอหรือยัง หมอว่าพ่อแม่เหล่านี้คือพ่อแม่ที่ดีพอ

ความเป็นคนดี เป็นจิตวิทยาเชิงลบหรือเปล่า

มันเป็นเงื่อนไข มนุษย์ไม่มีใครดีทั้งหมด และไม่มีใครชั่วไปหมด มีดีไม่ดีผสมกัน แต่พอเราบอกว่าต้องดี ดีอะไร ดีแบบยุงไม่ตบหรือเปล่า มันก็มีคำว่าดีหลากหลายรูปแบบมาก ไม่มีใครดีพร้อม

เอาแค่ดีพอ แค่พัฒนาตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น กับตั้งใจจะเป็นกัลยาณมิตรของลูก คือ คนที่เอื้อเฟื้อต่อกันและไม่ทำร้ายกัน หมอว่าแค่นี้ดีพอแล้วนะ

แล้วคนที่คิดว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ดีมากแล้ว อันตรายไหม

ก็อันตรายเหมือนกันนะ พอเราคิดว่าเป็นพ่อแม่ที่ดีมากแล้ว มันก็จะไม่พัฒนาตัวเอง อะไรที่เราคิดว่าดีแล้ว พร้อมแล้ว เราก็ไม่หา ซึ่งมนุษย์ไม่มีใครเป็นอย่างนั้น มันไม่มีใครที่ดีพร้อม มันอาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่อย่าคิดว่าตัวเองดีพร้อมเลย

ที่สำคัญ ความเป็นมนุษย์เปลี่ยนแปลงเสมอ ความเป็นพ่อแม่ของเราวันนี้ ก็ไม่ใช่ความเป็นพ่อแม่ของเราเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หรืออาจไม่ใช่พ่อแม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความเป็นคนของเราเปลี่ยนแปลงเสมอเลย ดังนั้นถ้าเราไม่คอยที่จะตรวจตราตัวเองว่าเราเป็นยังไง 

หมอไม่เชื่อว่าพ่อแม่ควรรู้สึกว่าตัวเองดีแล้วและไม่พัฒนา พ่อแม่ควรประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา และไม่ต้องดีพร้อม

สงสยว่าในอนาคต จิตวิทยาการเลี้ยงลูกเชิงบวกจะต้องเปลี่ยนไปจากนี้อีกหรือไม่

คิดว่าหลักของจิตวิทยาเชิงบวกไม่เปลี่ยนเพราะอธิบายได้ด้วยการทำงานของสมองมนุษย์ ซึ่งไม่เปลี่ยน มันเป็นแบบนี้แหละ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ 2500 กว่าปีที่แล้วก็ไม่เปลี่ยน คือ ‘สติมาปัญญาเกิด’ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่ามันอธิบายได้ว่าเมื่อสมองส่วนอารมณ์ทำงาน สมองส่วนคิดปิดทำการ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด คือถ้าสติเสีย ปัญญาไม่เกิด มันไม่เคยเปลี่ยน

แต่การเลี้ยงลูกเป็นศิลปะ มันจะเปลี่ยนแค่รายละเอียดของหลัก วิธี เทคนิค เช่น ต่อไปเราอาจไม่ค่อยสื่อสารกันผ่านคำพูดแล้ว ผ่าน text แต่หลักมันไม่เปลี่ยนเพราะนี่เป็นหลักทางวิทยาศาสตร์ที่มันอธิบายได้ด้วยหลักการพัฒนาของสมองมนุษย์จริงๆ  

นอกจากใช้สื่อสารกับลูกแล้ว เราจะใช้จิตวิทยาเชิงบวกสื่อสารกันเองอย่างไร ให้ไม่เกิดบาดแผล

การสื่อสารเชิงบวกเป็นทักษะที่เราควรฝึก มีหลายแบบ เริ่มตั้งแต่ฟังให้เป็น พ่อแม่ส่วนใหญ่ฟังไม่ค่อยเป็น ลูกพูดอะไรมาก็เตรียมสอน เหมือนโดนโปรแกรมมาว่าพ่อแม่มีหน้าที่สั่งสอนลูก จริงๆ ไม่ใช่ พ่อแม่มีหน้าที่รับฟัง และตั้งคำถามเพื่อให้ลูกคิด ซึ่งการคิดจะผ่านกระบวนการทำให้สมองจดจำ 

เรื่องการสื่อสารที่ต้องใช้คำพูด กระทั่งการออกคำสั่ง จริงๆ สั่งยังไงให้ลูกทำโดยที่ไม่รู้สึกว่าถูกสั่ง เป็นศิลปะ และเป็นหลักที่ใช้วิทยาศาสตร์อธิบาย เช่น ไม่กระโดด คำว่า ห้าม อย่า ไม่ ฯลฯ คำเหล่านี้ทำให้สมองทำงานไม่รู้เรื่อง แต่มีเทคนิคสั่งอย่างอื่นทำให้เด็กร่วมมือได้ง่ายกว่า นี่เป็นศิลปะ

หรือการแสดงความคิดเห็นหรือคุยกับลูก บ้านเราชอบใช้คำพูดเชิงลบ หรือ U message “ทำไมไม่รับสาย” แต่จริงๆ ความหมายเหมือนกันกับคำว่า “แม่/พ่อโทรติดต่อลูกไม่ได้เลย” ฝรั่งจะพูดแบบ I message เยอะ แต่เราจะแบบ ทำไมกลับบ้านดึก ทำไมกลับบ้านเอาป่านนี้ จริงๆ เราเป็นห่วงนะ แต่ชอบพูดในสิ่งที่ blame คนอื่น ทำให้เกิดความเจ็บปวด ทำให้รู้สึกแย่ ซึ่งเป็นคำพูดติดปากจริงๆ

จริงๆ การสื่อสารที่ใช้ I message หรือคำพูดจากตัวเรา เช่น “แม่เป็นห่วงมากเลย เห็นลูกบอกว่าลูกจะกลับตอนสองทุ่ม เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก” ความหมายเดียวกันกับ “ทำไมกลับบ้านเอาป่านนี้” แต่พอสื่อสารคนละรูปแบบ ความรู้สึกต่างกัน ดังนั้นการสื่อสารเชิงบวกควรเป็นสิ่งที่ควรศึกษาเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์

ทุกคนใช้การสื่อสารแบบนี้ได้หมด จะฟังยังไงให้เหมือนเราฟังอยู่ จะพูดยังไงให้เขารับรู้สิ่งที่เรารู้สึก แบบที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกตำหนิ ต่อว่า สั่งยังไงให้เด็กอยากทำตามโดยที่ไม่รู้สึกกดดัน รำคาญ หงุดหงิดใจที่มีคนมาสั่งทุกวัน วันละเป็นพันครั้ง อันนี้ต้องเรียนรู้

จะมีวิธีอะไรบ้าง ที่ดูแลใจพ่อแม่ ไม่ให้รู้สึกผิดว่าฉันแย่ ดีไม่พอ เพราะทุกคนก็อยากเลี้ยงลูกเชิงบวก

หมอว่าก็มองเป็นมนุษย์ธรรมดา การคาดหวังว่าเราจะต้องเป็นพ่อแม่แบบนี้แบบนั้น มันทำให้เราเจ็บปวด แต่ถ้าเรามองตัวเองอย่างเข้าใจในความเป็นมนุษย์ธรรมดาของเรา

ที่หลายครั้งมีข้อจำกัด มีเวลากับลูกไม่เยอะ ซื้อของให้ลูกได้แค่นี้ มองสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นความธรรมดา มันก็เป็นแบบนี้แหละ และไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่เรามอบให้ลูก ความไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็น หลายครั้ง ก็เป็นจุดที่ทำให้ลูกพัฒนาไปได้ดีเหมือนกัน

เด็กที่อดใจอยู่กับความไม่ได้ อยากมีแล้วไม่ได้ ก็พัฒนาตัวตนในอีกรูปแบบหนึ่ง คือเข้าใจความเป็นมนุษย์ธรรมดาของตัวเองที่มีข้อจำกัดที่มีอารมณ์เป็นปกติ ที่จะหลุดปรี๊ด หลุดโมโห ใช้อารมณ์ เผลอตีได้ และให้อภัยตัวเอง

พ่อแม่ที่ไม่ให้อภัยตัวเองก้าวต่อยากมาก สิ่งที่ควรทำคือ กอดตัวเองว่าเราก็ธรรมดา เราก็ทำดีที่สุดแล้ว เราไม่เคยมีเจตนาไม่ดีกับลูกแต่เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีผิดมีพลาดแล้วก้าวต่อ อันนี้สำคัญคือการให้อภัยกับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง และอย่าคาดหวังว่าต้องสมบูรณ์แบบ เราเป็นพ่อแม่ปกติที่มีลูกประสบความสำเร็จและมีความสุขได้

พ่อแม่มัวไปแบกอะไรอยู่

แบกความคาดหวังไง ทั้งตัวเองและลูก ปู่ย่าตายาย โซเชียลด้วย เดี๋ยวนี้แค่ไม่มีเรื่องลูกโพสต์ในเฟซบุ๊คก็ทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรจะอวดเลย ต้องตั้งสติดีๆ เด็กไม่ได้เติบโตจากการที่พ่อแม่มีอะไรอวดบนเฟซบุ๊ค แต่เด็กเติบโตได้ดีเพราะพ่อแม่มีเวลาคุณภาพให้ พ่อแม่ฝึกวินัยเชิงบวก พ่อแม่สอน พาเล่นทำกิจกรรม หาประสบการณ์ที่สร้าง EF หมอว่าเท่านี้พอแล้ว

Tags:

วินัยเชิงบวกโซเชียลมีเดียพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรความปลอดภัยไซเบอร์พ่อแม่จิตวิทยา

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Early childhood
    5 วิธี ลบคำพูดร้ายในใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    ทำไมพ่อกับแม่ถึงชอบแชร์เรื่องของหนู?

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่
EF (executive function)
12 March 2019

อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้ แปล เก็บความ ตัดทอน ตีความ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียง คือ

Yogman M, Garner A, Hutchinson J, et al; AAP COMMITTEE ON PSYCHOSOCIAL ASPECTS OF CHILD AND FAMILY HEALTH, AAP COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children. Pediatrics. 2018;142(3):e20182058

ตอนนี้เป็นตอนจบ

ในตอนท้ายของบทความชิ้นนี้บอกว่าทั่วโลกกำลังประสบชะตาเดียวกัน มิจำเพาะบ้านเรา

ครอบครัวทุกวันนี้เผชิญความกดดันจากเรื่อง ‘ความสำเร็จ’ และเชื่อว่าความสำเร็จของชีวิตเกิดจากการรีบเข้าโรงเรียนดีๆ มีการบ้านมากๆ อ่านออกเขียนได้คิดเลขได้เร็วๆ มีการสอบมากๆ คะแนนสอบดีๆ เข้าสู่โรงเรียนมัธยมที่ดีกว่า ตามด้วยมหาวิทยาลัยที่ดีกว่า นำไปสู่การงานที่มั่นคงกว่า ร่ำรวยกว่าและเครือข่ายทางสังคมที่สูงกว่า

ความคาดหวังเหล่านี้นำมาซึ่งความเครียด เป็นความเครียดที่เสาะหามาเองเพื่อกดดันตนเอง ความต้องการเหล่านี้นำมาซึ่งเวลาที่เด็กได้เล่นโดยอิสระลดลง เวลากินข้าวร่วมกับครอบครัวลดลง และการอ่านนิทานก่อนนอนลดลง

อาจจะมีพ่อแม่ที่ไม่อยากจะทำกับลูกแบบนี้ แต่เมื่อเห็นเพื่อนบ้านส่งลูกไปเรียน เพื่อนที่ทำงานส่งลูกไปติว ญาติผู้ใหญ่พร่ำเตือนว่าลูกจะไม่ทันคนอื่น ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นเอาชนะความไม่มั่นคงที่มีอยู่ก่อนแล้ว สุดท้ายทุกๆ คนก็ส่งลูกไปเรียนตั้งแต่เล็กๆ แล้วบ้านก็เต็มไปด้วยการบ้านในที่สุด

ไม่ได้เล่น ไม่ได้กินข้าวกับพ่อแม่ และไม่มีนิทานก่อนนอน

โทรทัศน์ เกม สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต เพิ่มปริมาณเวลาที่เด็กอยู่กับตัวเองมากขึ้น เรียกว่า passive play แย่งเวลาที่เด็กได้เล่นในสนามหรือเล่นกับพ่อแม่มากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า active free play การเรียนรู้ที่แท้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับมนุษย์มากกว่าเด็กกับเครื่องจักร แต่แล้วพ่อแม่ที่ไม่มั่นคงก็จะเริ่มหวั่นใจว่าลูกของตนขาดโอกาสอะไรไปหรือไม่ ดูลูกเพื่อนบ้านหรือลูกของเพื่อนที่ทำงานเขาใช้เครื่องมือไอทีคล่องแคล่ว พูดภาษาอิเล็กทรอนิกส์ และมีของเล่นเกี่ยวกับเกมมากมายในขณะที่ลูกของเราเอาแต่ปีนป่ายต้นไม้ ความรู้สึกผิดนี้ทำให้พ่อแม่ที่ไม่มั่นคงอยู่ก่อนแล้วอดซื้อเครื่องเล่นอิเล็คทรอนิกส์หรือเกมคอมพิวเตอร์เข้าบ้านไม่ได้

และหลงเชื่อว่าคลิปดีๆ มีประโยชน์มากกว่าสนามดีๆ

มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเด็กที่เล่นบล็อคไม้มีพัฒนาการด้านภาษาและทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่าเด็กที่ดูเทปเบบี้ไอนสไตน์

ปัญหาเรื่องการเล่นในสนามโดยอิสระนี้เป็นประเด็นความเหลื่อมล้ำด้วยดังที่ทราบกัน ครอบครัวที่ยากจนกว่าอาศัยอยู่ในย่านที่เป็นอันตรายมากกว่ากลับจะยอมลงทุนซื้อเกมคอมพิวเตอร์ให้ลูกเล่นมากกว่าที่จะปล่อยเด็กๆ ออกไปในสนาม นั่นยิ่งเท่ากับทำให้ความฉลาดรอบด้านของเด็กๆ ลดลงไปอีกส่งผลต่ออนาคตที่ยากจนหนักขึ้นอีก นอกเหนือจากที่เด็กเล่นเกมมักนำไปสู่โรคอ้วนมากกว่าเด็กเล่นในสนามอีกด้วย

ครอบครัวจำนวนมากไม่รู้จริงๆ ว่าของเล่นที่สำคัญและมีคุณค่าสูงสำหรับพัฒนาการด้านการคิดของเด็กคือบล็อคไม้ ดินน้ำมัน ชุดวาดเขียน วัสดุเหลือใช้ที่นำมาเล่นบทบาทสมมติ หรือลูกบอลสักลูกหนึ่ง มิใช่ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์หรือเกม

นอกจากนี้การเล่นกับพ่อแม่บนพื้นดินหรือในสนามมีประโยชน์มากกว่าการเล่นเกมด้วยกันโดยหันหน้าไปทางจอเดียวกัน แม้ทั้งสองอย่างจะอ้างว่าเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ก็ตาม

พ่อแม่ทำงานมากขึ้น พื้นที่เล่นที่ปลอดภัยลดลง ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์และเกมคอมพิวเตอร์ที่มากขึ้น คลิปเสริมสร้างพัฒนาการที่วางขายมากขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กๆ มีโอกาสเล่นจริงๆ น้อยลงอย่างมากในหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้เด็กไม่พร้อมเข้าสู่สังคมอย่างแท้จริง มีโรคทางกายแทรกซ้อนนานาประการ และเสียหายต่อ executive function (EF)

มีคำพูดให้ได้ยินเสมอว่ารีบไปโรงเรียนเพื่อไปเข้าสังคม แต่สังคมที่ว่านั้นมีนิยามแคบๆ เพียงว่าให้อยู่ในกรอบของระเบียบโรงเรียนหรือระเบียบสังคมที่กำหนด แต่ไม่มี ความยืดหยุ่น (resiliency) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากกว่าของการเข้าสังคม

มากกว่านี้คือไม่มีใครเชื่อว่าการเล่นช่วยเพิ่ม executive function (EF) พัฒนาการด้านภาษา และความสามารถทางคณิตศาสตร์สูงกว่า

ดีที่สุดคือการเล่นเป็นการเปิดวาล์วนิรภัย ระบายความกดดันออกไปจากใจเด็ก ระบายพลังที่ล้นเกิน เป็นท่อระบายของเสียที่เด็กได้รับมาในแต่ละวัน

เวลาพบปัญหาพฤติกรรมเด็ก อย่างไม่รู้อะไรเลย คือพาเด็กออกไปเล่น อะไรๆ จะดีเอง

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการเล่น

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์
Education trend
8 March 2019

เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • คุณสมบัติหนึ่งที่นายจ้างมองหาคือ Empathy หรือความเข้าใจผู้อื่น
  • นอกจากความฉลาดทางปัญญาแล้ว ณ ปัจจุบันและอนาคต คุณสมบัติที่สำคัญกว่าคือ ความฉลาดทางอารมณ์
  • เพราะความฉลาดอย่างแรก หุ่นยนต์วิ่งไล่เรามาติดๆ บางอย่างก็วิ่งแซงด้วยซ้ำ แต่ความฉลาดอย่างหลัง ซับซ้อนเกินกว่าเครื่องจักรกลใดๆ จะเลียนแบบได้

ทำไมความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นคุณสมบัติจำเป็นที่ต้องมีในศตวรรษที่ 21?

เราคงได้ยิน ได้อ่าน ได้รับรู้มาระดับหนึ่งแล้วว่า ‘ฉลาดความรู้’ อย่างเดียว ก็อาจเอาตัวไม่รอดในยุคดิจิทัล ยุคเทคโนโลยีอัตโนมัติ หรือยุคหุ่นยนต์สมัยใหม่นี้

จอช คอบ์บ (Josh Cobb) ครูใหญ่กราแลนด์คันทรีเดย์สคูล (Graland Country Day School) เล่าในบทความ ‘Beyond Emoticons’ ของเขาว่า ครั้งหนึ่ง อลัน โนแวมเบอร์ (Alan November) ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีและการศึกษา เอ่ยถาม ซีอีโอของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งว่า

อะไรเป็นคุณลักษณะสำคัญที่คุณจะมองหาในตัวลูกจ้าง?

ซีอีโอ ท่านนั้นตอบเพียงสั้น  ๆ คำเดียวว่า Empathy

Empathy หรือ ทักษะการเข้าใจผู้อื่น ในทางปฏิบัติคือ ‘การเอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เป็นความสามารถของแต่ละคนในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้งและเข้าใจแบบหยั่งถึง จากมุมมองที่เขาใช้มองสิ่งต่างๆ หรืออาจจะบอกว่าเป็นคนที่อ่านความรู้สึกของคนอื่นออก (emotionally reading) และสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดีในแต่ละสถานการณ์ (tuning in)

ไม่ใช่แค่ซีอีโอท่านนั้น ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไหวพริบ (resourcefulness) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (problem solving ) และ การวิเคราะห์ข้อมูล (information analysis) เป็นคุณลักษณะที่จำเป็นมากในโลกยุคใหม่ รวมทั้ง ทักษะการสื่อสาร (communication) การทำงานร่วมกัน (collaboration) การคิดวิเคราะห์ (critical thinking) และความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความฉลาดทางปัญญาและทางอารมณ์

ยกตัวอย่างเช่น ความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ต้องอาศัยการเข้าใจผู้อื่น (empathy) ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ งานคิดออกแบบสร้างสรรค์ต้องอาศัยการเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งเพื่อให้ผลิต

นวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและตรงตามความต้องการ เพราะฉะนั้นในกระบวนการออกแบบ การมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า หรือเข้าใจปัญหาที่มีอยู่ เป็นกระบวนการที่ควรเกิดขึ้นก่อนการระดมความคิด และลงมือสร้างชิ้นงาน

ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งนักเรียนของกราแลนด์ได้ออกแบบเครื่องซักผ้าที่ทำงานโดยใช้แรงโน้มถ่วงแทนไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ที่อาศัยอยู่ในชนบทในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งยังไม่มีไฟฟ้าใช้

เห็นได้ว่าคุณลักษณะทั้งหมดที่ว่ามานั้นไม่ได้เกี่ยวกับความรู้ความสามารถอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับความฉลาดในการจัดการอารมณ์ หรือ Emotional Intelligence ด้วย

ในเมื่อคุณลักษณะเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เราจะสอนเรื่องการเอาใจเขามาใส่ใจเราได้อย่างไร? ครูจะสอนให้นักเรียนเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นอย่างลึกซึ้งได้จริงหรือ? แล้วเราจะสร้างให้เด็กและเยาวชนมีความฉลาดในการจัดการอารมณ์ด้วยวิธีการไหน?

ก่อนจะไปถึงวิธีการ เรามาทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันอีกสักหน่อยว่า ทำไมความฉลาดทางอารมณ์จึงสำคัญ

ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) และผู้เขียนหนังสือ “The Second Machine Age: Work, Progress, and Prosperity in a Time of Brilliant Technologies” อิริค บรินโอล์ฟซัน (Erik Brynjolfsson) และ  แอนดริว แมคเอฟี (Andrew McAfee) กล่าวถึง ยุคหุ่นยนต์ยุคที่ 2 (second machine age) ว่า ยุคนี้เป็นยุคที่หุ่นยนต์เริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองและพัฒนาขีดความสามารถของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งเข้าทำงานแทนแรงงานมนุษย์ในหลายส่วนที่แตกต่างกันมากขึ้น

แล้วมีอะไรบ้างที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้ แต่มนุษย์อย่างเราทำได้และยังพอมีประโยชน์อยู่?

ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ความชำนาญกระฉับกระเฉง (dexterity) และความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคคล (interpersonal intelligence) เป็นทักษะที่มนุษย์เอาอยู่ ทั้งด้านอารมณ์ ความสัมพันธ์ การเอาใจใส่ดูแล การโคช การกระตุ้น การเป็นผู้นำและอื่น ๆ  

เช่นเดียวกับที่ โทมัส เอช. ดาเวนพอร์ท (Thomas H. Davenport) และ จูเลีย เคอร์บี้ (Julia Kirby) เขียนไว้ใน “Beyond Automation” ว่า มนุษย์ยุคอัตโนมัติจะต้องรู้วิธีการทำงานกับผู้อื่น (interpersonal intelligence) รวมทั้งรู้และเข้าใจความสนใจ (interests) เป้าหมาย (goals) และจุดแข็งของตัวเอง (strengths) หรือเรียกว่า intrapersonal intelligence

กลับมาที่เรื่องวิธีการ เมื่อความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็น แล้วโรงเรียนทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้มากกว่าแค่ความรู้

ที่กราแลนด์ พวกเขาเริ่มจากการจัดสรรเวลา 20 นาทีทุกวันให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสำหรับการให้คำปรึกษาแนะนำ และมีห้องเรียนที่ตอบสนอง (Responsive Classroom) ทุกเช้าสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา จากการลองผิดลองถูกในช่วงต้น ในที่สุดกราแลนด์ได้กำหนดช่วงเวลา 08:10 – 08:30 ช่วงเช้าทุกวันก่อนเริ่มบทเรียนให้เป็นเวลาสำหรับห้องเรียนที่ตอบสนองสำหรับชั้นประถมศึกษาและเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Developmental Designs หรือ การพัฒนาการออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ครูทุกคนจะได้เข้ารับการอบรมเพื่อเรียนรู้วิธีการโค้ชนักเรียน

ห้องเรียนที่ตอบสนองและการพัฒนาการออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ (The Responsive Classroom and Developmental Designs) คืออะไร?

คอบ์บ บอกว่า ทั้งสองอย่างมีความสำคัญต่อการสร้างการเรียนรู้ พวกเขานำการปฏิบัติอิงหลักฐาน (evidence-based programs) มาช่วยสร้างการเติบโตให้เด็ก ทั้งทางสังคม อารมณ์ และด้านวิชาการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและปรับปรุงบรรยากาศภายในโรงเรียนให้ส่งเสริมการเรียนรู้

การพัฒนาห้องเรียนที่ตอบสนองมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบหลัก 4 ประการของการศึกษาระดับประถมศึกษา

  1. การมีส่วนร่วมทางวิชาการ (Engaging Academics)
  2. ชุมชนเชิงบวกในห้องเรียน (Positive Community)
  3. การจัดการที่มีประสิทธิภาพ (Effective Management)
  4. การติดตามพัฒนาการของเด็ก (Development Awareness)

ส่วนการพัฒนาการออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะตัวเอง  3 ด้าน ได้แก่

  1. สังคมและอารมณ์ (Social – Emotional)
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียน และภายในโรงเรียน (Relationship and Community)
  3. วิชาการ (Academic)

โรงเรียนหลายแห่งกำลังเปลี่ยนวิธีการสอนเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางวิชาการและทางอารมณ์ไปด้วยกัน ในบทความ“ Power Down or Power Up?” การศึกษาที่จำเป็นสำหรับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โนแวมเบอร์ ย้ำว่า ผู้ใหญ่มักบอกเสมอว่าเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตของสังคมและประเทศชาติ เด็กและเยาวชนจะทำแบบนั้นได้ ผู้ใหญ่ต้องเป็นคนหนุนเสริมเครื่องมือและประสบการณ์ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อโรงเรียนมีวัฒนธรรมการสอนที่สร้างการเรียนรู้โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วม ยกตัวอย่างเช่น ให้นักเรียนมีส่วนช่วยคิดออกแบบหลักสูตร ระบุเรื่องที่นักเรียนสนใจอยากเรียนรู้จากความต้องการของนักเรียนเอง เป็นต้น

ในบทความ “Rethinking Curriculum for the 21st Century อาร์เทอร์ คอสตา (Arthur Costa) และ เบนา คาลลิค (Bena Kallick) กล่าวไว้ถึง 3 ข้อคิดในวิถีการเรียนการสอนแบบใหม่ ว่า โรงเรียนต้องสร้างวิถีการเรียนรู้ด้วยวิธีคิดใหม่

หนึ่ง จากการเรียนรู้เพื่อหาคำตอบ เปลี่ยนมาเป็นเรียนรู้ว่าควรคิดหรือทำอย่างไรเมื่อคำตอบคลุมเครือไม่ชัดเจน

สอง จากการสื่อความหมายในสิ่งที่เรียนรู้เพียงอย่างเดียว มาเป็นการต่อเติมสร้างความหมาย

และ สาม จากการประเมินโดยคนนอกมาเป็นการประเมินด้วยตัวเอง

ไม่ว่าโลกจะเดินทางไปในทิศทางไหน สิ่งที่พ่อแม่ โรงเรียนและผู้ใหญ่ทำได้ คือ การเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนมีทักษะการเอาตัวรอดที่เป็นประโยชน์ติดตัวไปใช้ในอนาคต เมื่อความรู้อย่างเดียวไม่ใช่ทางออก ผู้ใหญ่จึงต้องช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ให้พวกเขาด้วย อย่างที่ แฟรงคลิน ดี. โรสเวลส์ (Franklin D. Roosevelt) อตีดประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บอกว่า

“เราไม่สามารถสร้างอนาคตให้ลูกหลานของเราได้เสมอไป แต่เราสามารถสร้างลูกหลานของเราให้มีความพร้อมสำหรับอนาคตได้”

“We cannot always build a future for our youth, but we can always build our youth for the future.”

หมายเหตุ

กราแลนด์คันทรีเดย์สคูล (Graland Country Day School) เป็นโรงเรียนเอกชนในเดนเวอร์ (Denver) รัฐโคโลราโด (Colorado) เปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อตั้งขึ้นในปี 2467 โดยผสมผสานวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย

Tags:

AI21st Century skillsนวัตกรรมความเข้าอกเข้าใจ(empathy)โซเชียลมีเดียพัฒนาการทางอารมณ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • what-about-me-effect-nologo
    How to enjoy lifeSocial Issues
    ‘What About Me Effect’ แค่ถามหรือเรียกร้องความสนใจ ปรากฎการณ์ปัจเจกนิยมเกินเหตุในโซเชียลมีเดีย

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เปลี่ยนสถานการณ์รอบตัวให้เป็นห้องเรียนรู้แสนสนุก กับครอบครัวเพอร์เฟกท์ฮาร์โมนี

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม
Social Issues
7 March 2019

SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ชวนสำรวจ ‘นโยบายด้านเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่’ ชาติพัฒนา ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และอนาคตใหม่ ไปดูว่าแต่ละมองเห็นและให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาอย่างไร และงัดนโยบายแบบไหนบ้าง ออกมาต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้

Tags:

วัยรุ่นพลเมืองประชาธิปไตยการเลือกตั้ง

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ
Space
7 March 2019

มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • หนึ่งในกลุ่มงานศิลปะที่จัดแสดงในงาน Open Space Full@Empty #2 ณ ESC-Empty Space Chiang Mai คือละครหุ่นทั้งไร้เสียงและมีเสียง สุนทรียะที่พร้อมกระตุกต่อมจินตนาการทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่นับเอกลักษณ์ของละครที่พร้อมจะกระตุกต่อมคิดประเด็นทางสังคมไปในเนื้อในตัว
  • ท่ามกลางศิลปะหลายแขนงที่จัดแสดง The Potential หยิบละครหุ่นและละครเวทีมาเล่าให้ฟัง คือ กูจี กูจี โดย ยอด-เจริญพงศ์ ชูเลิศ, The Present โดย กลุ่ม Homemade Puppet & กลุ่ม Plasticity, From Lifeless to Life: When Masks Give Life สองเรื่องหลังเล่าสถานการณ์โลกอย่าง Environment Literacy อย่างเฉียบขาด
ภาพ: ปุณิกา พุณพาณิชย์

โลกการเรียนรู้ของสุนทรียศาสตร์มักเริ่มจาก ‘ความว่าง’ เช่นเดียวกับศิลปินนักการละคร ที่มอบพื้นที่ว่างให้กับคนดูก่อนแสดงเสมอ ทั้งเวทีที่ว่างเปล่า มืดสนิท ความเงียบงันบนเวที เหล่านี้ตั้งใจสร้างความว่างเปล่าให้เกิดขึ้น เป็นการทำงานกับความนิ่ง เงียบ สมาธิ เพื่อตั้งหลักคนดูก่อนเริ่มสร้างสรรค์การแสดง

เมื่อความพร้อมอันรู้กันของทั้งผู้แสดงและผู้ชมเกิดขึ้น ความเคลื่อนไหวปรากฏบนเวทีทั้งภาพ แสง สี เสียง กลิ่น การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก องค์ประกอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเวทีละคร ณ ขณะการเติมเต็มพื้นที่ว่างนั้น ล้วนสร้างความหมายกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้ชมอย่างไม่รู้จบ นั่นคือมนตราการเรียนรู้ (magic of learning) ผ่านความงามของศิลปะ ซึ่งนำไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของการเรียนรู้มากมายที่ผู้สร้างสรรค์ค้นพบคุณค่าของการเรียนรู้รูปแบบนี้มาชั่วอายุคน และไม่จำกัดเพียงการละครเท่านั้น แต่เป็นแก่นแกนของการเรียนรู้ผ่านศิลปะทุกแขนง

การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลาสั้นๆ ขณะที่คนดูมีประสบการณ์ส่วนตัวกับศิลปะ ช่างเรียบง่าย ผุดบังเกิดความสร้างสรรค์จากความว่างนี้ และอาจมีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยถ้าความลึกซึ้งสามารถสร้างคุณค่าร่วมที่ผู้คนล้วนพร้อมเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมร่วมกัน

The potential มีโอกาสตามรอยการเรียนรู้ของเด็กๆ เยาวชน พ่อแม่ คุณครู นักศึกษา ศิลปินนักการละครจากหลากหลายประเทศ รวมทั้งคนทำงานพัฒนาเยาวชนผ่านงานศิลปะหลากหลายรูปแบบที่มาเรียนรู้ร่วมกัน ณ ชุมชนทางศิลปะ เอ็มพ์ตี้สเปซ เชียงใหม่ (ESC-Empty Space Chiangmai) พื้นที่สำหรับวิถีชีวิต ศิลปะ และการศึกษา (Space for Life, Arts and Education) ซึ่งกำลังจัดงาน Open Space Full@Empty #2* เมื่อวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา

ละครหุ่นแห่งความเงียบ: ปฏิบัติการจินตนาการโดยไร้เสียงสั่งการ

ไฮไลท์ของงานอยู่ที่ช่วงค่ำ คืนนี้พวกเรารวมตัวกันอยู่ที่โรงละครไม้เล็กๆ ที่จุผู้คนราว 50-60 คนภายในเอ็มพ์ตี้สเปซ เชียงใหม่ แสงไฟส่องสว่างภายในโรงละครทำให้มองเห็นนิทรรศการภาพถ่ายผลงานฉากละครของ มานูเอล ลุทเกนฮอสท์ จัดวางอยู่รอบโรงละคร เสียงซุบซิบเล็กๆ ของเด็กๆ ดังลอดออกมาจากโรงละคร ซึ่งขณะนั้นยังคงเงียบ มืด และ ว่างเปล่า เหมือนตื่นเต้นที่จะได้ชมผลงานการแสดงที่พวกเขารอคอย  

เมื่อไฟโรงละครสว่างขึ้นกลางเวที ตัวละครชายในชุดสีแดงปรากฏขึ้น เราเห็นนักแสดงเชิดหุ่นสายพม่ายืนอยู่เบื้องบน เส้นเชือกที่โยงมายังส่วนต่างๆ ของหุ่น ทำให้เราจดจ้องไปที่หุ่นละครขนาดเพียงหัวเข่าของนักแสดง เมื่อดนตรีดังขึ้น หุ่นเริ่มขยับมีชีวิตชีวา เด็กๆ ต่างตื่นเต้นที่ได้ชมการแสดงโหมโรงที่น่าอัศจรรย์นี้ เพราะหุ่นมีชีวิต ขยับขา ขยับมือ ร่ายรำตามจังหวะทำนองได้อย่างงดงาม เราสังเกตว่าเด็กๆ จ้องตาเขม็ง สายตาในฐานะโสตประสาทสำคัญที่ใช้เพื่อรับสุนทรียะความงดงามของสี แสง เพื่อค้นหา ‘ความหมายภายใต้ความว่าง’ การเปิดการแสดงด้วยละครหุ่น ราวกับฝึกความจดจ่อและรับรสความงามผ่านสายตา และการตีความหมายการเคลื่อนไหวของหุ่นละครในทิศทางต่างๆ ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์โดยไร้เสียงสั่งการ

‘กูจี กูจี’ ละครหุ่น (ไม่เงียบ) ที่เด็กๆ ช่วยส่งเสียงหาคำตอบ

ละครเรื่องต่อมา คือละครหุ่นเงาดัดแปลงจากนิทาน เรื่อง ‘กูจี กูจี (Guji Guji)’ เรื่องและภาพโดย เฉิน จื้อหยวน สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก โดย ยอด-เจริญพงศ์ ชูเลิศ ศิลปินและนักกิจกรรมพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านงานศิลปะ นำมาจัดแสดงในวันนี้  

“ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา จมูกยาวๆ เรียกว่างวง มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา มีหู มีตา หางยาว” คือ เพลงที่พี่ยอดชวนเด็กๆ ร้อง ก่อนเริ่มแสดง ละครเรื่องนี้ไม่ได้เล่นเรื่องช้าง แต่เล่าเรื่อง ‘กูจี กูจี’ ซึ่ง ‘กูจี กูจี’ เป็นอะไรนั้น เป็นคำถามที่ตั้งไว้ให้เด็กๆ ได้รอคอยค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

การแสดงหุ่นเงาในกล่องผ้าเล็กๆ สีขาวที่วางตั้งคอยอยู่บนเวที ในความเงียบและไฟที่ดับมืดของโรงละคร เมื่อไฟในจอหุ่นเงาฉายขึ้น เรามองเห็นเงารูปไข่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาที่ละใบ พี่ยอดชวนเด็กนับไข่ทีละใบ จนครบ 3 ใบ ก่อนที่จะมีไข่ใบหนึ่งกลิ้งตกลงมาจากภูเขามาอยู่ในรังไข่เป็ดและแตกออกเป็น ‘เป็ดน้อย’ 3 ตัว

แต่ตัวสุดท้ายไม่ใช่เป็ด “นี่มันไดโนเสาร์!” เด็กๆ ตะโกนโต้ตอบ ขณะที่พี่ยอดบอกว่า นี่คือ ‘กูจี กูจี’ แม่เป็ดและพี่น้องเป็ดต่างรักและฟูมฟักลูกน้อยตัวนี้ ทำให้ ‘กูจี กูจี’ เติบโตมาอย่างเป็ดตัวหนึ่ง

วันหนึ่ง ‘กูจี กูจี’ พบสัตว์ที่รูปร่างเหมือนตัวเอง และค้นพบว่าที่จริงแล้วตัวเองไม่ได้เป็น ‘เป็ด’ แต่เป็น ‘จระเข้’ และโดนโน้มน้าวให้พาพี่น้องเป็ดมาให้ฝูงจระเข้กิน ขณะที่ ‘กูจี กูจี’ รู้สึกสับสนมากที่ตัวเองไม่ใช่ ‘เป็ด’ เขามองเงาตัวเองในน้ำ แล้วลองทำท่าน่ากลัวแบบจระเข้ ด้วยความน่ารักของมันทำให้เงานั้นดูตลกมากจนต้องขำตัวเอง

‘กูจี กูจี’ ขบคิดและพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่ใช่จระเข้ แล้วก็ไม่ใช่เป็ด แต่ฉันเป็นจระเป็ดต่างหาก” คิดได้ดังนั้น ‘กูจี กูจี’ จึงไม่หลงไปกับคำหลอกล่อของเจ้าจระเข้ แม้ว่าจะรูปร่างหน้าตาดุร้าย แต่ก็ยืนยันตัวตนของตัวเอง ในคุณค่าความดีงามภายใน ที่รักเพื่อน พี่น้อง ไม่อาจทำร้ายทุกคนได้

ระหว่างดูหุ่นเงา เราได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นตลอด ทั้งยังสามารถส่งเสียงความคิดในหัวโต้ตอบได้อย่างอิสระ

หลังละครจบลง พี่ๆ ถามว่าทำไม ‘กูจี กูจี’ รู้ตัวว่าเป็นจระเข้ถึงไม่กินลูกเป็ด “กูจี กูจีน่ากลัวไหม” “ทำไม กูจี กูจี ถึงเป็นจระเป็ด” คำตอบมากมายต่างพรั่งพรู

เราเชื่อว่าความเป็นไปได้ในโลกของการเรียนรู้ผ่านละคร การกล้าส่งเสียงอย่างไม่มีผิดไม่มีถูก ทำให้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ที่มาดูทำงานได้อย่างเต็มที่ และนี่เป็นการเรียนรู้ที่หาได้ยากจากวิธีการเรียนการสอนแบบอื่นๆ

The Present: ละครหุ่นเงาไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น แต่ดูจบแล้วเด็กๆ อยากเอามาส์คปิดปากกันฝุ่นควัน

ละครหุ่นเงาเรื่องถัดมามีฉากเป็นผ้าสีขาวขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์ฉายเงาวางอยู่หน้าเวที ชวนให้เด็กๆ อยากรู้ว่าละครเรื่องนี้จะสร้างความอัศจรรย์อย่างไร และละครเรื่องนี้คือ The Present ละครหุ่นเงา โดยกลุ่ม Homemade Puppet & กลุ่ม Plasticity เป็นความร่วมมือระหว่างศิลปินชาวไทย สุธารัตน์ สินนอง และกลุ่ม Plasticcity ศิลปินชาวมาเลเซีย ที่เตรียมสร้างสรรค์ละครเรื่องนี้ไปแสดง ณ Performing Arts Centre of Penang (penangpac) เมืองจอร์จทาวน์ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 8-10 มีนาคม 2562 นี้

The Present เล่าเรื่องผ่านเงา ภาพ และเสียง โดยไม่มีบทพูด เอื้อให้เด็กๆ และผู้ชมใช้ความคิดและจินตนาการได้อย่างเต็มที่ ในความมืดของแผ่นจอไม่นาน เราเห็นแสงเงาปรากฏบนจอเป็นสีและรูปทรงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงฉายไฟพาดผ่านวัตถุหน้าเวที ทั้งกระดาษตัด ถังน้ำพลาสติกใส ขวดแก้ว กระดาษแก้ว และอื่นๆ จินตนาการให้เราเห็นตึกสูงระฟ้าและเมืองใหญ่ เมื่อไฟดับลงอีกครั้ง จอภาพด้านหลังปรากฏภาพ ‘เด็กชาย’ คนหนึ่งสวมหน้ากากช่วยหายใจกระโดดโลดเล่นอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ทำให้เราครุ่นคิดมากขึ้นว่าเพราะอะไรเด็กชายคนนี้ถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและเล่นอยู่เพียงลำพังในห้องแคบๆ ไปไหนไม่ได้? และนั่นทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดไปด้วย

ทันใดนั้นมีแสงไฟเล็กๆ สีเขียวเข้ามาในห้อง ดั่งของขวัญที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กชายรีบคว้าจุดเล็กๆ นั้นไว้

ฉับพลันมหัศจรรย์เริ่มเกิดขึ้น เด็กชายหลุดเข้าไปในมิติลึกลับ ดำดิ่งลึกไปใต้น้ำสีฟ้าคราม เขาท่องเที่ยวไปในมหาสมุทรที่มีแต่ปะการัง ปลาประหลาด ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ จนพบวาฬตัวมหึมาที่ทำให้เด็กๆ ผู้ชมต่างร้อง ว้าว! พร้อมๆ กัน เพราะแสงเงาที่เป็นคลื่นสะท้อนมายังจอภาพสวยมาก… แต่ความงามกลับมีไม่นานนัก ในฉากพาเราไปให้เห็นโรงงานกลั่นน้ำมันกลางทะเล โรงงานอุตสาหกรรมหนัก ที่ต่างปล่อยของเสียและสร้างคลื่นโซน่าที่รบกวนเหล่าปลาน้อยใหญ่ วาฬตัวโตที่เด็กๆ เห็นและชื่นชอบต่างลอยตาย เด็กชายหลุดเข้าไปในโรงงานอย่างทุลักทุเล

ภาพตัดมาฉากที่เด็กชายเดินทางมาถึงป่าใหญ่เขียวขจี เขาได้วิ่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่ เล่นกับสัตว์ต่างๆ ทั้งกระต่ายน้อย ช้าง นก ลิง แต่ไม่ทันไร ป่าก็เริ่มถูกเผาไหม้ เหมือนเป็นเศษไม้ที่ถูกกวาดออกไปโดยไม่เห็นค่า เพื่อสร้างตึกสูงใหญ่ ฝุ่นลอยคลุ้ง ทำให้เด็กชายต้องสวมหน้ากาก สถานการณ์นี้เองที่ต่อมาอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็นภาพว่าเด็กชายต้องอยู่ในโลกของขวดใส ถูกปิดฝาไว้เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดได้

ละครหุ่นเงาจบลงด้วยภาพเด็กชายสวมหน้ากาก เสียงหายใจแผ่วเบาผ่านเครื่องสูดอากาศอันอึดอัดกับโลกใบแคบที่เขาอาศัยอยู่ ชวนให้นึกถึงโลกอนาคตที่เรามีโอกาสจะเป็นแบบนั้น เด็กชายที่ได้มีโอกาสเข้าไปในจินตนาการของโลกอันมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ในอดีต กลับต้องอาศัยอยู่ในขวดแก้วที่มีเพียงอากาศอันน้อยนิด กับกองหนังสือ โต๊ะหน้าต่างบางส่วนที่เขาใช้เพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่มีแม้แต่ต้นไม้ สัตว์ป่า แม่น้ำ มหาสมุทร

เหมือนละครกำลังตั้งคำถามแรงๆ กับผู้ชมทุกคนว่า “เราควรจะทำอย่างไรเพื่อรักษาโลกอันงดงามใบนี้ไว้?”

ละครกำลังเอาเรื่องยากให้เด็กๆ ได้ขบคิด ใช้วิจารณญาณ แต่ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะวันนี้อากาศที่เชียงใหม่กำลังเป็นพิษ หลักฐานคือสัญลักษณ์สีแดงในดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI)  สาเหตุที่ทุกคนรู้ว่าเกิดจากการเผาไหม้จากท่อไอเสียยานพาหนะ ไฟป่า และอุตสาหกรรม

หลายคนในวันนี้ต้องใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นไม่ต่างจากตัวละครในเรื่อง The Present แม้เป็นเรื่องยากแต่กลับให้ ‘ของขวัญ’ กับพวกเรา นั่นคือการตระหนักรู้ถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ปลุกให้เราตื่นขึ้นเพื่อร่วมคิดหาทางออกและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยไม่นิ่งเฉย ให้เราได้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่อื่นๆ ทั้งในป่า แม่น้ำ และมหาสมุทร

ศิลปะ ในความเงียบที่เด็กๆ นั่งดู พร้อมเสียงร้องว้าวกับความตื่นตาตื่นใจในแสงเงานั้น กลับมี “ความคิดและกระบวนการทางปัญญา” ที่ทำงานอยู่ผ่านความรู้สึกสัมผัส โดยที่เราแทบไม่รู้ตัว และนี่คือเทคนิคทางศิลปะในการเล่าเรื่องยากให้ง่ายงาม และน่าติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง เป็นการทำงานที่แยบยลกว่าการเรียนรู้ผ่านรูปแบบอื่นๆ เช่น การสอนสั่ง

From Lifeless to Life: When Masks Give Life: ละครหุ่นที่มีพลาสติกเต็มเวที

ไม่รอช้าการจัดวางละครชุดสุดท้ายของวันนี้เหมือนจงใจเป็นละครที่แสดงในประเด็น Environmental Literacy ต่อเนื่องจากละครหุ่นเงา เป็นละครหน้ากาก เรื่อง From Lifeless to Life: When Masks Give Life ผลงานจากนักศึกษาสาขาดนตรีและการแสดง คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับการอบรมจาก Gallis As ศิลปินชาวอินโดนีเซีย

ตัวละครหน้าตาแปลกตา ค่อยๆ เข้ามาสู่เวทีด้วยท่าทางแปลกประหลาด มีตัวละครตัวหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมชุดแต่งกายพลาสติก หยิบมือถือที่ดังขึ้นมาใช้เพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ เด็กๆ ต่างเข้าใจดีว่านี่คือพฤติกรรมปกติของผู้คนบนโลกสมัยใหม่ ตัวละครสวมหน้ากาก ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนเวทีกระโจนหยิบถุงพลาสติกออกมาใช้ทีละชิ้น ทีละชิ้น ฉับพลัน ถุงพลาสติกหลากสีกลับล้นมากมายจนเต็มเวที เด็กๆ ชวนกันขึ้นไปเก็บถุงพลาสติกกันสนุกสนาน ตัวละครที่สวมหน้ากากที่ใช้พลาสติก ถูกล้อมรอบด้วยพลาสติก ความหมายเหมือนต้องการให้ถุงพลาสติกลดลงและควบคุมไม่ให้พลาสติกล้นโลก ภาพดังกล่าวกำลังบอกอะไรเรา การที่เด็กๆ วิ่งขึ้นไปเก็บพลาสติกนั้นมันเกิดการเปลี่ยนแปลง อะไรข้างในสมองและจิตใจของเด็กๆ ขณะนั้น เราไม่อาจรู้ได้

สิ่งหนึ่งที่เราหวังคือ เด็กๆ ที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ เราต่างรู้ดีว่าสถานการณ์ขยะล้นโลกล้วนส่งผลต่อสรรพสัตว์ สภาวะอากาศ และสภาวะแวดล้อมที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของเราทุกคนบนโลกใบนี้

พื้นที่ว่างอันว่างเปล่า ณ Empty Space ที่ถูกเติมเต็มอย่างเต็มที่ โดยกลุ่มศิลปินที่หลากหลาย นักศึกษา คนทำงานเยาวชน พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง และเด็ก ต่างร่วมกันสร้างความหมายของการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า ศิลปะและความงามคงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการเรียนรู้ ที่เชื้อเชิญให้ทุกคนเข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์ที่นำพาให้เรา นอกจากได้เรียนรู้ความงดงามแล้ว การได้ครุ่นคิดร่วมกันบนพื้นที่แห่งนี้ จะเป็นปัญญาที่เราจะนำพาให้เด็กๆ แห่งโลกอนาคตของเรา ได้ยืนอยู่ด้วยความเป็นมิตรนำพาสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าส่งต่อธรรมชาติให้คนรุ่นต่อไปอย่างรู้คุณค่า

พื้นที่ว่าง จึงคือ จุดเริ่มต้นของพื้นที่การเรียนรู้…อย่างแท้จริง

Fun Fact

*Open Space Full@Empty #2 เพื่อระลึกถึงความทรงจำและมิตรภาพของเหล่าศิลปินคนทำงานศิลปะที่มีต่อ มานูเอล ลุทเกนฮอสท์ ศิลปินชาวเยอรมันผู้ล่วงลับ มานูเอลเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะในหลายๆ วงการในประเทศไทย อินโดนีเซีย พม่า ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่เขาเดินทางไป ที่สำคัญเป็นผู้ที่ก่อตั้งพื้นที่แห่งความว่าง ESC แห่งนี้ ร่วมกับภรรยา คุณอรพรรณ ลุทเกนฮอสท์ และครอบครัว

ภายในงานจัดแสดงนิทรรศการบางส่วนจาก ‘Manuel Lutgenhorst: Behind the Scenes’ ‘ในความทรงจำและมิตรภาพกับโลกศิลปะ’ ซึ่งเคยจัดมาแล้วที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อ 1-10 ก.พ. ที่ผ่านมา นิทรรศการภายในงานครั้งนี้ได้จำลองแนวคิด บ้านพิพิธภัณฑ์ ชีวิตและผลงานของ มานูเอล ลุทเกนฮอสท์, พิพิธภัณฑ์หุ่นสายพม่า, งานแสดงเซรามิค จาก Empty space studio, ศิลปะจัดวาง โดย Chatchaiwat pottery Studio และ Reinhard Zabka

นอกจากนี้ยังมีเวิร์คช็อปหุ่นเงาใบไม้ โดยยอด-เจริญพงศ์ ชูเลิศ, ละครหน้ากาก โดย Gallis As ศิลปินจากประเทศอินโดนีเซีย กิจกรรมปั้นดินสำหรับเด็กๆ จาก Empty Space Studio กิจกรรมทอผ้าและบอร์ดเกมจากศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า การทำศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ และการเต้นแบบโบราณ จากศิลปินโปแลนด์

Tags:

เชียงใหม่ศิลปะศิลปะการแสดงละครหุ่น

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ประชาธิปไทป์ กับ วิชา ‘การเมืองในศิลปะของตัวอักษร’

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์ ภาพ ปรารถนา สำราญสุข

  • Unique Teacher
    อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Unique Teacher
    พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง
Social Issues
6 March 2019

‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

เรื่อง

  • เปิดนโยบายด้านเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ ชาติพัฒนา ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และอนาคตใหม่
  • โจทย์ใหญ่คือ ปิดเทอมอย่างไรให้สร้างสรรค์ ไม่ต้องตื่นเช้าทุกวันไปเรียนพิเศษ – ทุกพรรคต้องตอบให้ได้
  • ความน่าสนใจอยู่ที่ เด็กๆ ที่เข้ามาฟัง ส่วนใหญ่ตอบว่า ปิดเทอมอยากอยู่บ้าน
  • พรรคไหนทำการบ้านมาดี หรือ พรรคไหนที่เตรียมตัวมาน้อย เชิญตรวจสอบได้จากรายงานชิ้นนี้
เรื่องและภาพ: อรสา ศรีดาวเรือง

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีแสดงนโยบายด้านเด็กและเยาวชนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ‘มุมมอง New Gen พรรคการเมืองกับเรื่องปิดเทอมสร้างสรรค์’ โดย สสส. เชิญตัวแทนจาก 5 พรรคมาร่วมนำเสนอ ได้แก่ ชาติพัฒนา ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และอนาคตใหม่

พรรคไหนทำการบ้านมาดี หรือ พรรคไหนที่เตรียมตัวมาน้อย เชิญตรวจสอบได้จากรายงานชิ้นนี้

1. พรรคชาติพัฒนา: เยาวภา บุรพลชัย

แนวคิด

  • ขจัดความเหลื่อมล้ำ เพราะปัจจุบันเด็กได้รับโอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน โดยเฉพาะเด็กยากจนที่มีทางเลือกไม่มาก จึงเสียโอกาสในการพัฒนาศักยภาพเพื่อการทำงานในอนาคต อีกกลุ่มหนึ่งคือเด็กพิเศษหรือผู้พิการ ที่มีศักยภาพแต่เข้าไม่ถึงการศึกษา ถ้ามีสถานที่และสร้างบุคลากรที่มีศักภาพได้อย่างทั่วถึง จะสามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้กับเด็กในพื้นที่ห่างไกลได้
  • ช่องว่างระหว่างครอบครัว ทุกวันนี้พ่อแม่ต้องแข่งขันกันสูงมากเพื่อหาเงินมาดูแลครอบครัว หลายครอบครัวจึงไม่มีเวลาให้กัน การส่งลูกเข้าโรงเรียนเนิร์สเซอรียิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างครอบครัวและปัญหาสังคมที่ตามมาหลายด้าน ท้องไม่พร้อม ติดเกม ยาเสพติด เด็กแว้น ฯลฯ

นโยบาย

  • เด็กไทยสองภาษา สนับสนุนให้มีห้องเรียนดิจิตอลให้เด็กเรียนรู้ภาษาที่ 2 และ 3 เพื่อโอกาสในการศึกษาและประกอบอาชีพในอนาคต
  • คุณครูเทคโนโลยี อำเภอละ 1 ล้านบาท เพื่อให้ทุนครูที่มีศักยภาพออกไปเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นเพื่อมาพัฒนาท้องถิ่นตนเอง
  • นโยบายนักอ่าน นักคิด นักปฏิบัติ และนักนำเสนอที่เก่งกาจ
  • นโยบายอุทยานการเรียนรู้และคอร์สเรียนออนไลน์ (Thailand Knowledge Center) ที่เอื้อต่อเด็กทุกชนชั้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
  • Mini Sport Complex จัดกีฬาทั่วทุกอำเภอและ Mini Fitness ทุกหมู่บ้าน เพราะ ‘กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ’ จึงควรกระจายโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงกีฬา เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและลดต้นทุนในการรักษาพยาบาล

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • ผลักดันค่ายเยาวชน และจัดกิจกรรมที่เด็กสนใจ ทั้งกีฬา ดนตรี ศิลปะ ภาษา สิ่งแวดล้อม เสนอกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็กในกลุ่มเสี่ยง โดยเปลี่ยนวิกกฤติเป็นโอกาส สร้างพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้และแสดงออก เช่น หาสถานที่ให้เด็กแว้นได้บิดมอเตอร์ไซค์เพื่อผลักดันให้เป็นนักแข่ง หรือสอนเรื่องเครื่องจักรกลสำหรับตกแต่งมอเตอร์ไซค์“กิจกรรมในช่วงปิดเทอมไม่ควรเป็นเรื่องหนักแต่ควรเป็นสิ่งที่เด็กสนใจ เพราะวัยรุ่นคือช่วงค้นพบตัวเอง และหากเขาได้รับการยอมรับจะรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง จะเป็นเกราะป้องกันเด็กจากสภาพแวดล้อมที่แย่” 

2. พรรคประชาธิปัตย์: พริษฐ์ วัชรสินธุ

แนวคิด

  • เด็กไทยสุขภาพเเข็งแรง
  • มี 4 ทักษะที่ตอบโจทย์โลกอนาคต นั่นคือทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะสองภาษาเพื่อการเท่าทันข่าวสารและการประกอบอาชีพ ทักษะการใช้ชีวิต และทักษะการใช้เทคโนโลยี

จริยธรรมที่เด็กไทยควรมี เคารพสิทธิของผู้อื่นในระบอบประชาธิปไตยตามนโยบาย ‘แก้จน สร้างคน สร้างชาติ’ เพราะพรรคเชื่อว่าการพัฒนาและลดความเหลื่อมล้ำที่ยั่งยืนที่สุดคือการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้เด็กไทยเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม

นโยบาย

  • โครงการเบี้ยเด็กเข้มแข็ง 1,000 บาท ต่อเดือนสำหรับเด็ก 0-8 ขวบทุกคน เพื่อโภชนาการที่สมบูรณ์ของเด็กไทย
  • ลงทุนด้านการศึกษาในระดับปฐมวัย โดยเพิ่มศูนย์เด็กเล็กคุณภาพทั่วประเทศและฝึกฝนบุคลากรครูที่เหมาะสมกับเด็กวัยอนุบาล เพราะเด็กในพื้นที่ชนบทยังเข้าไม่ถึงการดูแลที่มีคุณภาพ
  • ปรับปรุงหลักสูตรระดับประถม-มัธยม พลิกบทบาทห้องเรียนจากที่ครูเป็นผู้สอนในห้องเรียน เปลี่ยนเป็นให้การบ้านเด็กไปหาข้อมูลเพื่อนำมาคิดวิเคราะห์และทำงานเป็นทีมในห้องเรียน
  • นโยบาย English For All เพื่อฝึกทักษะภาษาอังกฤษโดยการเปลี่ยนจากเน้นเรื่องไวยากรณ์เป็นการให้เด็กกล้าคิดกล้าพูดภาษาอังกฤษ ลดค่านิยมเก่าที่เน้นสำเนียงเพื่อเพิ่มความกล้าให้เด็กมากขึ้น
  • นโยบายคืนครูให้นักเรียน นำเทคโนโลยีมาลดการจัดการด้านธุรการในโรงเรียน เพื่อครูจะได้ใช้เวลากับนักเรียนอย่างเต็มที่
  • ปรับวิธีการประเมินโรงเรียนและครู โดนเน้นไปที่ผลลัพธ์จากการส่งต่อสู่นักเรียน
  • ปรับสัดส่วนการเรียนสายสามัญและสายอาชีพให้สมดุลกัน สัดส่วนการเรียนต่อสายสามัญกับสายอาชีพปัจจุบันอยู่ที่ 70:30 เพื่อรองรับตลาดงาน พรรคจะขยายโครงการเรียนฟรี 15 ปี เป็นเรียนฟรีถึง ปวส. ยกระดับคุณภาพของสถาบันอาชีวศึกษาโดยร่วมมือกับภาคเอกชนและผู้ประกอบการช่วยกันออกแบบหลักสูตร ‘ทวิภาคี’ คือการให้สถานที่ฝึกงาน ให้ครูฝึก และมีสัญญาว่าจ้างรองรับ
  • สนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต โดยให้คูปองฝึกทักษะสำหรับผู้ใหญ่ที่มีความต้องการเปลี่ยนสายอาชีพให้เข้าสู่ระบบการศึกษาได้ เพราะการเรียนรู้ถึงแค่อายุ 21-25 ปีนั้นไม่เพียงพอแล้วในโลกปัจจุบัน
  • ตั้งกองทุน Smart Education ซึ่งจะมี Social Enterprise และ Startup ด้านการศึกษา รวมถึงการนำเทคโนโลยี EdTech (Education Technology) เพื่อใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน และการสอบ ให้มีประสิทธิภาพโดยเชื่อมโยงภาครัฐและภาคเอกชนมาช่วยกันพัฒนาระบบการศึกษาผ่านเครื่องมือเทคโนโลยี
  • กระจายอำนาจจากส่วนกลาง คืนอำนาจการตัดสินใจให้โรงเรียน สามารถกำหนดการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและขนาดของพื้นที่ โดยกระทรวงศึกษาฯ มีหน้าที่คำนวณงบประมาณให้เพียงพอต่อจำนวนของเด็กและขนาดของโรงเรียนเท่านั้น

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • เด็กเล็ก – ใช้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุด เพราะสิ่งสำคัญของเด็กเล็กคือความอบอุ่นและการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น โดยเพิ่มสถานที่สร้างสรรค์ให้ครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปสวนสัตว์ ไปสวนสนุก เพื่อเปิดโลกให้กับเด็ก และทำอย่างไรให้สถานที่สร้างสรรค์เหล่านี้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยการกระจายความเจริญออกไป และทำอย่างไรให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงกิจกรรมได้
  • ประถม – ค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบและถนัด โดยการเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็กได้ค้นหาตัวเองทั้งโลกออฟไลน์และออนไลน์ และผลักดันให้สื่อผลิตเนื้อหาที่สร้างสรรค์และดึงดูด เช่น รายการ หนังพาไป และ English Room รวมถึงเปลี่ยนค่านิยมว่าความสำเร็จในชีวิตไม่จำเป็นว่าต้องเก่งเสมอไป ทำลายกรอบนี้เพื่อสร้างความเข้าใจว่าความสำเร็จมีหลายรูปแบบ
  • มัธยมและอุดมศึกษา – ให้เด็กมองเห็นอนาคต เช่น โครงการฝึกงานที่มีองค์ประกอบดังนี้ หนึ่ง เด็กต้องได้ทำงานจริงมากกว่าแค่ถ่ายเอกสารหรือชงกาแฟ สอง สร้างความมั่นคงโดยมีสัญญาว่าจ้างหากเด็กทำงานได้ดี

3. พรรคพลังประชารัฐ: ไกรเสริม โตทับเที่ยง

แนวคิด

  • การสร้างโอกาส = การสร้างอนาคต หัวใจสำคัญคือ บูรณาการระบบให้เกิดความเท่าเทียม เพราะกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีบริบทที่ต่างกัน หลายพื้นที่ในชนบทยังไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาขั้นต่ำได้ สาเหตุคือ ภาระของพ่อแม่ ดังนั้น รัฐต้องสนับสนุน และให้เครื่องมือเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา
  • เรียนให้น้อย รู้ให้ตรงจุด และใช้ประโยชน์กับมันได้ ตามวิธีคิดแบบ High Scope ส่งเสริมการเรียนที่ไม่ใช่แค่ท่องจำ ส่งเสริมความสนใจของเด็กเพื่อให้เด็กตอบตัวเองได้ว่าอยากจะเรียนอะไร โดยเริ่มจากสถานรับเลี้ยงเด็ก จุดเริ่มต้นของการพัฒนาและการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 

นโยบาย

  • ธนาคารเพื่อการศึกษา ต่างจากการกู้ยืมเงิน แต่เป็นกองทุนกู้ยืมให้เยาวชนที่อยากเรียนต่อ โดยวัดจากผลสำเร็จทางการศึกษาของเด็ก จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เพื่อสร้างระบบหมุนเวียนเงินที่ดีมากกว่าแค่การกู้หนี้ยืมสินนอกระบบของผู้เป็นพ่อและแม่ และให้เด็กได้เข้าไปสู่ระบบการศึกษาที่ดี ทั่วถึง และวัดผลได้ และเพราะการศึกษาเป็นเรื่องของทุกภาคส่วน พรรคจึงมีแนวทางในการดึงภาคเอกชน และสังคมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
  • นโยบายมารดาประชารัฐ สนับสนุนการสร้างคุณภาพของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของแม่ ให้ได้เข้าถึงสิ่งที่ดีและออกมาจากครรภ์อย่างมีคุณภาพต่อสังคม

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • 50 สวนสาธารณะ 50 Creative Space เพื่อเพิ่มพื้นที่ทำกิจกรรมในหลากหลายด้านของครอบครัว และพื้นที่เรียนรู้ของเด็กเพราะเวลาว่างสร้างสรรค์สามารถทำได้ทุกวัน เด็กแต่ละวัยล้วนแตกต่างกัน การปิดเทอมจึงต่างกัน ตั้งแต่การใช้เวลาว่างอยู่บ้าน เรียนรู้สิ่งที่ตนเองชอบและสนใจ เช่น ฝึกดนตรี ศิลปะ อ่านหนังสือ

“สำคัญตรงที่เราเปิดโอกาสให้เขารับรู้มากขนาดไหน”

4. พรรคเพื่อไทย: ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส

แนวคิด

เด็กมีความฝันแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรต้องไปให้ถึง จากอุปสรรคหลายอย่าง เช่น ภาระค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่ต้องแบกรับ หนี้สิน จนก่อปัญหาครอบครัว ภาครัฐเองก็ไม่ได้ดูแลเท่าที่ควร ทั้งที่ภาครัฐต้องทำหน้าที่เป็น Facilitator อำนวยความสะดวกด้านการศึกษาให้เด็กๆ

นโยบาย

  • ‘ศูนย์พัฒนาเด็กอัจฉริยะ’ 20,000 แห่งทุกชุมชน รวมไปถึง ‘ศูนย์คนชรา’ เพื่อเป็นที่พักพิงให้คนชราที่อยู่บ้านคนเดียวอีกด้วย
  • นโยบายคืนโรงเรียนสู่ผู้ปกครอง เพื่อให้ครูและผู้ปกครองได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการส่งเสริมศักยภาพ และภาครัฐจะต้องออกแบบวิชาชีพเพื่อรองรับเด็กๆ เหล่านี้
  • แนวทางเปลี่ยนการท่องจำเป็นการเข้าใจ เพิ่มความสุขและความสนุกในห้องเรียน โดยการลดขนาดห้องเรียนเพื่อเพิ่มการดูแลเด็กได้ทั่วถึง รวมถึงเพิ่มปริมาณ เพิ่มคุณภาพครู เพื่อให้เด็กมีความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น
  • กระจายอำนาจการศึกษา เพราะเด็กในแต่ละพื้นที่มีความสนใจต่างกันตามสภาพแวดล้อม จึงควรจะกระจายอำนาจให้โรงเรียนได้ออกแบบหลักสูตรที่เหมาะกับเด็กตามแต่ละภูมิภาค
  • เพิ่มสถานที่พิเศษเช่น co-working space ให้เด็กมีพื้นที่การเรียนรู้มากกว่าห้องเรียนพิเศษ 

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • ปิดเทอมที่หลากหลายมากกว่าการไปห้าง คือสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตเด็ก เด็กควรได้ไปดูคอนเสิร์ต พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ จึงควรส่งเสริมศูนย์การเรียนรู้ให้ตรงกับที่เด็กต้องการ และนำสิ่งที่เขาสนใจมาเปลี่ยนให้เป็นรายได้เสริมที่มากกว่าแค่เสิร์ฟอาหาร แต่เป็นการฝึกงานอื่นๆ ที่หลากหลาย
  • ส่งเสริมสถานที่การเรียนรู้ด้านกีฬาและดนตรี เช่น ห้องซ้อมดนตรี พื้นที่ฝึกศิลปะ รวมถึงการจัดแข่งขัน E-Sport  

5. พรรคอนาคตใหม่: กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ

แนวคิด

  • การศึกษาไทยเหมือนเจงก้า (เกมตึกถล่ม) ที่ฐานง่อนแง่น และพยายามนำบล็อกไม้ใส่เพิ่มอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายถึงภาระที่หนักอึ้งของเด็ก สิ่งที่พรรคจะทำคือการสร้างรากและพื้นฐานทางการศึกษาใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่ใกล้ตัวเด็กที่สุด ที่ผ่านมารัฐมักแก้ไขปัญหาการศึกษาด้วยโครงการขนาดเล็กต่างๆ ซึ่งไปเพิ่มภาระครูในห้องเรียน
  • งบประมาณด้านการศึกษา 3 หมื่นล้านบาท 3 ปีติดต่อกัน เพื่อยกระดับอุปกรณ์ บุคลากร และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับการศึกษาของนักเรียน เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อสร้างพื้นฐานของปฐมวัยให้แข็งแรงมากขึ้น เพราะที่ผ่านมางบประมาณปีละกว่า 5 แสนล้านด้านการศึกษาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้

นโยบาย

  • สวัสดิการเดือนละ 1,200 บาทแก่พ่อแม่ที่มีลูกวัย 0-6 ปี โดยอิงจากงานวิจัยว่า เงินที่ได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ จะทำให้เกิดการวางแผนชีวิตได้ดีขึ้น โดยพ่อแม่ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะมีเงินซื้อนมให้ลูกหรือเปล่า
  • งบประมาณในการยกระดับห้องน้ำ ห้องเรียน ไวไฟ ห้องสมุดโรงเรียน ในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางกว่า 17,000 แห่ง นโยบายนี้ออกแบบมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำโดยเน้นไปที่สุขภาพและสุขภาวะของเด็กๆ โรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง
  • อาหารคือการเรียนรู้แบบหนึ่ง จึงมีแนวทางส่งเสริมให้เด็กรู้จักวิธีการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ จะทำให้เด็กรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักไปตลอดชีวิต นำมาซึ่งภาระที่ลดลงของกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันให้มีนักโภชนาการในทุกเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อช่วยในการออกแบบอาหารที่ถูกหลักในทุกโรงเรียน
  • มีนักจิตวิทยาเพื่อดูสุขภาพจิตเด็ก เพราะการศึกษาไทยเครียดมากและมีภาวะกดดันอยู่ตลอด การมีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ การจัดการระยะยาวคือฝึกบุคลากรให้เพียงพอในส่วนนี้ ในระยะเร่งด่วนคือฝึกบุคลากรให้เข้าใจเรื่องโรคพื้นฐานทางสุขภาพจิต อย่างน้อยต้องสามารถคัดกรองและมองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับนักเรียน และสามารถส่งต่อไปสู่หน่วยงานที่ถูกต้องได้
  • ปฏิรูปข้อสอบ ลดจำนวนข้อสอบระดับชาติและจำนวนครั้งการสอบในวัยประถมศึกษา รวมไปถึงลดการประเมินที่เป็นข้อสอบ และเพิ่มการประเมินที่หลากหลาย ลดหลักสูตรแกนกลางของวิชาบังคับและเพิ่มวิชาทักษะชีวิตตามแต่การออกแบบของแต่ละท้องถิ่น
  • ให้นักเรียนนั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารสถานศึกษา เพราะเชื่อว่านักเรียนคือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรู้ปัญหาดีที่สุด โครงสร้างนี้จึงต้องเกิดขึ้น
  • มี Open Data ตรวจสอบข้อมูลของโรงเรียนผ่านเทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อการบริหารจัดการที่คล่องตัวและตรวจสอบได้
  • ปฏิรูประบบผลิตครู เริ่มจากการคัดเลือกคุณครูสู่ระบบการศึกษา และมีการทำช่องทางอาชีพให้ครูต้นแบบที่สอนเก่ง สามารถช่วยเหลือพัฒนาครูด้วยกันได้

“ต่อไปนี้เราจะไม่ใช่เจงก้าที่ง่อนแง่นอีกต่อไป เราจะได้เจงก้าที่แข็งแรงขึ้นและพร้อมให้ทุกคนโชว์ศักยภาพและต่อยอดให้เจงก้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ”  

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • ปิดเทอมไม่ใช่แค่ของเด็กแต่รวมถึงครอบครัว ชุมชน ไม่ใช่แค่ตัวเยาวชนไปทำอะไรยามว่างช่วงปิดเทอม แต่รวมไปตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ทำให้เลือกได้ว่าอยากทำอะไร สนใจอะไร โดยเฉพาะกิจกรรม Job Shadow ให้เด็ก ม.ต้นได้เข้าไปค้นหาตัวเอง ได้เข้าไปสังเกตการณ์อาชีพหรือสิ่งที่ตนเองสนใจ โดยสามารถทำเป็นกิจกรรมช่วงปิดเทอม หรือ เสริมในห้องเรียน

แต่ แต่ แต่ ปิดเทอมเด็กๆ อยากอยู่บ้าน

พุทธชาติ พรมโคตร โอม ม.3

“เล่นกีตาร์อยู่บ้านครับ พ่อแม่ก็สนับสนุน ส่วนตัวผมไม่ชอบเรียนพิเศษ ปิดเทอมของผมควรเป็นอะไรที่ได้พักสมองบ้าง ตอนเรียนก็เครียดมาเยอะแล้ว”

ศุภธวดี พรมโคตร ม.2

“ปิดเทอมก็อยู่บ้านช่วยพ่อแม่ เมื่อก่อนก็ไปเรียนพิเศษบ้างแต่มันยาก หนูไม่เข้าใจ ก็เลยคุยกับพ่อแม่ขอไม่เรียนได้ไหม หนูชอบวาดภาพค่ะ ก็เลยไปบอกพ่อแม่ พวกเขาก็ให้หนูไปหากิจกรรมมาว่ามีคอร์สเรียนที่ไหนบ้างแล้วจะพาไปค่ะ”

พีรพล (สงวนนามสกุล) ม.6

“ปกติก็เรียนพิเศษออนไลน์ครับ แต่ผมจะชอบเล่นเกม เล่นบอล หรือไปว่ายน้ำมากกว่า มันผ่อนคลายกว่าการที่จะเรียนเพิ่มตอนปิดเทอม เพราะเรากดดันกับการเรียนแล้วไม่รู้เรื่อง เราสนใจในด้านคอมพิวเตอร์ ก็อยากให้พ่อแม่พาไปศึกษา ดูงาน ว่าเราชอบด้านนี้จริงๆ หรือเปล่า เราอยากรู้ตัวเองครับ”

ณัฐวุฒิ ใจตรง ม.3

“ผมชอบเล่นเกม เล่นได้ทั้งวันเลยครับ เรียนพิเศษมันยาก ไม่ค่อยรู้เรื่อง ปิดเทอมก็อยากทำอะไรที่ชอบจริงๆ มากกว่า สนุกดี”

Tags:

วัยรุ่นพลเมืองประชาธิปไตยงานเสวนาการเลือกตั้ง

Author:

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

“เพราะเกมสอนให้รู้จักแพ้” เฮียโก้ เด็กติดเกมวันนั้น สู่เซียนนักพากย์เกมวันนี้
Voice of New Gen
6 March 2019

“เพราะเกมสอนให้รู้จักแพ้” เฮียโก้ เด็กติดเกมวันนั้น สู่เซียนนักพากย์เกมวันนี้

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ‘โก้-ประสิทธิ์ เกียรติวัชรวิทย์ หรือ ‘เฮียโก้’ ชื่อในวงการพากย์เกม eSports ที่หลายคนรู้จัก บอกว่ากว่าจะได้มายืนจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นนักพากย์ไม่ใช่แค่การพูดเก่ง แต่ยังต้องเรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมของ eSports ให้ได้อย่างถ่องแท้
  • นักพากย์เกม คือ อาชีพที่รวมศาสตร์ทักษะทั้งการสื่อสารและความแม่นยำในเนื้อหาเกมผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยที่นักพากย์แต่ละคนจะมีเทคนิคการพากย์ประจำตัวสื่อสารออกมาให้ครบรส ต้องสนุก ควบคู่สาระ และทำให้คนดูรู้สึกมีส่วนร่วมกับการแข่งขันให้ได้
  • นอกจากความบันเทิง eSports ยังเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น ทักษะการวางแผน การคิดวิเคราะห์ และการรู้จักแพ้ 

ในโลกที่เทคโนโลยีวิ่งเข้าหาแบบไม่ต้องร้องขอ ไม่ว่าคนหนุ่มสาว วัยรุ่น หรือแม้แต่เด็กเล็ก ก็สามารถเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ตามมาและถูกพูดถึงบ่อยครั้ง นั่นคือพฤติกรรม ‘ติดเกม’ โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นหรือเด็ก ที่สังคมมักมองว่านี่คือปัญหา เป็นเรื่องใหญ่ที่ควรเร่งแก้ไข

ไม่ต่างกับ ‘โก้-ประสิทธิ์ เกียรติวัชรวิทย์’ พิธีกรดำเนินการแข่งขันเกม eSports หรือ นักพากย์เกม วัย 30 ปี มีดีกรีจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เด็กๆ โก้เป็นเด็กเนิร์ดที่ทำอะไรจริงจัง จนใช้ความชอบพาตัวเองมาสุดทาง โก้เล่าว่าเขาคือ ‘เด็กติดเกม’ ชอบเล่นเกมมาตั้งเเต่จำความได้ มักจะชวนเพื่อนๆ ในหมู่บ้านมารวมตัวกันเล่นเกม play station แต่เล่นในลักษณะเอาสนุกและเน้นสร้างความสัมพันธ์มากกว่าแข่งขันกัน

เป็นเด็กติดเกม แล้วพ่อแม่ว่าอย่างไร

ครอบครัวก็ไม่ค่อยแฮปปี้ ในยุคนั้นเกมเดียวที่พ่อผมรู้จักคือเตรติส (Tetris) เขาเลยไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเลย ทำไมไม่อ่านหนังสือหรือเรียนพิเศษ ซึ่งตอนนั้นผมก็คิดนะ ว่าการให้เด็กนั่งอ่านหนังสือเฉยๆ ทั้งวี่ทั้งวัน มันน่าเบื่อ และตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่แฮปปี้กับการที่ผมนั่งเล่นเกม ก็มันสนุกอะ

แสดงว่ามีวิธีสร้างความเข้าใจกับพ่อแม่?

ตอนนั้น ผมไม่ได้ดีลอะไรมากมาย พ่อแม่แค่ห้ามบ้างเวลาเราเล่นเยอะๆ แต่ไม่ได้ขนาดต่อต้าน อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่ผมเล่นเกม ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ผมรับผิดชอบชีวิตได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

ความรับผิดชอบ คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ครอบครัวไม่ต่อต้านการเล่นเกม

ใช่ มันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบล้วนๆ ติดเพื่อน ติดยา ติดเกม ติดอะไรก็ตาม ทั้งหมดมันคือเรื่องของการบริหารเวลา

ถ้าเราใช้เวลาไปกับกิจกรรมใดเยอะเกินพอดี มันก็ย่อมส่งผลเเย่อยู่แล้ว ไม่ได้ผิดที่ตัวกิจกรรม มันผิดที่เวลาที่เสียกับมันมากกว่า แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่หลายๆ คน ไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่ได้โตมากับกิจกรรมนั้น โลกของเขาอาจมีแค่การเรียนหนังสือ

จากเด็กติดเกมในวันนั้น เข้าสู่วงการ eSports ได้อย่างไร

2 ปีที่แล้ว ผมเริ่มจากการเล่นเกมมาเรื่อยๆ จนมีโอกาสได้ลงแข่งในฐานะนักกีฬา eSports จากนั้นก็ขยับมาเป็นโค้ช เป็นคอมเมนเตเตอร์ จนได้มาทำ MC หรือคนพากย์เกม

ซึ่งแต่ละตำแหน่งมันต่างกันเยอะมาก หน้าที่ของคนแข่งหรือนักกีฬา คือการทำให้ดีที่สุด แข่งให้ชนะ ต้องเล่นให้ดี ต้องซ้อมอย่างหนัก กดดันมาก บวกกับผมเป็นคนค่อนข้าง emotional จึงไม่อยากรับความกดดันตรงนั้น ผมอยากให้เกมเป็นสิ่งสนุกอยู่ จึงเริ่มถอยออกมาจากเก้าอี้ผู้เล่นมากขึ้น 

เมื่อขยับมาเป็นโค้ช หน้าที่หลักคือการขยายมุมมองแก่นักแข่ง ผมโชคดีที่เคยเป็นทั้งนักแข่งเกมมาก่อน ดังนั้นสายตาของเราก็จะมองได้สองทาง ซึ่งก็เป็นมุมมองที่ค่อนข้างจะเฉพาะตัว เพราะมีประสบการณ์ผ่านการเเข่งขันมาก่อน การเป็นโค้ชต้องมีเรื่องของการเจาะรายละเอียดที่มากขึ้น เก็บข้อมูลให้กับผู้เล่นเพื่อเอาข้อมูลที่ดีไปประกอบการตัดสินใจ แต่โค้ชไม่ใช่คนสั่ง เป็นคนช่วยขยายมุมมองให้เเก่ผู้เล่นมากกว่า บางครั้งนักแข่งรับผิดชอบในตำแหน่งของตัวเองได้ดี แต่อาจจะไม่แม่นยำในภาพรวม โค้ชจึงต้องให้มุมมองที่ใหญ่ขึ้น สร้างความชัดเจนว่าผู้เล่นแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่ ทำเพื่ออะไร และจะทำอะไรต่อไป

แสดงว่าสำหรับคุณโก้ การเป็น MC พากย์เกม คือจุดสูงสุด

คำว่าสูงสุดที่ว่ามันคืออะไร? ผมเล่นเกมเพื่อเล่นกับคน ได้เจอเพื่อน ได้เจอสังคม ผมว่ามันเป็นการขยับตำแหน่งมากกว่า เเค่เปลี่ยนมุมมองเท่านั้นเอง

การเป็นนักพากย์เกม ไม่ใช่แค่มานั่งพูดๆๆๆ ผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม แต่นักพากย์ต้องเป็นพิธีกรที่ขึงขังไปด้วย อธิบายกติกาการแข่งขัน ระบบการให้คะแนนให้กระชับชัดเจน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องมีก็คือ skill set สองอย่าง นั่นคือ การสื่อสาร (communication) และ ความเชี่ยวชาญและแม่นยำในตัวเกม (game knowledge)

การใช้ Skill Set ในอาชีพนักพากย์ต้องทำอย่างไรบ้าง 

เเน่นอนว่าหน้าที่ของเราก็ผสมความเป็นพิธีกรลงไป ก่อนการแข่งจะเกิดขึ้นก็ต้องเตรียมข้อมูลเบื้องหลังของเกมแต่ละแมทช์ นั่งคิดเเล้วว่าโปรเเกรมการแข่งเป็นอย่างไร รายการนี้การเเข่งขันมีทีมอะไรบ้าง แล้วแต่ละทีมมีผลงานหรือเคยแข่งอะไรมา จัดเตรียมเนื้อเรื่องระหว่างสองทีม มีเรื่องราวเชิงลึกแค่ไหนมาเล่าให้คนดูฟังบ้างเพื่อให้เกิดสีสัน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่คนดูชอบเพราะเขาจะได้รู้ข้อมูลนอกจากหน้าจอตรงหน้า

และที่สำคัญเราจะดึงเรื่องไหนขึ้นมาพูด และจะพูดอย่างไร ต้องใช้น้ำเสียงแบบไหน คุมเสียงอย่างไร ใช้ภาษาแบบไหน ให้ทุกคนรู้สึกอินไปกับเรา

เพราะว่าสุดท้ายเเล้วหลักของการเป็นนักพากย์ คือ การมีเกมเป็นตัว input และนักพากย์มีหน้าที่ส่ง output ออกไป มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เป็นนักเเข่ง ซึ่งตอนนั้น output ของเราคือเกม  

กลายเป็นว่าหน้าที่ของผม คือ ต้องนั่งคิดว่ามุมมองของผู้เล่นเขาคิดอะไรอยู่ เขาทำอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงเดินเกมแบบนี้ ทำไมเขาถึงเลือกใช้ตัวละครนี้ ทำไมถึงเลือกใช้อาวุธนี้ นี่คือสิ่งที่ผมต้องเข้าใจและสื่อสารออกมาให้คนทุกคนดู

หลายๆ ครั้ง คนดูจะรู้สึกห่างไกลกับคนแข่ง เหมือนเกมอยู่บนหิ้ง และรู้สึกไม่มีส่วนร่วม MC หรือนักพากย์จึงต้องสื่อสารเพื่อให้รู้สึกว่าเกมใกล้ชิดกับเขามากขึ้น พากย์ให้อินกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้

นักพากย์เกมต้องทำการบ้านหลังกล้องหนักแค่ไหน

ในฐานะคนที่ชอบเล่นเกม การศึกษาเรื่องพวกนี้เป็นงานอดิเรกอยู่เเล้ว ผมเลยไม่ได้รู้สึกว่าทำงานหนัก ยิ่งเราเคยผ่านการเป็นโค้ชมาด้วย จึงทำให้รู้เทคนิคต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ใช่ว่าจะหยุดนิ่ง ผมดึงประสบการณ์ร่วม จากการที่เคยเป็นทั้งคนเล่น เป็นโค้ช คอมเมนเตเตอร์ จนมาถึงเป็นนักพากย์ และ MC เยอะมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ผมจะรู้ได้เลยว่าขณะที่แข่งขันอยู่ นักกีฬากดดันแค่ไหน ช่วงเวลานั้นมันมีแต่อารมณ์ที่รุนเเรง ซึ่งคนที่ไม่ได้อยู่บนเวทีอาจจะไม่เคยสัมผัส แต่เราเข้าใจดี ดังนั้นเราจึงเอาความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้น สื่อสารให้คนดูเขาอินตามได้

ถ้าสมมุติว่าการเเข่งขันเกม ไม่มี MC และนักพากย์ จะเป็นอย่างไร

มันจืดแน่ๆ (หัวเราะ) เราต้องเเยกคำว่า sport กับ spectator sport กีฬา กับ กีฬาที่มีคนดูให้ออกจากกันก่อน

sport คือการเเข่งขันกีฬาเพื่อความเป็นเลิศล้วนๆ แต่ถ้าเป็น spectator sport เน้นเรื่องของคนดูและความบันเทิงเข้ามาเกี่ยว ซึ่งการเล่นเกม ผมคิดว่ามันมี potential มากพอที่จะเชื่อมโยงกับคนที่อยู่บนหน้าจอได้ นักพากย์จึงทำหน้าที่ต่อสายระหว่างเกม นักแข่ง คนดู ให้ทั้งสามสิ่งนี้เชื่อมต่อกันและสุดท้ายมันก็จะเกิดเป็นความบันเทิงขึ้น

ความยากหรือจุดท้าทายในอาชีพนักพากย์คืออะไร

ความยากที่หลีกไม่ได้ ก็คงเป็นการต้องจับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้นให้เร็วและขยี้ อะไรก็ตามที่มีอิมแพคต่อคนดู นักพากย์ต้องจับอย่าปล่อยมันไป ถ้าเปรียบเหมือนเป็นพ่อครัว หากมีวัตถุดิบดี แต่เราทำไม่อร่อยมันก็เสียดายของ เช่นเดียวกันกับในเกม ถ้าเหตุการณ์ตรงหน้ามันพีคมาก แต่ถ้าเราจับตรงนั้นไม่ได้และปล่อยให้มันผ่านไป มันก็เสียของ นี่คือสิ่งที่ challenge ที่สุดในอาชีพนักพากย์ ดังนั้นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ต้องมีคือ ‘ไหวพริบ’ และ ‘การเปลี่ยนความคิดให้เป็นคำพูดได้อย่างเร็วที่สุด’

อีกอย่างคือการพากย์ หรือ เป็น MC ในงานอีเวนท์หรือสถานที่เปิด จะทำให้ควบคุมได้ยากมากกว่า เพราะมีตัวแปรมากมาย ดีกรีความวุ่นวายจากสิ่งรอบข้างสูงกว่า มีอารมณ์ของผู้ชมที่อยู่ในงาน ทำให้สมาธิเราจดจ่อไปที่เกมและการพากย์ไม่เต็มที่ แต่มันมันส์นะ เหมือนเราดูคอนเสิร์ต ถ้าเรานั่งฟังเพลงเฉยๆ ก็สนุก แต่ถ้าเราได้เอาตัวเองไปอยู่ในคอนเสิร์ตนั้น มันจะสนุกกว่า ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น คอนเสิร์ตเราอาจจะแพลนได้ว่าต่อไปร้องเพลงนี้ แต่เราในฐานะนักพากย์ ไม่ใช่คนดำเนินเกม มีเพียงคนแข่งเท่านั้นจะที่สร้างสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ

หัวใจสำคัญ คือต้องอย่าลืมว่านักพากย์ก็เป็นคนดู เราเป็นหัวหน้าคนดู ทุกคนที่ฟังที่กำลังดูเกมอยู่นั่นหมายถึงเราด้วย ดังนั้นเมื่อเราเป็นคนดู เราต้องรู้ว่าจุดไหนคือจุดสนุก ดึงออกมา และสื่อสารออกมายังไง ให้เขาอินไปกับเกม ณ ช่วงเวลานั้นให้ได้

เด็กรุ่นใหม่สนใจอาชีพนี้เยอะไหม

ทุกอาชีพที่ได้อยู่หน้ากล้อง อาชีพที่แสงสปอตไลท์ส่องไปถึง คนชอบและอยากเป็นอยู่แล้ว เพราะมันโดดเด่นและได้อยู่ในสายตา ลองนึกไปถึงวันแรกที่เราเริ่มเข้ามาพากย์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่สวยเอาซะเลย เละเทะ ยับเยินมาก ผมไม่รู้จังหวะ ไม่รู้ว่าจะพูดตอนไหน พอได้พูดก็พูดยาวเกินไป น้ำเสียงจริงจังเกินไป เป็นโมโนโทนเกินไป ควบคุมความตื่นเต้นไม่ได้ ก็ไม่คิดว่าจะมาจริงจังกับมัน

เอาเข้าจริงไม่ว่าจะอาชีพไหน ทุกคนก็เป็นได้ แต่การฝึกฝนคือเรื่องสำคัญ ต้องไปลุยก่อน ไปลองเล่นให้เชี่ยวชาญ บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะเขามองเกมเป็นเรื่องของความผ่อนคลาย นักพากย์ต้องฝึกเล่น ฝึกวิเคราะห์มัน หา play pattern หาวิธีเดินเกมที่ได้คุณภาพที่สุด สเต็ปต่อมาคือการเขยิบออกจากตัวละคร มาวิเคราะห์กลยุทธ์ โดยใช้ประสบการณ์รวมถึงข้อมูลจากต่างประเทศ ทั้งหมดเพื่อเก็บเป็นคลังข้อมูล ทำให้เรื่องพวกนี้มันไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เวลาพากย์จะได้ออกมาอัตโนมัติ

‘เฮียโก้’ เป็นนักพากย์เกมแบบไหน

มองตัวเองทำได้หลายด้าน จริงจังก็ได้ สาระก็ได้ ตลกก็ได้ เรามองว่าตัวเองเป็นคนที่สามารถเอนเตอร์เทนและให้สาระไปพร้อมๆ กัน เราไม่จำเป็นต้องเลือก ไม่จัดตัวเองว่าต้องไปอยู่ในกล่องไหน ทำอะไรได้ก็โชว์ไปเลย อาจจะไม่ได้ตลกสุด พีคสุด สาระสุด แต่แค่เราคนเดียวเอาอยู่ก็พอแล้ว

เกม คือ สิ่งที่ไร้สาระ คิดแบบนั้นไหม

จากคำพูดที่บอกว่าเด็กจะก้าวร้าวเพราะเกม หัวร้อน จนส่งพฤติกรรมหยาบคาย ผมว่ามันไม่ได้เพราะเกม แน่นอนว่าการเล่นเกมอาจจะมีพื้นที่เอื้อให้การปะทะอารมณ์ หรือการด่ากันอย่างง่ายๆ เช่น เราเห็นทีมไหนแพ้ ก็ด่า ทับถม  

ทางแก้ไขของผมในฐานะ MC และนักพากย์ ไม่สามารถทิ้งทีมที่แพ้และอวยทีมชนะได้ เราต้องเสนอมุมมองของทีมแพ้ เมื่อการแข่งขันจบ มันจะมีคนที่คอยมาทับถมอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่แทนที่เราจะไปขยี้จุดนั้นโดยการห้ามเขา เราให้ความเข้าใจดีกว่า ทำให้เข้ารู้ว่ามันมีอะไรที่อยู่เบื้องหลังการแพ้นั้น เมื่อมีข้อความแย่ๆ ไหลเข้ามาในคอมเมนต์ เช่น

“ไอ้กาก!”
“ไอ้xx! เล่นไม่ได้เรื่อง”
“ทีม A อ่อน!!”

เราไม่จำเป็นต้องอ่าน หรือหยิบมันขึ้นมาเป็นประเด็นให้เกิดการปะทะที่มากขึ้น ในฐานะนักพากย์และผู้ดูข้อมูล เราเปลี่ยนคำพูดใหม่ เช่น “ทีมA สู้ๆ” แค่นี้ง่ายๆ เลย

นอกจากความบันเทิง ประโยชน์ของเกม คืออะไร

หน้าที่หลักคงเป็นความบันเทิง แต่เกมช่วยสะท้อนสังคมได้ในระดับหนึ่ง แล้วเป็นสังคมที่มีแต่ความจริงด้วยนะ อีกอย่างอยากให้ผู้ปกครองรู้ไว้คือเกมไม่ใช่กิจกรรมที่สร้างอาชีพให้กับทุกคน ไม่ว่าจะฟุตบอล บาสเกตบอล หรือเล่นเปียโน ดังนั้นไม่อยากให้พ่อแม่คาดหวังว่าลูกจะต้องไปสุดทางหรือต้องได้ประโยชน์จากกิจกรรมเหล่านี้ แต่อยากให้โฟกัสว่า ลูกของคุณสนุกกับกิจกรรมนั้นแค่ไหน ลูกของคุณดึงทักษะอะไรมาใช้ในชีวิตประจำวันได้บ้าง

คอนเซ็ปต์ที่คล้ายกันจนปฏิเสธไม่ได้ของกีฬาและเกม คือการสอนให้ลูก ‘รู้จักแพ้’ ถึงมันจะดูดาวน์ๆ นิดนึง แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่รู้ดี ว่าเรื่องการสอนให้ลูกรู้จักแพ้ รู้จักล้ม มันสำคัญมากแค่ไหน

พ่อแม่มักมีกรอบที่ยึดไว้ว่า ลูกต้องเรียนหนังสือให้เก่ง การเรียนเท่านั้นคือสำคัญที่สุด จึงเป็นกับดักทำให้มองว่าเกมคือสิ่งอันตราย แต่ผมก็ไม่แปลกใจ เพราะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ผลการเรียนดีเท่ากับมีอนาคตดี แต่อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบและการจัดสรรเวลาของตัวเอง ดังนั้นแทนที่จะห้ามลูกไม่ให้เล่น เราต้องหันมาสอนเรื่องเวลาและวินัยของลูกดีกว่า

Tags:

อาชีพเกมทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New Gen
    3 เสียงของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจเเละเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Everyone can be an Educator
    TALK LIKE TED – สื่อสารอย่าง ‘TED TALK’ ในวันที่มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    RABBITHOOD ของโจ้ วชิรา ในวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าชอบงาน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel