Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: November 2017

นิสัย 5 อย่างของพ่อแม่ สอนลูกให้มีความเพียร
Grit
30 November 2017

นิสัย 5 อย่างของพ่อแม่ สอนลูกให้มีความเพียร

เรื่องและภาพ KHAE

บางทีเราก็ล้มเลิกความฝันเพราะเห็นแต่ภาพสุดท้ายที่ใหญ่มาก ไม่รู้ว่าระหว่างทางต้องไปยังไง ไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองพอทำได้ พอเป็นแบบนั้นเราก็เบื่อหมดไฟไปก่อน

– KHAE

นิสัย 5 อย่างของพ่อแม่ สอนลูกให้มีความเพียร

  1. เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้พัฒนาความชอบ (develop a fascination): สนับสนุนและช่วยค้นหาคุณค่าความชอบของพวกเขาอย่างเอาใจใส่
  2. สร้างเป้าหมายที่ท้าทายและยิ่งใหญ่ (greater purpose): ตั้งความหวังที่ท้าทายความสามารถและเหมาะกับวัยของพวกเขา
  3. ฝึกซ้อมเป็นประจำ (daily improvement): ต้องเป็นการฝึกปฏิบัติอย่างมีคุณภาพและต้องฝึกมากพอ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ยิ่งฝึกยิ่งชำนาญ
  4. สอนให้พวกเขาเรียนรู้จากความล้มเหลว (growth mindset): อนุญาตที่จะให้ลูกๆ หัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่พอใจกับความล้มเหลว และสอนให้พวกเขาอย่าท้อและอย่าเชื่อว่าความล้มเหลวนั้นเป็นสิ่งถาวร
  5. พ่อแม่ก็ต้องมีอุปนิสัยแบบนี้ด้วยเช่นกัน (you too!): ถ้าพ่อแม่ไม่มีแนวคิดแบบนั้นก่อน เด็กก็จะไม่เห็นตัวอย่าง เพราะส่วนใหญ่เด็กๆ มักปฎิบัติตามหรือเลียนแบบสิ่งที่พ่อแม่เป็น

Tags:

พ่อแม่ครูGrit

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • MovieEarly childhood
    THE FLORIDA PROJECT: ดินแดนมหัศจรรย์จะเป็นที่ไหนในโลกก็ได้

    เรื่อง

  • Grit
    5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    WHAT IS GRIT?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

จะอยู่กับ ‘สิ่งที่ต้องทำ’ ด้วยความ ‘หลงใหล’ ไปพร้อมกันได้อย่างไร?
Grit
30 November 2017

จะอยู่กับ ‘สิ่งที่ต้องทำ’ ด้วยความ ‘หลงใหล’ ไปพร้อมกันได้อย่างไร?

เรื่อง The Potential

  • หลายครั้งที่ต้องเลือกระหว่าง ‘สิ่งที่หลงใหลอยากทำ’ กับ ‘สิ่งที่ต้องทำเพราะความจำเป็น’ คงจะดีไม่น้อยถ้าทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งเดียวกัน
  • ไม่ว่า passion จะมาจากทางไหน ปัจจัยร่วมคือค้นหา ‘คุณค่า’ ของงานที่ทำ จนพบคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ที่ตรงกับความเชื่อหรือพลังภายในของตนเอง
  • แต่เมื่อค้นพบคุณค่า จนทำให้เรารักและหลงใหลในงานตรงหน้า แต่สิ่งที่จะพัฒนาต่อยอดความรักนั้น คือความอดทนที่จะพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
  • ทั้งหมดนี้ ‘พ่อแม่’ ช่วยลูกสร้างได้

ความสำเร็จของนักกีฬาชื่อดังหลายคนไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์ใดๆ เพราะคงไม่มีใครเล่นกีฬาเก่งมาตั้งแต่เกิด ซึ่งกว่าจะมาถึงวันแห่งชัยชนะได้ นอกจากหลงใหลคลั่งไคล้ในกีฬาชนิดนั้นๆ แล้ว พวกเขายังต้องมุมานะพยายามฝึกซ้อมยาวนานหลายปี

กล่าวกันว่า ความมุมานะพยายาม (grit) มีหลายระดับ แต่ละระดับล้วนมีองค์ประกอบแตกต่างกันไป

แต่ความมุมานะเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาวมี 2 องค์ประกอบคือ passion ที่หมายถึงความชอบระดับหลงใหล กับ perseverance ที่หมายถึงความอดทน มานะพยายาม ไม่ท้อถอย

หลายคนเข้าใจผิดว่า passion หรือความชอบความหลงใหลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ฟ้าประทานให้ แต่ในชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช กล่าวไว้ว่า passion มาจาก 2 ทางคือ

  • ทางที่เลือก หมายความถึงคนที่โชคดีในชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และได้เลือกอย่างนั้น
  • ทางที่ไม่ได้เลือก หมายถึง ชะตาชีวิตพาไปพบ เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ จึงต้องเรียนและหางานทำ และชะตาชีวิตพาไปทำงาน ‘ที่ใช่’ นั้นๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มนี้

ไม่ว่าจะได้ passion มาจากทางไหน ปัจจัยร่วมคือการค้นหา ‘คุณค่า’ ของงานที่ทำ จนพบคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ที่ตรงกับความเชื่อหรือพลังภายในของตนเอง ที่เป็นแรงผลักดันให้ทำสิ่งนั้นจนประสบผลสำเร็จ

ทำอย่างไรเราจะค้นพบ ‘คุณค่าที่ยิ่งใหญ่’ ในชีวิตได้เร็วขึ้น?

มนุษย์เรียนรู้ได้หลายมิติ จากการกระทำของตนเอง ตามด้วยการไตร่ตรองสะท้อนคิด เพื่อค้นหาความเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง และค้นหาคุณค่าลึกๆ ของสิ่งที่เผชิญ เมื่อค้นพบคุณค่าก็จะเกิดความรักความหลงใหล (passion) ในสิ่งนั้น การเรียนรู้แนวทางนี้จะงอกงามทั้ง passion และทำให้เราอดทนทำในสิ่งที่เราหลงใหล หรือ perseverance ที่ทำให้เรา ‘ต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ’ เพื่อต่อยอดความหลงใหลของเรา

แอนเจลา ดัคเวิร์ธ (Angela Duckworth) บอกว่า คนมักเข้าใจผิดว่า พลังของความมุมานะ หรือ grit มาจาก ‘จำนวน’ หรือการใช้เวลามากกับการฝึกฝน ซึ่งถูกเพียงเล็กน้อย แต่พลังของ grit ส่วนใหญ่มาจาก ‘คุณภาพ’ หรือวิธีการฝึกฝนที่ถูกต้อง

การฝึกเฉยๆ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ต้องฝึกและปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา (deliberate practice) ซึ่งกรณีนี้พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือโค้ชที่ดีจะช่วยได้

การฝึกและปรับปรุงอยู่ตลอดเวลามี 4 องค์ประกอบ ดังนี้

  • มีเป้าหมายที่ยากแต่ชัดเจน
  • ฝึกอย่างมีสมาธิ และพยายามเต็มที่
  • มี feedback หรือการสะท้อนกลับทันทีอย่างมีข้อมูลหลักฐาน
  • ฝึกซ้ำโดยมีการไตร่ตรองสะท้อนคิดและหาทางปรับปรุง

อ่านมาถึงตรงนี้คงพอเข้าใจแล้วว่า grit เป็นสิ่งที่งอกงามขยายตัวได้ และมีธรรมชาติงอกงามตามอายุ วิธีพัฒนา grit มี 2 แนวทางคือ แนวทางเติบโตจากภายในตนเอง กับแนวทางสนับสนุนจากภายนอก

แนวทางเติบโตจากภายใน

มี 4 วิธีคือ

  1. ความสนใจและได้รับประโยชน์ (interest)
  2. การฝึกปฏิบัติ (practice)
  3. มีเป้าหมายเชิงคุณค่า (purpose)
  4. มีความคาดหวัง (hope)

แนวทางสนับสนุนจากภายนอก

ได้แก่

  1. การเลี้ยงดูของพ่อแม่ (parenting)
  2. การมีพื้นที่ให้ grit ทำงาน (grit player)
  3. มีวัฒนธรรมที่ส่งเสริม grit (grit culture)

เห็นได้ว่าการเลี้ยงดูของพ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้ grit งอกงามขยายตัวได้ แต่พ่อแม่ต้องเป็น ‘พ่อแม่ที่ฉลาด’ โดยตั้งความหวังกับลูกไว้สูง และต้องให้การสนับสนุนลูกในเวลาเดียวกัน

พ่อแม่ที่ไม่ฉลาดมีอยู่ 3 แบบคือ

  1. พ่อแม่ที่ตั้งความหวังไว้สูง แต่ไม่เอาใจใส่ลูก
  2. พ่อแม่ที่เอาใจใส่ลูก แต่ไม่ตั้งความคาดหวังให้สูง
  3. พ่อแม่ที่ไม่เอาใจใส่และไม่ตั้งความหวัง

หากคุณอยากเป็นพ่อแม่ที่ฉลาดก็ต้องเปิดพื้นที่ให้ grit ของลูกได้ทำงานหรือออกกำลัง ซึ่งทำได้โดยส่งเสริมให้ลูกได้ฝึกฝนเรียนรู้สิ่งที่ยาก ที่ต้องใช้ความพยายาม มานะ อดทน ซึ่งภาษาการศึกษาเรียกการเรียนรู้แบบนี้ว่า Project-Based Learning (PBL) เป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ grit ทำงานอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้พ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ต้องมีทักษะในการมอบหมายงานที่ยากและท้าทายให้ลูกหรือลูกศิษย์ในระดับที่เหมาะสมกับช่วงวัยและความสามารถ

การศึกษาที่ดีเป็นการสร้าง grit ไปในตัว โดยไม่ต้องไปฝึก grit ด้วยการเรียนพิเศษแต่อย่างใด เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง grit สำคัญกว่า talent

และหากคิดตามแนวของแอนเจลา การมีกระบวนทัศน์พัฒนา (growth mindset) เป็นเพียงพื้นฐานสู่ความสำเร็จ แต่มนุษย์จะประสบความสำเร็จได้จริงต้องมีการฝึกปฏิบัติอย่างมีคุณภาพและต้องฝึกมากพอ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ยิ่งฝึกยิ่งชำนาญนั่นเอง

(เรียบเรียงจากหนังสือ เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่ โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช)

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)Gritอาชีพ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    สอนให้เด็กเห็นคุณค่าสิ่งที่มี ขอบคุณยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง
Character building
30 November 2017

ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง

เรื่อง The Potential

  • เพราะอาชีพทอผ้าไหมโซดละเวเริ่มหายไปจากชุมชนชาวกวย จ.ศรีสะเกษ เมื่อสบโอกาสผู้ใหญ่ในชุมชนชวนให้ทำโครงการ เต๋า-อภิชาต วันอุบล แม้จะยังทอไม่ได้ แต่เขาก็ใช้โอกาสนี้เรียนรู้เรื่องราวผ้าไหมโซดละเวอย่างจริงจัง
  • ลายผ้าทอ’ แต่ละผืนได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ และชีวิตของชาติพันธุ์ชาวกวยผูกพันกับลำน้ำ ป่า เขา และมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย จึงถ่ายทอดลวดลายลงบนผืนผ้าเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในชนบท
  • ความยากของโครงการไม่ใช่แค่การฝึกทอผ้า แต่คือการเข้าไป รื้อ ศึกษา และถ่ายทอดภูมิปัญญาให้คงอยู่ และนั่นเรียกร้องความเพียรพยายามในปริมาณสูงทีเดียว

เต๋า-อภิชาต วันอุบล เด็กหนุ่มจากจังหวัดศรีสะเกษที่หลงใหลลวดลายผ้าทอโซดละเว ผ้าไหมมัดหมี่ขึ้นชื่อของบ้านแตพัฒนา ตำบลโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เพราะชื่นชอบผ้าทอโซดละเวเป็นชีวิตจิตใจ แม้จะยังทอไม่ได้ ลวดลายมีชื่อเรียกอย่างไรก็ไม่รู้จัก แต่เมื่อสบโอกาสที่ผู้ใหญ่ในชุมชนชักชวนให้ทำโครงการ เต๋าจึงใช้โอกาสนี้เรียนรู้เรื่องราวผ้าไหมโซดละเวอย่างจริงจัง

เต๋า-อภิชาต วันอุบล

เต๋าเล่าว่า ผ้าไหมโซดละเวเป็นผ้าไหมที่อยู่คู่ชุมชนบ้านแต้พัฒนามาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย เมื่อว่างเว้นจากการเกษตร คนในชุมชนก็จะปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าไหม เพื่อเป็นอาชีพเสริมอีกช่องทางหนึ่ง แต่ด้วยปัจจุบันค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง คนในชุมชนจึงหันไปทำงานต่างจังหวัดมากขึ้น

อาชีพเสริมอย่างการทอผ้าไหมจึงเริ่มหายไปจากชุมชน เหลือเพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงสานต่ออาชีพนี้ เพราะเห็นว่านี่คือสิ่งที่ถูกส่งต่อจากบรรพบุรุษ รวมถึงความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนาของชาวกวยที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและการนับถือผียังคงมีอยู่

เต๋าและทีมงานจึงเริ่มศึกษาและเก็บรวบรวมเรื่องราวของผืนผ้า โดยพบว่ามีการใช้ผ้าไหมโซดละเวในพิธีกรรมต่างๆ ในรอบปี โดยทีมงานจัดทำเป็นปฏิทินการใช้ผ้า เช่น ใช้ประกอบเครื่องบูชาพระแม่โพสพในงานบุญข้าวเปลือก เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ใช้ผ้าไหมห่อใบลานและพิธีกรรมนางอ้อ ในงานบุญผะเหวด หรือพิธีกรรมนางอ้อ

ส่วนเดือนเมษายน ใช้เป็นสิ่งของเพื่อนำไปเยี่ยมญาติช่วงสารทเดือนสิบ รวมทั้งใช้เป็นองค์ประกอบในเครื่องกฐิน เป็นต้น นอกจากนี้ ในกระบวนการศึกษายังพบว่า ‘ลายผ้าทอ’ แต่ละผืน ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เนื่องจากพื้นฐานของชาติพันธุ์ชาวกวยผูกพันกับลำน้ำ ป่า เขา และมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย จึงถ่ายทอดลวดลายลงบนผืนผ้าเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในชนบท

เก็บ แกะ เกิด

นอกจากนี้ การศึกษาเพิ่มเติมจากผู้รู้ดังกล่าว ทำให้เต๋าและทีมงานค้นพบกระบวนการเรียนรู้หลัก 3 ก. หรือ กระบวนการเก็บ แกะ เกิด ที่หมายถึงการ ‘เก็บ’ รวบรวมข้อมูลจากผู้รู้เรื่องผ้าลายโบราณ เพราะผ้าไหมที่สมบูรณ์ในแบบฉบับโซดละเวนั้น ต้องมีองค์ประกอบครบ 3 อย่าง คือ หัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น จากข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาส่งต่อสู่กระบวนการ ‘แกะ’ ที่เยาวชนต้องแกะลายผ้าโบราณไว้เป็นสูตรสำหรับใช้ทอต่อไปในอนาคต เนื่องจากสมัยก่อนผู้เฒ่าผู้แก่จะใช้วิธีจำเอาเท่านั้น

หลังจากเก็บข้อมูลและแกะลายแล้ว เต๋าและทีมงานต่างฝึกฝนฝีมือการทอผ้าจน ‘เกิด’ ผ้าผืนใหม่ที่เป็นลายโบราณ ได้แก่ ลายตองเผาะจ์ ลายกากะญัย ลายกาซันผืด ลายโคม เป็นต้น

“ฝึกทอ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่สวยก็รื้อทำใหม่ ถามว่าท้อไหม…ท้อ แต่ไม่ยอมถอย”

ส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่เต๋าถ่ายทอดออกมา เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะฟื้น ‘ภูมิปัญญา’ ให้กลับมามี ‘มูลค่า’ สำหรับคนรุ่นใหม่ แต่ด้วยความหลงใหลในลวดลายของผ้าทอ ทำให้เต๋ามุ่งมั่นตั้งใจ พยายามฝึกทอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อทอเป็นก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทอเท่านั้น แต่เต๋ายังมีแรงบันดาลใจคิดค้นต่อยอดลายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมโซดละเวให้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น

จากความหลงใหลในผืนผ้า นอกจากจะทำให้เต๋ามุมานะเรียนรู้และฝึกฝนจนรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องราวความเป็นมาของผ้าไหมโซดละเวแล้ว ความรู้และความรักยังทำให้เต๋าเกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของตัวเอง จนลุกขึ้นมาสานต่อวัฒนธรรมการนุ่งโสร่งโดยไม่เขินอาย เพื่อสื่อให้คนภายนอกรับรู้ถึงอัตลักษณ์ของคนกวยที่ยังคงอยู่สืบไป ดังคำพูดที่เต๋าทิ้งท้ายว่า “ทอเอง ใส่เอง ขายเอง และภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง”

แล้ววันนี้คุณมองหา passion ของลูกเจอหรือยัง…

อนเจลา ดัคเวิร์ธ (Angela Duckworth) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เชื่อว่า กุญแจแห่งความสำเร็จคือ ‘Grit’ หรือ ความเพียร ที่อยู่ภายใต้องค์ประกอบ 2 อย่าง นั่นคือ passion ความหลงใหลหรือความชื่นชอบ และ perseverance ความมานะอดทน

ขณะเดียวกัน แอนเจลายังคิดทฤษฎีที่แสดงถึงพลัง Grit ต่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ (Achievement) เป็นสมการที่ว่า

Talent x Effort = Skill

Skill x Effort = Achievement

นั่นหมายความว่า ความพยายามที่มาจาก Grit จะเป็นตัวคูณถึงสองครั้งในสมการนี้ จะเห็นได้ว่า แม้เด็กหรือเยาวชนจะเก่งหรือมีความสามารถในหลายๆ เรื่อง หากไม่มี passion ในสิ่งที่ทำ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ ก็จะมีน้อยเช่นกัน

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)อาชีพวัยรุ่นactive citizenproject based learning

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ชีวิตนอกกำแพง และ ‘โอกาส’ เพื่อฟื้นคุณค่าตัวเองกลับคืน

    เรื่อง The Potential

ROAD SAFETY: ลูกฮึดจากเยาวชนหลังคำถาม ‘ทำไม่ได้ หรือ แค่ยังทำไม่ได้?’
Growth & Fixed Mindset
30 November 2017

ROAD SAFETY: ลูกฮึดจากเยาวชนหลังคำถาม ‘ทำไม่ได้ หรือ แค่ยังทำไม่ได้?’

เรื่อง The Potential

  • เพราะไม่เชื่อในคำว่า ‘ทำไม่ได้’ อ้วน-คำรณ นิ่มอนงค์ พี่เลี้ยงโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก จึงไม่สนใจความ ‘ไม่พูด เพราะกลัวจะตอบผิด’ ของน้องๆ มุ่งหน้าทำความรู้จักและทำให้มั่นใจว่า ความคิดของพวกเขาไม่ไร้สาระ และไม่มีถูกผิดเลย
  • การทำงานในโครงการ Road Safety สร้างความเข้าใจใหม่ว่า ความฉลาดไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่คือมุมมองต่อการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง เปลี่ยนจาก fixed mindset มาสู่ growth mindset

หลายคนคงเคยรู้สึกท้อถอยกับการทำอะไรบางอย่าง จนถึงขั้นถอดใจ ล้มเลิกสิ่งที่ทำลงกลางคัน เพราะมองว่าถึงทำต่อก็ไม่มีทางสำเร็จ…

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถของเราอาจไปไม่ถึงบางอย่าง ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายอย่างที่เราสามารถไปถึงเป้าหมายได้ เพียงแค่ใส่ความพยายามลงไปอีกนิด และไม่ตัดสินตัวเองไปเสียก่อนว่า ‘ทำไม่ได้’

ผู้คนสมัยก่อนเคยเชื่อกันว่า ‘สมองดี’ เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คนเราจะโง่หรือฉลาดจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลง แต่ปัจจุบันงานวิจัยต่างๆ ยืนยันแน่ชัดแล้วว่า สมองของคนเราพัฒนาได้

นั่นหมายความว่า แท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่มีคนโง่หรือคนฉลาด ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาสมองให้มีศักยภาพมากขึ้น แต่ยังมีคนส่วนหนึ่งติดกรอบความคิดที่ว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ เพราะ ‘ความเชื่อ’ ของตัวเอง

Prof.Carol S. Dweck บนเวที TEDxNorrköping เดือนกันยายน 2014 ในหัวข้อ ‘The Power of Believing That You Can Improve’

ศาสตราจารย์แครอลเคยขยายความไว้บนเวที TEDxNorrköping เมื่อเดือนกันยายน 2014 ในหัวข้อ ‘The Power of Believing That You Can Improve’ ว่า ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กมี growth mindset คือ ‘power of yet’ หรือการใช้คำว่า ‘ยัง’ เพื่อสร้างแรงส่งให้เด็กมั่นใจว่าไม่ใช่เขาทำไม่ได้เลย แต่แค่ ‘ยังทำไม่ได้’ จะทำให้เขาพยายามพัฒนาตัวเองและหาทางออกเวลาเจอปัญหา

เพราะเมื่อเด็กได้ลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เซลล์ประสาทในสมองของเขาจะสร้างการเชื่อมโยงใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม และหากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้เด็กมีสมองที่ดีขึ้น ซึ่งผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยเด็กให้เกิด growth mindset ที่แข็งแรง จึงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ ‘ผู้ใหญ่รอบตัวเด็ก’ นั่นเอง

คล้ายกันกับเยาวชนจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี ที่มองว่าตัวเองไม่เก่ง จึงไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าบอกความคิดเห็น และถูกสังคมตีตราว่าเป็นเด็กท้ายแถวในระบบการศึกษา ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของกลุ่มเด็กหลังห้อง หรือม้านอกสายตาที่ถูกครูและสังคมมองข้ามอยู่เสมอ

เขาคือกลุ่มที่เคยเชื่อว่า ‘ตัวเองทำไม่ได้’ กระทั่งพวกเขามีโอกาสเข้าร่วม ‘โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก’ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิตน้องๆ กลุ่มนี้ก็ว่าได้ เมื่ออ้วน-คำรณ นิ่มอนงค์ พี่เลี้ยงโครงการพลังเด็กและเยาวชนฯ ที่มาชวนคุย ชวนคิด เพื่อเขียนแผนการทำงาน แต่ในช่วงแรกพวกเขาก็นิ่งเฉย ไม่ตอบ เพราะกลัวว่าจะตอบผิด

พี่อ้วนเปลี่ยนวิธีใหม่ ด้วยการให้กลุ่มเยาวชนลองไปถามนักศึกษาคนอื่นในวิทยาลัยว่า บริเวณรอบวิทยาลัยมีปัญหาอะไรบ้าง แล้วกลับมาระดมสมองว่า คนส่วนใหญ่พูดถึงปัญหาไหน ในที่สุดจึงได้ข้อสรุปออกว่า คนส่วนใหญ่มีความกังวลใจเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน หรือโครงการ Road Safety เพราะบริเวณรอบวิทยาลัยมีไร่อ้อยเยอะ ทำให้มีรถขนอ้อยสัญจรผ่านตลอดเวลา ทว่านักศึกษาและชาวบ้านกลับไม่ค่อยสวมใส่หมวกกันน็อคเวลาขับขี่รถจักรยานยนต์ จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง

การที่ได้โอกาสลงมือเก็บข้อมูลเอง ได้พูดคุยกับเพื่อนนักศึกษา ครูอาจารย์ และคนในชุมชนรอบสถานศึกษาของตนเอง ทำให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง และได้ทำให้ความมั่นใจในตนเองค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

แม้จะได้โจทย์การทำโครงการแล้ว แต่น้องๆ ก็ยังติดปัญหาเรื่องการวางแผนโครงการ ทุกครั้งที่พี่อ้วนเริ่มชวนคุยเรื่องงาน น้องจะนิ่งเงียบ ไม่พูด ไม่ตอบ พี่อ้วนตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่จากการตั้งวงคุยอย่างค่อนข้างจริงจัง เปลี่ยนมาเป็นการนัดน้องๆ ในทีมกินข้าวและพูดคุยในบรรยากาศผ่อนคลาย ทีมงานแต่ละคนจึงค่อยๆ เปิดใจ เล่าเรื่อง และแสดงความเห็นของตนเองออกมา ความมั่นใจและการเรียนรู้จากประสบการณ์ภาคสนามกลับมาแสดงผลของมันแล้ว

หลังจากมีแผนการทำงานแล้ว ช่วงเย็นของทุกวัน น้องๆ จะนั่งล้อมวงคุยเพื่อวางแผนการทำงานและติดตามความคืบหน้าในการทำงาน ซึ่งเกิดจาก ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา ครูผู้สอนและที่ปรึกษาของทีมที่เป็นผู้ ‘เปิดพื้นที่’ แก่เหล่าลูกศิษย์

ความเปลี่ยนแปลงของเด็กที่หวั่นเกรงการทำงานวิชาการ ไม่กล้าแสดงออก กลัวทำผิด ตอบผิด เริ่มเปลี่ยนไป ความมั่นใจจากการได้ลงมือทำและแก้ปัญหาร่วมกันค่อยๆ เข้ามาแทนที่ เห็นได้จากกระบวนการทำงานที่น้องๆ เลือกลงพื้นที่เก็บข้อมูลวิชาการ ทั้งบริบทชุมชน วิถีชีวิต การประกอบอาชีพที่สัมพันธ์กับการขับขี่ พฤติกรรมการขับขี่ยานพาหนะ และจุดเสี่ยงต่างๆ โดยใช้แบบสอบถามและการจดบันทึกข้อมูล

“โครงการนี้ทำให้เห็นพฤติกรรมเสี่ยงที่เกิดขึ้นทุกวันชัดขึ้น เมื่อก่อนก็มีอุบัติเหตุอยู่ตลอด เพียงแต่เราไม่เคยใส่ใจ แต่พอมาเก็บข้อมูลจึงเห็นว่ามันเสี่ยงและอยู่ใกล้ตัวเรามาก” น้องๆ ทีม Road Safety กล่าว

ความเชื่อที่พี่อ้วนและครูที่ปรึกษามีต่อทีม Road Safety ว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาได้ กลายเป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายความคิดให้พวกเขาปรับเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีต่อตัวเองว่า ทำไม่ได้ ให้กล้าลุกขึ้นมาลงมือทำ

ทำให้เห็นว่าเด็กสมองดี ไม่ใช่เด็กที่เกิดมาฉลาด แต่เป็นเด็กที่มีมุมมองต่อการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง ก้าวขึ้นมาสู่ความสำเร็จได้

นอกจากทีม Road Safety จะสมองดีจากการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองแล้ว การลงมือทำโครงการเพื่อสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมยังกระตุ้นจิตใจที่ดีงามให้งอกเงยขึ้น ซึ่งนี่อาจเป็นนิยามของสมองดีที่ผู้ใหญ่หลายคนกำลังค้นหาวิธีการสร้างให้เกิดขึ้นในใจของเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่

“การทำงานเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนเกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเรา เพื่อนของเรา และคนในชุมชนโดยตรง แต่ก่อนที่เราจะไปสร้างจิตสำนึกให้เขาเห็นความสำคัญของการใส่หมวกกันน็อค ต้องเริ่มจากตัวเราก่อน ตอนนี้เวลาขับมอเตอร์ไซค์จึงใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง”

ปัจจุบันข้อมูลจากการศึกษาวิจัยต่างๆ เห็นตรงกันว่า การสอนให้เด็กมี growth mindset ที่มุ่งเน้นกระบวนการพัฒนาตัวเองระหว่างทำงานมากกว่าผลสำเร็จตอนจบ ส่งผลต่อการประสบความสำเร็จของเด็กทั้งที่โรงเรียนและการทำงาน ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานให้เด็กก้าวผ่านทุกอุปสรรคในชีวิตได้

ลองถามตัวเองอีกครั้งว่า สิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้ คือข้อจำกัดที่ขีดขึ้นให้ตัวเองหรือเปล่า หากเพียงเราเติมความมุ่งมั่นอีกนิด ใส่ความตั้งใจอีกหน่อย ยอมผิดพลาดบ้างแล้วเรียนรู้ แต่ไม่ใช่ยอมรับความพ่ายแพ้ สิ่งที่ ‘ยัง’ ทำไม่ได้วันนี้ อาจกลายเป็นผลสำเร็จที่งดงามชนิดคาดไม่ถึงก็เป็นได้

หนังสือ Mindset: The New Psychology of Success จากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์แครอล ดเวค (Prof.Carol S. Dweck) ผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้เรียกมุมมองของคนที่มีต่อตัวเองด้วยคำว่า ‘mindset’ ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมการพัฒนาตนเองที่แตกต่างกันของคนสองกลุ่ม

กลุ่มแรกเป็นคนที่ให้ค่ากับ ‘พรสวรรค์’ ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และตัดสินตัวเองว่าสามารถทำได้แค่นี้ ไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีพรสวรรรค์ เรียกว่าเป็นพวกมี ‘fixed mindset’ ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งเชื่อตรงข้ามกับกลุ่มแรกว่า ตัวเองสามารถเก่งขึ้นได้ด้วยความมานะพยายาม มองความท้าทายหรือความล้มเหลวเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จ ความคิดนี้เรียกว่า ‘growth mindset’ หรือ ‘พรแสวง’

ปัจจุบัน นิยามของคำว่าสมองดี จึงไม่ใช่แค่เกิดมาพร้อมความฉลาด แต่สมองดีมาจากการพัฒนาตัวเอง รู้จักเคี่ยวกรำฝึกฝน อดทนต่ออุปสรรค มองปัญหาเป็นสิ่งท้าทาย ไม่ท้อถอย

ซึ่งการสร้างความคิดแบบ Growth Mindset ดังกล่าว ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เพราะธรรมชาติของสมองเด็กมีความยืดหยุ่นสูง (Brain Plasticity) เหมาะสมต่อการเรียนรู้และเป็นรากฐานให้ชีวิตในวันข้างหน้า

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Grit
    “เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง

    เรื่อง The Potential

จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ
Character building
30 November 2017

จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

เรื่อง The Potential

  • เรื่องของเน-ธัญญา ทองขำ ที่เปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ ผ่านโครงการไรน้ำนางฟ้าของเธอและเพื่อน
  • การพิสูจน์ตัวเองของวัยรุ่น ไม่ใช่แค่การได้รับความยอมรับจากผู้อื่น แต่คือการยอมรับตัวเอง ในแบบที่ตัวเองเป็นด้วย ซึ่งนี่คือบททดสอบแรกที่วัยรุ่นต้องเผชิญและต่อสู้กับมันอย่างหนัก เนเองก็เช่นกัน

เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย!?!

คำบ่นยอดฮิตของวัยรุ่นไทยหลายคนบนโลกออนไลน์ ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องรัก เพื่อน ครอบครัว และเรื่องตัวเอง ล้วนมีเหตุที่ทำให้วัยรุ่นรู้สึกเหนื่อย แต่ความเหนื่อยที่วัยรุ่นรู้สึกว่าใหญ่นั้น ใหญ่จริงหรือ?

ถ้ามองในเชิงวิทยาศาสตร์ ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ร่างกายภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ เห็นได้จากรูปร่างและน้ำเสียง หากลงลึกเข้าไปในร่างกายจะพบความพลุ่งพล่านของสมองที่กำลังพัฒนา โดยผลการศึกษาสมองวัยรุ่นด้วยเครื่อง MRI (Magnetic resonance imaging)

ทำให้เห็นว่าสมองของวัยรุ่น ‘ไม่ใช่เด็กและไม่ใช่ผู้ใหญ่’ เพราะระบบลิมบิค (Limbic system) ซึ่งทำงานเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกพัฒนาเต็มที่ ขณะที่สมองส่วนหน้าที่ทำงานเรื่องการตัดสินใจ การวางแผน การกำกับอารมณ์ยังพัฒนาไม่เต็มที่

ความไม่มั่นคงในอารมณ์นี้เองนำไปสู่การแสวงหาอัตลักษณ์และการยอมรับจากสังคมแวดล้อม ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม 8 ขั้น ของอีริค อีริคสัน (Erik Homburger Erikson) จึงไม่แปลกที่วัยรุ่นจะดูแลการแต่งกายของตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าและระมัดระวังการวางตัวกับคนอื่น เพราะรู้สึกวิตกกังวลว่า ‘คนอื่นคิดอย่างไรกับเรา’

ความยากลำบากของวัยรุ่นจึงเป็นการสลัดความเป็นเด็ก พัฒนาบุคลิก ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ จิตใจ และสมรรถนะในการทำงาน การเข้าสังคม ที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ภาวะก้ำกึ่งนี้ทำให้วัยรุ่นหลายคนรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและเหนื่อย!

วัยรุ่นส่วนใหญ่ลงมือค้นหาตัวเองด้วยการ ‘หาอะไรทำ’ เช่น ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ที่มีในโรงเรียน หรือสังคมร่วมกับคนอื่น แต่ความน่าเป็นห่วงคือ ทางที่เขาเลือกนั้นอาจจะถูกต้องหรือผิดพลาดก็ได้ เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกทั้งพื้นฐานเดิมของเด็ก การรับสื่อ สิ่งแวดล้อม และที่มีอิทธิพลต่อเด็กเป็นพิเศษคือ ‘กลุ่มเพื่อน’

จะดีกว่าไหมถ้าสังคมมีช่องทางให้วัยรุ่นก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความสับสน ค้นพบศักยภาพและความต้องการของตัวเอง ให้เขารู้จักสังคมรอบตัวอย่างแท้จริง และได้เลือกทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นการเปิดโอกาสให้วัยรุ่นได้ทดลองก้าวออกจากการประคับประคองจากครอบครัวสู่การผจญภัยในบทบาทใหม่ที่โตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น

เน-ธัญญา ทองขำ นักศึกษาแผนกวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ คือวัยรุ่นที่ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ในนามสงขลาฟอรั่ม ภายใต้โครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา ที่เปิดโอกาสให้เธอและเพื่อนร่วมวิทยาลัยทำโครงการไรน้ำนางฟ้า เนสนใจการเลี้ยงปลาสวยงามอยู่เป็นทุนเดิม จึงเห็นเป็นช่องทางที่จะได้ทดลองการเพาะเลี้ยงไรน้ำนางฟ้า ซึ่งเป็นอาหารมีชีวิตสำหรับปลาสวยงาม

จากความชอบส่วนตัวของเน พี่เลี้ยงจากสงขลาฟอรั่มได้ชวนคิดชวนคุยให้เนและเพื่อนๆ มองหาว่า โครงการนี้จะสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวมได้อย่างไร ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของโครงการพลังพลเมืองฯ กระทั่งพบว่าน่าจะช่วยลดต้นทุนอาหารปลาแก่ผู้จำหน่ายปลาสวยงามในจังหวัดสงขลา และสร้างแหล่งเรียนรู้เรื่องไรน้ำนางฟ้าในวิทยาลัยได้

แต่ก่อนจะได้ทำโครงการ เธอกับเพื่อนต้องผ่านการทดสอบด่านแรกนั่นคือ “การนำเสนอ” ต่อหน้าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อขออนุมัติโครงการ ทว่าพื้นฐานของเนไม่ต่างจากวัยรุ่นคนอื่นที่มีความกังวลต่อการเข้าสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมีปานแดงบริเวณใบหน้า ยิ่งทำให้เธอเป็นคนเก็บตัวมาตลอด เพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับสิ่งที่เธอเป็น

“เมื่อก่อนเราเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบพบปะผู้คน แต่ตอนนั้นเพื่อนที่นำเสนองานเก่งที่สุดไม่อยู่ เราต้องนำเสนอเอง จำได้ว่ากังวลจนร้องไห้ ตอนนั่งรถไปงานประชุมก็กังวลมากร้องไห้ไปตลอดทาง คิดอยากจะกลับท่าเดียว กลัวไปหมด แต่พอคิดได้ว่าถ้าเราไม่ไปแล้วงานที่คิดมากับเพื่อนต้องล้มเลิกไป เพื่อนคงเสียใจ เลยตัดสินใจเดินหน้าต่อ

“ยิ่งตอนคณะกรรมการซักถาม มือเราสั่นมาก พยายามตอบตามขั้นตอนที่ได้ทำ ปรากฏว่า “ตอบได้” ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่ามั่นใจมากขึ้นที่จะตอบคำถามอื่นๆ ของกรรมการในวันนั้น มันเลยกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ให้เรากล้าเข้าสังคม กล้าแสดงออก และกล้าพบปะผู้คนมากขึ้น เพราะรู้แล้วว่าถ้าเราลงมือทำจริง เราก็จะรู้จริง ตอบได้ และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนใจว่าเราหน้าตาเป็นอย่างไรเท่ากับว่าเราทำอะไร เรารู้อะไรหรอก”

การก้าวข้ามความวิตกกังวลด้วยการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่รู้สึกกลัว แทนที่จะหลบเลี่ยงหรือหลีกหนี ช่วยสร้างความมั่นใจ และค่อยๆ เปลี่ยนวิธีคิดของเนใหม่ว่า คนอื่นๆ ไม่ได้สนใจว่าร่างกายเธอจะเป็นแบบไหน มีคนมากมายที่พร้อมจะสร้างมิตรภาพกับเธอ และเธอก็ทำสิ่งที่คนอื่นทำได้ไม่ต่างกัน

ซึ่งการรับรู้ถึงความสามารถของตัวเองในครั้งนั้น จะเป็นพื้นฐานให้เนเติบโตต่อไปในสังคมได้อย่างแข็งแรง เพราะการตระหนักถึงคุณค่าภายในของตัวเองอย่างแท้จริงจะคงอยู่อย่างยั่งยืนกว่าคุณค่าภายนอกที่โรยราตามกาลเวลา

ผลจากการลงมือทำ เพื่อค้นหาคำตอบได้ช่วยคลี่คลายความหนักใจของผู้จำหน่ายปลาสวยงามในจังหวัดสงขลา กระทั่งเกิดเป็นแหล่งเรียนรู้ไรน้ำนางฟ้าในวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ที่เปิดกว้างพร้อมถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้สนใจทุกคนแล้ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เนเห็นทางเลือกในการเลี้ยงชีพหลังเรียนจบด้วยการเลี้ยงปลาสวยงาม นอกจากนั้นเนและเพื่อนๆ ยังส่งต่อกระบวนการเรียนรู้ให้รุ่นน้องในวิทยาลัย เพื่อให้น้องได้มีองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ต่อยอดในการประกอบอาชีพ และมีโอกาสพัฒนาตัวเองจากการลงมือทำ

คงมีวัยรุ่นอีกหลายคนที่กำลังเหนื่อยจากฮอร์โมนที่พลุ่งพล่าน และความวิตกกังวลต่อการค้นหาที่ทางของตัวเอง และเสี่ยงต่อการเดินทางผิด จะดีกว่าไหม หากผู้ใหญ่ช่วยกันเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองด้วยประสบการณ์ในเส้นทางที่มีผู้ใหญ่คอยประคับประคอง จนพวกเขามีความมั่นใจ และมีความมั่นคงในอารมณ์เพียงพอต่อการเผชิญปัญหาที่เป็นด่านต่อไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์

ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial development) ของ Erik H. Erikson อธิบายถึงลักษณะของการศึกษาไปข้างหน้า โดยเน้นถึงสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของคน

ซึ่งในแต่ละขั้นของพัฒนาการนั้นจะมีวิกฤติการณ์ทางสังคม (social crisis) เกิดขึ้น การที่ไม่สามารถเอาชนะหรือผ่านวิกฤติการณ์ทางสังคมในขั้นหนึ่ง ๆ จะเป็นปัญหาในการเอาชนะวิกฤติการณ์ทางสังคมในขั้นต่อมา ทำให้เกิดความบกพร่องทางสังคม (social inadequacy) และเป็นปัญหาทางจิตใจตามมาภายหลัง แนวคิดของ Erikson ได้แบ่งพัฒนาการด้านจิตสังคมของบุคคลเป็น 8 ขั้น ดังนี้

ขั้นที่ 1 ระยะทารก (Infancy period) อายุ 0-2 ปี :ขั้นไว้วางใจและไม่ไว้วางใจผู้อื่น (Trust  VS Mistrust)
ขั้นที่ 2 วัยเริ่มต้น (Toddler period) อายุ 2-3 ปี : ขั้นที่มีความเป็นอิสระกับความละอายและสงสัย (Autonomy VS Shame and doubt)
ขั้นที่ 3 ระยะก่อนไปโรงเรียน (Preschool period) อายุ 3-6 ปี : ขั้นมีความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิด (Initiative VS Guilt)
ขั้นที่ 4 ระยะเข้าโรงเรียน (School period) อายุ 6-12 ปี : ขั้นเอาการเอางานกับความมีปมด้อย (Industry VS Inferiority)
ขั้นที่ 5 ระยะวัยรุ่น (Adolescent period) อายุ 12-20 ปี : ขั้นการเข้าใจอัตลักษณ์ของตนเองกับไม่เข้าใจตนเอง (Identity VS role confusion)
ขั้นที่ 6 ระยะต้นของวัยผู้ใหญ่ (Early adult period) อายุ 20-40 ปี : ขั้นความใกล้ชิดสนิทสนมกับความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว (Intimacy VS Isolation)
ขั้นที่ 7 ระยะผู้ใหญ่ (Adult period) อายุ 40-60 ปี : ขั้นการอนุเคราะห์เกื้อกูลกับการพะว้าพะวงแต่ตัวเอง (Generativist VS Self-Absorption)
ขั้นที่ 8 ระยะวัยสูงอายุ (Aging period) อายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป : ขั้นความมั่นคงทางจิตใจกับความสิ้นหวัง (Integrity VS Despair)

Tags:

วัยรุ่นสงขลาฟอรั่มactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)อาชีพ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ชีวิตนอกกำแพง และ ‘โอกาส’ เพื่อฟื้นคุณค่าตัวเองกลับคืน

    เรื่อง The Potential

วิเชียร ไชยบัง แห่งลำปลายมาศพัฒนา: ครูไม่ใช่ ‘ผู้สอน’ แต่เป็น ‘ผู้ร่วมทาง’
Growth & Fixed Mindset
30 November 2017

วิเชียร ไชยบัง แห่งลำปลายมาศพัฒนา: ครูไม่ใช่ ‘ผู้สอน’ แต่เป็น ‘ผู้ร่วมทาง’

เรื่อง

  • เขาคือครูที่เคารพในคุณค่าความเป็นมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองได้ ครูจึงมิใช่ ‘ผู้สอน’ หากแต่เป็น ‘ผู้ร่วมทาง’ ทั้งหมดนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าครูยังคิดแบบ ‘Fixed Mindset’
  • สำหรับครูวิเชียร การสอบเป็นเครื่องมือที่หยาบ เห็นตื้น เห็นไม่จริง
  • ความฝันสูงสุดของผอ.คนนี้คือ เลิกทำโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
เรื่อง: นิธิ นิธิวีรกุล/อาทิตย์ เคนมี

เส้นทางชีวิตและการเติบโตทางความคิดของครูวิเชียร ไชยบัง ผู้อำนวยการโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ สั่งสมบ่มเพาะจนเกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ภายใน นำไปสู่การพัฒนาโรงเรียนต้นแบบที่ฉีกไปจากขนบแนวคิดแบบเดิมๆ ของระบบการศึกษาไทย

หลักคิดพื้นฐานของครูวิเชียรคือ การเคารพในคุณค่าความเป็นมนุษย์ โดยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองได้ เช่นนี้แล้ว ครูจึงมิใช่ ‘ผู้สอน’ หากแต่เป็น ‘ผู้ร่วมทาง’ ไปบนเรือลำเดียวกันกับผู้เรียน

โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเป็นโรงเรียนต้นแบบที่พยายามสาธิตให้เห็นว่า โรงเรียนไม่ใช่กะลา การศึกษาไม่ใช่เรื่องของการท่องจำ การวัดประเมินผลไม่ใช่แค่ตัวเลขเกรดเฉลี่ยอันสวยหรู หรือตัดสินกันที่สอบได้หรือสอบตก แต่การศึกษาที่แท้คือกระบวนการพัฒนาตน ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เผชิญปัญหา และค้นหาวิธีแก้ไขด้วยตัวของตัวเอง

ทั้งหมดนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากครูยังไม่สามารถข้ามพ้นจากกับดักความคิดแบบ ‘Fixed Mindset’

เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทยได้ กระทั่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกทั้งใบ ตราบใดที่เรายังไม่สามารถเปลี่ยนโลกทัศน์ในดวงตา เพื่อก้าวไปสู่กรอบความคิดแบบเติบโต

ครูวิเชียรในวัย 49 ยังคงใฝ่ฝันที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระบบการศึกษาไทย ขณะที่ความฝันสูงสุดก่อนที่จะถึงวัยเกษียณของเขาคือ การปล่อยมือจากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา แล้วออกเดินทางเร่ร่อนท่องโลก เพื่อเสาะหาคุณค่าที่แท้ของการมีชีวิต

ชีวิตวัยเด็กของครูเป็นอย่างไรบ้าง

ชีวิตวัยเด็กผมค่อนข้างบ้านนอกมาก พื้นเพเดิมเป็นคนมหาสารคาม เกิดที่หมู่บ้านชายแดนระหว่างมหาสารคามกับขอนแก่น เคยเห็นรถยนต์ครั้งแรกตอนอายุ 4 ขวบ ประมาณปี 2515 สมัยนั้นแถวบ้านผมยังเป็นป่าอยู่ แล้วอำเภอบรบือที่อยู่ใกล้ๆ กันขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเกลือ ก็จะมีรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อขนไม้มาทำฟืนต้มเกลือ ผมได้เห็นรถยนต์ครั้งแรกๆ ก็คราวนั้น

การที่ต้องอยู่หมู่บ้านห่างไกล มีผลต่อการเรียนของครูไหม

ตอนเรียนจบชั้นประถม ทีแรกผมเกือบจะไม่ได้เรียนต่อ เพราะเป็นคนเรียนไม่ดี คือไม่ใช่มือต้นๆ ของระดับชั้น และยังไม่ค่อยเข้าเรียนด้วย ครูในโรงเรียนชนบทจะไม่ค่อยเข้มงวดอะไรมาก เราก็หนีโรงเรียนไปหารังผึ้ง ไปขุดหาขี้สูด (แมงขี้สูด หรือชันโรง) ไปเล่นน้ำตามลำห้วย ไปหาอะไรทำแบบนั้น แทบจะไม่ค่อยร่วมกิจกรรมโรงเรียนเท่าไหร่ กีฬาก็ไม่ได้เล่นกับเขา เรียนก็ไม่ค่อยดี

พอจบชั้นประถมก็คิดจะไม่เรียนแล้ว จะออกไปหางานทำ อยากสมัครเป็นทหาร เพราะสมัยนั้นถือเป็นช่องทางเดียวที่จะได้เป็นข้าราชการ แต่ก็มีเหตุให้ต้องไปสมัครเรียนต่อชั้นมัธยม เข้าใจว่ามีคุณครู ป.6 อยากให้เรียนต่อ

สมัยก่อนสมัครเรียน ม.1 ค่าสมัครเรียน 100 นี่แพงมาก ลองนึกภาพสมัยนั้นปี 2522 เงินเดือนข้าราชการก็ประมาณ 2,000 กว่าบาท เพราะฉะนั้นเงิน 100 ถือว่าแพงมาก พอเข้าเรียนชั้นมัธยมต้องเดินไปเรียน 4 กิโลฯ ไปกลับก็ 8 กิโลฯ ชีวิตสมัยเรียนมัธยมต้นจึงเป็นช่วงที่ลำบากที่สุด แต่พอมัธยมปลายก็ย้ายไปเรียนที่อำเภอโกสุมพิสัย มีรถบัสประจำทางก็ไม่ลำบากมากนัก 17-18 กิโลฯ พอเรียนจบมัธยมปลายก็ไปเรียนต่อวิทยาลัยครู ก็เรียนไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดว่าจะเป็นครูอะไร

เดิมทีอยากเป็นทหาร แต่ทำไมจึงได้มาเป็นครู

ทีแรกตั้งใจว่าจะสอบเข้านายเรืออากาศ สมัยก่อนต้องสอบพร้อมกับเอนทรานซ์ ซึ่งต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมจึงไม่มีโอกาสสอบเอนทรานซ์ แต่พอสอบนายเรือไม่ติดเลยต้องมาเรียนครู บังเอิญว่าช่วง ม.6 ผมเคยไปสอบครูในโครงการคุรุทายาทไว้ เป็นโครงการใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการที่เพิ่งเปิดรับ ถ้าใครเรียนจบจะได้เป็นครูเลย ผมก็สอบทิ้งไว้ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นครู แต่พอสอบนายเรือไม่ติด ระหว่างนั้นยังไม่มีที่เรียนต่อ ผมก็ไปหางานทำแถวกรุงเทพฯ ทำงานหลายอย่าง จนกระทั่งกลับมาเข้าโครงการคุรุทายาท

เหตุผลอะไรที่กลับมาเรียนต่อ

พ่อแม่อยากให้เป็นครู เพราะเป็นช่องทางเดียวที่จะได้เป็นข้าราชการ ความเชื่อของพ่อแม่คือถ้าเป็นข้าราชการแล้วจะมีสวัสดิการให้พ่อแม่ มีสิทธิรักษาพยาบาล ที่จริงผมไม่เคยอยากกลับมาเป็นครู แต่ก็รับราชการเป็นครูอยู่ถึง 10 ปี โดยเป็นครูผู้สอนอยู่ 5 ปี และอีก 5 ปี เป็นผู้บริหารอยู่ 6 โรงเรียน ใน 4 อำเภอ จากนั้นก็ลาออกโดยที่ไม่ได้บอกใคร

ช่วงที่ลาออกทางมูลนิธิเจมส์ คลาร์ก อยากทำโครงการโรงเรียนตัวอย่าง เขาเปิดรับสมัครเพื่อหาคนมาเป็นครูใหญ่อยู่ 3 รอบ แต่หาไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่มีโรงเรียนเลย ที่ดินก็ยังไม่มี แต่เขาอยากหาคนมาทำโครงการต่อ ผมก็เลยลองมาสมัคร มาสัมภาษณ์ จำได้ว่าผมมาสัมภาษณ์วันที่ 25 พฤศจิกายน 2544 ได้สัมภาษณ์เป็นคนที่ 3 แล้วเขาก็รับผมเลย

ตอนนั้นคิดอย่างไรถึงออกจากข้าราชการครู

ตอนเป็นข้าราชการครูรู้สึกว่ายังทำอะไรได้ไม่เยอะ ก็เลยสอบครูใหญ่ สอบผู้บริหารโรงเรียน ตอนสอบผู้บริหารโรงเรียนผมก็ยังเด็กมาก อายุแค่ 27 ปี ถือว่าเด็กสุดในเขต 10 เลย พอทำงานไปสักพักก็เห็นใบสมัครของมูลนิธิเจมส์ คลาร์ก พอมาสัมภาษณ์ คุณเจมส์ก็ยอมรับให้มาทำด้วยกัน ผมจึงกลับไปเขียนใบลาออก ทั้งที่ตอนนั้นผมอายุแค่ 32 ปี อีกไม่นานก็คงได้ขึ้นผู้อำนวยการโรงเรียนแล้ว

ช่วงเวลาของการเป็นข้าราชการครูได้สังเกตเห็นอะไรบ้างในระบบการศึกษา

ต้องมองย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่ผมยังเรียนครู ช่วงปีที่ 4 ปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษา ผมรู้สึกว่าประเทศเรารับเอาความเชื่อ รับเอาวิธีการ รับเอาทฤษฎีทางการศึกษาจากต่างประเทศมาทั้งหมดเลย แล้วก็พยายามท่องทฤษฎีเหล่านั้นเป็นวรรคเป็นเวร เพื่อจะทำให้เป็นอย่างนั้น ผมก็รู้สึกกังวลใจ

ผมเขียนไดอารีในวันที่เรียนจบ เขียนว่า “ชีวิตนี้ อยากทำทฤษฎีการศึกษาที่เป็นของไทย หรือแนวคิดทางการศึกษาที่เป็นของไทย”

ผมเข้าใจว่าผมเขียนคำเล็กๆ ก็จริง แต่คำคำนั้นกลับสื่อสารมายังตัวผมเอง การที่ผมเขียน สมองผมทำงาน ผมใคร่ครวญ แล้วคำคำนั้นก็สื่อสารกับตัวผม มันฝังลึกลงไป ไม่มีวันลืม

เมื่อถึงวันที่มีโอกาส หลังจากเป็นครูมาแล้ว 10 ปี ผมก็ตัดสินใจลาออกโดยไม่ต้องบอกใครเลย มันเหมือนมีสารบางอย่างที่เราฝังชิพเข้าไปในตัวเอง พอได้มาอยู่ที่โรงเรียนลำปลายมาศ ผมก็พยายามค้นคว้าหาวิธีการจัดการศึกษาที่เหมาะกับไทย และพยายามชี้ให้เห็นว่าวิธีการหรือแนวคิดบางอย่างของต่างชาติที่เราเอามา ไม่ได้ถูกเสมอไป หรือใช้ไม่ได้กับประเทศไทยเสมอไป ผมจึงค่อนข้างระมัดระวังเวลาที่ผมใช้แนวคิดหรือวิธีการที่มาจากต่างชาติ

พอเข้ามาอยู่ที่โรงเรียนลำปลายมาศ ทางมูลนิธิเจมส์ คลาร์ก ได้วางรากฐานอะไรไว้ให้บ้างหรือไม่

ลองนึกภาพวันที่ 25 พฤศจิกายน 2544 ผมกลับไปตอนเย็น เขียนใบลาออกวันที่ 26 ยื่นวันที่ 27 แล้วผมได้รับอนุมัติใบลาออกเร็วมาก แค่ 2 วัน ผมก็รู้สึกใจแป้วเหมือนกันในตอนแรก เพราะไม่มั่นใจ ไม่รู้เรื่อง พอวันที่ 1 ธันวาคม ผมมาทำงานกับคุณเจมส์อยู่ที่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ

วันแรกที่เราเจอกัน เขาก็ชวนไปกินข้าวเย็น เราสองคนคุยกันโดยมีข้อตกลงว่า เขาไม่ใช่นักการศึกษานะ แต่เขาเห็นว่าการศึกษาไทยมีปัญหา เขาเคยช่วยมาแล้วทุกวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทุนการศึกษาเด็กๆ ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา

เขามองว่าวิธีการเดียวที่จะแก้ปัญหาอย่างได้ผลที่สุดคือ ต้องมีโรงเรียนตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้คนเห็น แต่หน้าตาของโรงเรียนจะเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าอยากได้

นั่นคือสิ่งที่คุณเจมส์พูดในวันแรกที่เจอกัน แล้วผมก็บอกว่าโอเค ผมจะทำโรงเรียนตัวอย่างให้คุณเจมส์ แต่มีข้อแม้ 2 เรื่อง หนึ่ง ต้องไม่มายุ่งวุ่นวายกับผม ปล่อยให้ผมทำ สอง ผมจะทำโรงเรียนให้สำเร็จ แต่จะทำให้แค่ 5 ปี เพราะผมก็มีฝันบางอย่างของผม ตอนนั้นฝันของผมหลังจากจบภารกิจแล้วก็คือ ผมอยากเดินเร่ร่อน ใช้ชีวิตเร่ร่อน อันนี้เป็นความฝัน คุณเจมส์ก็ไม่ได้บอกอะไร นอกจากคำพูดประโยคนั้น

ปี 2545 เริ่มมีที่ดินที่ลงตัว เริ่มมีการพูดคุยกับสถาปนิก เริ่มมีการพูดคุยเรื่องการออกแบบอาคาร สถานที่ บริบทที่เกี่ยวข้องที่จะทำให้การเรียนรู้มีคุณภาพสูง พอปลายปี 2545 ผมเริ่มรับครูรุ่นแรก มีการฝึกครูอยู่ 6 เดือน จากนั้นจึงเปิดการเรียนการสอนได้ในปี 2546 นั่นเป็นจุดเริ่มต้น

ในการทำงานปีแรกผมต้องใช้ความคิดค่อนข้างมาก เพราะว่าคำว่าโรงเรียนตัวอย่าง ผมต้องทำนอกวิถีจึงจะเห็นผลแบบใหม่ แต่ถามว่านอกวิถีคืออะไร ผมก็ไปดูโรงเรียนที่มีชื่อเสียง เห็นเขาหยิบทฤษฎีโน้นทฤษฎีนี้มาพูด ซึ่งมันแข็งตัว เวลาเราหยิบทฤษฎีไหนขึ้นมาก็ต้องทำในสิ่งที่เข้ากับทฤษฎีนั้น ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผมใช้ความคิดเยอะมากในช่วงนั้น

สิ่งที่ผมได้คำตอบมาอย่างหนึ่งก็คือ ต้องสร้างครู ถ้าสร้างครูไม่ได้ ครูไม่ดีพอ อย่างอื่นตกหมด

ครูรุ่นแรกที่เข้ามาต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างไรบ้าง

ครูรุ่นแรกที่เข้ามาก็เป็นนักศึกษาจบใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องยากแน่นอน เพราะสิ่งที่เขาเรียนมา แนวคิดทฤษฎีที่เขาเรียนมา เขาก็แค่รู้ แต่ไม่เข้าใจมัน เขาไม่ได้ผ่านประสบการณ์การเป็นครูมายาวนาน แต่ข้อดีก็คือ ทำให้เขาเปิดกว้าง ผมจึงมีกระบวนการทำงานกับครูอย่างเข้มข้นมากในช่วง 6 เดือน

ครูเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการ reflection หรือสะท้อนความคิดตัวเองออกมา ผ่านกระบวนการบันทึก เรียนรู้ร่วมกัน จนกระทั่งเขามองเห็นหลักสูตรหมดทั้งก้อน สามารถออกแบบดัดแปลงจากหลักสูตรมาสู่การปฏิบัติได้ ขณะเดียวกัน ในการปฏิบัติก็ต้องสามารถอธิบายในเชิงทฤษฎีได้

ความยากในการสร้างครูคืออะไร

‘คาแรคเตอร์’ ยากที่สุด ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเขาให้กลายเป็นครูที่มีมุมมองต่อเด็กแบบใหม่ ใจเย็นขึ้น พูดจานุ่มนวล เปิดใจที่จะรอรับการเรียนรู้ของเด็ก สิ่งเหล่านี้เป็นคาแรคเตอร์ที่สำคัญและต้องใช้เวลานาน

เพราะ mindset ของคนก็ยังเข้าใจว่าครู คือ ‘ผู้สอน’ จะไปเปลี่ยนให้เขาเป็นผู้อำนวยการสอนหรือผู้จัดการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ยาก ครูรุ่นแรกต้องใช้เวลา 1 ปี 2 ปี กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง

พอมีครูรุ่นแรกที่เป็น change agent หรือผู้นำการเปลี่ยนแปลง ครูรุ่นต่อมาก็มีต้นแบบ ได้พี่เลี้ยงที่ดีที่เขาจะเรียนรู้ตาม จากนั้นก็ง่ายขึ้น ง่ายขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งมีมวลของครูที่ดีมากเท่าไหร่ ครูที่มาใหม่ก็จะพัฒนาง่าย และในขณะที่เราพัฒนาในช่วงแรกอาจจะยังมองไม่เห็นรูปแบบชัดเจน แต่พอเราใคร่ครวญไปด้วย ทำไปด้วย reflection ไปด้วย ทุกอย่างก็จะค่อยๆ เห็นลงตัวขึ้น ง่ายขึ้น ใช้เวลาสั้นขึ้น

จากที่บอกว่าทฤษฎีการศึกษาของต่างประเทศอาจไม่สามารถตอบโจทย์คนไทยได้ แล้วจุดเริ่มต้นของลำปลายมาศพัฒนา ใช้ทฤษฎีอะไรเป็นแนวทาง

เราไม่ได้เริ่มต้นที่ทฤษฎี เราเริ่มต้นจากสิ่งที่เราอยากได้ เช่น เราอยากได้ outcome ของครูแบบไหน เราอยากได้ outcome ของเด็กอย่างไร เราก็เริ่มต้นจากตรงนั้นว่าจะทำอย่างไรให้ได้สิ่งนั้น เราไม่ได้เริ่มต้นที่ทฤษฎีว่ามันจะมาจากอะไร อย่างเช่นคำว่า ‘โรงเรียนตัวอย่าง’ ก็ต้องตอบโจทย์ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ด้วย

อะไรที่ยากๆ ใน พ.ร.บ.การศึกษา ที่ครูยังไม่สามารถทำได้ เช่น การบูรณาการการเรียนรู้ การประเมินตามสภาพจริง การเรียนรู้ร่วมกันของครู การประเมินภายใน-ภายนอก เรื่องเหล่านี้ตอบโจทย์ยากมาก แม้จะมี พ.ร.บ.อย่างดี แต่ไม่มีใครตอบโจทย์อะไรได้ หลักสูตรก็พูดถึงแต่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ บูรณาการการศึกษา บูรณาการการเรียนรู้ อะไรต่างๆ

เราจึงมาเริ่มต้นว่าจะทำอย่างไรให้เกิดสิ่งเหล่านี้ก่อน การจัดการเรียนรู้เราจะต้องเป็นแบบบูรณาการ ประเมินตามสภาพจริง มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของครู มีการควบคุมคุณภาพทั้งภายในและภายนอก รวมถึงคุณลักษณะแบบใหม่ของผู้เรียน เราคิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อก่อนยังไม่มีคำว่า Twenty First Century Skill (ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21) มีแต่คำว่าคุณลักษณะใหม่ที่เราอยากได้ เช่น สิ่งที่เป็นปัญหาในประเทศไทยตลอดมาก็คือ ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ เราก็มองว่าเป็นคุณลักษณะที่สำคัญ รวมถึงความสามารถในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง อย่างตลอดชีวิต เรื่องนี้เราคิดไว้ตั้งแต่ต้น

ก่อนที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะเกิด โรงเรียนอื่นๆ ก็มีความพยายามที่จะออกนอกกรอบเหมือนกัน แต่ทำไมจึงไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร

สิ่งที่ไม่ตอบโจทย์คือ คำว่า ‘โรงเรียนตัวอย่าง’ คำนี้ผมตีความว่า

ต้องทำให้โรงเรียนส่วนใหญ่หรือโรงเรียนของรัฐสามหมื่นกว่าโรงนำไปใช้ได้ ซึ่งการจะนำไปใช้ได้ ต้องมีองค์ประกอบและปัจจัยไม่มากไปกว่าเขา

เช่น ต้องใช้งบน้อยกว่าเขา จำนวนครูเท่ากัน จำนวนเด็กต้องเท่ากัน รับเด็กด้วยวิธีการคละ รับครูจากที่เดียวกัน เงินเดือนครูก็ไม่ได้ต่างกัน องค์ประกอบทุกอย่างต้องไม่มากกว่าที่โรงเรียนมี ถ้าทำอย่างนี้ได้จึงจะตอบโจทย์ ถ้าใช้วิธีการต่างกัน แล้วได้ผลลัพธ์ต่างกัน อย่างนี้จึงจะตอบโจทย์ได้ว่าเป็นโรงเรียนตัวอย่างที่ดี เพราะไม่มีองค์ประกอบไหนที่โรงเรียนอื่นทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นโรงเรียนที่เขาพยายามเป็นโรงเรียนตัวอย่าง ถึงแม้จะยังไม่ตอบโจทย์เรื่องนี้ แต่ก็อาจจะตอบโจทย์อย่างอื่น เช่น การค้นหาแนวทางใหม่ในการจัดการเรียนรู้

ถ้าจะให้ตอบโจทย์จริงๆ ผมนึกถึงโรงเรียนส่วนใหญ่ที่เป็น mass จากโจทย์ที่ได้มาจากคุณเจมส์ ผมตีความว่า เขาคงเห็นว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณภาพ เราไม่ได้ต้องการแค่สร้างคุณภาพของเด็กในโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา แต่เราต้องการสร้างคุณภาพของเด็กในโรงเรียนทั่วๆ ไปด้วย

อะไรคือตัวชี้วัดที่จะยืนยันได้ว่า สิ่งที่ครูวิเชียรกำลังทำอยู่นั้นประสบความสำเร็จ

สิ่งที่ผมต่อสู้ในช่วงแรกๆ ผมต่อสู้กับ 3 เรื่องของสังคม

หนึ่ง-กรอบความคิดว่าด้วยเรื่องเป้าหมายการศึกษา เพราะคนในสังคม ไม่ว่าจะนักการศึกษาหรือครูเองยังมองว่าความสำเร็จของการศึกษา คือให้เด็กเก่ง ให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ให้เด็กได้เกรด 4 อันนี้คือสิ่งที่ผมต่อสู้

สอง-เรื่องความเข้าใจผิดว่าการประเมิน คือการวัดผล คือการสอบ และสาม-เรื่องครู สังคมมีความเข้าใจว่า ครูคือผู้สอน และการพัฒนาครูคือการอบรม ผมพยายามทำทั้งสามเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเลย พยายามทำให้เห็นว่ายังมีวิธีการอื่นที่เราสามารถทำได้

ทีนี้พอพูดถึงเรื่องว่า เราจะวัดผลอย่างไรจึงจะรู้ว่าเราไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ เริ่มจากเรื่องเด็กก่อน เรื่องเด็กนี้เราทำงานหนัก ที่จริงก็มีคนคิดไว้ก่อนแล้วคือ การประเมินตามสภาพจริง

เราปฏิเสธการสอบตั้งแต่แรก เพราะการสอบเป็นเครื่องมือที่หยาบ เห็นตื้น เห็นไม่จริง

เราก็เลยมีเครื่องมือที่มากกว่าการสอบ เช่น ประเมินจากชิ้นงาน ภาระงาน ประเมินจากการปฏิบัติจริงของเด็ก ประเมินจากร่องรอย ประเมินจากพฤติกรรม และความก้าวหน้า แล้วก็เราพยายามทำกรอบให้เห็นว่า การประเมินนั้นต้องตอบโจทย์ในการบรรลุผลสำเร็จของเด็กให้ครบถ้วน ซึ่งการประเมินตามสภาพจริงอย่างต่อเนื่อง ขณะสอนก็ต้องมีการประเมินไปด้วยสอนไปด้วย ไม่ใช่ทิ้งช่วงไว้แล้วค่อยประเมิน

การวัดผลนั้นมีเหตุผลสำคัญๆ อยู่ 2 เรื่อง ประเมินเพื่อยกระดับผู้เรียน กับประเมินเพื่อตัดสิน ในกรอบแนวคิดการศึกษาแบบเก่าจะเป็นการประเมินเพื่อตัดสินเท่านั้น ให้เกรดผ่านหรือตก หรือได้ลำดับที่เท่านั้นเท่านี้ เราพยายามไม่ให้มีเรื่องนี้ การประเมินทุกครั้ง วัตถุประสงค์ที่สำคัญคือเพื่อให้รู้จักผู้เรียนอย่างแท้จริง หาวิธีพัฒนาเขา ยกระดับเขาให้มากขึ้น

ในส่วนของการประเมินครู เมื่อก่อนนี้ผมจะมีการประเมินครูที่เข้มข้น เราเคยคิดดัชนีในการประเมินครูให้เป็นไปตามเกณฑ์ต่างๆ

แต่แล้วผมก็รู้สึกว่า 4-5 ปีที่ผ่านมานั้นเราทำผิดพลาด การที่มีการประเมินครูนั้นเป็นเรื่องผิดพลาด เพราะเป็นวิธีคิดแบบเก่า

ทุกครั้งที่ประเมิน เราจะประเมินผิดทุกครั้ง เราจะประเมินว่าอันนี้หนักหรือเบา ผิดมากผิดน้อยขึ้นอยู่กับว่า องค์ประกอบของความผิดมีมากแค่ไหน

เช่น ความผิดพลาดจากคนวัด จากเครื่องมือวัด หรือจากวิธีวัด ซึ่งการประเมินเช่นนี้ทำให้มีอัตราการลาออกสูงมากในช่วงแรกๆ เพราะเป็นการประเมินที่เข้มข้น ผมจึงมาเปลี่ยนวิธีคิดในช่วง 10 ปีหลังนี้ โดยการประเมินครูจะยืดหยุ่นมากขึ้น จะเน้นเรื่องการพัฒนามากกว่าที่จะตัดสิน เป็นการประเมินเพื่อยกระดับมากกว่า ระบบการประเมินที่ดีควรเปิดให้ผู้ถูกประเมินมีโอกาสที่ได้มองเห็นเอง เพื่อช่วยยกระดับเขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่า

อีกส่วนหนึ่งคือ ประเมินองค์กร ในปีที่ 14 ผมได้เชิญมหาวิทยาลัยทัสมาเนีย (University of Tasmania) มาประเมินว่าเราทำโรงเรียนในแนวทางแบบนี้มากว่าสิบปีเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็มาอยู่กับเรา 7 วันนะ มาดูทุกอย่าง ตรวจทานทุกเรื่อง แล้วเขาก็เขียนรายงานออกมาเล่มหนึ่งยาวมาก ตอนท้ายของรายงานเขาเขียนว่า การจัดการเรียนการสอนที่นี่เหมือนกับเวิลด์คลาสโฮม มีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมือนกับระดับโลก คือ เน้นการจัดการเรียนรู้มากกว่าสอน สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เด็กเป็นผู้เรียนรู้ร่วมกัน มีการประเมินตามสภาพจริง

แต่นั่นทำให้ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นการประเมินที่เป็นอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินเด็ก ประเมินครู ทุกอย่างที่ผมเห็น มันเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดต่อการพัฒนา แล้วคนประเมินก็อวดดีว่าตัวเองรู้ ตัวเองใช่ ตัวเองถูก เลยไม่มีกระบวนการร่วมกันในการสร้างการเรียนรู้เพื่อยกระดับ เพราะคอยแต่ประเมินอยู่ร่ำไป

ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละกระบวนการของการศึกษา ครูวิเชียรมีวิธีจัดการหรือคลี่คลายอย่างไรบ้าง

ประการแรก ผมไม่มองว่ามันเป็นปัญหา ผมจะรู้สึกตื่นเต้นกับมันทุกครั้ง เพราะผมถือว่ามันเป็นแค่สถานการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น เป็น event หนึ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เราไม่พึงพอใจหรือเป็นอุปสรรคต่อสิ่งที่เราต้องการแค่นั้นเอง แต่ผมไม่ได้มองว่านั่นเป็นปัญหา ผมรู้สึกเป็นเรื่องท้าทายทุกครั้งที่เกิดขึ้น เวลาเกิดปัญหา ครูลาออก ผู้ปกครองไม่เข้าใจ เด็กๆ ทะเลาะกัน น้ำไม่ไหล ไฟดับ หรือความขัดแย้งระดับนโยบาย สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสถานการณ์ที่เราจะต้องหาวิธีเปลี่ยน เป็นแค่สถานการณ์ที่ต้องแก้ ต้องเปลี่ยน ต้องปรับ ขยับไปอีกสถานการณ์หนึ่งเท่านั้นเอง นั่นทำให้ผมอยู่แบบไม่ทุกข์ ถ้านึกว่าเราอยู่ในโรงเรียนหนึ่งที่ผุดขึ้นจากศูนย์แล้วท้าทายความคิดของสังคมรอบนอกทั้งหมด คิดดูว่าจะมีปัญหารุมเร้าขนาดไหน

เด็กนักเรียนที่เติบโตขึ้นจากที่นี่ มีความคิดความอ่านแตกต่างไปจากเด็กทั่วไป ถ้าวันหนึ่งเขาจบออกไปแล้วจะไม่ทำให้เขาแปลกแยกใช่ไหม

ต้องเข้าใจก่อนว่า การเป็นโรงเรียนตัวอย่างต้องตอบโจทย์สิ่งที่เขาจะเอาไปใช้ในโลกด้วย ขณะที่เราพัฒนาผู้เรียนด้วยกระบวนการใหม่ เขาจะมีทักษะสำคัญเพิ่มขึ้นมา เช่น ทักษะการคิด ทักษะการจัดการตัวเอง มีเครื่องมือในการจัดการตัวเอง กำกับตัวเอง มีคุณลักษณะที่มากไปกว่าที่มีในหลักสูตรเดิม เมื่อเขามีสมรรถนะเช่นนี้แล้ว ไปที่ไหนเขาก็ตอบโจทย์ได้ แก้ปัญหาได้ วิธีการสอนแบบเดิมต่างหากที่ไม่ทำให้เด็กมีสมรรถนะตามหลักสูตร

การเป็นโรงเรียนต้นแบบ มีความขัดหรือแย้งกับหลักสูตรของรัฐไหม

เราจะพูดแบบนั้นไม่ได้ ถ้าพูดแบบนั้นเราจะไม่ใช่โรงเรียนต้นแบบ ทุกครั้งที่เราทำอะไรลงไป เราจะต้องคำนึงถึง 36,000 โรงเรียนทั่วประเทศ เขาจะต้องเอาวิธีของเราไปใช้ได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ฉะนั้น แม้รูปแบบและวิธีการของเราจะแตกต่าง แต่ผลลัพธ์ปลายทางก็ยังสามารถตอบโจทย์ทุกอย่างที่รัฐต้องการ

วิธีการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนามาจากการคิดค้นขึ้นเองหรือมีรากฐานมาจากทฤษฎีการศึกษาแบบใด

ที่จริงแล้วมันค่อยๆ สั่งสม ผมเรียนทฤษฎีมาเยอะแยะมากมาย ตอนที่ทำงานอยู่ก็เห็นโลก เห็นวิธีการทำงานของกระทรวง เห็นอะไรเยอะแยะมากมาย แต่ผมบอกไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ผมรู้ว่าอันนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ทำ อันนี้ต้องคัดทิ้ง อันนี้เอา อันนี้ต้องเพิ่ม รู้แค่นี้ พอทำเสร็จแล้วก็พอจะเทียบเคียงเข้ากับทฤษฎีได้บ้าง

พูดถึงกระบวนการเรียนรู้ภายใน หลังจากที่ผมไปเป็นครู ผมมีบางเรื่องเข้ามาในชีวิตทำให้เกิดภาวะบางอย่างที่เรียกว่า ใคร่ครวญในการเติบโตข้างในพอสมควร ตอนช่วงอายุ 23-25 ปี ผมเกิดคำถามว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วผมก็เริ่มเข้าหาศาสนา ศึกษาเรียนรู้ศาสนาอย่างจริงจังและซีเรียสมาก เพื่อจะหาคำตอบ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ

สุดท้ายก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ ช่วงนั้นก็เริ่มหันไปหาหนังสือทางปรัชญา แล้วก็ศึกษาวรรณกรรม เพราะวรรณกรรมจะสื่อสารทางปรัชญาได้ลึกซึ้ง แล้วก็เริ่มศึกษาวรรณกรรมแปล โดยเฉพาะวรรณกรรมรัสเซียทั้งหมด อเมริกาทั้งหมด รวมถึงเยอรมนี ฝรั่งเศส ก็เลยทำให้เริ่มใคร่ครวญในเรื่องชีวิต เรื่องผู้คน ทำความเข้าใจต่อมิติต่างๆ มากขึ้น นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมมองเห็นคุณค่าแท้จริงของสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เรื่อง fake หลังจากนั้นผมจึงเริ่มที่จะบอกตัวเองว่า ผมเป็นกลางทางศาสนา ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนศาสนาใด ดังนั้น ในบัตรประชาชนผมจึงไม่ระบุศาสนา

พอมาทำเรื่องกระบวนการการศึกษา ก็ทำให้เราคำนึงถึงผู้คน คำนึงถึงมนุษย์ ประการแรกก็คือเราต้องเคารพในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนอื่นก่อน เราต้องไม่ด่วนตัดสินหรือครอบงำในสิ่งที่เราอยากให้เป็น อันนี้สำคัญมาก เพราะเขาต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง แล้วเขาต้องเป็นผู้เลือกเอง ไม่ใช่เราเลือกให้ความสำเร็จในชีวิตของเด็กที่จบออกไปคงไม่อาจตอบได้ในตอนนี้

แต่เด็ก ม.3 ทุกคนที่จบออกไป จะได้ใบประกาศเป็นก้อนหินที่เขียนไว้ว่า “ไม่มีหินก้อนใดโง่” หินก้อนหนึ่งอยู่ได้นานหลายสิบหลายร้อยปี

ซึ่งความสำเร็จของชีวิต เราจะมาคุยกันตอนที่ทุกคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ว่าใครจะพึงพอใจในชีวิตมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้อาจไม่ใช่ความสำเร็จ มีเงินในกระเป๋าเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ความสำเร็จ จนกว่าเราจะมาคุยกันหลังอายุ 40 รอให้คุณผ่านการคิดใคร่ครวญกับชีวิตมาพอสมควรแล้วค่อยมานั่งคุยกันว่าคุณพอใจกับชีวิตมากน้อยแค่ไหน

เพราะฉะนั้น เวลาคนถามว่าเด็กที่นี่จบไปประสบความสำเร็จแค่ไหน ผมหนักใจมาก ผมกระอักกระอ่วนมาก เพราะไม่สามารถเอาเกณฑ์ที่สังคมมองว่าการประสบความสำเร็จคือ การสอบเข้าแพทย์ได้ หรือสอบได้ที่หนึ่ง แต่ถามว่าเด็กของเราไปอย่างนั้นได้ไหม ไปอย่างนั้นได้หมดเลย

ในช่วงแรกที่เริ่มก่อตั้งโรงเรียน มีเพียงชั้นอนุบาล 1-2 กับชั้น ป.1 ทำไมถึงเริ่มเช่นนั้น

ครูยังไม่มีความชำนาญ ครูยังไม่มีรากฐานความเข้าใจเรื่องการจัดการการศึกษา ผมจึงจำเป็นต้องเริ่มจาก 3 ระดับชั้นก่อน แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นในแต่ละปี ผมก็จะเห็นความก้าวหน้าของครู ถ้ารับเด็กจำนวนมากพร้อมกันทีเดียว เราจะรับไม่ไหว เพราะครูยังไม่มีความชำนาญ

ตอนนั้นครูวิเชียรต้องลงไปสอนเองด้วยไหม

เป็นบางครั้ง หน้าที่ผมก็คือทำให้ครูสอนได้ ถ้าผมไปล้ำบทบาท ผมทำเองไม่ได้ทุกหน้าที่อยู่แล้ว แต่เรามีหน้าที่เป็นโค้ชให้ครู ให้ครูได้เรียนรู้และเข้าใจการเรียนการสอน การที่จะฝึกครูให้สอนเรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นหน้าที่ผม ผมทำหน้าที่นี้ต่อครู ครูก็ทำหน้าที่ต่อเด็ก

คำว่า ‘Growth Mindset’ ถูกนำมาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างไรบ้าง

ถ้าเรามองเชิงระบบ หมายความว่า event หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเหตุการณ์ไหน ล้วนมีสิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง คุณภาพการศึกษาของประเทศไทย คุณภาพการศึกษาของสิงคโปร์ คุณภาพการศึกษาของฟินแลนด์ ไม่ใช่จู่ๆ จะเกิดขึ้นเอง แต่มีสิ่งขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง แล้วชั้นของการขับเคลื่อนก็มาจากแบบแผน พฤติกรรมของคนในสังคมและคนที่เกี่ยวข้อง รวมแล้วเรียกว่าระบบหรือโครงสร้างที่เราสร้างเอาไว้ แล้วทั้งหมดนั้นก็ล้วนขับเคลื่อนมาจาก mindset หรือโลกทัศน์ของเรา

เหตุที่การศึกษาเปลี่ยน event ไม่ได้สักที เพราะแบบแผนการศึกษาของผู้คน ของครู ผู้ปกครอง ไม่ได้เปลี่ยน เพราะโครงสร้างไม่ถูกเปลี่ยน เมื่อโครงสร้างยังไม่ถูกเปลี่ยน หลักสูตรยังเป็นรายวิชา โครงการอบรมครูยังเป็นอยู่อย่างนั้น ตารางเรียนยังเป็นอยู่อย่างนั้น บนโครงสร้างที่ไม่เปลี่ยน นั่นเป็นเพราะว่า mindset ถูก fix เพราะเชื่อว่าวิธีนี้ดีแล้ว ถูกแล้ว นี่คือ ‘Fixed Mindset’ เป็นโลกทัศน์ที่ตาย หยุดนิ่ง ไม่เติบโต ไม่กล้าหาญพอที่จะมองหาผลแบบใหม่ วิธีคิดแบบใหม่

ในทางกลับกัน วิธีคิดแบบ ‘Growth Mindset’ เราต้องตั้งสมมุติฐานไว้ตลอดว่าสิ่งที่ขับเคลื่อน event นี้ โลกทัศน์ของเรา หรือ mindset ของเราที่ขับเคลื่อน event อยู่ อาจไม่เหมาะกับกาลเวลาหนึ่งๆ ถ้าเหมาะกับตอนนี้ก็อาจจะไม่เหมาะกับอีกกาลเวลา ถ้าเราตั้งสมมุติฐานแบบนี้ไว้ก่อน เราจะสามารถกลับมารีเช็คตัวเองได้ตลอด ว่าตอนนี้เรายังมีฐานคิดแบบนั้นอยู่ไหม

เราจะมองว่า event เป็นปัญหาก็ได้ หรือมองว่าคุณภาพการศึกษาตอนนี้เป็นปัญหาก็ได้ แต่ผมไม่ได้มองแบบนั้น ผมมองว่ามันเป็นแค่ event หนึ่งที่เกิดขึ้นมา ถ้าเราอยากเปลี่ยน event นี้ให้มีคุณภาพกว่านี้ ให้มีทักษะกว่านี้ ให้มีคุณลักษณะที่ดีกว่านี้ เราต้องเปลี่ยนทั้งระบบ แต่การเปลี่ยนทั้งระบบจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่เริ่มต้นที่ mindset หรือโลกทัศน์ของเราเอง

จนถึงทุกวันนี้ครูวิเชียรมองว่า โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

ผมมีความฝันว่า เมื่อไหร่ที่เลิกทำโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ นั่นคือความสำเร็จ ถ้ายังมีลำปลายมาศพัฒนาอยู่ ผมยังไม่สำเร็จ ลำปลายมาศพัฒนาจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อการขยายตัว มีมวลมากพอที่จะนำไปสู่การขยับในระบบใหญ่

ถ้าเรายังมีลำปลายมาศพัฒนาอยู่ ก็อาจเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นโปรเจ็คท์ทดลอง แต่ถ้าเมื่อไหร่สามารถขยายเข้าไปสู่โรงเรียนของรัฐ หรือในโรงเรียนที่เป็นมวลใหญ่ นั่นแสดงว่าประสบความสำเร็จ

ถ้าถึงวันที่สามารถปล่อยมือจากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้แล้ว ความฝันที่ว่าอยากเดินเร่ร่อนยังคงมีอยู่ไหม

มี ผมยังคงคิดอยู่ ตอนอายุ 25 ผมเคยอ่านหนังสือที่ชื่อว่า ‘บาปของนักบุญ’ ของ ลีโอ ตอลสตอย แล้วผมรู้สึกสั่นสะเทือนมาก ตอนนั้นผมอยู่ในโหมดของการคลุกวงในศาสนา ก็อยากศึกษาเรื่องศาสนา แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วมันสะเทือนผมมาก ผมก็ตามอ่านงานของเขาทั้งหมด แล้วก็ศึกษาชีวิตเขา ผู้ชายคนนี้เกิดมายิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่สุดท้ายเขายังรู้สึกว่าเขาต้องออกแสวงหาชีวิตสุดท้าย แล้วเขาก็เร่ร่อนไปจนไปตายที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง แล้วยิ่งมาเห็นความเชื่อบางอย่างของศาสนาฮินดูที่พูดถึงว่า เมื่อถึงวัยชรา ทุกคนก็ควรออกไปเข้าป่าแล้วก็ตายไป คล้ายกับว่าการเดิน การเร่ร่อน คือการที่เราจะได้ค้นพบความหมายอะไรบางอย่าง ผมวางเป้าหมายนี้ไว้อีก 10 ปี ตอนนี้เหลืออีก 9 ปีที่ผมอาจจะได้ทำ

Tags:

โรงเรียนโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาProblem based Learning(PBL)วิเชียร ไชยบังGrowth mindsetจิตศึกษา

Author:

Related Posts

  • heart&how
    Social Issues
    Heart & How สร้างพื้นที่ปลอดภัย กู้ ‘ใจ’ วัยเรียน 

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง : เคลื่อนมุมคิดจากโรงเรียนเป็นฐาน สู่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Child Base Learning)

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Visible Learning : 4 ครูต้นเรื่อง ที่เติมหัวใจแห่งการเรียนรู้ให้เด็กด้วยการตั้งคำถามและหาคำตอบเอง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Learning Theory
    Problem Based Learning: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

ชีวิตนอกกำแพง และ ‘โอกาส’ เพื่อฟื้นคุณค่าตัวเองกลับคืน
Character building
30 November 2017

ชีวิตนอกกำแพง และ ‘โอกาส’ เพื่อฟื้นคุณค่าตัวเองกลับคืน

เรื่อง The Potential

  • จักร เคยเป็นคนหนึ่งที่ก้าวพลาด อดีตเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน แต่เขากลับมารู้จักตัวคุณค่าของตัวเองอีกครั้งผ่านโอกาสจากคนที่เข้าใจ
  • ทำความเข้าใจกับสมองวัยรุ่น ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ก้าวร้าวและเริ่มมีโลกของตัวเอง

ทุกคนต่างทราบกันดีว่า ‘เด็ก’ เมื่อก้าวเข้าสู่ ‘วัยรุ่น’ มักมีแรงจูงใจเข้าไปหาพฤติกรรมความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ ส่วนหนึ่งมาจากกลไกในสมองอันสุดวิเศษของมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาด้านความคิด การตัดสินใจ รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพต่างๆ ที่มีผลต่อการกระทำและความประพฤติ ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี หากพ่อแม่ผู้ปกครองได้สร้างแรงกดดันเชิงบวกไปใช้ในการเลี้ยงดูบุตรหลาน เชื่อว่าความกังวลใจในการดูแลเด็กวัยทีนคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ทำไม ‘วัยโจ๋’ จึงมักก้าวร้าว?

น่าเป็นห่วงที่เด็กยุคใหม่ต้องใช้ชีวิตในสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งต้องแบกรับภาระในการจัดการชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นที่ต้องจัดการทั้งเรื่องเรียน อารมณ์ หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตที่สุ่มเสี่ยงไปสู่การมีพฤติกรรมเชิงลบ ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองต่างเกิดความกังวลในตัวลูกหลานที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เพราะบางคนไม่เชื่อฟัง ชอบเถียงพ่อแม่ บางคนติดเพื่อน ติดการพนัน ติดยาเสพติด และบางคนก็ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อตนเองและสังคม

พฤติกรรมความก้าวร้าวที่วัยรุ่นแสดงออกมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากกลไกทางสมอง โดยเฉพาะวัยรุ่นตอนต้นในช่วงอายุ 11-14 ปี เป็นช่วงที่สมองยังได้รับการพัฒนาไม่เต็มที่ จึงขาดการยับยั้งชั่งใจและการใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ซึ่งต่างจากคนวัยรุ่นตอนปลาย อายุ 18-24 ปี ที่สำคัญปฏิสัมพันธ์จากเพื่อนและคนรอบข้างก็ส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กอย่างมาก ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจำเป็นที่ต้องเรียนรู้การสร้างแรงกดดันเชิงบวก เพื่อสนับสนุนให้ลูกหลานกลายเป็นคนที่มีศักยภาพของสังคม

คุณค่าที่คืนกลับมา ผ่านการพัฒนาทักษะสานตะกร้า

‘จักร’ เด็กหนุ่มวัย 18 ปี เคยเป็นอดีตเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 9 จังหวัดสงขลา จากโครงการ ‘สานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน’ ที่ดำเนินงานโดยสงขลาฟอรั่ม สนับสนุนโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ก้าวพลาดมาแล้ว แต่เป็นความโชคดีที่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ทำให้เขามีโอกาสทำเรื่องดีๆ มีคุณค่าต่อสังคมอีกครั้ง

“จุดเริ่มต้นของการก้าวพลาด เป็นเพราะผมเดินเข้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่มีพฤติกรรมที่เกเร ติดยา เที่ยวเตร่ไปวันๆ ออกจากบ้าน 6 โมงเย็น กลับก็ตีสี่ตีห้า พ่อแม่ต้องคอยโทรตามตลอดเวลา ผมยอมรับเลยว่า ตอนนั้นรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ได้รับการยอมรับจากเพื่อน เป็นเหมือนผู้นำ มีเพื่อนคอยตามเอาอกเอาใจ ยกย่อง ทำให้เรายิ่งรู้สึกฮึกเหิม จึงไม่ได้ห่วงอนาคตตัวเองเท่าไหร่ เพราะไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่ามีชีวิตอยู่กับเพื่อนแบบนี้ก็มีความสุขแล้ว จนนำไปสู่การถูกจับกุมข้อหาค้ายา และต้องเข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกฯ”

เมื่อโดนตำรวจจับและเข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกฯ สักพัก จักรได้พบเพื่อนเยาวชนที่กระทำผิดกลุ่มหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตานั่งสานตะกร้า ซึ่งบางคนได้กินขนม บางคนได้ออกไปข้างนอก โดยต่างจากเพื่อนอีกหลายคนที่อยู่ในนั้น ที่ได้แต่นั่งๆ นอนๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาจึงอยากได้รับโอกาสแบบนั้นบ้าง จักรไม่รอช้า เดินเข้าหาครูประชิด ตรงจิต หรือ ครูเขี้ยว เจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 9 จังหวัดสงขลา เพื่อขอเข้าร่วมโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน

“ตอนแรกที่อยากสานตะกร้า ผมคิดแค่ว่าทำอย่างไรที่จะได้รับสิทธิพิเศษออกไปข้างนอกเหมือนเพื่อนกลุ่มนี้บ้าง จึงเดินเข้าไปขอครูเขี้ยวเข้ากลุ่ม และเมื่อเห็นเพื่อนทำก็อยากทำได้อย่างเขาบ้าง ช่วงแรกยังสานไม่เป็น แต่ก็ได้เพื่อนๆ ที่เขาทำเป็นอยู่แล้วสอนให้

“พอเริ่มมีกิจกรรมให้เราได้ทำบ่อยๆ เริ่มได้ออกมาทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม ได้รับโอกาสให้ออกไปสอนงานข้างนอก ผมก็เริ่มพยายามตั้งใจฝึกฝีมือมากขึ้น จากจุดนี้เองทำให้ผมนึกถึงชีวิตนอกกำแพงมากกว่า ว่าถ้าเราออกไปแล้วเราจะทำอะไร มันเปลี่ยนวิธีคิดของเราไปเลย จากที่เป็นคนคิดเรื่องไร้สาระไปวันๆ ก็กลับมาคิดถึงอนาคตของตัวเองมากขึ้น…” จักรเล่า

จักร

“ตั้งแต่ออกมา ผมรู้จัก ‘ปฏิเสธ’ เป็น เพื่อนแก๊งเก่าชวนเราให้ไปนั่งกินกับเขา ผมก็ไปนะ…แต่เมื่อไหร่ที่เขาเอายามาเล่นกัน ผมจะปฏิเสธและหันหลังให้เขาทันที เพราะผมรู้แล้วว่าการที่เราเข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกฯ เป็นเรื่องที่แย่ เป็นสิ่งที่โชคร้ายของชีวิต ดังนั้น โครงการนี้ได้ให้ผมพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

“โดยเฉพาะครูเขี้ยวที่ไว้ใจ พร้อมเปิดโอกาสให้ผมได้แสดงฝีมือการเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับกลุ่มแม่บ้าน ตำบลสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และกลุ่มเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่สำคัญผมได้ทักษะการสานตะกร้านี้ติดตัวมาเป็นอาชีพอีกด้วย” เขาบอก

ครูเขี้ยว ในฐานะครูที่ปรึกษาโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน กล่าวว่า “ที่ผ่านมาผมให้เด็กได้ลงมือสานตะกร้าด้วยตัวเอง ให้เขาคิดเอง ทำเอง หากใครทำไม่ได้ รุ่นพี่ก็มีหน้าที่สอนรุ่นน้อง ปล่อยให้จัดการกันเอง ทั้งออกแบบลวดลาย รูปแบบ ดูแลอุปกรณ์กันเอง

“เราทำหน้าที่เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกและสนับสนุนด้านการเรียนรู้ให้เด็ก เช่น พาเขาออกไปเรียนรู้ด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกิจกรรมกับสงขลาฟอรั่ม หรือแม้แต่มอบหมายให้เขาเป็นวิทยากรสอนกลุ่มแม่บ้าน และเพื่อนเยาวชนจากศูนย์ฝึกฯ เขต 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี”

ครูเขี้ยว-ประชิด ตรงจิต เจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 9 จังหวัดสงขลา ครูผู้คอยดูแล เป็นพลังพิงของจักรทั้งก่อนและหลังอาศัยในศูนย์ฝึก

“จากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมา 4 ปี เด็กที่ผ่านโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน ยังไม่เคยมีใครกลับเข้ามาที่ศูนย์ฝึกฯ อีกเลย ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากระบบความคิดของเด็กที่สามารถแยกแยะจากประสบการณ์ชีวิต เขาสามารถที่จะคิดเองได้ แยกแยะได้ว่าอะไรถูกหรือผิด รวมถึงความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ

“เช่น จักร เพราะเขาก็เหมือนเด็กทั่วไปที่พูดเล่นไร้สาระไปวันๆ แต่เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในโครงการฯ ได้ฝึกฝน ได้รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่เรามอบหมายให้เขาทำ ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง คือมีวิธีการคิดที่เป็นระบบ พูดก็มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการทำโครงการไปใช้ในการดำรงชีวิตต่อไป” ครูเขี้ยวทิ้งท้าย

‘วัยรุ่น’ คือ วัยแห่งการเปลี่ยนแปลง หากรู้จัก เข้าใจเด็กวัยทีน สิ่งเลวร้ายก็จะไกลจากครอบครัวไทย ปัญหาเหล่านี้ไม่ยากเกินกว่าจะรับมือ หากพ่อแม่ผู้ปกครองต่างเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อลูกหลาน เพราะเมื่อสมองของวัยรุ่นยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็อาจเกิดความเสี่ยงได้ แต่ถ้าผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้เด็กได้รับความท้าทายเชิงบวก หรือชักชวนให้เขาได้ลองทำเรื่องดีๆ และประสบความสำเร็จ เขาก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดีและสามารถที่จะดำรงชีวิตเป็นคนคุณภาพในสังคมต่อไป

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)อาชีพ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Grit
    “เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Character building
    ผ้าทอโซดละเว ให้ผ้าทอชีวิตและชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    จากวัยรุ่นขี้กลัว มาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ

    เรื่อง The Potential

ความฉลาดสร้างได้
Growth & Fixed Mindset
30 November 2017

ความฉลาดสร้างได้

เรื่อง The Potential

  • สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ ไม่ได้มีมาแต่กำเนิดแล้วคงอยู่ตลอดไป แต่พรสวรรค์พัฒนาให้มีความพิเศษยิ่งขึ้นได้ ‘จากการฝึกฝนอย่างจริงจัง’
  • ในทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สมองวัยเยาว์มีศักยภาพในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อใยประสาทอย่างขนานใหญ่ ที่พร้อมรับแรงกระตุ้นจากประสบการณ์เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง หากแรงกระตุ้นนั้นถูกต้อง เหมาะสม และต่อเนื่องเพียงพอ

“พรสวรรค์มีจริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด เพราะพรสวรรค์ที่แท้จริงคือ ‘ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง’ เพื่อพัฒนาไปสู่สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม มหัศจรรย์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง”

ในอดีตคนเราเชื่อว่า ‘ความเก่ง’ หรือ ‘ความฉลาด’ เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่สามารถสร้างหรือพัฒนาได้ แต่โลกยุคปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด มนุษย์เราจะเก่งได้ต้องพบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวด้วยกันทั้งสิ้น

ดังตัวอย่างจากหนังสือเรื่อง ‘เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่’ ที่ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช เขียนไว้ว่า Growth Mindset (กระบวนทัศน์พัฒนา) คือ ความเชื่อเรื่อง ‘พรแสวง’ ที่ทำให้คนเรามีความอดทน มานะพยายาม หมั่นฝึกฝนตนเอง พยายามเรียนรู้กลยุทธ์ที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งตรงข้ามกับ Fixed Mindset (กระบวนทัศน์หยุดนิ่ง) หรือความเชื่อใน ‘พรสวรรค์’ ที่ว่าคนเก่งเก่งมาตั้งแต่เกิด เก่งแล้วเก่งเลย ทำให้เด็กคนนั้นไม่มีความมุมานะพยายามที่จะพัฒนาตนเอง มองความยากลำบาก ความล้มเหลวไปในด้านลบ คือนำไปสู่ความท้อถอย และความล้มเหลวในชีวิต

การเลี้ยงเด็กให้ประสบความสำเร็จในชีวิต พ่อแม่หรือบุคคลใกล้ชิดที่อยู่รายล้อมรอบตัวเด็กต้องช่วยกันปรับความเชื่อใหม่ จากเชื่อเรื่อง ‘พรสวรรค์’ (talent, gifted) มาเป็นเชื่อ ‘พรแสวง’ ที่เด็กต้องผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำ จากเชื่อเรื่อง ‘สมองดี’ แต่กำเนิด มาเป็นเชื่อใน ‘สมองดี’ ผ่านความมานะพยายามฝึกฝน เพราะไม่ว่าเด็กที่สมองดีแต่กำเนิด สมองปานกลาง หรือสมองช้า หากได้รับการเลี้ยงดู และการศึกษาแบบฝึกกระบวนทัศน์พัฒนา ภายหลังเขาอาจกลายเป็นคน ‘สมองดี’ ก็ได้

‘เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่’ โดยศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช

‘พรสวรรค์’ ในความหมายทางวิทยาศาสตร์

ตัวอย่างจากหนังสือ Peak: Secrets from the New Science of Expertise บท Introduction; The Gift เล่าเรื่องพรสวรรค์ของนักดนตรีอย่างโมสาร์ท (Wolfgang Mozart) ที่เดิมเชื่อกันว่า เขาเป็นอัจฉริยะเรื่องการประพันธ์เพลง เพราะมีพรสวรรค์ มีความสามารถในการแยกเสียงดนตรี ที่เรียกว่า Absolute Pitch (AP) หรือ Perfect Pitch มาแต่กำเนิด และเชื่อว่ามีคนที่เกิดมามีพรสวรรค์แบบนี้เพียง 1 ในหมื่นคน

แต่ผลการวิจัยของ อะยะโกะ ซะกะกิบะระ (Ayako Sakakibara) บอกว่า ‘ไม่จริง’ ผลการทดลองของเธอในเด็กอายุ 2-3 ขวบ จำนวน 24 คน บอกว่า เด็กทั้ง 24 คน สามารถแยกเสียงดนตรีได้ทุกคน โดยเด็กบางคนแยกเสียงได้หลังจากใช้เวลาฝึกฝนไม่ถึงปี และคนที่ใช้เวลาฝึกฝนมากที่สุดคือ 1 ปีครึ่ง

แอนเดอร์ส อีริคสัน (Anders Ericsson) ผู้เขียนหนังสือ Peak บอกว่า ผลการวิจัยนี้ประกอบกับการวิเคราะห์ชีวิตของโมสาร์ท สรุปได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ด้านดนตรีนั้น ไม่ได้มีมาแต่กำเนิดแล้วคงอยู่ตลอดไป แต่พรสวรรค์สามารถพัฒนาให้มีความพิเศษยิ่งขึ้นได้จากการฝึกฝนอย่างจริงจัง

ดูเหมือนว่าความเข้าใจใหม่เรื่องพรสวรรค์มาบรรจบกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของสมองที่ระบุว่า สมองในวัยเยาว์มีศักยภาพในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงการเชื่อมต่อใยประสาทอย่างขนานใหญ่ หรือที่เรียกว่า Brain Adaptability หรือ Plasticity ที่พร้อมต่อการรับแรงกระตุ้นจากประสบการณ์เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ให้บรรลุสภาพที่ทำบางสิ่งได้ดีอย่างมหัศจรรย์ หากแรงกระตุ้นนั้นถูกต้องเหมาะสมและต่อเนื่องเพียงพอ

ในขณะเดียวกัน หากสมองที่ดีไม่ได้รับการกระตุ้นและใช้งาน เซลล์ประสาทก็จะถูกทำลายไป คนที่มีพรสวรรค์จึงอาจไม่สามารถพัฒนาต่อได้หากไม่ได้รับการกระตุ้นและฝึกฝนอย่างถูกต้อง

จะเห็นได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีพรสวรรค์ คือ ‘สมอง’ ที่พร้อมจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงจนเกิดความสามารถพิเศษในด้านใดด้านหนึ่งได้ พรสวรรค์อยู่ที่ธรรมชาติของสมองมนุษย์ แต่จะเกิดผลสู่ความสามารถพิเศษหรือไม่ อยู่ที่การฝึกฝนและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)Growth mindset

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family PsychologyHealing the trauma
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    รวมคำพูดที่ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณ

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ความเหมือนต่างระหว่าง GROWTH MINDSET และ FIXED MINDSET

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Growth & Fixed Mindset
    คำพูดของพ่อแม่ที่ส่งผลกระทบต่อลูก โดยที่คุณไม่รู้ตัว

    เรื่องและภาพ The Potential

รวมคำพูดที่ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณ
Growth & Fixed Mindset
30 November 2017

รวมคำพูดที่ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณ

เรื่อง The Potential

  • คำชมไม่ได้ทำหน้าที่แค่ชุบชูใจคนฟัง ผลอีกด้านยังทำร้ายหรือกดดันคนฟัง
  • คำชมที่มาจากความหวังดีอาจกลายเป็นลูกกวาดเคลือบยาพิษเลยก็ได้
  • คำชมที่มีคุณค่า ต้องชื่นชมกระบวนการที่เด็กใช้ในการทำงาน ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจและพุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ เรียกว่า ‘ชมกระบวนการ’ (process praise)

“ลูกเป็นคนเก่งและฉลาดอยู่แล้ว…ลูกทำได้แน่นอน”

รู้ไหมว่าคำพูดเหล่านี้ ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณได้

Growth Mindset (กระบวนทัศน์พัฒนา) คือ ความเชื่อเรื่อง ‘พรแสวง’ ที่ทำให้คนเรามีความอดทน มานะพยายาม หมั่นฝึกฝนตนเอง พยายามเรียนรู้กลยุทธ์ที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งตรงข้ามกับ Fixed Mindset (กระบวนทัศน์หยุดนิ่ง) หรือความเชื่อใน ‘พรสวรรค์’ ที่ว่าคนเก่งเก่งมาตั้งแต่เกิด เก่งแล้วเก่งเลย ทำให้เด็กคนนั้นไม่มีความมุมานะพยายามเพื่อพัฒนาตนเอง ทำให้มองความยากลำบากหรือความล้มเหลวในด้านลบ นำไปสู่ความท้อถอย และความล้มเหลวในชีวิต

ตัวอย่างเด็กฉลาดที่ชีวิตล้มเหลว…

เด็กชายปัญญา เป็นเด็กฉลาด เรียนรู้ได้เร็ว เรียนชั้นประถมศึกษาได้ A ทุกวิชา และสงสัยมาตลอดว่า ทำไมเพื่อนบางคนจึงไม่เข้าใจบางวิชาที่เรียน ส่วนพ่อแม่ก็คอยบอกปัญญาอยู่เสมอว่า เขาเป็นเด็กปัญญาเลิศ แต่เมื่อขึ้นเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ปัญญาเริ่มหมดความสนใจในโรงเรียน ไม่ทำการบ้าน และไม่ยอมไปเข้าสอบ คะแนนสอบตกต่ำมาก พ่อแม่พยายามแก้ปัญหา เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ปัญญา โดยย้ำแก่ปัญญาว่า “เขาเป็นเด็กฉลาด” แต่ไม่ได้ผล ปัญญายังคงเบื่อหน่ายการเรียน และไม่อยากทำแบบฝึกหัด

นักเรียนที่มีปัญหาแบบปัญญาไม่ได้มีคนเดียว แต่มีจำนวนมาก ผลการวิจัยต่อเนื่อง 35 ปี บอกว่าเด็กเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อของความเข้าใจผิดเรื่องการดูแลเด็กเก่งในอดีตที่หลงชมความเก่งหรือความฉลาดของเด็ก ทำให้เด็กเข้าใจว่า ความฉลาดเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของความสำเร็จ และเข้าใจผิดว่า คนเก่งคือคนที่เรียนเข้าใจ และทำโจทย์ได้โดยง่ายดาย ไม่ต้องใช้ความพยายาม คนที่ต้องใช้ความพยายาม คือคนไม่เก่ง เมื่อถึงตอนที่ตนไม่เข้าใจและจะต้องใช้ความพยายามในการเรียนจึงไม่อยากทำ เพราะจะทำให้ตนเองไม่เป็นคนเก่ง

ความเชื่อเช่นนี้ ทำให้เด็กหลบหลีกสิ่งที่ท้าทาย สิ่งที่ต้องใช้ความพยายาม เพราะเป็นสิ่งที่ทำลายความมั่นใจว่าตนเป็นคนเก่ง แทนที่จะมองว่า เป็นโอกาสพัฒนาตนเอง เด็กเหล่านี้เมื่อโตขึ้นจะไม่กล้าเผชิญความท้าทายและความยากลำบาก

ความผิดพลาดของพ่อแม่คือ การหลงสร้าง ‘กระบวนทัศน์หยุดนิ่ง’ ให้แก่ลูก

ทำอย่างไรลูกจึงจะเก่งและฉลาด?

กระบวนทัศน์พัฒนาเป็นเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับความล้มเหลวหรือความยากลำบาก ซึ่งในเด็กมักเป็นเรื่องการเรียน เด็กกลุ่มหนึ่งจะมองความยากลำบากหรือความล้มเหลวในเชิงบวก คือนำมาใช้เป็นบทเรียน เด็กกลุ่มนี้เรียกว่าเป็นเด็กกลุ่มใจสู้ (ความยากลำบาก) ที่มีกระบวนทัศน์พัฒนา ขณะที่เด็กอีกกลุ่มหนึ่งคอยหลีกเลี่ยง หรือถ้าเผชิญก็ไม่สู้ เป็นกลุ่มที่มีกระบวนทัศน์หยุดนิ่ง

ผลการวิจัยบอกว่า กระบวนทัศน์ทั้งสองแบบเป็นสิ่งที่ไม่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่สร้างขึ้นได้ โดยวิธีการชมหรือยกย่องเด็กให้ถูกวิธีก็จะพัฒนากระบวนทัศน์ที่ดี คือกระบวนทัศน์พัฒนา ถ้าชมผิดที่ หรือใช้คำพูดไม่ถูกต้อง ก็จะสร้างกระบวนทัศน์ที่ผิด คือกระบวนทัศน์หยุดนิ่ง ซึ่งจะทำลายชีวิตของเด็กไปทั้งชีวิต

คำชมหรือยกย่องที่ถูกต้องจากพ่อแม่และครูคือ ต้องไม่ชมความฉลาดหรือปัญญา เพราะจะทำให้เด็กอ่อนแอและมีข้ออ้าง ต้องไม่ชมผลงานแบบลอยๆ ว่าดีหรือเด่น เช่น “ลูกมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ” คำชมที่มีคุณค่า ต้องเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง โดยชมที่กระบวนการที่เด็กใช้ในการทำงานได้บรรลุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจและพุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมหรือการกระทำจำเพาะที่นำไปสู่ความสำเร็จ เรียกว่า ‘ชมกระบวนการ’ (process praise)

การชมกระบวนการ เป็นการชมที่ความพยายาม (effort) กลยุทธ์ (strategy) ความไม่ท้อถอย (persistence) ในสภาพยากลำบาก และกล้าสู้ความท้าทาย (challenge)

เด็กฉลาดที่คิดว่าตนเองเลอเลิศ ไม่มีจุดอ่อน เป็นคนที่มีกระบวนทัศน์หยุดนิ่ง พ่อแม่และครูต้องช่วยเหลือให้เด็กค้นพบจุดอ่อนจากการเรียนหรือจากชีวิตประจำวัน แล้วหาวิธีชักชวนให้เรียนรู้และแก้ไขจุดอ่อนให้สำเร็จ โดยในระหว่างกระบวนการแก้ไข ต้องชมความอดทน ความมานะพยายาม ชมวิธีการและกลยุทธ์ที่เด็กใช้บรรลุความสำเร็จ เมื่อทำซ้ำๆ เด็กจะสร้างกระบวนทัศน์พัฒนาขึ้นในตัวเอง

พ่อแม่และครูต้องชี้ให้เด็กเห็นว่า คนทุกคนมีจุดอ่อนหรือสมรรถนะที่จะต้องพัฒนา ส่วนความเก่งหรือความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิดนั้นมีข้อจำกัด หากไม่พัฒนาต่อเนื่อง ก็สู้คนที่เกิดมามีสมองด้อยกว่า แต่มีความมุมานะหมั่นเรียนรู้พัฒนาตนเองไม่ได้ และควรยกตัวอย่าง คนที่ตอนเป็นเด็กเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ในที่สุดประสบความสำเร็จในชีวิต และชี้ให้เห็นว่า ความมานะพยายามหมั่นปรับปรุงพัฒนาตนเองมีคุณค่าอย่างไร

ตัวอย่างคำพูดที่เป็นการยกย่องกระบวนการ (process praise)

  • เธอวาดภาพได้ดี ครูชอบรายละเอียดที่เธอใส่ในใบหน้าคน
  • เธอทบทวนสาระในวิชาสังคมศึกษาได้ดีมาก เธออ่านทบทวนหลายรอบ และสรุปโครงสร้างของสาระ และทดสอบความรู้ของตนเอง วิธีเรียนแบบนี้ได้ผลดีจริงๆ
  • ครูดีใจที่เธอทำโครงงานนี้ในวิชาวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นงานที่ยากและท้าทาย ต้องมีการออกแบบเครื่องมือ สร้างชิ้นส่วน และประกอบเป็นเครื่องมือ เธอจะได้เรียนรู้ความรู้ที่มีคุณค่าต่อชีวิตในภายหน้า
  • ครูชอบที่เธอลองวิธีแก้โจทย์คณิตศาสตร์นี้หลายวิธี จนพบวิธีที่ถูกต้องในที่สุด
  • การบ้านภาษาอังกฤษชิ้นนี้ยาก แต่เธอก็มุ่งมั่นอยู่กับงานอย่างมีสมาธิ เธอสุดยอดมาก!

ตัวอย่างคำพูดที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้

  • โอ! งานชิ้นนี้ยาก สนุกแน่ๆ
  • ขอโทษ งานชิ้นนี้ง่ายเกินไป ครูคิดว่าไม่สนุก เรามาทำงานที่ยากและท้าทายกว่านี้ดีกว่าไหม เธอจะได้เรียนรู้มากกว่านี้
  • เรามาทบทวนสิ่งที่ทำในวันนี้ และหาทางเรียนรู้จากสิ่งที่ได้ทำไปแล้วกันดีกว่า
  • การทำผิดเป็นเรื่องน่าสนใจ และเป็นบทเรียนที่ดี ความผิดพลาดชิ้นนี้น่าสนใจมาก เรามาเรียนจากความผิดพลาดที่ทำไปแล้วกันดีกว่า
  • อยากให้ลูกหรือลูกศิษย์ฉลาด เรามาลองปรับเปลี่ยนวิธีชมกันดีกว่า…

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ปม(trauma)Growth mindsetพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family PsychologyHealing the trauma
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘ผิดได้ พลาดเป็น’ คือโอกาสการเรียนรู้ของลูก

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ความฉลาดสร้างได้

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    คำพูดของพ่อแม่ที่ส่งผลกระทบต่อลูก โดยที่คุณไม่รู้ตัว

    เรื่องและภาพ The Potential

ความเพียรของลูก สร้างได้ยังไงนะ?
Grit
29 November 2017

ความเพียรของลูก สร้างได้ยังไงนะ?

เรื่องและภาพ KHAE

ชอบการกลับมามองว่า ‘เพราะอะไรเด็กถึงท้อง่าย’ มากกว่าการโทษว่า เด็กๆ ไม่มีความอดทน– KHAE

Tags:

ครูGritพ่อแม่

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    คู่มือเลี้ยงเด็กในศตวรรษที่ 21 จะปรับตัวอย่างไรให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รอด!

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    WHAT IS GRIT?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel