Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: March 2025

แค่แหงนมองฟ้า เทพยดาก็จะปรากฏ: เมื่อชีวิต คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือทวยเทพ
Book
14 March 2025

แค่แหงนมองฟ้า เทพยดาก็จะปรากฏ: เมื่อชีวิต คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือทวยเทพ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘แค่แหงนมองฟ้า เทพยดาก็จะปรากฏ’ เขียนโดย โชจิ ยูกิยะ แปลโดย เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒ ที่หยิบยกเอาเรื่องราวของเทพเจ้าตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ว่ามีทวยเทพใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนในเมืองใหญ่ ปรากฏตัวเหมือนคนธรรมดา และแทบไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือหากมีก็ไม่ได้ใช้อย่างเทพเจ้าตามตำนานที่เราคุ้นเคย
  • เรื่องราวของเหล่าเทพในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เราตระหนักว่าแท้ที่จริงแล้ว เทพยดาไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ที่เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา เพียงแค่ทำหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายมาพร้อมกับชื่อของเทพ
  • การดำรงอยู่ของเหล่าทวยเทพนับแปดล้านองค์ มีเป้าหมายร่วมกันเพียงอย่างเดียวคือ ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต และใช้มันอย่างดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงกระทำได้

คุณเชื่อเรื่องเทพยดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มั้ยครับ ไม่ว่าคุณจะตอบว่า “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เป็นสิ่งที่คงอยู่คู่กับมนุษยชาติมาแต่ยุคโบราณกาล จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ในยุคที่เรามีเทคโนโลยีทรงอานุภาพ ที่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ทัดเทียมเทพเจ้าในยุคโบราณ แต่ความเชื่อเรื่องทวยเทพอันศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังคงมีอยู่ ไม่มากก็น้อย ในหลายๆ สังคม

โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อกันว่า ในโลกของเรา มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ก้อนหินใหญ่ ทุ่งนา ป่าลึก หรือกระทั่งหม้อหุงต้มในบ้านเรือนคน ก็ยังเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า จนมีคำกล่าวว่า เทพยดาของญี่ปุ่น มีจำนวนถึง 8 ล้านองค์

แม้ว่าคำว่า ‘แปดล้าน’ จะไม่ได้หมายเลขตัวเลขจริงๆ ตามนั้น หากแต่เป็นแค่สำนวนที่หมายถึงจำนวนที่มากมาย ไม่ต่างจากคำว่า ‘ร้อยแปดพันเก้า’ ในภาษาไทย ที่หมายถึงมีจำนวนมากมาย แต่การมีเทพยดาสิงสถิตตามที่ต่างๆ มากมาย เป็นความเชื่อที่ส่งผลต่อทัศนคติและการมองโลกของคนญี่ปุ่น ทำให้ชนชาตินี้ได้ชื่อว่า มีความรักและเคารพในธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเชื่อว่า มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่

มีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ผมเพิ่งอ่านจบไปเมื่อไม่นานมานี้ ได้หยิบยกเอาเรื่องราวของเทพเจ้าตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นมาเล่าได้อย่างน่าสนใจ เพราะเป็นมุมมองเทพเจ้าในแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน โดยให้เหล่าทวยเทพปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของคนธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่ปะปนกับผู้คนในโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเข้ากับเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้

หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า แค่แหงนมองฟ้า เทพยดาก็จะปรากฏ เขียนโดย โชจิ ยูกิยะ และแปลโดย เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒ เป็นเรื่องราวของเหล่าทวยเทพ ที่ใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนในเมืองใหญ่ ปรากฎตัวในรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างจากคนธรรมดา และที่สำคัญ ทวยเทพในเรื่องนี้ แทบจะไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ เลย หรือถึงจะมี ก็ไม่ได้เอามาใช้เหมือนเทพเจ้าในตำนานปรำปราที่เราเคยอ่าน ไม่ว่าจะเป็น…

ยมทูตหนุ่มหล่อ งานดี เทสต์ดี ผู้ปรากฎตัวให้ เอโนะโมโตะ ฮันนะ เห็นครั้งแรกในบาร์ร้านประจำของเธอ เป็นการปรากฏตัวอย่างปุบปับ แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้สึกตกใจ ซึ่งหลังจากนั้น ยมทูตหนุ่มผู้มีรอยยิ้มเหมือน ฮิวจ์ แจ็กแมน ยังไปปรากฎตัวที่แมนชั่นของฮันนะในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเป็นเพื่อนสนิทของเธอที่แวะเวียนมาเป็นประจำ

หญิงสาวมั่นใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ คือ ยมทูตตัวจริงเสียงจริง เพราะร่างของเขาไม่มีเงาเมื่อถูกแดดส่อง แต่ไม่รู้เพราะอะไร เธอไม่ได้รู้สึกตกใจกับสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนี้ ตรงกันข้าม เธอกลับรู้สึกดีที่จะได้ผูกมิตรกับเทพแห่งความตายผู้นี้

ยมทูตเล่าว่า เขาสามารถพูดคุยกับฮันนะได้ เพราะเธอทำพิธีอัญเชิญและทำสัญญากับเขา ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะตอนนั้น ยมทูตกำลังปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันการเสียชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งในบาร์ ฮันนะ ซึ่งนั่งดื่มอยู่คนเดียวตรงเคาน์เตอร์บาร์ ทำเหล้าหกโดยไม่ได้ตั้งใจ และเหล้าที่หกนั้นก็ราดบนร่างของยมทูต ผู้ที่ยังไม่มีใครมองเห็นตัว

เนื่องจากว่า เหล้า เป็นหนึ่งในสิ่งเซ่นไหว้ทวยเทพ เหล้าที่ราดรดบนร่างยมทูต จึงเท่ากับการอัญเชิญให้เขาปรากฏกาย หลังจากที่ยมทูตเผยร่าง ทั้งฮันนะและคนอื่นๆ ในบาร์ กลับไม่มีใครตกใจ ราวกับว่า เขานั่งอยู่ในนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อเขาเดินออกจากบาร์ ทุกคนจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นจนหมด ยกเว้นแต่ฮันนะ เพราะนอกจากจะเป็นผู้อัญเชิญยมทูตแล้ว เธอยังได้ทำสัญญากับเขา ด้วยการเอ่ยปากเลี้ยงเหล้า ซึ่งทำให้ยมทูต สามารถไปปรากฎร่างข้างๆ ฮันนะได้ทุกที่ที่เธอต้องการ

ในนิยายเล่มนี้ ยมทูต ไม่ได้เป็นผู้นำดวงวิญญาณมนุษย์ไปสู่โลกหลังความตาย หน้าที่ของเขาเป็นแค่ตรวจสอบและยืนยันว่า มนุษย์ผู้นั้นหมดสิ้นอายุขัยแล้วจริง ไม่ต่างจากหัวหน้างาน ที่คอยตรวจสอบและยืนยันว่า ลูกน้องของตนทำงานที่สั่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว หน้าที่ของยมทูต มีเพียงแค่นั้น ทำซ้ำๆ ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี

หรือเรื่องราวของเทพแห่งความยากจน ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อ คือทำให้คนบางคนยากจนลงด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำให้บางคนหมกมุ่นกับงานอดิเรกที่ต้องใช้เงิน หรือกลายเป็นคนเสพติดการช็อปปิ้ง หรือทำให้บางคนต้องตกงาน ทั้งที่เส้นทางสายอาชีพกำลังรุ่งโรจน์

เทพแห่งความยากจนในเรื่องนี้ ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของชายวัยกลางคน ชื่อโอบะ เป็นพนักงานบริษัท นิสัยหัวอ่อน ขี้ขลาด ไม่สู้คน ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ โอบะ มีเป้าหมายในการทำงานของตนอยู่ที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง

มาซาโตะ เด็กหนุ่มคนที่ว่า เกิดในครอบครัวยากจน ไม่ว่าพ่อพยายามทำงานหนักเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพาครอบครัวหลุดพ้นความจนไปได้ เด็กหนุ่มไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เหมือนโชคเข้าข้างเขาตลอด ตอนสอบ ข้อสอบมักจะออกตรงกับที่เขาอ่านก่อนสอบแค่คืนเดียว หรือตอนที่ทำงาน เขาก็มักได้งานใหม่อย่างง่ายดาย ทั้งที่เพิ่งก่อเรื่องจนโดยไล่ออกจากที่ทำงานเก่า

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นเกิดมาพร้อมกับความโชคดี เขาผ่านพ้นอุปสรรคหลายเรื่องได้อย่างง่ายดาย ทว่า โชคของเขาก็ไปไม่สุดเสียที เพราะเทพแห่งความยากจน เกาะติดตามตัวเขาอยู่

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

หรือเทพแห่งโรคระบาด ซึ่งปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของหญิงสาวสวมชุดกิโมโนสีกรมท่า ทุกที่ที่เธอไปจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงโรคร้ายที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

คุณหมอโมริยามะ ฮารุยูกิ หมอหนุ่มเนื้อหอม และจิกะจัง หลานสาว ที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลผู้ช่วย คือสองคนในเรื่องที่มองเห็นหญิงสาวในชุดกิโมโนแสนสวย น้าหลานช่วยกันสืบหาว่า สาวสวยลึกลับผู้นี้เป็นใคร หรือจะเป็นวิญญาณที่มีจิตมุ่งร้ายต่อมนุษย์

คุณหมอโมริยามะ และพยาบาลจิกะจัง ได้มีโอกาสพูดคุยกับหญิงสาวในชุดกิโมโน จนได้รู้ว่า เธอคือเทพแห่งโรคระบาด ผู้มีชื่อเล่นว่า ซายูริ เธอยอมรับว่า หน้าที่ของเธอ คือ การนำพาโรคภัยไข้เจ็บมาสู่มนุษย์ แต่เธอก็ยังยืนยันว่า เป้าหมายของเธอ ไม่ใช่การมุ่งปองร้ายหมายชีวิตของคน

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ในหนังสือเล่มนี้ ยังมีเรื่องราวของเทพอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทพแห่งถนนหนทาง ผู้คอยชี้ทางเดินที่ถูกต้องให้แก่มนุษย์ผู้หลงทางในชีวิต หรือเทพประจำข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งสิงสถิตอยู่ในหม้อหุงข้าวแบบโบราณ และกลายเป็นหม้อพูดได้ที่เป็นเพื่อนคุยของชินยะ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยทำงาน

หรือจะเป็นเทพแห่งโชคลาภ ที่ปรากฎตัวในรูปลักษณ์ของเพื่อนร่วมงานแสนดี ที่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบและแย่งชิงผลงานในการทำงานไปเป็นของตัวเอง

หรือจะเป็นเทพแห่งภูเขา ผู้คอยปกป้องคุ้มครองผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขา แต่สุดท้าย เทพแห่งภูเขา กลับกลายเป็นเทพไร้ที่สิงสถิต เพราะภูเขาและพงไพรถูกทำลายจนหมดสิ้น

เรื่องราวของเหล่าทวยเทพแปดล้านองค์ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เราตระหนักว่า แท้ที่จริงแล้ว เทพยดาเหล่านี้ ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ที่ดลบันดาล หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา เพียงแค่ทำหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายมาพร้อมกับชื่อของเทพ

แล้วหน้าที่ของเทพ คืออะไร

“แน่นอนค่ะว่าฉันนำพาโรคภัยไข้เจ็บมาให้มนุษย์… แต่ฉันไม่ได้ทำเพื่อให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย หรือทำให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์” เทพแห่งโรคระบาด ในรูปลักษณ์ของสาวสวยสวมชุดกิโมโน กล่าว แต่เธอก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม บอกเพียงแค่ว่า ให้คุณหมอโมริยามะ และพยาบาลจิกะจัง กลับไปลองคิดดูเอาเอง

หมอหนุ่ม ครุ่นคิดก่อนจะได้คำตอบว่า เวลาที่เด็กๆ ป่วย สิ่งแรกที่พวกเขาได้รับจากพ่อแม่ ก็คือ สัมผัสเยียวยา ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลังมือแตะหน้าผาก การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อเช็ดตัว การป้อนข้าวป้อนน้ำ หรือแม้กระทั่งการใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนปลอบประโลม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมีผลช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น ไม่แพ้ยาที่หมอจ่ายให้เลย

ในตอนนั้นเอง คุณหมอโมริยามะ จึงตระหนักว่า เป้าหมายสูงสุดของเทพแห่งโรคระบาด คือ การทำให้มนุษย์หันกลับมาดูแลกันและกัน เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะว่าไปแล้ว คือสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำต่อคนที่รักอยู่แล้ว แต่บางครั้ง เราอาจหลงลืมไปเพราะเหตุผลต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยปละละเลย เผลอเรอ หรือมุ่งแต่ทำงานทำการอย่างเดียว

เช่นเดียวกัน การมีอยู่ของเทพประจำข้าวของ ไม่ใช่แค่ต้องการให้คนเห็นคุณค่าของข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสื่อกลางให้เราหวนระลึกถึงคนที่ทำให้ข้าวของเครื่องใช้เกิดคุณค่าขึ้นมาอีกด้วย

การได้พูดคุยกับหม้อหุงข้าวพูดได้ ทำให้ชินยะหวนระลึกความเป็นครอบครัว โดยเฉพาะรสชาติแสนอร่อยของข้าวที่หุงด้วยมือแม่ รวมถึงคำพูดของยายที่สอนเขาตั้งแต่เด็กๆ ว่า อย่าใช้เท้าเหยียบหมอน เพราะมีเทพแห่งหมอนสิงสถิตอยู่ ซึ่งคำสอนนั้น นอกจากจะทำให้ชินยะตระหนักถึงการทะนุถนอมข้าวของเครื่องใช้ ยังทำให้เขาหวนระลึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับจากยายอีกด้วย

หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเทพแห่งความยากจน ดำรงอยู่เพราะอะไร การทำให้คนบางคนยากจนมีข้อดีอย่างไร ในหนังสือเล่มนี้ โอบะ หรือร่างมนุษย์ของเทพแห่งความยากจน เฉลยว่า มาซาโตะ ชายหนุ่มที่เขาตามติดชีวิต และทำให้เขาไม่อาจร่ำรวยขึ้น เกิดมาพร้อมกับโชคดีที่ล้นเหลือ ซึ่งการที่ใครสักคนมีโชคดีมากมายในชีวิต มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่เสียผู้เสียคนได้ง่าย

หากโอบะไม่เข้ามาทำให้ชีวิตของมาซาโตะต้องตกต่ำ โชคชะตาจะนำพาให้เด็กหนุ่มคนนั้นกลายเป็นดาราดัง หรือไม่ก็ถูกล็อตเตอรีรางวัลใหญ่ แต่ต้องลงเอยด้วยชีวิตที่เหลวแหลก ครอบครัวแตกแยก สูญเสียแม่ ซึ่งตรงข้ามกับชีวิตจริงในปัจจุบันของมาซาโตะ ที่แม้ว่าครอบครัวจะยากจน แต่ก็เป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่น ตัวเขาเองแม้จะตกงานบ่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อกับชีวิต ยังคงลุกขึ้นสู้ได้ทุกครั้ง

หรือพูดง่ายๆว่า เป้าหมายของเทพแห่งความยากจน ก็คือ สอนให้เราเรียนรู้ถึงการต่อสู้กับความยากลำบาก และไม่ย่อท้อต่อปัญหาต่างที่ผ่านเข้ามา ซึ่งหากชีวิตเรามีแต่ความราบรื่น ปูลาดด้วยกลีบกุหลาบ มีโชคดีอยู่ตลอด เราคงไม่ได้เรียนรู้ที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งแบบนี้

แต่เทพที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุด ก็คือ ยมทูต ผู้สอนให้เรายอมรับความจริงว่า ทุกชีวิต ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย ล้วนแต่มีจุดสิ้นสุด นั่นคือ ความตาย หรือการพ้นไปจากโลกนี้ ส่วนโลกหน้าจะมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้

ความตายอาจเป็นเรื่องน่าหดหู่ แต่ก็ทำให้เราได้ตระหนักว่า ชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่ ช่างสวยสดงดงามเพียงใด การได้กินของอร่อยๆ ช่างมีความสุขจริง การได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ช่างเป็นเรื่องน่าประทับใจจริงๆ หรือแม้กระทั่งการได้นอนหลับสบายทั้งคืน ก็ช่างน่ารื่นรมย์เสียจริงๆ

การดำรงอยู่ของเหล่าทวยเทพนับแปดล้านองค์ จึงมีเป้าหมายร่วมกันเพียงอย่างเดียวคือ ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต และใช้มันอย่างดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงกระทำได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเทพยดาแม้สักองค์เดียว

Tags:


Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Movie
    The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

“เราก็แค่ส่องไฟให้เขาเลือกเส้นทางเอง” ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบการเรียนรู้ผู้ขอเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้เด็กนอกระบบ
Everyone can be an EducatorSocial Issues
12 March 2025

“เราก็แค่ส่องไฟให้เขาเลือกเส้นทางเอง” ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบการเรียนรู้ผู้ขอเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้เด็กนอกระบบ

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างโอกาสให้กับคนในอำเภอพาน กร-ปกรณ์ นาวาจะ และเพื่อน (รณชัย คำปิน) จึงออกแบบ ‘โครงการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชนนอกระบบการศึกษาบนฐานเครือข่ายชุมชน กรณีศึกษาวัดร้องหลอด’ ซึ่งมีชื่อเรียกแบบไม่เป็นทางการว่า ‘จวนละอ่อนจาม’
  • กร เรียนจบครุศาสตร์ จุฬา แต่เลือกที่จะไม่ทำงานในระบบการศึกษา เขามองว่าทุกคนสร้างการเรียนรู้ได้ และการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา “สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องสี่เหลี่ยมเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเรียนรู้”
  • เป้าหมายของเขาคือการสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ และ ‘พื้นที่แห่งโอกาส’ ให้เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา เขาวางตัวเองเป็นคนเชื่อมใจเชื่อมโอกาสระหว่างชุมชนกับเด็ก ด้วยความเชื่อมั่นว่า “ทุกคนมีความเป็นมนุษย์ที่อยากจะพัฒนาตัวเองด้วยกันทั้งนั้น”

“การเรียนรู้มันมีทุกที่ การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอด และการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องวัดประเมินด้วยกฎเกณฑ์ หรือเกณฑ์กลางที่ตัดสินเด็กออกมาเป็นเกรด แค่ได้เห็นเขายิ้มกับชีวิตที่เขามี มองเห็นอนาคตตัวเองว่าทำอะไรได้บ้าง…”

นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความทุ่มเทของ ‘กร’ ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โครงการ ‘จวนละอ่อนจาม’ ที่ชีวิตหันเหจากเส้นทางการเป็นครู หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ  มาสู่การเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กนอกระบบ ที่ชุมชนบ้านร้องหลอด อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

กรเล่าว่าตนเองเกิดและโตที่อำเภอพาน พอมีโอกาสไปเรียนที่กรุงเทพฯและได้ฝึกสอนในโรงเรียนระดับท็อป 5 ของประเทศ ก็ทำให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาซึ่งคุณภาพต่างกันมาก ดังนั้นแม้จะเลือกทำงานในบริษัทเอกชนแทนที่จะเป็นครู แต่เมื่อมีโอกาสกลับมาทำงานที่บ้าน (work from home) เขาก็หยิบความตั้งใจที่อยากจะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนอำเภอพานขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งแพสชันของตัวเอง

“ช่วงนั้นก็คิดกับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อเต้ย (รณชัย คำปิน) ที่อยู่เชียงใหม่ว่าเราจะทำอะไรดี แล้วโครงการของ กสศ. ก็มา เป็นงานพัฒนาเยาวชนนอกระบบการศึกษา ด้วยความที่เราอยากทำกิจกรรมอยู่พอดี แล้วงานที่ work from home อยู่ก็ไม่ได้หนักมาก น่าจะทำควบคู่ไปด้วยกันได้ เพราะว่าเราอยากสร้างพื้นที่ อยากให้โอกาสเด็กๆ ..จริงๆ ปลายทางกรอยากสร้างอาชีพเลยด้วยซ้ำ ให้มันมีอาชีพกับเด็กหลายๆ กลุ่ม หรือว่าคนในอำเภอพานเอง ช่วงนี้ก็ยังอยู่ในช่วงสำรวจอยู่ว่าเราจะทำอะไรได้บ้างด้วยศักยภาพที่เรามี” 

ระหว่างนั้นกรและเต้ยก็ได้รู้จักกับชุมชนวัดร้องหลอด ที่มีชื่อเสียงเรื่องการทำงานพัฒนามานาน ซึ่งนอกจากจะมีผู้นำที่เข้มแข็งอย่างท่านเจ้าอาวาส พระครูพิศาล สังวรคุณ พื้นที่นี้ยังมีคอนเนกชั่นกับหลายหน่วยงาน รวมไปถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ 

“เราก็ดุ่มๆ มาคุยกับท่านเจ้าอาวาสเเลย ว่าผมอยากทำโครงการและอยากใช้พื้นที่วัด ท่านก็เห็นด้วยเพราะมีโครงการในส่วนของผู้สูงอายุอยู่แล้ว ดูแลผู้ป่วยติดเตียง ท่านมองว่าอยากให้วัดเป็นพื้นที่กลางสำหรับทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ขึ้นเสาผู้ใหญ่ผู้สูงอายุแล้ว เหลือเสาเด็กที่ยังไม่มีใครมาทำ พอเราเข้ามา ท่านก็เลยว่า…งั้นมาทำเลย”

ในที่สุดความตั้งใจที่จะเปิดพื้นที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่ถูกตีตราจากสังคมว่าเป็นเด็กเหลือขอ เด็กเกเร เด็กใจแตก ฯลฯ ก็เกิดขึ้นภายใต้ชื่อ ‘โครงการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชนนอกระบบการศึกษาบนฐานเครือข่ายชุมชน กรณีศึกษาวัดร้องหลอด’ โดยการสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) 

บางพื้นที่พอได้ยินว่าทำงานกับเด็กนอกระบบอาจมีความกังวลมีอคติว่าเป็นพวกเหลือแก่นเหลือขอ ที่นี่มีปัญหาในลักษณะนี้บ้างไหม

ช่วงแรกก็ต้องทำความเข้าใจอยู่ครับ แต่ชุมชนที่นี่เขาเปิดมากอยู่แล้ว ชาวบ้านค่อนข้างเปิดกับข้อมูลใหม่ๆ กับทัศนคติใหม่ๆ รวมถึงอีกคนหนึ่งคือผู้อำนวยการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) เมืองพาน เป็นคนเปิดมาก เข้ามาซัปพอร์ตมาช่วยดูแล พยายามจูนให้ชาวบ้านเปิดใจ อย่าเพิ่งไปตัดสินใคร 

แล้วในช่วงเริ่มโครงการ กรก็จะชวนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ ท่านเจ้าอาวาส ชาวบ้านบางส่วน คนที่ใช้พื้นที่วัดประจำ พวกแม่ๆ ที่ทำกับข้าวอะไรอย่างนี้ มาเวิร์กชอปกันก่อน มาปรับความเข้าใจกันก่อน ว่ามีเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มองเขาให้เป็นมนุษย์ แล้วเราจะเห็นว่าเราต้องช่วยกันซัปพอร์ตนะ เขาก็ค่อยๆ ปรับทัศนคติกับเด็กกลุ่มนี้ให้ตัดสินน้อยลง โดยเราใช้แนวคิดภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) มาวิเคราะห์ ให้เขาลองวิเคราะห์ตัวเองด้วย ว่าจริงๆ ฉันเป็นอย่างนี้ก็เพราะอย่างนี้ เด็กก็อาจจะเป็นแบบนี้ได้ ก็น่าจะมีอะไรที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งเหมือนกัน ก็ช่วยให้ตัดสินกันน้อยลง 

ตอนนี้มีเด็กนอกระบบที่อยู่ในโครงการกี่คน

จริงๆ โครงการมี 30 คน แต่ว่าธรรมชาติของเด็กกลุ่มนี้ ทุกที่เลยนะครับ เหนือใต้ออกตก 40 หน่วยที่ทำงานมา เจอเหมือนกันคือเด็กจะเคลื่อนที่เคลื่อนไหวตลอด บางคนต้องย้ายไปทำงานต่างอำเภอต่างท้องที่ บางคนต้องย้ายตามพ่อแม่ หรือว่าเงื่อนไขอื่นๆ อีกหลายอย่าง 

เด็ก 30 คนนี้เราได้มาจากการลงพื้นที่ ตอนแรกคิดว่าแค่ในชุมชนร้องหลอดนี้ก็จะถึง 30 คน แต่พอสำรวจจริงๆ มีแค่ 7 คน เราก็ไปทั่วอำเภอพาน ได้ ผอ. ของ รพสต. ช่วยประสานกับ อสม. ให้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ แล้วก็ไปลงพื้นที่กับเขาเลย เขาก็พาเราเข้าไปคุยกับเด็กที่บ้าน เราไปลงพื้นที่เป็นเดือนเลยครับ 

เกณฑ์ในการคัดเลือกเด็กเข้าร่วมโครงการคืออะไร 

ที่นี่จะแบ่งเด็กเป็น 3 กลุ่ม ‘กลุ่มที่อยากออกจากระบบการศึกษาเอง’ ไม่ได้มีปัญหาอะไร กับ ‘กลุ่มที่จำเป็นต้องออก’ และกลุ่มที่เรียกว่า ‘เข้าไม่ได้’  เข้าไม่ถึงระบบการศึกษาเลย ยากจนมาก ก็จะเป็น 3 กลุ่มนี้ มีน้องที่รู้สึกว่าตัวเองไม่แมตช์กับโรงเรียน ออกมาเองดีกว่า เรียนอะไรก็ไม่เวิร์ก เขากลัวโดนเพื่อนโดนคุณครูตัดสิน รีบชิงออกมาก่อนดีกว่า อีกกลุ่มก็ยากจนมาก บางคนมีน้องที่ต้องเลี้ยงดูแบบคนเดียวเลย ที่บ้านไม่ช่วยอะไร อันนั้นก็คือต้องออกมาทำงาน 

ซึ่งพอทำงานจริงๆ เรามองเห็นเลยนะว่า สุดท้ายเด็ก 1 คนมากับปัญหาของเขาเอง ปัจเจกมาก ไม่สามารถเอาวิธีการแก้ปัญหาของเด็กคนนี้ไปลงกับเด็กคนนี้ได้เลย แบ็คกราวด์ไม่เหมือนกัน มีกิจกรรมหนึ่งที่เราตั้งใจจะจัด 1 ครั้งให้เด็กรู้จักกัน รวมมาได้เยอะสุด 10 คนจาก 30 คน แต่แค่ 10 คนก็จะมีแก๊งที่ไม่ถูกกัน ก็จะตีกันอยู่แล้ว กลายเป็นว่าเราต้องจัดกิจกรรมซ้อนกันเป็น 10 ครั้ง เพื่อเด็ก 30 คน เพื่อที่จะลดปัญหา 

กิจกรรมที่จัดให้เด็กๆ มีอะไรบ้าง ตั้งเป้าไว้อย่างไร 

แรกสุดเราอยากให้เขารักตัวเองให้ได้ก่อน เขาโดนสังคมตัดสินมาเยอะแล้ว เราก็เลยไม่อยากให้เขาเองตัดสินตัวเองด้วย ก็พยายามให้เขาโอบกอดตัวเองให้ได้ มองหาข้อดีของตัวเอง

มองหาข้อดีเสร็จก็มองหาทรัพยากรด้วย ตอนนี้ในมือเรามีอะไรบ้าง ทักษะเรามีอะไรบ้าง คอนเนกชั่นเรามีใครบ้าง ให้เขาเขียนออกมาให้ได้เยอะที่สุด แล้วให้เขามองเห็นประโยชน์ของสิ่งที่ตัวเองมีในตอนนั้นน่ะ ว่ามันกลายเป็นอะไรได้บ้าง 

น้องบางคนก็คิดว่าตัวเองไม่มีมาตลอด คิดว่าตัวเองถูกกดขี่มาตลอด แต่พอมาสำรวจปุ๊บ บอกว่าเราก็มีลู่ทางในชีวิตอยู่นะ มันยังพอจะเป็นไปอย่างนี้ได้อยู่ หลังจากนั้นเราจะให้เขาลองวางแผนชีวิตตัวเองดู อีก 5 ปีข้างหน้า จากทรัพยากรที่ตัวเองมี มันจะเป็นยังไงได้บ้าง 5 ปีข้างหน้าสมมุติว่าถูกหวย อะไรอย่างเงี้ย แบบเออจู่ๆ ก็รวยขึ้นมา อยากทำอะไร หรือว่า 5 ปีข้างหน้า ถ้าสมมุติว่าจู่ๆ ต้องสูญเสียอะไรสักอย่าง ไม่เหลือชิ้นดีเลยเนี่ยจะเป็นยังไง เพื่อให้เขาเตรียมรับมือ 

แผนแรกที่เป็นการให้เขาสำรวจทรัพยากร อันนี้คือเขาทำได้ และเขาจะมองเห็นชัดขึ้นว่าเขาต้องทำอะไร อย่างแผนโชคดีนี้ก็จะได้คิดออกว่าวันไหนที่เรามีตังค์ขึ้นมา สิ่งที่เราอยากทำจริงๆ มันคืออะไร ลึกๆ ในใจแล้วสิ่งที่ตัวเองปรารถนาที่สุดคืออะไร แล้วแผนสุดท้ายก็คือ ถ้ามันล้มเหลวจริงๆ เราก็ยังมีอะไรรองรับนะ ไม่ใช่ว่าจะมืดไปหมดทุกทางเลย อันนี้เป็นพาร์ทของ Self (ตัวตน) พาร์ทภายใน 

หลังจากนั้นเราก็จะพาน้องไปสำรวจชุมชนต่อ เพื่อให้เห็นว่าผู้ประกอบการในชุมชนเขาเป็นอะไรมาก่อน เขาทำอะไรมา แล้วเขาสร้างรายได้จากการอยู่ในชุมชนยังไง เราไม่อยากพาเขาออกไปไกลมาก อยากให้เขาเห็นว่าในพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่ มันก็สามารถที่จะดำรงชีวิตได้ กรกับเต้ยก็ลงพื้นที่ เดินเข้าไปหาสถานที่ให้เด็กได้มาดูงาน เช่นที่อู่ซ่อมรถ ที่ร้านกาแฟ หรือแม่ๆ ที่ทำขนม เราก็พาเด็กไปดูเขาทำขนม 

มันมีเรื่องอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่งของโครงการคือ ทุกคนที่เราไปดีลเปิดโอกาสให้เด็กหมดเลย เรายังไม่ได้บอกว่ามาในนาม กสศ. หรือในนามวัดนะ บอกแค่ว่าตอนนี้ดูแลเด็กๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ อะไรอย่างนี้ อยากให้เขามาดูงาน อย่างน้อยอยากให้เขาเห็นแนวทางอาชีพ ไม่จำเป็นต้องไปทำก็ได้ แค่ให้เห็นว่ามันมีโอกาสอย่างนี้อยู่นะ เขาบอก…มาเลย บางทีแค่เข้าไปคุย 10 นาที มาเลยค่ะ นัดวันมาได้เลย ทำไมคนบ้านเราใจดีขนาดนี้ เราไม่มีเอกสารอะไรไปยื่นให้เขาด้วยนะ เราเดินเข้าไปดุ่ยๆ เลย แล้วก็ได้โอกาสจากหลายคน บางคนก็อยากสอนด้วย แบบมีใจอยากจะให้ คือเราตั้งงบค่าตอบแทนวิทยากรได้ แต่บางคนเขาก็ไม่เอา บางคนเขาก็รับไว้ แล้วก็คืนให้เราไปใช้เป็นค่าน้ำค่าขนมให้เด็กๆ 

กรรู้สึกว่าคนบ้านเราใจดีมาก ทุกคนพร้อมที่จะให้โอกาสเด็ก แต่ว่ามันไม่มีคนไปเชื่อมโอกาสนี้ให้เขา เราก็เลยเหมือนเป็นคนเชื่อมโอกาสของชุมชนให้กับเด็ก ก็แฮปปี้เหมือนกัน 

จากพาร์ทที่พาเด็กไปดูงาน บางคนชอบสกิลนั้นไปเลย อย่างน้องผู้หญิงคนนึงชอบทำเล็บ เราก็ซัปพอร์ตเขาเรื่องอุปกรณ์ ส่วนการหาลูกค้าก็มีหลายคนช่วย สร้างรายได้ให้กับน้อง หลายคนได้โอกาสจากที่ไปดูงานมา ด้วยความใฝ่รู้ของเขาเอง เขาก็ได้ไปต่อ ก็มีหลายคนอยู่ 

หลังจากทำงานมา 1 ปี เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กอย่างไรบ้างคะ

เห็นเยอะครับแต่ก็ไม่ใช่ทุกคน บางคน ความเปลี่ยนแปลงมันอาจจะเล็กมากๆ เช่น กล้าที่จะพูดความต้องการของตัวเอง วันที่จัดงานปิดโครงการที่นี่ เรากังวลมาก เพราะว่ามันจะมีเหมือนทอล์กที่ทุกโครงการในภาคเหนือจะส่งเด็กมาที่นี่ เรากังวลมากว่าเด็กของเราใครจะเป็นคนขึ้นไปพูด แล้วจะพูดเรื่องอะไร เราเลือกให้ยอร์ชขึ้นไปพูด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคนที่เต็มใจจะมาร่วมกิจกรรมเท่าที่จะมาได้ ยอร์ชก็กังวลว่าจะพูดอะไรดี เราก็เขียนสคริปต์ให้ แต่พอขึ้นเวทีจริงๆ เขาพูดจากใจเขาเองเลย 

ที่บอกว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงคือ เด็กรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ความต้องการของตัวเอง?

เด็กบางคนพอเราให้ลองวางแผนดู เขาเห็นตัวเองชัดขึ้น เขารู้ว่าเขาต้องไปทำงาน ไม่ใช่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ หรือเด็กกลุ่มเสี่ยงบางคนเขาเริ่มที่จะพิทักษ์สิทธิตัวเอง รู้ว่าอะไรดีไม่ดี แล้วก็กล้าตัดสินใจเพื่อตัวเองมากขึ้น หรือบางคนเป็นเด็กที่เงียบมาก ไม่เปิดใจกับใครเลย ตัดสินตัวเอง แต่พอเขามาร่วมกิจกรรมกับเราเรื่อยๆ เขาก็กล้าที่จะปรึกษาเรื่องต่างๆ กล้าที่จะเข้ามาหาเราในมิติของเพื่อนกัน หรือคนที่ปรึกษากันได้ 

แล้วเป้าหมายปลายทางที่โครงการคาดหวังคืออะไร

เป้าหมายของทั้งโครงการและของท่านเจ้าอาวาสตั้งแต่แรกคือเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ แล้วก็เป็น ‘พื้นที่ของโอกาส’  ซึ่งเด็กหลายๆ คนในโครงการ มีคำหนึ่งที่พูดกันออกมาว่า “ผมอยากเป็นเด็กเหมือนคนอื่น” เราถามกลับไปว่า เหมือนคนอื่นคืออะไร “เขาได้เรียนหนังสือครับ” แต่เราเคยตั้งคำถามว่า เรียนแล้วยังไงต่อ เขาก็ตอบว่าจะได้ทันเพื่อน แต่หลังๆ มาเด็กก็จะบอกว่า เรียนเพื่อให้มีวุฒิเอาไปสมัครงาน ได้เงินเยอะขึ้น เพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าตอนนี้

แต่ที่นี่เพิ่งทำปีแรก เรายังให้วุฒิเด็กไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเราน่าจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กก่อน ทำให้เขามองเห็นโอกาสอะไรบางอย่างจากกิจกรรมต่างๆ ที่ทำ ดังนั้นแค่เด็กกล้าพูดเป้าหมายของตัวเอง มาเล่าให้เราฟังว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร เราก็แฮปปี้มากแล้วที่ได้ยินว่าเด็กสู้เพื่อตัวเอง 

จากที่เรียนด้านครุศาสตร์มา พอมาทำงานกับเด็กนอกระบบ มุมมองเรื่องการศึกษาเรื่องการเรียนรู้มันต่างไปจากเดิมไหม

เปลี่ยนไปตลอดกาล เรากล้ากลับเข้าไปคุยกับอาจารย์ในคณะเลยว่า ทำไมไม่มีครูที่อยู่นอกระบบ หมายถึงว่าดูแลเด็กที่หลุดออกมานอกระบบที่ไม่ใช่ครูกศน.บ้าง ทำไมเราถึงไม่พัฒนาบุคลากรที่จะมารองรับเด็กกลุ่มนี้ ซึ่งมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำไมสถาบันผลิตครู ถึงผลิตครูแต่อยู่ในระบบ ทำตามตัวชี้วัดต่างๆ นานา อะไรอย่างเงี้ย ก็ได้มุมมองนี้มาจากการทำงานนี้ หลายๆ อย่างที่เราเรียนมาในคณะแทบจะไม่ได้ใช้ คำว่าตัวชี้วัดเนี่ย ชี้วัดอะไรไม่ได้เลยนะ วัดผลอย่างนี้ สอบให้ได้คะแนนเท่านี้ ผ่านเกณฑ์เท่าโน้นเท่านี้ ก็ใช้ไม่ได้อีกเลย 

สิ่งที่เราเห็นคือมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังเติบโตขึ้น แล้วการเรียนรู้มันมีทุกที่ การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอด และการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องวัดประเมินด้วยกฎเกณฑ์ หรือเกณฑ์กลางที่ตัดสินเด็กออกมาเป็นเกรด แค่ได้เห็นเขายิ้มกับชีวิตที่เขามี มองเห็นอนาคตตัวเองว่าทำอะไรได้บ้าง และเด็กบางคนรู้ว่าฉันต้องไปเรียนอะไรต่อ เพื่อที่จะทำให้ชีวิตข้างหน้าฉันดีขึ้น อันนี้คือดีแล้ว 

เพราะว่าเด็กกลุ่มนี้ เส้นทางเขาอาจจะแคบกว่าคนอื่นนิดนึง แสงสว่างข้างหน้ามันทำให้มองเห็นทางแยกน้อยกว่าเด็กคนอื่นนิดนึง เราก็เหมือนได้ส่องไฟให้เขา แล้วให้เขาเลือกเองว่าจะไปทางไหนได้

ซึ่งต่างจากที่คณะสอนพอสมควรเลยครับ เขาไม่ได้คิดถึงตรงนี้ เพราะว่าเขาก็พัฒนาครูในระบบ อยากให้เป็นครูต้นแบบ เป็นอะไรต่างๆ ที่จะทำให้เด็กแฮปปี้ การศึกษาในภาพรวมมันดีขึ้น

ถ้ามองในมุมนี้ทุกคนก็สามารถจัดการเรียนรู้ได้?

กรมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย ถ้าเด็กปลอดภัยเด็กจะเปิด ถ้าเด็กเปิด เด็กก็จะกล้าที่จะเรียนรู้ แล้วพอ Mood มันได้ คนที่มาให้ความรู้เขาก็อยากจะสอน เพราะว่าเขารู้สึกว่าเด็กไม่ได้ถูกบังคับมา เขาจะรู้สึกว่าเด็กอยากมา เขาก็จะอยากให้ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำงาน 1 ปี มันเกิดขึ้นเองโดยที่เราแค่เป็นตัวเชื่อม เราไม่ได้เอาความรู้ครุศาสตร์มาร่างหลักสูตรว่า 3 ชั่วโมงนี้เราเจอกัน พี่ต้องพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เด็กนะ เดี๋ยวพี่ต้องจับเครื่องนี้ให้เด็กดู ไม่มีครับ มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 

แล้วบางคนก็แฮปปี้มากกับการที่เด็กอยู่แล้วเด็กถามเรื่อยๆ แต่แค่เราต้องมาขมวดตอนท้ายว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง มันเป็นอย่างนี้นะ ตลอด 3 ชั่วโมงที่ผ่านมาที่เราเจอกัน เราได้ทำอะไรบ้าง เพื่อให้เด็กเขาเห็นว่าประสบการณ์ที่เขาได้รับนั้นมันมีคุณค่ายังไง ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดได้ทุกวัน เด็กก็จะได้เห็นคุณค่า มองว่าสิ่งนี้มันคือการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่เขาเคยกลัวกัน เพราะเด็กๆ กลุ่มนี้จะกลัวโรงเรียนแล้วตีไปว่านั่นคือทั้งหมดของสิ่งที่เรียกว่าการเรียนรู้ แต่จริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องสี่เหลี่ยมมันแค่ส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เอง ซึ่งพอมาแนวทางนี้ เป้าหมายของการศึกษาหรือการเรียนรู้ มันไม่ใช่เกรด ไม่ใช่วุฒิการศึกษา หรือว่าปริญญาอะไร มันคือการพัฒนาตัวเองมากกว่า

กรคุยกับเต้ยและเพื่อนภาคีที่น่านว่าด้วยโครงสร้างสังคมเรา วุฒิการศึกษามันคือเงินที่จะได้มากขึ้น มันคือเพดานที่จะขยับไป ยิ่งวุฒิสูงมี Certificate หรืออะไรก็จะพาไปได้เยอะขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น เราก็มาตั้งคำถามกันว่า แล้วถ้าเด็กไม่มีวุฒิเลยล่ะ เป็นไปได้หรือเปล่า สุดท้ายมันก็ยังวนกลับไป เราก็เลยมองเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างตรงนี้ว่า สังคมไม่ได้มีพื้นที่ขนาดนั้นให้กับการศึกษาที่ไม่ถูก Certify 

เพราะพอพูดว่าเด็กไม่มีวุฒิ ในหัวเขาก็จะจินตนาการทันทีว่าเด็กพวกนี้คือเด็กมีปัญหา ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่มีปัญหา แต่สังคมหรือหลายๆ คนก็ยังมองแบบนี้อยู่ เราจะเปลี่ยนภาพนี้ยังไง ตอนนี้ก็เลยกลายเป็น Mission ใหม่ว่า เราจะทำยังไงให้ภาพของคำว่าเด็กหลุดจากระบบ เด็กไม่มีการศึกษา มันไม่ใช่ปัญหา มันคือเรื่องปกติ 

เขาคือคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะทำเพื่อชีวิตตัวเองภายใต้เงื่อนไขที่มันหนัก ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะของเขามากกว่า ซึ่งถ้าเขาอยู่ในระบบไม่ได้ก็สามารถไปในแนวทางอื่นที่สามารถพัฒนาตัวเอง ดูแลตัวเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ 

ถึงตอนนี้มองบทบาทของตัวเองอย่างไร

อยากบอกว่าเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ครับ เราแค่อยากเห็นว่าเด็กเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไง แต่ก็ไม่ได้มีตัวชี้ว่าเขาต้องเปลี่ยน เขาจะเป็นแบบเดิมก็ได้ แค่เขาเห็นโอกาส เห็นว่าเขาไปยังไงได้อีก เราโอเคแล้ว  

จากประสบการณ์การทำงานกับเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา หรือเด็กนอกระบบ  อยากจะสื่อสารอะไรไปถึงสังคมบ้าง

อยากจะบอกว่าให้มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ให้มองว่าเราตัวเราเองก็มีโอกาสที่จะเป็นแบบเขาได้เหมือนกัน เขาหนึ่งคนก็มีประสบการณ์ที่ตัวเองแบกมาเยอะ หลายอย่างเหมือนกัน เพียงแต่ว่าประสบการณ์ที่ตัวเขาแบกมา มันไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในระบบเฉยๆ มันดันไม่เหมือนกับค่านิยมที่สังคมอยากให้มันเป็นเฉยๆ แต่มันก็เป็นก้อนนึงที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ก็ไม่อยากให้เขาตัดสินครับ 

อยากจะบอกว่าทุกคนมีความเป็นมนุษย์ที่อยากจะพัฒนาตัวเองกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทุกคนก็มีเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและมีข้อจำกัดของตัวเอง อยากให้มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยากจะไปข้างหน้า เพียงแต่ว่าเขามีเงื่อนไข ถ้าอยากจะช่วยกัน ก็ช่วยมามองเห็นก่อนว่าเงื่อนไขที่เขามีเป็นอะไร เราจะได้ซัปพอร์ตถูก ไม่ใช่ตัดสินเขาไปเลยว่าไม่ดี เงื่อนไขมันก็จะกลายเป็นก้อนทึบๆ ที่เขียนคำว่า ‘ไม่ดี’ แปะเอาไว้ แล้วคุณก็ไม่ทำอะไรกับมันเลย แล้วคุณก็จะมองเด็กคนนึงที่มีก้อนที่ว่าไม่ดีนี้ทับหัวอยู่ แล้วก็มองว่าคนๆ นี้คือก้อนนี้ ซึ่งจริงๆ คนๆ นี้แค่พกก้อนนี้ไว้ในกระเป๋าเฉยๆ เขาไม่ได้เป็นก้อนๆ นั้น อย่าตัดสินกันครับ 

เปิดใจยอมรับความแตกต่าง หยุดตัดสินตีตรา?

มาทำความรู้จักกับเขาก่อนสิ เปิดใจให้เขา พอเขาเปิดใจกับเรา คุณก็จะได้รู้จักเขาเอง คุณยังไม่เปิดใจให้เขาเลย คุณก็ตัดสินเขาแล้ว พูดได้เพราะเมื่อก่อนตัวเราเองก็เป็นคนที่ตัดสินเหมือนกัน แต่พอมาทำงานนี้ ได้เห็นปัญหาจริงๆ เราตัดสินใครไม่ลงเลย ไม่ได้เลย ก็คือพอเราได้คุยได้อะไร ทุกคนก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างภาพ เวลาเรามองแบบเด็กๆ ที่ค้ายา อาจจะมองแบบ โอ้โห…เกิดมานี่คงก้าวร้าวเลวร้าย แต่บางคนก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แค่สภาพชีวิตทำให้เขาไปในทางนั้น เขาเกิดมาก็เจอสิ่งนี้แล้ว เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันดีหรือมันไม่ดี รู้แค่ว่าเขาต้องทำ มันเป็นอย่างเดียวที่เขาจะทำได้เพื่อดำรงชีวิต เขาก็ต้องทำ 

สำหรับเด็กที่กำลังอยู่ในเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงแล้วมองไม่เห็นว่าชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร อยากจะฝากอะไรถึงพวกเขาไหม

อยากให้เขาเบรกสักนิดนึง มันไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะมืดแปดด้านนะ สำรวจตัวเองดีๆ ก่อน  สำรวจว่าตัวเรามีอะไร แบบไม่อคติเลยนะ แบบไม่ตัดสินตัวเอง แบบไม่มองตัวเองแย่ ดูซิว่าตัวเองมีอะไร ทักษะที่ตัวเองมี แล้วคนรอบข้างมีใครบ้าง ลองมองหาประโยชน์จากมัน บางทีเราอาจจะเจอองค์ประกอบ 2 อย่าง ที่เรามองไม่เห็นเลย แล้วพอมันมารวมกัน มันอาจกลายเป็นเส้นทางใหม่ก็ได้ 

ไม่ต้องเครียดขนาดที่ว่า ฉันไม่มีหนทางแล้ว มันมี ทุกคนก็มีของในตัวเองแหละ ไม่ต้องรีบพุ่งไปข้างหน้า หยุดสักก้าวหนึ่ง หยุดทบทวนตัวเอง หยุดตั้งสติ มองเห็นตัวเองเยอะๆ แล้วมันก็จะเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ในตัวแลัวดึงออกมาใช้ ถ้าไม่เห็นมันก็อยู่รอบตัวเรานั่นแหละ มันไม่ได้มืดแปดด้าน มันไม่ได้แย่ไปทั้งหมด 

Tags:

ปกรณ์ นาวาจะโครงการจวนละอ่อนจามวัดร้องหลอดพื้นที่ปลอดภัยเด็กนอกระบบนักออกแบบการเรียนรู้

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • non-cover (1)
    Voice of New GenSocial Issues
    การศึกษานอกกรอบที่ตอบโจทย์ชีวิต เสียงสะท้อนจากเด็กนอกระบบ ‘นนท์’ – นนทวัฒน์ โตมา 

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘ถึงไม่ได้เติบโตมาอย่างดีก็เอาดีได้’ จากนักพนันรุ่นจิ๋วสู่ครูมโนราห์ของเด็กนอกระบบ: วิชญะ เดชอรุณ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    ฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ใช่แค่ได้ยินแต่เข้าใจ : บันไดขั้นแรกของ ‘สมรรถนะการสื่อสาร’ ที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

เมื่อ ‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น ‘เพื่อนร้าย’ แล้วเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร
Relationship
10 March 2025

เมื่อ ‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น ‘เพื่อนร้าย’ แล้วเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การถูกหักหลังจาก ‘เพื่อน’ ที่ไว้ใจ ไม่เพียงรู้สึกเจ็บใจหรือเสียความรู้สึกเท่านั้น การสูญเสียความเชื่อใจไปแบบนี้ยังอาจทำให้เรารู้สึกข้องใจตัวเองหรือละอายใจและโทษตัวเองว่า ทำไมจึงมองไม่ออกว่าคนที่คบเป็นเพื่อนสนิทอาจจะทำแบบนี้ได้
  • มีคำแนะนำเพื่อใช้รับมือและฟื้นฟูสภาพจิตใจ 7 ข้อด้วยกัน ได้แก่ รับรู้และยอมรับ, แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา, บอกตัวเองเสมอว่า เราไม่ใช่คนผิด, ดึงเอาความเจ็บปวดมาใช้เป็นพลัง, ค่อยๆ ปรับกิจกรรม, ฝึกให้อภัย และสุดท้ายถามตัวเองว่า เพื่อนคนนั้นจะเลิกคบไปเลยหรือจะยังคบต่อ
  • หากเราให้อภัยได้จริง การจะคบกันต่อไปกับคนที่เคยหักหลังเราก็อาจทำได้ แต่ควรต้องวางตัวให้มีขอบเขตชัดเจนและระมัดระวังตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออีกครั้ง บางคนอาจลดการติดต่อสัมพันธ์ด้วยหรือทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

เวลาเรามีเพื่อนสนิท เราก็วางใจ บ่อยครั้งที่เราเล่าเรื่องที่ส่วนตัวหรือความลับบางอย่างให้ฟัง ซึ่งภายหลังมารู้ว่าเรื่องส่วนตัวหรือความลับนั้นกลับแพร่กระจายไปไกล สำหรับหลายคนความอับอายหรือเสียหายที่เกิดขึ้นยังไม่เท่ากับความเสียใจหรือความเจ็บใจที่ต้องสูญเสียเพื่อนที่ไว้วางใจไป 

ในประวัติศาสตร์โลก เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดแค่กับเพื่อนฝูงเท่านั้น สหายต่างวัยและ ‘ลูกหม้อ’ อย่าง บรูตัสก็หักหลังซีซาร์ที่เคยช่วยเหลือกันมาก่อน สร้างความประหลาดใจให้กับซีซาร์จนถึงกับอุทานเป็นคำพูดสุดท้ายในชีวิตว่า “แกก็ด้วยเรอะ บรูตัส!” เมื่อถูกมีดในมือของบรูตัสปักลงบนตัว  

อีกกรณีคลาสสิกที่เอ่ยถึงกันบ่อยก็คือ กรณีของยูดาสที่หักหลังพระเยซูหลังพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ เพื่อแลกกับเหรียญเงินเพียง 30 เหรียญ 

ในทางจิตวิทยา การโดนหักหลังจากบุคคลใกล้ชิดทำนองนี้ มีหลายรูปแบบและผลกระทบก็อาจแบ่งได้เป็นหลายระดับ และในรายที่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมาก ความเสียหายก็อาจต้องใช้เวลานานมากที่จะซ่อมแซมจิตใจให้กลับมาดีดังเดิม หรือบางครั้ง…อาจจะทำไม่ได้ไปตลอดชีวิตทีเดียว 

หากเจาะจงไปที่การหักหลังกันระหว่างมิตรสหาย เราอาจสังเกตเห็นร่องรอยได้จากอะไรบ้าง?

นักจิตวิทยา เอล เมซ (Elle Mace) ได้ให้ข้อสังเกตว่า การหักหลังกันอาจมีได้หลายรูปแบบ แต่โดยรวมๆ มักเกี่ยวข้องกับความเชื่อใจกันในแบบใดแบบหนึ่ง [1]  

โดยอาจดูร่องรอยได้จากการเอาข้อมูลความลับที่แบ่งกันไปโพนทะนาหรือส่งต่ออย่างไม่สมควร การสร้างข่าวปลอมหรือปล่อยข่าวลือที่ไม่จริง การไม่รักษาสัญญาบางอย่างที่ให้กันไว้ การโกหกกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโกหกกันในเรื่องที่บางคนถือว่าคอขาดบาดตายทีเดียว เช่น การตีท้ายครัว แอบกิ๊กกับแฟนที่คบหากันอยู่หรือสามีภรรยาของเพื่อน ในขณะที่อีกรูปแบบที่สุดขั้วเช่นกันคือ การแอบขโมยหรือทำลายข้าวของของเพื่อน และแม้แต่การนิ่งดูดายและไม่ให้ความช่วยเหลือกันที่เพื่อนตกอยู่ในความลำบาก ทั้งที่อยู่ในวิสัยทำได้  

จะเห็นได้ว่าทั้งหมดที่ว่ามามีส่วนคล้ายกันคือ ถือเป็นการบั่นทอนความเชื่อใจและทำลายมิตรภาพที่มีต่อกันทั้งสิ้น 

หลังจากโดนเพื่อนเล่นงานเข้าให้แบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็น ‘เหยื่อ’ บ้าง?

เรื่องที่แน่นอนคือ ทุกคนต้องรู้สึก ‘เจ็บ’ มากหากโดนเข้าแบบนี้ แต่ไม่เพียงเท่านั้น การสูญเสียความเชื่อใจไปแบบนี้ยังอาจทำให้เรารู้สึกข้องใจตัวเองหรือลามไปไกลถึงขนาดทำให้รู้สึกละอายใจและโทษตัวเองว่า ทำไมจึงมองไม่ออกว่าคนที่คบเป็นเพื่อนสนิทอาจจะทำแบบนี้ได้ 

ความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้อาจยืดยาวนานหลายปีและทำให้เสียสุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก แม้ความทรงจำเรื่องการถูกหักหลังอาจจะค่อยๆ ลดความรุนแรงหรือเลือนหายไปเรื่อยตามวันเวลาที่ผ่านไป แต่ในรายที่เกิดผลกระทบรุนแรงมากจนสูญเสียความเชื่อใจคนอื่นไป อาจเกิดอาการต่างๆ ทางกายและใจได้แตกต่างกันอย่างมากมายดังนี้

หลายคนจะรับรู้ได้ถึงผลกระทบทางใจ เช่น รู้สึกเครียด กระวนกระวายใจ ในรายที่หนักหนาสาหัสมากอาจรู้สึกโศกเศร้า ซึมเศร้า สิ้นหวัง และลดความภาคภูมิใจหรือความเคารพตัวเองลง 

อีกรูปแบบหนึ่งของผลกระทบทางใจคือ กลายเป็นคนที่เชื่อใจคนยาก สร้างมิตรภาพใหม่ๆ กับเพื่อนใหม่ยาก หรือหนักกว่านั้นคือเกิดอาการหวาดระแวงคนอื่นไปทั่ว และในรายที่หนักขึ้นไปอีกอาจไปถึงขั้นป่วยเป็น PTSD (Post-traumatic stress disorder) เกิดภาพความทรงจำเลวร้ายกลับมาหลอกหลอนซ้ำๆ ไม่อาจสลัดออกจากหัวได้ และอาจลามไปจนเกิดอาการป่วยทางกายตามมา ไม่ว่าจะปวดหัว ปวดท้อง รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเสมอๆ ไปจนถึงอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง หรืออาการแบบอื่นๆ อีกมาก  

คำถามสำคัญคือ เราจะ ‘ก้าวผ่าน’ ปัญหาและความเจ็บปวดเหล่านี้ไปได้อย่างไร?    

นักจิตบำบัด แดเนียล บารอน (Danielle Baron) ชี้ว่าในตอนแรกสุด คนที่ประสบพบเหตุการณ์เช่นนั้นก็มักจะโกรธเกรี้ยวและช็อก จากนั้นก็ตามมาด้วยความกลัวและกังวลใจเกี่ยวกับอนาคต รวมไปถึงการรู้สึกผิดและตำหนิตัวเอง จากนั้นจึงตามมาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ การยอมรับสภาพความจริง แล้วจึงเริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวจากเหตุการณ์ในที่สุด [1] 

ทั้งหมดนี้ก็คล้ายกับผลจากความสูญเสียทุกรูปแบบนั่นเอง 

มีคำแนะนำเพื่อใช้รับมือและฟื้นฟูสภาพจิตใจบ้างหรือไม่? 

มีรวม 7 ข้อด้วยกันครับ ข้อแรกได้แก่การรับรู้และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องจริง ค่อยๆ ให้เวลาปลอบโยนความรู้สึกเจ็บปวดจนค่อยๆ เลือนหายไปเอง อาจใช้การเขียนบันทึกหรือแม้แต่พูดกับตัวเองหน้ากระจก การรับรู้และยอมรับทำให้ประสบการณ์นี้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น  

ประการต่อมาคือ หากรับมือคนเดียวไม่ไหว ลองมองหาเพื่อนสนิทคนอื่นหรือคนในครอบครัวที่เชื่อใจได้ หรือแม้แต่ไปรับการรักษาจากแพทย์หรือนักบำบัด การแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาจะทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวหรือโดดเดี่ยวลดน้อยลง และยังช่วยให้เราได้มุมมองใหม่ๆ จากคำแนะนำต่างๆ ที่ได้รับฟัง 

การเล่าให้คนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์หรือไม่เกี่ยวข้องด้วย ช่วยแบ่งเบาความทุกข์และปลดปล่อยเราจากความเจ็บปวดได้ในหลายกรณี

ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า เราไม่ใช่คนผิด แต่เป็นคนรับเคราะห์จากการกระทำผิดของคนอื่นต่างหาก การตอบสนองทำได้ทั้งสองทาง การเข้าสังคมให้มากขึ้นก็อาจช่วยได้หรือแม้แต่หากต้องการเก็บตัวก็ทำได้เช่นกันแล้วแต่จริตของเรา แต่ขอให้เลือกใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ไปนวดคลายเส้นหรือไปฝึกทำสมาธิ เล่นโยคะ ก็สามารถช่วยลดความเครียดและความฟุ้งซ่านของจิตใจได้ 

อีกวิธีหนึ่งคือ การดึงเอาความเจ็บปวดมาใช้เป็นพลัง บางคนอาจเลือกไปทำกิจกรรมใหม่ที่ต้องใช้พลังอย่างเช่น การหันไปออกกำลังกาย เล่นกีฬาต่างๆ ร้องเพลง ชกมวย กระโดดร่ม หรือหัดเล่นละคร ฝึกการแสดง เล่นดนตรี ตามแต่ความชอบและสนใจ ฯลฯ

คำแนะนำต่อไปคือ ค่อยๆ ปรับกิจกรรม อย่ารีบร้อน การรักษาจิตใจต้องใช้เวลาและเวลาที่ใช้สำหรับแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ให้ดูจังหวะชีวิตของตัวเองให้เหมาะสม ค่อยๆ ปรับความรู้สึกจนกล้าที่จะเชื่อใจคนอื่นอีกครั้ง 

เรื่องที่จำเป็นต้องทำอีกเรื่องหนึ่งคือ การฝึกให้อภัย ต้องแยกแยะให้ออกว่า การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการลืมเลือนว่าเกิดอะไรขึ้น อันที่จริงแล้วนี่เป็นหนึ่งในกระบวนการและขั้นตอนของการกำจัดความโกรธเกลียดในใจและความไม่พอใจทั้งหลาย ซึ่งเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง และเป็นการทำเพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อคนที่เราอภัยให้  

ข้อสุดท้าย เพื่อนที่ทำร้ายเรานั้น เราจะทำอย่างไรกับเขาหรือเธอดี? จะเลิกคบไปเลยหรือจะยังคบต่อ กรณีหลังนี้จะทำได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจจริงหรือ? 

คำแนะนำอย่างกว้างๆ คือ นี่เป็นทางเลือกที่คุณต้องเลือกเอง หากเราให้อภัยเพื่อนคนนั้นได้จริง การจะคบกันต่อไปกับคนที่เคยหักหลังเราก็อาจทำได้ แต่ควรต้องวางตัวให้มีขอบเขตชัดเจนและระมัดระวังตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออีกครั้ง บางคนอาจลดการติดต่อสัมพันธ์ด้วยหรือทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น 

เรื่องสำคัญที่สุดน่าจะเป็นว่า เราสามารถกลับมารักษา ‘ความปกติสุข’ ของจิตใจและก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่กักขังตัวเองไว้กับความเจ็บปวดในอดีตได้ดีเพียงใด  

เอกสารอ้างอิง

[1] Faye Smith (2024) Friends ‘til The End? Psychology Now, vol. 8, pp. 30-33

Tags:

ความเจ็บปวดมิตรภาพความไว้ใจจิตวิทยาความสัมพันธ์

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Curse Child Star-nologo
    Healing the trauma
    จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ปัดจอจนเหนื่อยใจ แล้วไหนล่ะคู่ฉัน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.1 ร่างกายที่แข็งแรงคือรากฐานของสมองที่พร้อมเรียนรู้และจิตใจแข็งแกร่ง
Early childhoodFamily Psychology
7 March 2025

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.1 ร่างกายที่แข็งแรงคือรากฐานของสมองที่พร้อมเรียนรู้และจิตใจแข็งแกร่ง

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ‘ร่างกาย’ คือพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ พ่อแม่มักให้ความสำคัญกับพัฒนาการด้านการศึกษาและทักษะต่างๆ แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงคือร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งเป็นภาชนะที่พร้อมรับประสบการณ์ใหม่ๆ และช่วยให้เด็กพัฒนาไปได้อย่างเต็มศักยภาพ
  • เด็กต้องพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ก่อนกล้ามเนื้อมัดเล็ก เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวและควบคุมร่างกายได้ดี การฝึกฝนผ่านกิจกรรมชีวิตประจำวันจึงช่วยให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองในเรื่องพื้นฐานได้
  • ร่างกายที่แข็งแรงทนทานคือฐานทางใจที่แข็งแรง เด็กที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอและใช้ร่างกายเป็นประจำเพื่อช่วยเหลือตัวเองและทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มจะเรียนรู้ได้ดี

‘จุดเริ่มต้นที่เรามักหลงลืม’

ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด จากเด็กๆ ยุคเจนอัลฟ่ามาจนถึงปัจจุบันสู่ยุคเบต้า สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ ‘พ่อแม่ปรารถนาให้ลูกมีชีวิตที่ดี’ จึงพยายามมอบสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดให้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ การศึกษาที่ดี และพาลูกไปทำกิจกรรมที่เสริมทักษะรอบด้าน ดนตรี ภาษา ศิลปะ เทคโนโลยี และอื่นๆ  อีกมากมาย เพราะเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเตรียมพร้อมให้เด็กๆ ในการใช้ชีวิตและก้าวต่อไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ได้สำเร็จ เรามักมองไปที่ปลายทางจนเราเผลอมองข้ามจุดเล็กๆ ที่แสนสำคัญยิ่ง จุดเล็กๆ ที่จะทำให้เด็กๆ ทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไม่ติดขัด สิ่งนี้อยู่กับเราตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิต และจะอยู่กับเราไปจนวันสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ สิ่งนั้นก็คือ ‘ร่างกายของเรา’

‘ร่างกายเปรียบเสมือนภาชนะที่พร้อมใส่สิ่งสำคัญในชีวิต’

ร่างกายที่แข็งแรงและยืดหยุ่นเพียงพอก็เปรียบเสมือนภาชนะที่แข็งแรง แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปทนทานต่อความร้อน ความเย็น โดยไม่รั่วหรือแตกลง เมื่อได้รับสิ่งสำคัญระหว่างทางของการใช้ชีวิต เก็บความรู้และประสบการณ์ รับมือกับความรู้สึกต่างๆ และขยายตัวเติบโตไปตามกาลเวลาได้ ‘ร่างกายที่ดีจึงมักเป็นที่อยู่ของจิตใจที่ดีด้วย’

‘การเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม’

การเตรียมความพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงทนทานพร้อมใช้ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องฝึกฝนตั้งแต่เยาว์วัย 

ธรรมชาติของพัฒนาการมนุษย์ การเติบโตของเด็กๆ มักจะพัฒนาจากสิ่งที่มีขนาดใหญ่ไปสู่สิ่งที่มีขนาดเล็กเสมอ ดังนั้น ‘กล้ามเนื้อมัดใหญ่ควรพัฒนาก่อนกล้ามเนื้อมัดเล็ก’

เด็กๆ ควรมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้แก่ แขน ขา และแกนกลางลำตัว เพื่อที่เขาจะสามารถนั่งอย่างมั่นคง เคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเดิน การวิ่ง การขึ้นบันได และจึงไปปีนป่ายสิ่งต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่เขาจะพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ มือและนิ้วทั้งสิบของเขา ในการหยิบจับสิ่งต่างๆ และจับอุปกรณ์เพื่อขีดเขียน ตัด และอื่นๆ

‘เด็กๆ สามารถหยิบจับสิ่งที่มีขนาดใหญ่ก่อนขนาดเล็ก’ เช่น  บล็อกไม้ชิ้นใหญ่ก่อนตัวต่อพลาสติกขนาดเล็ก สีเทียน/ดินสอขนาดใหญ่ ก่อนดินสอขนาดเล็ก ติดกระดุมเม็ดใหญ่ ก่อนติดกระดุมเม็ดเล็ก
‘กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ไปสู่กล้ามเนื้อมัดเล็ก ฐานร่างกายนำไปสู่สมองที่พร้อมเรียนรู้’

‘การฝึกฝนที่เรียบง่ายที่สุดนำไปสู่การทำงานใหญ่ได้ในอนาคต’

เด็กๆ ฝึกฝนร่างกายผ่านการช่วยเหลือตัวเองและการเคลื่อนไหวเพื่อเล่นและออกกำลังกาย ดังนั้นในเด็กปฐมวัย วัยที่สำคัญที่สุดที่ร่างกายต้องได้รับการฝึกฝนและพัฒนาพร้อมกันกับจิตใจ ยิ่งเด็กๆ ได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง เขาได้ใช้ร่างกาย สมองคิด และฝึกจิตใจให้อดทนไปด้วยในเวลาเดียวกัน

หากอ้างอิงตามพัฒนาการของเด็กช่วงวัย 2-3 ปีสิ่งที่ทำให้เป็นหัวใจสำคัญของเด็กวัยนี้คือ ‘ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)’ เด็กวัยนี้มีอิสรภาพทางร่างกายมากขึ้น เขาสามารถคลาน เดิน วิ่ง และหยิบคว้าอย่างรวดเร็ว เพราะกล้ามเนื้อของเขาเริ่มแข็งแรงพอจะเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง แต่อาจจะกะน้ำหนักมือไม่ได้และยังไม่คล่องแคล่วมากนัก ทำให้เขาอาจจะทำน้ำหก ทำของหลุดมือ จับของแล้วเผลอบีบจนเละคามือ และหกล้มได้บ่อยครั้ง 

ดังนั้น ความสามารถที่ต้องพัฒนามาพร้อมกับด้านร่างกาย คือ ‘การควบคุมร่างกายตนเอง’ ซึ่งทักษะนี้จะเกิดขึ้นได้ หากเด็กได้ลงมือทำ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเด็กรับรู้ว่า ‘ตนเองสามารถทำสิ่งใดได้ด้วยตนเอง’ เขาจะรับรู้ถึงความสามารถของตน ซึ่งนำไปสู่ความภาคภูมิใจ และความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (Sense of Autonomy) และการควบคุมตนเอง (Self Control) คือความสามารถในการยับยั้งชั่งใจจะเกิดขึ้นตามมา

‘5 การฝึกช่วยเหลือตัวเองและกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาการร่างกาย’

(1) การกินข้าวเอง

‣เด็กเล็กมากๆ จะเริ่มต้นจากการใช้มือหยิบอาหารเข้าปากได้เอง จากนั้นใช้ช้อน (มือเดียว) และสุดท้ายใช้อุปกรณ์สองมือพร้อมกัน เช่น ช้อน-ส้อม มีด-ส้อม พร้อมกัน 

‣ในเด็กวัย 3-4 ปี สามารถเรียนรู้การใช้ตะเกียบได้ เริ่มจากตะเกียบเด็กก่อนจะไปสู่ตะเกียบผู้ใหญ่

การฝึกฝนเริ่มต้นบนโต๊ะอาหาร เด็กควรใช้ตามองอาหาร ไม่ใช่ตามองจอ เล่นของเล่น อ่านนิทานใดๆ

กินอาหารจึงควรกินอาหาร ไม่ทำหลายอย่างไปพร้อมกัน เพราะเด็กจะไม่ได้ฝึกทักษะ ‘การใช้มือกับตาทำงานร่วมกัน’ และ ‘การจดจ่อกับงานตรงหน้า’

(2) การถอด-ใส่รองเท้าและเสื้อผ้าเอง

ตามพัฒนาการของเด็กแล้วสามารถไล่ระดับจากง่ายไปยาก

‣เด็ก 1-2 ปี รูดซิปขึ้น-ลง ถอดถุงเท้า รองเท้าแบบสวมเข้าอย่างง่ายหรือมีเวลโครได้ (ไม่มีเชือกผูก)

‣เด็ก 2-3 ปี ถอดเสื้อยืด เสื้อผ่าหน้า โดยมีผู้ใหญ่ช่วยปลดกระดุมให้ ใส่กระโปรงยางยืด กางเกงยางยืด 

โดยต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้าง

‣เด็ก 3-4 ปี ถอดเสื้อผ้าได้เองทั้งหมด ใส่เสื้อผ้าที่มีกระดุมที่มีขนาดใหญ่ (2 เซนติเมตรขึ้นไป ประมาณ 3 เม็ด) โดยต้องการความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย

‣เด็ก 4-5 ปี แต่งตัวเองได้ ใส่เสื้อสวมหัว โดยดูหน้า-หลังเป็น ติดกระดุมที่มีขนาดเล็กได้

เด็กจะพัฒนานิ้วมือและการทำงานของตากับมือประสานกันจากงานนี้ ที่สำคัญเมื่อถอดเสื้อแล้วติดหัว เขาจะได้ฝึกแก้ปัญหาและจัดการอารมณ์ตามวัยด้วย

(3) การเข้าห้องน้ำเอง

‣การเข้าห้องน้ำเริ่มต้นจากการ ‘รู้ตัว’ เริ่ม ‘สื่อสาร’ พูดบอก และร่างกายที่เริ่ม ‘กลั้น’ ได้บ้าง 

เด็กแต่ละคนทำได้ช้าเร็วแตกต่างกันไป แต่เริ่มต้นจากการฝึกง่ายๆ เด็กๆ ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปตอนไหนถึงจะทัน ดังนั้นเราใช้ ‘ตารางเวลา’ ในการช่วยเขา ไปเป็นเวลา พาไปนั่ง ทำความคุ้นเคย ทำซ้ำๆ เป็นประจำ เวลาเดิม

‣สอนผ่านนิทาน เช่น หนังสือนิทานห้องน้ำกลางดึก กางเกงตัวเก่งของปุ๊กจัง หนูนั่งกระโถนเป็นแล้ว

เมื่อเด็กพร้อมเขาจะเริ่ม ‘บอกปวดฉี่/อึ’ แม้จะยังไปไม่ทันการณ์อย่าเพิ่งตำหนิหรือท้อใจ ให้ชื่นชมว่า ‘เยี่ยมเลยที่รู้ว่าปวดแล้ว ครั้งหน้าเรามาลองเข้าให้เร็วขึ้นกันนะ’

(4) การล้างมือ-อาบน้ำ-แปรงฟัน-เช็ดก้น

‘การทำความสะอาดร่างกายทำให้เด็กเรียนรู้ร่างกายตัวเอง’

‣แม้จะแปรง-ล้างได้ไม่สะอาด ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ฝึกฝน เด็กๆ จะแปรงและล้างเองจบ ผู้ใหญ่เช็คหรือทำซ้ำเพื่อความสะอาดได้

‣เข้าห้องน้ำเสร็จ สอนเขาดึงกระดาษทิชชู่มาใช้เช็ด หรือ สอนเขาชำระล้างให้สะอาด ตอนแรกอาจจะไม่ถนัด เงอะๆ งะๆ แต่ทำไปเรื่อยๆ เด็กๆ จะทำได้เอง เมื่อเด็กๆ ทำได้เองเขาจึงรู้สึกภาคภูมิใจ

(5) ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงทนทานพร้อมใช้งาน

กล้ามเนื้อมัดใหญ่และแกนกลาง (หลัง-หน้าท้อง) ที่แข็งแรงนำไปสู่การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่พร้อมใช้งาน

เด็กที่ร่างกายแข็งแรงทนทานจะหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุได้ยากกว่า เพราะจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว หลบหลีกสิ่งกีดขวางและทรงตัวได้ดีกว่า ที่สำคัญตอบสนองได้ทันเวลา เมื่อต้องตอบสนองทันที

เด็กวัยนี้ควรเคลื่อนไหวร่างกายจนเหงื่อเปียกชุ่มอย่างน้อยวันละ 2-3 ชั่วโมง (อาจจะแบ่งเฉลี่ยเช้า-กลางวัน-เย็น

ครั้งละ 30-60 นาที)

การเล่นที่ช่วยพัฒนาร่างกายกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ปีนเครื่องเล่น-ต้นไม้ 

‣วิ่งออกกำลังกายต่อเนื่อง เช่น วิ่งไล่จับ และการวิ่งเพื่อวิ่ง

‣กระโดดขาเดียว ขาคู่ เช่น เล่นกระต่ายขาเดียว ตังเต กระโดดยาง

ร่างกายที่แข็งแรงทนทานคือฐานทางใจที่แข็งแรง เด็กที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอและใช้ร่างกายเป็นประจำเพื่อช่วยเหลือตัวเองและทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มจะเรียนรู้ได้ดี รวมทั้งนั่งเรียนได้นาน เขียนได้นาน โดยไม่เมื่อย ทำให้คงสมาธิได้ต่อเนื่อง ในวัยที่ต้องเรียนรู้ขั้นสูงต่อไป 

การช่วยเหลือตัวเอง และ การออกกำลังกาย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ ผู้ใหญ่ทุกคนจำเป็นต้องรักษาสิ่งเหล่านี้ต่อไปตลอดชีวิตเช่นกัน เมื่อไหร่ที่เราหยุดดูแลตัวเอง ใจเราจะป่วย เมื่อไหร่ที่ร่างกายของเราหยุดเคลื่อนไหว แม้จะยังมีลมหายใจ แต่จิตใจของเราก็จะเหมือนตายจากเราไปแล้ว


ร่างกายที่แข็งแรงจึงเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ในวัยผู้ใหญ่การมีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมใช้งาน ทำให้เราสามารถทำสิ่งที่เราตั้งใจได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าร่างกายของเราจะไปพร้อมเราไม่ได้ การไม่เจ็บป่วยเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต และกายที่แข็งแรงจะพาเราไปทุกที่ ไปได้ไกลดังที่ใจเราคิด

สุดท้าย ‘อย่ามองเพียงปลายทางที่ห่างไกล จนลืมให้เด็กๆ ดูแลร่างกายและใช้ร่างกายของเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ เพราะช่วงวัยเด็กไม่ได้ยาวนานนัก ไม่นานเขาจะไม่มีเวลาวิ่งเล่นและลองผิดลองถูกได้อีก’

อ้างอิง

Widick, C, Parker, C A, & Knefelkamp, L (1978) Erik Erikson and psychosocial development New directions for student services, 1978(4), 1-17

Tags:

พ่อแม่Generation Alphaเด็กร่างกายพัฒนาการ

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.4 ‘ความวิตกกังวลสูงในเด็ก’ อาจเริ่มต้นจากความกังวลของพ่อแม่

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

สารพัดทฤษฎีเลี้ยงลูกออนไลน์ พ่อแม่ควรทำอย่างไรท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น
Family Psychology
3 March 2025

สารพัดทฤษฎีเลี้ยงลูกออนไลน์ พ่อแม่ควรทำอย่างไรท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การที่พ่อแม่พยายามค้นหาวิธีการเลี้ยงลูกแบบต่างๆ ก็เพราะลึกๆ ในใจแล้วมีความคาดหวังให้ลูกของตนเติบโตขึ้นมามีนิสัยใจคอไปในทิศทางหนึ่งๆ เช่น ต้องการเลี้ยงลูกแบบเข้มงวดก็เพราะอยากให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนมีระเบียบวินัย 
  • การที่เด็กสักคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สังคมรอบข้าง ฯลฯ การหยิบยก ‘วิธีการเลี้ยงลูก’ เพียงอย่างเดียวมาใช้คาดคะเนว่าเด็กคนหนึ่งจะโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง
  • พ่อแม่ต้องไม่ลืมการใช้ชีวิตอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ ด้วย อย่ามัวแต่กังวลว่าลูกจะเป็นอย่างไรในอนาคตจนลืมใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน อย่าโทษตัวเองหากลูกไม่ได้เติบโตมาตามที่หวัง ขอให้เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีเส้นทางของตัวเอง

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางยอดนิยมที่ผู้คนใช้สืบค้นข้อมูลต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ ‘การเลี้ยงลูก’ ซึ่งข้อมูลที่ปรากฎบนแพลตฟอร์มต่างๆ นั้นมีตั้งแต่การเลี้ยงดูแบบเข้มงวดไปจนถึงการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการดูแลเด็กอีกมากมายที่อ้างอิงแนวทางจากต่างประเทศ เช่น เน้นระเบียบวินัยแบบคนญี่ปุ่น หรือส่งเสริมเสรีภาพแบบคนอเมริกัน

ท่ามกลางข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูก พ่อแม่หลายคนเกิดความสับสนและกังวลว่าแนวทางไหนคือแนวทางที่ดีที่สุด อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลที่มากมายนี้ก็อาจก่อให้เกิดความเครียดหากตัวเองไม่สามารถทำตามแนวทางที่ถูกกล่าวอ้างว่ามาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม

แน่นอนว่าการที่พ่อแม่พยายามค้นหาวิธีการเลี้ยงลูกแบบต่างๆ ก็เพราะลึกๆ ในใจแล้วมีความคาดหวังให้ลูกของตนเติบโตขึ้นมามีนิสัยใจคอไปในทิศทางหนึ่งๆ เช่น ต้องการเลี้ยงลูกแบบเข้มงวดก็เพราะอยากให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนมีระเบียบวินัย 

Yuko Munakata ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ที่ University of Colorado Boulder กล่าวในเชิงเปรียบเทียบว่า “การพยายามทำนายว่าลูกจะเป็นอย่างไรจากการตัดสินใจของพ่อแม่ ก็เหมือนกับการพยายามทำนายว่าจะเกิดพายุเฮอริเคนหรือไม่จากการกระพือปีกของผีเสื้อ”

แค่ดู ‘การกระพือปีกของผีเสื้อ’ จะรู้ได้อย่างว่าจะเกิด ‘พายุเฮอริเคน’ มันก็ต้องดูสภาพอากาศ ทิศทางลม ความชื้น และอื่นๆ อีกด้วย การจะเกิดพายุเฮอริเคนมีหลายตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการดูเพียงการกระพือปีกของผีเสื้อจึงเป็นไปไม่ได้ที่นำมาทำนายว่าจะเกิดพายุเฮอริเคนหรือไม่ ซึ่งก็เหมือนกับการเลี้ยงลูกเช่นกัน

การที่เด็กสักคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สังคมรอบข้าง ฯลฯ ดังนั้นการหยิบยก ‘วิธีการเลี้ยงลูก’ เพียงอย่างเดียวมาใช้คาดคะเนว่าเด็กคนหนึ่งจะโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง

ยิ่งไปกว่านั้น ศาสตราจารย์ Munakata ยังชี้ว่าการเลี้ยงลูกวิธีหนึ่งไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันในเด็กทุกคน แม้ว่าเด็กจะเป็นพี่น้องหรือฝาแฝดที่เติบโตมาในบ้านเดียวกัน เลี้ยงดูโดยพ่อแม่คนเดียวกัน อาศัยอยู่สิ่งแวดล้อมเดียวกัน แต่เมื่อโตขึ้นทั้งสองกลับมีนิสัยใจคอที่ต่างกัน

เช่น เด็กคนหนึ่งมองว่าการที่พ่อแม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวันคือความใส่ใจ แต่เด็กอีกคนหนึ่งอาจมองว่าพ่อแม่จุ้นจ้านยุ่งวุ่นวาย

ศาสตราจารย์ Munakata เรียกสิ่งนี้ว่า ‘เหตุการณ์เดียวกัน ประสบการณ์ต่างกัน’ (Same event, different experience.) กล่าวคือ แม้ทุกคนจะประสบกับเหตุการณ์เดียวกัน แต่ทุกคนไม่ได้มีมุมมองต่อเหตุการณ์นั้นที่เหมือนกัน ทำให้แต่ละคนมีความคิดความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นที่แตกต่างกัน

ถึงแม้วิธีการเลี้ยงลูกอาจไม่ได้ทำให้ลูกโตขึ้นมาเป็นคนอย่างที่พ่อแม่คาดหวัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ไม่สำคัญ สิ่งที่ต้องการสื่อคือ การเลี้ยงดูไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อเด็ก แต่ยังมีอีกหลายๆ ปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พ่อแม่ไม่ควรมุ่งสนใจแต่การหาวิธีการเลี้ยงดูเพียงอย่างเดียวจนละเลยปัจจัยอื่นๆ

เมื่อการเลี้ยงดูเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อเด็ก ดังนั้นการคาดคะเนว่าเด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรจึงเป็นเรื่องซับซ้อน พ่อแม่ควรทำความเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมพัฒนาการของเด็ก

นอกจากนี้ ความคิดที่ว่าวิธีการเลี้ยงดูจะควบคุมให้เด็กเติบโตขึ้นมาตามที่พ่อแม่คาดหวังอาจเกิดจากแนวคิด ‘เด็กคือผ้าขาว’ ที่สามารถเติมแต่งสีต่างๆ ลงไปได้ โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น เคยกล่าวไว้ว่า ‘เด็กไม่ใช่ผ้าขาว’ เด็กแต่ละคนมีสีที่ต่างกัน เปรียบได้กับพื้นฐานอารมณ์และรสนิยมที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด

สีของเด็กในที่นี้ถ้าแบ่งอย่างคร่าวๆ ก็จะได้เป็น โทนร้อน กับ โทนเย็น เด็กที่มีสีโทนเย็นจะมีอารมณ์สงบ ปรับตัวปรับอารมณ์ได้เร็ว เช่น เวลาโดนฉีดยาก็ร้องไห้นิดหน่อย ปลอบแป๊บเดียวก็หาย แต่เด็กที่มีสีโทนร้อนจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว มีพลังสูง อยู่ไม่สุข เช่น เวลาเมื่อรู้ว่าจะพาไปฉีดยาก็เริ่มร้องไห้โวยวาย มาถึงก็ต้องช่วยกันจับตัวกันชุลมุนกว่าจะฉีดยาได้

เมื่อเด็กไม่ใช่ผ้าขาวที่เติมแต่งสีได้ตามใจ การเลี้ยงลูกจึงไม่มีสูตรสำเร็จ วิธีการที่ได้ผลกับบ้านหนึ่ง อาจไม่ได้ผลกับอีกบ้านหนึ่ง หรือแม้แต่ในครอบครัวเดียวกัน วิธีการที่ได้ผลกับลูกคนหนึ่งอาจใช้ไม่ได้กับลูกอีกคน พ่อแม่จึงควรพิจารณาว่าเด็กมีพื้นฐานอารมณ์อย่างไร รวมทั้งมีสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างไร เพื่อค้นหาการเลี้ยงดูที่เหมาะสมกับลูกของเรามากที่สุด

ท่ามกลางการแสวงหาวิธีการเลี้ยงลูกของแต่ละบ้าน ศาสตราจารย์ Munakata เน้นย้ำว่า พ่อแม่ต้องไม่ลืมการใช้ชีวิตอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ ด้วย อย่ามัวแต่กังวลว่าลูกจะเป็นอย่างไรในอนาคตจนลืมใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน อย่าโทษตัวเองหากลูกไม่ได้เติบโตมาตามที่หวัง ขอให้เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีเส้นทางของตัวเอง

การเติบโตของเด็กเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่มีใครควบคุมได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่จะเป็นรากฐานสำคัญให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคง

อ้างอิง

AMARINBOOKS TEAM. (2019). “เด็กไม่ใช่ผ้าขาว อย่าเข้าใจผิด” เขียนโดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี (หมอเดว).

TEDx Talks. (2019). Why Most Parenting Advice is Wrong | Yuko Munakata | TEDxCU.

2020 ENTERTAINMENT. (2023). “เลี้ยงลูกตามในเน็ต” หาข้อมูลจากเว็บ ไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กทุกคน l เยียวยาใจ.

Tags:

พ่อแม่การเติบโตการเลี้ยงลูกความคาดหวังทฤษฎีเลี้ยงลูกออนไลน์ความรักและความเข้าใจ

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Ted Lasso: โค้ชทีมฟุตบอลก็เหมือนการเลี้ยงลูก ในวันแข่งจริง เราแค่ภาวนาให้เค้าทำอย่างที่เราสอนไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel