เมื่อเหตุผลการโกงไม่ได้ตรงไปตรงมา แค่ให้ได้เกรดดี แต่การโกงเป็นทั้งบททดสอบวัยรุ่น ถ้าไม่โกงไม่มีเพื่อน ไม่ ‘ใจ’ ก็ออกไป ในการโกงก็มีศีลธรรมและชอบธรรม วัยรุ่นส่วนหนึ่งยอมรับจะโกงอย่างมีลิมิต อย่างมองตาตัวเองในกระจกได้โดยที่ยังบอกว่าตัวเองนั้นซื่อสัตย์อยู่ กดแชร์ รีทวีต ลอกคำคมคนอื่น ทั้งหมดนี้เรียกการโกงรึเปล่า เส้นแบ่งการโกงในโลกโซเชียลอยู่ตรงไหนกัน?
‘Why Students Cheat and What to Do About It’
แปลตรงตัวว่า “ทำไมนักเรียนจึงโกง (ทั้งข้อสอบและการบ้าน) และเราจะทำอะไรได้บ้าง” คือชื่อบทความ ที่ใช้เทคนิคการพาดหัวเพื่อดึงดูดใจชั้นสูง โดย แอนดรูว์ ซิมมอนส์ (Andrew Simmons) ครูโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในอังกฤษ และคอลัมนิสต์ประเด็นการศึกษาให้กับสำนักข่าวชั้นนำในประเทศชั้นนำหลายหัว
ซิมมอนส์ไม่ได้เล่าว่าเขาเป็นครูมากี่ปี ต้อง ‘ดีล’ กับการลอกข้อสอบ หรือการขโมยความคิดหรือคัดลอกบทความของคนอื่น (plagiarize) มากี่ครั้ง แต่เล่าว่า เพราะอยากสำรวจเหตุผลทางจิตวิทยา และแรงจูงใจที่ทำให้เด็กๆ โกง ทั้งข้อสอบและการลอกการบ้าน ซิมมอนส์จึงลงมือสำรวจแบ่งวิธีทำงานเป็นสองวิธีใหญ่ คือ
ส่งคำถามปลายเปิดถึงอดีตเด็กนักเรียนของเขาว่า “ทำไมเขาจึงโกง (ทั้งข้อสอบและการบ้าน) ในระดับมัธยมปลาย” ค้นหาและพูดคุยกับทั้งนักวิชาการและนักจิตวิทยาในประเด็นดังกล่าว
ในข้อแรก เขาให้ตัวอย่างคำตอบตรงไปตรงมาจากแบบสำรวจของเขาชิ้นหนึ่งว่า “ฉันต้องการเกรดที่ดี แต่ไม่ได้ต้องการทำงานหนักขนาดนั้น”
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นคำตอบสุดโต่งจากอดีตเด็กนักเรียนที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่ง แต่แน่นอนว่าเหตุผลทางจิตวิทยาในการโกงไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น เมื่อซิมมอนส์นำคำตอบอันหลากหลายที่ได้จากอดีตนักเรียนจำนวนมากของเขา ประกบกับข้อมูลทางจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมองวัยรุ่น คำตอบแบบรวบรัดแบ่งออกเป็น 4 ข้อใหญ่ๆ ก็คือ
พวกเขารู้เต็มอกว่าการโกงมันผิด แต่ก็มีข้ออ้างหรือข้อแก้ต่างต่อตัวเองได้ว่า จะโกงอย่างมีศีลธรรม มีขอบเขต เพื่อให้มองตาตัวเองในกระจกต่อไปในทุกวัน เพราะสิ่งที่อาจารย์ออกข้อสอบนั้นไม่เคยถูกสอนในห้องเรียน ครูออกข้อสอบอย่างต้องการการวัดผล หรือพวกเขาจำเป็นต้องสอบให้ผ่านจริงๆ ยิ่งได้รับคำชมจากเกรดที่ดีมากเท่าไร ก็มีแนวโน้มว่าจะโกงมากขึ้นเท่านั้น การโกงคือบททดสอบการเป็นวัยรุ่น ถ้าไม่โกง ก็ไม่มีเพื่อน
ก่อนจะว่าด้วยเรื่อง ‘ทำไมพวกเขาจึงโกง’ ซิมมอนส์ยกตัวเลขเพื่อชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการโกงเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นประสบการณ์ร่วมของวัยรุ่นขนาดไหน
งานวิจัยปี 2012 จากสถาบันด้านจริยศาสตร์โจเซฟสัน (Josephson Institute) ระบุว่า ครึ่งหนึ่งของเด็กๆ มัธยมปลายยอมรับว่าพวกเขาเคยโกงข้อสอบ ขณะที่อีก 74 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าพวกเขาเคยลอกการบ้านเพื่อน
นอกจากนี้ยังเป็นแบบสำรวจในปี 2002 และปี 2015 โดย โดนัลด์ แมคเคบ (Donald McCabe) ศาสตราจารย์หลักสูตรธุรกิจ ประจำมหาวิทยาลัยรัทเกอร์ส (Rutgers University) วิจัยร่วมกับสถาบันนานาชาติเรื่องความซื่อสัตย์ (The International Center for Academic Integrity) ได้ผลลัพธ์ตามตารางข้างล่าง
เรียนจบแล้ว 17,000 คน นักศึกษาปริญญาตรี 71,300 คน ยอมรับว่าเคยโกงข้อสอบ 17% 39% ยอมรับว่าเคยโกงตอนทำการบ้าน 40% 62% คนที่ยอบรับว่าเคยโกงข้อสอบและการบ้าน 43% 68%
ที่มา: โดนัลด์ แมคเคบ และสถาบันนานาชาติเรื่องความซื่อสัตย์ The International Center for Academic Integrity สำรวจในปีการศึกษา 2002 และปี 2015
ทำความเข้าใจ ทำไมต้องโกง
ซิมมอนส์อ้างถึงบทวิเคราะห์ของ เดวิด เรททิงเจอร์ (David Rettinger) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแมรี วอชิงตัน (University of Mary Washington) และกรรมการบริหารศูนย์ให้บริการนักศึกษา Center for Honor, Leadership and Service ที่มหาวิทยาลัยดังกล่าว
เรททิงเจอร์อธิบายว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
เด็กๆ รู้ว่าการโกงนั้นผิด แต่พวกเขามีเหตุผลและขอบเขตในการโกง ลิมิตของการโกงจะจำกัด เท่าที่ยังทำให้พวกเขาเคารพตัวเองได้ ยังบอกตัวเองได้ว่าเขาก็ยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์อยู่
ซิมมอนส์สรุปงานวิจัยของทั้งเรททิงเจอร์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องอื่น และจากแบบสอบถามจากอดีตนักเรียนของเขา พบข้อสังเกตอีกประการว่า เด็กๆ จะโกง ก็ต่อเมื่อเขามีเหตุผลให้เชื่อได้ว่ามันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล หรือเป็นไปอย่างชอบธรรม เช่น เมื่ออาจารย์คนนั้นสอนแบบเลคเชอร์อย่างเดียว เมื่อส่งงานไปแล้วนักเรียนไม่ได้ฟีดแบ็คหรือคอมเมนต์จากอาจารย์ท่านนั้น แปลว่านักเรียนไม่ได้รับอนุญาตหรือมีช่องทางให้คัดค้านหรือสอบถามอะไรเลย
“มันไม่ใช่ (การบ้าน) แบบคิดวิเคราะห์ และครูก็เหมือนจะสั่งการบ้านไปตามหลักสูตร”
“(ข้อสอบ) ตั้งคำถามกับคุณทั้งที่บทเรียนนั้นไม่เคยถูกพูดถึงในห้องเรียน และถ้าคุณสอบตก นั่นแปลว่ามันจะยากยิ่งกว่าที่จะแก้ให้ผ่านในรอบถัดไป” คือความเห็นของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์คนหนึ่งในแบบสอบถามของซิมมอนส์
การเลี้ยงเด็กให้เป็นคนเก่ง กับแนวโน้มที่จะคดโกง
งานวิจัยปี 2017 เรื่อง Praising Young Children for Being Smart Promotes Cheating ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ SAGE Journals และแม้ชื่อเรื่องจะแปลเป็นไทยว่า ‘ยกย่องชื่นชมเด็กๆ เมื่อโกงอย่างฉลาด’ แต่เนื้อในของงานวิจัยพูดถึง การเลี้ยงลูกให้มีค่านิยมความฉลาด พูดชมความฉลาด ไม่ได้พูดชมหรือให้ความสำคัญเรื่องความพยายาม การเลี้ยงแบบนี้ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะโกงมากขึ้น เพราะบนไหล่บ่าของพวกเขามีแต่ความคาดหวังที่สูงส่งจากผู้ปกครอง
(อ่านต่อ ‘คำพูดแบบไหนที่ทำร้ายทำลายความฉลาดของลูก ’)
เหตุผลของสมองวัยรุ่น ที่โกงเพราะชอบความเสี่ยง
ซิมมอนส์อ้างถึงงานวิจัยเรื่อง Adolescents’ Risk-taking Behavior is Driven by Tolerance to Ambiguity (พฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่น ขับเคลื่อนจากความดื้อดึงถึงความกำกวม (จากสถานการณ์เฉพาะหน้า-ผู้เขียน) ในวารสารวิชาการ PNAS ในปี 2012 ว่าด้วยเรื่อง…
พอพูดถึง ‘การบริหารจัดการความเสี่ยงในวัยรุ่น’ พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจมากๆ ที่จะลงทุนกับความเสี่ยงนั้นๆ พูดให้ง่าย (ทำไมไม่พูดให้ง่ายตั้งแต่ทีแรก) พัฒนาการทางสมองและฮอร์โมนเพศของวัยรุ่นโดยเฉพาะช่วง 12-18 โดยเฉพาะช่วง 15 (แล้วแต่ตำราและเรื่องเพศ) พวกเขาจะชอบความเสี่ยง และอ่อนไหวต่อความกดดันจากเพื่อน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการโกงหรือลอกการบ้าน/ข้อสอบ พวกเขาก็ต่อต้านโลก ไม่จริงจังกับกฎระเบียบ และโอเคกับความยุ่งเหยิงเล็กๆ ของชีวิต และพวกเขาเชื่อว่าทุกความเสี่ยง พวกเขา ‘เอาอยู่’
มองความโกงให้ลึกลงไปกว่านั้น มันไม่ใช่แค่การทำคะแนนเพื่อให้ได้เกรดสวยๆ แต่มันคือบททดสอบของมิตรภาพ หรือบททดสอบการเป็นวัยรุ่นที่กล้าหาญ – ในนิยามว่า ความกล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสักอย่างหนึ่ง – ซึ่งในสังคมวัยรุ่น ยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้
งานวิจัยปี 1959-2002 ในกลุ่มนักเรียนเตรียมทหาร (military academy students) ระบุว่า การปฏิเสธการโกงในกลุ่มนักเรียนทหารเป็นเรื่องยากมาก
เป็นความกดดันจากเพื่อน (peer pressure) และกลัวว่า ถ้าไม่ทำ ไม่ปิดตาข้างหนึ่ง หรือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือให้การโกงสำเร็จ ก็จะอยู่ในสังคมไม่ได้
แบบสำรวจความเห็นของซิมมอนส์ใบหนึ่งระบุว่า เขาไม่ได้อยากช่วยเพื่อนในห้องโกงข้อสอบ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ และเมื่อมันเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ครั้งต่อไปก็ไม่อาจควบคุมได้
(อ่านต่อ: รู้ทันอาการโกรธโลก ผ่านการทำงานสมองวัยรุ่น)
เทคโนโลยี และความเคยชินในการ Copy and Paste
งานวิจัยปี 2015 เรื่อง How Students Use Technology to Cheat and What Faculty Can Do About It (การใช้เทคโนโยลีเพื่อการโกง และคณะ (ในมหาวิทยาลัย) จะทำอะไรได้บ้าง) ตีพิมพ์ใน ISEDJ วารสารวิชาการด้านการศึกษา ระบุว่า การโกงในศตวรรษนี้ซึ่งมีอาวุธคือโซเชียลมีเดีย และเสิร์ชเอนจิ้นในมือ ทำให้การโกงในห้องเรียนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และยากที่จะถูกจับได้มากกว่าแต่ก่อน
ลิซ รัฟ (Liz Ruff) ครูประจำวิชาภาษาอังกฤษโรงเรียนมัธยมปลายการ์ฟีลด์ (Garfield High School) ในลอสแองเจลิส ให้ความเห็นว่า วัฒนธรรมในโลกโซเชียล เช่น การรีโพสต์รูป การทำมีม (memes) การดูคลิปวิดีโอล้อเลียนคนอื่น ทั้งหมดนี้ให้มุมมองต่อความเป็นเจ้าของ ดูคลุมเครือ จึงเป็นเหตุผลว่า เวลาที่เขาคัดลอกบทความจากอินเทอร์เน็ต พวกเขาไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องผิด
แนวคิดนี้คล้ายกับงานวิจัยของ โดนัลด์ แมคเคบ จากมหาวิทยาลัยรัทเกอร์ส ในปี 2012 พบว่า กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่แมคเคบทำสำรวจ เด็กๆ คิดว่าการคัดลอกข้อความในอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่รู้สึกว่านี่คือการโกงแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าการโกงเป็นเรื่องยอมรับได้ แต่เพื่อไม่ให้จับนักเรียนไปขึงประจานแล้วก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร การโกงยังเกิดซ้ำเพราะคนแก้ปัญหาไม่เข้าใจเหตุผลทางจิตวิทยาแห่งการโกง