Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    RelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the trauma
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2025

หมอลำนิวเจน: เรียนไป ม่วนไป เพราะทุกที่คือห้องเรียน ทุกเวทีคืออนาคต
Voice of New Gen
11 September 2025

หมอลำนิวเจน: เรียนไป ม่วนไป เพราะทุกที่คือห้องเรียน ทุกเวทีคืออนาคต

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘หมอลำศึกษา’ เป็นหลักสูตรเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในวงหมอลำสามารถกลับมาเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้อีกครั้ง ภายใต้แนวคิดการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น โดยศูนย์การเรียนปัญญากัลป์และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
  • บทความนี้ชวนไปฟังเสียงจริงจากสามเยาวชน ‘หมอลำนิวเจน’ ฮักแพง – วรัญญาภรณ์ วันทา, หยก – ปิยพร ฟองลม และ บาส – วิชัย นนทะพิมพ์ ที่กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันบนเวทีและอนาคตทางการศึกษาสามารถเดินไปด้วยกันได้
  • การศึกษาไม่จำเป็นต้องผูกติดกับห้องสี่เหลี่ยมเสมอไป เมื่อการเรียนรู้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับโจทย์ชีวิตที่แตกต่างของแต่ละคน ย่อมไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้นอกเส้นทางการเรียนรู้ เช่นเดียวกับเยาวชนนอกระบบการศึกษาในคณะหมอลำ

เสียงกลอง เสียงพิณ และแสงไฟบนเวทีหมอลำอาจเป็นเพียงความบันเทิงสำหรับผู้ชม แต่สำหรับเด็กและเยาวชนจำนวนหนึ่ง เสียงดนตรีและการฟ้อนรำ คือ ชีวิต และ เส้นทางอาชีพ ที่พวกเขาเลือกเดิน แม้ต้องแลกมาด้วยการหยุดเรียนกลางคัน หลายคนยังคงก้าวต่อไปบนเส้นทางศิลปะพื้นบ้านอีสาน ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวได้

แม้ในความเป็นจริง หลายคนที่ก้าวขึ้นเวทีตั้งแต่อายุยังน้อยต้องสูญเสียโอกาสด้านการศึกษา เพราะการเรียนในระบบโรงเรียนไม่สอดคล้องกับชีวิตการทำงานในวงหมอลำ ทั้งการซ้อม การเดินทาง และการแสดงที่กินเวลาแทบทั้งวัน ผลที่ตามมาคือ เด็กๆ เหล่านี้กลายเป็นเยาวชนนอกระบบการศึกษา แม้ในใจยังคงมีความฝันและหวังว่าสักวันจะมีวุฒิการศึกษามารับประกันความก้าวหน้าในชีวิต

เพื่อแก้โจทย์นี้ ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงออกแบบหลักสูตร ‘หมอลำศึกษา’ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในวงหมอลำสามารถกลับมาเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้อีกครั้ง ภายใต้แนวคิด Flexible Learning หรือ การเรียนรู้แบบยืดหยุ่น ทุกที่คือโรงเรียน ทุกประสบการณ์คือบทเรียน โดยใช้เวทีหมอลำเป็นห้องเรียนที่เด็กๆ สามารถบูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ เข้ากับโจทย์ชีวิตของตนเอง และนำไปเทียบโอนเป็นวุฒิการศึกษาได้

นี่จึงไม่ใช่แค่การคืนโอกาสทางการศึกษา แต่เป็นการตอกย้ำว่า ศิลปะพื้นบ้านสามารถกลายเป็นฐานการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง บทความนี้ชวนไปฟังเสียงจริงจากสามเยาวชน ‘หมอลำนิวเจน’ ฮักแพง – วรัญญาภรณ์ วันทา จากวงสาวน้อยลำเพลิน Show, หยก – ปิยพร ฟองลม จากวงสาวน้อยเพชรบ้านแพง และ บาส – วิชัย นนทะพิมพ์ จากวงอีสานนครศิลป์ ที่กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันบนเวทีและอนาคตทางการศึกษาสามารถเดินไปด้วยกันได้

‘ฮักแพง’ ผู้ไม่หยุดที่ความสำเร็จบนเวที เพราะอนาคตเริ่มที่การเรียนรู้

ฮักแพง-วรัญญาภรณ์ วันทา วัย 17 ปี เป็นเด็กสาวจากจังหวัดร้อยเอ็ด เติบโตมากับเสียงดนตรีพื้นบ้าน ความรักในเสียงเพลงทำให้เธอตัดสินใจลองออดิชั่นบนเวที สาวน้อยเพชรบ้านแพง ตอนอายุ 16 ปี และนั่นคือก้าวสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตให้กลายมาเป็นศิลปินหมอลำเต็มตัว ซึ่งปัจจุบันเธอเป็นศิลปินในสังกัดวงหมอลำ สาวน้อยลำเพลินโชว์

“ตอนนั้นอยู่ ม.3 หนูลาออกจากโรงเรียน เพราะต้องมาทำหน้าที่เป็นหมอลำ จริงๆ หนูชอบเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วค่ะ ก็เลยอยากลองพัฒนาประสบการณ์ของตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วโอกาสตรงนี้ที่วงหมอลำมันได้มายากนะคะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี หนูเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้โอกาส จึงเลือกที่จะยอมถอยจากการเรียนปกติไว้ก่อน ”

แม้จะเลือกทำในสิ่งที่รัก แต่ความฝันด้านการศึกษาของฮักแพงก็ยังไม่หายไปไหน เธอตั้งใจไว้ว่าอยากได้วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายเป็นอย่างน้อย ดังนั้น เมื่อมีคนมาแนะนำโครงการหมอลำศึกษา เธอจึงหาข้อมูลเพิ่มเติมและสุดท้ายก็ตัดสินใจสมัครเรียน 

“หนูรู้สึกดีใจมาก เพราะความฝันของหนูในวันนั้นคืออยากมีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำ ม.6 หนูยึดความคิดนี้ไว้ตลอด เพราะเป็นคนที่ชอบเรียน แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนั้น หนูยังติดขัดและไม่มีโอกาสจะได้เรียนต่อ ต้องออกมาทำงานก่อน เลยจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ”

เธอมองว่าหลักสูตรหมอลำศึกษาตอบโจทย์ชีวิตอย่างแท้จริง เพราะสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา

“คอนเซปต์การเรียนตรงนี้คือทุกที่สามารถเป็นโรงเรียนได้ค่ะ เพราะไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร เวลาไหน ก็ยังเรียนได้ สมมติว่ากำลังแต่งหน้าอยู่ คุณครูก็ส่งข้อสอบมาให้ทำ หนูก็สามารถทำได้เลย หรือหลังจากลงเวทีมาก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งเรียนในห้องทุกเช้าเหมือนโรงเรียนทั่วไป”

สิ่งที่เรียนไม่ได้มีแต่วิชาการ ยังรวมถึงนาฏศิลป์ ดนตรี และศิลปะการแต่งกายที่เธอนำไปปรับใช้กับงานจริงบนเวที

“มีหลายวิชาค่ะ โดยเฉพาะวิชาศิลปะที่สามารถนำไปใช้ได้ทุกฝ่าย ทุกแผนก อย่างหนูที่เป็นแดนเซอร์ ก็ได้ท่าเต้นท่าฟ้อนใหม่ๆ มาปรับใช้ รวมถึงการเรียนเรื่องศิลปะการแต่งกาย ที่สามารถนำมาดีไซน์ชุดใหม่ให้เข้ากับการแสดงได้ 

อีกส่วนคือเรื่องสังคมค่ะ เพราะสังคมในวงหมอลำไม่เหมือนกับสังคมนักเรียนทั่วไป แต่ละคนต่างทำงาน การจะอยู่ร่วมกันได้ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การเรียนรู้ตรงนี้ก็เหมือนเป็นวิชาสังคมที่สำคัญมากค่ะ”

ฮักแพงภูมิใจที่หมอลำทำให้เธอมีรายได้เลี้ยงครอบครัวและยืนหยัดได้ด้วยตนเอง แม้เส้นทางยังไม่แน่ว่าจะเลือกอะไร แต่เธอชัดเจนว่ารักทั้งการร้องเพลงและการเป็นครูนาฏศิลป์

“ความฝันของหนูยังไม่แน่นอน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือหนูได้ทำในสิ่งที่รักและชอบ คือการร้องเพลง ส่วนความฝันในวัยเด็กคืออยากเป็นครู โดยเฉพาะเมื่ออายุ 15–16 ปี หนูค้นพบว่าตัวเองชอบวิชานาฏศิลป์ ก็เลยอยากเป็นครูนาฏศิลป์ แต่ตอนนี้ยังไม่มีโอกาส จึงเลือกทำตามฝันการร้องเพลงไปก่อน”

แม้ในวันนี้ ฮักแพงจะประสบความสำเร็จไปอีกขั้นแล้วในฐานะศิลปินที่โด่งดัง และมีแฟนคลับติดตามเธอจำนวนมาก แต่เธอก็มองว่าโครงการนี้ช่วยให้เธอมองเห็นอนาคตที่มั่นคงและหลากหลายมากขึ้น

“ความฝันสูงสุดของหนูคือการเป็นทั้งครูนาฏศิลป์และนักแสดงหมอลำไปพร้อมๆ กัน ซึ่งโครงการนี้ช่วยให้เราได้เรียนทั้งวิชาการ ภาคปฏิบัติ สังคม การงาน และศิลปะ มีการสอบเหมือนโรงเรียนปกติ เช่น สอบปลายภาค และเมื่อเรียนจบก็จะได้วุฒิ ม.6 โดยวันสุดท้ายจะเหมือนศิลปนิพนธ์ คือการนำความรู้จากค่ายมาจัดการแสดงเอง”

สุดท้าย เธอฝากกำลังใจถึงเพื่อนๆ และสังคม พร้อมทั้งขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยยอมแพ้

“หนูเป็นรุ่นแรกของโครงการ หนูว่ามันเหมาะมากกับอาชีพอย่างหนู หรือสำหรับน้องๆ ที่ขาดโอกาสด้านการศึกษา ไม่มีทุนทรัพย์ หากอยากกลับมาเรียน หนูแนะนำโครงการนี้มากๆ เลยค่ะ เพราะมันตอบโจทย์หลายอย่าง ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

และหนูอยากขอบคุณตัวเอง ที่ไม่เคยยอมแพ้และนำความพยายามกับความอดทนมาใช้ เวลามีปัญหา หนูเจออุปสรรคแทบทุกวัน แต่ก็บอกกับตัวเองเสมอว่าจะไม่ถอยค่ะ”

‘หยก’ แม่วัยใสและหมอลำรุ่นใหม่ ผู้เดินหน้าสู่ชีวิตที่ดีกว่า

หยก – ปิยพร ฟองลม อายุ 19 ปี เริ่มต้นการเป็นแดนเซอร์ในคณะหมอลำซิ่งตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.3  กระทั่งเมื่อถึงชั้น ม.5 ชีวิตก็เปลี่ยนไป เพราะเธอตั้งครรภ์และเลือกเดินออกจากโรงเรียน 

“ตอน ม.5 หนูก็มีน้องค่ะ เลยไม่ได้เรียนต่อจนจบ ม.6 แล้วก็มาทำงานกับสาวน้อยเพชรบ้านแพงจนถึงปัจจุบัน”

หยกทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก แม้จะเหนื่อย แต่ก็ภูมิใจที่ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้

“หนูเป็นคนชอบทำงาน แล้วก็ทำงานหาเงินเองตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าสนุก ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุก อะไรที่ทำแล้วได้เงินมันก็เป็นความสุขของเรา ช่วงที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หนูก็เรียนทันเพื่อนอยู่นะคะ แต่ว่ามันต้องไปนั่งเรียนในห้อง ซึ่งบางทีเรารับงานเช้า–เย็น เราก็ไม่ได้ไปโรงเรียน แต่พอรู้ว่าตัวเองมีน้อง ก็เลยออกมาหาขายของแถวบ้าน เราคิดแค่ว่าทำยังไงให้มีเงินมาเลี้ยงลูก ถามว่าเสี่ยงไหม มันก็เสี่ยง แต่ว่าเราก็ต้องหาเงิน”

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อคุณป้าของเธอส่งใบสมัครโครงการหมอลำศึกษาให้เธอลองสมัครดู แม้แรกเริ่มเธอจะรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะเรียนได้ไหม แต่ท้ายที่สุดหยกก็ตัดสินใจเข้ามาเรียน

“ป้าส่งใบสมัครให้หนู บอกว่าไปลองเรียนดูไหม ตอนแรกหนูก็ไม่ได้สนใจ กลัวเป็นเหมือนกศน. ที่ต้องมาสอบให้ได้ตามที่เขากำหนด ซึ่งหนูติดข้อจำกัดเพราะต้องทำงานรันยาวจนกว่าจะปิดฤดูกาล ซึ่งใช้เวลา 8–9 เดือนเลยค่ะ”

พอหยกเห็นว่าโครงการนี้ตอบโจทย์กับตัวเอง เธอจึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ เพราะเธออยากมีวุฒิการศึกษาเพื่อสานความฝันในการเป็นครูนาฏศิลป์ ซึ่งหยกก็มองว่าหลักสูตรนี้ช่วยเปิดทางได้ โดยรูปแบบการเรียนก็สอดคล้องกับวิถีชีวิตศิลปินหมอลำของเธอ เพราะเป็นการเรียนที่ไหนก็ได้ โดยครูจะส่งใบงาน พาวเวอร์พอยต์ และโจทย์ผ่านไลน์หรือเฟซบุ๊ก ทำให้สามารถเรียนได้แม้หลังเวที

“เวลาทำงานหนูจะอยู่ช่วง 3 ทุ่ม ถึงตี 2 ตี 2 ครึ่ง แกะหัว แกะชุดอะไรเสร็จหนูก็จะมานั่งทำงานส่งครู”

หนึ่งในทักษะใหม่ที่หยกค้นพบคือการร้องเพลง จากเดิมที่ไม่มั่นใจในเสียงตัวเอง แต่เมื่อได้เรียนก็เริ่มกล้าที่จะลอง รวมทั้งยังทำให้เธอเปลี่ยนแปลงทัศนคติและเติบโตขึ้น

“พอเรามาอยู่กับคนหมู่มาก หนูก็จะได้ทำงานร่วมกับเพื่อนวงอื่น ทำให้หนูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น โตขึ้นจากเมื่อก่อน บรรยากาศการเรียนมันท้าทายดี มันทำให้เราอยากจะลองทำ ครูก็จะสอนแบบตัวต่อตัวเลย จนกว่าเราจะได้ ไม่ได้ปล่อยเราไปเฉย ๆ”

และแม้บางครั้งจะเจอคำดูถูก แต่หยกกลับใช้เป็นแรงผลักดัน

“หนูจบ ม.3 แล้วก็มาเต้นในวงหมอลำ คนรอบข้างบอกว่าจบแค่ม.3 มาเต้นกินรำกิน จะเอาอะไรมากิน จะเอาอะไรมาเลี้ยงลูก แต่เราก็เอาตรงนั้นมาเป็นแรงผลักดัน ต่อให้เราช้ากว่าเพื่อน แต่ว่าเราก็ภูมิใจในตัวเองค่ะ”

หยกในวันนี้ตั้งเป้าจะเรียนให้จบ ม.6 แล้วต่อมหาวิทยาลัย แม้ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย และดูแลลูกไปด้วย แต่เธอก็พร้อมจะสู้เพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัว

“หนูจบปีนี้ หลักสูตรนี้หนูเรียน 2 ปี พอได้วุฒิ ม.6 ก็จะเอาวุฒิ ม.6 นี้ไปต่อมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องหาตังค์ก่อน ถึงจะไม่ได้ทุน หนูก็รู้สึกว่าโอกาสที่ได้รับครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว”

นอกจากนี้เธอยังฝันที่จะก้าวจากแดนเซอร์ไปเป็นนักร้อง เพื่อเพิ่มโอกาสและรายได้ในอนาคต พร้อมกันนั้นยังคงยืนยันว่าอยากเป็นครูนาฏศิลป์ และใช้ความรู้ที่ได้สืบสานศิลปะหมอลำต่อไป

“หลักสูตรนี้ตอบโจทย์กับคนที่ไม่มีเวลาเรียน แล้วก็ไม่มีทุนเรียนจริงๆเป็นการเรียนที่อิงกับวิถีชีวิตของเราจริงๆ ซึ่งตอบโจทย์หนูมากเลยค่ะ”

‘บาส อีสานนครศิลป์’ เมื่อความฝันต้องแลกด้วยการออกจากโรงเรียน

สำหรับเด็กหลายคน ‘การเรียน’  คือเส้นทางตรงไปยังอนาคต แต่สำหรับบางคน เส้นทางนั้นต้องหยุดชะงักกลางทางเพื่อเลือกสิ่งที่จำเป็นกว่า นั่นคือ ‘การทำงาน’ เพื่อหาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว

บาส – วิชัย นนทะพิมพ์ อายุ 19 ปี คือหนึ่งในนั้น เขาเคยใกล้จะจบ ม.3 ในระบบโรงเรียน แต่ก็ต้องตัดสินใจลาออกเพื่อคว้าโอกาสการเป็นศิลปินวงหมอลำ หลังจากวงหมอลำอีสานนครศิลป์เข้ามาทาบทาม

“เอาจริงๆ ตอนนั้นก็เสียดายครับ เสียดายทั้งเพื่อนๆ และเสียดายที่อีกนิดเดียวก็จะจบ ม.3 อยู่แล้ว แต่บาสดีใจที่ได้กลับมาเรียน เพราะเราสามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย และยังมีวุฒิการศึกษาเป็นหลักประกันอนาคต เพราะความฝันของเราคือ ถ้าจบ ม.6 อยากเรียนต่อวิทยาลัยเพื่อเป็นครูศิลปะดนตรีครับ” 

การเลือกออกจากโรงเรียนของบาสไม่ใช่เพราะไม่อยากเรียน แต่เพราะความจำเป็นบังคับ เนื่องจากไม่สามารถทำอาชีพหมอลำและเรียนในระบบไปพร้อมๆ กันได้ การเข้าร่วมคณะหมอลำ อย่างน้อยนอกจากได้ทำในสิ่งที่ชอบคือการร้องและรำ ยังเป็นหนทางหาเงินมาจุนเจือครอบครัว

ทว่าระหว่างที่ทำงานกับคณะหมอลำ ได้มีทีมงานของศูนย์การเรียนปัญญากัลป์เข้าไปรับสมัครนักเรียนที่หลังเวที ซึ่งบาสมองว่าเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อให้คนทำงานอย่างเขาสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ จึงตัดสินใจสมัครเรียน 

“ในวิชาพื้นฐานทั่วไป ครูจะส่งใบงานทางกลุ่มไลน์ แล้วเราก็ทำส่งงานตามกำหนด ถ้าไม่เข้าใจก็ถามครูได้เลย ครูให้คำปรึกษาตลอดครับ”

นอกจากนั้น ยังมีค่ายเสริมศาสตร์หมอลำที่ช่วยต่อยอดทักษะบนเวทีให้เขาโดยตรง

“ได้เรียนรู้หลายอย่าง ทั้งกลอนรำ กลอนร้อง รวมถึงการฝึกกับศิลปินแห่งชาติ ทำให้ได้พัฒนาทักษะด้านการร้องและการรำมากขึ้นครับ”

สำหรับบาส การได้เรียนอีกครั้งทำให้เขาภูมิใจที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง

“โครงการนี้ทำให้บาสพัฒนาตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องการเรียนและการทำงานไปพร้อมกัน ภูมิใจที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ หาเงินใช้เอง เก็บเองครับ”

แม้ปัจจุบันเขายังทำงานหมอลำไปด้วย แต่บาสมองอนาคตไกลกว่านั้น เพราะรู้ว่าชีวิตบนเวทีมีข้อจำกัดเรื่องอายุ

“อยากเป็นข้าราชการครูครับ จริงๆ ถ้าอยากทำหมอลำต่อก็ได้ แต่ข้อจำกัดคือทำได้แค่ช่วงอายุหนึ่งเท่านั้น 40–45 ปี ก็อาจจะไม่ไหวแล้ว ดังนั้นบาสอยากมองหาความมั่นคงระยะยาวด้วยครับ”

บาสยังมองว่าโครงการนี้คือการมอบโอกาสให้เด็กที่มีข้อจำกัด สามารถเติบโตไปมีอนาคตที่มั่นคงขึ้นได้

“บาสอยากบอกเพื่อนๆ ทุกคนว่า ในโครงการนี้เราสามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยได้ครับ และอยากขอบคุณทาง กสศ. และศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่ไม่มีโอกาส ได้กลับมาเรียนอีกครั้งครับ”

เรื่องราวของฮักแพง หยกและบาส คือสิ่งที่ยืนยันว่า การศึกษาไม่จำเป็นต้องผูกติดกับห้องสี่เหลี่ยมเสมอไป เมื่อการเรียนรู้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับโจทย์ชีวิตที่แตกต่างของแต่ละคน ย่อมไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้นอกเส้นทางการเรียนรู้ เช่นเดียวกับเยาวชนนอกระบบการศึกษาในคณะหมอลำ ที่หลักสูตร ‘หมอลำศึกษา’ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มศักยภาพ และสุดท้ายเสียงพิณและแสงไฟบนเวทีก็จะกลายเป็นแสงแห่งความหวังที่ส่องทางให้พวกเขาเดินต่อไปอย่างมั่นคง

Tags:

Voice of New Genการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นหมอลำศึกษาหมอลำ

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง’ ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ผู้ออกแบบหลักสูตรม่วนๆ ‘หมอลำศึกษา’

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘Lampang One Team’ พลังเครือข่ายตำบลลำปางหลวง ที่โอบรับเด็กทุกคนสู่เส้นทางการศึกษาคุณภาพ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social Issues
    ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

Gamification EP1: ‘เกม’ กับ ‘การศึกษา’ เปลี่ยนความน่าเบื่อให้เป็นเรื่องสนุกท้าทาย โดยไม่ทำลายความรักเรียน
Education trend
10 September 2025

Gamification EP1: ‘เกม’ กับ ‘การศึกษา’ เปลี่ยนความน่าเบื่อให้เป็นเรื่องสนุกท้าทาย โดยไม่ทำลายความรักเรียน

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Gamification เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวา สร้างแรงจูงใจภายใน และช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น
  • การออกแบบ Gamification ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่เน้นการเพิ่มรางวัล คะแนน หรือการแข่งขันเพียงอย่างเดียว เพราะจะเป็นการทำลายแรงจูงใจภายในและทำให้ผู้เรียนรู้สึกกดดัน แทนที่จะเกิดความรักในการเรียนรู้
  • กิจกรรมบางประเภทอาจไม่เหมาะกับการแข่งขัน เช่น คณิตศาสตร์ โดยมีงานวิจัยพบว่า Gamification ทำให้ผู้เรียนมีความสนใจคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถในด้านนี้ อย่างไรก็ตาม มีผู้เรียนบางส่วนมีอาการกลัวคณิตศาสตร์ (Math Anxiety) เพิ่มขึ้น และลดความต้องการร่วมมือกันเป็นทีม

ปัจจุบันการศึกษามีการพัฒนาวิธีจัดการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เนื่องจากเด็กหลายคนมองว่าการศึกษาตามห้องเรียนแบบดั้งเดิมเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ดังนั้นครู ผู้สอน และผู้ออกแบบหลักสูตรจึงต้องคิดหาวิธีการทำให้บทเรียนน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

หนึ่งในแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นคือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ ‘Gamification’ ซึ่งเป็นการนำรูปแบบของเกมเข้ามาเพื่อเพิ่มความสนุกและท้าทาย เช่น ระบบแต้ม รางวัล การแข่งขัน ฯลฯ

Gamification คืออะไร?

Gamification หมายถึง การนำรูปแบบ แนวคิด หรือองค์ประกอบของเกมเข้ามาใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเกม เพื่อสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยองค์ประกอบของเกมที่มักหยิบยกมาใช้ก็มีตั้งแต่แบบพื้นฐาน (เช่น ระบบแต้ม กระดานคะแนน ป้ายตราสัญลักษณ์) ไปจนถึงแบบซับซ้อน (เช่น อารมณ์ เนื้อเรื่อง การแข่งขัน)

แนวคิด Gamification เกิดมาจากการสังเกตเห็นว่า เกมสามารถดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้เล่นจดจ่ออยู่ได้เป็นเวลานาน อีกทั้งเกมยังช่วยจูงใจให้เกิดความรักความชอบต่อเกมนั้นๆ ได้ ดังนั้นหากเรานำองค์ประกอบของเกมเข้ามาใช้ในบริบทอื่นๆ ก็จะช่วยให้คนสนใจ มีส่วนร่วมได้นานขึ้น และสร้างแรงจูงใจภายในได้

แล้ว Gamification จะสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนได้อย่างไร?

Self-determination Theory (SDT) ระบุว่า แรงจูงใจของคนเรามีลักษณะเป็นแนวต่อเนื่อง 3 ระดับดังนี้

  • ไร้แรงจูงใจ (Amotivation) – ไม่มีความสนใจและไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นๆ 
  • แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) – สนใจและมีส่วนร่วมเพราะรางวัลหรือการลงโทษ
  • แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) – สนใจและมีส่วนร่วมด้วยตัวเอง เพราะเห็นว่าสิ่งนั้นสนุกและตัวเองก็ชื่นชอบ

แรงจูงใจภายในเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่าแรงจูงใจภายนอก เพราะกิจกรรมที่พึ่งพาแรงจูงใจภายนอกต้องใช้รางวัลเพื่อผลักดันพฤติกรรมตลอดเวลา เมื่อรางวัลหมดไปเราก็ไม่อยากทำสิ่งนั้นแล้ว ดังนั้นในการเรียนรู้ การเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจภายในจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะก่อให้เกิดการเรียนที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนกว่า

Gamification เป็นสื่อกลางที่ช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจภายในให้แก่ผู้เรียนได้ผ่านการเติมเต็มเงื่อนไขที่เอื้อให้เกิดแรงจูงใจภายใน ได้แก่ ความสามารถ การมีอิสระ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น

  • ความสามารถ (Competence)

ความสามารถ ในที่นี้หมายถึง การที่ผู้เรียนรับรู้ว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายหนึ่งๆ ได้ โดยปกติแล้วการออกแบบเกมมักมีการแสดงความก้าวหน้า (Progression) ของการทำภารกิจและกิจกรรมต่างๆ เช่น หลอดความสำเร็จ หรือจำนวนแต้ม ทำให้ผู้เล่นรับรู้ได้ว่าตัวเองเข้าใกล้เป้าหมายไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว ก่อเกิดความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีความสามารถจะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ ได้

  • ความเป็นอิสระ (Autonomy)

ความเป็นอิสระ หมายถึง ผู้เรียนสามารถตัดสินใจเลือกวิธีในการเรียนรู้ได้ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสัมผัสถึงผลลัพธ์ที่ตามมา ซึ่งเกมโดยปกติเปิดโอกาสให้ผู้เล่นเลือกวิธีการเล่นด้วยตัวเอง ทำให้ค้นพบจุดอ่อนจุดแข็งในวิธีการเล่นของตัวเอง

นอกจากนี้ หากมีเป้าหมายหลายอย่างก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นเลือกได้ว่าจะจัดการกับเป้าหมายไหนก่อนตามการจัดลำดับของตัวเอง ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่ามีอิสระที่จะตัดสินใจเลือกทำสิ่งต่างๆ ได้

  • ความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Relatedness)

ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ในที่นี้หมายถึง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง หรือผู้เรียนกับผู้สอน การสร้างบรรยากาศที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจะเอื้อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัย ก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น การสอบถาม การสะท้อนความคิด หรือการให้ข้อเสนอแนะ

เกมสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ผ่านการมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันหรือการแข่งขัน โดยการแข่งขันในที่นี้ไม่ใช่การเอาชนะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นการเห็นเพื่อนอยู่ในระดับที่สูงกว่าและอยากที่จะขึ้นไปให้ถึงระดับนั้น กล่าวคือ เรียนรู้ว่าเพื่อนทำอย่างไรแล้วนำมาปฏิบัติตาม

ข้อควรระวังในการออกแบบ Gamification

แม้ Gamification จะทำให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวา กระตุ้นความสนใจ และสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน แต่การออกแบบ Gamification อย่างไม่ระมัดระวังโดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขการเกิดการแรงจูงใจภายใน 3 ข้อในข้างต้น ก็อาจส่งผลเสียได้ เช่น ทำให้ผู้เรียนมุ่งสนใจแต่แรงจูงใจภายนอกอย่างแต้ม คะแนน หรือรางวัล หรือร้ายไปกว่านั้นอาจไร้แรงจูงไปเลยก็ได้จากการไม่เข้าใจในระบบเกมและรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ

บทความวิจัยจากสาร Academic Medicine ปี 2018 ได้นำเสนอประเด็นที่ควรระวังในการออกแบบ Gamification ไว้ 2 ประการ ได้แก่ Overjustification effect และผลเสียของการแข่งขัน

  • Overjustification effect

Overjustification Effect เป็นปรากฏการณ์ที่เมื่อการให้รางวัลสำหรับกิจกรรมที่เราชอบหรือสนใจอยู่แล้ว สามารถทำให้เรามีแรงจูงใจภายในที่ลดลง เช่น การให้รางวัลแก่เด็กที่ชอบวาดรูป จะทำให้เด็กอยากวาดรูปน้อยลง เพราะแรงจูงใจภายนอก (รางวัล) เข้ามาแทนที่แรงจูงใจภายใน (ความชอบ) ทำให้เด็กรู้สึกขาดอิสระในการวาดรูป

ในกรณีของ Gamification คือการเพิ่มองค์ประกอบของเกมที่กระตุ้นเร้าแรงจูงใจภายนอกเข้ามา เช่น แต้ม คะแนน รางวัล ฯลฯ ซึ่งการพึ่งพาองค์ประกอบเหล่านี้มากเกินไปจะทำลายแรงจูงใจภายในของผู้เรียน พูดง่ายๆ คือ ผู้เรียนเริ่มเปลี่ยนความคิดจาก ‘เล่นเพราะสนุก’ เป็น ‘เล่นเพราะรางวัล’ ซึ่งจะนำไปสู่การเสื่อมถอยของแรงจูงใจภายใน เพราะผู้เรียนขาดอิสระในการกำหนดพฤติกรรมของตัวเอง

ดังนั้นการใช้รางวัลเหล่านี้ควรพิจารณาให้ดี หากกิจกรรมนั้นมีความน่าสนใจอยู่แล้ว การเพิ่มรางวัลพิเศษเข้าไปก็อาจนำไปสู่ Overjustification Effect และทำให้ผู้เรียนสูญเสียแรงจูงใจภายในได้

นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้สอนบางคนพยายามใช้ Gamification ในการชดเชยการออกแบบการเรียนการสอนที่ไม่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะ Gamification คือสื่อกลางที่ใช้ในการเรียนรู้ ไม่ใช่ยาวิเศษรักษาทุกโรค การทำเช่นนี้ย่อมทำให้เกิด Overjustification Effect เพราะเนื้อหาที่เรียนไม่มีความน่าสนใจตั้งแต่ต้น ผู้เรียนจึงสนใจที่ตัวรางวัลแทน

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็ต้องยกแนวคิดของอาจารย์อัลฟี โคห์น (Alfie Kohn) ผู้เขียนหนังสือ Punished by Rewards (ถูกลงโทษด้วยรางวัล) นั่นคือ ถ้าคุณเอาขยะให้เด็กเรียน คุณก็ต้องติดสินบนด้วยรางวัล เมื่อเนื้อหาไม่น่าสนใจ ไม่คุ้มค่าที่จะเรียนรู้ เราก็ต้องใช้รางวัลและการลงโทษในการชักจูงให้เด็กเรียน

ดังนั้นการจะลด Overjustification Effect ก็ควรออกแบบการเรียนการสอนให้ดีเสียก่อน แล้วจึงใช้ Gamification เข้าไปเพิ่มสีสันให้กับการเรียน อีกทั้งรางวัลก็ควรเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่กลายเป็นเป้าหมายเสียเอง 

  • ผลเสียของการแข่งขัน

ในตอนต้นเราพูดถึงการแข่งขันที่ส่งเสริมการช่วยเหลือเกื้อกูลและการสร้างสัมพันธภาพที่ดี แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป การแข่งขันอาจนำไปสู่ความตึงเครียดและความรู้สึกต้อยต่ำ (Inferior) ทำให้ผู้เรียนขาดความรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ ทำลายความสัมพันธ์กับผู้อื่น และไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้

ความรู้สึกต้อยต่ำจากการแข่งขันอาจเกิดขึ้นได้เมื่อผลการแข่งขันถูกเผยแพร่อย่างสาธารณะแบบเรียลไทม์และผู้เรียนไม่มีความก้าวหน้าในระดับของตัวเอง อีกทั้งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่เสื่อมถอยลง เพราะผู้เรียนรู้สึกด้อยกว่าเพื่อน ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และรู้สึกวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่ง่ายเกินไปก็อาจทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่ายและไม่สนุก ดังนั้นการแข่งขันที่มีความยากในระดับกลางๆ จึงเหมาะสมที่สุด

ทางที่ดีในการแก้ปัญหาคือ การส่งเสริมการทำงานแบบร่วมมือกัน เช่น การแข่งขันแบบทีม แต่ต้องไม่ลืมว่าการแข่งขันที่มากเกินไปจะทำลายความสัมพันธ์กับผู้อื่นและการรับรู้ความสามารถของผู้เรียน

หากต้องการแสดงผลการแข่งขัน เช่น กระดานคะแนน อาจใช้เป็นแบบนิรนามหรือไม่สามารถระบุตัวตน หรือหากต้องการแสดงชื่อ ก็ให้แสดงชื่อของทุกคนแต่ใช้การแบ่งเป็นแต่ละระดับ (Rank) โดยไม่แสดงคะแนน เช่นนี้คนที่อยู่ในระดับต่ำจะไม่รู้สึกถูกตัดขาด เพราะอย่างน้อยก็ยังมีชื่อของตัวเองอยู่บนกระดานคะแนน

นอกจากนี้ กิจกรรมบางประเภทอาจไม่เหมาะกับการแข่งขัน เช่น คณิตศาสตร์ โดยมีงานวิจัยพบว่า Gamification ทำให้ผู้เรียนมีความสนใจคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถในด้านนี้ อย่างไรก็ตาม มีผู้เรียนบางส่วนมีอาการกลัวคณิตศาสตร์ (Math Anxiety) เพิ่มขึ้น และลดความต้องการร่วมมือกันเป็นทีม

ในงานวิจัยนี้มีทั้งกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนทำโจทย์คณิตศาสตร์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่คล้ายกับการเล่นเกม และการแข่งขันสด (Live Tournament) กับทีมอื่นๆ ทั้งนี้ งานวิจัยไม่ได้ระบุว่า อาการกลัวคณิตศาสตร์เกิดขึ้นที่กิจกรรมไหนและมีสาเหตุมาจากสิ่งใด แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมอาจอนุมานได้ว่า อาการกลัวคณิตศาสตร์เกิดขึ้นมาจากการแข่งขันที่เน้นความเร็ว

ปกติแล้วผมเป็นคนคิดเลขได้แต่ช้า ซึ่งการแข่งขันที่ใช้ความรวดเร็วอาจทำให้ผู้เรียนในงานวิจัยนี้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์ เนื่องด้วยการแข่งขันเช่นนี้เน้นที่ความเร็วเป็นสำคัญ ถ้าผู้เรียนตอบถูกแต่ช้าก็จะได้คะแนนน้อยกว่าผู้เรียนที่ตอบถูกและเร็ว เมื่อได้คะแนนน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถ เกิดอาการกลัวคณิตศาสตร์ได้ และอาจนำไปสู่ความรู้สึกแปลกแยกจากเพื่อนร่วมทีม ทำให้ไม่อยากร่วมทีมด้วยเพราะกลัวเป็นตัวถ่วง

เพราะฉะนั้น แม้การแข่งขันในลักษณะนี้จะสร้างความสนุกสนานให้กับห้องเรียน แต่อาจไม่ได้เหมาะกับผู้เรียนทุกคน โดยเฉพาะคนที่คิดเลขได้แต่ช้า ควรเน้นการสร้างบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัย มากกว่าการแข่งขันที่เน้นความเร็วเพียงอย่างเดียว

จากทั้งหมดนี้ทำให้เห็นได้ว่า Gamification เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวา สร้างแรงจูงใจภายใน และช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การออกแบบ Gamification ก็ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่เน้นการเพิ่มรางวัล คะแนน หรือการแข่งขันเพียงอย่างเดียว เพราะจะเป็นการทำลายแรงจูงใจภายในและทำให้ผู้เรียนรู้สึกกดดัน แทนที่จะเกิดความรักในการเรียนรู้

ในบทความหน้าเราจะมาเจาะลึกว่าการออกแบบ Gamification ที่ไม่ได้เน้นรางวัลเพียงอย่างเดียวมีหลักการและแนวคิดอย่างไร ซึ่งจะสร้างความเปลี่ยนแแปลงในระยะยาวให้กับผู้เรียนได้อย่างแน่นอน

อ้างอิง

ฉัตรพงศ์ ชูแสงนิล. (2561). เกมมิฟิเคชั่นเรียนเล่นให้เป็นเกม.

ธนะรัชต์ ไชยรัชต์. (2563). การใช้เกมมิฟิเคชันในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมการรับรู้ความสามารถ การมีเป้าหมายในการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้: กรณีศึกษานักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในเขตกรุงเทพมหานคร [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

Araya, R., Arias Ortiz, E., Bottan, N. L., & Cristia, J. P. (2019). Does Gamification in Education Work?: Experimental Evidence from Chile. Inter-American Development Bank.

Kendra Cherry. (2023). How the Overjustification Effect Reduces Motivation.

Kendra Cherry. (2024). Self-Determination Theory in Psychology.Rutledge, C., Walsh, C. M., Swinger, N., Auerbach, M., Castro, D., Dewan, M., Khattab, M., Rake, A., Harwayne-Gidansky, I., Raymond, T. T., Maa, T., & Chang, T. P. (2018). Gamification in Action: Theoretical and Practical Considerations for Medical Educators. Academic Medicine, 93(7), 1014-1020.

Tags:

เกมการศึกษาการแข่งขันแนวทางการออกแบบการเรียนรู้แรงจูงใจในการเรียนOverjustification EffectGamification

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issue
    ‘ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา’ ฝันร้ายในวิกฤตเด็กนอกระบบ

    เรื่อง The Potential

  • SpaceCreative learning
    วิดีโอเกมจะกลายมาเป็นบทเรียนได้อย่างไร

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    ‘เรียนวิทยาศาสตร์ไปทำไม’ บทสนทนาว่าด้วย ควอนตัม ความเชื่อ และการศึกษา กับ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ 

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘เรียนดีมีสุข’ ห้องเรียนลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาเด็ก Dropout

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

‘Time Blindness -บอดเวลา’ อาจไม่ใช่แค่นิสัยชักช้า แต่ส่งสัญญาณความผิดปกติทางร่างกาย
Character building
8 September 2025

‘Time Blindness -บอดเวลา’ อาจไม่ใช่แค่นิสัยชักช้า แต่ส่งสัญญาณความผิดปกติทางร่างกาย

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การไม่ตรงเวลานัด จนบางทีต้องบอกนัดกันแบบ ‘เผื่อเวลา’ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจสำหรับ ‘คนตรงต่อเวลา’ จนอาจทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือนำไปสู่ความขัดแย้งบางอย่าง  
  • สัญญาณที่อาจแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคน ‘บอดเวลา (time blindness)’ นอกจากการมาสาย ได้แก่ มีความสามารถในการประเมินเวลาที่ใช้ทำงานต่ำ จนทำให้ต้องเร่งรีบในตอนท้ายเสมอเพื่อให้ทันเวลา
  • คนที่สมาธิสั้น คนที่เป็นออทิสติกหรือมีปัญหาทางร่างกายที่เกิดจากความบกพร่องในการควบคุมการสร้างสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ก็อาจแสดงออกแบบบอดเวลาได้ด้วยเช่นกัน 

มีเรื่องเล่ากันว่า เพื่อที่จะอธิบายเกี่ยวกับ ‘การยืดออกของเวลา’ ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวในเชิงเทียบเคียงว่า “ลองเอามือคุณไปวางบนเตาสักนาทีก็อาจรู้สึกเหมือนกับนานเป็นชั่วโมง แต่ถ้าได้นั่งคุยกับสาวสวยสักชั่วโมง คุณก็อาจรู้สึกว่าเพิ่งผ่านไปแค่นาทีเดียว และนี่ก็คือสัมพัทธภาพของเวลา” 

แม้ว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีนักที่จะใช้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ (เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวอะไรกับทฤษฎีสัมพัทธภาพเลย) และอันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงด้วยซ้ำไป เป็นแค่เรื่องขำขันที่นักข่าวเขียนลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ปี 1929 แค่นั้น [1]  

แต่เรื่องนี้ก็ฮิตเหลือเกินจวบจนถึงยุคปัจจุบันและมีประโยชน์ในแง่ว่าทำให้เราฉุกคิดได้ถึง ‘การรับรู้เวลา’ ของเราว่า อาจผิดเพี้ยนได้ง่ายเพียงใด 

เรื่องหนึ่งที่ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่คนไทยจำนวนมากก็ทำหรือคุ้นเคยกันดีคือ การไม่ตรงเวลานัด จนบางทีต้องบอกนัดกันแบบ ‘เผื่อเวลา’ ซึ่งก็จะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจสำหรับ ‘คนตรงต่อเวลา’ เป็นอย่างมาก อาจทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือนำไปสู่ความขัดแย้งบางอย่างได้อีกด้วย  

เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาการแบบนี้ที่วิทยาศาสตร์ช่วยบอกกับเราก็คือ บางคนที่มาสาย มาไม่ทันตลอดเวลา อาจไม่ใช่แค่ชาชินหรือติดนิสัยทำอะไรชักช้า หรือไม่เห็นคุณค่าของการตรงต่อเวลา (แม้บางรายจะใช่ก็ตาม) เพราะบางคนในจำนวนนั้นอาจป่วยเป็นโรคบางอย่าง เราจะกลับมาพูดถึงเรื่องโรคเหล่านี้อีกที  

นอกจากอาการมาสายเป็นประจำแล้ว ‘สัญญาณ’ อื่นๆ ที่อาจแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคน ‘บอดเวลา (time blindness)’ ได้แก่ มีความสามารถในการประเมินเวลาที่ใช้ทำงานอะไรสักอย่างต่ำ จนการประเมินนั้นผิดพลาดไปทำให้ต้องเร่งรีบในตอนท้ายเสมอเพื่อให้ทันเวลา บางคนก็อาจรู้สึกยากลำบากมากในการวางแผนและทำให้ได้ตามไทม์ไลน์ในแผนนั้นๆ นอกจากนี้ เมื่อลงมือทำอะไรสักอย่างไปแล้วก็มักจะหมกมุ่นจนลืมวันเวลาไปเลย และสุดท้ายคือ เป็นคนที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอ เพราะไม่อาจ ‘รับรู้’ ได้ถึงเดดไลน์ที่กำลังใกล้เข้ามา [2]    

สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่เข้าสู่ฤดูสอบ ต้องสอบหลายวิชาติดต่อกันก็อาจเกิดอาการแปลกๆ เช่น ไม่อ่านวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้ (เพราะเป็นวิชาที่ไม่ชอบหรือเรียนไม่เข้าใจ) แต่ดันไปหยิบเอาตำราวิชาที่จะสอบมะรืนนี้ขึ้นมาอ่านแทน ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาสอบ หรือหนักกว่านั้นคือหนีไปเล่นเกม จนเหลือเวลาอ่านน้อยนิดในช่วงท้ายสุดให้ใช้อ่านทบทวน นี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมที่พบได้เช่นกัน  

แต่เดี๋ยวก่อน ต่อให้มีพฤติกรรมเป็นตามที่ว่ามาทุกข้อ ก็ยังอาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าคุณป่วยเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีก และหากเป็นแค่เพียงพฤติกรรมหรือนิสัยจากความเคยชิน ก็อาจจะมีทางแก้ไขพฤติกรรมการไม่ตรงเวลาแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน  

คราวนี้เราจะมาเจาะถึงสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากไม่ตรงเวลากันครับ 

ปกติสมองของเราจะสลับการทำงานในสองแบบอยู่ตลอดเวลา แบบหนึ่งคือ การจดจ่อแบบอัตโนมัติ (automatic attention) ส่วนอีกแบบเป็นการจดจ่อแบบที่ต้องตั้งใจบังคับสั่งการ (directed attention) [3] และอาการ ‘บอดเวลา’ นั้นอาจเกิดกับคนปกติได้เป็นครั้งคราว เวลาที่เราจดจ่อกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ

ปกติแล้วเครือข่ายประสาทในสมองของเราจะพยายามอยู่ในโหมดอัตโนมัติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเวลาเรามีความสุขกับการทำอะไรสักอย่าง อาจเป็นงานอดิเรกหรือการพักผ่อนหลังจากทำงานหนักมา เรียกว่าสมองเรียกหาสภาวะแบบนี้ก็คงไม่ผิด ขณะที่งานบางอย่างที่เรา ‘จำเป็นต้องทำ’ แต่ในใจเรากลับ ‘ไม่รู้สึกอยากทำ’ เลย ตัวอย่างชัดๆ ก็คืองานบ้านหรือการบ้าน อาจรวมไปถึงการเข้าฟังในคลาสอาจารย์ที่สอนน่าเบื่อ การกรอกแบบฟอร์มบางอย่าง การทำรายละเอียดภาษี ฯลฯ

ในกรณีหลังนี้ต้องใช้ความพยายามมากเป็นอย่างยิ่งที่จะมีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านหลุดไปคิดเรื่องสนุกๆ อื่นๆ ที่อยากทำ เพื่อทำให้สมองกลับไปอยู่โหมดอัตโนมัติให้เร็วที่สุด 

สำหรับคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นหรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) นั้น จะมีสภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง จนทำให้มีปัญหาเรื่องสมาธิ ดูภายนอกจะเห็นว่าเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ หากเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกว่าซนกว่าเด็กปกติทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการขาดการยับยั้งชั่งใจหรือทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่นได้ ที่น่าสนใจคือคนเป็น ADHD แบบนี้มีแนวโน้มว่าระบบสมองแบบอัตโนมัติจะทำงานได้ดีผิดปกติเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากคนเหล่านี้ไปเจอสิ่งที่ตัวเองชอบ จะพุ่งความสนใจจดจ่อได้ดีเป็นพิเศษ (Hyperfocus) จนลืมสภาะรอบตัวไปหมด 

ในทางกลับกัน ผู้ป่วย ADHA จะประสบปัญหามากในการควบคุมสมองให้จดจ่อแบบที่ต้องตั้งใจบังคับสั่งการ จึงมักโดนแปะป้ายว่าเป็นพวกบอดเวลา 

ไม่แค่เพียงผู้ป่วยสมาธิสั้นเท่านั้น คนที่เป็นออทิสติกหรือมีปัญหาทางร่างกายที่เกิดจากความบกพร่องในการควบคุมการสร้างสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ก็อาจแสดงออกแบบบอดเวลาได้ด้วยเช่นกัน 

ดังนั้น อาการบอดเวลาจึงอาจเป็นได้ทั้งจากนิสัยที่สั่งสมมาจนกลายเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายหรือป่วยเป็นโรคบางอย่างก็ได้เช่นกัน

มีวิธีการแก้ไขหรือมีตัวช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่สำหรับคนเหล่านี้?

วิธีการมาตรฐานที่มักแนะนำกันมีหลายวิธี [2-4] วิธีการแรกสุดคือใช้อุปกรณ์จับเวลาในการช่วยปรับพฤติกรรม อาจเป็นตัวจับเวลาเฉพาะหรือใช้เป็นแอปบนมือถือก็ได้ทั้งนั้น แบ่งเวลาตามความจำเป็นให้เหมาะสม และตั้งเวลาที่สอดคล้องกันให้เหมาะสม เพื่อเตือนว่าครบเวลาแล้วต้องขยับไปทำอย่างอื่นแล้ว  

อีกวิธีก็คืออาศัยการตั้ง ‘เวลากันชน’ เผื่อไว้สำหรับให้เปลี่ยนผ่านจากกิจกรรมหนึ่งไปยังอีกกิจกรรมหนึ่งก็อาจพอช่วยได้เช่นกัน สำหรับบางคนการใช้นาฬิกาแบบเข็มจะช่วยได้มากกว่านาฬิกาแบบตัวเลข เพราะทำให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนกว่า

การจดบันทึกหรือไดอารีเพื่อให้เห็นว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง หรือมีอะไรที่ยังต้องทำบ้างภายในเวลาที่มีอยู่ก็ช่วยได้เช่นกัน หากจำเป็นก็แบ่งย่อยกิจกรรมนั้นๆ ลงไปให้ละเอียดมากขึ้นก็ช่วยได้มากขึ้นไปอีก 

การฝึกสติก็ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อและทำตามแผนการที่วางไว้ให้ดีขึ้นได้ 

ฝึกหัดประเมินเวลาที่ใช้สำหรับรูปแบบกิจกรรมที่แตกต่างกัน อาจทำให้รับรู้ได้ว่ากิจกรรมบางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ ก็จะทำให้สามารถวางแผนแบบยืดหยุ่นและทำได้จริงมากขึ้น

บางคนก็ใช้เทคนิค ‘เงื่อนไข’ ในการตั้งเป้าหมายและทำให้สำเร็จ เช่น หากอ่านหนังสือจบหนึ่งบท ก็อนุญาตให้ตัวเองพักกินอะไรอร่อยๆ หรือพักดูซีรีส์ได้ 1 ตอน (เท่านั้น!)   

บางครั้งสมองที่ยุ่งวุ่นวายกับการแก้ปัญหาก็อาจทำงานดีขึ้นได้ หากเราได้หยุดพักให้สดชื่น อาจหย่อนใจไปเดินในสวนหรือบริเวณใกล้บ้านสัก 5-10 นาที ก่อนเริ่มทำงานชิ้นต่อไป 

คำแนะนำทั้งหลายข้างต้นสำหรับคนที่ ‘บอดเวลา’ นั้น จะใช้การได้ดีในกรณีของคนทั่วไป หากมีอาการป่วยหรือผิดปกติบางอย่าง การแก้ไขปัญหาอาจทำได้ลำบากมากขึ้นและต้องพึ่งพาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาต่อไป  

เอกสารอ้างอิง

[1] https://www.history.com/articles/here-are-6-things-albert-einstein-never-said เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025

[2] https://www.psychologytoday.com/us/basics/time-blindness เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025

[3] https://health.clevelandclinic.org/time-blindness เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025

[4] Karen Evennett, 2024, Are You Time Blind? Psychology Now, vol. 9, 26-27

 

Tags:

สมาธิสั้นTime Blindnessการไม่ตรงเวลานิสัยผัดวันประกันพรุ่งการจดจ่อ

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP1: ครูจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI หากใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ยกระดับการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Adolescent Brain
    สมองแบบติ๊กต่อก: จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในร้านลูกกวาดที่กินเท่าไรก็ได้?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ครูที่ใส่ใจ’ พื้นที่ปลอดภัยและโอกาสของเด็กสมุย: ครูจ๋า-จสิตา เชียะคง ครูรัก(ษ์)ถิ่น แห่งโรงเรียนบ้านดอนธูป
Social Issue
8 September 2025

‘ครูที่ใส่ใจ’ พื้นที่ปลอดภัยและโอกาสของเด็กสมุย: ครูจ๋า-จสิตา เชียะคง ครูรัก(ษ์)ถิ่น แห่งโรงเรียนบ้านดอนธูป

เรื่อง The Potential ภาพ The Potential

  • จากนักศึกษาทุนในโครงการ ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ สู่บทบาทครูผู้ช่วยของโรงเรียนบ้านดอนธูป ครูจ๋าคือเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตและผลิดอกออกผลตามเป้าหมายของโครงการฯ คือการตอบแทนชุมชนบ้านเกิด ด้วยความมุ่งมั่นในการจัดการศึกษาคุณภาพให้กับเด็กๆ บนเกาะสมุย 
  • ห้องเรียนอนุบาลของครูจ๋า ใช้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ 6 กิจกรรมหลัก ร่วมกับนวัตกรรม Loose Parts เน้นให้เด็กได้ลงมือทำ บนความคาดหวังว่าพวกเขาจะได้ทักษะทางสังคมและทักษะทางจิตใจ เพื่อจะได้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
  • หัวใจสำคัญคือการดูแลเด็กด้วยความใส่ใจ เท่าเทียมและทั่วถึง เป็นพื้นที่ปลอดภัยและเรียนรู้ไปพร้อมเด็ก ทำงานร่วมกับเพื่อนครูในการยกระดับคุณภาพห้องเรียน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและคนในชุมชน เพื่อให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสอย่างแท้จริง

“ก่อนที่เราจะไปพัฒนาคนอื่นได้ เราจะต้องพัฒนาที่ตัวเองก่อน”

ไม่ใช่แค่คำพูดสวยๆ แต่เป็นมายด์เซ็ตที่พา ครูจ๋า – จสิตา เชียะคง ในวัย 24 ปี มายืนอยู่หน้าชั้นเรียนอนุบาลด้วยความภาคภูมิใจ ในฐานะ ‘ครูผู้ช่วย’ ของ โรงเรียนบ้านดอนธูป ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

ครูจ๋าเกิดและโตบนเกาะสมุย หลังจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนมัธยมเกาะสมุย เธอได้รับทุนจากโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อเรียนต่อในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี

แม้จะเป็นครูรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นชีวิตการเป็นครูได้เพียงปีกว่าๆ แต่ครูจ๋าก็ใช้ทั้งความรู้และความรักในการออกแบบชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยสนามพลังบวก เธอนำนวัตกรรมการศึกษาที่ได้ร่ำเรียนมา บูรณาการเข้ากับความตั้งใจที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ เพื่อให้พวกเขาได้เติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งทางด้านความคิด จิตใจ และการอยู่ร่วมในสังคม

“จิตวิญญาณความเป็นครูก็คือ การดูแลเอาใจใส่เด็กอย่างทั่วถึง และเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก” ครูจ๋า พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ทุกวันนี้นอกจากจะเป็นขวัญใจเด็กๆ ครูจ๋ายังทำงานร่วมกับเพื่อนครู ผู้อำนวยการโรงเรียน รวมถึงคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี เป้าหมายคือการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนในพื้นที่บ้านเกิดให้เป็นพื้นที่แห่งโอกาสในการเรียนรู้ ด้วยความตระหนักว่าโอกาสทางการศึกษาเป็นสิ่งมีค่าที่ควรส่งต่อให้เด็กทุกคน

ห้องเรียนชีวิตจริง ยิ่งกว่าในตำรา 

แม้หลักสูตรครุศาสตร์จะเตรียมความพร้อมให้คุณครูก่อนลงสนามมาพอสมควร แต่พอได้มาใช้เวลากับเด็กปฐมวัยตัวจริง ครูจ๋าในวันที่ชิมลางการเป็นครูฝึกสอนก็แทบจะถอดใจ 

“ตอนนั้นใจหนึ่งคือเราไม่ได้อยากเป็นครูแล้วค่ะ เรารู้สึกว่าทำไมเด็กทำอะไรเองไม่ได้เลย แต่พอมีครั้งหนึ่งเราสอนไปเรื่อยๆ แล้วเด็กเขาคอยเชียร์อัพเรา เป็นพลังบวกให้เรา รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีความหมายกับเขา เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสำคัญของเด็กไปแล้ว เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก ตรงนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนค่ะ”

ครูจ๋าตัดสินใจเดินต่อบนเส้นทางชีวิตการเป็นครูปฐมวัย โดยหลังจากฝึกสอน เธอได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยที่โรงเรียนบ้านดอนธูป รับผิดชอบชั้นอนุบาล 1 โดยใช้แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ 6 กิจกรรมหลัก ร่วมกับนวัตกรรม Loose Parts เนื่องจากโรงเรียนบ้านดอนธูปเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีสื่อไม่มากพอสำหรับเด็กทุกคน การใช้ Loose Parts ซึ่งเป็นสื่อที่ได้มาจากการประยุกต์สิ่งของธรรมชาติในชุมชน น่าจะเหมาะสมและสามารถใช้พัฒนาเด็กได้ดีที่สุด

“ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับโรงเรียนโดยการนำลูกยาง ลูกสน มาให้ค่ะ ซึ่งเราก็นำมาใช้โดยวิธีบูรณาการในชั้นเรียนกับกิจกรรมเสริมประสบการณ์ ศิลปะสร้างสรรค์ ให้เด็กได้จับ ได้เล่น แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือนำสื่อ Loose Parts ไปสร้างเป็นเกมการศึกษาให้เด็กได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นผิวสัมผัส การนับจำนวนตัวเลข รูปร่างรูปทรง ใช้บูรณาการในกิจกรรมปฐมวัยได้หมดเลย เรามองว่าสื่อที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อที่มีราคาแพง แต่เป็นสื่อที่พัฒนาเด็กได้มากที่สุด ครบองค์ประกอบทักษะ 4 ด้าน”

ห้องเรียนของครูจ๋า เด็กๆ จะไม่ได้นั่งฟังเฉยๆ เขาจะต้องหยิบจับอุปกรณ์ที่เตรียมให้ เช่น ลูกยาง ลูกสน ไม้ไผ่ มาสร้างสรรค์ผลงาน เกิดเป็นกิจกรรมหนูน้อยนักสร้างสรรค์ ซึ่งหัวใจสำคัญคือให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง 

“แล้วเราก็ไม่ได้วัดเด็กที่ผลงานค่ะ แต่วัดที่ทักษะจิตใจทักษะทางสังคมของเขา เช่น เราจะถามว่า ‘วันนี้หนูได้ทำงานกับใครบ้างคะลูก’ ‘หนูสนุกไหมคะ’ หรือถามว่า ‘ผลงานหนูชื่ออะไร’ ถ้าเขาบอกว่าบ้าน เราก็จะไม่ได้มองว่าอันนี้ไม่เหมือนบ้านเลย หนูสร้างอะไรก็ไม่รู้…”

ครูจ๋าบอกว่าการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือทำ ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมคือ เด็กๆ มีทักษะในการจัดการตนเอง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น ถือกระเป๋าเองได้ ถือกล่องข้าวมาโรงอาหารเองได้ วางรองเท้าในชั้นวางรองเท้าได้อย่างเป็นระเบียบ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นการพื้นฐานสำคัญในเรื่องการมีระเบียบวินัยด้วย ซึ่งเด็กๆ ซึมซับนำกลับไปใช้ที่บ้านด้วย

“เรื่องทักษะนั้น เขาได้ทักษะการจัดการตนเอง ทักษะการวางแผนอย่างเป็นระบบ แล้วเขาก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีคุณครู หรือผู้ปกครองคอยบอก 

แรกๆ อาจจะยังต้องคอยบอกอยู่ แต่ตอนนี้น้อยลงมาเป็นสเต็ปๆ วางกระเป๋าเรียงซ้อนกันเขาก็สามารถวางเป็นแล้ว ในห้องอนุบาล 1 เป็นสิ่งที่ยากมากค่ะ แต่ละอย่างที่เราจะพัฒนา เราต้องค่อยเป็นค่อยไป เราต้องพูดอยู่อย่างนั้นค่ะ ทำซ้ำๆ จนเป็นนิสัย เพื่อให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพ”

จิตวิญญาณความเป็นครู คือดูแลใส่ใจเด็กอย่างทั่วถึง

แม้แนวคิดหลักในการจัดการเรียนรู้จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำ (Active Learning) เปิดพื้นที่ให้โต้ตอบกันอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ถูกตัดสิน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ครูจ๋าให้ความสำคัญคือ การดูแลเด็กด้วยความใส่ใจ เท่าเทียมและทั่วถึง เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขา ซึ่งช่วยให้เด็กกล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ

“อย่างในตอนเช้าก็จะมีกิจกรรมเช็คอินความรู้สึก ‘เช้านี้หนูรู้สึกยังไง’ ก่อนเที่ยงก็จะเป็น ‘หนูน้อยร้อยเวที’ ให้เขาได้แสดงความสามารถที่อยากทำ เพราะว่าบางวันมาจากบ้าน เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังเลย แต่พอเทำกิจกรรมนี้เรารู้ได้เลยว่าในใจลึกๆ เขาคิดอะไรอยู่ วันนี้หนูอยากเล่าอะไร หนูอยากร้องเพลงอะไร ได้เลย..ครูจัดให้”

“จิตวิญญาณความเป็นครูก็คือการดูแลใส่ใจเด็กอย่างทั่วถึง เราไม่เป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่เราให้เด็กเป็นศูนย์กลางค่ะ เราเรียนรู้ไปพร้อมเด็ก เพราะว่าความรู้ได้มาจากเด็กทั้งนั้น ซึ่งเราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ค่ะ”

สำหรับเป้าหมายในการดูแลเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะเด็กๆ ชั้นอนุบาล 1 ที่ดูแลอยู่นั้น ครูจ๋าบอกว่า ไม่ได้คาดหวังทักษะวิชาการ แต่คาดหวังให้เด็กๆ ได้ทักษะทางสังคม และทักษะทางจิตใจ 

“เราต้องการแค่ให้เขามาโรงเรียนแล้วเขาสามารถเล่นกับเพื่อนได้ มีทักษะสังคมที่ดี รู้จักแบ่งปันสิ่งของให้เพื่อน มีทักษะการพูด ส่วนทักษะวิชาการจะไม่ได้เน้นเรื่องอ่านเขียน แต่เขาจะเรียนรู้ภาษาธรรมชาติหรือว่า Whole Language ไปพร้อมๆ กัน แค่นี้พอค่ะ” 

ครูจ๋าย้ำว่า ทักษะทางสังคมและทักษะทางจิตใจ สองสิ่งนี้เป็นการปูพื้นฐานให้เด็กมีรากฐานที่เข้มแข็ง และเติบโตไปอย่างมีคุณภาพ

“การได้รับคุณธรรมคู่กับการศึกษาจะทำให้เด็กเติบโตอย่างยั่งยืน ก็เลยเล็งเห็นทักษะทางสังคมกับทักษะทางจิตใจค่ะ ถ้าเด็กมีจิตใจที่ดี สังคมที่ดี เข้ากับเพื่อนได้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาตนเองและคนรอบข้าง”

ตอบแทนชุมชนบ้านเกิด อุดมการณ์ ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ 

ในฐานะนักศึกษาทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น นอกจากวิชาความรู้ที่ครูจ๋านำมาออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ แล้ว เธอยังได้รับทักษะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและกลับมาพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะงานฝึมือที่หลายคนอาจไม่คิดว่ามีความสำคัญ เช่น จับจีบผ้า จัดดอกไม้ จัดแจกัน จัดอาหาร ทำขนม จัดเบรก เป็นต้น  

“ทั้งหมดนี้อยู่ในหลักสูตรสานสัมพันธ์ชุมชน คือเราจะทำยังไงให้เป็นที่ยอมรับของชุมชน จะเข้าไปช่วยชุมชนยังไง หรือเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนยังไงได้บ้าง ทักษะเหล่านี้ช่วยได้มาก”

นอกจากนี้ครูจ๋ายังยกตัวอย่างหลักสูตรพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ‘4+6 โมเดล’ ที่เธอได้ไปอบรมและนำกลับมาใช้ที่โรงเรียนดอนธูป รวมทั้งไปเป็นวิทยากรให้กับโรงเรียนอื่นๆ ในพื้นที่เกาะสมุย ว่าเป็นหนึ่งในความภูมิใจที่ได้ร่วมพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่

4+6 โมเดล เพื่อพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม ประกอบด้วย 4 หลักการ คือ 1.ทำทั้งโรงเรียน 2.ทำแบบ Bottom Up 3.ทำอย่างมีส่วนร่วม 4.ทำอย่างสม่ำเสมอ และ 6 กระบวนการ คือ 1. สร้างการรับรู้และการยอมรับในโรงเรียน 2. สร้างครูแกนนำ นักเรียนแกนนำ 3. กำหนดเป้าหมาย 4. กำหนดวิธีการ 5. ลงมือปฏิบัติ 6. สร้างกลไกขับเคลื่อน

สำหรับโรงเรียนบ้านดอนธูปซึ่งเป็นโรงเรียนนำร่องโรงเรียนแรกที่นำมา 4+6 โมลเดลมาใช้นั้น ในปีแรกได้นำเสนอ ‘โครงงานรองเท้าเข้าที่’ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักเรียนและคุณครู

“เราทำทั้งโรงเรียนค่ะ แล้วก็ทำจากล่างขึ้นบน โดยเริ่มต้นจากนักเรียนเป็นผู้ที่คิดค้นสิ่งที่มองว่าเป็นปัญหาและอยากแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งแค่ตัวนักเรียนก่อนนะคะ โดยมีคุณครูช่วยชี้แนะแล้วทำไปพร้อมนักเรียน ทำให้ปัญหาตรงนี้ลดทอนไป ก็คือมันกลายเป็นพฤติกรรมบ่งชี้เชิงบวกขึ้นมา 

ตัวอย่างนะคะ จากที่เด็กทำรองเท้าหาย ต้องซื้อรองเท้าใหม่ พอเราใช้กระบวนการนี้ 4+6 โมเดล โดยเริ่มต้นจากตัวนักเรียนก่อน รองเท้าที่ว่าหาย รองเท้าที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่มีชั้นวาง ตอนนี้โรงเรียนเราเป็นระเบียบในเรื่องของการวางรองเท้า รวมไปถึงเรื่องของการเข้าแถว การเดิน การทานอาหารในโรงอาหาร ระเบียบแถว วินัยต่างๆ เด็กเขาจะได้รับการปลูกฝังบ่มเพาะไปตั้งแต่เนิ่นๆ โดยใช้กระบวนการ 4+6 นี่แหละค่ะ” 

ทั้งนี้ ครูจ๋ามองว่า 4+6 โมเดลนี้เป็นเหมือนเข็มทิศนำทางให้เด็กๆ พัฒนาทั้งคุณธรรมและคุณภาพไปพร้อมกัน ที่สำคัญคือครูเองก็ได้รับการพัฒนาด้วย เพราะ “การจะปลูกฝังคุณธรรมให้เด็ก ครูต้องมีคุณธรรมก่อนค่ะ”

โอกาสทางการศึกษา บ่มเพาะชีวิตให้งอกงามและแข็งแกร่ง

จากเด็กที่ไม่เคยแน่ใจในอนาคต สู่การเป็นนักเรียนทุน ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ กระทั่งได้เป็นคุณครูอย่างเต็มภาคภูมิ ครูจ๋าบอกว่านอกจากประสบการณ์ในชั้นเรียน, การทำงานร่วมกับเพื่อนครู และการสนับสนุนจากผู้อำนวยการโรงเรียน รวมไปถึงคนในชุมชน คือเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้ไฟของครูรุ่นใหม่อย่างเธอไม่เคยมอดดับลง เช่นเดียวกับความหวังที่จะใช้ความรู้ความสามารถพัฒนาโรงเรียน สร้างการศึกษาคุณภาพให้เด็กๆ ในถิ่นฐานบ้านเกิด

“วันนี้รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นครูของเด็กๆ ที่นี่ แล้วก็รู้สึกประสบความสำเร็จในการเข้าถึงชุมชน คุณครูที่โรงเรียนก็ให้การสนับสนุนอย่างมาก แม้จะเป็นครูที่เด็กที่สุดในโรงเรียน แต่ทุกคนรับฟังในสิ่งที่เราเสนอ พร้อมที่จะเรียนรู้ และช่วยกันพัฒนาโรงเรียน”

“สำหรับเรา การเป็นที่ยอมรับของโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน อันนี้ถือว่าผ่านความสำเร็จมาหนึ่งขั้น แต่สิ่งที่อยากเติบโตมากกว่านี้คือ การทำให้ชุมชนรู้สึกว่าโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมได้”

เพราะหัวใจของครูรัก(ษ์)ถิ่น คือการตอบแทนสังคมชุมชนด้วยการศึกษา และการศึกษาคุณภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม

“สิ่งที่ กสศ. ให้ ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพย์ ความรู้ หรือโครงการต่างๆ หนูพูดเลยว่าหนูเป็นคนหนึ่งที่เอาทุกอย่างมาใช้อย่างเต็มที่ค่ะ รู้สึกอยากให้ตัวเองเป็นเมล็ดพันธ์ที่งอกงามอย่างสวยงาม ภูมิใจค่ะที่เราเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับโอกาส แล้วไม่ทิ้งโอกาสนั้นแบบทิ้งขว้าง เห็นคุณค่าจากสิ่งเล็กๆ ตรงนี้ค่ะ”

ครูจ๋าบอกว่าอยากขอบคุณทุกโอกาสในชีวิต โดยเฉพาะโอกาสที่ได้จากโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ซึ่งเปลี่ยนเด็กธรรมดาคนหนึ่งให้กลายเป็น ‘ครู’ ที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้สังคมได้

“เรารักในวิชาชีพครู รักในโอกาสที่ได้มา เราอยากทำให้โอกาสตรงนี้เติบโตได้มากที่สุด อยากให้มันเป็นต้นกล้าที่แข็งแกร่งมากที่สุด”

ครูจ๋าทิ้งท้ายว่า สิ่งที่จะทำต่อเนื่องไป คือการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองเก่ง แต่เพราะต้องการเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียนตัวน้อยที่เป็นแรงบันดาลใจในชีวิตความเป็นครู

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพและกลับมาเป็นครูรุ่นใหม่ที่มีบทบาทในการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง และยังเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูอีกทางหนึ่ง
สำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ได้แก่ โรงเรียนบนพื้นที่สูง, โรงเรียนตามแนวชายขอบ, โรงเรียนที่ตั้งอยู่บนเกาะแก่ง และโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย มักพบปัญหาคือ ครูขอย้ายบ่อยเพราะไม่ใช่คนในท้องถิ่น และไม่มีครูมาทดแทน ครูจึงไม่พอกับชั้นเรียน 

Tags:

จิตวิญญาณความเป็นครูโอกาสทางการศึกษานวัตกรรมการศึกษาความใส่ใจ (Attention)ครูรัก(ษ์)ถิ่นโรงเรียนบ้านดอนธูปครูจ๋า-จสิตา เชียะคงห้องเรียนอนุบาล

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    ‘Lampang One Team’ พลังเครือข่ายตำบลลำปางหลวง ที่โอบรับเด็กทุกคนสู่เส้นทางการศึกษาคุณภาพ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Teacher makes a positive difference
    Transformative learning
    ครูในฐานะผู้สร้างความแตกต่างในชีวิตของเด็ก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล

  • Social Issues
    โอกาสทางการศึกษา แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ ‘นัจมี หะเดร์’ ว่าที่พยาบาลผู้สานต่อความหวังให้ครอบครัว

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • โรงเรียนเล็ก โรงเรียนใหญ่ แก้ปัญหาแบบไหนที่ตรงจุด?: มองหาทางออกใหม่ ให้การศึกษาไทยได้ไปต่อ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Unique Teacher
    ‘ครูงอกงามจากเด็ก’ พรสวรรค์ ศิริวัฒน์: ครูเกษียณผู้ใช้จิตศึกษาและ PBL เปลี่ยนมายเซ็ตให้ทั้งครูและเด็กเป็นนักเรียนรู้

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ
Book
4 September 2025

ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ

เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • ‘ในสวนลับ’ (The Secret Garden) เป็นวรรณกรรมเยาวชน เขียนโดย ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ แปลเป็นภาษาไทยโดย เนื่องน้อย ศรัทธา จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน
  • เรื่องราวปาฏิหาริย์ในสวนลับไม่ได้มาจากเวทมนตร์ใดๆ แต่คือการที่เด็กชายผู้เชื่อว่าตนเองกำลังจะตาย กับเด็กหญิงที่สุดแสนเอาแต่ใจ ได้เติมเต็มหัวใจที่ขาดพร่องของกันและกัน
  • ปาฏิหาริย์มีอยู่ทุกที่ เกิดขึ้นได้ทุกนาที และกำลังกระซิบบอกอย่างอ่อนโยนว่า ชีวิตเราไม่ต่างอะไรกับสวนลับแห่งมิสเซลธ์เวท พืชทุกต้นและดอกไม้ทุกดอกสามารถงอกงามใหม่ได้เสมอ ตราบที่ยังคงมีความหวังเบ่งบานในหัวใจ

“สิ่งแปลกอย่างหนึ่งในบรรดาหลายๆ สิ่งของการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ของคนเรา คือ สิ่งที่เป็นประหนึ่งปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นแก่คนท้อถอยในชีวิต ทำให้คนคนนั้นเกิดมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

นี่เป็นประโยคจาก ‘ในสวนลับ’ หรือ The Secret Garden วรรณกรรมเยาวชนคลาสสิก ผลงานจากปลายปากกาของ ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ นักเขียนคนสำคัญในแวดวงวรรณกรรมสำหรับเด็ก หนังสือเล่มนี้ถูกยกย่องว่าเป็นผลงานอมตะยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งของเบอร์เน็ตต์

เราเชื่อว่า ในช่วงเวลาหนึ่งทุกคนต่างเคยพบเจอกับความทุกข์ ความผิดหวัง ความล้มเหลว จนบางคนเกิดความคิดว่า ชีวิตหมดหนทางจะไปต่อ หรือไม่ก็อยากจะยอมแพ้กับทุกสิ่งให้รู้แล้วรู้รอด 

เรื่องน่าแปลกที่บางคนพบคือ ในช่วงเวลานั้นกลับมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน อาจเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆ เช่น แสงแดดอ่อนในตอนเช้า กลิ่นกาแฟหอมกรุ่น รอยยิ้มของคนแปลกหน้า หรือแค่คำพูดธรรมดาจากใครสักคน สิ่งเหล่านี้มอบ ‘ความหวัง’ ที่เปรียบเสมือน ‘ปาฏิหาริย์’ เพียงพอให้เราลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง

หนังสือเล่มนี้พาเราไปสัมผัสเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากมนตร์วิเศษเหมือนในหนังแฟนตาซี แต่เริ่มต้นจากความงดงามที่ธรรมชาติมอบให้ 

มิสเซลธ์เวท เป็นคฤหาสน์ใหญ่ทึมอายุกว่าหกร้อยปี ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันไร้เสียงใด ได้ยินก็แต่เสียงลมพัดหวีดหวิว มี ‘สวนลับ’ ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณคฤหาสน์  สวนแห่งนี้ใส่กุญแจปิดตาย ถูกทิ้งร้างมานับสิบปี ไม่มีใครพูดถึง ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเหยียบย่างเข้าไปเป็นเวลานาน ราวกับว่าไม่มีใครในโลกต้องการสวนแห่งนี้อีกแล้ว 

มารี เลนนอกซ์ เด็กหญิงตัวน้อยๆ วัยสิบปีบังเอิญพบกุญแจสวนลับนี้เข้า วินาทีที่บานประตูสวนลับแง้มออก วินาทีนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้น ต้องเล่าก่อนว่า มารีเกิดและเติบโตในประเทศอินเดีย แต่หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคอหิวาห์ เธอถูกส่งตัวไปอยู่กับคุณลุงที่ชื่อมิสเตอร์อาร์ชิบอลด์ คราเวน เจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ในชนบทประเทศอังกฤษ

มารีเป็นเด็กหญิงผอมกะหร่อง หน้าตาบูดบึ้ง อารมณ์ร้อน และร้ายกาจเสียจนได้รับสมญาว่า ‘คุณหนูมารีผู้ขวางโลก’ เธอไม่เคยพอใจหรือรู้สึกชอบอะไรสักอย่าง เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างพ่อแม่ไม่อินังขังขอบ ไม่เคยแสดงความรัก มัวแต่ยุ่งกับธุระตัวเองจนไม่มีเวลาสนใจลูกสาวแบบบาง ขี้โรค

เธอถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจโดยพี่เลี้ยงและคนรับใช้มากมาย ไม่ว่าต้องการอะไร คนเหล่านี้จะสนองให้ทุกครั้ง ไม่มีใครกล้าขัดใจสักคน ทำให้เธอยิ่งร้ายกาจเกินจะบรรยาย หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ คุณหนูมารีคนนี้เป็นเด็กประเภทที่มักถูกเรียกว่า ‘เด็กมีปัญหา’ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ พฤติกรรม อารมณ์ จิตใจ เธอก็เหมาหมดทุกปัญหา

นอกจากคุณหนูมารีคนขวางโลก เรายังมี คอลลิน คราเวน มหาราชาองค์น้อยแห่งมิสเซลธ์เวทที่ร้ายกาจ มีปัญหาพอกันกับมารี เขาเป็นเด็กไร้ชีวิตชีวาอย่างยากจะหาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเปรียบเทียบได้

คอลลิน เป็นลูกชายของมิสเตอร์คราเวน เกิดมาพร้อมร่างกายอ่อนแอ ขี้โรค นายน้อยคนนี้ถูกเลี้ยงดูแบบผิดๆ เขาไม่เคยได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้เป็นพ่อ ถูกตามใจจนเสียเด็ก หากมีอะไรไม่ได้ดั่งใจ เขาจะร้องไห้ อาละวาดจนไม่มีใครได้หลับได้นอนทั้งคืน

เรามองว่า มารีและคอลลินมีสภาพไม่ต่างจากสวนลับที่พูดถึงในตอนแรก ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจไยดี เด็กสองคนนี้คือผลผลิตของการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย (Uninvolved Parenting Style) 

ทั้งคู่เหมือนกันตรงที่ถูกเลี้ยงมาอย่างพ่อแม่ไม่มีเวลาใกล้ชิด ไม่เคยแสดงความรัก ความอาทรต่อลูก ทั้งมารีและคอลลินจึงไม่รู้จักความรู้สึกดังกล่าว กลายมาเป็นเด็กร้ายกาจ หัวใจด้านชา โดยที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็น

เรื่องน่าสังเวชใจอย่างหนึ่งคือ มิสเตอร์คราเวนกลัวว่าคอลลินจะโตมาหลังค่อมเหมือนตน จึงปล่อยให้ลูกชายนอนแซ่วบนเตียงตลอดสิบปี ร่างกายเขาจึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ

ในขณะที่เด็กคนอื่นวิ่งเล่นสนุกสนานกลางแดดจ้า แต่คอลลินกลับขังตัวอยู่แต่ในห้องทึมๆ  ไม่เคยได้สัมผัสแสงแดด ไม่เคยรู้ว่าข้างนอกหน้าต่างมีฤดูใบไม้ผลิเวียนมาอยู่ทุกปี 

เด็กคนนี้มีอายุแค่สิบขวบ ตลอดทั้งชีวิตเขาจมอยู่กับความคิดลบว่าตนจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน คงไม่มีโอกาสโตเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายอ่อนแอจากการนอนเฉยๆ ก็ยิ่งส่งเสริมให้จินตนาการไปว่า ตัวเองจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว

การพบกันของเด็กที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจ อย่างมารีและคอลลินค่อยๆ เยียวยากันและกัน นับตั้งแต่มาอยู่มิสเซลธ์เวท มารีไม่มีพี่เลี้ยงคอยตามติดหรือเอาใจตลอดเวลา เธอพบเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย มีโอกาสได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เห็นความสวยงามของพืชนานาพันธ์ุ ฟังเสียงนกร้อง วิ่งเล่นกลางแดด และรู้จักสร้างความผูกพันกับผู้อื่น เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงสนใจสิ่งอื่นมากกว่าตัวเอง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้มารีมีจิตใจอ่อนโยนขึ้น ราวกับว่า แสงแดดอุ่นของฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ ละลายหัวใจด้านชาของเธอ

ด้านของคอลลิน เด็กชายที่เอาแต่ร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะคิดว่ามีปุ่มงอกบนหลัง คิดว่าตัวเองเป็นโรคร้ายกำลังจะตายอยู่ตลอดเวลา มารีเป็นคนเดียวที่ปราบเขาอยู่หมัด เธอกล้าพูด กล้าขัดใจคอลลิน เด็กหญิงย้ำแล้วย้ำอีกว่า อาการป่วยของเขาเกิดจากอารมณ์ร้าย คอลลินไม่ได้เจ็บป่วยอะไรอย่างที่เขาคิดว่าเขาเป็น ร่างกายอ่อนแอแบบนี้เพราะเอาแต่นอนหงายหลัง ไม่ยอมลุกไปไหน เล่นเอาเด็กชายที่กำลังอาละวาดหยุดร้องไห้ หลังจากได้ยินสิ่งที่ไม่เคยมีใครพูดกับเขามาก่อน 

นอกจากคำพูดเตือนสติ มารียังเล่าเรื่องแผนการฟื้นคืนชีพ ‘สวนลับ’ ให้คอลลินฟัง เขาสนอกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษถึงขนาดเก็บเอาไปฝัน ความสวยงามของหมู่แมกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดสว่างไสว กลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ ค่อยๆ ไล่ความคิดลบในหัวของคอลลิน มีประโยคหนึ่งในเรื่อง กล่าวว่า

Where you tend a rose, my lad,

A thistle cannot grow

ที่ใดที่เจ้าฟูมฟักปลูกกุหลาบ

ที่นั้นพงหนามย่อมมิอาจโต

เรามองว่า ความคิดเป็นสิ่งทรงพลังมาก หลายครั้งมนุษย์จมอยู่กับความคิดลบจนลืมไปชั่วขณะว่ายังมีสิ่งสวยงามอยู่รอบตัว ความคิดแย่ๆ ทำให้เรามองไม่เห็นความสวยงามนั้น ท้ายที่สุดความคิดลบต่างๆ ส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจเราทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเช่นเดียวกับคอลลิน

“การยอมปล่อยให้ความคิดเศร้าหมองหรือความคิดชั่วร้ายเกาะกินจิตใจของเราเป็นอันตรายไม่ต่างอะไรกับปล่อยให้เชื้อโรคร้ายอย่างไข้อีดำอีแดงเข้าสู่ร่างกาย ถ้ายอมให้มันเกาะกินอยู่นานๆ อาจจะไม่มีวันหายอาจจะต้องติดตัวอยู่จนตาย”

โชคยังดีที่ภารกิจพลิกฟื้น ‘สวนลับ’ ช่วยเปลี่ยนแปลงความคิด ฟื้นฟูร่างกายปวกเปียกของเด็กทั้งสองให้แข็งแรงขึ้นได้ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของมารีและคอลลินไปพร้อมๆ กับสวนลับที่งามวันงามคืน

สวนลับเป็นดั่ง ‘ปาฏิหาริย์’ เมื่อหัวใจที่แห้งแล้งได้สัมผัสความงดงามของธรรมชาติ มอบความหวังให้คอลลินมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องน่ายินดีที่เขาบอกกับทุกคนว่า “ฉันจะต้องหาย! ฉันจะต้องสบายดีในไม่ช้า ฉันจะมีชีวิตยืนนาน! นานเท่านาน!” 

หลังใช้เวลาทั้งวันไปกับการขุดดิน ถอนหญ้า เฝ้ามองดูดอกไม้ผลิบานด้วยความหวังจะฟื้นฟูสวนลับให้กลับมางดงาม เสมือนว่าธรรมชาติได้มอบของขวัญแก่เด็กทั้งสอง มารีไม่ใช่เด็กหญิงขวางโลกที่รักใครไม่เป็น และคอลลินไม่ใช่เด็กชายที่ไม่เคยคิดถึงสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากเรื่องที่ว่าตัวเองกำลังจะตายอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป

ความง่ายงามของหนังสือเล่มนี้คือ ข้อความธรรมดาที่บอกกับเราว่า ปาฏิหาริย์ที่พูดถึงไม่ได้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่แต่อย่างใด อาจเป็นแค่สักวันหนึ่งที่คนท้อถอยในการมีชีวิตอยู่ มีโอกาสได้ยืนจ้องมองดวงอาทิตย์ยามเช้า มองท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสี มองแสงดาวพร่างพราวในคืนเดือนมืด หรือมองดูดอกไม้ผลิบานตามรอยแตกปริของกำแพง  แล้วเกิดความรู้สึกมีกำลังใจอย่างน่าประหลาด นั่นก็นับว่าได้รับปาฏิหาริย์แล้ว 

เฉกเช่นมารีและคอลลิน ปาฏิหาริย์ปรากฏแก่พวกเขาหลังจากได้เข้าไปยืนในสวนลับ

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราเชื่อว่า ปาฏิหาริย์มีอยู่ทุกที่ เกิดขึ้นได้ทุกนาที และกำลังกระซิบบอกอย่างอ่อนโยนว่า ชีวิตเราไม่ต่างอะไรกับสวนลับแห่งมิสเซลธ์เวท อาจมีบางช่วงที่ต้นไม้ไม่ได้รับการตกแต่งกิ่ง อาจมีบางคราวที่ดอกไม้นานาพันธ์ุบากบั่นต่อสู้กับความมืดมิดในฤดูหนาว แต่เมื่อฤดูกาลใหม่มาถึง พืชทุกต้นและดอกไม้ทุกดอกสามารถงอกงามใหม่ได้เสมอ ชีวิตเราก็เช่นกัน ตราบที่ยังคงมีความหวังเบ่งบานในหัวใจ

Tags:

The Secret Gardenพ่อแม่หนังสือครอบครัวชีวิตวรรณกรรมเยาวชน

Author:

illustrator

บุญญิสา รัตนมณี

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    ก้าวข้ามมายาคติ ‘ครอบครัวอบอุ่นแสนดี’ แห่งยุคโซเชียล:  หมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา

    เรื่อง ลลิตา ไวสินิทธ์ธรรม

  • Movie
    Gifted (2017) ‘ขอโทษ’ ของขวัญที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ
Transformative learning
1 September 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 5 เสนอข้อตีความจากบทที่ 3 The Imperfectionists : Finding the Sweet Spot between Flawed and Flawless

เปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองโกเบและโอซากาของญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2538 ที่เมืองโกเบบ้านเรือนพังไปกว่าสองแสนหลัง แต่อาคารที่สถาปนิก Tadao Ando ออกแบบ 35 หลัง ไม่มีริ้วรอยเลยแม้แต่น้อย

ท่านผู้นี้สร้างตัวเป็นสถาปนิกระดับโลกโดยไม่เคยเรียนที่สถาบันใดเลย เรียนเองจากการยืมหนังสือของเพื่อนมาอ่านแล้วปฏิบัติ ที่ผมตีความว่า ความยิ่งใหญ่ของท่านมาจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) และ Adam Grant ผู้เขียนหนังสือ Hidden Potential บอกว่า ความยิ่งใหญ่ในการออกแบบอาคารของท่าน มาจากการรู้จักยอมไม่สมบูรณ์แบบในบางด้าน เพื่อธำรงจุดเด่นที่ต้องการ

มองจากผลงานแต่ละชิ้นของเขา ดูเสมือนว่า ทาดาโอะ อันโดะ เป็น Perfectionist แต่ Adam Grant กลับชี้ว่า เขาจงใจเป็น Imperfectionist ในบางด้าน เพื่อความยิ่งใหญ่ในด้านที่เขาต้องการ โดยวงการนักออกแบบมองว่า ท่านเน้น Form มากกว่า Function ทำให้ผลงานออกแบบของท่าน เป็นเสมือน ‘บทกวีทางจักษุสัมผัส’ (Visual Haiku) อ่านเรื่องราวประวัติและภาพผลงานของท่านได้ที่ (1)

ผลงานยอดเยี่ยมเกิดจากผู้สร้างสรรค์รู้ว่าจะยอมไม่สมบูรณ์แบบที่จุดใดหรือประเด็นใด และไม่สมบูรณ์แบบในระดับที่ดีเพียงพอ เพื่อธำรงความสมบูรณ์แบบ หรือความแปลกใหม่ที่เด่นชัดในจุดหรือประเด็นที่ต้องการ

สิ่งที่นักเรียนเกรด เอ มักเข้าใจผิด  

นักเรียนเกรด เอ มักถูกกดดันให้มีจริตสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) โดยไม่รู้ตัว จะทำอะไรก็ต้องได้คะแนนเต็ม หรือไม่มีตำหนิที่ใดเลย วิธีคิดแบบนี้เป็นการคิดแนวเส้นตรง (Linear) และอยู่ในโลกสมมติ

โลกแห่งความเป็นจริงมีความไม่ชัดเจน แปรปรวน เปลี่ยนแปลง อยู่เป็นปกติ การพยายามสร้างผลงานไร้ที่ติจึงเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้ และก่อผลร้าย 3 ประการคือ

  1. มัวสนใจรายละเอียดที่ไม่จำเป็น ทำให้ต้องเสียสมองเสียเวลาโดยใช่เหตุ
  2. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ทำให้หลงพัฒนาทักษะแคบๆ ที่ตนรู้อยู่แล้ว ไม่หาทางพัฒนาทักษะใหม่ๆ
  3. โกรธตนเอง หรือเสียใจเมื่อทำผิดพลาด ทำให้ไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด

จริตสมบูรณ์แบบ จึงเป็นเสมือน ‘ยาทำแคระ’ เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตทางปัญญาและความสร้างสรรค์ ไม่เอื้อต่อการปลุกพลังซ่อนเร้นภายในตัวเรา

ผมขอให้ข้อสังเกตเพิ่มเติม (ไม่ทราบว่าถูกหรือผิด) ว่า ในชีวิตจริง ความสมบูรณ์แบบ 100% ไม่มี ความสมบูรณ์แบบจึงเป็นมายา  

คุณค่าของความไม่สมบูรณ์แบบ

ญี่ปุ่นมีศิลปะแนว Wabi Sabi ที่ให้คุณค่าของความไม่สมบูรณ์แบบ หรือมีตำหนิ มีความเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ตามหลักศาสนาพุทธแบบเซน การออกแบบชิ้นงานสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงมากของ ทาดาโอะ อันโดะ คือคอนกรีตเปลือย ที่มีรอยของผิวคอนกรีตที่ไม่เรียบ ออกมาใหม่ๆ มีคนตำหนิมาก ว่าคล้ายเป็นงานที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เวลานี้ยอมรับกันว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของงานศิลปะ

วะบิ ซะบิ เป็นรูปแบบหนึ่งของทักษะเชิงลักษณะนิสัย ที่ช่วยให้เรากล้าลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย หรือสิ่งที่สังคมไม่รู้จัก ไม่เห็นคุณค่า ซึ่งเป็นมิติหนึ่งของความสร้างสรรค์ คือไม่ตกหลุมความสมบูรณ์แบบที่มีอยู่เดิม กล้าสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ ที่แหวกแนวไปจากความเคยชินเดิมๆ วะบิ ซะบิ จึงเป็นเครื่องมือปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์

ค้นหาความไม่สมบูรณ์แบบที่เหมาะสม

ลักษณะอย่างหนึ่งของจริตสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) คือ ไม่กล้าฝึกเรื่องสำคัญที่ตนทำไม่ได้ดี เลี่ยงไปฝึกตอนที่ไม่สำคัญแต่ตนทำได้ดี นี่คือจิตวิทยาที่ซ่อนเร้นในมนุษย์นักสมบูรณ์แบบ คนที่ต้องการพัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัยของตนจึงต้องหาทางลบจริตสมบูรณ์แบบของตนเองออกไป  

Adam Grant เล่าเรื่องการฝึกกีฬากระโดดน้ำของตน ที่จริตสมบูรณ์แบบทำให้ตนไม่กล้าฝึกท่ายากๆ มัวลังเลอยู่บนกระดานกระโดดนานถึง 45 นาที

การคิดย้อนอดีตหรือคิดไปในอนาคต ที่เรียกว่า Mental Time Travel เป็นวิธีคิดที่เอื้อให้จริตสมบูรณ์แบบออกมากระทำการ ส่งผลให้จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน แต่คิดไปถึงตอนทำไม่ได้ดีในอดีต หรือคิดกังวลไปในอนาคต เกรงผลจะออกมาไม่ดี คำแนะนำคือ ให้มุ่งทำกิจกรรมในปัจจุบันโดยมีเป้าหมายว่าจะปรับปรุงตรงไหนที่ถือว่าเป็นจุดสำคัญในเรื่องนั้น โดยทำได้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยก็พอใจ และมุ่งฝึกฝนต่อไปอีก

คำว่า “ทำให้ดีที่สุด” (Do Your Best) แสลงต่อการดำรงจริตสมบูรณ์แบบ แก้โดยเน้นฝึกจุดที่สำคัญที่สุด ใช้คำว่า “ทำให้ดีขึ้น” (Do It Better) จะเป็นจิตวิทยาที่ส่งเสริมให้เอาชนะจริตสมบูรณ์แบบ

ล้มแล้วลุก  

หนังสือ Hidden Potential เล่าเรื่องการแสดงเพลงประกอบท่าเต้นบนเวทีที่นครชิคาโก เมื่อปี 2545 ของผู้กำกับการแสดงที่มีชื่อเสียง ที่ผู้กำกับตั้งใจออกแบบเพลงและท่าเต้นที่แปลกใหม่ แต่การแสดงล้มเหลวไม่เป็นท่า โดนนักวิจารณ์การแสดงตำหนิอย่างเสียหาย

ผู้กำกับการแสดงไม่ท้อ ชวนลูกชายศึกษาข้อวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ชมและนักวิจารณ์ เพื่อหาจุดสำคัญที่ต้องปรับปรุง โดยใช้หลักการว่า หากมีคนวิจารณ์ตรงกัน 2 คน ถือว่าเป็นจุดสำคัญสำหรับดำเนินการปรับปรุง เมื่อนำออกแสดงอีก ได้รับคำวิจารณ์ที่เป็นคำชมเป็นส่วนใหญ่    

สะท้อนความมีทักษะเชิงลักษณะนิสัยของผู้กำกับการแสดง ที่ไม่ตกเป็นเหยื่อของจริตสมบูรณ์แบบ

ผลผลิตที่น่าพอใจ

ไม่ว่าทำอะไร ผลผลิตที่มุ่งหมายคือ ‘ผลผลิตที่เป็นเลิศ’ (Excellence) ไม่ใช่ ‘ผลผลิตที่ไร้ตำหนิ’ (Flawless) คือสวมวิญญาณของ ‘นักปฏิบัตินิยม’ (Pragmatist) หลุดจากบ่วงของ ‘จริตสมบูรณ์แบบ’ (Perfectionist)

ในทางปฏิบัติ เขาแนะนำให้หากัลยาณมิตรจำนวนหนึ่งช่วยตรวจสอบผลงานฉบับร่าง แล้วให้คะแนนในสเกล 0 – 10 พร้อมทั้งบอกจุดที่ควรปรับปรุง หากได้คะแนน 8 ถือว่าใช้ได้ คะแนน 7 บอกว่าต้องปรับปรุง ปล่อยออกไปไม่ได้ คะแนน 9 ถือว่าบรรลุเป้าหมายอย่างน่าปลื้มใจ โปรดสังเกตว่า สำหรับผู้สวมวิญญาณ Growth Mindset คะแนน 10 หรือผลงานสมบูรณ์แบบ ไม่มี เพราะจะต้องมีช่องไว้สำหรับการพัฒนาและเติบโตเสมอ 

จุดอ่อนของผู้มีจริตสมบูรณ์แบบ

ผลงานวิจัยจำนวนมากบอกว่า ผู้มีจริตสมบูรณ์แบบมักตกเป็นเหยื่อของการตัดสินโดยผู้อื่นได้ง่าย เมื่อการตัดสินนั้นไม่ตรงกับที่ตนต้องการ ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำสู่ความหดหู่ใจ (Depression) ความกังวลใจ (Anxiety) และหมดพลังใจ (Burn Out)  

ผลงานวิจัยด้านแรงจูงใจ (Motivation) 105 ชิ้น ในคนกว่า 7 หมื่น บอกว่า คนที่ให้ความสำคัญต่อเป้าหมายภายนอก อันได้แก่ ชื่อเสียง การแต่งกาย มีสุขภาวะต่ำกว่าคนที่ให้ความสำคัญต่อเป้าหมายภายใน อันได้แก่การเรียนรู้และพัฒนา การมีเครือข่าย บอกเราว่าหากเราใช้การประเมินจากภายนอกเป็นเครื่องบอกฐานะหรือความเด่นของเรา เป็นอันตราย การประเมินจากภายนอกจะเป็นประโยชน์ ก็ต่อเมื่อเราใช้เป็นเครื่องมือหนุนการเรียนรู้และพัฒนาของเรา โปรดสังเกตนะครับ ว่าวงการการศึกษาไทยใช้การประเมินภายนอกเป็นหลัก

ทำให้ผมหวนนึกถึงสภาพที่นักเรียนนักศึกษาไทยในปัจจุบันเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นอย่างชัดเจน และตั้งคำถามว่า มีสาเหตุลึกๆ มาจากระบบการศึกษาที่เน้นการประเมินจากภายนอก เน้นเป้าหมายดูดีในสายตาคนอื่น อ่อนแอด้านความเป็นตัวของตัวเอง หรือเปล่า   

บทบาทของการศึกษาในการป้องกันจริตสมบูรณ์แบบ

จริตสมบูรณ์แบบเป็นปัญหาด้านการศึกษาหรือการเรียนรู้ของตัวบุคคล นำสู่ความวิตกกังวล ความเครียด และกลัวล้มเหลว การศึกษาที่ดีจะช่วยป้องกันปัญหานี้ โดยช่วยหนุนให้ผู้เรียนสร้างกระบวนทัศน์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนรู้และความสำเร็จให้แก่ตนเอง

แนวทางจัดการศึกษาเพื่อลดจริตสมบูรณ์แบบ

  • ให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจจริตสมบูรณ์แบบ และอันตรายของจริตสมบูรณ์แบบ
  • ส่งเสริมความเป็นเลิศ ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบหรือไร้ตำหนิ สร้างบรรยากาศที่ไม่กลัวความล้มเหลว
  • ส่งเสริมกระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) ที่มุ่งปรับปรุงตนเอง ผ่านความมุ่งมั่นมานะพยายาม
  • สร้างบรรยากาศปลอดภัย ที่ผู้เรียนกล้าเป็นตัวของตัวเอง กล้าลองอย่างไม่กลัวผิด เป็นบรรยากาศที่ยอมรับว่าทุกคนมีจุดอ่อน และปรับปรุงได้
  • นิยาม ‘ความสำเร็จ’ ใหม่ จากคะแนนและการเปรียบเทียบกับผู้อื่น เป็นเน้นที่ความพยายาม และความก้าวหน้าของตนเอง
  • ส่งเสริมการเรียนรู้จากความล้มเหลว นำมาสะท้อนคิดร่วมกันว่าเรื่องราวเหตุการณ์นั้นให้ความรู้อะไรบ้าง
  • สร้างความสัมพันธ์เชิงสนับสนุน หรือความสัมพันธ์เชิงบวก ระหว่างครูกับนักเรียน ครูให้กำลังใจ (Positive Reinforcement) และให้การป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Feedback) แก่นักเรียน
  • ส่งเสริมให้นักเรียนทำโครงการระยะยาว และได้รับคำแนะนำป้อนกลับเป็นระยะๆ เพื่อให้นักเรียนมีประสบการณ์ความภาคภูมิใจจากความพยายาม และความก้าวหน้าของตน  
  • ปรับหลักสูตร ใส่เรื่องความฉลาดทางอารมณ์ กระบวนทัศน์พัฒนา และคุณค่าของการเรียนรู้จากความผิดพลาดหรือล้มเหลว
  • การพัฒนาครู ทำความเข้าใจแนวโน้มของจริตสมบูรณ์แบบ อันตราย และวิธีป้องกัน  
  • ระบบช่วยเหลือนักเรียน ที่ได้รับผลร้ายจากจริตสมบูรณ์แบบ ให้ออกจากกระบวนทัศน์นี้ 
  • เชื่อมโยงกับพ่อแม่ผู้ปกครองนักเรียน เพื่อทำความเข้าใจผลร้ายของจริตสมบูรณ์แบบ และการสร้างระบบนิเวศที่บ้าน ที่ไม่หลงเน้นความสมบูรณ์แบบ แต่เน้นการเรียนรู้และพัฒนาของตัวเด็ก

น่าจะมีงานวิจัย ติดตามผลว่า เมื่อโรงเรียนไทยดำเนินการตามข้อแนะนำนี้ อัตราการเกิดความเครียด ความหดหู่ และความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ลดลงหรือไม่ สุขภาวะของนักเรียนดีขึ้นหรือไม่

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP4 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

Tags:

ทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills)Experiential LearningReflective Learningศ.นพ.วิจารณ์ พานิชActive Learningปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • หินของซิซีฟัส : โลกที่ไร้เหตุผลที่กับความหมายที่ไม่ต้องรอให้ใครกำหนด
  • ‘ภูมิ – ธนโชติ ตาลี้’ ก้าวข้ามความยากจน สู่อนาคตจิตแพทย์ ด้วยโอกาสทางการศึกษา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม
  • ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง
  • หยุดบูลลี่! ที่การไม่เพิกเฉย เติม Empathy ในหัวใจและในระบบดูแลเด็ก: หมอจอย-ลลิต ลีลาทิพย์กุล

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel