Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: February 2024

เซโรโทนิน-ออกซิโทซิน-โดพามีน: สูตร(ไม่)ลับ ปรับไลฟ์สไตล์โอบรับความสุขด้วยวิทยาศาสตร์
How to enjoy life
6 February 2024

เซโรโทนิน-ออกซิโทซิน-โดพามีน: สูตร(ไม่)ลับ ปรับไลฟ์สไตล์โอบรับความสุขด้วยวิทยาศาสตร์

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • เราอาจเข้าใกล้ความสุขมากขึ้น หรือพบว่าความสุขอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด เพียงเข้าใจวิทยาศาสตร์ของความสุขผ่านสารเคมีที่หลั่งออกมาในร่างกาย
  • ความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาพกายใจที่แข็งแรง มาจากการหลั่งฮอร์โมน ‘เซโรโทนิน’ และ ‘ออกซิโทซิน’ โดยตรง ส่วน ‘โดพามีน’ ความสุขที่หลั่งออกมาเมื่อเราไปถึงเส้นชัยที่ตั้งไว้สำเร็จ เป็นเหมือนสารเสพติดที่ต้องการโด๊ปเพิ่มเรื่อยๆ
  • ฮอร์โมนทั้ง 3 ตัวนี้ บอกเราว่า กรณีไม่สามารถมีได้ครบทุกอย่าง อย่างน้อย ขอให้มีเซโรโทนินไว้พอ นั่นคือ หมั่นดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย

หลายคนน่าจะพอคุ้นหูคำว่า ‘โดพามีน’ มาบ้างแล้ว ซึ่งมักได้รับสมญานามว่าเป็น ‘ฮอร์โมนแห่งความสุข’ แต่ความจริงแล้ว โดพามีนเป็นแค่หนึ่งในหลายต่อหลายฮอร์โมนแห่งความสุขที่ร่างกายสร้างขึ้นมา 

แถมยังมีฮอร์โมนความสุขตัวอื่นที่ทรงพลังกว่า ยั่งยืนกว่า และอาจสร้างได้ง่ายกว่าโดพามีนด้วยซ้ำ

ถ้าเราเข้าใจฮอร์โมนหลักๆ ตัวอื่นที่มีอยู่ บางทีเราอาจเข้าใกล้ความสุขมากขึ้น หรือพบว่าความสุขอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด เพียงเข้าใจวิทยาศาสตร์ของความสุขผ่านสารเคมีที่หลั่งออกมาในร่างกาย

วิทยาศาสตร์ของความสุข 

ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว การพูดถึงความสุขให้เป็นรูปธรรมที่สุดจะพูดถึง ฮอร์โมน (Hormones) ว่าตัวไหนบ้างที่หลั่งออกมาเวลาเรารู้สึกมีความสุขเกิดขึ้น โดยหลักๆ จะมีฮอร์โมนความสุข 3 ตัวนี้ ซึ่งแต่ละตัวจะเกิดขึ้นต่างสิ่งเร้า-ต่างสถานการณ์กันไป

  • บางตัวเกิดจากการที่ร่างกายต้องขยับเคลื่อนไหวติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่งจึงจะหลั่ง
  • บางตัวแค่เรานั่งอยู่เฉยๆ แต่ได้รับความรักจากคนอื่นก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายแล้ว
  • บางตัวเราต้องพยายามขวนขวายทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จซะก่อนถึงจะค่อยหลั่ง

1) เซโรโทนิน (Serotonin) 

หลั่งออกมาเวลาเรามี ‘สุขภาพร่างกาย’ ที่ดี มีสภาพจิตใจดีแจ่มใส เช่น เวลาวิ่งออกกำลังกาย กล่าวได้ว่า เซโรโทนินเป็นแก่นของความสุขที่แท้จริงก็ว่าได้ เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะอยู่ได้นานกว่าจะเลือนหายไป

เซโรโทนินยังไปช่วยในเรื่องคุณภาพการนอนหลับ ความสามารถในการจดจำ และการย่อยอาหาร ช่วยให้เราอารมณ์ดี มองโลกในแง่บวก กระตุ้นความรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่มีรอบตัว

2) ออกซิโทซิน (Oxytocin) 

ออกซิโทซินได้รับฉายาว่าเป็นเสมือน ‘ฮอร์โมนแห่งความรัก’ โดยจะหลั่งออกมาเวลาเรามี ‘ความสัมพันธ์’ ที่ดีกับคนรอบตัว ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรัก มิตรภาพ ความห่วงใย ออกซิโทซินเป็นฮอร์โมนอีกตัวที่เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะอยู่ได้นานกว่าจะเลือนหายไป

ออกซิโทซินยังส่งเสริมการเปิดใจในการไว้วางใจคนอื่น การพยายามเข้าอกเข้าใจ หรือความผูกพันระหว่างสมาชิกในกลุ่มให้ลึกซึ้งขึ้น

3) โดพามีน (Dopamine)

หลั่งออกมาเวลาเรา ‘บรรลุสิ่งที่ตั้งเป้าหมาย’ ไว้ได้สำเร็จ เช่น การแสวงหาการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หาวิธีเพิ่มรายได้ การอยากมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง การได้กินของอร่อย การติดมือถือ การพนัน 

อย่างไรก็ตาม ฮอร์โมนโดพามีนเมื่อหลั่งออกมาแล้วจะหายไปเร็วกว่าสองตัวแรก จึงไปกระตุ้นให้เกิดความต้องการซ้ำแล้วซ้ำอีก เกิดภาวะการ ‘เสพติด’ และมีแนวโน้มที่จะต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในครั้งต่อๆ ไป

ศิลปะการจัดเรียงลำดับความสุข

พอเราเข้าใจกลไกการทำงานของฮอร์โมนสำคัญๆ ทั้ง 3 ตัวเหล่านี้แล้ว เราจะเริ่มเห็นแล้วว่าการ ‘จัดเรียงลำดับความสำคัญ’ ในการใช้ชีวิตเพื่อให้ฮอร์โมนแต่ละตัวหลั่งออกมามีความสำคัญมากๆ

ในเมื่อ เซโรโทนิน และ ออกซิโทซิน เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะอยู่ได้นานกว่า ขณะที่โดพามีนจะหายไปเร็วกว่า เราจะเห็นว่า 

  • ‘เซโรโทนิน’ ใกล้เคียงกับรากฐานของความสุขที่มนุษย์ต้องการ เพราะสุขภาพร่างกายคนเราต้องแข็งแรงก่อน ไม่ป่วยเป็นโรค “การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ” คำนี้ใช้ได้จริง 
  • ก่อนไปโฟกัสที่ ‘ออกซิโทซิน’ เรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่นเพราะมนุษย์คือสัตว์สังคมที่อยู่เป็นหมู่คณะ 
  • ปิดท้ายที่ ‘โดพามีน’ ซึ่งเป็นเหมือนสารเสพติดที่ต้องการโด๊ปเพิ่มเรื่อยๆ

คราวนี้เราลองมาสำรวจตัวอย่างดูกันว่า ถ้ามีหรือไม่มีฮอร์โมนตัวไหน ฉากทัศน์ชีวิตของเราจะมีหน้าตาอย่างไร?

✅มีเซโรโทนิน ❌ไม่มีออกซิโทซิน ❌ไม่มีโดพามีน

  • ต่อให้ไม่รวย ไม่มีหน้าที่การงานใหญ่โต และไม่ใช่คนมีเพื่อนฝูงเยอะแยะมากมายอะไร แต่สุขภาพร่างกายแข็งแรง เล่นกีฬา ออกกำลังกายเป็นประจำ เท่านี้ก็ ‘มีความสุขกับตัวเอง’ ได้ แต่นานวันไปก็อาจรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวอ้างว้างได้เช่นกัน เพราะความสุขไม่ได้ถูกแชร์ให้ผู้อื่นหรือไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้อื่น

✅มีเซโรโทนิน ✅มีออกซิโทซิน ❌ไม่มีโดพามีน

  • แม้ไม่ได้มีหน้าที่การงานใหญ่โต เป็น ‘คนกลางๆ’ ไม่ได้รวย ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่กลับรวยเพื่อน มีเพื่อนฝูงคอยรับฟังให้คำปรึกษา มีคนรักที่เทคแคร์กันและกันอย่างดี แถมตัวเองก็สุขภาพร่างกายแข็งแรง ค้นพบไลฟ์สไตล์การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเองจนเจอ

❌ไม่มีเซโรโทนิน ❌ไม่มีออกซิโทซิน ✅มีโดพามีน

  • หนูถีบจักรที่วิ่งไล่ตามหาความสำเร็จในชีวิต โฟกัสแต่เรื่องงาน งาน งาน จนไม่มีเวลาให้กับคนรักรอบตัวและสุขภาพทรุดโทรม แต่เมื่อสำเร็จแล้ว ในเวลาไม่นาน อาจรู้สึก ‘ว่างเปล่า’ ในชีวิต และกลับมาเบื่อเหี่ยวเฉาเหมือนเดิมจนต้องสร้างเป้าหมายใหม่ๆ ขึ้นมาอีกเรื่อยๆ และมีแนวโน้มเป้าหมายที่จะยิ่งใหญ่ขึ้น นั่นหมายความว่า โดพามีนจะมีโอกาสหลั่งยากขึ้นตามไปอีกเพราะอาจเราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่ได้นั่นเอง

แน่นอนว่า การมีครบทั้ง 3 ฮอร์โมนเลยคือ ‘อุดมคติ’ ที่ใครๆ ก็ถวิลหาและอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ในชีวิต อาจเป็นเรื่องยากหรือไม่บ่อยนักที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ พร้อมกันทั้งหมด การหาทาง ‘บาลานซ์’ และออกแบบไลฟ์สไตล์ให้ฮอร์โมนหลั่งสม่ำเสมอ จึงเป็นศิลปะในการใช้ชีวิตอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

ทำไมความสุขมาจากฮอร์โมนแค่ 3 ตัว?

ต้องขอกล่าวก่อนว่า ในทางวิทยาศาสตร์ เวลาคนเรามีความสุข ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนออกมาเยอะแยะมากมาย เรียกว่ามีฮอร์โมนที่เป็นตัวประกอบมากถึง 100 ชนิดเลยทีเดียว เพียงแต่ 3 ฮอร์โมนดังกล่าวนี้ ถือเป็นหนึ่งในตัวละครหลักที่สำคัญที่สุด เพราะมัน ‘ครอบคลุม’ ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการแค่จะมีความสุข 

นอกจากนี้ การจดจำ 3 ฮอร์โมนดังกล่าวยังอำนวยความสะดวกในการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงด้วย เพราะสอดคล้องกับสมองของคนเราที่มักจำอะไรเป็นกลุ่มได้ไม่เกิน ‘3 อย่าง 3 เรื่อง 3 ประเด็น’ ลองนึกภาพว่า ถ้าเราต้องจดจำฮอร์โมนมากถึง 20 ชนิดแบบละเอียดยิบ เราคงจะยอมแพ้แล้วรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก การโฟกัสเฉพาะตัวละครหลักที่สำคัญและครอบคลุมรอบด้านจึงค่อนข้างเพียงพอแล้วำสำหรับคนส่วนใหญ่

โรเบิร์ต วาลดิงเจอร์ (Robert Waldinger) หัวหน้าทีมวิจัยเรื่องความสุขจาก Harvard University ได้เปิดเผยผลสำรวจที่กินเวลานานกว่า 75 ปี ครอบคลุมผู้คนกว่า 2,000 คน สรุปเรื่องการเข้าใจความสุขสั้นๆ แต่เรียบง่ายว่า การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง และขณะเดียวกันตัวเองก็มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วย นำมาสู่ความสุขพึงพอใจกับชีวิตในคนๆ นั้น แถมช่วยชะลอวัยทำให้อายุยืนยาวขึ้นด้วย (ซึ่งความสัมพันธ์และสุขภาพ มาจากการหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนินและออกซิโทซินโดยตรง) 

โอบรับวิทยาศาสตร์ความสุขสู่ชีวิตจริง

และแล้วก็มาถึงการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ความสุขมาสู่ชีวิตจริงให้ได้ ตัวละครหลักอย่างฮอร์โมนทั้ง 3 ตัวนี้ บอกเราว่า กรณีไม่สามารถมีได้ครบทุกอย่าง อย่างน้อย ขอให้มีเซโรโทนินไว้พอ นั่นคือ หมั่นดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง ประโยคเหล่านี้อาจเป็นคำเชยๆ ที่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เป็นข้อเท็จจริงที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย 

อย่างเช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่ว่าจะเดิน วิ่ง เข้าฟิตเนส เพราะมนุษย์วิวัฒนาการมาให้เคลื่อนไหวออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไป ‘ตลอดชีวิต’ การออกกำลังกายไม่ใช่งานอดิเรก กิจกรรมเสริม หรือไลฟ์สไตล์คนเมือง แต่เป็นเสาหลักของมนุษย์ทุกคน

การออกกำลังกายยังช่วยเรื่องสุขภาพจิตของมนุษย์ด้วย เช่น เมื่อเราออกกำลังกายมากพอ เราจะอดทนต่อสถานการณ์ความกดดันได้ดีขึ้น หรือพูดง่ายๆ ได้ว่า ยิ่งออกกำลังกายเยอะ ยิ่งต้านเครียดได้มากเท่านั้น

ทั้งนี้ ไม่ได้บอกว่าความสุขที่เกิดจากฮอร์โมนโดพามีนเป็นสิ่งไม่ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอาศัยอยู่ในโลกทุนนิยมที่ต้องมีการแข่งขันไปสู่เป้าหมายด้วยกันทั้งนั้น แต่ให้เตือนสติตัวเองว่า โดพามีนจากความสุขที่ไปถึงเส้นชัยนี้เป็นเรื่องชั่วคราวและไม่ทรงพลังเท่าความสุขจากเซโรโทนินและออกซิโทซิน ไม่แปลกที่เราพอจะได้ยินเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการงาน แต่ทำสุขภาพและความสัมพันธ์ตกหล่นไประหว่างทาง ไม่นานนักหลังวิ่งเข้าเส้นชัยไปแล้ว เขากลับรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่าและเหมือนจะค้นหาความหมายในชีวิตไม่เจอ

ในอีกมุมหนึ่ง หรือว่าเราสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องเอื้อมไขว่คว้า ออกเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล หรือตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เสมอไป? เพราะมันอาจมาจากการโทรนัดเพื่อนรักเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน? การไปกล่าวขอโทษซึ่งต่อเพื่อนบ้านที่เคยผิดใจกัน? หรือการไปเดินเล่นในสวนสาธารณะกับครอบครัวในวันหยุด?

สูตรความสุขอาจเป็นการที่ เราแค่ต้องเอาสุขภาพร่างกายตัวเองให้รอดก่อน มีน้ำใจกับผู้อื่นสร้างมิตรภาพกับคนรอบตัว ตั้งเป้าหมายที่มีความหมายและเกิดประโยชน์แก่สังคม 

บางทีเมื่อวิทยาศาสตร์ความสุขถูกเปิดเผยออกมา การมีความสุขก็ดูเป็นเรื่องเรียบง่ายอย่างเหลือเชื่อ…

อ้างอิง

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4449495/#:~:text=Serotonin%20is%20a%20neurotransmitter%20that,serotonin%20available%20to%20brain%20cells.

https://www.healthline.com/health/happy-hormone#exercise

https://www.ted.com/talks/robert_waldinger_what_makes_a_good_life_lessons_from_the_longest_study_on_happiness

https://www.nationalgeographic.com/premium/article/happy-hormones-dopamine-serotnin-endorphins-natural

Tags:

สุขภาพกายใจการใช้ชีวิตฮอร์โมนวิทยาศาสตร์ความสุขความสมดุล

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to enjoy life
    ความท็อกซิกไม่ได้ถูกสร้างในวันเดียว ถอนพิษด้วยการรู้ทันความต้องการตนเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    Joie de Vivre: เพลินใจกับสิ่งรอบตัว ปลดปล่อยแผนการสุดรัดกุม ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะแบบชาวฝรั่งเศส

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    ลากอม (Lagom): ความพอดีแบบสวีเดนที่มาแตะไหล่ให้เราพอใจกับสิ่งที่มี

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • ‘Bai Lan’ เมื่อชีวิตไม่อยากทำอะไร นอกจากการตื่นสายและใช้ชีวิตไปวันๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Myth/Life/Crisis
    สารจากรูปแบบความสัมพันธ์กับสิ่งของ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

ไร้ประโยชน์ ก็ใช่ว่าไร้ค่า: บ้านที่มีแมวขี้โกหก กับหมาในจินตนาการ
Book
3 February 2024

ไร้ประโยชน์ ก็ใช่ว่าไร้ค่า: บ้านที่มีแมวขี้โกหก กับหมาในจินตนาการ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘บ้านที่มีแมวขี้โกหก กับหมาในจินตนาการ’ เป็นหนังสือผลงานของ เทราจิ ฮารุนะ ที่ชวนให้เราขบคิดถึงคำถามเชิงปรัชญาที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร?
  • หนังสือเล่าเรื่องราวของ ‘ฮาเนะโกะ ยามาบุกิ’ ผู้อยู่ในครอบครัวที่เรียกได้ว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’ และใช้ชีวิตกับคำโกหกหลอกลวงด้วยเหตุผลต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ที่สมบูรณ์แบบอยู่ที่ว่าเราจะยอมรับและจัดการกับความบกพร่องของตัวเราเองได้แค่ไหน
  • ถ้าเราเกิดมาเพื่อสร้างคุณค่าและประโยชน์ให้แก่สังคม แล้วคนที่เกิดมาโดยไม่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ใครเลย คนแบบนี้มีสิทธิจะอยู่บนโลกใบนี้หรือไม่ แต่แท้จริงแล้ว ทุกชีวิตที่เกิดมา ก็ล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะก่อประโยชน์ให้ใครหรือไม่ก็ตาม

ปกสวยๆสีหวานๆ กับชื่อเรื่องยาวๆตามเทรนด์ยุคนี้ว่า ‘บ้านที่มีแมวขี้โกหก กับหมาในจินตนาการ’ อาจชวนให้เข้าใจว่า หนังสือเล่มนี้จัดอยู่ในหมวดไลท์โนเวล หรือไม่ก็นิยายสมัยนิยมของวัยรุ่น

แต่จริงๆ แล้ว หนังสือผลงานของ เทราจิ ฮารุนะ นักเขียนรุ่นใหม่ชาวญี่ปุ่นเล่มนี้ อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาที่ชวนให้เราขบคิดถึงคำถามเชิงปรัชญาที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่ง – เราเกิดมาเพื่ออะไร?

จากประวัติศาสตร์ยาวนานหลายแสนปีของมนุษยชาติ มีคนพยายามหาคำตอบให้กับคำถามนี้ ไม่ว่าจะเป็น…

เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม เกิดมาเพื่อพัฒนาตัวเอง เกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดีๆให้แก่โลกและเพื่อนมนุษย์ หรือแม้กระทั่งเกิดมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ ที่นำมนุษย์ไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม

จะเห็นว่าคำตอบส่วนใหญ่ของคำถามนี้ จะให้น้ำหนักไปที่การสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม สังคม คนรอบข้าง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ชวนให้ขบคิดต่อไปว่า แล้วคนที่เกิดมาโดยไม่ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ใครเลย คนที่มีลมหายใจอยู่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของใครดีขึ้น คนแบบนี้มีสิทธิจะอยู่บนโลกใบนี้หรือไม่

และนี่คือ แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้

ฮาเนะโกะ ยามาบุกิ อาศัยอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางที่ค่อนข้างมีฐานะ ในเมืองเล็กๆ ชื่อ ชิโอะฟุริ แต่ผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น ‘คนไม่ได้เรื่อง’ ทั้งสิ้น

เริ่มจาก ‘ปู่’ ผู้เต็มไปด้วยความฝันสารพัดโปรเจ็กต์ แต่ไม่เคยลงมือทำได้สำเร็จสักอย่าง ‘ย่า’ ผู้แต่งเรื่องโกหกได้คล่องปาก โดยอ้างเหตุผลว่า ลูกค้าต้องการสินค้าที่มี ‘สตอรี่’ 

ส่วน ‘แม่’ ก็กลายเป็นคนสติเลื่อนลอย หลังการสูญเสียลูกชายคนเล็กไปในอุบัติเหตุ ขณะที่ ‘พ่อ’ ผู้ไม่เป็นโล้เป็นพายในทุกๆ เรื่อง ทั้งหน้าที่การงานและเรื่องครอบครัว เลือกใช้วิธีหลบหนีปัญหาด้วยการไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น จนกลายเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาของคนทั้งเมือง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ‘เบนิ’ พี่สาวของยามาบุกิ จะพูดอยู่บ่อยๆ ว่า บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ไม่ได้เรื่อง และสิ่งเดียวที่เธอต้องการ คือ โตเป็นผู้ใหญ่โดยเร็ว เพื่อจะได้ทิ้งครอบครัวไม่ได้เรื่อง ออกไปใช้ชีวิตของตัวเองได้

ใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ที่สมบูรณ์แบบ คนทุกคนล้วนบกพร่อง ชำรุดทรุดโทรม แหว่งวิ่นฉีกขาด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับและจัดการกับความบกพร่อง ชำรุดทรุดโทรม หรือแหว่งวิ่นฉีกขาดของตัวเราเองได้แค่ไหน

หรืออาจพูดอย่างหนึ่งก็ได้ว่า เราจะมองเห็นคุณค่าในตัวเองได้มากน้อยเพียงใด ท่ามกลางความไร้ค่าเปล่าประโยชน์ของชีวิต

ขณะที่ปรัชญาเมธีและผู้นำทางความคิดในโลกยุคโบราณ คร่ำเคร่งกับการค้นหาว่า ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร นักคิดนักเขียน และนักปรัชญาในยุคสมัยใหม่ จำนวนไม่น้อยเลย เชื่อว่า ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่ออะไรเลย

หนึ่งในนั้นก็คือ อัลแบร์ กามูส์ นักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลชาวฝรั่งเศส ผู้ประกาศว่า ชีวิตคือความไร้แก่นสาร (Absurdity) 

กามูส์ เติบโตมาในห้วงเวลาที่โลกถูกแผดเผาด้วยไฟสงคราม พ่อของเขาตายในสนามรบขณะที่เขาอายุเพียง 2 ขวบ ในช่วงวัยเด็ก กามูส์ชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล เขามีความฝันจะเป็นนักฟุตบอล แต่เมื่อหมอวินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็นวัณโรค พรสวรรค์และความมุ่งมั่นของกามูส์ ก็พังทลายในพริบตา

ชีวิตช่างไร้แก่นสารเสียเหลือเกิน

ในช่วงวัยหนุ่ม กามูส์ ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักคิด และนักเขียน ผลงานหนังสือของเขา มุ่งไปที่การตั้งคำถามถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต โดยเน้นไปที่ความเป็นปัจเจก และเจตจำนงเสรี ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1957 ทว่า หลังจากนั้นไม่กี่ปี กามูส์ ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในช่วงชีวิตกำลังรุ่งโรจน์

ชีวิตช่างไร้แก่นสารเสียเหลือเกิน เพียงชั่วกระพริบตาของห้วงเวลา ชีวิตหนึ่งดับสูญ 

ไม่ว่าชีวิตนั้นจะมีค่านิยม ศรัทธาความเชื่อ หรืออุดมการณ์อันสูงส่งเพียงใด สุดท้าย ชีวิตก็ไร้แก่นสารใดๆ ให้ยึดถือ

แม้ว่าชีวิตและผลงานของกามูส์ จะบอกกับเราว่า ชีวิตคือความไร้แก่นสาร แต่เขาไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยไร้สาระ ตรงกันข้าม กามูส์ เชื่อว่า ชีวิตเกิดมาเพื่อมีความสุข โดยเฉพาะความสุขที่แท้จริง ที่มิใช่ความสำราญเริงรมย์ไปวันๆ

ความสุขที่แท้จริงในความหมายของกามูส์ คือ 1 อยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง 2 หลุดพ้นจากความทะเยอทะยาน 3 มีความคิดสร้างสรรค์ และ 4 จงรักใครสักคน

ท้ายที่สุดแล้ว กามูส์ พยายามบอกกับเราว่า ชีวิตไม่ได้ไร้แก่นสารหรอก แต่เปลือกของมันต่างหาก ที่ไร้แก่นสารให้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์อันสูงส่ง ศรัทธาอันแรงกล้า หรือความมุ่งมาดปรารถนาใดๆ ซึ่งหากลอกเปลือกอันไร้สาระเหล่านั้นออกไป เราจึงจะค้นพบคุณค่าและความหมายของชีวิต

…..

ยามาบุกิ ตัวละครเอกในหนังสือเล่มนี้ น่าจะเป็นอีกคนที่คุ้นเคยความไร้แก่นสารของชีวิต เขาเติบโตมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยคนไม่ได้เรื่อง ขณะที่ตัวเองก็ไม่ต่างจากสมาชิกคนอื่นๆ เขาเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง ไม่มีความสามารถหรือพรสวรรค์ใดๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีความโดดเด่น ไม่มีใครสนใจ ไม่ต่างจากอากาศธาตุ

ยามาบุกิ อยากเลี้ยงหมามาตั้งแต่เด็ก แต่ทำได้แค่เพียงเลี้ยงหมาในจินตนาการ ใช้สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเป็นที่พึ่งทางใจ โดยที่ตัวเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การทำแบบนี้เป็นเรื่องไร้แก่นสารหรือเปล่า

ตอนเด็กๆ ยามาบุกิ ไม่ชอบทั้งชื่อและนามสกุลของตัวเอง เขาคิดว่า ชื่อ ยามาบุกิ เป็นชื่อที่โบราณล้าสมัย ส่วนนามสกุลฮาเนะโกะ ซึ่งแปลว่า แมวมีปีก ก็เป็นนามสกุลที่ถูกชาวเมืองเรียกขานลับหลังว่า บ้านแมวขี้โกหก ด้วยความที่สมาชิกในบ้านหลังนี้ ล้วนมีพฤติกรรมที่ชวนให้เข้าใจว่า เป็นคนขี้โกหก

แน่นอนว่า การโกหกไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ตามมาตรฐานชี้วัดศีลธรรมอันดีงาม แต่ในความเป็นจริง จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดเต็มปากว่า ไม่เคยโกหกเลยสักครั้งในชีวิต 

ยิ่งไปกว่านั้น จะมีใครที่กล้าตัดสินว่า การพูดความจริงที่ทำให้คนฟังต้องเจ็บปวด กับการโกหกที่ทำให้คนอื่นรู้สึกมีความสุข อย่างไหนจะดีกว่ากัน

ย่าของยามาบุกิ เคยพูดว่า บางครั้ง คำโกหกก็เป็นยาได้เหมือนกัน เธอเปิดร้านขายของกระจุกกระจิกที่ล้วนแต่มี ‘สตอรี่’ ที่เพ้อฝันเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ที่แปะป้ายว่า ยาที่กินแล้วจะลืมความเจ็บปวด หรือสร้อยไข่มุกปลอมประดับแอเมทิสต์ ซึ่งย่าบอกกับลูกค้าว่า เป็นสร้อยคอแห่งความรัก เพราะคนทำสร้อยเส้นนี้ ขุดหาแอเมทิสต์ทุกเม็ดมาด้วยมือตัวเอง เพื่อร้อยเป็นสายสร้อยให้กับหญิงสาวคนรัก

คำพูดของย่า ควรเรียกว่า คำโกหกหลอกลวง หรือเป็นแค่การเล่าเรื่องสนุกๆ ที่ลูกค้าชอบฟัง และรู้กันดีอยู่แล้วว่า เป็นแค่เรื่องในจินตนาการ

แม่ของยามาบุกิ ซึ่งทำใจไม่ได้กับการสูญเสียเซจิ ลูกชายคนเล็ก เลือกที่จะหลอกตัวเองว่า ลูกยังไม่ได้จากไปไหน เพียงแค่ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน อีกสักประเดี๋ยวก็จะกลับมากินข้าวเย็นที่เธอเตรียมไว้

การหลอกตัวเองของแม่ เป็นการโกหก หรือเป็นการเยียวยาจิตใจ ที่ช่วยให้เธอรอดพ้นจากความจริงอันโหดร้ายได้

ยามาบุกิ เกลียดการโกหก แต่เขาเต็มใจโกหกเพื่อความสบายใจของแม่ ทุกครั้งที่แม่เที่ยวเดินตามหาเซจิ เขาจะคอยตอบว่า น้องไปเดินเล่นกับพ่อบ้าง หรือกำลังเล่นอยู่ข้างนอกบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ยามาบุกิ โกหกแม่ว่า เซจิ ย้ายไปอยู่กับลุง ที่รับอุปถัมภ์และส่งให้เรียนโรงเรียนชื่อดัง ยามาบุกิ ทำถึงขนาดเขียนจดหมายแทนน้องชายผู้ล่วงลับ ส่งมาถึงแม่เป็นประจำ เพื่อให้แม่สบายใจว่า ลูกชายคนนี้ยังสบายดี

แน่นอนว่า การไม่พูดความจริงของยามาบุกิ คือ การโกหก แต่ใครจะกล้าบอกว่า นั่นคือสิ่งผิด 

…..

หนังสือเรื่อง ‘บ้านที่มีแมวขี้โกหก กับหมาในจินตนาการ’ แบ่งออกเป็น 7 บท โดยที่แต่ละบท เกิดขึ้นในช่วงเวลาห่างกัน 5 ปี ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการการเติบโตของยามาบุกิ จากเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ในบทแรก กลายเป็นผู้ใหญ่วัย 34 ปี ในบทสุดท้าย

ในขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นยามาบุกิ ค่อยๆ ค้นพบคำตอบของคำถามว่า “เราเกิดมาทำไม”

ครั้งหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่ม ยามาบุกิ ซึ่งย้ายออกจากบ้านไปเรียนที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้มีโอกาสนั่งคุยกับย่า ผู้ซึ่งกำลังเย็บผ้ากิโมโนอย่างขะมักเขม้น

“เข็มกลัดเนี่ยมีประโยชน์อะไรเหรอ” ยามาบุกิ หมายถึงเข็มกลัดที่เป็นสิ่งประดับ

“ถูกต้อง ไม่มีประโยชน์อะไรเลย” ย่าพูดอย่างเย็นชา “เหมือนแกนั่นล่ะ”

“แกน่ะเป็นเด็กที่ไม่มีประโยชน์อะไรต่อสังคมเลย” ย่าพูดย้ำ “แต่ใช่ว่าจะเป็นเหตุผลให้ยามาบุกิไม่ควรมีตัวตนบนโลกนี้เสียเมื่อไร”

“หมายความว่า ผมเป็นคนที่ควรมีตัวตนบนโลกใบนี้เหรอ” ยามาบุกิ ถาม

“ก็ใช่น่ะสิ เพราะแกเป็นหลานสุดน่ารักของย่าไงล่ะ”

ครั้งหนึ่ง ในช่วงวัยผู้ใหญ่ ยามาบุกิ ได้มีโอกาสนั่งคุยกับพ่อ บทสนทนาของทั้งคู่ พาย้อนอดีตไปถึงเรื่องสวนสนุก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ปู่ใฝ่ฝันอยากจะสร้างขึ้น แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่เรื่องขี้โม้ในความคิดของชาวเมือง

“สวนสนุกที่ว่าน่ะ เอาเข้าจริงก็เป็นของที่ไม่จำเป็นใช่มั้ยล่ะ… ถึงไม่มีสวนสนุกก็ไม่มีใครตาย” พ่อพูด

“แต่ก็นะ… โลกที่ไม่มีสวนสนุกก็คงน่าเบื่อแย่”

…..

แน่นอนว่า หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่ตำราทางวิทยาศาสตร์ ที่มีข้อสรุปชัดเจนว่า สุดท้ายแล้ว เราทุกคนเกิดมาเพื่ออะไร

แต่อย่างน้อยที่สุด เรื่องราวของยามาบุกิ ฮาเนะโกะ ก็บอกกับเราว่า ทุกชีวิตที่เกิดมา ล้วนมีคุณค่าในตัวของมัน ไม่ว่าชีวิตนั้นจะสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมหรือไม่

ชีวิตของคนธรรมดา ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษใดๆ ไม่ได้มีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ ก็ยังมีคุณค่าในการดำรงอยู่ หากชีวิตนั้นยังเป็นที่รักของใครสักคน

Tags:

ความไม่สมบูรณ์แบบชีวิตการใช้ชีวิต

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill): เมื่อการไขว่คว้าพาเรากลับมาที่จุดเดิมเสมอ

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    คาบเรียนจริยปรัชญา: เมื่อคำถามชีวิตตอบในการ์ตูน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • How to enjoy life
    ‘ดื้ออีกนิด ไปต่ออีกหน่อย’ กับ ซิสุ (Sisu) ปรัชญาชีวิตของชาวฟินแลนด์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

ไม่ต้องรักลูกทุกคนเท่ากันก็ได้ แต่อย่าใจร้ายกับลูกคนไหนเลย
Dear Parents
2 February 2024

ไม่ต้องรักลูกทุกคนเท่ากันก็ได้ แต่อย่าใจร้ายกับลูกคนไหนเลย

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • น้ำหนักของความรักอาจเป็นเรื่องยากที่จะชั่งตวงวัด ความรู้สึกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันจึงเป็นปัญหาของหลายๆ บ้าน แต่สิ่งที่กรีดทับลงไปบนความรู้สึกของเด็กคือการแสดงออกของพ่อแม่ และที่ร้ายกว่านั้นคือ คำพูดเชือดเฉือน ซึ่งได้สร้างบาดแผลในใจให้กับลูกอย่างที่สุด

ผมมีความรู้สึกมาทั้งชีวิตว่าในจำนวนลูกทั้งสามคน พ่อรักผมน้อยที่สุด

แน่นอนว่าผมเคยระบายความทุกข์นี้กับใครหลายคน และเกือบทั้งหมดให้คำอธิบายอย่างเรียบง่ายว่า “เพราะเธอคือลูกคนกลางไง”

แม้ว่าคำตอบนี้จะไม่ผิดจากที่คาดไว้ เพราะตัวผมเองก็พอรู้ว่าลูกคนกลางมีแนวโน้มที่จะเป็น ‘ลูกชัง’ ประจำบ้าน (มากกว่าพี่หรือน้อง) แต่ผมก็ไม่อาจสามารถปรับใจให้ยอมรับกับความอยุติธรรมนี้ได้สักครั้ง

ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ เวลาอยากได้อะไร พ่อก็ซื้อให้ผมเทียบเท่ากับพี่น้อง แต่สิ่งที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยคือทำไมผมต้องได้สิทธิเป็นคนเลือกคนสุดท้ายหรือทำไมผมต้องยอมพี่ยอมน้องก่อนเสมอ เพราะถ้าวันนั้นไม่ใช่วันเกิด ไม่มีเลยสักครั้งที่ผมจะมีโอกาสได้เลือกของขวัญเป็นคนแรก

ยกตัวอย่างเช่น ตอนพ่อแม่ซื้อดินสอกดเพื่อเอาไปใช้เขียนหนังสือที่โรงเรียน สมัยนั้นพวกเราจะชอบอวดเครื่องเขียนต่างๆ กับเพื่อนๆ แต่ผมแทบไม่มีช่วงเวลานั้นเลย แถมยังโดนหัวเราะเอาด้วย เพราะผมได้ดินสอกดพาวเวอร์เรนเจอร์สีชมพูหวานแหววเพียงแท่งเดียว ต่างกับพี่ชายที่ได้สีแดงกับสีเขียว

ส่วนน้องสาว ผมจำได้ดีไม่ลืมว่าพ่อของผมมักสอนให้ผมใจดีเมตตาน้อง ซึ่งผมก็ยินดีเสมอ แต่ผมไม่เข้าใจว่าของเล่นบางชิ้นที่ผมรักมากๆ อย่างดาบจากการ์ตูนเรื่องธันเดอร์แคทที่ผมมักนำมากวัดแกว่งคนเดียวเพื่อต่อสู้กับปีศาจในจินตนาการ ก็ถูกพ่อยึดและไม่เคยได้คืนอีก หลังจากน้องมาขอแต่ผมไม่ให้ ซึ่งผมผิดตรงที่อาจไปผลักน้องจนร้องไห้ แต่ผมก็ไม่เข้าใจพ่ออยู่ดี แม้ว่าวันนี้ผมเองก็อยู่ในวัยที่พร้อมเป็นพ่อคนได้แล้ว

นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น เพราะถึงจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ผมมักเป็นคนที่พ่อบอกหรือแจ้งเรื่องอะไรช้าที่สุดอย่างเคย ไม่ว่าจะไปเที่ยว ทำธุระสำคัญ หรือแม้แต่สอบถามสารทุกข์สุขดิบ เรียกได้ว่าผมน้อยใจสุดๆ ที่โดนกระทำราวกับเป็นคนที่ไม่สลักสำคัญอะไร

ส่วนเหตุการณ์นอกบ้าน ผมก็มักถูกมองข้ามความสำคัญเสมอ โดยเฉพาะการที่ผมต้องใช้ชีวิตท่ามกลางการบูลลี่ตั้งแต่ป.5 จนถึงม.6 ในโรงเรียนเดิมกับปัญหาเดิมๆ ที่พ่อมองว่าเป็นเพราะผมเกเรบ้าง (ทั้งที่ผมติ๋มสุดๆ แต่พ่อมักมองว่าเด็กที่เรียนไม่เก่งคือเด็กเกเร) หรือการกลั่นแกล้งรังแกกันเป็นเรื่องธรรมดาของทุกโรงเรียนที่ผมต้องผ่านไปให้ได้ เพราะปัญหาของผู้ใหญ่หนักหนาสาหัสกว่านี้เยอะ ซึ่งจนวันนี้ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าปัญหาของผู้ใหญ่ที่ว่าหนักนั้นคืออะไร แล้วคำว่าหนักของพ่อกับผมมันวัดกันได้จริงหรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นปัญหาที่น้องสาวของผมโดนบูลลี่ พ่อกับแม่ไม่เคยนิ่งเฉยและมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการโทรศัพท์บอกครูประจำชั้นให้แก้ไขปัญหาให้น้อง ซึ่งใจหนึ่งผมก็ยินดีกับน้อง แต่อีกใจผมก็แหลกสลายเช่นกัน

อันที่จริงนอกจากคำพูดจากคนรอบข้างที่บอกว่า “เพราะเธอเป็นลูกคนกลางไง” อีกสิ่งที่ผมได้ยินจากเพื่อนที่รู้ใจที่สุดคือคำว่า “ที่เราเป็นทุกข์นั่นเพราะเราชอบเปรียบเทียบกับพี่น้องไง” 

ที่จริงผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่พ่อจะใจร้ายกับผมไปทั้งหมด แต่มาตรฐานการเลี้ยงดูที่พ่อมีให้ผมมันต่ำกว่าที่พ่อมอบให้กับพี่น้องของผมจริงๆ และถึงวันนี้ผมก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเสมอ เพราะพ่อยังคงเสมอต้นเสมอปลาย เลือกที่รักมักที่ชัง และต่อให้ผมเปิดใจจนทะลุถึงตาตุ่ม พ่อกับแม่ผมก็ชี้ว่าผมกำลังเล่นใหญ่บ้าง หรือใช้วลีอมตะที่ว่า “นิ้วยังไม่เท่ากันจะให้กูรักพวกมึงเท่ากันได้ยังไง”

ผมอยากใช้ความเจ็บปวดของผมบอกกับพ่อแม่ทุกคนว่า ไม่จำเป็นต้องรักลูกเท่ากันก็ได้ แต่ในบทบาทของการเป็นพ่อแม่ ผมอยากให้พ่อแม่เอาใจลูกมาใส่ใจเราให้มากๆ 

เพราะสำหรับเด็กคนหนึ่ง พ่อแม่ไม่ต่างอะไรกับพระเจ้าที่มีชีวิต ดังนั้นคำพูดและการกระทำทุกอย่างของพ่อแม่จึงเปรียบได้กับพรหรือคำสาปที่อาจส่งผลกระทบอันมหาศาลต่อลูกไปตลอดชีวิต 

และอย่าลืมว่าต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิตหลายอย่างมีจุดเริ่มต้นมาจากครอบครัว

Tags:

ความรักการเลี้ยงลูกครอบครัวลูก

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Playground
    หลานม่า: ในความทรงจำแสนดี คือวิถีที่ลูกหลานอาจต้องทน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel