Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: April 2018

ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!
Adolescent Brain
4 April 2018

ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • สภาพแวดล้อมในห้องเรียน มีผลต่อการเรียนรู้และความก้าวหน้าทางวิชาการของเด็กถึง 25 เปอร์เซ็นต์ การออกแบบห้องเรียนที่ดีจะช่วยกระตุ้นผลการเรียนของนักเรียนในระดับประถมศึกษา ทั้งทักษะด้านการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์
  • ความเครียดของเด็กไม่ใช่เพราะถูกดุ แต่มันปนไปมากับความเครียดที่เกิดจากความไม่เรียบร้อยของสภาพแวดล้อมในห้องด้วย
  • คีย์เวิร์ดสำคัญปรับห้องเรียน คือ ธรรมชาติ ความเป็นเจ้าของ ความเป็นระเบียบ และ ประโยชน์ใช้สอย
  • โรงเรียนงบน้อยอาจกังวล แต่คีย์เวิร์ดของสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่เกี่ยวกับขนาดห้อง เทคโนโลยี และงบประมาณ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การที่นักเรียนและครูได้ออกแบบและใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ห้องเรียนที่มีอยู่

“ยิ่งใช้สมองมาก ความยืดหยุ่นของสมองยิ่งมีมาก” เป็นคำการันตีจากงานวิจัยทางสมองซึ่งเข้ามาแทนที่ความเข้าใจเดิมที่เคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่า “ยิ่งอายุมากขึ้น สมองจะยิ่งเสื่อมถอย”

Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง เป็นคำที่ใช้อธิบายศักยภาพของสมอง เพื่อบอกว่าสมองคนเราสามารถปรับเปลี่ยนการเชื่อมโยงของเส้นประสาทในสมองได้ตลอดชีวิต นั่นหมายความว่า สมองเรานั้นพัฒนาให้ดีขึ้นได้ไม่จำกัดช่วงวัย เพราะสมองจะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงตามประสบการณ์ที่รับรู้ และพัฒนาศักยภาพได้จากการฝึกฝนหรือทำซ้ำๆ จนเกิดความช่ำชอง

‘สภาพแวดล้อมรอบตัว’ ที่เราคลุกคลีอยู่เป็นประจำจึงเป็นส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ใกล้ตัว ที่สมองจะรับรู้ได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีที่สุด จุดนี้หากนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องของการศึกษา สภาพแวดล้อมและบรรยากาศในห้องเรียน จึงมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งกับเด็กปฐมวัยที่สมองกำลังอยู่ในขั้นพัฒนาด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งที่ครูและโรงเรียนควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ แต่นักเรียนในช่วงวัยอื่นก็ไม่ต้องน้อยใจ ถ้าลองได้อยู่ในห้องเรียนหรือสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว สมองจะถูกกระตุ้นให้มีความครีเอทีฟพุ่งปรี๊ดได้ไม่แพ้กัน

ลองนึกภาพห้องเรียนรกๆ หนังสือบนชั้นวางเกะกะไม่เป็นระเบียบ อุปกรณ์การเรียนมีครบบ้างไม่ครบบ้างจะใช้ทีก็หาไม่เจอ หรือฝาผนังห้องเรียนที่ว่างเปล่าขาวโล่งไปหมด ไม่ก็เต็มไปด้วยบอร์ดติดชิ้นงานที่ติดๆ ไว้ไร้ทิศทางจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

คุณคิดว่า…นักเรียนจะเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ดีแค่ไหน?

หรือถามใหม่

“จะดีเหรอ…ถ้าให้ลูกหลานของเราเรียนอยู่ในห้องเรียนแบบนี้?”

ผลการศึกษาล่าสุดตีพิมพ์ใน Clever Classrooms ปี 2015 จาก มหาวิทยาลัยแซลฟอร์ด (University of Salford) ประเทศอังกฤษ  ชี้ให้เห็นว่า ห้องเรียนที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพของเด็ก เพราะสภาพแวดล้อมในห้องเรียน มีผลต่อการเรียนรู้และความก้าวหน้าทางวิชาการของเด็กถึง 25 เปอร์เซ็นต์ โดยการออกแบบห้องเรียนที่ดีจะช่วยกระตุ้นผลการเรียนของนักเรียนในระดับประถมศึกษา ทั้งทักษะด้านการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์

จากการเก็บข้อมูลนักเรียน 3,766 คน ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ด้วยการทดลองเปลี่ยนนักเรียนที่เรียนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไปเรียนในห้องเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ผลปรากฏว่าผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้นถึง 16 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าความแตกต่างของลักษณะทางกายภาพในห้องเรียนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ของนักเรียน

ห้องเรียนเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้

toxic stress เป็น ‘ความเครียด’ ที่เกิดจากความไม่เป็นระเบียบ ห้องเรียนรกๆ คือตัวอย่างที่ดีของความไม่เป็นระเบียบแบบ toxic stress อย่างที่ว่านี้ หลายๆ ครั้งที่เด็กไม่ตั้งใจเรียนหรือไม่อยากมาโรงเรียนอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากความขี้เกียจ หรือเพราะกลัวครูดุด่าอย่างที่ผู้ใหญ่เข้าใจเสมอไป

แต่เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวจากความไม่เป็นระเบียบหรือจากห้องเรียนที่ขาดความน่าสนใจและขาดแรงดึงดูด สิ่งนี้ทำให้เด็กไม่มีกำลังใจในการเรียน ท้ายที่สุดแล้ว toxic stress จะทำให้เซลล์สมองของเด็กขาดความยืดหยุ่นและตายลงอย่างช้าๆ

งานวิจัย บอกว่า พฤติกรรมเชิงลบและสภาวะไร้ระเบียบไม่ได้ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด แต่หล่อหลอมมาจากสิ่งแวดล้อม การทำห้องเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากความเครียดและความรุนแรงจึงเป็นบทบาทสำคัญของครู แต่ต้องให้อยู่ในระดับพอดีที่ไม่ทำให้เด็กรู้สึกสบายจนเกินไป เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือว่า หากสมองมีความเครียดในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง จากการเรียนรู้หรือจากการใช้ชีวิตที่ต้องคิดและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อนั้นสมองจะมีพลังและเปิดรับการเรียนรู้อย่างเต็มที่

แต่หากครูหรือผู้ปกครองเอาอกเอาใจ และอำนวยความสะดวกให้เด็กใช้ชีวิตสบายจนเกินพอดี ด้วยการจัดหาทุกอย่างมาเสิร์ฟให้ทั้งหมด ไม่ปล่อยให้เด็กต่อสู้กับปัญหารอบตัว สมองของเด็กจะไม่พัฒนา พูดง่ายๆ ก็คือว่า ‘สมองจะโง่ลงเรื่อยๆ’ ในที่สุดสมองที่ไม่ได้พัฒนาทักษะการคิด และไม่ได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตจะส่งผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมของเด็กในเชิงลบ ทำให้เด็กไร้วินัย มีนิสัยก้าวร้าว อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย โดยเฉพาะในวัยรุ่น ที่อาจกลายเป็นเด็กไม่เอาถ่านในที่สุด สรุปแล้วสมองจะฉลาดขึ้นได้ต่อเมื่อมีความเครียดในระดับที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา เชื่อมโยงกับการออกแบบห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ที่ไม่ควรว่างเปล่าแต่ก็ไม่ควรรกจนเกินพอดี

อะไรคือสภาพแวดล้อมในห้องเรียน?

แล้ว สภาพแวดล้อมในห้องเรียน ที่ว่า…หมายถึงอะไรได้บ้าง?

ทรูดี ลอว์เรนซ์ (Trudie Lawrence) นักออกแบบตกแต่งภายในจากสถาบัน Envoplan ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ห้องเรียนที่ได้รับการออกแบบอย่างดีมีส่วนสำคัญมากต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียน โดยห้องเรียนที่ดีควรเป็นห้องเรียนที่ส่งเสริมทั้งวิธีการสอนของครู (teaching methods) และ รูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียน (learning styles) เป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนการสอนที่ช่วยเติมเต็มทั้งผู้สอนและผู้เรียน

ลอว์เรนซ์ เล่าว่า ห้องเรียนทั่วไปมักจัดวางข้าวของระเกะระกะเสียจนทำให้ห้องเรียนดูแคบ แล้วจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากเมื่อหลายคนได้เห็นว่า การเปลี่ยนพื้นที่วางสิ่งของ (layout) การปรับอุณหภูมิในห้องเรียน (temperature) และการเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับเก็บข้าวของ (storage) ให้เป็นระเบียบสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องเรียนได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ นอกจากนี้ครูควรใช้พื้นที่ทุกส่วนในห้องเรียนเข้าไปพูดคุยใกล้ชิดกับนักเรียนแทนการยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียนแค่เพียงอย่างเดียว

นอกจากงานวิจัยของ ลอว์เรนซ์แล้ว ผลการวิจัยใน Clever Classrooms สรุป 3 คาแรคเตอร์สำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบห้องเรียนซึ่งจะช่วยออกแบบให้สมองมีความยืดหยุ่นตามมา ประกอบด้วย ความเป็นธรรมชาติ (naturalness) ความเป็นปัจเจก (individualisation) และ สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น (stimulation)

  • ความเป็นธรรมชาติ: แสง (light) อุณหภูมิ (temperature) และ คุณภาพอากาศ (air quality)
  • ความเป็นปัจเจก: ความเป็นเจ้าของ (ownership) และความยืดหยุ่น (flexibility)
  • สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น: ความเป็นระเบียบและประโยชน์ใช้สอยในห้องเรียน (complexity) และ สี (colour)

หากปรับเปลี่ยนได้ การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเก็บของให้เป็นระเบียบ การปรับผังห้องเรียนใหม่ และการตกแต่งบอร์ดภายในห้องเรียนให้ดึงดูดน่าสนใจ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงได้

จุดนี้เองที่ Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เพราะความยืดหยุ่นของสมองจะทำงานเชื่อมต่อกับ ระบบลิมบิค (Limbic System) ซึ่งประกอบด้วย อะมิกดะลา (Amygdala) สมองส่วนรับรู้และควบคุมอารมณ์ความรู้สึก และ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำและการสร้างความจำระยะยาว การทำงานของสมองทั้งสองส่วนนี้จะเป็นตัวกำหนดการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึก และการเรียนรู้ทางสมองของแต่ละคน

ครูจึงควรแปลงโฉมห้องเรียนให้เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการสร้างการเรียนรู้แก่นักเรียน เพราะหากครูสามารถออกแบบห้องเรียนได้ดี สภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนที่เหมาะสม จะช่วยให้การทำงานของระบบลิมบิคเป็นไปในทางบวกมากกว่าทางลบ เด็กจะควบคุมอารมณ์และจัดการตัวเองให้มีระเบียบวินัยได้ แล้วยังเปิดรับการเรียนรู้ได้ดีขึ้นด้วย

ห้องเรียนฉลาด (Clever Classrooms)

รายงานผลการศึกษา Clever Classrooms จากโครงการ HEAD (Holistic Evidence and Design) มหาวิทยาลัยแซลฟอร์ด (University of Salford) เก็บรวบรวมข้อมูล 153 ห้องเรียน จาก 27 โรงเรียนในช่วงสามปีที่ผ่านมาแล้วนำมาวิเคราะห์เป็นสถิติ โดยนำปัจจัยเกี่ยวข้องทั้งเรื่องผัสสะและแบบจำลองทางสถิติหลากหลายระดับมาใช้อย่างรัดกุม ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลการวิจัยนี้สื่อสารถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียนที่เป็นผลจากการออกแบบห้องเรียนใหม่ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ

สิ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อเอ่ยถึงสามคาแรคเตอร์สำคัญที่ช่วยสร้างห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นธรรมชาติ (naturalness) ความเป็นปัจเจก (individualisation) และ สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น (stimulation) จากภาพแสดงให้เห็นว่ารายละเอียดปลีกย่อยแต่ละส่วนล้วนมีผลต่อการสร้างการเรียนรู้ในห้องเรียนในสัดส่วนที่แพ้กันไม่ลง ความเป็นธรรมชาติ (แสง, อุณหภูมิ และคุณภาพอากาศ) ส่งผลกระทบรวมกันถึง 49 เปอร์เซ็นต์ ส่วนความเป็นปัจเจก (ความเป็นเจ้าของและความยืดหยุ่น) มีผลประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ และสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น (ความเป็นระเบียบและประโยชน์ใช้สอยในห้องเรียน และสี) มีผลประมาณ 23 เปอร์เซ็นต์

สอดคล้องกับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หรือ BBL (Brain-based Learning) แนวคิดของนักประสาทวิทยาที่นำความรู้ความเข้าใจด้านสมองมาใช้เป็นเครื่องมือออกแบบการเรียนการสอน หลายอย่างเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่เพิ่งค้นพบซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น ความเข้าใจเดิมที่ว่า สมองพัฒนาไม่ได้และเมื่อโตขึ้นสมองจะหยุดพัฒนา ปัจจุบันเมื่อใช้เทคโนโลยีเข้ามาตรวจสอบการทำงานของสมองข้อค้นพบเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของสมองก็ได้เข้ามาหักล้างความเข้าใจดังกล่าวออกไป

หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของ BBL คือ สมองเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการจดจำจากสิ่งที่มองเห็น จึงไม่น่าแปลกใจที่สภาพแวดล้อมในห้องเรียนจะมีความสำคัญต่อการสร้างความยืดหยุ่นในสมองของเด็กในระยะยาว

ห้องเรียนที่ดีควรเป็นแบบไหน?

เมื่อพูดถึงการออกแบบห้องเรียน เราอาจกังวลถึงขนาดของห้องก่อน แล้วคิดไปถึงงบประมาณที่จะต้องใช้ลงทุน ทั้งการรีโนเวท การจัดหาสื่อเทคโนโลยี ดูๆ แล้วอาจต้องใช้เงินลงทุนเยอะกว่าจะเห็นผลลัพธ์ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เปลี่ยนไป สู้หันไปใส่ใจเรื่องการเรียนการสอนคงจะดีกว่า สิ่งนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การออกแบบห้องเรียนเป็นสิ่งที่โดนละเลย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ผลการศึกษาที่เอ่ยไปแล้วทั้งหมดก่อนหน้านี้ บอกอย่างชัดเจนว่า

ขนาดห้อง เทคโนโลยี และงบประมาณ แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การที่นักเรียนและครูได้ออกแบบและใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ห้องเรียนที่มีอยู่

ศาสตราจารย์ปีเตอร์ บาร์เรต (Peter Barrett) หนึ่งในทีมวิจัย Clever Classrooms กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า

“เราไม่ได้พูดถึงการลงทุนจำนวนมหาศาลของโรงเรียนหรือหน่วยงานท้องถิ่น ในทางกลับกันเรากำลังพูดถึงทางเลือกที่เรียบง่ายในการใช้ห้องเรียน และทางเลือกในการตัดสินใจสำหรับอนาคตหากจะต้องสร้างโรงเรียนขึ้นมาอีก”

ด้วยเหตุนี้ ห้องเรียนที่ดีควรถูกออกแบบให้คำนึงถึง

ความเป็นธรรมชาติ

มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาใช้ร่วมกับหลอดไฟ มีประตูหน้าต่างที่ทำให้อากาศถ่ายเทสะดวก และตู้ชั้นวางของไม่ควรนำมาวางปิดบังหน้าต่าง หน้าต่างควรเป็นพื้นที่ที่สามารถมองออกไปเห็นทัศนียภาพภายนอกห้องเรียนได้

ความเป็นปัจเจก

การสร้างความยืดหยุ่น (flexibility) ให้ห้องเรียน ด้วยการแบ่งซอยพื้นที่ใช้สอย เช่น พื้นที่พัก

(breakout space) ควรมีพื้นที่พักหรือพื้นที่เอกเขนกเป็นส่วนหนึ่งภายในห้องเรียน ไม่ควรแยกออกไปอยู่ตรงทางเดินหรืออยู่ในส่วนที่ปิดกั้นไปจากห้องเรียนหลัก พื้นที่ส่วนนี้สามารถใช้ทำกิจกรรมกลุ่มย่อยหรือเป็นพื้นที่ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มแยกย้ายกันไปทำงานที่ได้รับมอบหมายได้

พื้นที่เก็บของ (storage) เรามักเห็นห้องเรียนที่เต็มไปด้วยตู้เก็บของแต่ข้าวของกลับไม่เคยอยู่ในตู้ ของส่วนใหญ่ถูกวางกระจัดกระจายบนตู้บ้าง ในกล่องในลังบ้าง ห้องเรียนที่ดีควรเป็นห้องเรียนที่ดูโล่งสบายตา ถ้าห้องเรียนไม่กว้างพอตู้เก็บของอาจวางแทนที่ไว้ตรงทางเดินหากยังพอทำให้เดินไปมาได้ แล้วต้องมั่นใจว่าสิ่งของต่างๆ ถูกเก็บไว้ในตู้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบแทนการวางระเกะระกะอยู่ภายนอก

นอกจากนี้ การสร้างความเป็นเจ้าของ (ownership) ให้นักเรียนรู้สึกผูกพันกับห้องเรียน ด้วยการใช้พื้นที่ฝาผนังสักด้านหนึ่งให้นักเรียนช่วยกันวาดงานศิลปะลงไป การติดผลงานของนักเรียนภายในห้องเรียนหรือการมีชั้นเก็บของ และมีข้าวของเครื่องใช้ที่มีชื่อของตัวเองแปะติดอยู่ก็ช่วยได้

สิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น

การจัดตกแต่งบอร์ดภายในห้องเรียนไม่ควรมีสีสันฉูดฉาดเกินไป ให้คำนึงถึงภาพรวมของห้องเรียนทั้งหมด ไม่โฟกัสไปเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง ข้อควรจำคือ การใช้สีโทนเดียวกันทั้งหมดจะทำให้บรรยากาศน่าเบื่อชวนง่วงนอน ดังนั้น ภาพรวมของห้องเรียนควรมีสีที่มีความสว่างมากและน้อยผสมผสานกันไป

ห้องเรียนรกๆ หนังสือบนชั้นวางเกะกะไม่เป็นระเบียบ อุปกรณ์การเรียนมีครบบ้างไม่ครบบ้างจะใช้ทีก็หาไม่เจอ หรือฝาผนังห้องเรียนที่ว่างเปล่าขาวโล่งไปหมดไม่ก็เต็มไปด้วยบอร์ดติดชิ้นงานที่ติดๆ ไว้ไร้ทิศทางจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

บ่อยครั้งที่เรื่องใกล้ตัวเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม ‘สภาพแวดล้อมในห้องเรียน’ ก็เช่นกัน

สภาพแวดล้อมในห้องเรียน…เอ่ยถึงแวบแรกคล้ายสิ่งที่เป็น ‘นามธรรม’ แต่พอเจาะจงรายละเอียดลงไป การวางผังและตกแต่งห้องเรียน แสง อุณหภูมิ ตู้ ชั้น พื้นที่วางเก็บข้าวของ และอื่นๆ ทั้งหมดกลับเป็น ‘รูปธรรม’ ที่จับต้องและวัดได้ สิ่งนี้น่าจะยิ่งพิสูจน์คำพูดที่ว่า “การเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และสิ่งรอบตัว”

การจัดการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมต้องใช้สมองเป็นฐานและสอดคล้องกับการทำงานของสมอง การออกแบบห้องเรียนที่ช่วยกระตุ้นและสร้างการรับรู้ในเชิงบวกให้สมองตั้งแต่ปฐมวัย การสร้างบรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลาย และมีลูกเล่นให้ครูได้หยิบใช้ระหว่างทำกิจกรรมในชั้นเรียนได้ จึงเป็นเหมือนเครื่องมือช่วยออกแบบสมองให้มีความยืดหยุ่น เป็นสมองที่พร้อมพัฒนาศักยภาพได้อย่างไม่มีวันหมดอายุ

อ้างอิง:
bbcactive.com
thebrainflux.com
Clever Classrooms

Tags:

โรงเรียนปฐมวัยเทคนิคการสอนAdolescent Brainพัฒนาการ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(7): หย่านมแบบลูกนำ กับมื้ออาหารที่ไม่ต้องคอยป้อน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Adolescent Brain
    เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!

    เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!
How to get along with teenagerAdolescent Brain
2 April 2018

สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

อ่านแล้วเห็นใจวัยรุ่นจริงๆ นะ ตอนเป็นวัยรุ่นยังไม่เข้าใจวัยรุ่นเท่าตอนที่เขียนเรื่องการ์ตูนเรื่องนี้เลย อยากให้อ่าน อยากให้ทุกคนรู้ว่าที่จริงมันเกิดอะไรขึ้น – KHAE

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาAdolescent Brainความสัมพันธ์ความรัก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย
Voice of New Gen
2 April 2018

บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ฝันอยากเป็นผู้กำกับตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม 20 ปีถัดจากนั้น เขาเดินตามฝันนั้นได้สำเร็จ
  • ผลงานส่วนใหญ่ของ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ อยู่ในสายโฆษณาเป็นหลัก
  • บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ไม่ได้จบเอกฟิล์มแต่จบเอกละครเวที
  • ภาพยนตร์เรื่องแรกของ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ คือ เคาท์ดาวน์ (2012)
  • ภาพยนตร์เรื่องที่สองที่สร้างชื่อให้เขาเป็นผู้กำกับร้อยล้าน คือ ฉลาดเกมส์โกง (2017) คว้า 12 รางวัลจาก 16 รางวัลในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27 ประจำปี 2017 และนั่งแท่นเป็นภาพยนตร์ไทยทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในฮ่องกงและไต้หวัน
เรื่อง: ชลิตา สุนันทาภรณ์ / ณิชากร ศรีเพชรดี / รัชดา อินรักษา
ภาพ: ศิริโชค เลิศยะโส

หลังจาก ฉลาดเกมส์โกง เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากจะได้รับความนิยมในบ้านเราอย่างถล่มทลายแล้ว ยังโด่งดังข้ามไปอีกหลายประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ไทยทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในฮ่องกงและไต้หวัน เหล่านักแสดงนำในเรื่องต่างเดินสายตบเท้าเข้าร่วมงานและโปรโมตภาพยนตร์ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27 ประจำปี 2017 ฉลาดเกมส์โกง ยังกวาด 12 รางวัลจาก 16 รางวัล สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

แต่ความสำเร็จทั้งหมด ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่ายๆ

The Potential ชวน ผู้กำกับฉลาดเกมส์โกง บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ มานั่งจับเข่าพูดคุยถึงความทุ่มเท ความตั้งใจ ความฝันที่แน่วแน่และไม่เคยล้มเลิก (แม้จะเคยคิดบ้าง) ถึงความอยากเป็นผู้กำกับที่ผุดเข้ามาในหัวเขาตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยมปลายและไม่เคยจางหายไปไหน พลังที่แรงกล้าดังกล่าวได้ผลักดันให้ชายคนนี้ขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับร้อยล้าน พร้อมกันนั้น The Potential ยังไม่พลาดที่จะชวน บาส-นัฐวุฒิ มานั่งถกถึงระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออกที่เป็นเส้นเรื่องหลักของหนังในฐานะผู้กำกับ และครั้งหนึ่งก็เคยเป็นนักเรียนผู้เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนเช่นกัน

“เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย”

ส่องระบบการศึกษาไทยผ่านฉลาดเกมส์โกง

หากให้เปรียบ ฉลาดเกมส์โกง เป็นอะไรสำหรับ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ก็คงเหมือนกับลูกชายที่กลายเป็นคนดังผู้ตั้งคำถามกับระบบการศึกษาไปเรียบร้อยแล้วในตอนนี้ แม้ตอนแรกเจ้าตัวจะเล่าว่าตอนคิดกันยังนึกไม่ออกว่าหน้าตาหนังจะเป็นอย่างไร จนสุดท้ายมาลงตัวหลังจากการทำการบ้านกับทีมงาน และได้รับรู้ปัญหาของระบบการศึกษาในปัจจุบันซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ณ ขณะนั้น และในชีวิตต่อจากนั้น

“เราเคยเข้าใจว่า ระบบหรือแบบแผนการศึกษาไม่ดี หมายถึงแบบแผนการสอนในสังคมไทยที่สอนแต่วิชาการไม่ได้เน้นเรื่องทักษะ แต่พอทำการบ้านจริงๆ ปัญหามีมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่โครงสร้างการวางแบบแผน”

“เรารู้สึกว่าจะเล่าแค่ความสนุกไม่พอแล้ว เพราะมีประเด็นหลายๆ อย่างที่ควรถูกถ่ายทอดผ่านหนังเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นจึงมีการปรับทิศทางของหนังจากตอนแรกที่มุ่งเสนอแต่ทริคสนุก ลดความสำคัญสิ่งเหล่านั้นลงให้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความสนุกในหนังเท่านั้น และเน้นการขับเคลื่อนปมตัวละครที่วัยรุ่นแต่ละคนต้องเจอในสังคมระบบการศึกษาไทย”

ปมตัวละครที่ว่าจึงมีหลากหลายและมีจุดประสงค์หรือเส้นทางที่เลือกจะเดินแตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกคาแรคเตอร์นั้น บาสเล่าว่า ทีมคนเขียนบทพยายามย่อยมาจากคนที่เราเห็น และเป็นตัวแทนของเด็กวัยรุ่นและคนในสังคมจากแต่ละจุด เพื่อให้เห็นโครงสร้างทางสังคมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อย่างกรณีของลินสอบเพราะเข้าใจในวิชาเรียนอย่างถ่องแท้ ส่วนแบงค์ก็สอบเพื่อจะใช้การศึกษาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตน หรือสถานะของตัวเอง และเกรซที่ใช้การสอบเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ตนรัก นั่นคือการแสดงละคร ซึ่งไอเดียตรงนี้บาสอธิบายถึงสารที่เขาต้องการสื่อว่า

“อย่างตัวละครเกรซ ผมได้มาจากการหาข้อมูลโรงเรียนที่ไม่อนุญาตให้เด็กทำกิจกรรมถ้าผลการเรียนไม่ดีตามเกณฑ์ที่วางไว้ เด็กมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันก็จริง แต่เด็กบางคนอาจชอบในด้านการทำคะแนน ชอบในการอ่านหนังสือ ในขณะที่เด็กอีกจำนวนหนึ่งก็มีความสุขกับการทำกิจกรรมด้านอื่นมากกว่า ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถ้ากดดันเด็กที่ทำกิจกรรมด้วยเกรดเฉลี่ยที่มากเกินไป ผมว่าไม่แฟร์กับตัวเด็กและเป็นการเรียนที่ไม่ใช่สอนคนให้เป็นคนอย่างที่คนจะเป็น แต่เป็นการสอนคนให้เป็นแพทเทิร์นอย่างที่เราอยากเห็นมากกว่า ซึ่งมันเป็นเมสเสจที่ผมอยากจะสื่อออกมา”

ซึ่งสุดท้ายแล้ว บาสมองว่าการสอบจึงไม่ต่างอะไรกับการเอาตัวรอด เหมือนเป็น survival game อย่างหนึ่ง โดยไม่สนว่าจะใช้วิธีการอะไรแค่ขอให้เอาตัวรอด

“เกรซอยากจะเป็นนักแสดง มี passion ในด้านนี้ แต่คนรอบข้างกลับบอกว่าแสดงไม่ได้แต่เอาเวลาทั้งหมดมุ่งไปกับการเรียนก่อน ทั้งๆ ที่เกรดของเกรซเองก็ไม่ได้แย่ ผมเลยรู้สึกว่าก็ไม่แปลกที่เด็กจะหาทางเอาตัวรอดด้วยวิธีนี้”

แล้วมุมมองต่อระบบการศึกษาแบบนี้ของบาสเป็นอย่างไร บาสตอบพร้อมให้ข้อคิดว่า

การสอบเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความเป็นคนประมาณหนึ่ง ค่อยๆ สะสมว่าเราจะโตขึ้นไปเป็นคนแบบไหน หมายถึงว่าจะโตไปเป็นเด็กที่ไม่อ่านหนังสือ และก็ลอกข้อสอบเพื่อนไปตลอด หรือจะโตไปเป็นเด็กที่เอาวะ ลุกขึ้นมาฮึดสู้ลองดูได้มากได้น้อย ก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ถือเป็นการตอบมิติหนึ่งของการเป็นชีวิตมนุษย์

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับบาสแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นภาพสะท้อนบางอย่างที่ทุกคนก็เห็นในสังคมยุคปัจจุบันจริงๆ

สิ่งที่เราเห็นเพื่อนหลายๆ คนที่เมื่อก่อนไม่ได้เป็นคนอย่างนี้ แต่พอเจอเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตทำให้มึงเปลี่ยนไป โดยที่บางทีเราก็เซอร์ไพรส์กับสิ่งที่เกิดกับเพื่อนเหมือนกัน ถ้าถามว่าเข้าใจมันได้ไหมก็เข้าใจได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้งตัวเราเอง คนรอบตัวเราก็มีส่วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

“เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นหลังจากดูหนังเรื่องนี้ นอกจากการคุยกับเด็กวัยรุ่นแล้ว ผู้ใหญ่หลายๆ คนที่มีลูกหลานหรือมีเด็กๆ ที่ต้องดูแลควรตระหนักด้วยว่าเขามีบทบาทเหมือนกันนะ มากน้อยขึ้นอยู่กับเขา การเพาะเมล็ดบางอย่างในใจเด็กที่อาจเริ่มต้นความรู้สึกจากความผิดชอบชั่วดีที่แทบจะไม่มีอยู่จริงแล้วในปัจจุบัน ถ้าเราเพาะเมล็ดนี้ตั้งแต่เด็กวันหนึ่งเราโตเป็นผู้ใหญ่เมล็ดนี้จะค่อยๆ โตขึ้นและใจเราก็จะกลายเป็นใจเราโดยที่ไม่รู้ตัว”

16: เด็กชายผู้ฝันอยากเป็นผู้กำกับสุดเท่

เราจบบทสนทนาเกี่ยวกับหนังไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะพากันนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งเขายังเป็นวัยรุ่น วัยร้อน วัยตามหาตัวเอง แต่บาสในวัยเพียง 16 ปี มีความฝันที่แน่วแน่แล้วว่าอยากเป็นผู้กำกับ

“ช่วงนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วว่าวิชาการไม่ใช่ทางของเรา และมีความคิดอยากเป็นผู้กำกับหนัง อยากทำหนัง เพราะตอนนั้นชอบดูหนังมาก ดูจนเกรดตกจากเกรดสี่ลงมาสองกว่าๆ เลย”

จากเด็กห้องวิทย์ที่ทางบ้านคาดหวังอยากให้เป็นหมอ จนกระทั่งมาค้นพบความสุขจากการดูหนัง โดยหนังเรื่องแรกที่กระตุกต่อมความคิด ความเสี้ยนและความอยากเป็นผู้กำกับคือเรื่อง Good Fellas ของ Martin Scorsese

“จริงๆ รู้ว่าตัวเองชอบดูหนังมาก ตั้งแต่อายุ 14-15 ปีแล้ว เพราะที่บ้านมีญาติเปิดร้านเช่าวิดีโอ ผมเลยชอบดูหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนแรกดูเพื่อความบันเทิง ผมอินกับการดูหนังมากจนไม่สนใจการเรียนเลย หมดเวลาไปกับการดูหนัง อาจารย์ก็ผิดหวัง ซึ่งตอนนั้นสิ่งนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับผมมากแต่ผมก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว หนังคือเรา และอยากทำสิ่งนี้”

แต่เมื่อการเรียนหนังสือคือหน้าที่หลักและสำคัญที่สุดของอาชีพนักเรียน เขาอธิบายถึงวิธีการรับมือและจัดการกับตรงนั้นว่า

“ผมโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจ และไม่ได้ขัดขวางเส้นทางการเป็นผู้กำกับหนังของผม” บาสยิ้มก่อนจะอธิบายต่อว่า “ผมไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องเกรดสี่ทุกวิชา ขอแค่เรียนไม่ตกและวางแผนชีวิตตัวเองได้ อย่างเช่นอนาคตจะเรียนต่อคณะอะไร จะเข้ามหาวิทยาลัยที่ไหน ซึ่งผมมองว่าแค่คำว่าเข้าใจจากผู้ใหญ่ก็เป็นกำลังใจสำคัญที่มากเพียงพอจะทำให้เด็กมีแรงเดินต่อในเส้นทางที่เขาอยากจะเดิน”

เพียงคำว่า ‘เข้าใจ’ จากพ่อแม่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องสนใจหรือเพิกเฉยการเรียนหนังสือได้ บาสเสริมต่อว่า สิ่งที่ตามมาจากการที่พ่อแม่เข้าใจ คือการที่เขาเข้าใจตัวเองว่า ความรับผิดชอบและหน้าที่ในวัยเรียนคืออะไร

“พอการเรียนตกลงมาจนถึงสองกว่าๆ โชคดีที่พ่อแม่คอยพูดเตือนผม เขาไม่ห้ามผมจากการเที่ยวเล่น หรือสิ่งที่สนใจ ทำให้เริ่มเข้าใจว่าในฐานะมนุษย์วัยนี้หน้าที่ที่ต้องทำคือการเรียน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลักที่ต้องทำให้ดีที่สุด จากนั้นก็ตั้งใจเรียน รู้จักจัดลำดับความสำคัญเรื่องที่ต้องทำกับเรื่องที่อยากทำไว้ชัดเจน อย่างถ้าจะดูหนังก็ต้องอ่านหนังสือ หรือทำการบ้านให้เสร็จก่อน นิสัยนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผมเมื่อโตขึ้นมา ผมพยายามทำเต็มที่ทั้งสองฝั่งเท่าที่จะทำได้ สำคัญเลยคือไม่กดดันตัวเอง”

แล้ว ในวัย 16 ปี ตอนนั้นมุมมองต่อผู้กำกับคืออะไร เราโยนคำถามไปให้บาสในปัจจุบันย้อนถามผ่านกาลเวลาและความทรงจำไปถึงเด็กชายบาส เขาตอบว่าตอนนั้นเขามองว่าผู้กำกับคือ นักเล่าเรื่อง นักเล่าความรู้สึก

“ตอนนั้นยังไม่รู้เลยครับว่าผู้กำกับต้องทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเป็นอาชีพที่ดูภาพรวมของหนัง และผมอยากเป็น ถ้าผมดูหนังเรื่องไหนแล้วรู้สึกชอบ สนุก ตื่นเต้นไปกับเรื่องราวของหนังเรื่องนั้น ผมจะบังคับให้คนที่บ้านดูและคอยสังเกตอยู่ห่างๆ ถ้าเขารู้สึกชอบเหมือนที่ผมรู้สึกเขาจะไม่เดินเข้าห้องน้ำ สิ่งนั้นทำให้ผมมีความสุข รู้สึกภูมิใจแทนผู้กำกับ เมจิคของภาพยนตร์คือทำให้ชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปไม่ธรรมดาอีกต่อไป และนั่นคือเมจิคของภาพยนตร์ที่ผมชอบ”

26: ชายหนุ่มผู้สับสนแต่ไม่หลงทาง

ผ่านไปอีก 10 ปี จากเด็กมัธยมปลายขาสั้นสู่การเป็น first jobber ครั้งแรกในชีวิต นุ่งกางเกงสแล็ค สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป แต่นั่นไม่ใช่ภาพของบาส เพราะชายวัย 26 ปีนี้หลังจากเรียนจบปริญญาตรี เขาตัดสินใจเดินตามฝันด้วยตัวเองอีกครั้งโดยไม่พึ่งครอบครัวอีกต่อไป มุ่งหน้าไปยังอีกฟากหนึ่งของโลก

“เป็นช่วงที่ตัดสินใจไปเรียนต่อฟิล์มที่นิวยอร์ค คิดว่าจะทำงานไปเรียนไปไม่ขอเงินที่บ้าน แต่แผนการเรียนต่อฟิล์มก็ล่มเนื่องด้วยค่าเรียนที่สูงมาก ผมตัดสินใจไม่เรียนต่อตั้งใจทำงานเก็บเงินและสร้างหนังด้วยตัวเอง ถือเป็นการสอบรูปแบบหนึ่ง คิดเสมอว่ากูจะผ่านมันไปได้เปล่าวะ กับความเชื่อในสิ่งที่กูเลือกมาตรงนี้”

จุดนี้เขาเล่าว่ามันคือ สนามสอบรูปแบบใหม่เปลี่ยนจากนั่งขีดเขียนบนกระดาษมาเป็นการสอบที่มีอนาคตและความฝันของเขาเป็นเดิมพัน บาสเล่าว่าชีวิตในช่วงนั้นคือ ทำงานร้านอาหารตอนเช้า แบกขากล้อง อุปกรณ์กล้องไปด้วย ตกเย็นถ่ายหนังกับเพื่อน นับว่าเป็นช่วงค้นหาตัวเอง

เหมือนมนุษย์ทั่วไป ครั้งหนึ่งเขาก็เคยท้อกับความฝันตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งและสับสน

สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้ ผมก็แค่ทำต่อไปจนกว่าจะเจอคำตอบ จนกว่าจะเจอหนทางแก้ปัญหานั้น ถ้าตอนนั้นมีใครสักคนที่ดูหนังของผมและเดินมาชี้หน้าด่า ‘มึงห่วย มึงอย่าทำ มึงเลิกทำเหอะ’ ผมอาจเลิกทำหนังไปแล้วก็ได้ ซึ่งโชคดีที่ผมไม่เจอ

เหนื่อยไหม เราถาม เขาพยักหน้าตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า

“เหนื่อยมากแต่สนุกครับ”

แม้จะมีท้อบ้างแต่ไฟความมุ่งมั่นเขาไม่เคยหมด เขายังคงเลือกเดินตามความฝันในวัย 16 ปีของเขา แล้วถ้าต้องประเมินให้คะแนนตอนช่วงวัย 26 ปี คิดว่าควรได้เท่าไร บาสตอบว่าถ้ามองในด้านวิชาการคงสอบตก

ทำไมล่ะ

“จริงๆ ผมเริ่มอาชีพผู้กำกับช้านะถ้าเทียบกับเด็กเจนฯใหม่ที่เดี๋ยวนี้กำกับกันเร็วมาก ผมใช้เวลาไปกับการค้นหาสิ่งเหล่านี้ให้ตัวเองนานไปหน่อย ถ้าให้พูดเรื่องเกรดในด้านวิชาการผมสอบตกเลยนะ เพราะวิชาฟิล์มก็ไม่ได้เรียน เรื่องเทคนิคกล้องที่ควรจะรู้ก็ไม่รู้เลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้นะ (หัวเราะ) หนังช่วงนั้นที่ทำก็จะซื่อบื้อมาก เสียงฟังไม่รู้เรื่องเพราะถ่ายด้วยกล้องวิดีโอ แต่ถ้าพูดในแง่มุมเกรดจิตพิสัยผมให้เต็มสิบเลยนะ มองย้อนกลับไปรู้สึกเหนื่อยแทนตัวเอง แต่ที่ทำได้ เพราะช่วงนั้น passion เยอะมาก”

แล้วมุมมองของการเป็นผู้กำกับเปลี่ยนไปอย่างไรจากเด็กวัย 16 ปีจนกลายมาเป็นหนุ่มในวัย 26 ปี เปลี่ยนไปแค่ไหน บาสตอบว่า เขาเข้าใจมันมากขึ้นและภาพความเท่ของอาชีพนี้เปลี่ยนไป

“เริ่มเข้าใจกระบวนการทำงานมากขึ้นจากที่เริ่มเมื่อตอนอายุ 16 ปีเคยคิดว่า ‘ผู้กำกับแม่งเท่มาก ชี้นิ้วสั่งพอ’ แต่พออยู่ในวัย 26 ปี ภาพความเท่ของการเป็นผู้กำกับเปลี่ยนไป มึงจะเท่ได้ มึงต้องเข้าใจธรรมชาติการทำงาน มานั่งไขว่ห้างหน้ามอนิเตอร์ เอาแต่ชี้นิ้วสั่งคนอื่นไม่ได้นะ มึงต้องเข้าใจด้วยว่าหนังคืออะไร เมสเสจที่อยากจะเล่าคืออะไร ภาพในหัวต้องชัดเจนอยู่ตลอดเวลา” ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ต้องทำการบ้านหนักขึ้นในแง่การคิด การอ่าน การเตรียมงาน เป็นมุมมองที่เปลี่ยนไป”

จากเรียนเอกละครเวที สู่การตั้งต้นทำภาพยนตร์เอง แต่มาจบลงที่การกำกับโฆษณา แน่นอนว่าความสงสัยของเรามีเต็มหัวว่ามันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร บาสอธิบายว่า พอเอาเข้าจริงแล้วการเรียนละครเวทีทำให้ตัวเขามองหนังเปลี่ยนไป

“จากเมื่อก่อนตอนดูหนังก็คิดว่า ‘เฮ้ย เรื่องนี้มุมกล้องเท่วะ’ แต่พอเรียนละครเวที ผมสนใจตัวละครมากขึ้น สนใจธีมมากขึ้น ถือเป็นข้อดีที่ได้รับจากการเรียนละครเวที คิดว่าหลังเรียนจบจะเรียนฟิล์มแต่ยังไม่เคยมีโอกาสเหมาะ”

ประกอบกับที่ทุกวันนี้ยุคนี้โฆษณาค่อนข้างกลายพันธุ์ มีความเป็นหนังสั้นแปะโปรดัคท์ตอนท้ายเป็นไวรัล ซึ่งมีความใกล้เคียงกับการทำหนังใหญ่ค่อนข้างเยอะ ต้องเล่าเรื่อง ต้องสื่อความรู้สึกส่งสารไปถึงคนดูให้ได้ เช่น สารของโฆษณาคือการขายของ จุดนี้ทำให้เขารับมือและจัดการกับมันได้อย่างลงตัว

“ผมเคยผ่านจุดที่ไม่ค่อยเข้าใจการทำโฆษณา ลูกค้าให้โจทย์มาผมก็ตีโจทย์ตามแบบที่ผมคิดว่าสนุก ในความเป็นจริงเรื่องราวอาจสนุกจริง แต่มันขายของไม่ได้ ลูกค้าไม่แฮปปี้ ตัวผมก็ไม่แฮปปี้ หลังจากเรียนรู้สิ่งที่ผ่านมาผมกลับมาหาจุดกึ่งกลางที่ลงตัวระหว่างการขายของให้ลูกค้า พร้อมกับขายความเป็นคนทำหนังของผมด้วย คือต้องรับผิดชอบโจทย์ลูกค้าควบคู่กับรับผิดชอบการทำหนังของผมไปพร้อมๆ กัน”

36: ผู้กำกับร้อยล้าน

สิบปีต่อมา เด็กชายบาสก็ทำตามฝันได้สำเร็จ แม้ภาพยนตร์เรื่องแรก เคาท์ดาวน์ จะไม่โด่งดังเท่ากับเรื่องล่าสุด ฉลาดเกมส์โกง ก็ตาม แต่เขาเล่าว่ารอยต่อระหว่างตรงนั้นได้สอนข้อคิดชีวิตบางอย่างให้เขาอย่างลึกซึ้ง

“ผมรู้สึกปล่อยวางมากขึ้น จากสมัยแรกๆ ที่เป็นผู้กำกับมักคาดหวังกับ feedback ค่อนข้างสูง คิดเสมอว่าผลออกมาต้องสวยหรู แต่ผลกลับตรงกันข้ามไม่ใช่อย่างที่คิด ความรู้สึกเหมือนเราล้ม เจ็บชิบหายเลย บางอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่ควบคุมได้คือความเต็มที่ของเรา ไม่ชุ่ยกับงาน ไม่โกงทีมงาน ไม่โกงคนดู เรื่องของ feedback หนังจะเป็นอย่างไร ฉายได้เงินกี่สิบล้านเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้ รับผิดชอบโจทย์ที่ได้รับมาให้ดีก็พอ อย่างผมได้รับโจทย์หนังเรื่องฉลาดเกมส์โกง โจทย์คือทำหนังวัยรุ่นโจรกรรมที่สนุกตื่นเต้นอย่างมีมิติ หลังจากได้รับโจทย์จากลูกค้ามาหน้าที่ผมคือคิดว่าทำอย่างไรให้เล่าเรื่องสนุก ขณะเดียวกันคนดูต้องจำโปรดัคท์ได้ จำเมสเสจที่ลูกค้าอยากสื่อสารได้นั่นคือความรับผิดชอบต่อตัวงานของผม ไม่เคยคิดว่าทำแล้วจะต้องได้ร้อยล้าน จะต้องได้รางวัล”

เพราะชีวิตมนุษย์ทุกคนเต็มไปด้วยการสอบ บาสเล่าว่า ไม่เพียงเฉพาะวัยรุ่นเท่านั้น เรียนจบมาก็จะมีการสอบในรูปแบบของการทำงาน เหมือนอย่างผมทำหนังเรื่องแรกก็ถือเป็นการสอบเอนทรานซ์อย่างหนึ่งซึ่งก็ไม่ผ่าน

ชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่มองย้อนกลับมาปัญหาเหล่านั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเขาในวัยนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อพ่อแม่ ต่อโรงเรียน ไม่น่าแปลกใจที่จะรู้สึกว่ามีสปอตไลท์ส่องมากลางหัวตลอดการเดินทาง ในฐานะคนทำหนังแค่ต้องบอกเล่าความรู้สึกนั้นให้คนทุกวัยเข้าใจก็เท่านั้นเอง

ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนมุมมองต่อผู้กำกับอย่างหนึ่งหรือเปล่าสำหรับในช่วงวัย 26 ปี และ 36 ปี บาสตอบว่า ใช่ ก่อนจะอธิบายต่อว่า

“ผมว่าจริงๆ มันไม่ได้เปลี่ยนทุก 10 ปีมันเปลี่ยนทุกงานเลยนะสำหรับผม ทุกงานสอนอะไรบางอย่างเสมอ ถ้าเราเปิดตามองอย่างเป็นธรรม ไม่คิดเข้าข้างตัวเองก็จะเห็นจุดบอด จุดอ่อนของเราในการคิด การเล่าเรื่องทำไมถึงตบเข้าโปรดัคท์แบบนั้นจะเห็นภาพรวมทั้งหมด ผมว่าสิ่งเหล่านี้ค่อยๆ เปลี่ยนเราไปให้กลายเป็นผู้กำกับที่ดีขึ้นทีละนิดๆ”

ภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง อาจประเมินได้ว่า สอบผ่าน ในสายตาคนดูส่วนใหญ่ ความสำเร็จจากตรงนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่บทสัมภาษณ์นี้เป็นการนั่งคุยกันก่อนที่ภาพยนตร์ฉลาดเกมส์โกงเกือบจะเหมารางวัลไปทั้งงานสุพรรณหงส์ บาสกลับมองว่า ความสำเร็จตรงนั้นไม่ใช่สิ่งถาวร พร้อมกับให้คำแนะนำแก่เด็กรุ่นใหม่ที่สนใจเส้นทางนี้ว่า

“ผมว่าความสำเร็จเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าประคับประคองไม่ดีอาจกลายเป็นดาบสองคม ผมว่าเป็นเรื่องมายาประมาณหนึ่ง หมายถึงว่าเดี๋ยวนี้คนเก่งๆ มีมากขึ้น งานดีๆ มีมากขึ้น ความสำเร็จจึงเกิดง่ายและผ่านไปง่ายเช่นกัน ถ้าไปยึดติดมากเกินไปจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่พัฒนาตัวเอง คือถ้าจะให้คำแนะนำก็อยากจะบอกเด็กๆ ว่าจริงๆ ใช้ชีวิตตามสเต็ปของเด็กยุคนี้ไปเถอะ ดีมากๆ แล้ว ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามมีคนชอบงานที่เราทำ หรือว่าสำเร็จขึ้นมาในแบบที่เราต้องการก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมากเกินไปจนไม่กล้าทำอะไรที่มันใหม่ ให้ปล่อยวางบ้าง”

สุดท้าย… สำหรับผู้กำกับหนังวัย 36 ปี ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ในช่วงวัย 16 ปี อยากจะบอกเด็กคนนั้นว่าอย่างไร

“คงยื่นแบงก์พันให้ใบหนึ่งและบอกว่า มึงไปซื้อหนังมาดูให้เยอะขึ้น แค่นั้นมั้งครับ (หัวเราะ)”

Tags:

ภาพยนตร์ศิลปินดนตรีการสอบนัฐวุฒิ พูนพิริยะ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Soul: การตามหาแพชชัน ความฝัน และบอกว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นคนที่ Lost soul

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Voice of New Gen
    ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ต้นทุนชีวิต อย่าคิดให้ติดลบ
Creative learning
1 April 2018

ต้นทุนชีวิต อย่าคิดให้ติดลบ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • หลายคนเชื่อว่า ต้นทุนชีวิตแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่คำถามคือ… เราจะสร้างและเพิ่มพูนต้นทุนให้เพิ่มขึ้นได้ไหม?
  • เวทีผู้ใหญ่เล่าขาน เด็กสานสืบต่อ จึงจัดขึ้นเพื่อชวนฟังประสบการณ์ชีวิตและการเพิ่มต้นทุนตามข้อจำกัดของคนที่ต่างกัน
  • Active Citizen เชื่อว่าความเชื่อใจและเชื่อมั่น คือกุญแจสำคัญช่วยหนุนพลังให้เด็กเติบโตกับสิ่งที่ชอบได้อย่างมีภูมิคุ้มกัน

เคยได้ยินหลายคนเปรียบเปรยให้ฟังว่ามนุษย์แต่ละคนเกิดมาพร้อมต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นฐานะ สภาพครอบครัว สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ส่งผลมาถึงการศึกษาและคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ

แต่ในเมื่อคนเราเลือกเกิดไม่ได้ คำถามที่ตามมา คือ เราจะสร้างต้นทุนชีวิตให้เพิ่มพูนขึ้นได้หรือไม่? ถ้าได้ จะต้องทำอย่างไร? แล้วอะไรบ้างที่จะหล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ?

คำตอบของคำถามที่ว่ามาทั้งหมด ถูกฉายให้เห็นอย่างน่าสนใจในงาน มหกรรมแห่งการเรียนรู้ ‘ผู้ใหญ่เล่าขาน เด็กสานสืบต่อ’ ที่จัดขึ้น ณ โครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ อำเภออัมพวา และวัดกลางเหนือ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีเครือข่ายโครงการ Active Citizen จังหวัดสมุทรสงครามเป็นแม่งาน เปิดบ้านให้มานั่งล้อมวงคุยกัน

โครงการ Active Citizen ภายใต้การสนับสนุนของ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นโครงการที่เชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กและเยาวชน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน และมีต้นทุนชีวิตเท่าไรก็ไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญ

ตัวโครงการมีเป้าหมายพัฒนาเด็กและเยาวชนในแต่ละท้องถิ่น ตามแต่ละภูมิภาคให้เติบโตขึ้นเป็น ‘พลเมือง’ ที่สามารถ ‘รับมือ’ และ ‘ต่อกร’ กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกอนาคตโดยไม่เสียหลักล้มลงกลางทางไปเสียก่อน เด็กและเยาวชนจึงมีโอกาสเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิต จากการลงมือทำโครงการที่เป็นการแก้ปัญหาหรือพัฒนาไอเดียต่อยอดเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นตนเอง

พีช-ชาตรี ลักขณาสมบัติ หนึ่งในผลผลิตของโครงการ Active Citizen ที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ตอนนี้เขากำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จากเด็กวัยรุ่นที่มีโลกส่วนตัวสูง ชอบใส่หูฟังฟังเพลงอยู่คนเดียวทั้งวัน แถมไม่กล้าแสดงออก โครงการเป็นจุดเปลี่ยนให้พีช มองเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง แล้วเปิดใจยอมรับเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง

“พอมาทำโครงการผมเริ่มรู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงและเป็นภาระให้กับเพื่อนในทีม เลยหันมามีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง กล้าเข้าหาผู้คน และกล้าพูดกล้าคุยกับผู้ใหญ่มากขึ้น มันทำให้ผมคิดได้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับคนอื่นให้ได้ การทำโครงการทำให้ได้คิดมากกว่าในห้องเรียน

เพราะเวลาเรียนเราถูกตีกรอบ แต่เวลาทำโครงการไม่มีสิ่งไหนผิดหรือถูก

“เป็นความคิดความสงสัยที่มาจากตัวเรา แต่จะมีพี่เลี้ยงคอยแนะนำชวนตั้งคำถามให้เราได้คิดต่อ โครงการของผมเป็นเรื่องน้ำตาลมะพร้าว ในตำบลท่าข้าม อำเภออัมพวา พวกเราไปสำรวจพบว่าการทำน้ำตาลมะพร้าวแบบดั้งเดิม โดยใช้เตาตาลกำลังหายไป เลยเกิดความสนใจอยากทำโครงการนี้ขึ้นมา” พีชกล่าว

ด้าน ป่าหวาย จะบุ้ง หนุ่มปกากะญอ อดีตเด็กแว้น ติดเหล้า โดดเรียน ขนาดถึงขั้นเรียนติดศูนย์จนต้องซ่อมแล้วซ่อมอีกกว่าจะเรียนจบ ถ่ายทอดประสบการณ์อย่างน่าสนใจว่า เขาตกล่องปล่องชิ้นเข้ามารับผิดชอบโครงการตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเกเรมาก แต่กระบวนการอบรมและการเรียนรู้ในโครงการเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“โครงการทำให้คิดเป็นระบบ ฝึกให้ทำตามกระบวนการ ทำให้เราอดทนต่อสังคมภายนอก หลังจากร่วมโครงการแล้ว ผมมีความตั้งใจกับชีวิตมากขึ้น พอจบชั้น ม.6 ก็ทำงานส่งตัวเองเรียน เป็นช่างยนต์ เป็นเด็กส่งของ ทำงานบริษัท ไปเรียนตัดผม ผมมองเห็นความหมายของอนาคต เพราะผมอยากประสบความสำเร็จในชีวิต อยากสร้างมูลนิธิเล็กๆ ให้เด็กยากไร้ที่บ้าน เพราะเคยได้รับเสื้อผ้า ได้รับขนมที่คนอื่นเอามามอบให้ ผมมองว่าเราไม่ต้องไปแข่งกับใคร เราแข่งกับตัวเองให้ได้ก็พอ” ป่าหวาย กล่าวอย่างมุ่งมั่น

ความเชื่อใจและเชื่อมั่นทำให้เด็กเติบโต

ผู้ใหญ่มักมองว่าเด็กและเยาวชนชอบแสดงออกและหมกมุ่นเฉพาะกับสิ่งที่ตัวเองสนใจ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ที่สุดแล้ว ‘ความเชื่อใจ’ จากผู้ใหญ่ และ ‘ความเชื่อมั่น’ ในตัวเอง เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยหนุนพลังให้เด็กเติบโตกับสิ่งที่ชอบได้อย่างมีภูมิคุ้มกัน

“เด็กมีของดีในตัว ถ้าโชคดีได้บ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กๆ ก็จะติดตัวมาถึงมหาวิทยาลัย หน้าที่ของครูคือให้โอกาสเด็กแสดงสิ่งที่เขาคิด แล้วค้นหาศักยภาพของเขาผ่านตัวโครงการที่เขาอยากทำ ฟังให้มากขึ้นพูดให้น้อยลง มองตัวเราให้เล็กกว่าเขา เอาธรรมชาติของตัวเขาและธรรมชาติในตัวเราจูนเข้าหากัน รู้จักให้และรับอย่างมีศิลปะในความเป็นครู” ดร.ฐิติมา เวชพงศ์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงบทบาทของครู

เช่นเดียวกับ เรณุกา หนูวัฒนา ครูที่ปรึกษาของทีมเยาวชนในโครงการ สะท้อนว่า บทบาทที่สำคัญของครู คือ ‘ต้องอ่านนักเรียนให้ออก’ แล้วเสริมในจุดที่นักเรียนถนัดตามธรรมชาติของเขา ครูต้องช่วยกระตุ้นให้นักเรียนรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร แล้วสนับสนุนให้เขาลงมือทำ ครูเรณุกา ย้ำว่า บทบาทหน้าที่นี้ไม่ได้เป็นของครูเท่านั้น แต่เป็นของทุกคน ทั้งผู้ปกครองและเครือข่ายในชุมชนสังคมที่เกี่ยวข้อง

“ถ้าผู้ใหญ่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเด็ก ไม่ช่วยกระตุ้น ไม่ปลุกให้เขาลงมือทำ สุดท้ายเด็กจะไหลไปตามน้ำ แล้วชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปเลย เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาจะหายไปด้วย”

แป้ง-ศิริพร บุญมาก นักศึกษาชั้น ปวศ.2 วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ราชบุรี อีกหนึ่งตัวแทนเยาวชนโครงการ Active Citizen ที่ทำโครงการทดลองใช้จุลินทรีย์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักศึกษาและโครงการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ยืนยันจากประสบการณ์ของตัวเองว่า ความเชื่อมั่นทั้งในตัวเอง และจากคนรอบข้างมีส่วนช่วยส่งเสริมศักยภาพของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ แป้งบอกว่า แม้โครงการที่ทำจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น แต่กระบวนการระหว่างทางทำให้ได้เรียนรู้กับตัวเองด้วย แป้งกล่าวว่า

คนอื่นอาจมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเรา แต่เราได้ฝึกตัวเอง มันอยู่ที่ความเชื่อด้วย เราเชื่อว่าสิ่งที่ทำสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ได้พัฒนาตัวเอง เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราทำและได้เข้าใจคนอื่น

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสร้างต้นทุนชีวิตใหม่ให้งอกงามด้วยตัวเองได้ หากเทียบชีวิตกับการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ แน่นอนว่าเมล็ดพันธุ์ที่ดีมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง แต่หากเมล็ดพันธุ์นั้นไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม คงไม่สามารถออกใบผลิบาน ผ่านร้อนผ่านหนาวและผ่านสภาพอากาศที่แปรปรวนจนเติบโตขึ้นได้ ในทางกลับกันเมล็ดพันธุ์ทั่วไป หากได้รับการเอาใจใส่จนมีภูมิคุ้มกันที่ดี เมล็ดพันธุ์นั้นจะสามารถเติบโตเป็นต้นกล้า รอดตายกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาและยังคงความสวยงามได้เช่นกัน

สำหรับเด็กและเยาวชน การรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ก็ไม่ต่างจากการดูแลเอาใจใส่ทั้งจากคนในครอบครัว สถานศึกษาและสังคมรอบข้าง ส่วนฟ้าแดดลมฝนก็เปรียบได้กับประสบการณ์ชีวิตที่พวกเขาต้องประสบพบเจอด้วยตัวเอง

อะไรบ้างที่จะหล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ

หากคำว่า ‘คุณภาพ’ หมายถึง การเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ “คิดเป็น มีคุณธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี มีความรักในตัวเองและผู้อื่น มีความสามารถจัดการตนเองได้และมีจิตสาธารณะ” ต้นทุนชีวิตแบบไหนก็คงไม่สำคัญเท่าการได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ ให้พวกเขาได้ลองทำในสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้จักตนเองและสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน เพราะความผิดพลาด ความล้มเหลว หรือความสำเร็จจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตนอกห้องเรียน เป็นบทเรียนในชีวิตจริงที่จะช่วยหล่อหลอมคนคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นอย่างเห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งมีจิตสาธารณะที่จะทำเพื่อผู้อื่นต่อไป

ด้วยเหตุนี้ต้นทุนชีวิตของเราจึงไม่เคยติดลบ เพราะเราทุกคนเลือกและสร้างสรรค์ได้ว่าอยากให้ตัวเองมีอนาคตแบบไหน…

Tags:

active citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)งานเสวนา

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    ‘เจ้านาย’ ผู้หันหลังให้ร้านเกมแล้วเดินเข้าสวนมะพร้าว

    เรื่องและภาพ The Potential

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel