Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: August 2022

‘โรงเรียนทอสี’ กัลยาณมิตรบนเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กศตวรรษที่ 21: ‘ครูอ้อน’ บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์
Creative learning
10 August 2022

‘โรงเรียนทอสี’ กัลยาณมิตรบนเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กศตวรรษที่ 21: ‘ครูอ้อน’ บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • โรงเรียนทอสีก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยครูอ้อน – บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์ ป้จจุบันเปิดสอนตั้งแต่ระดับเด็กก่อนวัยเรียนอนุบาล และประถม โดยประกาศตัวเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541
  • ไม่ใช่เพียงแค่การนำหลักพุทธศาสนามาปรับใช้กับนักเรียนผ่านวิชาชีวิต แต่รวมถึงการที่คุณครูกับพ่อแม่ต้องมาเรียนรู้วิถีพุทธปัญญาร่วมกัน ภายใต้ความเชื่อที่ว่าสภาพแวดล้อมมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมมนุษย์
  • ปรัชญาของโรงเรียนทอสีคือ ‘สร้างที่พึ่งแห่งตน เร่งฝึกฝนตนเป็นบัณฑิต’ ดังนั้นบทเรียนแรกของเด็กคือการดูแลตัวเอง ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของวิชาทั้งหลายที่จะทำให้เด็กแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

ลึกเข้ามาในซอยปรีดีพนมยงค์ 41 ผมมาถึงโรงเรียนทางเลือกที่ผู้ปกครองหลายคนอยากให้ลูกได้เริ่มต้นเส้นทางการเรียนรู้อย่างมีความสุข ภาพของเด็กประถมที่นำภาชนะจานชามมาล้างท่ามกลางรอยยิ้มและสีหน้าที่สดใส คือความประทับใจแรกระหว่างที่นั่งรอเวลาเพื่อสัมภาษณ์พิเศษ ‘ครูอ้อน’ บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์ ครูใหญ่โรงเรียนทอสี ถึงความเป็นมาเป็นไปของ ‘วิถีพุทธปัญญา’ ว่ามีความจำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ แค่ไหนภายใต้การเปลี่ยนแปลงพลิกผันของโลกในศตวรรษที่ 21 

‘ครูอ้อน’ บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์ ครูใหญ่โรงเรียนทอสี

 วิชาสัมมาทิฐิ ‘สุขง่าย ทุกข์ยาก’

โรงเรียนทอสีก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533  โดยมี ‘ครูอ้อน’ ผู้จบปริญญาโทด้านจิตวิทยาเด็กรับหน้าที่เป็นครูใหญ่ เธอบอกว่าจุดมุ่งหมายแรกของการทำโรงเรียนคืออยากให้เด็กมีความสุขกับการเรียนรู้และการมาโรงเรียน

“ตอนเปิดโรงเรียนครั้งแรก มีนักเรียนอยู่ 6 คน จากนั้นก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ปีที่ 6-7 ผู้ปกครองก็เริ่มเรียกร้องให้เปิดแผนกประถมด้วย ซึ่งถ้าถามครู ครูก็อยากเปิดนะ แต่การสอนนักเรียนชั้นอนุบาลกับประถมมันมีความแตกต่างกันพอสมควร ดังนั้นเราจึงจัดประชุมโดยเชิญผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ทางการศึกษา เพื่อนฝูงที่ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ คนรู้จักที่สนใจมาร่วมวงสนทนาว่าโรงเรียนประถมที่ดีมีคุณภาพควรเป็นอย่างไร”

สิ่งที่ผมสนใจก่อนที่จะข้ามไปสู่บทสรุปของการขยายโรงเรียนสู่ระดับประถม คือครูอ้อนยอมรับว่าตั้งแต่เล็ก เธอแทบไม่มีความรู้ความเข้าใจด้านพุทธศาสนา เพราะตอนเรียนหนังสือก็เรียนในโรงเรียนคริสต์ กระทั่งพอเปิดโรงเรียนทอสีมาได้พักหนึ่ง ได้เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ชยสาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ จึงได้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา และได้เริ่มปฏิบัติธรรม ท่านอาจารย์ได้เข้าร่วมประชุมและได้อธิบายหลักการพัฒนามนุษย์ตามหลักไตรสิกขาซึ่งครูอ้อนไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าการจัดการการศึกษาที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่จัดการศึกษาแค่เพื่อมีความรู้ไปประกอบอาชีพ แต่ต้องจัดการศึกษาที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม เป็นการพัฒนาทั้งชีวิต ครอบคลุมทั้งด้านพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา การศึกษาและพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องเดียวกัน การศึกษาที่ถูกต้องจะต้องทำให้คนมีปัญญา มีสัมมาทิฐิ เป็นคนที่สุขง่าย ทุกข์ยาก ไม่ใช่คนที่สุขยาก ทุกข์ง่าย

“พุทธศาสนามีหลักการที่ชัดเจนว่า เด็กจะมีความสุขที่มั่นคงได้ต้องมีทั้งคุณภาพและสมรรถภาพจิตที่ดี นั่นคือเด็กต้องมีความอดทน ใจสู้  มีสติ มีความใฝ่รู้ใฝ่ดี พากเพียร  เป็นต้น 

ดังนั้น จากความตั้งใจแรกที่อยากให้นักเรียนมาโรงเรียนอย่างมีความสุข  สนุกกับการได้ลงมือทำกิจกรรม แค่นั้นยังไม่พอ เราต้องทำให้เขาเข้าใจด้วยว่าเขามาโรงเรียนทำไม เขามีชีวิตเพื่ออะไร ไม่ใช่แค่เล่น กิน นอน สนุกไปวันๆ แม้ว่าเขาจะยังเล็ก เราต้องทำให้เขารู้ว่า เขาเกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์และความสุขให้กับตัวเองและผู้อื่น เช่น ฝึกให้เด็กเล็กๆ ดูแลตัวเอง จัดกระเป๋า ถือกระเป๋า ใส่ถุงเท้า ผูกเชือกรองเท้าด้วยตัวเอง พร้อมช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังความสามารถ เราต้องทำให้เขามี mindset ที่ถูกต้องตั้งแต่เด็กๆ ว่า คนเราใช่ว่าเกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐทันที หากเราจะประเสริฐได้ก็ด้วยการฝึกตน มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉานที่ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ฉะนั้น การฝึกและฝืนตนจึงเป็นเรื่องสำคัญมากของการเป็นมนุษย์ นี่คือสิ่งที่ครูได้เรียนรู้เมื่อศึกษาพุทธปัญญา” 

หลังจากประชุมกับผู้บริหารและได้รับแนวทางจากพระอาจารย์ชยสาโร ในฐานะองค์ประธานที่ปรึกษาแล้ว ครูอ้อนจึงตัดสินใจทำโรงเรียนระดับประถมศึกษา พร้อมประกาศว่าโรงเรียนทอสีเป็นโรงเรียนวิถีพุทธในปี พ.ศ.2544

วิชาชีวิต ‘สร้างที่พึ่งแห่งตน’ 

“เมื่อเด็กเบื่อที่จะเรียนรู้ นั่นคืออันตรายของประเทศชาติ” ครูอ้อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอบอกว่าหลักการของพระพุทธเจ้านั้นทำได้จริง ไม่ล้าสมัย และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้ทุกวัย

“ปรัชญาของโรงเรียนทอสีคือ ‘สร้างที่พึ่งแห่งตน เร่งฝึกฝนตนเป็นบัณฑิต’ ดังนั้นบทเรียนแรกของเด็กคือการดูแลรับผิดชอบตัวเอง ซึ่งถือเป็นฐานของการเรียนรู้ และถือเป็นเบื้องต้นของบทเรียนในการสร้างศรัทธาในตนเองที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า self esteem สมัยแรกๆ เราไม่ได้สนใจว่า พ่อแม่จะอุ้มลูกมาส่งถึงโรงเรียนและช่วยถอดรองเท้าให้ลูก แต่เมื่อเราศึกษาพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้เราเข้าใจว่าทุกเวลานาทีคือโอกาสของการเรียนรู้และการพัฒนาเด็กให้มีนิสัยหรือพฤติกรรมคุ้นเคยที่ดีงาม เราต้องฝึกให้เด็กรู้จักพึ่งตัวเองตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียน เพราะการที่เด็กทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เขาย่อมเกิดความภาคภูมิใจและเกิดศรัทธาในตัวเอง ซึ่งความศรัทธาเป็นข้อตั้งต้นของหลักพละ 5 คือธรรมอันเป็นกำลังในทางพุทธศาสนา ดังนั้นกิจวัตรในวิถีชีวิต กิจกรรมที่เราทำทั้งหลายในชีวิตประจำวันล้วนแต่มีที่มาที่ไป ที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาชีวิตทั้งชีวิต จำเป็นต้องเริ่มฝึกตั้งแต่เล็กๆ” 

ครูใหญ่ใจดีอธิบายเพิ่มเติมว่าบทเรียนชีวิตจะต้องเริ่มตั้งแต่เข้ามาในโรงเรียน เด็กทุกคนต้องถือข้าวของแบกเป้ด้วยตัวเอง รวมถึงเรียนรู้การดูแลตัวเองในแบบอื่นๆ เช่น หลังเรียนว่ายน้ำ แทนที่พี่เลี้ยงจะนำชุดว่ายน้ำไปซักและไปตากให้ เด็กทุกคนจะค่อยๆ เรียนรู้วิธีดูแลชุดว่ายน้ำ ซักและตากอย่างไรจึงจะถนอมชุดว่ายน้ำ บทเรียนในวิถีชีวิตเหล่านี้ บูรณาการสารพัดวิชาทั้งภาษา วิทยาศาสตร์ เลข  เป็นบทเรียนที่เป็นธรรมชาติ ท้าทายและที่สำคัญยิ่งคือทำให้เขาเห็นศักยภาพของตัวเอง

สำหรับวิชาที่บรรจุในหลักสูตรของนักเรียนแต่ละชั้น นอกจากมีสาระวิชาการตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว วิชาชีวิตดูจะเป็นสิ่งที่โรงเรียนทอสีให้ความสำคัญ จนกลายเป็นที่มาของชื่อหลักสูตรเท่ๆ เช่น หลักสูตรเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ที่มี 12 บทเรียน เช่น ป.1 มีบทเรียนที่ชื่อว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนและหนี้ศักดิ์สิทธิ์’ ส่วนป.6 มีบทเรียนที่ชื่อว่า ‘โลกรอดได้เพราะกตัญญู’ และปิดท้ายด้วย ‘บทเรียนแกะสลักชีวิต’  

“การศึกษาที่ผ่านมามุ่งเอาความรู้ทางวิชาการเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาชีวิตหรือการพัฒนาด้านนอกคือเรื่องพฤติกรรม และการพัฒนาด้านใน คือจิตใจและปัญญาของมนุษย์เป็นตัวตั้ง ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นการเรียนรู้แบบแยกส่วน คือเรียนรู้แต่สิ่งนอกตัวเท่านั้น ไม่ได้เชื่อมโยงกลับมาที่ตัวผู้เรียนเพื่อพัฒนาชีวิตตนเอง  

จึงกลายเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้งหมด ทั้งเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม กระทั่งย้อนกลับมาทำลายซึ่งกันและกันอย่างในปัจจุบัน”

หลักสูตรเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวนี้  ผมขออนุญาตหยิบยกมาสัก 2 บทเรียน ที่ผมรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษ คือ บทเรียนที่ชื่อว่า กัลยาณมิตร ของนักเรียนชั้นป.2   

“อันที่จริงบทเรียนนี้ ครูเองก็เพิ่งได้เรียนรู้เมื่อตอนที่ทำหลักสูตรว่า การเป็นกัลยาณมิตรที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่พูดหรือทำแต่สิ่งที่เพื่อนถูกใจ ในกรณีที่มีสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร กัลยาณมิตรที่แท้ต้องกล้าที่จะบอก เตือน หรือให้เสียงสะท้อนอย่างถูกกาลเทศะด้วยคำพูดที่อ่อนโยน แม้ว่าเขาอาจจะโกรธหรือไม่พอใจเรา เป็นต้น”

และอีกหนึ่งบทเรียนของชั้นป.6 ซึ่งเป็นดั่งปัจฉิมนิเทศและวัคซีนที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางใจแก่เด็กๆ บทเรียนแรกคือเรื่องโลกรอดได้เพราะกตัญญู ท่านพุทธทาสบอกว่า หมุดตัวแรกที่ต้องตอกให้กับเด็กๆ คือความกตัญญูกตเวที ที่เราต้องมีต่อบุพการี และผู้มีอุปการคุณทั้งหลาย ซึ่งเราเริ่มเรียนมาตั้งแต่ชั้น ป.2 ที่มีชื่อบทเรียนว่า หนี้ศักดิ์สิทธิ์ และก่อนที่เด็กจะจบชั้นป.6 เราก็กลับมาย้ำอีกทีว่า โลกรอดได้เพราะความกตัญญู   

“ส่วนบทเรียนสุดท้ายของชั้นป.6 มีชื่อว่า แกะสลักชีวิต ครูจะเล่าเรื่องงานแกะสลักม้าอันโด่งดังของไมเคิล แองเจโล่ ซึ่งมีคนถามเขาว่าทำไมถึงแกะม้าได้งดงามเพียงนี้ ไมเคิลก็ตอบเพียงสั้นๆว่า เขาเพียงแค่แกะส่วนที่ไม่ใช่ม้าออกไป ดังนั้นคนเราก็เช่นเดียวกัน หากเราอยากจะให้ชีวิตของเรางดงาม ประสบความสำเร็จ เราก็ต้องแกะสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายออกไป ไม่ว่าจะเป็นนิสัยขี้เกียจขี้คร้าน นิสัยขี้อิจฉา ขี้โมโห ความใจร้อนหรือแม้แต่ขี้น้อยใจและอื่นๆ อีกมากมาย ไม่จำเป็นที่คนเราจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต เพราะสิ่งไม่ดีงามเหล่านี้ มันจรเข้ามาเพราะเราต้อนรับเขา เด็กป.6 จึงต้องทำสมุดพัฒนาตนว่าเขาจะพัฒนาอะไร อย่างไร วางแผนและลงมือทำอย่างจริงจัง”

สำหรับ วิชาชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโรงเรียนนั้น ก็คือการพัฒนาพฤติกรรม จิตใจและปัญญาตามหลักไตรสิกขา ซึ่งแปลงเป็นสัญลักษณ์ 3 อย่าง คือ 0, ∞,  ? (ประธานกรรมการวัดวิมุตติ ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นผู้มอบสัญลักษณ์นี้ให้เป็นของขวัญแก่ครูอ้อน) 

“สัญลักษณ์แรก คือ 0 หรือเลขศูนย์ หรือ Zero Harm หมายถึงการไม่เบียดเบียนกันด้วยกายวาจา

สัญลักษณ์ ∞ หรือ Infinite Compassion หมายถึงการพัฒนาจิตใจ การฝึกขยายความเมตตาในวงกว้างขึ้น ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรคพวกตนเอง การมองทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เป็นลูกหลานญาติมิตร ให้ความเอ็นดู ความเมตตา และการฝึกเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

ส่วนสัญลักษณ์สุดท้าย ? หรือ เครื่องหมายคำถาม คือ เมื่อเกิดอะไรขึ้น เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือไม่ และเราจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เพ่งโทษผู้อื่น”

ตัวอย่างกิจกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีวิตอย่างสุดท้ายที่ขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังคือ กิจกรรมการเปิดวงกลม ซึ่งที่โรงเรียนทอสีจะมีวงกลม 4 วง ได้แก่ วงกลมระดมรู้, วงกลมระดมคิด, วงกลมคลายปม และวงกลมกัลยาณมิตร เช่น ก่อนกลับบ้านจะมีการเปิดวงกลมกัลยาณมิตรให้เด็กๆ ขอบคุณ ขอโทษ ชื่นชม หรือตักเตือนกันและกันได้ในช่วงนี้ หรือเป็นโอกาสของการทบทวนเรื่องศีลว่าสามารถรักษาศีลข้อใดได้หรือไม่ได้อย่างไร เป็นต้น 

“วงกลมนี้จะช่วยสอนให้เด็กๆ กล้าเปิดใจ กล้ายอมรับผิด รู้จักขอโทษ เด็กที่นี่จึงขอบคุณเป็น ขอโทษเป็น และรู้จักที่จะให้โอกาสเพื่อน ให้โอกาสตนเอง นอกจากนี้เราฝึกให้เด็กทอสี ชื่นชมผู้อื่นเป็น ที่เรียกว่าการแสดงมุทิตา ซึ่งถ้าคนไทยทำสิ่งนี้เป็น ความอิจฉาริษยาก็ย่อมจะลดลงไปเองโดยธรรมชาติ”  

บทเรียนกัลยาณมิตร ‘เด็ก-ครู-ผู้ปกครอง จูงมือไปด้วยกัน”

ที่โรงเรียนทอสี การบ่มเพาะขัดเกลาเด็กสักคนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ครูประจำชั้นเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของครูและบุคลากรทุกคนในโรงเรียน ที่ต้องทำหน้าที่เป็นครู  

“แม้กระทั่งแม่ครัวก็คือครูที่สอนในเรื่องการทำอาหาร ตลอดจนกิริยามารยาทได้ เพราะเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน จึงจำเป็นที่ผู้ปกครองจะต้องเข้าใจแนวคิดของโรงเรียน และมีส่วนร่วมฝึกลูกตามแนวทางที่โรงเรียนกำหนด อย่างนี้จึงจะเห็นผล และในความเป็นจริง ผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งคือผู้ปกครอง ซึ่งเป็นครูคนแรกของลูก จึงจำเป็นที่ผู้ปกครอง ครูและโรงเรียนจะต้องจับมือกันอย่างเหนียวแน่นในการพัฒนาเด็ก ไม่ใช่ที่โรงเรียนฝึกอย่าง ที่บ้านทำอีกอย่าง อย่างนั้นจะเป็นการสูญเปล่าที่น่าเศร้า”  

สำหรับการคัดเลือกคุณครู โรงเรียนทอสีมีเกณฑ์การคัดเลือกที่ไม่เหมือนใคร “คุณสมบัติข้อแรกๆ คือ ต้องมีอุดมการณ์ที่อยากเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา และมีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาตนเอง ทั้งในเรื่องการสอน และที่สำคัญยิ่งคือการพัฒนาชีวิตและสังคม ซึ่งเราถือว่า ศีล 5 เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยและมีความสุข นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่เราคาดหวังจากผู้สมัครมาเป็นครู ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียน ไม่ใช่พูดอย่างทำอีกอย่าง ต่อหน้าและลับหลังต้องเหมือนกัน ความเคารพนับถือ ให้เกียรติกันระหว่างครูกับลูกศิษย์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 

ดังนั้น การจัดการศึกษาที่นี่ จึงไม่ได้มุ่งพัฒนาเด็กนักเรียนแต่อย่างเดียว ครูและบุคลากรทุกคนรวมถึงผู้ปกครองต้องพัฒนาตนเองไปพร้อมกันกับเด็กๆ ด้วย เราอยากให้คนในชุมชนของเรามีความเป็นนักศึกษาตลอดชีวิต 

สมัยแรกๆ ที่เราเปิดประถม การคัดเลือกครูจะโหดมาก เพราะครูต้องมีความสามารถรอบด้าน เรามีสอบร้องเพลง เคลื่อนไหวตามจังหวะ สอบสมรรถภาพทางกายด้วยการให้วิ่งขึ้นลงบันได ด้านศิลปะด้วยการวาดรูปการประดิษฐ์ ด้านการจัดการเช่นให้จัดเตรียมแซนวิช หรือแม้แต่การซักผ้า เราก็เอามาทดสอบเพื่อดูกระบวนการคิด การทำงาน ความละเอียดของผู้สมัคร ก่อนถึงด่านสุดท้ายที่ผู้สมัครทุกคนจะต้องเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้นเป็นเวลา 7 วัน 6 คืนที่ยุวพุทธ แต่ตอนนี้ไม่เข้มข้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” 

หลังจากเข้ามาทำหน้าที่คุณครู นอกจากวิชาการที่คุณครูต้องมีความรู้แล้ว สิ่งสำคัญคือครูต้องมีความเป็นกัลยาณมิตรที่แท้จริงกับนักเรียน ไม่เลือกปฏิบัติ ต้องพยายามเข้าใจเหตุปัจจัยของเด็กแต่ละคน เพราะเด็กทุกคนล้วนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง 

“สัมพันธภาพระหว่างครูและนักเรียนสำคัญมาก ความเคารพ ให้เกียรติรับฟังซึ่งกันและกัน การไม่ด่วนตัดสิน เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เราปลูกฝังอย่างจริงจัง 

ครูอ้อนไม่เชื่อว่าเด็กที่เรียนเก่งจะต้องประสบความสำเร็จเสมอไป มีถมเถไปที่ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ที่ทอสีเราจึงเน้นที่ความรู้ไม่ท่วมหัวเอาตัวรอดได้ 

ครูมองว่ามันมีทั้งเรื่องของพรสวรรค์และพรแสวง ต่อให้มีพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียร ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ ส่วนพวกพรแสวงก็สามารถประสบความสำเร็จได้ หากมีฉันทะ มีความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ที่จะ ‘ฝึกตน อดทน สู้สิ่งยาก’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามปลูกฝังให้เด็กทุกคนมี

สิ่งที่มักจะเป็นอุปสรรคและทำให้เกิดความท้อแท้คือการเปรียบเทียบ โรงเรียนเน้นย้ำให้เด็กแข่งกับตัวเองมากกว่าแข่งกับผู้อื่น เราวันนี้กับเราเมื่อวาน เราเมื่อเดือนที่แล้ว มีอะไรที่พัฒนา อะไรที่ยังไม่พัฒนา อย่างนี้เรียกว่าเปรียบเทียบเป็น แล้วก็ฝึกพิจารณาเหตุปัจจัย อะไรที่ดีก็เพียรรักษา อะไรที่ไม่ดีก็เพียรละ เราต้องปลูกฝังวิธีคิดแบบนี้ตั้งแต่เล็กๆ”

นอกจากหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ที่เป็นคุณครูแล้ว ผมสนใจแนวคิดของครูอ้อนที่แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้มองว่าครูเป็นแค่ลูกจ้าง แต่เป็นทั้งเพื่อนร่วมทาง เป็นกัลยาณมิตร เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว เป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเธอ ผ่านการจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ครูทุกท่าน การช่วยตักเตือนซึ่งกันและกัน รวมถึงการบอกให้ครูกลับบ้านตามเวลา

“ที่ต้องให้คุณครูกลับบ้านตามเวลา เพราะนอกรั้วโรงเรียน คุณครูเองก็มีหน้าที่ของความเป็นพ่อแม่และความเป็นลูกด้วย ดังนั้นทุกคนต่างมีภาระส่วนตัว ซึ่งครูก็ไม่ปรารถนาให้คุณครูทอสีสอนลูกคนอื่นได้ดี แต่ครอบครัวตัวเองกลับมีปัญหา เรื่องแบบนี้ไม่ควรให้เกิดขึ้น”

ส่วนการทำงานกับผู้ปกครองเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่ครูอ้อนให้ความสำคัญและยอมรับว่า ‘ยาก’ เพราะต่อให้เด็กดื้อไม่เชื่อฟังก็ยังหาวิธีปรับจูนกันได้ แต่สำหรับผู้ปกครองนั้น ผมรู้สึกได้ถึงคำว่า ‘เข็นครกขึ้นภูเขา’ จากสายตาของครูใหญ่ท่านนี้

“การสอนเด็กในยุคนี้จะมีความยากมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเด็กที่เป็นลูกคนเดียว เป็นหลานคนเดียว พ่อแม่บางบ้านกว่าจะทำกิฟต์ (GIFT) ได้ลูกมาแทบแย่ ดังนั้นหลายบ้านจึงเลี้ยงลูกชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าเขาคือศูนย์กลางของจักรวาล ครูเองก็เห็นใจผู้ปกครองที่เลี้ยงลูกไม่เป็น บางครอบครัวมีวิธีการเลี้ยงชนิดคนละขั้ว เช่น พ่อใจเย็นแต่แม่ใจร้อน เด็กก็จะสับสน ดังนั้นโรงเรียนทอสีจึงต้องมี ‘ห้องเรียนครูคนแรก’ ที่ผู้ปกครองทุกท่านจะต้องเข้าร่วม 4 ครั้ง (ครั้งละ 3 ชั่วโมง) เพื่อให้การอบรมบ่มเพาะเด็กของผู้ปกครองและครูเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังป้องกันไม่ให้เด็กมีสองบุคลิก เพราะเด็กบางคนมาโรงเรียนแล้วน่ารักมาก แต่พออยู่บ้านกลับเป็นเจ้าตัวแสบ ซึ่งครูคิดว่าไม่โอเค เมื่อเขาน่ารักกับครูที่โรงเรียน เขาควรต้องน่ารักกับพ่อแม่และทุกคนที่บ้านด้วย เพราะทุกคนมีบุญคุณกับเขามากมาย”

ครูอ้อนกล่าวเพิ่มเติมว่า “เด็กทุกคนต่างถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อม ซึ่งสภาพแวดล้อมหรือสังคมที่สำคัญที่สุดคือ สถาบันครอบครัว ดังนั้นถ้าที่บ้านมีปัญหา พ่อแม่ไม่ร่วมมือกัน ต่อให้โรงเรียนดีแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้”

วิถีพุทธปัญญา ‘วัคซีนชีวิต ทางรอดของสังคม’

ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ผมถามครูอ้อนตรงๆ ว่าการที่ผู้ปกครองและครูสอนเด็กไปในทิศทางเดียวกัน จะทำให้เด็กที่จบออกไปแล้ว ‘โลกสวย’ หรือรับมือกับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งครูอ้อนตอบอย่างมั่นใจว่า บทเรียนชีวิตที่โรงเรียนและครอบครัวร่วมกันฉีดวัคซีนให้กับเด็กๆ จะช่วยให้พวกเขารับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีสติและรู้เท่าทัน

“โรงเรียนนี้ไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ แต่เป็นสถานที่ที่ต้องการให้ทุกคนมีอุดมการณ์ที่จะอดทนสู้สิ่งที่ยาก ถ้าเขาพบเจอแต่สิ่งที่ง่าย ที่ถูกใจในชีวิต เขาจะได้ฝึกตนเองอย่างไร 

ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือของครู นักเรียน และผู้ปกครอง ทุกคนจะต้องศึกษาให้เข้าใจหลักการและแนวทางของโรงเรียน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงในวิถีชีวิตทั้งที่บ้านและโรงเรียน ไม่ใช่แค่เชื่อว่าดีหรือด้วยการพูด

ในโรงเรียนก็ยังมีนักเรียนทะเลาะกันบ้าง พูดจาไม่น่ารักบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ครูก็จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนในเรื่องภาษา เช่น ประโยคนี้แต่ละคนฟังแล้วรู้สึกอย่างไร ประโยค/คำพูดแบบใดที่จะไม่เป็นพิษแก่ผู้ฟัง บทเรียนชีวิตที่เกี่ยวกับการจัดการอารมณ์ การสืบสาวหาเหตุปัจจัย ล้วนแต่เป็นบทเรียนที่มีคุณค่าต่อชีวิตเขา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต การขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีไม่งามหรือบ่มเพาะสิ่งที่ดีงามต้องเริ่มตั้งแต่เล็กๆ ไม้อ่อนย่อมดัดง่าย เราจึงต้องปลูกฝังวิถีพุทธปัญญา ตั้งแต่ชั้นอนุบาลและประถม เพราะนี่เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุด” 

ในมุมมองของครูอ้อน แม้โลกจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่หลักคิดในพุทธศาสนาหรือพุทธธรรมไม่เคยล้าสมัย ยัง ‘ล้ำสมัย’ และเป็น ‘ทางรอด’ ให้กับสังคม 

“ที่สำคัญคือหลักพุทธธรรมสามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองทั้งด้านใน ด้านนอก และหากไม่มีสิ่งนี้ เราจะเป็นทุกข์ได้ง่าย ไม่มีที่พึ่งใดดีไปกว่าธรรมะ ลองนึกภาพดูว่า หากทุกคนหันกลับมาทบทวนตัวเอง และพัฒนาตนเองก่อนที่จะเพ่งโทษผู้อื่น ครอบครัวหรือสังคมจะน่าอยู่เพียงใด”

ก่อนจากกันวันนั้น ผมถามครูใหญ่โรงเรียนทอสีว่าวางบทบาทความเป็นครูของตัวเองไว้อย่างไร ซึ่งคำตอบคือบทสรุปว่าทำไมโรงเรียนแห่งนี้จึงไม่ใช่แค่โรงเรียน ‘ทางเลือก’ แต่เป็นโรงเรียน ‘ควรเลือก’ อีกโรงเรียนหนึ่ง

“ครูมองว่าเราเป็นเสมือนเพื่อนร่วมทางของเด็กๆ เราลงเรือลำเดียวกัน ต้องช่วยกันพาย ช่วยกันประคับประคอง ให้กำลังใจกัน เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ฟันฝ่าคลื่นลมมรสุมในทะเล เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุด คือ ‘พุทธปัญญา’ ให้ได้”

Tags:

พระพุทธศาสนาโรงเรียนทอสีครูอ้อน-บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์หลักสูตรเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาววิชาชีวิต

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘แกะสลักชีวิต’ วิชาที่ชวนเด็กสำรวจตัวเองและขจัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป: ครูฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา โรงเรียนปัญญาประทีป

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • วิชาพื้นฐานของคนพิการ คือการเห็นคุณค่าของตัวเอง: เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    Active Learning กับ การสอนสังคมฯ ที่ (ไม่) ได้รับอนุญาตให้ศึกษา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an EducatorLife Long Learning
    พระอาจารย์ชยสาโร: พุทธศาสนาคือระบบการศึกษาที่อุดมสมบูรณ์ เกื้อกูลต่อการพัฒนาทุกด้านของชีวิตพร้อมกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

รักสันโดษหรือ ‘กลัวความใกล้ชิด’: โอบกอดความอ่อนแอและปล่อยให้ตัวเองได้ไว้ใจคนรอบข้างบ้าง
Relationship
9 August 2022

รักสันโดษหรือ ‘กลัวความใกล้ชิด’: โอบกอดความอ่อนแอและปล่อยให้ตัวเองได้ไว้ใจคนรอบข้างบ้าง

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ความกลัวความใกล้ชิดเป็นกลไกในการป้องกันตนเอง เป็นความบอบช้ำทางพัฒนาการที่มีพื้นฐานมาจากความรู้สึกฝังลึก ซึ่งในตอนเด็กเราจะรู้สึกว่ามันเป็นความผิดพลาด บกพร่อง และเจ็บปวด โดยทัศนคตินี้จะคงอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงเมื่อเราโตขึ้น 
  • สัญญาณที่ชัดเจนคือ การพยายามที่จะเป็นที่รักของทุกคนรอบตัว ต้องการความสมบูรณ์แบบ หลีกเลี่ยงที่จะแสดงความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองอย่างเปิดเผย และมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ
  • ความกลัวมักถูกกระตุ้นโดยอารมณ์เชิงบวกมากกว่าอารมณ์เชิงลบ เมื่อคนที่มีความกลัวอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดีที่อีกฝ่ายรักและห่วงใยอย่างแท้จริงจะกระตุ้นความกลัวที่ฝังลึกเกี่ยวกับความสนิทสนม ทำให้เกิดระยะห่างที่ยากต่อการรักษาความสัมพันธ์

แน่ใจไหมว่าเราชอบที่จะพึ่งพาตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เพราะกลัวความสนิทสนม?

การสานสัมพันธ์กับคนอื่นก็เหมือนกับการลงทุนที่หลายครั้งต้องใช้ใจแลกใจ ไม่มีอะไรรับประกันว่าใจที่ให้ไปจะได้ใจกลับมาเท่ากัน ทำให้บ่อยครั้งเราก็ต้องกลับมารักษาแผลใจตัวเอง แต่ก็บ่อยครั้งอีกเหมือนกันที่เราโชคดีและได้ความสัมพันธ์ดีๆ กลับมาเป็นรางวัล 

ความใกล้ชิดสนิทสนมคือความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ยิ่งสนิทแน่นแฟ้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเราพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนอื่นได้ดี ความใกล้ชิดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การมีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักอย่างเดียว แต่หมายถึงความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวเครือญาติ ในกลุ่มเพื่อน ในโรงเรียน ในที่ทำงาน

เราเชื่อมความสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดความเชื่อ ความรู้สึก กิจกรรม ประสบการณ์ร่วม และการสัมผัสกัน เช่น การจับมือ การกอด เมื่อเราไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ระหว่างการลงทุนในความสัมพันธ์ความสัมพันธ์หนึ่ง การถูกกีดกันหรือทอดทิ้งในบางช่วงชีวิตทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจได้ และอาจนำไปสู่ความกลัวการใกล้ชิดด้วย 

ผลจากประสบการณ์ที่ไม่ดีทำให้คนบางกลุ่มเลือกที่จะพึ่งพาตัวเองมากจนถึงขั้นสันโดษไปเลย

Brenda Wade ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศได้อธิบายพฤติกรรมสันโดษจากความกลัวนี้ไว้ว่า คนที่อาศัยอยู่ด้วยความกลัวความใกล้ชิดมักกลัวว่าจะถูกทำร้ายทางจิตใจ พวกเขาอาจกังวลว่าใครบางคนจะตัดสินว่าพวกเขาไม่ดีพอและทิ้งไปหลังจากที่เกิดความสนิทใกล้ชิดกันแล้ว และนั่นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากสำหรับมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม

ความกลัวความใกล้ชิดเป็นอย่างไร

ความสัมพันธ์สามารถเปลี่ยนจากความสนุกสนานเป็นความเครียดได้อย่างรวดเร็วเมื่อเรากลัวความใกล้ชิด ในตอนแรกเริ่ม เราอาจรู้สึกสบายใจเมื่อความสัมพันธ์ของเราไม่ใกล้พอที่จะทำให้เกิดความกังวล ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เราจะสนุกกับแง่มุมทางสังคมของเพื่อนใหม่ แต่เมื่อความผูกพันแน่นแฟ้นมากขึ้น สัญญาณของความกลัวความใกล้ชิดก็จะปรากฏ เราจะเริ่มสงสัยเมื่อได้รับคำชมหรือการแสดงความรัก ไม่มั่นใจในเจตนาของอีกฝ่ายว่าดีหรือร้ายทั้งที่เขาอาจจริงใจ และเริ่มไม่ค่อยพูดสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึกออกมาตรงๆ มักจะเก็บความกังวลไว้ในใจ 

นอกเหนือจากนี้ ยังมีสัญญาณอื่นๆ อีกที่บอกว่าเรามีความกลัวการใกล้ชิด ที่ชัดเจนเลยคือเราจะพยายามที่จะเป็นที่รักของทุกคนรอบตัว ต้องการความสมบูรณ์แบบ หลีกเลี่ยงที่จะแสดงความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองอย่างเปิดเผย และมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ

อะไรทำให้เกิดความกลัวความใกล้ชิด

Jason Polk นักสังคมสงเคราะห์ผู้ฝึกสอนด้านความสัมพันธ์ กล่าวว่าความกลัวความใกล้ชิดเป็นกลไกในการป้องกันตนเอง เป็นความบอบช้ำทางพัฒนาการที่มีพื้นฐานมาจากความรู้สึกฝังลึก ซึ่งในตอนเด็กเราจะรู้สึกว่ามันเป็นความผิดพลาด บกพร่อง และเจ็บปวด โดยทัศนคตินี้จะคงอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงเมื่อเราโตขึ้น เราเชื่อว่าความรู้สึกเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้

โดยหลักแล้ว ความกลัวความใกล้ชิดมักเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่กลัวการถูกกีดกันทอดทิ้งหรือกลัวการถูกโน้มน้าวจูงใจให้ขัดต่อความเชื่อของตัวเอง และหลายครั้งมักเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองอย่าง ตัวอย่างเช่น กรณีแรก อาจเกิดจากการที่มีพ่อแม่หรือคนใกล้ตัว คนที่เราลงทุนด้านความสัมพันธ์ด้วย มีสภาวะอารมณ์อ่อนไหวและมีความห่างเหินมาก พวกเขาอาจตำหนิเมื่อเราร้องไห้ อ่อนแอ หรือหลีกเลี่ยงที่จะไม่สนทนาด้วยเมื่อเราพยายามจะแสดงความคิดความรู้สึกที่สำคัญต่อเราซึ่งขัดกันกับพวกเขาออกมาอย่างเปิดเผย อีกกรณีคือพวกเขาเหล่านี้อาจมีสภาวะอารมณ์ที่ไม่มั่นคง เอาแต่ใจและไม่เคยให้พื้นที่ส่วนตัวแก่เรา ทำให้เราเกิดกลัวว่าการแสดงความต้องการของเราออกมาจะทำให้เราโดนโน้มน้าวและชักจูงไปทางอื่นแทน 

ในช่วงเวลานี้ เราจะเริ่มเรียนรู้ที่จะถ่วงดุลความสัมพันธ์โดยเพิกเฉยต่อความต้องการของตัวเอง กำจัดอารมณ์ที่จะทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ทิ้ง และหนีจากความรู้สึกท่วมท้นโดยการรักษาระยะห่างไว้ไม่ให้สนิทเกินไป 

นักจิตวิทยาคลินิก Hüdanur Akkuzu สนับสนุนหลักการดังกล่าวว่าพฤติกรรมหรือประสบการณ์ซ้ำๆ ตลอดชีวิตที่สนับสนุนให้บางคนรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับความรักความสัมพันธ์สามารถนำไปสู่ความกลัวความใกล้ชิดได้ในอนาคตด้วย นอกจากนี้ ความกลัวความใกล้ชิดยังอาจเกิดขึ้นได้จากบาดแผลและสภาวะสุขภาพจิต เช่น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลีกเลี่ยงหรือโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) 

อย่างไรก็ตาม ความกลัวมักถูกกระตุ้นโดยอารมณ์เชิงบวกมากกว่าอารมณ์เชิงลบ เมื่อคนที่มีความกลัวอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดีที่อีกฝ่ายรักและห่วงใยอย่างแท้จริงจะกระตุ้นความกลัวที่ฝังลึกเกี่ยวกับความสนิทสนม ทำให้เกิดระยะห่างที่ยากต่อการรักษาความสัมพันธ์

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองกำลังดำเนินชีวิตอยู่กับความกลัวความใกล้ชิดหรือสังเกตเห็นสัญญาณบางอย่าง คำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยให้เราเปิดใจและมีความกล้าที่จะไว้ใจและพึ่งพาคนอื่นได้

วิธีเอาชนะความกลัว

โปรดจำไว้ว่าสิ่งสำคัญคือเมื่อเรารับรู้ความรู้สึกกลัวความใกล้ชิดแล้ว ต้องเข้าใจก่อนว่าความรู้สึกนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เราไม่ได้เลือกที่จะเป็น ในฐานะมนุษย์ เราถูกสร้างขึ้นเพื่อสานสัมพันธ์กับผู้อื่นในระดับที่ลึกซึ้ง เป็นการลงทุนด้านอารมณ์และจิตใจ 

  • พยายามสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง เมื่อเราใช้ชีวิตด้วยความกลัว เราอาจรู้สึกราวกับว่าเราไม่สมควรได้รับความรักในความสัมพันธ์ Akkuzu แนะนำว่าการมุ่งเน้นสร้างความมั่นใจ พัฒนาความสนใจ และเพิ่มคุณค่าในตนเองสามารถช่วยก้าวข้ามความกลัวได้ เราอาจเริ่มจากเรื่องง่ายๆ เช่น การเขียนบันทึกเชิงบวกสำรวจความสุขในแต่ละวัน ออกกำลังกาย เล่นกีฬาหรือหางานอดิเรกที่เน้นเป้าหมาย  Polk สนับสนุนวิธีนี้ว่าอาจช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับการใกล้ชิดกับคนอื่น เราจะรู้ดีว่าคนอื่นสามารถควบคุมสิ่งที่พวกเขาทำและรู้สึกได้ แต่ไม่ใช่กับสิ่งที่เราทำและรู้สึก เราสามารถทำตามความต้องการได้อย่างอิสระในความสัมพันธ์ และหากล้มเหลวก็บอกกับตัวเองว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของเราแล้วก้าวต่อไป
  • เรียนรู้การเยียวยาตัวเองและฝึกฝนการอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด การยอมรับว่าความสัมพันธ์ในวัยเด็กขาดหายไปเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เตือนตัวเองว่าเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตที่แหว่งเว้า แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะรักษาจิตใจของเราได้ ทุกเศษเสี้ยวของเราทั้งดีและไม่ดี เก็บมันขึ้นมา โอบกอด และรักมันอย่างตั้งใจ Polk เชื่อว่าการพยายามเยียวยาซ่อมแซมจะทำให้เรามองความเจ็บปวดผ่านกรอบความคิดที่โตขึ้นและสามารถก้าวผ่านความกลัวการใกล้ชิดได้ 
  • จัดลำดับความสำคัญของความสัมพันธ์ คนที่กลัวความสนิทสนมหลายคนมักให้เวลาส่วนใหญ่และทุ่มเทไปกับงานจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน ซึ่งอาจไม่ดีต่อสุขภาพจิตเท่าไรนัก ลองจัดลำดับความสำคัญ ให้โอกาสความสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีชีวิตที่มีความสุขดูบ้าง เราก็สมควรที่จะได้รับความรักและความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกัน

ความกลัวความใกล้ชิดเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ยากที่สุดที่เราจะเอาชนะได้ ประสบการณ์ในอดีตและความล้มเหลวอาจทำให้เราใกล้ชิดกับคนอื่นได้ยาก เราต้องใช้ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นในการเปิดใจให้คนที่เรารักรวมถึงตัวของเราเองด้วย ให้เวลาตัวเองในการแก้ไขความเจ็บปวดในอดีต 

จำไว้เสมอว่าไม่เป็นไรที่จะปล่อยให้คนอื่นเข้ามา เราอาจยังคงอ่อนแอและหวาดกลัว แต่เราก็สามารถเข้มแข็งได้ในเวลาเดียวกัน หลายครั้งที่การเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่นทำให้เราเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่รู้ว่าจะเปิดใจอย่างไร 

ในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ การก้าวเดินลำพังอาจน่ากลัวเกินกว่าที่คนคนเดียวจะสู้ไหว แน่นอนว่าการพึ่งพาตัวเองได้เป็นเรื่องที่ดี แต่จะดีกว่าถ้าเราจะมีคนรอบตัวมาช่วยแบ่งเบาลดทอนความยากลำบากลงบ้าง ให้เวลาและโอกาสตัวเองได้ลองเปิดใจ ไว้ใจ และพึ่งพาคนอื่นดูบ้าง แล้วเราอาจพบว่ามีคนรอบตัวอีกมากที่สามารถเป็นความสบายใจ ความปลอดภัย และสีสันให้ชีวิตของเรา

อ้างอิง

Fear of Intimacy: When You Are Afraid of Getting Too Close

When you’re terrified of relationships: overcoming fear of intimacy

Tags:

ความสัมพันธ์ความกลัวความใกล้ชิดกลไกการป้องกันตนเอง

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Foely Friend-nologo
    Relationship
    เมื่อ ‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น ‘เพื่อนร้าย’ แล้วเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    แผลลึกหัวใจสลาย : ชีวิตสั้น..แต่ขอให้รักนั้นยืนยาว

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to get along with teenager
    จิตวิทยาวัยรุ่น: ความสัมพันธ์(ความสับสนยุ่งเหยิง)วัยรุ่น กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

The King of Staten Island: บางทีชีวิตมันก็ ‘อิหยังวะ’
Dear ParentsMovie
5 August 2022

The King of Staten Island: บางทีชีวิตมันก็ ‘อิหยังวะ’

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ‘The King of Staten Island’ เหมือนหนังชีวประวัติฉบับย่อของนักแสดงนำ Pete Davidson ที่จะพาเราไปเจอเหตุการณ์เพี้ยนๆ จากการตัดสินใจของตัวเอก ซึ่งมีเค้าโครงจากเรื่องจริง
  • เรื่องราวเล่าถึง ‘สก็อต’ ในวัย 24 ปี ที่ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แต่เขาก็มีทักษะที่ทำได้ดีคือ การวาดรูปและการสัก แต่ก็ไปไม่ถึงไหนเพราะปมในใจ ทำให้ไม่กล้าใช้ชีวิตจริงจังเสียที
  • หนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่หนังที่กลมกล่อม ครบรส อาจจะเล่าถึงแค่จุดเปลี่ยนผ่านของชีวิตช่วงหนึ่ง แต่ก็เป็นช่วงที่สำคัญที่ได้สะท้อนให้เราเห็นว่าชีวิตก็คงเป็นแบบนี้

Tags:

The King of Staten Islandชีวิตการเติบโตครอบครัว

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Marshmallow
    How to enjoy life
    ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

‘เพื่อน’ ไม่ได้ต้องการให้เราหดตัวเล็กและคิดลบกับตัวเอง
Myth/Life/Crisis
5 August 2022

‘เพื่อน’ ไม่ได้ต้องการให้เราหดตัวเล็กและคิดลบกับตัวเอง

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • เด็กๆ 7 คน หรือ ‘แก๊งขี้แพ้’ ได้เผชิญหน้าและเอาชนะปีศาจ ‘เพนนีไวส์’ หรือที่พวกเขาเรียกกันว่า ‘มัน (It)’  แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ ‘มัน’ ก็ได้กลับมาอีกครั้ง จนสุดท้ายพวกเขาก็หาทางเอาชนะด้วยวิธีการสบประมาทให้ ‘มัน’ ตัวเล็กลง เหมือนที่มันเคยทำกับพวกเขามาก่อน
  • บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ตัวว่ามีรูปแบบซ้ำๆ ของการหดตัวเองให้เล็ก โดยการด้อยค่าตัวเองให้ดูกระจอก ไม่ให้อภัยตัวเอง ลงโทษและกัดกร่อนตัวเองจากภายในด้วยวิธีการมากมาย
  • ความกลัวและรู้สึกลบอันเกิดจากบาดแผลบางอย่างในวัยเด็กที่เราแกล้งลืมไป จะหาจังหวะโผล่ขึ้นมาหลอกหลอนเราอีก จนกว่าเราจะก้าวข้ามมันได้จากข้างในจริงๆ

1.

แก๊งขี้แพ้ (พวกเขาเรียกตัวเองแบบนั้น) ประกอบด้วยเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองแดรี่ 7 คน บิล, เอ็ดดี้, ริชชี่, ไมค์, สแตน, เด็กหญิงเบฟเวอลี่

และเบน เด็กชายเจ้าเนื้อซึ่งดูอ่อนแอและตกเป็นเป้าการถูกรังแกจากพวกเด็กโตขี้แกล้ง คล้ายคลึงกับเด็กๆ คนอื่นในกลุ่ม 

พวกเขาเคยเผชิญหน้ากับปิศาจตัวตลกกินเด็กชื่อ เพนนีไวส์ ซึ่งได้หลอกหลอนเมืองแดรี่มานาน โดยเรียกปีศาจที่ดำรงอยู่นับแต่อดีตอันไกลโพ้นตัวนี้ว่า ‘มัน (It)’ มันฆ่าน้องชายของบิลและตามล่าแต่ละคนในแก๊งค์ขี้แพ้ โดยปรากฏกายได้หลากหลายรูปแบบเป็นสิ่งที่พวกเขากลัว 

แต่ในที่สุดกลุ่มเด็ก 7 คนก็เอาชนะมันได้ อย่างไรก็ตาม เบฟเห็นนิมิตว่าพวกเขาจะต้องสู้กับมันอีกตอนโต พวกเขาสัญญากันว่าจะกลับมาที่เมืองแดรี่อีกครั้ง ถ้า ‘มัน’ โผล่มาอีกเด็กๆ ในแก๊งขี้แพ้ต่างแยกย้ายกันไปเติบโต และบัดนี้พวกเขาคือผู้ใหญ่วัยสี่สิบต้นที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาเหมือนจะลืมความทรงจำโหดร้ายในวัยเด็กไปแล้วแต่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งรบกวนในใจบางอย่างราวกับว่าสิ่งที่อยากลืมกำลังร้องบอกถึงส่วนเสี้ยวสำคัญของตัวตนพวกเขา บิล กลายเป็นนักเขียนดังซึ่งยังคงหงุดหงิดเพราะตอนจบของเรื่องแต่งของเขามักจะถูกวิจารณ์ ส่วน เบน เด็กชายจ้ำม่ำก็กลายเป็นสถาปนิกหนุ่มหุ่นงามแต่ยังเป็นคนโสดเหงาๆ ฯลฯ 27 ปีผ่านไปนับแต่เหตุการณ์สยองในเมืองแดรี่จบลงในครั้งก่อน ในที่สุดก็เกิดเหตุฆาตกรรมลึกลับขึ้นอีก

ไมค์ซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังอยู่ในเมืองแดรี่จึงแจ้งให้เพื่อนทุกคนกลับมาที่เมืองในวัยเด็ก

คนในกลุ่มเกือบทั้งหมดกลับเมืองแดรี่ทั้งที่รู้สึกกลัว ในที่สุดพวกเขาก็ทราบว่าเพนนีไวส์กลับมาแล้ว! และได้พากันเดินทางไปยังโพรงหินใต้บ้านร้างอันเป็นที่ซ่อนของมัน และในขณะเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง บิล ถูกบีบให้เผชิญว่าเขาแกล้งป่วยในวันมรณะของน้องชาย ลึกๆ เขาเชื่อว่าตนมีส่วนในความตายของน้อง อีกทั้งมันปรามาส เบน ว่าเป็นแค่เด็กอ้วนที่ต้องเปลี่ยวใจไร้คู่ไม่ว่าจะทำอะไรสำเร็จมามากแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดบิลก็ให้อภัยตัวเองได้ และคนในแก๊งขี้แพ้แต่ละคนก็ค่อยๆ ทำงานกับความกลัวของตัวเองได้แม้หนึ่งในพวกเขาได้ถูกฆ่าตายไป

ในภายหลัง พวกเขาตระหนักว่าต้องทำให้ ‘มัน’ ตัวเล็กเพื่อปราบมัน โดยพวกเขาใช้ถ้อยคำสบประมาทดูแคลนกระทั่งตัวมันหดเล็กคล้ายที่มันเคยทำกับพวกเขา กระทั่งมันดูอ่อนแรงราวกับหนูน้อยหมดทางสู้

มันหัวเราะดังและกล่าวว่า พวกเขา ‘โตแล้ว’ 

ผองเพื่อนขยี้หัวใจเพนนีไวส์และปลิดชีพมันได้ในที่สุด แล้วก็รีบหนีออกจากบ้านร้างอันเป็นส่วนควบของรังมันซึ่งกำลังพังทลายลงไปตามเจ้าของ พวกเขากลับไปยังลำน้ำที่เคยแหวกว่ายด้วยกัน เบนกับเบฟจุมพิตกันในกระแสน้ำแห่งมิตรภาพนั้น เบนตระหนักว่าตนเองคู่ควรกับความรัก

2.

‘เพื่อน’

แก๊งค์ขี้แพ้อยู่เคียงข้างกันเสมอมาและพากันเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ 

อีกทั้ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องหดตัวให้เล็กเพื่อที่จะมี ‘เพื่อน’

หดตัวเองตัวให้เล็ก แล้วรอดจริงหรือ?

อย่างไรก็ตาม บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ตัวว่ามีรูปแบบซ้ำๆ ของการหดตัวเองให้เล็ก โดยการด้อยค่าตัวเองให้ดูกระจอก ไม่ให้อภัยตัวเอง ลงโทษและกัดกร่อนตัวเองจากภายในด้วยวิธีการมากมาย เหมือนที่บิลและเบนเคยทำกับตัวเอง

ในวัยเด็กหรือวัยรุ่นที่เราเองก็อาจจำไม่ได้แล้ว การทำตัวเล็ก อาจเป็นวิธีหนึ่งที่เราเคยใช้เพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ เช่น ถ้าเรายอมและหดจ๋องแบบนั้นแล้วคนอื่นจะเลิกข่มเหงเรา หรือเป็น ‘เพื่อน’ (ใส่เครื่องหมายเพื่อตั้งคำถาม) กับเรา และบางทีเราก็ใช้มันอยู่จวบจนบัดนี้โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ไม่จำต้องเป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว หรือเราอาจยังต้องการการยอมรับจาก ‘เพื่อน’ ในวัยเด็กคนนั้นๆ ที่เคยเข้ามาด้อยค่าเรา เราคิดไปเองว่าตอนเด็กเราคงจะทำอะไร ‘ผิด’ หรือมีบางอย่างบกพร่อง และในวัยผู้ใหญ่เราก็อาจดึงคนแบบนั้นเข้ามาเป็นระยะๆ โดยไม่รู้ตัว เราคิดไปเองโดยไม่รู้ตัวเช่นกันว่าสักวันที่เราหดตัวให้รันทดได้มากพอต่อหน้าคนลักษณะนั้นแล้วเขาจะโอเคกับเรา หรืออยากเป็นเพื่อนชิดเชื้อกับเราแบบที่เราอยากเป็นเพื่อนกับเขาในที่สุด

แต่ก็เหมือนที่ตัวตลกกินเด็กทำกับเบนและบิล ยิ่งพวกเขาด้อยค่าตัวเอง รู้สึกผิดและลงโทษตัวเองตามที่มันต้องการ ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งต่างๆ จะคลี่คลายไปในทางดีขึ้น อีกทั้ง บางสิ่งในใจเราเองที่คอยเฆี่ยนตีให้เราให้ร้ายตัวเองและทำตัวเล็ก ก็คล้ายกับเพนนีไวส์ที่ทำให้เรารังแกตัวเองกันได้อย่างสาหัสกว่าใคร ทั้งที่เราไม่มีวันจะพูดกับเพื่อนในทางลบแบบนั้นได้เลย

3.

ขยายเรื่องลบและปิดบังเรื่องดีๆ ของตัวเอง

มีคนที่ไม่อนุญาตให้เรื่องดีบางอย่างเกิดกับขึ้นตัวเอง เหมือนกับที่ เบน คิดลบกับตัวเองและไม่อนุญาตให้ตัวเองมีแฟนทั้งที่อยากมี

และมีคนที่โดยไม่รู้ตัว ขยายเรื่องลบที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ใหญ่ในบางเรื่องพร้อมกับปิดเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเมื่ออยู่กับคนบางลักษณะ จนเมื่อวันที่เพื่อนที่เขาให้ความสำคัญเริ่มจะเชื่อเรื่องเล่าบัดซบนั้น โดยเริ่มมีบรรยากาศความเหนือกว่าหรือดูแคลน หรือพูดจาซ้ำเติมเขาขึ้นมา… 

เขาจึงตื่นรู้โดยพลัน และตั้งคำถามว่า เขากำลังทำอะไรอยู่? และทำไปเพื่ออะไร?

คนที่เป็นเพื่อนจริงๆ ต้องการให้เขาด้อยค่าและพูดจาให้ร้ายตัวเอง หรืออยากพูดแบบนั้นกับเขาจริงหรือ? 

ในอดีตพฤติกรรมแบบเพนนีไวส์อาจจะอยู่ข้างนอกก็ได้ แต่ตอนนี้บางอย่างในใจเขาเองนั่นแลที่สร้างมันขึ้นมา 

ความกลัวและรู้สึกลบอันเกิดจากบาดแผลบางอย่างในวัยเด็กที่เราแกล้งลืมไป จะหาจังหวะโผล่ขึ้นมาหลอกหลอนเราอีก จนกว่าเราจะก้าวข้ามมันได้จากข้างในจริงๆ 

เราทุกคนคู่ควรกับอะไรที่มีสุขภาวะกว่านั้นนะ

4.

เมื่อตระหนักว่ามีเสียงภายในที่คอยจ้องทำร้ายตัวเอง เขาก็มีโอกาสเปลี่ยนรูปแบบอันนี้ พร้อมกับเริ่มตระหนักชัดขึ้นว่านับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีผู้คนหลากเพศหลายวัยที่ชื่นชม เป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างแท้จริง ทั้งคอยเกื้อกูล ผลักดันและยินดีกับสิ่งดีๆ ที่เขาได้รับอยู่มากมายเพียงใดโดยเขาไม่ต้องทำตัวหม่นหมองอะไรเลย 

เขาให้เวลามากขึ้นไปเองกับผู้คนที่คอยทอแสงเกื้อหนุนและหวังดีมาตลอด และก็เริ่มเปิดรับความชื่นชมและการที่คนอื่นให้ค่าเขาได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการยอมรับความเรืองรองหอมนวลที่ผู้คนมอบให้เช่นนี้ ในอีกทางหนึ่งก็เป็นการให้ความเคารพผู้คนที่หวังดีกับเราเหล่านี้ด้วย

อ้างอิง

อิทภาคสอง (It Chapter two) ทำมาจากนวนิยายเรื่อง It ของสตีเฟน คิง (Stephen King)

Tags:

เพื่อนการคิดแง่ลบด้อยค่าการให้อภัยตัวเอง

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    การทำร้ายร่างกายตัวเอง (self-injury) ที่ไม่ใช่แค่การกดดัน ตำหนิตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    ‘บัซ ไลท์เยียร์’  ไม่ต้องเป็นฮีโร่สำหรับใคร แค่เห็นคุณค่าในตัวเองก็พอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Relationship
    Friends Can Break Your Heart Too: บทเรียนหัวใจสลาย บางครั้งคนใจร้ายก็คือ ‘มิตร’

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : ความสัมพันธ์ที่เคารพอาณาเขตของตัวเอง (2)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม
How to enjoy life
3 August 2022

เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การที่ต้องคอยอยู่โยงเฝ้าบ้านเลี้ยงลูก ไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้นั้น การหยิบมือถือมาช่วยผ่อนคลายก็น่าจะเป็นกิจกรรมที่สะดวกดีในช่วงพักสั้นๆ ของพ่อแม่ตอนที่ลูกไม่งอแง หลับ หรือกำลังเล่นของเล่นเพลินๆ 
  • หากลูกไม่ได้เห็นหน้าจอหรือเห็นแป๊บเดียวก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรกับเด็ก แต่ตอนใช้นั้นมีสิ่งที่ต้องระวังอยู่เสมอ นอกจากอย่าให้ลูกแย่งมือถือเราไปเล่นแล้ว คืออย่าทำให้มือถือแย่งเวลา ความสนใจ แรงจูงใจอื่นๆ จากการเลี้ยงลูกไป
  • จริงอยู่ว่าการเลี้ยงเด็กต้องใช้ความทุ่มเท แต่จะทุ่มเกินจนเสียสุขภาพจิตก็จะเป็นผลเสียกับทั้งตัวเองและเด็ก แน่นอนว่าถ้าเลี้ยงลูกอย่างอมทุกข์คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ดังนั้นการหาสิ่งบันเทิงมาทำให้สุขภาพจิตแม่ดีขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ 

เกิดมาเป็นแม่คนหรือพ่อคนนั้น นอกจากความปลื้มปิติที่มีแก้วตาดวงใจที่แสนน่ารักแล้ว อีกสิ่งที่ได้มาพร้อมกันคือความเหนื่อยและความเครียด เมื่อมีลูกแล้วหลายๆ คนชีวิตเปลี่ยนไปมาก นอกจากจะต้องทุ่มเทเวลาคอยดูแล หลายสิ่งที่เคยทำได้ก็กลายเป็นทำไม่ได้เพราะเวลาน้อยลง หรือหลายอย่างที่ชอบแต่ไม่ดีกับลูกก็ต้องเลิก อย่างจะออกไปเที่ยวบ่อยๆ เหมือนตอนก่อนมีลูกก็ไม่ได้ จะนั่งดูซีรีส์ต่อเนื่องหลายๆ ชั่วโมงก็ไม่ได้ แถมงานเลี้ยงดูเด็กนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว บางครั้งก็น่าเบื่อเหมือนกันเพราะต้องทำกิจกรรมซ้ำๆ อย่างคอยเปลี่ยนผ้าอ้อม คอยโอ๋ตอนลูกร้องไห้ ถ้าเป็นคุณแม่ก็ต้องคอยปั๊มน้ำนมด้วย งานพวกนี้ไม่มีเวลาชัดเจนว่าจะต้องทำกี่โมง ตอนไหน ก็เลยกลายเป็นต้องเฝ้าดูลูกตลอดเวลา หรือพอลูกโตขึ้นหน่อย เด็กก็มักจะติดกับผู้เลี้ยงหนึบ เอะอะก็จะอยู่กับแม่ จะให้คนเลี้ยงอุ้ม จะชวนเล่นด้วยตลอด จะบอกให้นั่งเฉยๆ นะลูก พ่อหรือแม่ขอไปทำอย่างอื่นก่อนแล้วเด็กจะทำตามนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับบางคน การที่อยู่แต่กับลูก ลูก และลูกนั้น ก็ไม่แปลกที่จะเบื่อในบางครั้ง

หากพูดถึงความเบื่อแล้ว ผมเชื่อว่าในปัจจุบันไม่ว่าใครตอนกำลังรออะไรอยู่ หรือตอนว่างๆ ไม่มีอะไรทำ สิ่งแรกๆ ที่ต้องหยิบมาแก้เบื่อก็คือโทรศัพท์มือถือ เพราะโทรศัพท์ยุคนี้ทำได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการแชท ดูข่าวสาร ดูวอล/ฟีดของคนรู้จัก หรือคนดัง อ่านอีบุ๊ก ดูคลิป ฟังเพลง สารพัดกิจกรรมรวมอยู่ในเครื่องเดียว การที่ต้องคอยอยู่โยงเฝ้าบ้านเลี้ยงลูก ไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้นั้น การหยิบมือถือมาช่วยผ่อนคลายก็น่าจะเป็นกิจกรรมที่สะดวกดีจริงไหมครับ ช่วงพักสั้นๆ ของพ่อแม่ตอนที่ลูกไม่งอแง หลับ หรือกำลังเล่นของเล่นเพลินๆ ขอเวลาเล่นมือถือแก้เบื่อแก้เครียดหน่อยจะได้ไหม อย่างไรก็ตามก็มีบทความเยอะมากที่ออกมาพูดถึงข้อเสียของการให้เด็กเล่นมือถือทั้งในแง่ของพัฒนาการ การเรียนรู้ และสังคม ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่จะอันตรายไหมหรือมีข้อเสียอะไรไหม หากผู้เลี้ยงดูนั้นขอเล่นมือถือเอง ไม่ได้ให้เด็กเล่นด้วย จะอันตรายหรือไม่นั้นน่าจะเป็นประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันนัก วันนี้เรามาดูผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันครับ

การที่พ่อแม่หรือคนเลี้ยงยังต้องใช้มือถือนั้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก หลายๆ คนก็ยังต้องทำงานไปด้วย ต้องตอบข้อความลูกค้า หรือตอบอีเมลเรื่องงาน และจากชีวิตก่อนมีลูกที่ใช้มือถือเกือบตลอดเวลากลายเป็นต้องเลิกเด็ดขาดตอนมีลูกนั้นมันเป็นไปได้ยากมาก ข่าวดีคือผู้ที่เลี้ยงเด็กก็ยังใช้มือถือได้นะครับ ไม่ถึงกับต้องเลิกเด็ดขาดห้ามใช้ หากลูกไม่ได้เห็นหน้าจอหรือเห็นแป๊บเดียวก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรกับเด็ก แต่ตอนใช้นั้นมีสิ่งที่ต้องระวังอยู่เสมอ นอกจากอย่าให้ลูกแย่งมือถือเราไปเล่นแล้ว คืออย่าทำให้มือถือแย่งเวลา ความสนใจ แรงจูงใจอื่น ๆ จากการเลี้ยงลูกไป และปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเสียด้วย

ก่อนอื่นผมขอพูดถึงธรรมชาติของเด็กเล็กๆ ก่อน เด็กนั้นหากยังเป็นวัยก่อนเข้าโรงเรียน โลกของเขานั้นค่อนข้างแคบครับ และสัดส่วนหลักๆ ของโลกเขาคือคนที่เลี้ยงเขา (ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณแม่เสมอไป แต่หมายถึงคนเลี้ยงดูหลัก) และธรรมชาติสร้างเด็กมาให้ติดอยู่กับคนเลี้ยงดูตลอดเวลา เวลาคนเลี้ยงไม่อยู่เด็กจึงร้องไห้ (อ่านเรื่องทฤษฎีความผูกพันเพิ่มเติมใน “Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา”: https://thepotential.org/life/attachment-theory) การให้ความสนใจของผู้เลี้ยงนั้น เป็นสิ่งที่เด็กจะใช้สร้างมุมมองต่อโลกว่า “เขาควรค่าต่อการรักใคร และคนอื่นควรค่าต่อการให้เขารักแค่ไหน” หากผู้เลี้ยงให้ความสนใจไม่เพียงพอ เด็กก็อาจจะมีปัญหาในการมองโลกที่ไม่น่าอยู่ในแง่ความรักหรือความสัมพันธ์ และสิ่งนี้จะฝังลึกติดตัวเด็กไปถึงอนาคต ยิ่งเด็กที่พอจะรู้ความ เริ่มเข้าใจการกระทำของคนอื่นแล้วว่ากำลังสนใจฉันอยู่ไหม หากขาดการเอาใส่ใจที่เพียงพอ เด็กอาจจะรู้สึกเหงา เศร้า ไม่พอใจ และสิ่งนี้ปล่อยให้เรื้อรังนานๆ ย่อมไม่ดีกับพัฒนาการของเด็ก

กลับมาที่เรื่องพ่อแม่เล่นมือถือกันต่อ ปัญหาของการเล่นมือถืออยู่ที่บางครั้งมันยากมากที่จะดึงความสนใจออกจากมือถือ เพราะกิจกรรมในมือถือนั้นล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ผู้สร้างแอปหรือคอนเทนต์ต่างๆ พยายามดึงให้เราเล่นต่อเรื่อยๆ อย่างการไถหน้าจอดูฟีด การเล่นเกม หรือดูคลิปที่น่าสนใจ 

สังเกตว่าตอนเราเล่นมือถือเพลินๆ เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราอาจจะคิดว่าขอแค่นิดเดียว เดี๋ยวก็กลับไปดูลูกต่อแล้ว แต่บางมีมันเลิกไม่ได้ มันติดลม พอเล่นมือถือเลยเสี่ยงกับการให้ความสนใจกับเด็กน้อยไป

นอกจากความสนใจแล้ว อีกเรื่องที่ต้องระวังคือการรบกวนของมือถือ คนเรานั้นทำกิจกรรมหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ หรือที่เราเรียกว่า ‘multitask’ แต่ถ้ามีสิ่งใดที่ดึงสมาธิมาก อีกสิ่งก็จะด้อยไป เราอาจจะดูหน้าจอไม่นาน แต่สมาธิเราจดจ่อไปกับเนื้อหาที่จะอ่านต่อ คลิปที่อยากดูต่อ หรือรอฟังเสียงข้อความเด้ง รอเสียงแจ้งเตือนว่ามีออเดอร์ใหม่ สิ่งเหล่านี้ไปดึงสมาธิที่ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องใช้ในการทำความเข้าใจเด็ก เด็กนั้นมีทักษะการสื่อสารไม่สมบูรณ์ บางทีเด็กเองก็ไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกอย่างไร จนบางครั้งแสดงออกเป็นรูปแบบที่เขาทำได้แทนอย่างการร้องไห้หรือการกรี๊ด พ่อแม่ต้องเดาเองว่าลูกเป็นอะไร ต้องการอะไรอยู่ หรือไม่สบายตัวหรือใจตรงไหน พวกนี้เป็นทักษะที่ผู้เลี้ยงเรียนรู้ได้จากการคอยใส่ใจ สังเกต ทำความเข้าใจเด็กมาเป็นระยะเวลานาน การถูกมือถือดึงสมาธิในส่วนนี้ไปก็อาจจะลดประสิทธิภาพในการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจในตัวเด็กตามไปด้วย

อีกปัญหาคือคนเรานั้นมี ‘โหมด’ ในการตอบสนองกับสิ่งต่างๆ แตกต่างกันครับ ตอนเลี้ยงลูกเรามักจะอยู่ในโหมดใจเย็น อบอุ่น แต่ตอนอยู่กับมือถือก็ขึ้นกับว่าทำอะไร ถ้าใช้ทำงานก็จะอยู่ในโหมดเคร่งเครียดกว่าหน่อย ถ้าคุยกับเพื่อนก็อาจจะโหมดสนุกสนานอารมณ์ขึ้นลงได้มากกว่าหน่อย แต่พอทำสองสิ่งพร้อมกันปัญหาที่ตามมาคือบางทีเราเปลี่ยนโหมดไม่ทัน เช่น ถ้าเรากำลังแชทกับเพื่อน เราก็มักจะไม่ได้อยู่ในโหมดใจเย็นเหมือนตอนคุยกับลูก เพราะกับเพื่อนสนิทจะพูดอะไรก็ใส่ไม่ยั้งอยู่แล้ว แต่พอลูกมาสะกิดกวนใจจนเราต้องหันไปหา แต่โหมดที่จะใจเย็นเพื่อลูกมันสับสวิตช์ไม่ทัน ก็อาจจะทำให้เราเผลอหงุดหงิด แสดงท่าทีรำคาญใส่ลูกได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าเราหงุดหงิดกับกิจกรรมบนมือถืออยู่แล้ว เช่น ลูกค้าส่งข้อความมาต่อราคาแถมเรื่องมาก อ่านข่าวการเมืองก็มีแต่เรื่องขัดใจ หุ้นก็ราคาตก เล่นเกมก็แพ้ หรือนิยายอยู่ในช่วงคร่ำเครียด พอเราพักจากหน้าจอไปหาลูก การจะปรับโหมดอารมณ์ไปเป็นแม่หรือพ่อที่ใจเย็นไม่เผลอเอาเรื่องหงุดหงิดมาใส่ลูกนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา จะมาปรับไปปรับกลับทันทีเหมือนเปลี่ยนช่องทีวีคงไม่ได้ ดังนั้นการดูลูกไปด้วย เล่นมือถือไปด้วยเลยจะมีปัญหาตรงนี้

ประเด็นสุดท้ายที่ต้องระวังคือเรื่องของ ‘แรงจูงใจ’ ชีวิตคนเรานั้นมีสิ่งที่ ‘ต้องทำ’ หรือเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างภาระหน้าที่ และสิ่งที่ ‘อยากทำ’ คือทำแล้วสนุก มีความสุข การเลี้ยงลูกนั้นคงมีทั้งสองสิ่งคือต้องทำและอยากทำ แต่การเล่นมือถือนั้นมักจะมีสิ่งที่อยากทำในสัดส่วนเยอะกว่าอย่างเล่นแอป เสพสื่อ เล่นเกมต่างๆ พอเรามีสิ่งที่ล่อใจอยู่ใกล้ๆ ตัว การพยายามหาความสุขจากลูกเลยน้อยลง การเลี้ยงลูกเลยให้ความรู้สึกว่าเป็นภาระหรืองานมากขึ้นเพราะมีกิจกรรมที่มอบแต่สิ่งบันเทิงอย่างมือถือมาเทียบ 

สิ่งนี้เลยไปลดความสุขในช่วงสำคัญของการเป็นแม่คนหรือพ่อคน อย่างการมองข้ามการได้เห็นลูกค่อยๆ เรียนรู้ เติบโต เปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยไป ความสุขในช่วงนี้อบอุ่น น่าประทับใจ แต่มันมักจะไม่จัดจ้านและดึงความสนใจเราเท่ามือถือ การพลาดความสุขตรงนี้ไปเลยเป็นเรื่องน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า คงยากที่จะเลิกใช้มือถือเด็ดขาด และหลายๆ คนก็จำเป็นต้องใช้อยู่ทั้งเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ การจะให้เลิกใช้ไปเลยอาจจะไปกระทบชีวิตของเรามากเกินไป นอกจากนี้การเลี้ยงเด็กนั้นเป็นเรื่องที่ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ทั้งน่าเบื่อ ทั้งเหงา แหล่งเยียวยาบรรเทาอารมณ์เหล่านี้หากมีไว้ก็จะเป็นผลดีอยู่ไม่น้อยครับ เช่น คนที่แต่เดิมชอบออกไปสังสรรค์กับเพื่อน อย่างน้อยก็ยังมีมือถือไว้แชทแก้เหงา ไม่มีเวลาดูหนังโรงที่ชอบ ก็ขอดูคลิปสั้นๆ แก้เบื่อ จริงอยู่ว่าการเลี้ยงเด็กต้องใช้ความทุ่มเท แต่จะทุ่มเกินจนเสียสุขภาพจิตก็จะเป็นผลเสียกับทั้งตัวเองและเด็ก แน่นอนว่าถ้าเลี้ยงลูกอย่างอมทุกข์คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ดังนั้นการหาสิ่งบันเทิงมาทำให้สุขภาพจิตแม่ดีขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ

การใช้เวลากับมือถือมากเกินไปมักจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรทำคือรู้ตัวอยู่เสมอว่ามือถือนั้นพร้อมจะดึงความสนใจและเวลาของเราไปเยอะกว่าที่เราคิด แนะนำว่าอย่าเปิดเสียงแจ้งเตือนมากนัก เพราะมันจะยิ่งดึงดูดความสนใจจากเราตลอดเวลา ขอให้เปิดเสียงแจ้งเตือนแค่สิ่งที่สำคัญจริงๆ และค่อยหาจังหวะไปดูย้อนเองไล่หลังจะดีกว่า และถ้าเป็นไปได้ขอให้ใช้แอปพวกโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือเกมเท่าที่จำเป็น เพราะแอปพวกนี้ดึงความสนใจเราอย่างยิ่ง และมักจะถอนตัวเลิกเล่นยาก 

นอกจากนี้คุณแม่หลายๆ ท่านที่รู้สึกเหนื่อยๆ ก็อย่าเปิดสิ่งที่ตนเองโหยหาจะทำ หากดูแล้วรู้สึกพอเติมเต็มที่อยากได้ก็ดูได้นะครับ แต่หากเปิดแล้วมันอยากทำกว่าเดิม หรือรู้สึกแย่เพราะไม่ได้ทำ เช่น อยากไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วหากเปิดรูปทิวทัศน์แล้วอยากจะไปแทบใจจะขาด ไม่อยากเลี้ยงลูกแล้ว แบบนั้นขอให้ปิดเถอะครับ หาสิ่งอื่นที่ดูแล้วอารมณ์ดี ดูแล้วเรารู้สึกมีแรงในการใช้ชีวิตของเราได้ดีกว่า นอกจากนี้ตอนดูเฟซบุ๊ก อินสตาแกรมก็ระวังว่าอย่าไปเปรียบเทียบชีวิตของการเลี้ยงเด็กกับชีวิตของคนที่ไม่ต้องเลี้ยงเด็ก เพราะแน่นอนว่าอิสระของเราย่อมถูกลดไปบ้างตอนมีลูก ถ้าดูชีวิตคนอื่นแล้วมีแต่ความอิจฉา ความรู้สึกแย่กับชีวิต ก็หยุดดีกว่า

มือถือเองบางครั้งก็เป็นตัวช่วยที่ดี พ่อแม่มือใหม่ในครอบครัวเดี่ยวที่ไม่ได้อยู่กับญาติผู้ใหญ่หลายๆ ครั้งมีปัญหาเกี่ยวกับลูกหรือการเลี้ยงลูกที่ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร โลกออนไลน์ก็เป็นแหล่งข้อมูลใหญ่ๆ ที่เราได้ค้นคว้าเปิดหาข้อมูลได้รวดเร็ว แต่ขอให้เลือกแหล่งข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือ หรือถ้าเป็นเรื่องสุขภาพ ถ้าเราค้นหาแล้วพบว่าอาการของลูกมีแนวโน้มที่จะอันตราย ก็อย่าเอาแต่หาทางแก้ไขจากโลกออนไลน์จนไม่ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญนะครับ (เว็บไซต์ให้ความรู้ที่ดีมักจะเตือนเรื่องนี้เสมอหากเป็นปัญหาที่สำคัญ) นอกจากนี้เรายังใช้มือถือหาข้อมูลสูตรอาหารใหม่ๆ สำหรับลูก หรือการของเล่นหรือทำสื่อการสอนเองแบบง่ายๆ เพื่อช่วยให้เรามีอะไรทำเป็นกิจกรรมแก้เบื่อแถมยังเป็นผลดีกับลูกๆ ด้วยก็น่าสนใจทีเดียว

การได้แชทคุยกับคนเป็นพ่อแม่คน หรือคนที่เคยมีประสบการณ์การเลี้ยงก็อาจจะเป็นวิธีที่ดี เพราะเขาอาจจะเข้าใจเราดี เราอาจจะใช้มือถือส่งข้อความหาคนรักที่ทำงานอยู่นอกบ้าน เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ยังคงมีความหวานแม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาดกับการดูลูก นอกจากนี้เราอาจจะหาสื่ออย่างการ์ตูนสั้นๆ แบบหน้าเดียวจบ หรือนิยายที่เราแยกอ่านเป็นช่วงสั้นๆ ได้ เอาแบบที่พร้อมจะกดปิดหน้าจอได้ตามต้องการ และอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น หรือรู้สึกเหมือนได้พักเหนื่อยบ้าง

ชั่งน้ำหนักให้พอเหมาะระหว่างลูก มือถือ และสุขภาพจิตของเรา ความพอดีคือสิ่งสำคัญเสมอ อะไรที่พอดีก็มักจะมีประโยชน์เสมอไม่ว่าเรื่องไหนครับ หากใครรู้สึกว่ายังหาสมดุลไม่ได้ก็อาจจะต้องค่อยๆ ปรับตัวกันไป อย่าหักดิบเลิกทุกสิ่งที่เคยทำจนมันเป็นภาระทางใจ เพราะตัวลูกเองถ้าเขาเลือกได้ เขาก็คงไม่อยากให้เราทุกข์เพราะต้องเลี้ยงเขาหรอกจริงไหมครับ

รายการอ้างอิง

Duggan, M., Lenhart, A., Lampe, C., & Ellison, N. B. (2015). Parents and social media. Pew Research Center, 1-37.

Kushlev, K., & Dunn, E. W. (2019). Smartphones distract parents from cultivating feelings of connection when spending time with their children. Journal of Social and Personal Relationships, 36(6), 1619-1639.

McDaniel, B. T. (2019). Parent distraction with phones, reasons for use, and impacts on parenting and child outcomes: A review of the emerging research. Human Behavior and Emerging Technologies, 1(2), 72-80.

Tags:

สุขภาพจิตพ่อแม่โซเชียลมีเดียความเครียดการเลี้ยงลูกSelf-medication โซเชียลบำบัดความเครียดความสุข

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • brain-rot-nologo
    Adolescent Brain
    Brain Rot: ‘มีมตลก&คอนเทนต์โง่ๆ’ การเสพติดความสนุกชั่วคราวในโลกออนไลน์ที่เป็นภัยต่อสมองเด็ก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ‘สุขสำเร็จ’ เมื่อสมดุลของความสำเร็จคือความทะเยอทะยานและความสุข

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.5 ‘เด็กพูดโกหก’ 
Early childhoodFamily Psychology
3 August 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.5 ‘เด็กพูดโกหก’ 

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ตามพัฒนาการ เด็กเริ่มต้น ‘พูดโกหก’ ได้ตอนอายุประมาณ 2-3 ขวบ ซึ่งการโกหกมักจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยมีเหตุผล ความซับซ้อนและความแนบเนียนมากขึ้นตามช่วงวัย 
  • ‘พ่อแม่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูก’ หากเรากับลูกไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังให้ลูกพูดความจริงกับเรา เพราะการมีความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยลดกำแพงระหว่างเรากับลูกได้
  • ในวันที่ลูกประสบปัญหาที่ตัวเขาเองแก้ไม่ได้ด้วยตัวเอง เราในฐานะพ่อแม่ ควรเข้าไปเคียงข้างและช่วยลูกให้เขาสามารถแก้ปัญหานั้นได้เสียก่อน และรับฟังอย่างสงบ ฟังจนจบ ไม่แทรกแซงหรือรีบสั่งสอน

‘พัฒนาการการพูดโกหก’

ตามพัฒนาการ เด็กเริ่มต้นพูดโกหกได้ตอนอายุประมาณ 2-3 ขวบ ในเด็กที่มีอายุต่างกัน การโกหกมักจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่แตกต่างกัน 

เด็กวัยหัดเดิน (Toddler) วัย 2-3 ปี 

เด็กวัยนี้เริ่มเล่นบทบาทสมมติ (Pretend play) ได้ เช่น 

กินอาหารในจินตนาการจากถ้วยชามของเล่น 

คุยกับตุ๊กตาหรือเพื่อนในจินตนาการ 

สมมติให้สิ่งต่างๆ ให้แปรเปลียนเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการ 

ความสามารถในการเล่นบทบาทสมมติ ทำให้เด็กมีสามารถสร้างเรื่องราวขึ้นจากจินตนาการของเขา ซึ่งบางครั้งทำให้ความเป็นจริงบิดเบือนไป การโกหกจึงไม่เป็นไป ตามหลักเหตุและผล หรือ ไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก 

อย่างไรก็ตามในเด็กวัยหัดเดินยังไม่สามารถตระหนักถึงมุมมองของผู้อื่นได้กล่าวคือ ยังไม่สามารถมองผ่านมุมมองของผู้อื่น พวกเขาคิดจากมุมของเขาเป็นหลัก เนื่องจากเด็กวัยนี้ยังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric) จึงทำให้เวลาเขาพูดโกหก ผู้ใหญ่สามารถบอกได้ง่ายว่าพวกเขากำลังโกหกอยู่ เพราะการโกหกนั้นไม่ซับซ้อน และไม่แนบเนียน 

ยกตัวอย่าง มีเค้กตั้งอยู่ในห้องครัวอยู่ก้อนหนึ่งในบ้าน ณ เวลานั้นมีแค่เด็กน้อยกับพ่อแม่ เพียงไม่กี่นาที ในขณะที่พ่อแม่ทำงานบ้านอยู่ เค้กหายไป ส่วนเด็กน้อยนั้นมีคราบครีมของเค้ก เปื้อนอยู่รอบปาก 

พ่อแม่ถามเด็กน้อยว่า “ได้กินเค้กก้อนนี้ไปหรือเปล่า?” เด็กน้อยจะตอบกลับแบบหน้าตาเฉย (หน้านิ่ง) ว่า “ไม่ได้กินนะ แมวต่างหากที่กิน” ซึ่งหลักฐานนั้นมีอยู่ให้เห็นชัดเจน การโกหกของเด็กวัยนี้ยังเป็นการโกหกสีขาว เป็นการโกหกที่มักจะไม่ทำร้ายใครได้มากมาย

เด็กเข้าสู่วัย 4-6 ขวบขึ้นไป 

การโกหกของพวกเขาเริ่มซับซ้อนมากขึ้น จากการโกหกแบบหน้าตาย พวกเขาเริ่มมีความสามารถในการคิดในมุมมองของผู้อื่น และเข้าใจว่า จะต้องสร้างเรื่องราวแบบไหนให้ดูน่าเชื่อมากกว่าเดิม

ยกตัวอย่าง 

พวกเขารู้ว่า ถ้าหากเขาวาดรูปบนกำแพง แล้วไปบอกพ่อกับแม่ว่า “หมาที่บ้านเป็นคนวาด” พ่อแม่คงไม่เชื่อแน่นอน แต่ถ้าหากเขาบอกว่า “น้องชายของเขาวาดบนกำแพง”  พ่อแม่มีแนวโน้มจะเชื่อเขามากขึ้น เพราะน้องชายของเขาจับดินสอสีมาวาดบนกำแพงได้ และเคยทำเช่นนั้นมาก่อนแล้ว

เด็กวัยนี้เริ่มโกหกโดยยึดตามสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ และมองผ่านมุมมองของผู้อื่นมากขึ้น เริ่มมีเหตุผลมาสนับสนุน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ และปกปิดความจริง

เด็กเข้าสู่วัย 8-9 ปี 

พวกเขาสามารถโกหกได้อย่างแนบเนียน มีบุคคลพยาน และหลักฐานที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน 

ยกตัวอย่าง 

เมื่อเขาสอบตก แล้วไม่ต้องการให้เรารู้ เขาอาจจะบอกเพื่อนสนิทว่า ให้บอกกับแม่ของ เขาว่า “ผลสอบผิดพลาด ครูต้องตรวจใหม่ เลยยังไม่ประกาศ”  

การโกหกของเด็กวัยนี้จะเกิดขึ้นเพราะเขาไม่สามารถทำได้ตามที่ผู้ใหญ่คาดหวัง และเพื่อให้ตนเองถูกมองในแง่ดี การโกหก หรือ ความสามารถในการยับยั้งไม่ให้ตัวเองปากโป้งออกไปที่เกิดขึ้นในเด็ก วัย 2-8 ปี ถ้ามองในมุมของประสาทวิทยา ความสามารถนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการพัฒนาของกลีบสมองส่วนหน้า (Frontal lobe) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การออกเสียง ความคิด ความจำ สติปัญญา บุคลิก ความรู้สึก พื้นอารมณ์ การรับรู้ ความเข้าใจ สติปัญญา การมีเหตุผล การแก้ปัญหา การพูด อารมณ์ และความจำในระยะยาว

แต่เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น 10-12 ปีขึ้นไป 

การโกหกจะไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อปกปิดความจริง เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ หรือ ความสนใจ แต่เป็นการโกหก เพราะไม่ต้องการทำร้ายใคร หรือ ทำให้ใครเสียใจ เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น 

ในวัยรุ่น ‘เพื่อน’ คือ สิ่งสำคัญ และ ‘การเป็นที่ยอมรับในสังคม’ คือ สิ่งที่เขาให้ความ สำคัญมาก ดังนั้นถ้าหากเพื่อนของเขาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เด็กวัยรุ่นพร้อมจะช่วย เพื่อนด้วยการโกหกปกปิดความผิดของเพื่อน

แม้แต่การที่เขาทำตามความคาดหวังของพ่อแม่ไม่ได้ เด็กวัยนี้อาจจะโกหกเรา เพราะไม่ต้องการทำให้เราเสียใจ ผิดหวัง หรือ โกรธเขาก็เป็นได้ ดังนั้นการโกหกที่เกิดขึ้นในวัยนี้ซับซ้อน และการจะทำให้เด็กวัยนี้พูดความจริงกับเรา พ่อแม่ต้องพื้นที่ปลอดภัยเพื่อให้ เขารู้สึกวางใจเพียงพอที่จะพูดความจริงออกไป 

แนวทางในการทำให้ลูกกล้าพูดความจริงกับเรา 

‘พ่อแม่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูก’ 

‘พื้นที่ปลอดภัย’ ในที่นี้ไม่ใช่สถานที่ แต่คือบุคคลที่พร้อมให้การยอมรับ ให้การรับฟัง และให้ความช่วยเหลือ 

‘ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับลูกสำคัญมาก’

ถ้าหากเรากับลูกไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การคาดหวังให้ลูกพูดความจริงกับเรา อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เพราะสำหรับเด็กแล้ว การมีความสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยลดกำแพงระหว่างเรากับลูก ให้การพูดความจริงไม่ได้นำไปสู่สิ่งที่น่ากลัว เช่น การลงโทษอย่างรุนแรง ความผิดหวัง และอื่น ๆ แต่เป็นการได้รับความช่วยเหลือจากเราต่างหาก 

‘สนับสนุนและชื่นชมเมื่อลูกพูดความจริง’

เมื่อลูกพูดความจริง แม้สิ่งนั้นจะทำให้พ่อแม่อย่างเรารู้สึกโกรธมากแค่ไหน ก็ให้เราสงบใจ และให้การช่วยเหลือลูกก่อน เมื่อช่วยเหลือแล้ว เราสามารถสอนเขาให้จดจำบทเรียนครั้งนี้ เพื่อว่าในอนาคตเขาจะได้ไม่ทำเช่นนี้อีก 

สุดท้ายอย่าลืมชื่นชมและขอบคุณลูกที่กล้าหาญและพูดความจริงออกมา แม้สิ่งที่เขาทำมันจะเป็นสิ่งที่ผิด แต่อย่างน้อยลูกเลือกที่จะพูดความจริงกับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ เพื่อให้เราได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที 

การลงโทษที่รุนแรงมักนำไปสู่ ‘การโกหก’ มากกว่า ‘การพูดความจริง’ ในขณะที่ ‘ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และเด็ก’ ‘การรับฟัง’ และการทำให้เด็กรู้สึกว่า ‘ตนเป็นที่ยอมรับ’ นำไปสู่ ‘การพูดความจริง’ มากกว่า ‘ปกปิดความจริงนั้นไว้’ ถ้าเด็กรับรู้ว่า ‘การพูดความจริงจะทำให้เขาได้รับการช่วยเหลือ’ เด็กจะเลือกที่จะบอกเรา เพราะไม่มีเด็กคนไหนอยากโกหกหรอก ถ้าเขารู้ว่าผู้ใหญ่ช่วยเหลือเขาได้

‘ทำไมเด็กถึงพูดโกหก’

ในเด็กเล็กมักจะโกหกเพราะต้องการบางอย่าง

(1) ปกปิดความผิด และทำให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดนั้น

(2) อยากทำให้เรื่องราวของพวกเขาน่าตื่นเต้นมากขึ้นหรือทำให้ตัวเองน่าสนใจมากขึ้น เช่น เด็กบางคนเพิ่งอาบน้ำเองเป็นครั้งแรก อาจจะอวดว่าเขาทำได้เองทุกวันเลย

(3) อยากได้รับความสนใจจากพ่อแม่และคนรอบตัว เช่น เห็นน้องตัวเองทำอะไรไม่ได้แล้วร้องให้ช่วย แล้วพ่อแม่ช่วย เด็กอาจจะแสร้งว่าทำไม่ได้แล้วร้องให้เราช่วยเขาบ้าง เพราะเขาต้องการความสนใจจากเรา

(4)  เพื่อให้ได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือ หลีกเลี่ยงสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เช่น ไม่อยากทำการบ้าน เขาอาจจะบอกเราว่าวันนี้ไม่มีการบ้าน 

เด็กโตมักจะโกหกเพราะต้องการหลักเลี่ยงหรือหลบหนีบางอย่าง 

(1) ไม่ต้องการทำให้ใครเสียใจหรือผิดหวัง เช่น เด็กบางคนทำคะแนนสอบได้ไม่ดี แต่ไม่กล้าบอกความจริงกับพ่อแม่ เพราะกลัวว่า พ่อแม่จะผิดหวังใจตัวเขา 

(2) กลัวว่าจะทำให้ใครโกรธหรือไม่พอใจ เช่น เด็กบางคนรู้สึกไม่สบาย แต่เขาไม่กล้าบอกพ่อแม่ เพราะกลัวว่าพ่อแม่จะโกรธเขา

(3) กลัวว่าจะทำให้ตัวเองอับอาย เช่น ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองสอบตก 

บ่อยครั้งเราพบว่า ‘ถ้าการโกหกน่ากลัวน้อยกว่าการพูดความจริงออกไป’ เด็กมีแนวโน้มจะพูดโกหกมากกว่าพูดความจริงออกไป เช่น ผู้ใหญ่อาจจะทำโทษเขารุนแรงจนเด็กรู้สึกหวาดกลัว ครั้งต่อไปเขาเลือกที่จะโกหกดีกว่าพูดความจริงกับเรา

ดังนั้นวันใดที่ลูกพูดโกหก พ่อแม่ควรกลับมาทบทวนว่า 

(1) ‘เวลาลูกทำผิด เรามีแนวโน้มลงโทษรุนแรงมากกว่าจะสอนเขาหรือเปล่า’  เพราะนั่นทำให้เขาเลือกที่จะเก็บปัญหาที่ร้ายแรง แต่น้อยกว่าการพูดความจริงออกไป แล้วโดนทำร้าย 

(2) ‘เวลาลูกทำไม่ได้ตามที่เราหวัง เราแสดงออกชัดเจนว่าเราผิดหวังในตัวเขาหรือไม่’ เพราะในเด็กบางคนไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ เขาจึงเลือกที่จะโกหกเพื่อให้พ่อแม่ของเขาสบายใจ 

(3) ‘ที่ผ่านมาเรามีเวลาและให้ความสนใจเขาเพียงพอหรือไม่’  

เพราะสำหรับเขาการได้รับความสนใจจากการโกหกนั้นดีเสียกว่าการทำสิ่งดีๆ แล้วไม่มีใครสนใจ ‘เขาอยากมีตัวตนมากกว่าที่เป็นอยู่’ 

ทุกครั้งที่เด็กโกหก ไม่มีครั้งไหนที่เขาทำโดยปราศจากสาเหตุ ถ้าหากเราทบทวนให้ดี เราจะรู้ว่าทำไมลูกถึงโกหกเรา 

ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ลูกประสบปัญหาที่ตัวเขาเองแก้ไม่ได้ด้วยตัวเอง เราในฐานะพ่อแม่ ควรเข้าไปเคียงข้างและช่วยลูกให้เขาสามารถแก้ปัญหานั้นได้เสียก่อน

ให้การรับฟังอย่างสงบ ฟังจนจบ ไม่แทรกแซงหรือรีบสั่งสอน 

เมื่อปัญหาคลี่คลายลงแล้วจึงให้การสอนเขา เพื่อให้ลูกเรียนรู้และจดจำเป็นบทเรียน ที่ สำคัญที่สุดต้องให้ลูกรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปเสมอ โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เคียงข้างจน ทำอย่างจบลงด้วยดี 

เด็กมักเรียนรู้จากผู้ใหญ่ใกล้ตัว โดยเฉพาะจากพ่อแม่ของเขา ดังนั้นหากเราอยากให้ลูก พูดความจริง พ่อแม่ควรพูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ

อ้างอิง

Strichartz, A. F., & Burton, R. V. (1990). Lies and truth: A study of the development of the concept. Child development, 61(1), 211-220.

Tags:

ปฐมวัยการโกหกการยอมรับเด็กครอบครัวเข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Family PsychologyEarly childhood
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

โซเชียลมีเดียกับสมองวัยรุ่น: ความอ่อนไหวในโลกออนไลน์ที่งานวิจัยมีคำตอบ
Adolescent Brain
1 August 2022

โซเชียลมีเดียกับสมองวัยรุ่น: ความอ่อนไหวในโลกออนไลน์ที่งานวิจัยมีคำตอบ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุราว 10 ปี สมองก็เริ่มกระตุ้นให้มองหารางวัลจากการเข้าสังคม และอยากให้คนรอบข้างสนใจ ประจวบเหมาะกับการได้ครอบครองสมาร์ตโฟน และการใช้แอปในโซเชียลต่างๆ ก็เปิดโอกาสให้ใช้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ
  • มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ใช้อินสตาแกรมหรือสแนปแชต มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่แอปเหล่านี้ ที่จะไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง
  • ดังนั้น ควรสนับสนุนให้เด็กๆ ที่อายุยังน้อย ใช้โซเชียลมีเดียในเวลาไม่มากเกินไปนักต่อวัน และพยายามหากิจกรรมหรือส่งเสริมให้เด็กๆ มีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมแบบ ‘ต่อหน้า’ กันมากขึ้น

วัยรุ่นกับผู้ใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับโซเชียลมีเดียต่างกันหรือไม่? ถ้าต่างกัน เป็นเพราะเหตุใด? เราสามารถใช้ความรู้ดังกล่าว เพื่อจัดการให้วัยรุ่นใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสมได้อย่างไร?

ปัจจุบันมีแอปเยอะแยะที่เด็กวัยรุ่นทั่วโลกใช้กัน ไม่ว่าจะดาวรุ่งอย่างติ๊กต่อก (TikTok) หรือแชมป์อย่างยาวนานสำหรับคนชอบความบันเทิงอย่าง ยูทูบ (Youtube) แอปยอดนิยมในหมู่เซเลบอย่างอินสตาแกรม (Instagram) และแอปพูดคุยที่ฮิตมากๆ อย่าง ไลน์ (Line) และสแนปแชต (Snapchat) ฯลฯ 

แต่พฤติกรรมเวลาวัยรุ่นใช้แอปพวกนี้ หากเทียบกับผู้ใหญ่ มีความแตกต่างกันมากทีเดียว คำตอบอาจจะอยู่ที่ความแตกต่างระหว่างสมองของวัยรุ่นกับสมองของผู้ใหญ่ครับ สมองของคนสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันมากหลายเรื่อง 

พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุสักราว 10 ปี สมองก็เริ่มกระตุ้นให้มองหารางวัลจากการเข้าสังคม และอยากให้คนรอบข้างสนใจ เรื่องนี้ฝังอยู่ในดีเอ็นเอตามวิวัฒนาการของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์ 

จังหวะสำคัญนี้สำหรับหลายคนก็มักจะประจวบเหมาะกับการได้ครอบครองสมาร์ตโฟน และการใช้แอปในโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็เปิดโอกาสให้ใช้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ โดยเฉพาะเมื่อประจวบเหมาะกับการมาถึงของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นสาเหตุของความกระวนกระวายใจหรือแม้แต่ความซึมเศร้า เนื่องจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางตรงกับเพื่อนฝูง 

โซเชียลมีเดียจึงยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงเวลาพิเศษนี้ 

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า หากพิจารณาลงละเอียดขึ้นไปอีก จะพบว่าผลกระทบเกิดกับส่วนจำเพาะเจาะจงมากของสมองของวัยรุ่นเหล่านี้ เรียกว่า เวนทรัล สไตรเอตัม (ventral striatum) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่มีตัวรับ ‘ฮอร์โมนความสุข’ ไม่ว่าจะออซิโตซิน (oxytocin) หรือโดพามีน (dopamine) อยู่เต็มไปหมด

สมองจะหลั่งสารเหล่านี้เวลามีคนชมรอยยิ้ม ความฉลาด หรือทรงผมที่เพิ่งตัดมาใหม่ และอีกสารพัดเรื่อง ผลก็คือทำให้พวกวัยรุ่นมีความสุข ความพอใจ ทำให้เด็กวัยนี้ไวเป็นพิเศษต่อความสนอกสนใจหรือความเอาใจใส่ และความชื่นชมของเพื่อนฝูงและแน่นอนว่า แฟนด้วยเช่นกัน 

เรื่องเหล่านี้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการอย่างยาวนานของมนุษย์ที่ทำให้ชอบการเข้าสังคม จึงอาจกล่าวได้ไม่ผิดว่า สมองส่วนเวนทรัล สไตรเอตัมนี้ เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการใช้โซเชียลมีเดีย เพราะทุกครั้งที่ได้รับรางวัลจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 

ฮอร์โมน 2 ชนิดดังกล่าวในสมองส่วนนี้ก็จะหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ

ตำแหน่งใกล้ๆ กับสมองส่วนดังกล่าวคือ ตำแหน่งสมองส่วนที่เรียกว่า เวนทรัลพัลลิดัม (ventral pallidum) ที่เป็นส่วนหลักที่เกี่ยวข้องกับ ‘แรงจูงใจ’ โครงสร้างทั้ง 2 ส่วนนี้ขับเคลื่อนด้วยพฤติกรรมเชิงสัญชาตญาณต่างๆ และมีตำแหน่งอยู่ใต้เปลือกสมองส่วนหน้าที่ใช้วิเคราะห์หลักเหตุผลและเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้เอง

ในสมองของผู้ใหญ่ โซเชียลมีเดียก็เชื่อมโยงกับการกระตุ้นสมองส่วนศูนย์กลางการให้รางวัลนี้เช่นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์แตกต่างกันพอสมควร เพราะมีปัจจัยสำคัญอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย ปัจจัยแรกคือ ในผู้ใหญ่มีแนวโน้มของความรู้สึกเป็นตัวตนมากกว่า จึงพึ่งพาความคิด ความเห็น และปฏิกิริยาตอบสนองจากโซเชียลมีเดียน้อยกว่า 

อีกปัจจัยหนึ่งได้แก่ เรื่องที่ผู้ใหญ่มีสมองส่วนเปลือกสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ที่ใช้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกเติบโตเต็มที่มากกว่า จึงทำให้ควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์ต่อรางวัลจากการเข้าสังคมออนไลน์น้อยกว่า 

พูดง่ายๆ คือ ผู้ใหญ่โดน ‘ปั่นหัว’ ด้วยปฏิกิริยาในโซเชียลมีเดียอย่างเข้มข้นน้อยกว่า เพราะสมองของพวกเขาต่างจากสมองของวัยรุ่น

สำหรับวัยรุ่นแล้ว ‘แรงขับ (drive)’ จากการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้าต่อตาและจากการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย มีความแตกต่างกันมากพอสมควร งานวิจัย [1] ระบุว่า เนื่องจากธรรมชาติของความคงทนถาวรและ ‘ความเป็นสาธารณะ’ ของปฏิสัมพันธ์แบบออนไลน์ ทำให้มันส่งผลกระทบได้มากกว่า 

ในการพูดคุยกันต่อหน้าแบบปกติ แต่ละคนอาจไม่แน่ใจว่าคนอื่นชอบสิ่งที่เราทำหรือไม่ แล้วก็จบไปแบบนั้น แต่กับโซเชียลมีเดียกลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะตัวเด็กเอง เพื่อนๆ และแม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักพบปะกันมาก่อน สามารถ ‘ให้รางวัล’ ผ่านทางการกดไลก์ เขียนคอมเมนต์ ดูสิ่งที่โพสต์ หรือกดติดตามได้

การกระทำต่างๆ ยังทิ้งร่องรอยไว้ และผลลัพธ์จะอยู่บนโลกออนไลน์ไปได้อีกนานมาก  

ยิ่งเด็กและวัยรุ่นเข้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อหาเรื่องสนุกๆ ดู หรือเพื่อพูดคุยกับเพื่อนๆ  ก็ทำให้พวกเขา ‘อ่อนไหว’ ต่อประสบการณ์ในนั้นมากขึ้นด้วย และแม้แต่อาจโดนหลอกใช้หรือทำร้ายล่วงเกินด้วยคำพูดและการกระทำบางอย่างได้โดยง่ายอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่เด็กๆ ที่ใช้โซเชียลมีเดียมาก มักจะอ่อนไหวกับเรื่องรูปร่างมากขึ้น 

มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ใช้อินสตาแกรมหรือสแนปแชต มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่แอปเหล่านี้ ที่จะไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง [2] 

อายุที่เริ่มใช้งานโซเชียลมีเดียก็มีความสำคัญ เด็กที่เริ่มใช้โซเชียลมีเดีย (ในงานวิจัยนี้ใช้อินสตาแกรมและสแนปแชตเป็นตัวแทน) ขณะอายุ 10 ปีหรือเร็วกว่านั้น มีปัญหาเรื่องพฤติกรรมบนออนไลน์มากกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับพวกที่เริ่มใช้ขณะเริ่มเข้าวัยรุ่น (อายุ 11-12 ปี) หรือเป็นวัยรุ่นตอนต้น 13 ปีขึ้นไป [3] 

ปัญหาดังกล่าวครอบคลุมทั้งเรื่องเพื่อนที่เลือกคบบนออนไลน์ เว็บไซต์หรือกลุ่มบนโซเชียลมีเดียที่เลือกเข้าร่วม (ที่ผู้ปกครองมักคิดว่าไม่เหมาะจะเข้า) รวมไปถึงการมีพฤติกรรมไม่พึงปรารถนา เช่น หัวร้อนง่าย ชอบล่วงเกินหรือทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูด หรือแม้แต่ล่วงละเมิดทางเพศผ่านออนไลน์     

น่าสงสัยว่าผลกระทบต่อการพัฒนาของสมองแบบนี้จะเกิดขึ้นกับวัยรุ่นเหล่านี้ ‘ยกรุ่น’ เลยหรือไม่?

มีการทดลองที่น่าสนใจ นักวิจัยสร้างสถานการณ์เทียมที่จำลองห้องแชตขึ้น แล้วให้สาววัยรุ่นที่มาเข้าร่วมการวิจัยใช้งาน โดยมีภารกิจกำหนดไว้ให้ และมีสาววัยรุ่นคนอื่นๆ ที่อายุไล่เลี่ยกันกด ‘ยอมรับ’ หรือ ‘ปฏิเสธ’ สิ่งที่อาสาสมัครคนนั้นทำ ขณะเดียวกันก็ใช้เครื่อง fMRI สแกนสมองเพื่อวัดปริมาณเลือดและออกซิเจนไปพร้อมๆ กัน เพื่อทำแผนที่สมอง (ปริมาณเลือดมากและออกซิเจนสูงในที่ใดก็คือ ใช้งานสมองส่วนนั้นมาก)

นอกจากนี้ ยังมีแอปที่เลียนแบบอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก และคอยตรวจวัดสมองในตอนที่มีคนอื่นกดไลก์ให้ ทำให้ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เพราะเชื่อมโยงให้เห็นปฏิกิริยาของสมองต่อสิ่งเร้าได้อย่างชัดเจนมาก 

งานวิจัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ เริ่มทำให้เห็นว่าอันที่จริงแล้ว สมองวัยรุ่นมีความยืดหยุ่นสูง มีความสามารถในการปรับเปลี่ยน และพัฒนาให้เกิดข้อดีหลายๆ ด้านได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เช่น เนื้อสมองส่วนสีเทาในส่วนซีรีบรัลคอร์เทกซ์ (cerebral cortex) มีแนวโน้มจะบางลง ขณะที่เนื้อสมองส่วนสีข่าวที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของสมองมักจะมีปริมาณมากขึ้น 

เดิมเชื่อกันว่าสมองของสาววัยรุ่นจะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่มากที่สุดก่อนวัยรุ่นชาย [4] สอดคล้องกับสภาพร่างกายภายนอกที่เราจะเห็นได้ว่า วัยรุ่นช่วงต้น (ราวมัธยมศึกษาตอนต้น) นั้น เด็กหญิงโตเร็วกว่าเด็กชายอย่างเห็นได้ชัด

แต่เรื่องไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น งานวิจัยใหม่ๆ สรุปว่าสมองของเด็กชายมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราที่ใกล้เคียงกันมากกว่า เพียงแต่ลักษณะที่ตรวจวัดได้ง่ายกว่า เช่น ความหนาของส่วนเปลือกสมอง มองเห็นได้ชัดมากกว่าแค่นั้น [5]  

ผู้วิจัยสมองจึงคิดค้นวิธีการแบบใหม่ๆ ขึ้นมาใช้แทนที่การเปรียบเทียบแค่เพียงโครงสร้างหรือการทำงานของวัยรุ่นตอนต้นและตอนกลาย เช่น เทียบระหว่างอายุ 12 ปีกับ 18 ปี แต่อาศัยการทำวิจัยที่เริ่มเมื่ออายุยังน้อย เช่น 12 ปี แล้วติดตามอย่างต่อเนื่องไปตลอด 3 ปี ทำให้เห็นรายละเอียดการพัฒนาของสมองเชิงลึกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

มีความร่วมมือในการทดลองขนาดใหญ่ เช่น โครงการ ABCD (Adolescent Brain Cognitive Development) ที่ศึกษาตัวอย่างเด็กวัยรุ่นเกือบ 12,000 คนต่อเนื่อง 10 ปี ซึ่งให้ข้อมูลการพัฒนาของสมองในช่วงอายุดังกล่าวอย่างละเอียด ทั้งการพัฒนาของเซลล์ประสาท การทดสอบสุขภาพสมองและสุขภาพจิตด้วยวิธีการทางคลินิก และข้อมูลอุปนิสัยที่ครอบคลุมเรื่องการใช้สารเสพติด และสัมฤทธิผลทางการศึกษา 

ขณะนี้มีงานวิจัยราว 250 เปเปอร์แล้วที่ใช้ชุดข้อมูลการสำรวจจากโครงการนี้ โดยครึ่งหนึ่งเป็นการนำข้อมูลไปใช้โดยผู้ที่ไมได้ร่วมก่อตั้งความมือดังกล่าว แต่ขอใช้ข้อมูลดังกล่าวที่เป็นอิสระให้นำไปใช้ได้ 

ยังมีโจทย์ปัญหาที่ท้าทายอีกมากเกี่ยวกับสมองของวัยรุ่น เช่น การหาคำตอบว่าสมองของวัยรุ่นนอก ‘สภาวะจำลอง’ ในห้องทดลองทำงานอย่างไรแน่? มีแบบจำลองอื่นหรือวิธีการอื่นใดที่จะใช้วัดปฏิกิริยาของสมองกับสิ่งแวดล้อมได้บ้าง เช่น สมองของวัยรุ่นมีปฏิสัมพันธ์กับ ‘ตัวกระตุ้น’ อย่างโซเชียลมีเดียหรือวิดีโอเกมอย่างไรกันแน่ในชีวิตจริง? 

ไม่แน่ว่าด้วยเครื่องมือที่ละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อนมากขึ้น เราอาจจะลงลึกและเข้าใจสมองของวัยรุ่นได้ดียิ่งขึ้น และสามารถช่วยให้เด็กๆ มีชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น    

แต่ระหว่างนี้ก็ควรสนับสนุนให้เด็กๆ ที่อายุยังน้อย ใช้โซเชียลมีเดียในเวลาไม่มากเกินไปนักต่อวัน และพยายามหากิจกรรมหรือส่งเสริมให้เด็กๆ มีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมแบบ ‘ต่อหน้า’ กันมากขึ้น 

เช่นนี้แล้วก็น่าจะช่วยปกป้องสมองของวัยรุ่นและส่งเสริมบุคลิกลักษณะที่ดี และทำให้เรียนรู้วิธีการเข้าสังคมจริงได้ดียิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

[1] Psychological Inquiry, Vol. 21, No. 3, 2020  

[2] Saiphoo, A. N., & Vahedi, Z., Computers in Human Behavior, Vol. 101, 2019

[3] Charmaraman, L., et al., Computers in Human Behavior, Vol. 127, 2022

[4] Lenroot, R. K., & Giedd, J. N., Brain and Cognition, Vol. 72, No. 1, 2010

[5] Mills, K. L., et al., NeuroImage, Vol. 242, 2021

Tags:

สมองวัยรุ่นโซเชียลมีเดียการเรียนรู้

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • loneliness-nologo
    How to enjoy life
    ‘ภัยเงียบของความเหงา’ เมื่อคนมากมายไม่อาจเติมช่องว่างทางความรู้สึก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    เตรียมพร้อมเด็กไทยในวันที่โลกเปลี่ยน: พ่อแม่และโรงเรียนต้องหมั่นอัพเดทตัวเองอยู่เสมอ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    VISUALIZATION: ในโลกของ BIG DATA เราต้องการนักสร้างภาพจากมหาสมุทรข้อมูล

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊antizeptic ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel