Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2022

แบวูล์ฟ: ความขี้โกหกและการสัมผัสลักษณะต่างๆ ภายในตนเอง
Myth/Life/Crisis
30 June 2022

แบวูล์ฟ: ความขี้โกหกและการสัมผัสลักษณะต่างๆ ภายในตนเอง

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • แบวูล์ฟ หนุ่มบึกบึนสายท้าชน ผู้ชอบคุยโม้กึ่งจริงกึ่งเท็จ เดินทางมายังเดนมาร์กเพื่อเสนอตัวรบรากับ ปีศาจเกรนเดล แต่ด้วยความโลภจากข้อเสนอของปีศาจแม่แกรนเดล เขาจึงโกหก ทำให้เขาต้องอยู่กับราชสมบัติจากความลวงต่อจาก กษัตริย์ฮรอร์ธการ์
  • ตัวเราเองก็มีกลไกการปกป้องอัตตาตัวเองและไม่ได้ซื่อตรงขนาดนั้น เช่นเดียวกันกับ ‘แบวูล์ฟ’ แต่ทั้งเราและแบวูล์ฟอาจมีสิ่งหนึ่งร่วมกันก็คือ ความต้องการการยอมรับหรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องการจะถูกสังคมปฏิเสธ
  • เมื่อสัมผัสกับลักษณะเหล่านั้นและรู้สึกถึงพลังที่ผุดขึ้นจากภายในและผสานไปกับลักษณะอื่นๆ ที่อยู่ก่อนหน้า เช่น การพร้อมรับฟัง การโอบกอด ก็กลายเป็นมวลพลังซ้อนประสาน ที่พร้อมแผ่ออกไปส่งเสริมได้ลื่นไหลกว่าเดิม

1.

ค่ำคืนแห่งการเลี้ยงฉลองอันคึกครื้น เหล่าผู้กล้าในโรงเมรัยแห่งเดนมาร์กต่างกระดกสุรากันอย่างสนุก แต่ทันใดนั้น ปีศาจ เกรนเดล – ซึ่งดูเหมือนเด็กน้อยถูกทอดทิ้ง – ที่อาศัยอยู่ห่างไกลออกไปในถ้ำชื้นแฉะก็ทนเสียงรื่นเริงของคนอื่นไม่ได้ เกรนเดลตัวใหญ่ยักษ์บุกเข้าเข่นฆ่าพวกนักรบ แต่ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ทำร้าย ‘พ่อ’.. กษัตริย์ฮรอร์ทการ์ ผู้หลับนอนกับนางปิศาจ เพื่อแลกมธุรสรางวัลอันแฝงด้วยความขมขื่น

เมื่อเรื่องราวสยดสยองได้ถูกเล่าขาน แบวูล์ฟ หนุ่มบึกบึนสายท้าชน ก็เดินทางมายังเดนมาร์กเพื่อเสนอตัวรบรากับปีศาจ แบวูล์ฟ โม้ว่าเขาสังหารอสูรทะเลไป 7 ตน แต่คราวก่อนเหมือนจะเล่าว่าฆ่าไป 3!? (เรื่องเล่าครั้งไหนจริงนะ หรือไม่มีอะไรจริงเลย?) ภาพความทรงจำของเขาที่จวนจะนัวเนียกับนางอสูรทะเลนั้นแย้งกับเรื่องเล่าของเขาอย่างกลับตาลปัตร 

ไม่ว่าเรื่องโม้ของเขาจะกึ่งจริงกึ่งเท็จมากเพียงไหน ชาวเดนมาร์กก็ต้องการความช่วยเหลือ และในที่สุด แบวูล์ฟก็สามารถฆ่าแกรนเดลได้ เพียงเพื่อจะพบว่าเขายังต้องพิชิตปีศาจที่เป็นแม่ของแกรนเดลด้วย.. 

เขามุ่งหน้าไปยังรังของปีศาจตัวแม่และเผชิญนางด้วยความอาจหาญ

..และ ด้วยความหื่นใคร่ทะยานอยากในอำนาจราชศักดิ์ ความมั่งคั่ง บารมี และชื่อเสียงยอยศระดับตำนาน ที่นางสัญญาจะมอบให้ 

แบวูล์ฟเสพสังวาสกับนาง แล้วกลับมายังราชสำนักเพื่อเผยอกรับการสรรเสริญ เขาโม้เรื่องการสังหารแม่แก่ๆ ของเกรนเดลอย่างองอาจ …นั่นเองทำให้กษัตริย์ฮรอร์ธการ์ปล่อยก๊ากออกมาอย่างเบาใจ ทั้งสองต่างรู้แก่ใจว่าในท้องถ้ำนั้นไม่ได้สถิตไว้ซึ่งนางปิศาจชราน่าเกลียดที่ถูก ‘วีรบุรุษ’ ปลิดชีพ เป็นพวกเขาต่างหากที่ต่างพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์เย้ายวนของนาง และมากไปกว่านั้นก็คือแพ้ลาภยศสรรเสริญต่างๆ ที่นางสัญญาจะมอบให้

“นางไม่ใช่คำสาปของข้า ไม่อีกต่อแล้ว” กษัตริย์ฮรอร์ทการ์กล่าวด้วยความโล่งอก และประกาศยกอาณาจักร มเหสีผู้เลอโฉม และทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่แบวูล์ฟก่อนที่เขาจะปลิดชีพตน และบัดนี้มันกลายเป็นของ ‘วีรบุรุษ’ หนุ่มแล้ว

แต่จอมราชันองค์ใหม่ก็ยังต้องอยู่กับความจริงอีกด้านของตน ซึ่งลวงอย่างยิ่ง ก่อนที่ในช่วงหลังของชีวิต เขาจะเติบโตและยอมรับความจริงมากขึ้น

2.

แบวูล์ฟ แข็งแรง กล้าหาญในหลายเรื่อง และมีลักษณะอันน่าสรรเสริญอีกหลายอย่าง แต่เขาก็ขี้ขลาดในบางเรื่องและขี้โกหกด้วย อย่างไรก็ตาม แทนที่จะต้องมานั่งเสียเวลามากเกินไปกับการทำความเข้าใจเขาว่าโกหกไปเพื่ออะไรบ้าง

ประการแรก เราสามารถแบ่งเวลามาทำความรู้จักกับตัวเองเพื่อวิวัฒน์ขยายขอบเขตภายใน ผ่านการพิจารณาตัวเองอย่างพยายามไม่ลำเอียง ซึ่งก็จะพบว่าเราเองก็มีกลไกการปกป้องอัตตาตัวเองและไม่ได้ซื่อตรงขนาดนั้น หรือมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเองที่ไม่คงเส้นคงวาเช่นเดียวกันกับแบวูล์ฟ บางทีเราสามารถเล่าเรื่องสำเร็จดีงามของตัวให้ขยายใหญ่กว่าที่เป็น รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง เพราะเราเองก็อ่อนแอเกินไปที่จะยอมรับว่าเราไม่ได้ดีหรือเก่งหรือบางทีเราก็ไม่ได้เคารพให้เกียรติคนอื่นอะไรขนาดนั้น และหลายครั้งมันก็ยากที่จะยอมรับในการกระทำอันน่าละอายของตนด้วย ทั้งเราและแบวูล์ฟอาจมีสิ่งหนึ่งร่วมกันก็คือ ความต้องการการยอมรับหรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องการจะถูกสังคมปฏิเสธ 

อีกประการหนึ่ง ทุกคนสามารถมีลักษณะต่างๆ มากมายที่ขัดแย้งกันเองปะปนกันไปในตัวแบวูล์ฟเองก็ไม่ได้มีแค่ความขี้โกหก แต่ยังมีลักษณะอื่นๆ ที่เราสามารถตระหนักรู้ว่ามีอยู่ในตัวเองได้อย่างลึกซึ้งขึ้น และเรียนรู้ที่จะนำมาใช้ให้เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็น ความห้าวหาญ ดุดัน กล้าปะทะ กล้าเสี่ยง ชอบแข่งขัน กล้ากระโจนเข้าสู่ความโกลาหล นำและแผ่ขยาย ฯลฯ (ทุกลักษณะส่งผลได้ทั้งที่เป็นคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับวิถีที่เราใช้) 

3.

กลับเข้าสู่ด้านในตัวเอง สัมผัสกับลักษณะที่เราลืมเลือนเหล่านั้นและรู้สึกถึงพลังที่ผุดขึ้นจากภายใน…

และเมื่อมันได้ผสานไปกับลักษณะอื่นๆ ที่เราคุ้นชินอยู่ก่อนหน้า เช่น การพร้อมรับฟัง การโอบกอด ความนุ่มนวล การประนีประนอม ฯลฯ เหล่านั้นก็กลายเป็นมวลพลังซ้อนประสาน ที่พร้อมแผ่ออกไปส่งเสริม เป็นพันธมิตร ปกป้องคุ้มครองสิ่งอื่น หรือทำกิจกรรมใดๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าเดิม

อ้างอิง

ภาพยนตร์ แบวูล์ฟ โดยมีพื้นฐานจากกวีมหากาพย์ (ดู Beowulf Old English poem)

คนขี่เสือ โดย ภวาณี ภัฏฏาจารย์ ผู้แปล จิตร ภูมิศักดิ์ ขอบคุณเสียงของจันทรเลขา

Tags:

การโกหกการยอมรับแบวูล์ฟความรู้สึกจิตใจ

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Book
    อ้าแขนรับความรู้สึกไม่สบายใจ ต้อนรับความรู้สึกที่จำเป็นต้องรู้สึก: หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ Ep2

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • emotional corrective experience-cover
    Healing the trauma
    บาดแผลทางใจอาจลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยความคิด การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดที่ความรู้สึกด้วย (emotional corrective experience)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Healing the trauma
    Projective Identification ปมในจิตใจอาจเป็นสาเหตุให้เรากลับมาทิ่มแทงตัวเอง 

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    Emotional Projection: ในโลกวุ่นวาย ใครใจร้ายรอด?

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’
Early childhoodFamily Psychology
29 June 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย (0-6 ปี) เต็มไปด้วยพลังและความอยากรู้อยากเห็น และสามารถเรียนรู้ได้ดีผ่าน ‘การเล่น’ และ ‘ระบายแรง’ ของตัวเองออกมา เพราะการเล่นจะช่วยเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและสมองให้กับเด็กๆ สำหรับการเรียนรู้ขั้นสูงต่อไป
  • เด็กที่ได้เล่นอย่างเพียงพอจะสามารถ ‘ควบคุมกำกับตนเอง’ ได้ดีขึ้น แต่ทักษะการควบคุมกำกับตนเอง จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นใจ และได้รับการปลูกฝังมาเรื่อยๆ ไม่สามารถเร่งรัดชั่วข้ามคืนได้
  • เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น ไม่ได้มีปัญหาในด้านสติปัญญาหรือพัฒนาการด้านอื่นๆ แต่ปัญหาเรื่องการจัดระบบระเบียบความคิดและการคงสมาธิกับเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน จึงมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง และสามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เล็กๆ

ทำความเข้าใจธรรมชาติของเด็กปฐมวัย 

ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย (0-6 ปี) เต็มไปด้วยพลังและความอยากรู้อยากเห็น เด็กวัยนี้ เรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น และในขณะเดียวกันการเล่นก็ช่วยเตรียมความพร้อมทางด้าน ร่างกายและสมองให้กับเด็กๆ สำหรับการเรียนรู้ขั้นสูงต่อไป 

โดยเฉพาะการเล่นที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ ผ่านการ วิ่งเต็มแรง กระโดดไปมา ปั่นจักรยาน ปีนต้นไม้ ปีนป่ายสิ่งกีดขวางในสนามเด็กเล่น ขุด ดิน เล่นทราย เล่นน้ำ เก็บหิน เก็บใบไม้ และอื่นๆ 

เด็กปฐมวัยควรได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือวิ่งเล่นจนเหงื่อออกหัวเปียกชุ่ม ประมาณ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน (Baumgartner, Jackson, Mahar, & Rowe, 2015) ซึ่งสามารถแบ่งเวลาวิ่งเล่นออกเป็นช่วงๆ ได้ เช่น ช่วงระยะเวลา 1 ชั่วโมง เช้าเย็น และช่วงระยะเวลา 30 นาที ย่อยๆ ระหว่างวัน ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมงต่อครั้ง 

ทั้งนี้การระบายแรงอย่างเหมาะสมจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาที่และกติกาที่เหมาะสม 

ผู้ใหญ่ควรกำหนดกติกากับเด็กให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ได้แก่ ‘กฎ 3 ข้อ’ 

(1) ไม่ทำร้ายตัวเอง (ไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ) 

(2) ไม่ทำร้ายผู้อื่น 

(3) ไม่ทำลายข้าวของ 

ถ้าเด็กๆ ทำผิดกติกาให้ผู้ใหญ่ตักเตือน 1 ครั้ง แต่ถ้าทำผิดในครั้งที่ 2 ให้ผู้ใหญ่บอกเด็กๆ ชัดเจนว่า “เราเลือกที่จะทำผิดกติกา ดังนั้นเราไม่พร้อมเล่นสิ่งนี้หรืออยู่ตรงนี้ต่อ เราจะหยุดเล่นหรือกลับบ้านกัน” เพื่อให้เด็กๆ รู้ว่าตัวเขาเป็นผู้เลือกและรับผิดชอบต่อการเลือกนั้นไม่ใช่ผู้ใหญ่ 

เมื่อใกล้เวลาเลิกเล่น ให้ผู้ใหญ่เตือนเด็กๆ ล่วงหน้าก่อนเวลาเลิก 5-10 นาที เพื่อให้เด็กๆ เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมเก็บของ (Cool down) ก่อนเวลาหมดลง หากหมดเวลาแล้วเด็กๆ ไม่ยอมยุติการเล่น ให้ผู้ใหญ่พูดชัดเจนว่า “หมดเวลาแล้ว เก็บของ/กลับบ้าน กัน” และลงไปพาเขาเก็บของหรือจูงมือเขากลับบ้านด้วยกัน

การฝืนธรรมชาติของเด็กปฐมวัย

ในทางกลับกัน ถ้าหากเด็กเล็กต้องนั่งนิ่ง ไม่ว่าจะทำกิจกรรมนั่งโต๊ะในห้องเรียนนานๆ หรือการดูหน้าจอ แม้ว่าเขาจะสามารถทำได้ แต่พลังงานที่มีมากมาย ผนวกกับสมองที่ต้องทำงานตลอดเวลา เมื่อจบกิจกรรมดังกล่าว เด็กอาจจะไม่สามารถอยู่นิ่งได้อีก เขาจะหาที่ระบายแรง 

เด็กๆ อาจจะอยู่ไม่สุข วิ่งไปมา ปีนนู่นปีนนี่ และเมื่อถูกห้ามไม่ให้เล่น เด็กๆ อาจจะลงเอยด้วยการทำพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสม และเด็กที่ไม่ได้เล่นเคลื่อนไหว ร่างกายอย่างเพียงพออาจจะส่งผลต่ออารมณ์ เด็กอาจจะมีความหงุดหงิดงุ่นง่านได้ง่าย รวมทั้งการคงสมาธิจดจ่อต่อสิ่งใดได้ไม่ต่อเนื่อง ทำให้ทำกิจกรรมไม่เสร็จและรอคอยได้ไม่นาน 

ดังนั้นเด็กปฐมวัยควรได้รับการส่งเสริมในเรื่องของการเคลื่อนไหวร่างกายทั้งมัดเล็ก และมัดใหญ่ เพื่อให้เขามีร่างกายที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้ขั้นต่อๆ ไปในอนาคต

เมื่อเด็กๆ มีพลังมากล้น ผู้ใหญ่ต้องสอนทักษะการควบคุมกำกับตนเอง (Inhibitory control) ให้กับพวกเขา

เด็กๆ ที่พลังมากล้นก็เปรียบเสมือนกับรถที่เต็มไปด้วยน้ำมันและวิ่งได้เร็วฉิว ในขณะที่ทักษะการควบคุมกำกับตนเองเปรียบเสมือนกับเบรกที่จะช่วยให้รถคันนี้หยุด เมื่อเจอไฟแดงและไม่พุ่งชนหรือวิ่งตกเหว ก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทาง 

ทักษะนี้ทำให้เด็กปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นเดือดร้อนและสามารถกำกับตัวเองไปจนถึงเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ใหญ่นอกจากจะส่งเสริมพัฒนาเด็กในด้านต่างๆ แล้ว เราควรจะหันกลับมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะการควบคุมกำกับตนเองให้กับเด็กๆ ควบคู่ไปด้วย

การพัฒนาทักษะการควบคุมกำกับตนเองจะเกิดขึ้นได้เมื่อ… 

(1) เด็กมีพื้นฐานความสัมพันธ์ภายในบ้านที่ดี เขาสามารถวางใจในสภาพแวดล้อมได้ กล่าวคือ พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูมีเวลาคุณภาพให้กับเด็ก (เล่น อ่านนิทาน ทำงานบ้าน และ การสัมผัสทางร่างกาย กอด หอม และอื่นๆ) 

(2) เด็กสามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้ เช่น เด็กสามารถวางแผนการเคลื่อนไหว ร่างกาย (ลุก ยืน เดิน นั่ง นอน) ด้วยตนเอง เด็กควบคุมการขับถ่ายได้แล้ว และเด็ก สามารถพูดสื่อสารบอกความต้องการของตนให้กับผู้อื่นได้รับรู้

หากเด็กๆ ไม่มี 2 ข้อนี้ อย่าเพิ่งคาดหวังจะพัฒนาทักษะการควบคุมกำกับตนเองในเชิงความคิด จิตใจ และการกระทำ เพราะนั่นย่อมไม่เกิดขึ้นในเด็กที่ยังไม่สามารถวางใจในสภาพแวดล้อมและควบคุมร่างกายตนเองได้ โดยปกติแล้วเด็กจะเริ่มเรียนรู้พัฒนาทักษะนี้ได้ตอนประมาณ 3 ปีขึ้นไป

แนวทางในการพัฒนาการควบคุมกำกับตนเองในเด็กเบื้องต้น 

(1) ให้เด็กช่วยเหลือตนเองในสิ่งที่เขาควรจะทำได้ตามวัยของเขา เช่น ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว ใส่รองเท้า ถือกระเป๋าไปโรงเรียน เพื่อให้เขารู้จักควบคุมกำกับตนเองให้ทำหน้าที่ของตนจนสำเร็จลุล่วง ถึงแม้จะทำได้ไม่ดี ไม่สะอาด ไม่เรียบร้อย ไม่เป็นไร ผู้ใหญ่ช่วยสอนย้ำรอบสองได้ สิ่งสำคัญต้องปล่อยให้เขาได้ทำด้วยตนเอง ลดการช่วยเหลือในสิ่งที่ทำได้ด้วยตนเองแล้ว ไม่อุ้ม ถ้าเขาเดินได้แล้ว ไม่ทำให้เมื่อเขาเคยทำได้มาก่อน ผู้ใหญ่ควรให้กำลังใจและรอคอยอย่างอดทน 

(2) มอบหมายงานส่วนรวม (งานบ้าน) ให้เด็กรับผิดชอบ งานนั้นควรเหมาะสมตามวัยของเด็ก เช่น ในเด็กเล็กเราอาจจะมอบหมายงานเช็ดโต๊ะและล้างแก้วน้ำของตนเองหลัง กินข้าวเสร็จ รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง และอื่นๆ (สามารถดูงานบ้านต่างๆ ตาม วัยของเด็กได้ตามอ้างอิงท้ายบทความ) 

(3) เมื่อเด็กอยากได้สิ่งใด นำสิ่งนั้นมาเป็นเป้าหมาย แล้วให้เขาพยายามเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นด้วยตัวเขาเอง เช่น เด็กอยากซื้อของเล่นชิ้นหนึ่งมาก พ่อแม่อาจจะให้เขา ช่วยทำงานบ้านเพิ่มเติม และให้เงินเขาไปหยอดกระปุก เมื่อสะสมครบ เราค่อยพาเขา ไปซึ้อ เป็นต้น อย่าให้ทันที เพราะการได้สิ่งใดมาโดยง่ายอาจจะทำให้เด็กไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ถ้าเขาได้ของมาด้วยความพยายามของตนเอง เขาต้องอดทนควบคุมกำกับตนเองให้สะสมเงินวันละนิดวันละหน่อยจนเพียงพอนำไปซื้อของ เขาจะเกิดความภาคภูมิใจอย่างมาก 

(4) การทำตารางเวลาที่บ้าน และการมีกติกาภายในครอบครัวที่ชัดเจน ช่วยให้เด็กเรียนรู้การควบคุมกำกับตนเองว่า ‘เวลาไหนเขาควรทำอะไร และในหนึ่งวันเขาต้องทำอะไรบ้าง’ เพราะเด็กที่รู้ตารางเวลาและเคารพกติกา (ทุกคนในบ้านทำเหมือนกัน) เขาจะเรียนรู้คุณค่าของเวลาและการกำกับตนเองให้ทำทุกอย่างให้เสร็จทันเวลา เขาต้องยับยั้งชั่งใจทำงานบ้าน การบ้าน ก่อนไปเล่นได้ 

(5) ให้เด็กได้เล่นอย่างเด็กๆ ได้วิ่งเล่นปล่อยพลัง เล่นทราย เล่นน้ำ เล่นกับเรา เล่นอย่างเพียงพอและเหมาะสม เด็กที่ได้เล่นอย่างเพียงพอ จะสามารถควบคุมกำกับตนเองได้ดีขึ้น เพราะเด็กเป็นวัยที่มีพลังมากมาย มีคนเคยเปรียบเด็กๆ ว่า ถ้าเป็นนักวิ่ง พวกเขาจะเป็นนักวิ่งมาราธอนชั้นเยี่ยม เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและมีพลังเหลือเฟือที่จะสิ่งได้ตลอดเวลา

‘การควบคุมกำกับตนเอง’ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้แค่ในเวลาเพียงข้ามวันหรือข้ามคืน เด็กต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นใจ และได้รับการปลูกฝังมาเรื่อยๆ ยิ่งสอนเขาตั้งแต่ ยังเล็ก แม้จะยากและฝืนใจคนรอบข้าง แต่เชื่อเถอะ ดอกผลที่งอกงามจะทำให้พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่อย่างเราหายเหนื่อย สุดท้าย ‘การควบคุมตนเอง’ เป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กคนหนึ่งสามารถเดินไปบนหนทาง แห่งการเรียนรู้อันยาวไกล โดยไม่ยอมแพ้หรือไม่ตกเหวไปเสียก่อน อย่าเร่งเรียน เร่งทุกอย่าง แต่ลืมที่จะสอนทักษะที่สำคัญอันนี้ให้กับเด็กๆ ของเรา

‘เด็กซน’ vs ‘เด็กสมาธิสั้น’ 

โรคซนสมาธิสั้น (Attention-Deficit/Hyperactivity Disordr: ADHD) เป็นโรคพัฒนาการล่าช้าเฉพาะในส่วนของการควบคุมกำกับตัวเอง การคิดวางแผน ยับยั้งชั่งใจ และเรียงลำดับความสำคัญ ซึ่งอยู่ภายใต้การทำงานของสมองส่วนหน้า (Prefrontal  Cortex) ดังนั้นเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นไม่ได้มีปัญหาในด้านสติปัญญาหรือพัฒนาการ ด้านอื่นๆ แต่ปัญหาจะอยู่ตรงที่ความสามารถในการควบคุมตัวเองยังพัฒนาได้ล่าช้าไปกว่าวัย 2-3 ปี เช่น แม้เด็กจะอายุ 6 ปีแล้ว แต่ความสามารถในการควบคุมตัวเองอาจจะอยู่ที่วัย 3-4 ปี เท่านั้น 

เด็กสมาธิจดจ่อกับเกมได้นานนั้นเรียกว่า ‘Hyperfocus’ คือการที่เด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ตนเองสนใจอย่างมาก (มุ่งสนใจในสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว) เช่น คงสมาธิที่การเล่นเกม ในระยะเวลายาวนาน คงสมาธิในการต่อเลโก้จนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งสมาธิที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาปกติ เพราะแม้ว่าเขาจะจดจ่อกับกิจกรรมที่ตนเองสนใจได้นาน เด็กสมาธิสั้นยังมีปัญหาเรื่องของการจัดระบบระเบียบความคิดและการคงสมาธิกับเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน (Flippin, 2022)

อาการเด่นของเด็กสมาธิสั้น 

(1) ขาดสมาธิ (Inattention) เด็กไม่สามารถคงความสนใจหรือจดจ่อกับกิจกรรมที่ทeอยู่ได้ตามวัย มักว่อกแว่กเหม่อลอย หลงลืมสิ่งต่างๆ หรือไม่สามารถสนใจฟังสิ่งที่ คนอื่นพูดด้วยอย่างตั้งใจได้ ฟังไม่จบ เมื่อต้องทำอะไรอาจจะทำได้ไม่เสร็จ หรือไม่ทันตามเวลา 

(2) อยู่ไม่นิ่ง Hyperactivity) เด็กจะอยู่ไม่นิ่งและเคลื่อนไหวมากเกินปกติเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน มักชอบปีนป่าย วิ่งไปมา และรู้สึกทนไม่ได้เมื่อต้องทำ กิจกรรมที่อยู่นิ่งกับที่สงบๆ เวลาคุยกันเด็ก

(3) หุนหันพลันแล่น (Impulsivity) เด็กจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าทันที โดยขาดการยั้งคิดยั้งทำ ไม่คิดถึงผลที่ตามมาเมื่อทำไปแล้ว ทำให้มักมีปัญหากับเพื่อน และไม่สามารถทำตามกติกาหรือขั้นตอนที่วางไว้ได้ เวลาคุยกันเด็กจะพูดแทรก พูดโพล่งทันที 

เด็กซนต่างกับเด็กสมาธิสั้น ดังนี้ 

(1) สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ที่ทำหน้าที่ควบคุมกำกับตัวเองของเด็กสมาธิ สั้นพัฒนาช้ากว่าเด็กทั่วไปประมาณ 2-3 ปี 

เด็กสมาธิสั้นจึงมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง ที่สังเกตเห็นได้ตั้งแต่เล็กๆ และเด็กสมาธิสั้นจะไม่ใช่เด็กเรียบร้อยตั้งแต่เล็กๆ แล้วมาเปลี่ยนแปลงเป็นเด็กซนมากๆ ในตอนโต ถ้าเพิ่งเริ่มซนในตอนโตมักจะเกิดจากปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น ตามใจมากเกินไป ปล่อยปละละเลย ให้ดูหน้าจอปริมาณมากและขาดการสอนวินัยตามวัย ส่งผลให้เป็นเด็กซนหรือสมาธิสั้นเทียม 

อย่างไรก็ตามในเด็กเล็กที่ยังอยู่ในวัยที่สมองส่วนหน้ายังพัฒนาไม่เต็มที่ส่งผลให้เด็ก ซนคล้ายๆ กัน ดังนั้นการวินิจฉัยมักเกิดขึ้นเมื่อเด็กใกล้เข้าสู่วัยเรียน (5-6 ปี) หรือ เด็กคนดังกล่าวแสดงอาการชัดเจนมากจริงๆ 

(2) เด็กสมาธิสั้นซนในทุกสถานการณ์ ในขณะที่เด็กซนปกติจะเลือกสถานการณ์ เด็กสมาธิสั้นเป็นปัญหาในการควบคุมตัวเอง ซึ่งเกิดจากสมอง ดังนั้นจะซนในทุก สถานการณ์กับทุกสถานที่และบุคคล ไม่ว่าจะคุ้นเคยหรือไม่ก็ตาม ในขณะที่เด็กซน ปกติจะรู้ว่าเขาซนได้ที่ไหนบ้างและใครที่คุมเขาได้ ที่สำคัญกับบุคคลและสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขาจะยังไม่ได้เล่นซนทันที

(3) แม้สภาพแวดล้อมจะจริงจังเรื่องวินัย แต่เด็กสมาธิสั้นจะควบคุมตัวเองได้น้อยกว่าเด็กซนทั่วไป เมื่อมีการสอนวินัยอย่างจริงจัง ในเด็กที่ซนปกติจะสามารถเรียนรู้ได้ พัฒนาการควบคุมตัวเองได้ ในขณะที่เด็กสมาธิสั้นพัฒนาการควบคุมตัวเองได้น้อยหรือแทบไม่มีความแตกต่างเลย แม้เด็กสมาธิสั้นจะพยายามสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างสม่ำเสมอ 

(4) แม้จะมีความสนใจหรือแรงจูงใจในการเรียนและทำกิจกรรมนั้น เด็กสมาธิสั้นยังคงมีปัญหาในการจดจ่อกับบทเรียนหรือทำกิจกรรมให้เสร็จ ในขณะที่เด็กซนปกติสามารถทำได้จนเสร็จ 

(5) เด็กสมาธิสั้นมักมีความหุนหันพลันแล่นมากกว่าเด็กซนปกติ ความหุนหันพลันแล่นทำให้เด็กสมาธิสั้นขาดความยับยั้งชั่งใจ คิดอะไรจะทำทันที ขาดการไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา ส่งผลให้มีปัญหากับเพื่อนและในชั้นเรียนบ่อยๆ เช่น แย่งของเพื่อน แซงคิว รอคอยไม่ได้ระหว่างครูสอน

อย่างไรก็ตามหากพ่อแม่สงสัยว่าลูกจะเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ ควรปรึกษาจิตแพทย์ เด็กและวัยรุ่นต่อไป 

อ้างอิง 

มาโนช หล่อตระกูล, และปราโมทย์ สุคนิชย์. (2558). จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี (พิมพ์ ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. 

Baumgartner, T A, Jackson, A S, Mahar, M T, & Rowe, D A (2015)   Measurement for evaluation in kinesiology Jones & Bartlett Publishers 

Flippin, R. (2022). Hyperfocus: The ADHD phenomenon of intense fixation.  ADDitude. Retrieved June 13, 2022, from https:// 

www.additudemag.com/understanding-adhd-hyperfocus/

Tags:

สมาธิสั้นเข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไปการเล่นพัฒนาการปฐมวัยเด็ก

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Space
    ‘Miimo’ จับบทเรียนโค้ดดิ้งมาเป็นเกม แพลตฟอร์มที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ในรูปแบบที่สนุกและเข้าถึงง่าย

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

‘ให้เด็กเก่งในสิ่งที่อยากจะเก่งและเห็นคุณค่าของตัวเอง’: ครูเล็ก – โรงเรียนภัทราวดี หัวหิน
Unique Teacher
29 June 2022

‘ให้เด็กเก่งในสิ่งที่อยากจะเก่งและเห็นคุณค่าของตัวเอง’: ครูเล็ก – โรงเรียนภัทราวดี หัวหิน

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ครูเล็ก – ภัทราวดี มีชูธน ‘ครู’ และ ‘ผู้ก่อตั้ง’ โรงเรียนภัทราวดี หัวหิน โรงเรียนทางเลือกที่ผสานศิลปศาสตร์เข้ากับวิชาการ และสร้างประสบการณ์ให้กับนักเรียนผ่านการลงมือทำจริง พร้อมกับแนวคิดว่า ‘เด็กทุกคนล้วนเก่งในทางของตัวเอง’
  • วิสัยทัศน์ของครูเล็ก สะท้อนออกมาผ่านการเรียนการสอนของโรงเรียน ที่บ่มเพาะเด็กและเยาวชน โดยมี ‘ศิลปศาสตร์’ และ ‘ศีลธรรม’ เป็นแกนหลัก สอนให้นักเรียนให้ ‘มีอิสรภาพทางความคิด’ ขณะเดียวกันก็เคารพกติกาของสังคมอย่างเหมาะสม
  • ครูเล็กมองว่าตัวเองเป็น ‘เรือยอร์ช’ ที่ส่งเด็กขึ้นฝั่ง แต่หากเป็นเรือพายก็จะชวนเด็กๆ ช่วยกันพาย เพราะการที่เด็กจะขึ้นฝั่งได้ไม่ใช่แค่ครูเท่านั้น แต่ต้องขึ้นกับนักเรียนเอง ต้องมีความเมตตาต่อกันและต้องตั้งอกตั้งใจพายไปถึงฝั่งด้วยกัน

หลายคนอาจคุ้นชินบทบาทของ ครูเล็ก – ภัทราวดี มีชูธน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงประจำปี 2557 ในฐานะของนักแสดง ผู้กำกับ นางแบบ และครูสอนการแสดง แต่อีกหนึ่งบทบาทที่ครูเล็กได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ คือการเป็น ‘ครู’ วิชาภาษาอังกฤษ วรรณคดี และกิจกรรม และผู้ก่อตั้ง โรงเรียนภัทราวดี หัวหิน โรงเรียนทางเลือกที่ผสานศิลปศาสตร์เข้ากับวิชาการ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – มัธยมศึกษา

ด้วยแนวความคิดของครูเล็ก ที่มองว่า ‘เด็กทุกคนล้วนเก่งในทางของตัวเอง’ และการจะทำให้เด็กเหล่านั้นรู้ตัวเองเก่งอะไรนั้น ก็ต้องให้เด็กได้ลองลงมือทำเองดูก่อน ต้องช่วยมอบประสบการณ์และผลักดันไปยังเส้นทางที่เขาอยากเป็น

“เราสอนเด็กให้เป็นอะไรก็ได้ในชีวิตที่เขาอยากเป็น ให้เขามีศิลปศาสตร์ในการสร้างสรรค์ หรือมองโลกสวยงามในทุกๆ อย่างที่เขาจะทำในอนาคต”

วิสัยทัศน์ของครูเล็กจึงสะท้อนออกมาผ่านการเรียนการสอนของ โรงเรียนภัทราวดี หัวหิน ที่บ่มเพาะเด็กและเยาวชน โดยมี ‘ศิลปศาสตร์’ และ ‘ศีลธรรม’ เป็นแกนหลัก สอนให้นักเรียนให้ ‘มีอิสรภาพทางความคิด’ ขณะเดียวกันก็เคารพกติกาของสังคมอย่างเหมาะสม

ก่อนการพูดคุยถึงมุมมองความเป็นครูในแบบฉบับของตัวเอง ครูเล็ก ในวัย 74 ปี พา The Potential ชมพื้นที่กว่าร้อยไร่ของโรงเรียนด้วยความกระฉับกระเฉงแข็งแรงและสดใส ซึ่งที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยพื้นที่เพื่อการเรียนรู้สำหรับนักเรียน เช่น อาคารสันทนาการ ลานกิจกรรมกลางแจ้ง  โรงละคร ลานสเก็ตบอร์ด สนามกีฬา แปลงปลูกผัก คอกสัตว์ต่างๆ เป็นต้น

ด้วยพื้นที่การเรียนรู้อันกว้างขวางท่ามกลางธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ของโรงเรียนทำให้ที่นี่เอื้อต่อการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป กีฬา ดนตรี งานฝีมือ การเกษตร และการแสดงละคร เพื่อให้นักเรียนได้ค้นหาสิ่งที่ชอบ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่

ที่สำคัญ ครูเล็กบอกว่าแม้จะสอนให้นักเรียนมีอิสระทางความคิด แต่การเคารพกติกาของสังคมก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน ซึ่งในฐานะที่โรงเรียนภัทราวดีเป็นสถานที่ที่บ่มเพาะนักเรียน วิธีการหลักจึงเป็นการสอนนักเรียนให้เข้าใจด้วยเหตุและผล ไม่ใช่การสั่งหรือบังคับ 

โรงเรียนภัทราวดีมีที่มาอย่างไร?

จริงๆ ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำโรงเรียนเลยนะคะ เพราะว่าไม่มีความรู้ตรงนี้ แล้วก็ไม่กล้าทำด้วย แถมขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก เลยคิดว่าน่าจะไม่สำเร็จ แต่วันหนึ่งมีคนจะขอเช่าที่ของที่นี่เพื่อทำโรงลิเก เราก็พาเขามาดูสถานที่ แต่พอจอดรถเดินลงมาก็รู้สึกว่า อุ๊ย ที่นี่ลมเย็นสบายจัง แดดก็ร้อนจัดนะ แต่ลมเย็น เลยมีความรู้สึกอยากอยู่และอยากมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่

เราว่าจะทำที่นี่เป็นโรงเรียนให้แม่และเพื่อถวายงานพระเจ้าอยู่หัวด้วย เพราะเราเองเคยไปถวายงานที่ดอยตุง ทำให้ก็ได้รับความรู้จากที่ดอยตุงว่า ศิลปะการแสดงสามารถสอนคนในเรื่องวิชาการได้

ตอนไปถวายงานก็ไปสอนเลข สอนภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคของศิลปะการแสดง ซึ่งหลังจากฝึกที่ดอยตุงอยู่ 3 ปี เลยคิดว่าน่าจะลองมาทำโรงเรียนเป็นเรื่องเป็นราวและพิสูจน์ให้เห็นว่า ศิลปะการแสดงมันใช้ได้จริงๆ กับการศึกษา แต่ไม่ใช่ว่าเราสอนเด็กให้เต้นกินรำกินนะคะ 

เราสอนเด็กให้เป็นอะไรก็ได้ในชีวิตที่เขาอยากเป็น และเขาจะมีศิลปศาสตร์ในการสร้างสรรค์ หรือมองโลกสวยงามในทุกๆ อย่างที่เขาจะทำในอนาคต

ปีแรกก็มีนักเรียนมาสมัคร 35 คน เราก็รู้สึกดีใจมากที่มีนักเรียนเข้ามาสมัครกันพอสมควร แล้วพอเริ่มสอนเราก็รู้สึกว่านักเรียนน้อยๆ ก็ดีเหมือนกันนะ เราไม่อยากได้เยอะมากกว่านี้ เพราะเราจะได้ปั้นเขาในทิศทางที่เขาอยากจะเป็น โดยใช้ศิลปศาสตร์เป็นตัวเชื่อม

ทำไมครูเล็กถึงมองว่าการทำกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียน?

เมื่อตอนที่เราเด็กๆ เราเป็นนักเรียนที่เรียนปานกลาง ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก แล้วก็ไม่ได้ชอบเรียน แต่ชอบทำกิจกรรม ซึ่งก็มีเพื่อนๆ หลายคนที่เขาทำกิจกรรมและเรียนดีเหมือนกัน พอเราเจอเขาตอนแก่ ก็พบว่าเขาเป็นคนที่เก่งและขยันขันแข็งเพราะเขาเคยเป็นเด็กกิจกรรมมาก่อน เลยมีมาคิดว่าถ้าประเทศเรามีเด็กที่เติบโตมาแบบเด็กกิจกรรมก็น่าจะดี เพราะเขาจะได้โตไปเป็นผู้อาวุโสที่รวบรวมความรู้มาเยอะแยะ สามารถทำประโยชน์ต่อประเทศชาติได้จนตาย

แนวทางการเรียนการสอนในโรงเรียนภัทราวดี?

เราคุยกับคุณครูทุกท่านว่า ‘เรียนแบบเก่าไม่เอาแล้วนะ’ เพราะจริงๆ หลักสูตรของประเทศไทยก็ดีนะ แล้วก็ไม่ได้ยากอะไร สมควรให้เด็กได้เรียนและรับทราบ แต่ถ้าเรามีความรู้เพิ่มเติมอะไรหรือทำอะไรเพิ่มเติมเราก็ต้องให้เขา เพราะมันเป็นหน้าที่ของเรา เป็นเวลาของเรา ไม่ต้องให้ใครมาบังคับ แล้วถ้าอยากได้อุปกรณ์อะไรหรืออยากสอนยังไงก็ลองดู ถ้าไม่เวิร์กก็ปรับปรุงแก้ไข ถ้าดีเราก็ฝึกทำตามกันไป 

ดังนั้นทุกปีก็จะมีการปรับปรุงแก้ไข เพราะยุคสมัยพัฒนาไปเร็วมาก เราจะมายึดติดกับความสำเร็จในอดีต แม้กระทั่งปีที่แล้วก็ไม่ได้ เราต้องก้าวตามโลกให้ทัน ซึ่งการก้าวตามโลกให้ทันเนี่ย เพราะเด็กเขาไปตามโลกสมัยใหม่ ถ้าเราตามทัน เราก็จะตามเด็กๆ ทัน และจริงๆ เราก็ควรจะก้าวนำเขาไปอีก เพราะเราต้องเป็นผู้แนะแนวให้เขา

แล้วการนั่งสอนเปิดหนังสือแล้วพูดมากๆ ก็ไม่เอานะ ครูควรแบ่งเวลาให้เด็กใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง ให้มี activities ทั้งอ่าน เขียน เรียนรู้ ได้พูดได้ออกความคิดเห็น จะถูกจะผิดยังไงก็ต้องฟังเขา แล้วค่อยๆ ตะล่อมความคิดให้อยู่ในสังคมอันดีงาม 

ไม่เลือกปฏิบัติว่าคนนี้เก่ง คนนี้ไม่เก่ง คือทุกคนเก่งหมด แต่เราต้องหาว่าเขาเก่งเรื่องอะไร แล้วก็ผลักดันเขาไปตามทางที่เขาเก่ง อย่าไปบังคับ ใครไม่ชอบเรียนอะไรก็ไม่ไปบังคับกดดันว่าเธอต้องเก่งต้องดีเหมือนคนนี้ๆ นะ เพราะขนาดหน้าตาคนเรายังไม่เหมือนกันเลย 

แต่ถ้าใครเรียนอ่อนจริงๆ ก็ให้แยกกลุ่มออกไปให้คุณครูช่วยติวเพิ่ม หรือแยกเรียนโดยปรับให้ง่ายลงหน่อย อย่าให้เขาเครียดหนัก ส่วนใครที่เก่งก็แยกให้เขาโลดไปเลย โดยให้ครู ให้เพื่อนฝูงจากกรุงเทพฯ ที่เก่งๆ มาช่วยติวช่วยผลักดัน ถ้าเขามาสอนได้ที่นี่ก็มา ถ้ามาไม่ได้ก็เป็นทางออนไลน์ เด็กเขาจะได้เจอครูดีๆ เจอผู้เชี่ยวชาญจริงๆ มืออาชีพจริงๆ ที่เขาจะพาเด็กเหล่านี้ไปสู่การเป็น Master ในอนาคต

อย่างเด็ก ม.6 โรงเรียนเราเนี่ยเขาจะไปมหาวิทยาลัยไหนก็สอบได้ทุกคนนะ แม้แต่มหาวิทยาลัยยากๆ ของโลกก็สอบได้ เพราะเราจะผลักดันเขา ให้ข้อมูล ติว ให้ประสบการณ์ เพื่อที่เขาจะได้มี portfolio ที่ใครๆ ก็จะอยากได้เขา ซึ่งเวลามีคนถามว่า แล้วเขาเก่งได้ไง เอ้า ก็เขาอยากเรียนไง เขาไม่ได้ถูกบังคับให้เรียน เขาอยากเรียน เขาสนุกที่จะเรียน คนเราเวลาอยากทำอะไร เขาก็ลุยเองแหละ 

การเป็นครูในโรงเรียนภัทราวดี?

ครูที่นี่ต้องมีความทุ่มเทสูงมาก เพราะสอนตั้งแต่เช้าจนค่ำ บางท่านก็ดูเด็กจนกระทั่งหลับ ผลัดเวรกันจนปิดไฟ 4 ทุ่ม ที่นี่เราต้องบอกตั้งแต่ต้นว่าความทุ่มเทต้องมี เด็กเราเจริญ เราก็เจริญด้วย เพราะสติปัญญาเราจะก้าวหน้าไปด้วย และฝีมือต้องดี ความรู้ต้องเยอะ มีทัศนคติที่ดี คิดบวกเป็น เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว สามารถสอนได้ ตำหนิได้ เพิ่มเติมอะไรให้ได้ มีความเป็นครู ทำอะไรให้เด็กเต็มที่ และไม่ได้เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เพราะส่วนมากก็จะพักอยู่ที่นี่กัน

แต่ครูตามใจหมดนะ ใครอยากได้อุปกรณ์อะไรยังไง ครูตามใจหมด ไม่ขี้เหนียว เพราะเงินทั้งหมดที่ได้ก็เพื่อการศึกษาของเด็ก ถ้ามีเหลือก็ให้มูลนิธิละครธรรมะในพระสังฆราชูปถัมภ์ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้ว ท่านสนับสนุนให้เราตั้งมูลนิธินี้เพราะท่านเห็นว่าเราทำงานศิลปะ และมีปรัชญาพุทธอยู่ในนั้นแฝงอยู่เรื่อยๆ ท่านก็สนับสนุนว่าเราควรจะสร้างเด็กผ่าน ‘ศิลปศาสตร์และศีลธรรม’ นะ ซึ่งปรัชญาของพระพุทธเจ้าหรือปรัชญาของหลายๆ ศาสนาก็ถูกนำมาใช้ที่นี่

พอทำมาทุกปี มีความรู้เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เราก็จะเอามาประชุมกัน ปิดเทอมเราก็มาคุยกันเพื่อฝึกสัมมนา เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เตรียมตัวเพื่อรับมือกับเด็กปีต่อๆ ไป พัฒนามาเรื่อยๆ 

เพราะสิ่งที่เราทำให้เด็กๆ คนที่ได้เต็มๆ เลยคือเราเอง เราได้สติปัญญาเยอะมาก และอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไม่เบื่อหน่าย มีความสุขที่จะได้ตื่นมาทุกวัน ได้ทำงาน ถ้าชีวิตจะจบเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ แต่ระหว่างที่ยังอยู่เราก็ไม่รอความตาย เพราะเราทำประโยชน์อะไรได้เยอะแยะเลย

ครูเล็กสอนวิชาอะไรบ้าง?

สอนภาษาอังกฤษ แกรมมาร์ค่ะ เพราะชำนาญตรงนี้ แล้วก็สอนวรรณคดีไทย และกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมในที่นี้ก็คือในคลาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคม เลข หรือแม้กระทั่งภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ก็จะไปดูว่าเขาสอนอะไร แล้วก็เอาสิ่งที่เขาเรียนมาทำละครบ้าง มาทำเป็น Product บ้าง เช่น ไข่เค็ม สบู่ และเป็นสินค้าที่ขายได้

จริงๆ แล้วก็ทำขายมา 4-5 ปีแล้ว มันเกิดมาจากคลาสวิชาวิทยาศาสตร์ ที่สอนเรื่องการออสโมซิส แล้วเราก็บอกว่าทำไข่เค็มเสร็จจะจบแค่นี้ได้ไง เราต้องทำชะลอม ทำป้าย ทำนู่นนี่ ใครชำนาญอะไรก็มาทำร่วมๆ กัน แล้วก็ทำออกขาย ครูบาอาจารย์ เด็กๆ เพื่อนๆ เรา ใครไปใครมาที่ชิมแล้วอร่อยก็ช่วยกันซื้อ เด็กๆ ก็ทำไข่เค็มเป็นกันทุกคน เพราะอะไรที่เราเรียนมาเราก็ควรจะต่อยอด

ครูเล็กนำศิลปศาสตร์มาเชื่อมกับวิชาการอย่างไร?

คืออย่างเราเรียนวรรณคดีเนี่ย จากที่เรานั่งอ่านเฉยๆ พอเปิดเทอมเราก็จะเอาชื่อวรรณคดีมาเรียง มาวางให้นักเรียนดูว่า เอ้า อยากทำเรื่องอะไร ถ้าเธอยังไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอะไร ก็ดูจากชื่อก็ได้ว่าวรรณคดีเรื่องไหนที่เธอสนใจ บอกมาแล้วเดี๋ยวเราจะมาทำละครกัน ซึ่งเราก็ทำไปหลายเรื่อง ปีละเรื่อง

เด็กๆ ก็ได้เล่นกับมืออาชีพที่เป็นลูกศิษย์เก่า เช่น คุณอ้น-ศราวุธ พี่ตั๊ก-นภัสกร เก่ง-ธชย ให้มือดีๆ ที่เราชื่นชมมาทำงานกับเด็กๆ  ครูเองก็เล่น เพื่อที่จะให้เด็กๆ ได้เห็นหลังบ้าน ให้มือดีๆ เขาเป็นตัวอย่างให้น้องๆ เห็นว่าเป็นมืออาชีพกันจริงๆ เขาทำกันยังไง 

ซึ่งทั้งโรงเรียน ถ้าไม่เล่นละครก็เล่นดนตรีหรือทำฉาก ทำ Back stage ทำไฟ แสงสีเสียง ประกบกับครูที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งเด็กๆ ก็เติบโตไปเป็นช่างเสียงช่างแสงกันเยอะมาก หรือว่าเติบโตไปเป็นนักเขียน ผู้บริหาร ก็ได้เรียนๆ จากพี่ๆ และครูที่มาทำงานร่วมกับเราเหล่านี้ล่ะ

การที่เด็กๆ จะเติบโตเนี่ย ต้องให้เขาทำงานกับของจริง มืออาชีพจริงๆ และที่สำคัญก็คือ ทั้งโรงเรียนต้องทำ แม้จะเป็นตัวเล็กตัวน้อยก็ต้องมานั่งวิเคราะห์บท คุยกันฟังเขาซ้อม ก็คือทั้งโรงเรียนเลยต้องอยู่ด้วยกันทุกวันจันทร์บ่าย เพราะฉะนั้น แม้ไม่อยากเล่นเขาก็จะรู้บท รู้กลอนต่างๆ ร้องเพลงได้จากวรรณคดีเหล่านั้น รู้จักบทกลอนสำคัญๆ ของวรรณคดีไทย มันซึมเข้าไปเอง เพราะเราซ้อมกันเล่นกันทุกวันจันทร์ ทั้งปี มันยิ่งกว่าการเรียนหนังสืออีก ถ้าให้เขามาอ่านมาท่อง มันก็น่าเบื่อ

ทุกปีก็ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ เด็กๆ ก็ได้รับรู้ทั้งบทกลอนวรรณคดี การตีความ ซึ่งเราก็ตีความไม่ค่อยเหมือนใคร เราไม่ได้ตีความว่าเรื่องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่เราตีความว่า เรื่องแบบนี้ในปัจจุบันก็มีนะ เช่น เหตุการณ์นี้ๆ สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้หมดสมัยนะ เพราะมันสอนเราให้ตระหนักรู้

หรือเรื่องรามายณะ มีทั้งเล่นแบบสมัยใหม่ ให้เด็กเห็นฝีมือดีๆ ที่เขารำกัน แล้วก็ใครอยากเล่นก็มาฝึกโขนฝึกอะไรไป แต่เราก็เล่นเป็นละครสมัยใหม่ที่มีลีลาของไทยเข้าไป และให้เด็กช่วยกันแปลบท เล่นเป็นภาษาอังกฤษทั้งเรื่อง นี่ก็เป็นการสอนภาษาอังกฤษ 

ส่วนเราก็ช่วยเช็กแกรมมาร์นู่นนี่ ได้ทำงานกับเด็ก 

เพราะฉะนั้นจะสอนอะไรใครเราต้องทำงานกับเขา สั่งเขาทำอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำด้วยกัน เพื่อที่เราก็จะมีเวลาขัดเกลา บ่มเพาะเขา ให้คำแนะนำว่าทำไมอันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้

ปีนี้เราก็ทำเรื่องเสน่ห์รอยรั่ว เป็นออนไลน์ เพราะสถานการณ์โควิดก็เลยยังล็อกดาวน์กันอยู่ แต่เด็กนักเรียนเขาก็อยู่ที่นี่ เราก็เลยบอกเขาว่า งั้นเรามาทำละครทีวีกันดีกว่า แต่ว่าเราไม่ได้ออกทีวีนะ เราจะเป็นแบบออนไลน์ ทุกคนจะได้ดูได้ และเราก็มีอิสระที่จะเอาใครมาเล่นก็ได้ มาทำอะไรก็ได้ ซึ่งผลตอบรับก็ค่อนข้างดี เป็นละครสั้นๆ 15 นาที แล้วเราก็จะมาคุยประเด็นในละครกัน เด็กก็จะได้เรียนรู้วิธีทำแบบออนไลน์ วิธีการทำมาร์เก็ตติ้งต่างๆ ด้วย

เพราะเด็กโรงเรียนเราอยู่ห่างไกลจากคุณพ่อคุณแม่ แล้วเรามีหน้าที่ต้องทำอะไรกับเขาล่ะ แล้วตรงนั้นมันจะทำให้เรารู้จักเขา เขารู้จักเรา เขาก็จะซึมซับวิธีการของครู ของรุ่นพี่ ของมาสเตอร์คนนั้นคนนี้ที่มาทำงานกับเรา ทำให้เด็กได้รับรู้เยอะมาก โตไปได้ไวมาก

ศิลปศาสตร์คือการได้ลงมือปฏิบัติจริง ถึงได้บอกว่าการเรียนแค่ภาคทฤษฎี นั่งโต๊ะเอาแต่เรียนๆ แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติเนี่ย เด็กจะไม่ฉลาดจริง เพราะไม่เคยทำ เขาเรียกว่า ‘ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด’

แต่เราเนี่ย ความรู้ไม่ต้องท่วมหัวก็ได้ แต่ต้องเอาตัวรอด ต้องทำได้ แล้วทำให้เขาอยากรู้เพิ่ม เขาก็จะไปไขว่คว้าหาความรู้เพิ่มด้วยความอยากรู้ของเขาเอง ไม่ได้ถูกบังคับ

ครูเล็กมองว่า ‘ศิลปะ’ ซึ่งต้องมีอิสรภาพทางความคิดเป็นพื้นฐาน กับ ‘กฎกติกา’ สามารถไปด้วยกันได้ไหม?

จริงๆ แล้วกฎระเบียบและกฎกติกาก็มีทุกที่นะคะ ซึ่งที่นี่ก็มีเยอะนะ เผลอๆ เยอะกว่าที่อื่นอีก แต่เด็กๆ ไม่ค่อยรู้สึก เพราะว่าเราไม่ได้บังคับ ถ้าบังคับ เขาก็จะต่อต้าน แต่ถ้าเป็นกฎกติกาที่ทำให้เขาเข้าใจว่ามีเพื่ออะไร ว่ามีเพื่อเขาและส่วนรวม ถ้าเขาเข้าใจ เขาก็จะทำใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่การที่จะอยู่ร่วมกับคนที่อยู่ต่างความคิดได้อย่างปรองดอง 

อันนี้ศิลปศาสตร์สามารถสอนได้ เพราะกติกาในศิลปศาสตร์เขามีไว้ให้สิ่งเหล่านี้ เขามีกติกาเยอะมากนะ แต่เขาสอนให้สร้างสรรค์ เพื่อที่จะได้อยู่กับกติกาเหล่านี้อย่างมีความสุข

เรื่องกฎระเบียบในโรงเรียนที่สังคมตั้งคำถามกัน เช่น การเข้าแถวเคารพธงชาติ ทรงผม หรือยูนิฟอร์ม ครูเล็กมีความเห็นอย่างไร?

ที่นี่เราจะให้เด็กยืนเคารพธงชาติที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าแถวแบบที่อื่น เพราะอิสรภาพทางความคิดต้องมี ยืนตรงไหนก็ได้ที่ร่มเย็น สบาย มองเห็นซึ่งกันและกัน ได้ยินเสียงซึ่งกันและกัน และตาก็มองเห็นธงชาติ อันนี้ก็คืออิสรภาพที่มีขอบเขต สิ่งนี้คือ Motto ของโรงเรียน

เด็กๆ ก็ทำได้ดี รุ่นพี่ก็แนะนำรุ่นน้องไป เป็นการแนะนำ ไม่ใช่การสั่ง แนะนำน้องๆ ที่มาใหม่ว่าให้ยืนตรงไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ ที่อยู่ในกติกาของโรงเรียน เพื่อที่พี่ๆ จะได้ฝึกการเป็นผู้นำและเป็นผู้นำที่มีกติกา แต่ไม่ได้สั่งหรือบังคับ เป็นการเปิดอิสรภาพให้กับน้องๆ

ส่วนเรื่องผมเนี่ย เราไม่ได้สนใจนะว่าเขาจะทำทรงผมอะไร แต่จะบอกเขาว่าการย้อมผมจะทำให้ผมเสียนะ เพราะฉะนั้น ถ้าหนูจะสนุกกับมันทีนึงตอนปิดเทอมก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าหนูอยู่ในยูนิฟอร์ม แล้วผมหนูสีแดงเนี่ย มันจะดูไม่ถูกกาลเทศะ เขาเรียกว่ารสนิยมทางศิลปะมันไม่ได้ การที่ทำอะไร in good taste ถูกต้องตามกาลเทศะเนี่ยเรื่องใหญ่ มันเป็นเรื่องของศิลปะ

พูดเท่านั้นเขาก็เข้าใจ ซึ่งเขาจะทำทรงผมอะไรก็ได้ แต่ถ้ามันยาวก็รวบให้เรียบร้อย เพราะที่นี่อากาศร้อน ถ้ามาปรกหน้าก็จะทำให้สิวขึ้นและคัน หรือบางทีเวลาเล่น ปลายผมเข้าไปโดนตาเพื่อนๆ หรือตาตัวเอง ก็ทำให้เจ็บ เพราะฉะนั้นเราก็ควรรวบให้เรียบร้อยในช่วงที่เราอยู่โรงเรียน หรือเล่นกีฬา เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อนๆ

เห็นไหมว่าทุกอย่างมันมีเหตุมีผลที่ดี พอเขาเข้าใจตรงนี้เขาก็จะร่วมมือ แม้กระทั่งคุณครูเองก็จะบอกว่า ทำผมแต่งตัว ลูกไม้ ระบายสิบชั้น ผ้าไหมไทยไม่ต้องเลยนะ เพราะที่นี่ร้อน มีแต่กรวดแต่ทราย เราอยู่กับต้นไม้และธรรมชาติ เราก็ต้องแต่งตัวให้เป็นธรรมชาติ คุณมาใส่ส้นสูงมาใส่ไหมไทยเนี่ย มันไม่จำเป็น เราเก็บไหมไทยไว้ใส่ในงานที่จำเป็นดีกว่า เพราะฉะนั้นครูก็ควรที่จะแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะเหมือนกัน

ส่วนยูนิฟอร์ม เราเป็นคนดีไซน์ให้เด็กๆ แบบไม่เหมือนใคร เป็นกางเกงทรงกะลาสีที่หลวมสบาย เพราะที่นี่มันร้อน ถ้าเป็นกางเกงฟิตๆ มันก็จะไม่เหมาะกับสภาพอากาศ เป็นกางเกงครึ่งน่องที่ใส่ทั้งหญิงและชาย ส่วนเสื้อก็เป็นเสื้อยืด เขาจะได้เล่นนู่นนี่กันได้สะดวก


ที่นี่ยูนิฟอร์มต้องมี เพราะเราก็เป็นสังคมหนึ่ง เวลาที่เราไปไหน ก็ควรจะบ่งบอกว่าเราเป็นใคร มาจากไหน บางทีหนูแตกแถวไปไหน หาไม่เจอขึ้นมาก็จะได้หาได้ง่ายขึ้น เพราะเรามีตั้งแต่เนอสเซอรี่ อนุบาล ไปจนถึง ม.6 ซึ่งแต่ละกลุ่มยูนิฟอร์มก็จะไม่เหมือนกัน เราจะได้รู้ว่าใครเป็นใครอายุเท่าไหร่

แต่ว่ายูนิฟอร์มเราก็ให้นักเรียนช่วยกันออกแบบ เช่น แจ็กเก็ตเวลาหน้าหนาว เสื้อฝนหรือเสื้อยืด บางทีเด็กๆ ออกแบบมาให้ เราก็โอเค ให้เขาใส่กัน เขาก็สนุก เพราะฉะนั้นยูนิฟอร์มจึงกลายเป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องบังคับ หรือเรื่องน่าเบื่อ 

ทุกอย่างสนุกได้หมด เพราะนี่คือศิลปะ เพราะฉะนั้นการที่เราให้โอกาสเขาได้ออกแบบยูนิฟอร์มทำให้เขาสนุกและอยากใส่ เป็นอุบายง่ายๆ ไม่เห็นจะต้องบังคับ เราเองยังไม่ชอบเวลามีใครมาบังคับเราเลย ทำไมไม่คิดอะไรให้เขาสนุก แล้วเขาก็ได้เติบโตทางด้านสติปัญญาความรู้ด้วย

วิธีการสอนแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ครูเล็กบอกว่า ‘เด็กที่นี่พิเศษกว่าที่อื่น’ ?

ก็อาจจะเป็นวิธีหนึ่งที่เราให้เด็ก ‘มีอิสรภาพในการคิด’ กติกามี แต่ให้คิดว่าจะทำยังไง เพราะกติกานี้มีเพื่อที่จะทำให้สังคมเป็นไปอย่างราบรื่น เธอก็ต้องคิดเองว่า ถึงแม้ไม่ชอบแต่เราจะอยู่กับมันได้อย่างไร เหมือนเราอยู่ในสังคม กฎหมายหลายๆ อย่างเราก็ไม่ชอบ แต่เราจะอยู่ตรงนี้ได้ยังไงโดยที่เราไม่เสียจุดยืน

เพราะฉะนั้นเธอไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ทุกที่มีกฎกติกา เธอก็ไปอยู่ตรงนั้นได้โดยที่ไม่เสียจุดยืน ซึ่งการไม่เสียจุดยืน หมายถึงเธอจะไม่เสียอิสรภาพในการคิด แค่ให้เคารพกติกาที่สังคมมีให้ 

ภาพวาดบนกำแพงโรงเรียนถือเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของเด็กๆ ด้วย?

ใช่ค่ะ เด็กๆ สามารถวาดภาพบนกำแพงทุกกำแพงอย่างอิสระได้เลยในโรงเรียน เขาบอกครูได้เลยว่า โอเค อยากวาดกำแพงนี้ เดี๋ยวเราจะหาสี หาครูผู้เชี่ยวชาญมาประกบให้ ถ้าเธออยากวาดอะไร บางทีคลาสสุขศึกษา เขาก็ไปวาดตรงห้องน้ำ เป็นตับไตไส้พุง เธอไปแล้วงานเธอยังอยู่ น้องๆ ก็ได้ดู 

บางทีเวลาครูสอนเขาก็ไปสอนตรงกำแพงนั้น หรือว่าหลายๆ ที่เราก็จะเห็น อยากเขียนอะไรก็เขียน เพราะว่าเรามีกำแพงไว้ให้เธอเขียน มีครูที่จะสอนให้เธอเขียนให้มีสาระและมีวิชาการเพิ่มเติมขึ้นเป็นประสบการณ์ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเราเลือกคนนั้นคนนี้ให้วาดนะ ก็คือทุกคนเลย ถ้าคลาสไหนอยากเขียนก็มากันทั้งคลาส เพื่อที่ว่าเธอจะได้มาทำงานร่วมกัน คนที่เขียนไม่เก่งก็มาช่วยกันได้ เขาก็จะเข้าใจเรื่องการทำงานร่วมกัน 

เพราะไม่มีใครที่ไม่มีประโยชน์ ก็คือให้เห็นประโยชน์ของกันและกัน อย่าดูถูกกัน และอย่าเห็นว่าตัวเองไร้ค่า ทำอะไรได้ให้ทำ เพราะเราจะได้เห็นว่าตัวเราเก่งอะไร

เราไม่มองข้ามใครทั้งสิ้นในโลกนี้ แล้วก็ที่นี่ก็รับนักเรียนแบบไม่เลือก ไม่ต้องสอบเข้า ใครมาก็มาคุยกัน ถ้าเขาชอบ คุณพ่อคุณแม่ชอบ ก็มาเลย ไม่ต้องเก่งก็ได้ เพราะเราสามารถทำให้เธอเก่งได้ ไม่ยากเลย ให้เธอเก่งในสิ่งที่เธออยากจะเก่ง และให้ค้นพบตัวเอง

ครูเล็กมองภาพความเป็น ‘ครู’ ของตัวเองอย่างไรบ้าง?

มองว่าเราเป็น ‘เรือยอร์ช’ ที่ส่งเด็กขึ้นฝั่งค่ะ ไม่ใช่เรือจ้าง เราไม่ต้องพาย เพราะเราใช้เครื่องยนต์แล้ว แต่ถ้าจะพายก็พายด้วยกันไปกับเด็กๆ เราไม่ได้พายอยู่คนเดียว เพราะเขาก็ช่วยเราพาย 

เพราะฉะนั้นการที่เด็กจะขึ้นฝั่งได้ไม่ใช่แค่เพราะครูเท่านั้นนะ แต่มันขึ้นกับพวกหนูที่ต้องช่วยกันพาย ต้องมีความเมตตาต่อกันและต้องตั้งอกตั้งใจ สู้เอาหน่อยเพื่อที่เราจะพายไปถึงฝั่งด้วยกัน

ซึ่งหลังจากที่นักเรียนจบกันไป เขาก็ยังกลับมาเยี่ยมครูเสมอนะ เวลาน้องๆ เล่นละครเขาก็กลับมาดูกัน แล้วก็ที่นี่เราจะให้เด็กทุกคนปลูกต้นไม้คนละต้น เป็นต้นไม้ยืนต้น เขาก็จะกลับมาเยี่ยมต้นไม้ของเขา ถึงแม้เขาจะจบมหาวิทยาลัยกันแล้ว ต้นไม้เขาก็ยังเติบโตให้ร่มเงาแก่น้องๆ ยังผูกพันกัน เรารักใคร่เป็นครูเป็นศิษย์กันตลอดชีวิต เวลาเขามีปัญหาชีวิตอะไรเขาก็โทรมาปรึกษาได้ ถ้าช่วยอะไรได้เราก็ช่วย ยังเป็นที่ปรึกษาให้เด็กๆ ตลอดเวลา ไม่ทิ้งกัน

Tags:

ศีลธรรมครูเล็ก - ภัทราวดี มีชูธนศิลปศาสตร์ครูโรงเรียนภัทราวดี(หัวหิน)โรงเรียนทางเลือก

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Movie
    Freedom Writers: ครูผู้ชวนเด็กๆ ขีดเขียนชีวิตในแบบของตัวเอง ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Creative learning
    พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 6. คุณค่าของปฏิสัมพันธ์

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ย่อยของยาก ซอยเป้าหมายให้ง่าย ครูช่วยได้ด้วย SCAFFOLDING

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

เวลาในขวดแก้ว: ชีวิตแหลกสลายมักเริ่มต้นด้วยความรักที่ขาดหาย
Book
24 June 2022

เวลาในขวดแก้ว: ชีวิตแหลกสลายมักเริ่มต้นด้วยความรักที่ขาดหาย

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • ‘เวลาในขวดแก้ว‘ เป็นหนึ่งในนวนิยายที่โด่งดังที่สุดของ อ.ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปี 2554 ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในหนังสือดี 100 เรื่องที่เด็กไทยและเยาวชนควรอ่าน
  • เวลาในขวดแก้ว พูดถึงปัญหาและความผิดหวังแหลกสลายของชีวิตวัยรุ่นไทย สะท้อนผ่านตัวละครที่มีพื้นฐานครอบครัว ภูมิหลัง และมุมมองความคิดที่แตกต่างกันออกไป
  • เวลาในขวดแก้วประสบความสำเร็จอย่างมากจนมีการพิมพ์ซ้ำมากกว่า 38 ครั้ง ไม่นับรวมการดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน


“ถ้าฉันเก็บเวลาในขวดแก้วได้ สิ่งแรกที่ฉันจะทำ คือสะสมคืนวันที่ล่วงเลยมานิรันดร์ เพียงเพื่อมอบมันแก่เธอ…” ผมพลิกปกหลังของหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยมัธยมขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หลังจากที่หนังสือเล่มนี้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยตลอดระยะเวลาครึ่งชีวิตของผม

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘เวลาในขวดแก้ว’ เขียนโดย อ.ประภัสสร เสวิกุล  ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ต่างคนต่างมีปัญหาชีวิตและภูมิหลังครอบครัวที่ต่างกันออกไป โดยมีพระเอกอย่าง ‘นัต’ หนุ่มน้อยหุ่นหมีในวัย 14 ปี หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า ‘อ้วน’ เป็นผู้ดำเนินเรื่อง 

ที่โรงเรียน นัตมีเพื่อนร่วมแก๊งอีก 3 คน คือ เอก…ลูกพ่อค้าชาวจีนที่ถูกสอนให้ตั้งใจเรียนและอยู่ในกรอบ, ชัย…นักฟุตบอลที่อยากเป็นทหารเหมือนพ่อผู้ล่วงลับ และป้อม…หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มที่บุคลิกภายนอกคล้ายกับผู้ชาย และชอบอ่านหนังสือปรัชญาของคาลิล ยิบราน

เดิมทีผมอยากจะเขียนถึงเส้นทางชีวิตของเพื่อนสักคนในแก๊ง เช่น ชัยที่ต้องขาเป๋ตลอดชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงในสนามฟุตบอล ส่งผลให้ชัยบอกลาความฝันในการเป็นทหาร หรือป้อม เพื่อนสนิทที่แอบหลงรักนัต ซึ่งแม้ว่าการแอบรักนั้นจะเจ็บปวด แต่เธอก็ยึดถือในปรัชญาความรักของคาลิล ยิบรานที่ว่า “ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก” มาปลอบใจตัวเองร่ำไป

แต่พออ่านเรื่องราวของที่แสนซับซ้อนของตัวละครทุกตัวไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมกลับตกหลุมรักตัวละครที่น่ารักอ่อนหวานอย่าง ‘หนิง’

แม้ว่าภายหลังเธอจะพลาด ‘ตั้งครรภ์’ ในวัยเรียน…แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมหลงรักตัวละครนี้น้อยลง

หนิงเป็นน้องสาวคนเดียวของนัต เกิดในครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพ่อ แม่ นัต ที่ต่างมอบความรักและดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ทำให้หนิงเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสของทุกคน กระทั่งวันที่พ่อกับแม่เริ่มมีปากเสียงกันครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงคนหนึ่ง…

การทะเลาะของพ่อแม่มีผลกระทบมากกว่าที่หนิงจะคาดคิด เริ่มจากการที่พ่อย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ไฟโทสะในใจทั้งคู่ลดลง กลับกันการห่างเหินยิ่งตอกย้ำให้ทุกคนมองว่าพ่อเลือกผู้หญิงแปลกหน้ามากกว่าครอบครัว

สำหรับหนิงแล้ว เธอก็เป็นเหมือนเด็กหลายๆ คนที่รู้สึกใจสลายทุกครั้งที่เห็นพ่อกับแม่พูดจาให้ร้ายซึ่งกันและกัน หนำซ้ำเธอยังคอยตกเป็นที่ระบายอารมณ์ของแม่ยามเผลอไปทำเรื่องอะไรให้แม่ไม่พอใจ โดยแม่มักดุด่าเธออย่างเกรี้ยวกราด ก่อนลงท้ายประโยคถึงลูกสาวว่า “ได้รับนิสัยเลวๆ จากพ่อ”

เท่านั้นไม่พอ แม่มักบ่นกรอกหูนัตกับหนิงเสมอถึงความไม่ดีของพ่อ เช่นพ่อเป็นคนไม่ดี ขี้เหล้าและเจ้าชู้ จนนานวันเข้า นัตกับหนิงก็เริ่มเชื่อที่แม่บอก แม้ในใจจะยังรักและโหยหาพ่อก็ตาม

พอพ่อย้ายไปกกอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ สถานการณ์ในบ้านก็ยิ่งชวนอึดอัด ส่งผลให้นัตและหนิงไม่ค่อยอยากอยู่บ้านและหาข้ออ้างอะไรก็ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแม่ไม่นาน หนิงก็รู้ว่าแม่กำลังมีความรักครั้งใหม่กับ ‘ลุงอมร’ โดยเฉพาะวันที่แม่โทรมาที่บ้านกลางดึกเพื่อบอกลูกๆ ว่าคืนนี้จะนอนค้างที่บ้านลุงอมร 

เมื่อไปอยู่บ้านนั้นบ่อยเข้า ในที่สุดแม่ก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญลุงอมรเข้ามาอยู่ในบ้านเสียเอง ซึ่งพอพ่อรู้ข่าวเข้าจึงปรี่มาต่อว่าแม่อย่างแรง…ถึงขั้นที่แม่เอาไวโอลินมาฟาดหน้าพ่อ ก่อนขอให้นัตย้ายไปอยู่กับพ่อชั่วคราว (ส่วนหนิงให้อยู่ที่นี่ตามเดิม)

ตั้งแต่ที่นัตย้ายออกไปอยู่บ้านพ่อ หนิงก็เริ่มไม่มีคนคอยพูดคุยให้คำปรึกษาเหมือนเก่า หนิงจึงชอบแวะมาหานัตที่โรงเรียนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวคราวของพ่อกับแม่ แต่การไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเหมือนเดิม ก็ทำให้การพูดคุยระหว่างสองพี่น้องไม่สนิทสนมเหมือนแต่ก่อน 

ส่วนแม่พอมีความรักก็ดูจะให้อิสระหนิงในการกลับดึกหรือนอนค้างบ้านเพื่อนได้ ทั้งที่แต่ก่อนหากหนิงกลับบ้านดึก แม่จะลงโทษหนิงอย่างหนักโดยไม่ฟังเหตุผลสักคำ

หลังการสอบเสร็จสิ้น นัตก็ย้ายกลับมาอยู่กับแม่ โดยคืนนั้นเขากลับมากะทันหัน ด้วยความที่ห้องนอนของนัตห่างหายจากการดูแลทำความสะอาดไปนาน แม่จึงให้เขาไปนอนที่ห้องของหนิงซึ่งออกไปนอนค้างบ้านเพื่อน และคืนนั้นเองที่นัตบังเอิญพบกับไดอารี่ของน้องที่ระบายเรื่องราวอันหนึกอึ้งทั้งหมดของเธอ

“พ่อจากฉันไปในวันหนึ่ง ฉันเดินไปส่งพ่อที่หน้าบ้าน… เราเดินจูงมือกันเงียบๆ พยายามเดินให้ช้าที่สุด ราวกับจะยึดเยื้อเวลาของการจากพรากให้ยาวนานออกไป มือฉันเล็กเหลือเกินในอุ้งมือพ่อ ฉันไม่สามารถจะหุบนิ้วเกาะกุมมือพ่อได้หมด เล็กเกินกว่าจะยื้อยุดไว้จากการหลุดลอย และหัวใจฉันก็เจ็บปวดจนไร้เรี่ยวแรง ฉันพยายามที่จะถามพ่อด้วยคำถามต่างๆ แต่ไม่สามารถห้ามตัวเองจากการร้องไห้ ไม่สามารถให้เสียงสะอื้นกลายเป็นคำออดอ้อนอ่อนหวาน พ่อจูบลาฉันที่หน้าผาก ขับรถจากไปเงียบๆ ฉันทรุดตัวลงตรงนั้น เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้จักความอ้างว้างและหนาวเย็นที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตลอดมา”

หรือจะเป็นเรื่องระหว่างหนิงกับแม่ที่แฝงไว้ด้วยการตัดพ้ออันแสนสะเทือนใจ

“เมื่อฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ ฉันอยากกอดแม่เหลือเกิน ทุกๆ วันที่ฉันเฝ้ารอคอย แต่แม่ก็เฝ้าทะเลาะกับพ่อ และเป็นทุกข์…จนลืมที่จะกอดฉัน

พอฉันเติบโตขึ้น แม่ก็เลิกร้างกับพ่อ แม่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันเหลืออยู่ ทุกๆ วันที่ฉันรอคอย…ที่จะได้กอดแม่ แต่แม่ก็เฝ้าวุ่นวายกับงาน จนไม่มีเวลาที่จะกอดฉัน แม่มีผู้ชายคนใหม่ ฉันสัมผัสได้…ถึงความสุขของแม่ ทุกๆ วันที่ฉันยังคงเฝ้าฝันถึงอ้อมกอดของแม่อย่างเงียบๆ ตลอดเวลาที่เฝ้ารอคอย…ที่จะได้กอดแม่ แต่อ้อมกอดของแม่ก็ไม่เคยมีเวลาว่างสำหรับฉัน”

สำหรับผม ‘อ้อมกอด’ ของพ่อแม่ เปรียบได้กับของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับลูก เพราะอ้อมกอดของพ่อแม่นั้นไม่เพียงช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แต่ยังเป็นวัคซีนทางใจที่ดีที่สุด ซึ่งน่าสงสารที่หนิงไม่ได้รับมันจากแม่ นับวันเธอยิ่งรู้สึกถึงคำว่า ‘ตัวคนเดียว’ จนนำสู่แสวงหาอ้อมกอดใหม่ๆ ในชีวิต

ไม่กี่วันต่อมา หนิงก็กลับมาบ้านอย่างเงียบๆ เธอบอกนัตว่าเบื่อทุกสิ่งทุกอย่างในบ้าน โดยเฉพาะแม่ที่เอาแต่ห่วงสามีใหม่ ส่วนนัตก็ดูเหมือนจะห่วงใยหนิงเป็นพิเศษ แต่ด้วยตัวเขาก็มีปัญหาของตัวเอง เขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องราวของน้องสาวมากนัก

หนิงกลับบ้านช้าลงจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือบางวันเธอก็ทำท่าเหมือนไม่อยากเดินเข้าบ้าน บางวันก็เมาเหล้าเพ้อเจ้อ ขณะเดียวกันแม้นัตจะรักหนิงมาก แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่ที่ปล่อยให้หนิงว้าเหว่ลำพัง 

และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่หนิงโผเข้ามากอดนัต ก่อนสารภาพสั้นๆ ว่า ‘มีเด็ก’ ทำเอานัตช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

จุดที่น่าสนใจคือนัตตัดสินใจแก้ปัญหาให้กับน้องสาวด้วยการปรึกษาเพื่อนผู้หญิงอย่างป้อม แทนที่จะขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่สักคน ตรงนี้ผมทั้งเห็นใจกับขัดใจกับการตัดสินใจของนัต 

ผมเห็นใจว่าถ้านัตเลือกจะปรึกษาแม่ แน่นอนว่าแม่อาจด่าว่าตบตีหนิงอย่างหนัก เพราะสำหรับลูกๆ แม่คือคนใจร้อนขี้โวยวายที่ไม่ยอมฟังใครนอกจากตัวเอง ส่วนพ่อก็ไม่เคยมาสนใจใยดีอะไรอยู่แล้ว นอกจากพูดประโยคเดิมๆ ว่าโตขึ้นลูกจะเข้าใจเอง 

แต่การที่นัตปรึกษาเพื่อนก็สร้างความขัดใจให้ผม เพราะแม้เพื่อนจะเป็นเพื่อนสนิทหรือดีเลิศแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเพียงเยาวชนที่ยังขาดประสบการณ์ชีวิต ดังนั้นแม้นัตกับเพื่อนจะหวังดี แต่ก็เป็นเพียงความหวังดีของเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

อย่างไรก็ดี นัตตัดสินใจชัดเจนแล้วว่าจะพาหนิงไป ‘ทำแท้ง’ ที่คลินิกเถื่อนย่านพระโขนง ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้เด็กในท้องเกิดออกมาและกลายเป็นฝันร้ายที่ประจานหนิงต่อผู้คนในสังคม ไหนจะพ่อแม่ที่หากรู้ข่าวคงต้องทำโทษน้องสาวอย่างหนัก 

นัตพยายามเก็บรวบรวมเงินของตัวเอง ยืมเพื่อนบ้าง ขโมยแม่บ้าง จนสามารถพาหนิงไปทำแท้งได้ แต่นั่นก็แลกมากับการที่หนิงไม่สามารถมีลูกได้ตลอดชีวิต

“…หมอพูดขึ้นเบาๆ “เด็กคนนั้นไม่มีโอกาสที่จะมีลูกได้อีกแล้ว” วูบหนึ่งที่ผมเห็นแววสลดและหดหู่ปรากฏขึ้นในดวงตาที่เฉยเมยคู่นั้น…ตอนนั้นผมยังไม่ทันนึกอะไรมาก แต่อีกหลายปีต่อมา เมื่อเห็นแววเช่นเดียวกันนั้นในสายตาของหนิง จึงทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของหมอในวันนั้นได้เป็นอย่างดี”

ถึงบรรทัดนี้ ผมลองเดินไปเล่าเรื่องของหนิงให้พี่ผู้หญิง 3 คนที่มีลูกฟัง ปรากฏว่าคนแรกให้ความเห็นว่าเป็นเพราะเด็กผู้หญิงขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่เกี่ยวกับพ่อแม่ว่ามีเวลาหรือไม่มีเวลาให้ ส่วนการทำแท้งนั้นเป็นเรื่องสิ้นคิดที่รับไม่ได้ สวนทางกับอีกสองคนที่มองว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ต่างหากที่ควรมีส่วนรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าคลอดลูกแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยลูกเผชิญโลกไปตามมีตามเกิด ขณะเดียวกันเชื่อว่าการทำแท้งนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้หากว่าผู้ที่ทำแท้งนั้นมีอายุครรภ์ไม่เกิน 2 เดือน 

หนังสือเวลาในขวดแก้ว เป็นหนึ่งในนวนิยายที่โด่งดังที่สุดของอ.ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปี 2554 โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในหนังสือดี 100 เรื่องที่เด็กไทยควรอ่าน หลายโรงเรียนเลือกเวลาในขวดแก้วมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยม รวมถึงถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ในหลายโอกาส

Tags:

พ่อแม่เพื่อนครอบครัวนวนิยาย

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    After the storm: เผชิญหน้าเพื่อลาจาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

การถูกล่วงเกินทางเพศ การไม่กล้าบอกกล่าว และความสามารถของชุมชนในการรับฟัง
Life classroom
23 June 2022

การถูกล่วงเกินทางเพศ การไม่กล้าบอกกล่าว และความสามารถของชุมชนในการรับฟัง

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ผู้ที่ถูกล่วงเกินทางเพศ ไม่ว่าจะถูกล่วงเกินในระดับใด จะมีพื้นที่ที่ดูปลอดภัยมากขึ้นสำหรับการที่พวกเขาจะบอกเล่าเรื่องราวให้ใครสักคนฟัง เพื่อถามหาความยุติธรรมหรืออย่างน้อยก็เพื่อที่จะเยียวยาตัวเอง
  • เหล่าผู้ล่วงเกินย่อมรู้จักวางหมากกล และมักบิดความรับรู้ของคนที่เขาหาประโยชน์ทางเพศด้วยและของใครก็ตาม เพื่อให้ตัวผู้ล่วงเกินลอยนวลได้ เช่นเดียวกับกรณีของ ‘เซ็ธ (Seth Shelley)’ ผู้ชายที่ถูกผู้ข่มขืนโยนความผิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความต้องการและความผิดของเซ็ธ
  • การมีใครสักคนที่สามารถรับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาได้ โดยไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเกินไป ก็เป็นปฐมบทของการเยียวยาและเป็นการเกื้อกูลชุมชนไปด้วยเหมือนกัน

1.

แม้ในปัจจุบัน ผู้ที่ถูกล่วงเกินทางเพศ(ซึ่งเกิดได้กับคนทุกความหลากหลายทางเพศ)ไม่ว่าจะถูกล่วงเกินในระดับมากน้อยเพียงใด จะมีพื้นที่ที่ดูปลอดภัยและเป็นมิตรมากขึ้นสำหรับการที่พวกเขาจะบอกเล่าเรื่องราวให้ใครสักคนฟัง เพื่อถามหาความยุติธรรมหรืออย่างน้อยก็เพื่อที่จะเยียวยาตัวเอง 

แต่พื้นที่สำหรับการบอกเล่าแม้แค่ให้คนใกล้ชิดทราบ ก็ยังไม่ได้เป็นพื้นที่สำหรับทุกคน 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อที่ผู้ที่ล่วงเกินเป็นผู้นำหรือผู้มีอิทธิพลโดยมีภาพลักษณ์แห่งคุณธรรมความดีงามและมีคนยอกลิ่นกราบไหว้ ถือได้ว่าผู้ล่วงเกินเป็นผู้มีอำนาจ และความชวนศรัทธาก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบอำนาจอันไม่อาจแตะต้องของเขา

2.

มีตัวอย่างให้เห็นว่า ผู้ที่ถูกล่วงเกินทางเพศในขณะที่ถูกล่วงเกินนั้นมักเป็นผู้คนที่มีสิทธิอำนาจน้อยกว่า เจนโลกน้อยกว่า เข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่า ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนน้อยกว่ามาก หรือจำต้องพึ่งพาผู้ที่ล่วงเกินเพื่อความอยู่รอดหรือในการทำงาน หรือเป็นคนที่ถูกวัฒนธรรมหรือคนรอบข้างบ่มเพาะให้รู้สึกว่าต้องเคารพบูชา อวยยศ เกรงใจ เตรียมพร้อมสำหรับการถูกเรียกใช้ หรือแม้แต่หวาดกลัวผู้ล่วงเกินซึ่งมีลำดับขั้นทางสังคม (social rank) สูงกว่ายังไม่ต้องพูดถึงการดำเนินการทางกฎหมายหากเข้าองค์ประกอบความผิดต่างๆ เอาแค่ว่ากล้าเล่าให้คนใกล้ชิดสักคนฟังก็เป็นเรื่องซับซ้อนอ่อนไหวเกินไปในหลายบริบทแล้ว

มีตัวอย่างจากการแสดงความเห็นเชิงแย้ง เมื่อผู้หญิงที่ถูกล่วงเกินไม่ว่าจะแค่ถูกลวนลามหรือร้ายแรงกว่านั้นออกมาพูด เช่น เมื่อ Gretchen Carlson นักข่าวและพิธีกรโทรทัศน์ชาวอเมริกัน ออกมาพูดเรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงานว่าเป็นเรื่องของ “อำนาจ” ก็กลับมีความเห็นแย้งว่าเธอแต่งตัวไม่เรียบร้อยออกมาพูด หรือบอกว่าผู้ชายรู้สึกว่าทำได้เพราะมีผู้หญิงที่พร้อมจะใช้เซ็กส์เพื่อประโยชน์ทางการงาน หรือความเห็นเชิงน้อยเนื้อต่ำใจของผู้ชายที่บอกว่าเพื่อนร่วมงานสาวสวยได้ประโยชน์จากเจ้านายผู้ชาย ในขณะที่เขาต้องทำงานหนักกว่ามาก ฯลฯ เหล่านี้เป็นอีกด้านที่ได้รวมมาไว้เพื่อจะประมวลต่อไป  แม้จะพยายามเข้าใจหลายฝั่งแต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องคล้อยตามไปทุกประเด็น และความเห็นข้างต้นก็ทำให้ไม่แปลกใจที่ส่วนหนึ่งของคนที่ถูกล่วงเกินจะไม่กล้าพูดอะไรมาตลอด บ้างทำได้เพียงลวงให้ตัวเองลืมสิ่งที่เกิดขึ้น หรือบอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพื่อที่อีกเป็นทศวรรษต่อมาจะต้องกลับมาทำงานกับความทรงจำที่เคยกดไว้ซึ่งในที่สุดได้ล้นทะลักเชี่ยวกราก และเพิ่งอนุญาตให้ตัวเองโกรธในชั่วขณะหนึ่ง และต้องหาวิธีไม่ให้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แต่เกิดขึ้นเพื่อการเติบโตของเรา มันไม่รู้สึกยุติธรรมหรอกหากผู้เสียหายต้องทำงานกับข้างในตัวเองอย่างหนักโดยปิดปากเงียบ โดยที่แม้แต่ถูกถล่มโดยผู้คนที่กลัวจะต้องรับรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เสียหาย ในขณะที่ผู้ล่วงเกินสามารถอยู่กับการบิดเบือนความเป็นจริงและรับการเยินยอต่อไปได้เรื่อยๆ

“เขาดัง สูงส่ง แกเลยไปยั่วล่ะสิ งานมโนก็มานะหล่อน เขาเฟรนลี่กับทุกคนแหละ” เสียงแขวะทำนองนี้จากส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ติดตามของเขาเป็นสิ่งคาดหมายได้เมื่อผู้เสียหายมีปฏิกิริยาบางอย่างแม้เพียงเล็กน้อยรั่วไหลออกมา และแม้ความลับจะยังคงเป็นความลับต่อไป

ไม่ได้แปลว่าผู้ที่เผชิญการฉกฉวยโอกาสและถูกปั่นหัวให้สับสนกับความรับรู้ของตัวเองจะต้องใสๆ และไม่ได้แปลว่าเพศหลากหลายอื่นนอกจากชายจะใช้อำนาจและอภิสิทธิ์แสวงหาประโยชน์ทางเพศและโกหกไม่ได้ เพราะคนทุกความหลากหลายทางเพศสามารถเป็นได้ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ลองดู Men Need to Talk about their Sexual Abuse ซึ่งเซ็ธ (Seth Shelley) ผู้ชายที่เคยถูกข่มขืนเล่าว่าหลังจากเกิดเหตุ ผู้ข่มขืนพูดว่ามันเป็นความผิดของเซ็ธและจะไม่มีใครเชื่อเรื่องเล่าของเซ็ธ ผู้ข่มขืนบอกว่าคิดว่าเซ็ธต้องการ! 

เหล่าผู้ล่วงเกินย่อมรู้จักวางหมากกล และมักบิดความรับรู้ของคนที่เขาหาประโยชน์ทางเพศด้วยและของใครก็ตาม เพื่อให้ตัวผู้ล่วงเกินลอยนวลได้ 

ในกรณีของเซ็ธ เขาสับสน ส่วนหนึ่งของเขาเชื่อตามผู้ล่วงละเมิดเขาว่าเขาเป็นคนผิด เขาอยากเล่าเรื่องที่เกิดกับเขาให้ใครสักคนฟัง แต่ก็ปิดปากมานานเพราะมีญาติผู้หญิงที่โดนกระทำทางเพศซึ่งเมื่อพูดก็กลับโดนสังคมตัดสินในทางลบ ผสานไปกับความกดดันจากบางแนวคิดเรื่องความเป็นชาย (masculinity) เช่น ชายแท้ถูกข่มขืนไม่ได้ ทำให้ผู้ชายอย่างเขาก็ไม่กล้าพูดเหมือนกัน แต่แล้วมันก็เหนื่อยล้าและกัดกร่อนเกินไปที่จะต้องไม่ยอมรับความเจ็บปวดของตัวเอง ในที่สุดชายหนุ่มก็ออกมาพูดโดยตระหนักว่าเรื่องราวของเขาไม่ได้ตัดขาดจากชุมชน เขาพูดได้น่าสนใจว่า 

เมื่อเราสามารถรับฟังเรื่องราวของการถูกกระทำและความเจ็บปวด เราก็ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ และสิ่งนั้นมันไม่โอเค

มีคนทำแบบนั้นกับเซ็ธจริงๆ และใครหลายคนก็เจอเรื่องทำนองนี้ และมันแย่สำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดของทุกคนเป็นของจริง การถูกได้ยินเปิดสู่การเยียวยา ส่วนการที่ชุมชนสูญเสียความสามารถในการรับฟัง และการที่ผู้ถูกล่วงเกินสูญเสียความสามารถที่จะบอกเล่าประสบการณ์เฉพาะตามความเข้าใจของเขา ก็อาจเป็นความตายอย่างช้าๆ ของชุมชนเหมือนอย่างที่เซ็ธกล่าว

3.

ดังนั้น แม้กรณีที่ผู้เสียหายจะสามารถเติบโตเกินกว่าคนที่ทำกับเขาได้ แม้เขาสามารถนำสิ่งรบกวนผ่านช่องความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการถูกล่วงเกินทางเพศ การถูกบิดความรับรู้ และแม้แต่เสียงตัดสินก่นว่าจากส่วนหนึ่งของชุมชน มาใช้ทำงานกับตัวเองจนในที่สุดเขาเห็นได้ว่าลักษณะต่างๆ เป็นเพียงภาวะที่ลื่นไหลและผู้คนไม่ได้สร้างปัญหาให้เขาแต่เป็นโอกาสให้เราทำงานกับกระบวนการ (process) แห่งชีวิต 

กระนั้น การมีใครสักคน อย่างน้อยก็ในครอบครัว สามารถรับฟังเรื่องที่เกิดกับเขาอย่างที่เขารับรู้และตรงไปตรงมาได้ โดยไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเกินไป ก็เป็นปฐมบทของการเยียวยาและเป็นการเกื้อกูลชุมชนไปด้วยเหมือนกันนะ 

อ้างอิง

Men Need to Talk about their Sexual Abuse by Seth Shelley 

How we can end sexual harassment at Work by Gretchen Carlson

หมายเหตุ* เนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหวจึงอ้างอิงเรื่องแต่งเป็นหลัก และได้เปลี่ยนคำพูดในบางตัวอย่างเพื่อปิดช่องมิให้กระทบกับตัวบุคคลใดๆ เลย

ภาพยนตร์ Silence โดยผู้กำกับ Hwang Dong-hyuk, ภาพยนตร์ Bombshell โดยผู้กำกับ Jay Roach, ภาพยนตร์ Devil All the Time โดยผู้กำกับ Antonio Campos

ซีรีส์ Anatomy of Scandal, สารคดี Watch Bikram: Yogi, Guru, Predator  ฉายทาง Netflix

The True Story Behind Bombshell and the Fox News Sexual Harassment Scandal

Bombshell: The real story behind the Oscar-nominated film starring Charlize Theron

Tags:

การเยียวยาการถูกล่วงละเมิดทางเพศการรับฟัง

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • IMG_0670 2
    Book
    เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Deep Listening-nologo
    Character building
    ‘การฟังเป็น’ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียง แต่ต้องให้ดังไปถึงใจ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ปลดกุญแจมือแล้วกอดเขา จนกว่าคนสีเทานั้นจะอ่อนแอลง: มองมุมกว้างเมื่อเด็กก้าวพลาด กับ ‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร 

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • How to enjoy life
    ‘คนเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขได้ คือ ตัวเรา’ 5 สถานการณ์ที่ทำให้เราไม่เชื่อในเรื่องความสุขอีกต่อไป และวิธีดึงความสุขกลับมาที่ตัวเรา

    เรื่อง The Potential

  • Myth/Life/Crisis
    นาฬิกาและเค้กแต่งงานของมิส ฮาวิชแฮม: บาดแผลที่หยุดเวลาเอาไว้และภาพทุกข์ในใจที่ถูกฉายซ้ำ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี
Early childhood
22 June 2022

Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • พ่อแม่ผู้ปกครองน่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘Learning by Doing’ หรือ การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำอยู่บ้าง ซึ่ง ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญา กล่าวว่า ‘การลงมือทำ’ ในวัยเด็กก็คือ… ‘การเล่น’
  • การปล่อยให้เด็กเล่นอย่างเต็มที่จึงเป็นการสนับสนุนเจตจำนง (willing) ตามธรรมชาติของความเป็นเด็ก โดยธรรมชาติ ‘ความเป็นเด็ก’เป็นวัยที่มีชีวิตชีวาและมีอิสระ ผ่าน ‘sense’ 4 ด้าน
  • ‘การเล่นให้มากพอ’ ในความหมายของเด็กอนุบาล เป็นการทะนุถนอม ปกป้องและดูแลเด็ก เพราะหากผู้ใหญ่ไม่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เล่น สุดท้ายแล้วเด็กก็จะสูญเสียอิสระจากข้างใน แล้วแสดงออกมาทางพฤติกรรมต่างๆ

มาเล่นกันเถอะ!

เมื่อได้ยินวลีนี้ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เชื่อว่าสิ่งที่แว๊บเข้ามาในความคิดหรือความทรงจำชั่วขณะหนึ่ง น่าจะให้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงความสนุกสนาน ตื่นเต้น และเป็นอิสระ 

การเล่นกับเด็กเป็นของคู่กัน แต่ในสายตาผู้ใหญ่การเล่นของเด็กอาจไม่ได้เป็นเรื่องที่มีสาระนัก แต่การเล่นในวัยเด็ก โดยเฉพาะแรกเกิดจนกระทั่งอายุ 7 ขวบไม่ได้เป็นเรื่องที่สูญเปล่า ที่สำคัญยังช่วยสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้ในระยะยาว 

ในเวทีเสวนาออนไลน์ ‘Play with your Heart การเล่น สีสันและเจตจำนงของชีวิต’ ส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Play Worker Up!’ การเวิร์กชอปออนไลน์ สำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครองและคนทำงานกับเด็ก ที่ออกแบบโดย Fathom Bookspace ร่วมกับเครือข่ายเล่นเปลี่ยนโลก สนับสนุนโดย สถาบันส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตั้งใจสื่อสารให้เห็นถึงสาระสำคัญของการเล่นในวัยเด็ก เพื่อตอกย้ำให้พ่อแม่ผู้ปกครองวางใจได้ว่า…การเล่นไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเรียนรู้แต่จะช่วยเติมพลังชีวิตและส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ให้กับเด็กได้

ธรรมชาติความเป็นเด็กอยู่กับการเล่นตลอดเวลา

พ่อแม่ผู้ปกครองน่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘Learning by Doing’ หรือ การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ อยู่บ้าง ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัดในแนวทางมนุษยปรัชญา กล่าวว่า ‘การลงมือทำ’ ในวัยเด็กก็คือ… ‘การเล่น’ 

ตามธรรมชาติแล้วเด็กเล่นตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน ครูมอสชวนสังเกตพฤติกรรมของเด็กๆ ว่าเด็กที่เล่นได้อย่างเพลิดเพลินและเป็นธรรมชาติตลอดเวลามักอยู่ในช่วงวัยอนุบาล เพราะเด็กไม่ได้มองการเล่นเป็นแค่ ‘กิจกรรม’ แต่เป็น ‘ชีวิต’ การเล่นจึงมีความหมายกับเด็กมากในช่วง 7 ปีแรก

“คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กหรือใครที่ทำงานด้านปฐมวัยจะเห็นตรงนี้ เด็กหลายคนตื่นเช้ามาจะไปที่มุมของเล่นในบ้าน ขณะคุณพ่อคุณแม่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า บางทีอาจกำลังแอบยิ้มอยู่เพราะลูกไปเล่นเองโดยที่ไม่ต้องบอกว่า…ลูกไปเล่นก่อนนะ 

ธรรมชาติของแต่ละบ้านอาจไม่เหมือนกันแต่เชื่อว่าภาพรวมมักเป็นแบบนี้ หรือเด็กมาถึงห้องเรียนก็เล่นเลย อยากให้ทุกคนเห็นว่าการเล่นเป็นชีวิตของเด็กอย่างแท้จริงและชัดเจนมากใน 7 ปีแรก และให้ความสำคัญว่าธรรมชาติของเด็กเป็นวัยที่เรียนรู้ชีวิตของตัวเองทางด้านร่างกายและใจด้วยการเล่น หลังจากนั้นเด็กจะไม่ได้อยู่ในโหมดนี้มากนักและจะเข้าสู่โหมดถัดไปในช่วงชีวิตของเขา”

การปล่อยให้เด็กเล่นอย่างเต็มที่ เล่นจนอิ่ม และได้เล่นอย่างเอร็ดอร่อย สนับสนุนเจตจำนง (willing) ตามธรรมชาติของความเป็นเด็ก ครูมอส ขยายความถึง ธรรมชาติ ‘ความเป็นเด็ก’ ซึ่งเป็นวัยที่มีชีวิตชีวาและมีอิสระ ผ่าน ‘sense’ 4 ด้าน ที่มนุษยปรัชญาเรียกว่า ‘สัมผัส’ ได้แก่ 

  1. สัมผัสทางกาย (Sense of Touch) 
  2. สัมผัสของชีวิตหรือการดำรงอยู่ (Sense of Life) 
  3. สัมผัสของการเคลื่อนไหว (Sense of Movement) และ
  4. สัมผัสความสมดุล (Sense of Balance) 

“Sense of Touch เริ่มตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ของมารดา ถือว่าเป็นการสัมผัสทางกายของคุณแม่มาตลอด รวมถึงสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น และกายเมื่อออกมาสู่โลกภายนอก หากได้รับสัมผัสนี้เพียงพอเด็กจะมีความมั่นคงและไม่รู้สึกกลัว 

Sense of Life สัมผัสของชีวิตหรือการดำรงอยู่ หมายถึง ความรู้สึกสบายกาย ยกตัวอย่างเวลาไม่สบายกาย เช่น ตอนมีไข้ต่ำ ไม่สบายตัวหรือมีการบาดเจ็บ พ่อแม่จะสังเกตเห็นได้ว่าเด็กดูไม่ค่อยสบายตัวนะ Sense of Movement ก็คือกายที่เคลื่อนไหว ตรงนี้เห็นชัดในตัวเด็กเพราะเด็กมักไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้ และการเคลื่อนไหวที่เป็นหัวใจหลักในช่วง 7 ปีแรก คือ การเล่น

การเคลื่อนไหวของเด็กในทางมนุษยปรัชญา คือ ธาตุน้ำ ส่วนกายของเด็ก คือ ธาตุดิน ดังนั้นหากเราจับคู่กันระหว่างน้ำกับดิน เปรียบเทียบได้ว่าถ้าเด็กไม่มีการเคลื่อนไหวเลยก็จะไม่สามารถมีพลังชีวิตมากพอ”

“เราพอจะอนุมานได้ว่าตรงไหนมีแต่โต๊ะและเก้าอี้ให้เด็กนั่ง การเรียนรู้ตรงนั้นจะเป็นอย่างไร ส่วนถ้าตรงไหนเป็นห้องโล่งๆ เป็นที่กว้างก็จะอนุมานได้ว่าเด็กในวัยเล็กๆ จะได้ทำอะไรบ้าง สุดท้าย Sense of Balance ทุกสัมผัสที่เข้ามากระทบกับเด็กใน 7 ปีแรกเกี่ยวข้องกับความสมดุลทั้งนั้น เช่น เด็กเล่นอยู่ในบ้านหยิบของเล่นมาต่อกันเป็นมิติที่สูงขึ้น การเริ่มหัดเดิน การเดินบนขอนไม้หรือการเดินไปในเส้นทางธรรมชาติ”

ดังนั้น หากผู้ใหญ่สามารถตอบสนองความต้องการของเด็กด้วย sense ทั้ง 4 ได้อย่างครบถ้วน เด็กจะสามารถเรียนรู้และเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ ‘การเล่น’ จึงเป็นคำตอบที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการได้อย่างสอดคล้องตามช่วงจังหวะพัฒนาการของเด็ก

การเล่นอย่างอิสระแบบมีขอบเขต

การเล่นไม่จำเป็นต้องใช้ ‘ของเล่น’ เท่านั้น เด็กสามารถเล่นผ่านงานเล็กๆ ในบ้าน เช่น การจัดจานจัดโต๊ะ ช่วยงานบ้านพ่อแม่ นอกจากนี้ การเล่นแนวศิลปะยังถือเป็นส่วนหนึ่งของเด็ก สังเกตเห็นได้จากผนังบ้านหรือหน้าหนังสือที่มักถูกเด็กๆ ขีดเขียน แม้ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างแต่เด็กได้ทำงานกับมือและเท้าด้วยพลังชีวิตที่แสดงออกถึงการเล่นอย่างอิสระ

“หัวใจของการเล่นไม่ได้อยู่ที่ของเล่น แต่อยู่ที่ความเป็นอิสระที่ผู้ใหญ่รอบข้างมีให้กับเด็กจริงๆ…

การวาดรูปเล่นเป็นคำไทยที่น่ารัก เราไม่มีโจทย์ตั้งให้เด็กทำ การเล่นที่เป็นอิสระผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงเด็กเลย ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เขาเล่น ไม่ต้องถามว่าเด็กวาดอะไร ปล่อยให้เขาได้เล่น เพราะทุกๆ ครั้งของการเล่น เด็กจะได้ทำงานกับจินตภาพ (imagination) แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ภาพวาดต่างๆ จะกลับไปที่การทำงานกับความคิด เส้นที่แสดงออกมาจะมีความแตกต่างกัน ผู้ใหญ่ไม่สามารถวาดลายเส้นออกมาเหมือนเด็กได้”

“เวลาเล่นมันมีภาพที่กำลังทำงานอยู่ แล้วค่อยๆ ถูกนำมาร้อยเรียง เด็กไม่ได้ใจลอยนะ เช่น ถ้าเล่นกับของเล่นต่างๆ เขาอาจหยิบขอนไม้มาสองขอน หยิบเมล็ดพืช หยิบบล็อกมาประกอบเป็นบ้านหลังหนึ่ง ข้างในเขามีภาพบ้านหลังหนึ่งอยู่ เช่นเดียวกับการวาดภาพเด็กจะขยายจินตภาพไปตามช่วงวัย” ครูมอส อธิบาย

อย่างไรก็ตาม ครูมอส กล่าวว่า ผู้ใหญ่สามารถช่วยสนับสนุนการเล่นอย่างอิสระแบบมีขอบเขตได้ นอกจากของเล่นต่างๆ แล้ว เครื่องมือไม่ว่าจะเป็นปากกา ดินสอ สีเทียนหรือสิ่งที่ช่วยอำนวยการลากเส้นสามารถนำมาเป็นอุปกรณ์ประกอบการเล่นให้กับเด็กๆ

“ถ้าเราไม่เตรียมพื้นที่ไว้ เด็กจะไม่รู้ว่าต้องไปวาดตรงไหน เด็กเลยไปวาดที่กำแพงบ้าง โต๊ะบ้าง เพราะเขาไม่รู้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน ถ้าสมมุติว่าบางบ้านเตรียมพื้นที่ให้เด็กไว้ เช่น กระดาษแผ่นกว้างๆ ขนาดประมาณ A3 ซึ่งเป็นกระดาษที่เหมาะกับเด็กเล็ก แน่นอนเราเห็นบ่อยๆ ว่าเส้นของเขามักเลยขอบกระดาษออกมา แต่มันเลยกระดานไหม ส่วนใหญ่ไม่เลยกระดานนะ เพราะว่ากระดานเป็นขอบเขตที่เหมือนเป็นจุดไข่ปลาบอกว่า…วาดบนกระดาษนี้เเต่ให้อยู่บนกระดาน”

 “หากเราไม่มีขอบเขตเลยแล้วเด็กใช้สีเขียนไปรอบบ้าน ถ้าอยู่ในบ้านที่มีความเข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่เข้าใจก็เป็นปัญหาได้เหมือนกัน ฉะนั้นความเป็นอิสระตรงนี้อยากให้ผู้ใหญ่ได้เห็นว่า กระดาน คือ ขอบเขตให้เด็กได้วาดเล่นอย่างมีอิสระ”

รู้จักและเข้าใจเด็กจากการเล่น

แม้ผู้ปกครอง ครู และคนที่ทำงานกับเด็กจะไม่ได้เป็นนักศิลปะบำบัด แต่ครูมอสบอกว่า หากสังเกตชิ้นงานศิลปะของเด็กๆ อย่างใส่ใจจะสามารถทำความรู้จักและเข้าใจเด็กๆ ได้มากขึ้น เช่น ช่วงเริ่มขีดเขียนถึง 3 ขวบ ลายเส้นของเด็กจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างและต่อมาจะเกิดเป็นรูปฟอร์มมากขึ้น แต่หากรูปฟอร์มนั้นมีลักษณะสมมาตรชัดเจน มีตัวอักษรหรือตัวเลขปรากฏในรูป เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่าเด็กกำลังทำงานกับการเรียน เขียน อ่าน แล้วนำมาวาด ซึ่งเป็นการใช้ความคิดมากกว่าความอิสระตามธรรมชาติ

“อย่าได้แปลกใจเวลาเด็กเดินไปที่ไหนจะใช้มือและเท้าสัมผัสตามที่ต่างๆ เปรียบเทียบเท้าของเด็กแทนพู่กัน เริ่มต้นเช้าวันใหม่สังเกตว่าเขาเดินเป็นรูปทรงอะไร เขาไม่ได้เดินเป็นสี่เหลี่ยมและวงกลมนะแต่เขาเดินในรูปทรงที่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น ถ้าเราให้พื้นที่กับเด็กมากพอ เช่น การเล่นที่มีอิสระกับมือก็ถือเป็นการเริ่มต้นพัฒนาด้านร่างกาย และเพื่อหลีกเลี่ยงภาพจำ เช่น ภาพการ์ตูน รวมถึงการรบกวนจากสัมผัสภายนอก วัยเด็กจึงควรเสพมือถือให้น้อย”

ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ลูกผ่อนคลายและรู้สึกเป็นอิสระกับการเล่น ครูมอส บอกว่า พ่อแม่สามารถสนับสนุนให้ลูกเล่นผ่านงานศิลปะด้วยการระบายสีน้ำ

“มองแบบผิวเผินเราอาจคิดว่าการเล่นอย่างอิสระเด็กต้องได้วิ่งตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วเด็กไม่ต้องวิ่งก็ได้ สัมผัสของการเคลื่อนไหว (Sense of Movement) เกิดขึ้นเมื่อได้ระบายสี ได้วาดภาพ และใช้จินตนาการจากข้างใน

เราสามารถใช้การระบายสีน้ำทำคู่ขนานไปได้ เพราะพลังของธาตุน้ำให้ความชุ่มชื่นพัฒนาข้างในของเด็ก น้ำจะพาสีไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องควบคุม เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้เด็กรู้สึกสบายๆ โดยพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องให้โจทย์และไม่ต้องมีคำสั่งว่าต้องวาดหรือทำอะไร”

“ถ้าเด็กไม่ทำ เราพาทำได้โดยไม่ต้องสอนด้วยการทำให้ดู ผมเจอเด็กที่ไม่อยากทำอะไรเลย พอมาถึงเขาลงไปใต้โต๊ะและนั่งเฉยๆ แม่พามาวาดรูปทำไม ไม่ได้อยากมานะ ในเคสนี้เด็กอาจมีการต่อต้านหรือรู้สึกว่าแม่บังคับให้เขาทำอะไรหลายๆ อย่าง ผมเอากระดานออกมาสองชุด ชุดที่หนึ่งวางไว้ใกล้ๆ เขา และชุดที่สองผมระบายสีเอง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา คือ เด็กคนนั้นเอาพู่กันมาแตะสีเล็กน้อยในวันนั้น“

นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ยังสร้างการเรียนรู้ให้เด็กได้จากของเล่นจากธรรมชาติ ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังต้นทางของวัตถุดิบก่อนมาเป็นของเล่นแต่ละชิ้น ของเล่นธรรมชาติทำให้เด็กได้มองเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมรอบตัว ยกตัวอย่างของเล่นที่ทำจากไม้ เช่น ขอนไม้ หรือ เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เช่น ฝักสะบ้าหรือเมล็ดมะค่าโมง

“ข้อดีของของเล่นธรรมชาติ เด็กจะได้เห็นว่าของเล่นนั้นมีที่มาอย่างไร เช่น ขอนไม้เล็กๆ ที่มาจากไม้จามจุรีข้างบ้าน มันจะกลับไปที่ต้นทางว่าของเล่นนี้มาจากต้นไม้ใหญ่ที่เรียกว่าอะไร กิ่งของต้นไม้นั้นทิ้งตัวลงมา แล้วเราเก็บกิ่งนี้มาด้วยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ความหมายของของเล่นธรรมชาติจึงมีคุณค่ากับต้นทาง ของเล่นที่มาจากธรรมชาติอาจหาไม่ได้ในอีกพื้นที่หนึ่งแต่หาได้ในอีกพื้นที่หนึ่ง แล้วในพื้นที่ที่หาของเล่นธรรมชาติไม่ได้ เด็กจะเล่นได้ไหม เราต้องมองบริบทด้วย เช่น ในพื้นที่สลัมมีบ้านไหนที่เก็บของเก่า บ้านที่เก็บของที่ไม่มีประโยชน์แล้ว หรือเก็บเพื่อเอาไปขาย เด็กที่อยู่แถวนั้นมองสิ่งเหล่านี้เป็นของเล่นได้ เพราะเด็กเล่นจากอะไรก็ได้”   ครูมอส ตั้งคำถามทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้ระบบการศึกษาโดยเฉพาะในระดับปฐมวัย นอกจากการเรียนให้อ่านออกเขียนได้แล้ว ผู้ใหญ่ได้ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘เล่นอย่างอิสระ’ มากพอไหม เพราะเหตุปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเด็กในอนาคต หากผู้ใหญ่ไม่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เล่น เด็กจะสูญเสียอิสระจากข้างในแล้วแสดงออกมาทางพฤติกรรมต่างๆ

“เมื่อเรากลับมาเห็นเด็ก 8-10 ขวบหมดแรง แล้วมาทำศิลปะบำบัดอยู่หลายเคส เวลาเด็กมาระบายสี เขาไม่ได้ต้องการโจทย์อะไรเลย เขาเเค่อยากกลับไปหาอิสระที่ขาดไปในช่วงอนุบาล พอเราให้เขาได้เป็นอิสระพลังชีวิตจะเกิดขึ้น คำว่า Kindergarten หรือ โรงเรียนอนุบาล เป็นภาษาเยอรมัน แปลง่ายๆ คือ สวนเด็ก ดังนั้น ใน 7 ปีแรกมองเห็นภาพได้เลยว่ามันต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ การเล่นให้มากพอในความหมายของเด็กอนุบาลเป็นการทะนุถนอม ปกป้องและดูแลเด็ก”

Tags:

การเรียนรู้เด็กอิสระการเล่นพัฒนาการพ่อแม่ปฐมวัยศิลปะ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    ภาวะผู้นำ ลักษณะนิสัยดีที่พ่อแม่ร่วมสร้าง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ชั่วโมงห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร: Makerspace ที่เน้นการเรียนรู้ระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์
22 June 2022

ชั่วโมงห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร: Makerspace ที่เน้นการเรียนรู้ระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ชั่วโมงกิจกรรมห้องครัว หนึ่งในการเสริมสร้างการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ของโรงเรียนบ้านยกกระบัตร ผ่านกิจกรรม Makerspace ที่ไม่เน้นรสชาติหรือหน้าตาอาหารที่ดีที่สุด แต่สำคัญคือ เด็กๆ สนุก กล้าคิด กล้าสร้างสรรค์ และได้ใช้เวลาทำในสิ่งที่ชอบ
  • กิจกรรม Makerspace เป็นการฝึกให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานขึ้นเอง ตามกระบวนการ STEAM design process (การตั้งคำถาม จินตนาการ วางแผนการทำงาน ลงมือปฏิบัติ และการสะท้อนความคิด) ในการวางแผนและออกแบบผลงาน การสร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยครูจะกำหนดโจทย์การเรียนรู้
  • ครูสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ได้แสดงความเห็น แสดงวิธีคิด หรือกล้าที่จะลงมือทำ ด้วยการใช้คำถามเพื่อให้เขาทำต่อได้ เช่น อันนี้หนูต้องทำอะไรต่อลูก? ถ้าเกิดอันนี้ไม่มี อันนี้ขาด หนูสามารถใช้อะไรแทน? 

“เราไม่ได้เน้นที่ผลลัพธ์ว่าสุดท้ายเด็กต้องทำอาหารออกมารสชาติดีที่สุด หน้าตาดีที่สุด แต่เน้นที่กระบวนการเรียนรู้ระหว่างทาง สำคัญคือให้เด็กเขาได้ลงมือทำ” ครูยุ้ย – ศรุดา เหมือนนึก ครูประจำกิจกรรมห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร 

ชั่วโมงกิจกรรมห้องครัว เป็นหนึ่งในการเสริมสร้างการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ให้กับเด็ก ของโรงเรียนบ้านยกกระบัตร อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ที่ออกแบบผ่านกิจกรรม Makerspace โดยไม่เน้นรสชาติหรือหน้าตาอาหารที่ดีที่สุด แต่สำคัญคือ เด็กๆ สนุก กล้าคิด กล้าสร้างสรรค์ และได้ใช้เวลาทำในสิ่งที่ชอบ    

การจัดกิจกรรม Makerspace ในโรงเรียนริเริ่มโดยโรงเรียนบ้านปลาดาว โรงเรียนที่จัดการศึกษาระดับอนุบาลและประถมศึกษา ของอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม เป็นการฝึกให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานขึ้นเอง ตามกระบวนการ STEAM design process (การตั้งคำถาม จินตนาการ วางแผนการทำงาน ลงมือปฏิบัติ และการสะท้อนความคิด) ในการวางแผนและออกแบบผลงาน การสร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยครูจะกำหนดโจทย์การเรียนรู้ เช่น การประดิษฐ์ของเล่นจากไม้ไผ่ การทำกระถางต้นไม้ เป็นต้น นักเรียนจะได้ฝึกทักษะชีวิตและการประยุกต์อุปกรณ์หรือวัตถุดิบที่มีรอบตัวมาพัฒนาและผลิตเป็นชิ้นงานขึ้น

สำหรับโรงเรียนบ้านยกกระบัตร ซึ่งเป็นโรงเรียนในโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง (TSQP) ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มีการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อฝึกทักษะอาชีพและทักษะด้านต่างๆ ให้กับนักเรียน จำนวน 8 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมห้องครัว กิจกรรมห้องการงานอาชีพ กิจกรรมห้องเกษตร กิจกรรมห้องศิลปะ กิจกรรมห้องนาฏศิลป์ กิจกรรมห้องคอมพิวเตอร์ กิจกรรมห้องงานช่าง และกิจกรรม Sport for you 

Makerspace ในบริบทโรงเรียนบ้านยกกระบัตร 

ในคู่มือ ‘การจัดการเรียนรู้ช่วงโควิด-19 กับการฟื้นฟูภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss Recovery) กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านปลาดาว และการขยายผลสู่โรงเรียนเครือข่าย’ ที่ได้จากการถอดบทเรียนการเรียนรู้ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมานั้น สะท้อนถึงแนวคิดการจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้สร้างสรรค์ไว้ว่า 

การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการ STEAM Design Process ด้วยการถามเพื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากทำ การออกแบบ วางแผน การลงมือทำ ไปจนถึงการคิดสะท้อนและออกแบบใหม่เพื่อพัฒนา โดยจัดพื้นที่สำหรับนักสร้างสรรค์ (Makerspace) จะช่วยพัฒนาทักษะทางการคิดและการแก้ปัญหา ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข สามารถบริหารจัดการตนเองได้ดีขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้และค้นพบความชอบและความถนัด นำไปสู่การสร้างแรงบันดาลใจในอนาคต 

“วันแรกที่เราไปดูงานที่โรงเรียนบ้านปลาดาว เราคิดว่าคงทำไม่ได้ เพราะว่าเห็นปลาดาวแล้วมีความพร้อมทุกเรื่อง เราก็มานั่งคุยกันว่าเราจะทำยังไงดีให้เด็กกล้าแสดงออกบ้าง ครูจะเปลี่ยนวิธีสอนที่เป็น Active Learning อย่าง Makerspace เราจะทำยังไง ซึ่งสตาร์ฟิชไม่ได้บังคับว่าเราจะต้องทำตาม แต่ให้เรามาปรับเปลี่ยนวิธีการของเราตามบริบทที่เราเป็น 

เราก็มาดูว่าบริบทของเรามีอะไร ครูของเราทำอะไรได้บ้าง เราพร้อมจะทำอะไร หรือว่าเรามีความถนัดอะไร เราก็มาแชร์กัน เราก็สั่งสมวิธีการของเรามา อย่างตอนนี้เราส่งใบ STEAM ไปให้เด็ก เขาจะทำได้เลยเราไม่ต้องอธิบายแล้ว เขาจะทำงานเป็นขั้นเป็นตอนตามกระบวนการของเขา” 

สมพิศ กอบจิตติ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านยกกระบัตร เล่าถึงการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนเพิ่ม Active Learning โดยออกแบบตามบริบทของโรงเรียน  จนออกมาเป็นกิจกรรม Makerspace ฝึกให้เด็กๆ คิดเป็นทำเป็น และเสริมทักษะด้านอาชีพ มีทั้งหมด 8 กิจกรรมตามที่กล่าวไว้ ซึ่งในที่นี้ขอยกตัวอย่างกิจกรรมห้องครัว ที่นอกจากเด็กๆ จะสนุกกับการคิดเมนู หั่นผัก ปรุงอาหาร หรือจัดจานแล้ว ยังฝึกให้พวกเขาได้คิด วางแผน และลงมือทำอย่างเป็นระบบ 

ชั่วโมงกิจกรรมทำครัว เรียนรู้จากการลงมือทำ 

“Makerspace คือกิจกรรมที่ครูใช้จัดการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ โดยมาจากความสนใจของเด็กเอง หรือที่เรียกว่า เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตัวเอง โดยใช้กระบวนการ STEAM Design Process เพื่อให้เห็นว่า เด็กมีความคิดยังไง สร้างสรรค์อะไรบ้าง เพื่อให้เด็กเขาได้สะท้อนคิด ได้เห็นว่าเขาสนใจอะไร และมีมุมมองต่อสิ่งที่เขาสนใจอย่างไร รวมถึงจะทำอย่างไรเพื่อให้สิ่งที่วางแผนไว้นั้นสำเร็จ” ครูยุ้ย – ศรุดา เหมือนนึก ครูประจำกิจกรรมห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร อธิบายถึงการนำแนวคิดการจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้สร้างสรรค์ 

กิจกรรมห้องครัวของที่นี่เป็นเหมือนกิจกรรมชุมนุมการเรียนรู้ชุมนุมหนึ่ง โดยจะเปิดโอกาสให้เด็กๆ ทุกคน ทุกระดับชั้นตั้งแต่ ป.1 – ป.6 ได้เลือกตามความสนใจของตัวเอง ซึ่งเด็กๆ จะเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ถ้าเขาได้ทำในสิ่งที่ชอบ

“บางคนเขาชอบเขาก็อยู่ยาวจนจบป.6 เลย หรือบางคนที่เขาอยากลองเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นบ้างก็ได้ เราเปิดโอกาสให้”

ในชั่วโมงแรกของกิจกรรมนั้น ครูยุ้ยเล่าว่า เด็กๆ ก็จะมาระดมสมองร่วมกันวางแผนว่า สัปดาห์นี้จากโจทย์วัตถุดิบหลักหนึ่งอย่างที่ครูมีให้นั้น จะเอามารังสรรค์เป็นเมนูอะไรกันดีนะ? 

ซึ่งปฏิกิริยาของเด็กๆ นั้น พวกเขาต่างกระตือรือร้นในการช่วยกันคิดหาเมนูใหม่ๆ หรือลองผิดลองถูก ลองเอาวัตถุดิบนี้ประยุกต์ทำเป็นเมนูอื่นๆ ที่อาจจะเข้ากันหรือไม่เข้ากันก็ได้ แต่มันคือผลงานของเด็กๆ ซึ่งสามารถจะต่อยอดและพัฒนาให้ดีขึ้นได้  

ครูยุ้ย – ศรุดา เหมือนนึก ครูประจำกิจกรรมห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร

วัตถุดิบในการทำอาหารก็เปลี่ยนไปในทุกๆ สัปดาห์ โดยในหนึ่งสัปดาห์ของกิจกรรมจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง สองชั่วโมงแรกเป็นการวางแผน ออกแบบผลงาน และลงมือปฏิบัติในอีกสองชั่วโมงสุดท้าย 

“ยกตัวอย่างเช่น ไข่ เด็กๆ จะทำอะไรกันดี เด็กๆ เขาก็จะจับกลุ่มกันทำอาหาร กลุ่มหนึ่ง 5-6 คน ช่วยกันคิดเมนู แล้วก็เขียนแผนงานตามแบบ STEAM Design Process ออกมาว่า เมนูนี้จะมีวัตถุดิบอะไรบ้าง เช่น มีชีส มีผัก แล้วก็จะให้ไปสำรวจวัตถุดิบที่อยู่ในห้องครัวว่า ที่โรงอาหารของโรงเรียนเรามีอะไรบ้างแล้ว อันไหนที่ไม่มีก็ให้เด็กๆ วางแผนกัน แบ่งหน้าที่กันว่าใครจะเตรียมอะไรมาบ้าง เพื่อที่นำมาประกอบอาหารในชั่วโมงหน้า อันนี้เป็นขั้นเตรียมการ”

เมื่อชั่วโมงของการลงมือทำครัวมาถึง เด็กๆ ก็จะกลับมาพร้อมวัตถุดิบต่างๆ ที่จะใช้ในการทำเมนูที่พวกเขาร่วมกันคิด และจัดสรรแบ่งหน้าที่กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชั่วโมงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ต่างก็ง่วนกับการทำอาหาร บางคนหั่นผัก หั่นหมู บางคนรับหน้าที่อยู่หน้าเตา มือหนึ่งจับกะทะ อีกมือจับตะหลิวผัดๆๆ ส่วนอีกคนคอยปรุงรสอยู่ข้างๆ รวมถึงแผนกจัดเสิร์ฟหรือจัดใส่บรรจุภัณฑ์ในกรณีที่ทำขายด้วย   

“เด็กๆ ก็จะทำกันเอง พอทำออกมาก็จะช่วยกันชิมว่า รสชาติเป็นยังไง อร่อยไหม ถ้ารสชาติยังไม่ได้ก็มาคิดปรับปรุงกัน จืดไป เค็มไป เด็กๆ เขาก็จะเขียนลงในใบ STEAM Design Process ในช่องของการ Reflection หรือการสะท้อนคิดว่าต้องปรับปรุงอะไรบ้าง เพื่อที่ใช้เป็นขั้นตอนการวางแผนเป็นชิ้นงานออกมา ตามความคิดของเด็กๆ” 

หากถามถึงทักษะหรือสิ่งที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้จากกิจกรรมนี้? ครูยุ้ยมองเห็นว่า เด็กๆ เขาจะได้ฝึกคิด จินตนาการ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงได้ใช้ทักษะวิชาการต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิตศาสตร์ วิชาการงานอาชีพ วิชาสังคมศึกษา เป็นต้น 

“อย่างเมนูนี้ แซนวิชกะเพราไข่ดาว เด็กๆ เขาก็จะได้ฝึกใช้วิธีการคิดทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณต้นทุนของอาหารแต่ละอย่าง ชั่งตวงว่าเราต้องใช้หมูกี่กิโล ใช้พริกเท่าไร ถึงจะเพียงพอกับการผัดกะเพราออกมา หมูหนึ่งกิโลจะได้ขนมปังกี่ชิ้น ได้แซนวิชทั้งหมดกี่กล่อง แล้วก็ยังได้ใช้วิชาศิลปะในการจัดสรรหน้าตาอาหารให้สวยงาม น่ารับประทาน แล้วก็วิชาสังคมศึกษาก็ได้การทำงานร่วมกันเป็นทีม วิชาการงานก็เป็นการสร้างอาชีพ คิดต่อยอดไปได้ว่าในอนาคตเราอยากจะประกอบอาชีพอะไรดี”

นอกจากนี้ครูยุ้ยยังเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ จากการทำกิจกรรมนี้ด้วย อย่างเช่น “เด็กบางคนใจร้อน พอเขามาทำกิจกรรมกับเราจากที่ดูแล้วเขาใจเย็นขึ้น มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ ในการทำงานบางทีก็ต้องรู้จักการรอคอย อย่างบางทีกลุ่มนึงเขาทำอยู่ แต่อุปกรณ์ไม่เพียงพอ เด็กๆ อีกกลุ่มก็ต้องรอ เขาก็จะต้องรู้จักรอคอย และแบ่งปันกัน

เด็กก็จะมีความคิดสร้างสรรค์ คิดได้ คิดเป็น ลงมือปฏิบัติได้จริง ซึ่งการที่เขาได้ลงมือทำจริงมันมีประโยชน์มาก เพราะเวลาที่เจอแผนงานยากๆ หรือเจอข้อผิดพลาด เขาก็จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ เหมือนที่เขาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในกิจกรรมห้องครัวของเรา เป็นหัวใจในการออกแบบให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง” 

และเนื่องจากกิจกรรมนี้เรียนรู้ร่วมกันตั้งแต่ป.1-ป.6 อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กที่ครูยุ้ยเห็นได้ชัดเลยก็คือ “จากเมื่อก่อนในการทำงานร่วมกันเขาจะไม่ค่อยคุยกัน เพราะว่าเด็กเรามีหลายระดับชั้น เขาก็จะพี่ก็ส่วนพี่ น้องก็จะจับกลุ่มแค่น้อง ซึ่งพอเราเริ่มทำกิจกรรมเราก็จะคละกัน ให้พี่ช่วยดูแลน้องอีกทีหนึ่ง เป็นการสานสัมพันธ์กันระหว่างพี่กับน้อง เพื่อนกับเพื่อน จากการที่เขาได้ทำงานร่วมกัน มีน้ำใจต่อกัน” 

แม้จะปล่อยให้เด็กๆ ได้ลงมือทำกันเอง แต่ครูก็ยังคงต้องคอยเป็นโค้ชอยู่ข้างๆ เพื่อความปลอดภัยด้วย เนื่องจากในต้องใช้อุปกรณ์มีคมต่างๆ ใช้ไฟ ใช้แก๊สในการประกอบอาหาร จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก  

“แล้วครูก็จะคอยกระตุ้นให้เด็กได้แสดงความเห็น แสดงวิธีคิด หรือกล้าที่จะลงมือทำ บางทีเราก็ช่วยเขาด้วยการใช้คำถามเพื่อให้เขาทำต่อได้ เช่น อันนี้หนูต้องทำอะไรต่อลูก? ถ้าเกิดอันนี้ไม่มี อันนี้ขาด หนูสามารถใช้อะไรแทน? ก็จะเป็นการยิงคำถามให้เขา ให้เขาช่วยกันคิด ช่วยกันตอบ 

เป็นการสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ซึ่งปฏิกิริยาของเด็กๆ เขาก็แก้ปัญหาได้ หาอย่างอื่นทดแทน ของที่อยู่ในห้องครัว เขาก็จะไปรื้อ ไปค้นในตู้เย็นดูว่าจะเอาอะไรมาแทนได้บ้าง หรือถ้าในครัวมันไม่มีแล้วจริงๆ จะทำยังไงได้บ้าง เขาก็ตอบว่า ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนกลุ่มอื่น เขาก็จะแก้ปัญหากันเอง”

นอกจากนี้ยังมีการจัดตลาดนัดในโรงเรียน ให้เด็กๆ ได้นำผลงานของตัวเองออกมาวางจำหน่ายในช่วงเย็นหลังเลิกเรียนด้วย “เราก็จะวางแผนกันว่ากลุ่มนี้ทำน้ำ กลุ่มนี้ทำแซนวิช กลุ่มนี้ทำเฟรนช์ฟราย ให้เขาได้ลองขายจริง” 

เด็กจะเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ

ศรัณย์ ยุระพันธ์ หรือ ตัง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หนึ่งในนักเรียนที่เลือกกิจกรรมห้องครัว สะท้อนว่า  

“ที่ผมเลือกกิจกรรมห้องครัวก็เพราะว่าชอบการทำอาหาร โตไปอยากเป็นเชฟ ผมรู้สึกมีความสุขแล้วก็สนุกในการทำอาหารมากๆ เพราะว่าเราทำในสิ่งที่เรารักไม่มีใครบังคับ เราทำด้วยตัวเราเอง” 

“ในการทำอาหารเราก็ต้องวางแผนว่าเราจะทำอะไรก่อนแล้วค่อยลงมือทำ วางแผนกันเป็นกลุ่ม เราจะทำจากสิ่งที่ง่ายไปสิ่งที่ยาก วัตถุดิบเราจะหามาเอง บางทีก็คุณครูหามาให้ เช่น ครูมีโจทย์ว่าสัปดาห์นี้เป็นเมนูไข่ เราก็จะช่วยกันคิด ในกลุ่มทุกคนมีส่วนร่วมหมดเลย เราจะแบ่งหน้าที่กันทำ สมมติคนนี้หั่นผัก หั่นหมู อีกคนทอดไข่ ตกแต่งจาน”

“ผลงานของเด็กๆ คือสิ่งที่ครูภูมิใจ เวลาที่เด็กๆ เขานำเสนอ เขาก็จะเกิดความภาคภูมิใจในตัวของเขาเองด้วยว่า หนูสามารถทำได้นะ ถึงแม้มันจะไม่อร่อยก็เถอะ แต่พอรอบหน้าได้ทำก็จะปรับปรุงสูตรไปเพื่อให้รสชาติดีขึ้น อร่อยขึ้น เราไม่ได้เน้นที่ผลลัพธ์ว่าสุดท้ายเด็กต้องทำอาหารออกมารสชาติดีที่สุด หน้าตาดีที่สุด แต่เน้นที่กระบวนการเรียนรู้ระหว่างทาง สำคัญคือให้เด็กเขาได้ลงมือทำ” ครูยุ้ยกล่าว  

“เวลาเขาทำงานอยู่ในห้องครัว เขาเตรียมของมาบางทีก็มีลืมบ้าง แล้วจะทำยังไง เขาสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ เช่น ครูหนูไม่ทำอย่างนี้แล้วหนูจะเปลี่ยน ก็คือเรามองเห็นว่าเขามีทักษะที่เขาจะคิดแก้ปัญหาได้ 

ที่สำคัญคือเรารู้สึกว่าเด็กเขามีความสุขกับการที่ได้ทำสิ่งที่เขาชอบ คือเราเปิดโอกาสให้เขาได้เลือกทำในสิ่งที่เขาชอบ เขาสนใจ เขาก็จะทำอย่างมีความสุข แล้วเวลาที่ไปที่บ้านเราก็จะได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง เพราะเรามีความเชื่อมโยงกัน ก็จะส่งภาพขณะเด็กทำกิจกรรมกลับมาให้ครูช่วงโควิด มันเป็นความภูมิใจของเด็กที่เขาก็ทำได้” ผอ.สมพิศ ทิ้งท้าย 

Tags:

Makerspaceการเรียนรู้โรงเรียนบ้านยกกระบัตรครูSTEAM

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    4 ไอเท็มที่ครูอาจจำเป็นต้องมี ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

Shyness : ความขี้อายไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป
Character building
21 June 2022

Shyness : ความขี้อายไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด ‘ความขี้อาย’ มาจากทางกายภาพคือ ‘ร่างกาย’ โดยตรงด้วยส่วนหนึ่ง สภาวะทางจิตใจ การคิดมาก ขี้กังวล และมองโลกในแง่ลบ รวมถึงปัจจัยแวดล้อม เช่น ประสบการณ์จากการเลี้ยงดูวัยเด็กก็มีผลด้วยเช่นกัน
  • พ่อแม่ที่ปกป้องลูกจนเกินจำเป็น มักจำกัดกิจกรรมทางสังคมของลูกในวัยเด็กไปด้วยในตัว จนทำให้เสียโอกาสในการพัฒนา ‘ทักษะการเข้าสังคม’ ไป เมื่อโตขึ้นเรามักจะเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ จึงทำให้เกิดวงจรความขี้อายขึ้นโดยอัตโนมัติ
  • ถึงอย่างนั้นการเป็นคนขี้อายก็มีข้อดีเช่นกัน ทั้งมีนิสัยเป็นนักสังเกตการณ์ที่ดี วิเคราะห์ วิจารณ์สถานการณ์ และเข้าใจอุปนิสัยใจคอคนได้ดีกว่าคนโดยทั่วไป จึงมีทักษะในการทำหน้าที่จำพวกวางแผนหรือพิจารณาความเสี่ยงได้ดี 

ทำไมคนเราจึงมีระดับความอายที่จะทำสิ่งต่างๆ มากน้อยไม่เท่ากัน? 

ความอายเป็นลักษณะนิสัยตามธรรมชาติของแต่ละคน หรือเป็นสิ่งที่วัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ ปลูกฝังไว้ในตัว?

ความอายเป็น ‘จุดอ่อน’ ที่ต้องกำจัดจริงหรือ?

มีคำถามมากมายเกี่ยวกับ ‘ความอาย’ ที่หลายคนคงอายเกินกว่าจะถาม แต่ก็คงอยากรู้คำตอบ เพราะน่าจะมีประโยชน์กับการใช้ชีวิตอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเด็กๆ ที่กำลังพัฒนาคุณลักษณะประจำตัวขึ้นมาพร้อมกับวัยที่เติบใหญ่ขึ้น 

มาดูกันว่าเรา (หมายถึงนักจิตวิทยา) รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความอายครับ 

ความอายเป็นลักษณะนิสัยที่พบได้ในวัฒนธรรมทั่วโลก อันที่จริงแล้ว การตกเป็นเป้าสายตาผู้อื่นเป็นเรื่องชวนสติแตกระดับที่เรียกว่า ‘โฟเบีย (phobia)’ ที่มีชื่อจำเพาะว่า กลอสโซโฟเบีย (glossophobia) ซึ่งมักติดอันดับท็อป 10 เสมอเวลามีการสำรวจเรื่องความกลัวจนลนลาน

ในสหรัฐอเมริกาถึงกับมีสถาบันที่ศึกษาเรื่องความอายเป็นเรื่องเป็นราวชื่อว่า สถาบันวิจัยความอาย (Shyness Research Institute) ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยอินเดียนา คนที่ทำวิจัยเรื่องนี้ไว้มากหน่อยได้แก่ ศ.เบอร์นาโด คาร์ดุกซี (Bernardo Carducci) ก็เคยเป็นผู้อำนวยการของสถาบันนี้ด้วย

เขาให้นิยามคำว่า ‘ความอาย’ ไว้ว่าเป็น “การเกิดปฏิกิริยาความกังวลใจและการตื่นตัวมากเกินไปและการประเมินตัวเองในด้านลบเรื่องการตอบสนองต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นจริงหรือแบบคิดไปเอง โดยเฉพาะการทำให้เกิดความไม่สบายใจจนไปรบกวนการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม” 

เขาระบุว่าสามารถตรวจจับอาการได้จาก 3 องค์ประกอบ คือ 

(1) มีการเปลี่ยนแปลงทางกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

(2) มีการการรับรู้แบบตื่นตัวและเกิดความรู้สึกในด้านลบ ขาดความมั่นใจในตัวเอง กังวลใจว่ามีคนจับจ้องอยู่ และกลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด และสุดท้าย 

(3) มีการแสดงออกบางอย่างเพื่อตอบสนอง เช่น การหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ตรงหน้าที่เผชิญอยู่ การไม่กล้าพูด ก้มหน้าและหลบสายตา ฯลฯ 

อาการพวกนี้เป็นนิสัยของแต่ละคนที่แตกต่างกันตามธรรมชาติหรือเปล่า?

มีหลักฐานว่าบางคนมีความโน้มเอียงจะเกิดความอายมากกว่าคนอื่น แต่ยังหาความเชื่อมโยงละเอียดลงไปจนถึง ‘ยีนความอาย’ ไม่เจอ งานวิจัยใน ค.ศ. 2012 ระบุว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างนิสัยขี้อายกับสมอง 2 ส่วนคือ อะมิกดาลา (amygdala) กับฮิปโปแคมปัส (hippocampus) 

โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ผู้มีสมอง 2 ส่วนนี้แตกต่างจากคนอื่นจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า ความล้มเหลวต่อการตอบสนองซ้ำ (habituation failure) ทำให้คนๆ นั้นปรับตัวต่อ ‘ตัวกระตุ้น (stimulus)’ ใหม่ที่เจอไม่ได้ 

นักวิจัยทดลองแบบนี้ครับ เขาเอารูปใบหน้าที่อาสาสมัครไม่เคยเห็นมาก่อนมาให้ดูซ้ำๆ หลายรอบ สำหรับคนปกติทั่วไป สมอง 2 ส่วนนี้จะตอบสนองเมื่อเป็นใบหน้าใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อเห็นหลายครั้งเข้า สมองส่วนดังกล่าวก็จะไม่ตอบสนองอีกต่อไป เรียกว่าเกิดความคุ้นชินหรือมีการตอบสนองความซ้ำ (habituation) ขึ้น 

แต่สำหรับคนขี้อายแล้ว สมองทั้ง 2 ส่วนทำตัวเสมือนไม่เคยพบเจอใบหน้าเหล่านั้นมาก่อน และยังตอบสนองอยู่ต่อไป ไม่ต่างจากการเห็นใบหน้าใหม่อยู่ตลอดเวลา คนที่แสดงความคุ้นชินกับคนใหม่ๆ ได้ช้า จึงอาจเกิดความตื่นตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น จนอยากจะหลีกเลี่ยงการพบเจอผู้คนไปในที่สุด ตรงข้ามกับคนปกติที่ปรับตัวได้ดีกว่าเมื่อเจอคนใหม่ๆ หรือประสบการณ์ทางสังคมใหม่ๆ 

อาการขี้อายจึงมีปัจจัยมาจากทางกายภาพคือ ‘ร่างกาย’ โดยตรงด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้น บางคนจึงเกิดมาพร้อมกับความขี้อายมากกว่าคนอื่น 

มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งใน ค.ศ. 2010 ที่ระบุว่า มีคนอยู่ราว 20% ที่เกิดมาพร้อมกับการมี SPS (Sensory Perception Sensitivity) หรือ ‘ความไวในการรับรู้สัมผัส’ สูงกว่าคนอื่น ซึ่งทำให้บางรายแสดงออกด้วยการเป็นคนขี้อายมากกว่าคนปกติ บางรายไปไกลกว่านั้นอีกคือ เป็นคนเก็บตัว (introversion) หรือแม้แต่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคม (social anxiety หรือ social phobia) 

อันหลังสุดนี่ อาการหนักถึงขั้นต้องรับการรักษาแล้วครับ 

คนที่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคม อาจมีอาการทางกายคือ รู้สึกไม่สบายหากต้องไปพบปะเจอะเจอผู้คน และหัวใจมักเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ส่วนจิตใจก็กังวลใจอยู่ตลอดเวลา กลัวการจ้องมอง โดยอาจะเชื่อมโยงกับอาการป่วยแบบอื่น เช่น อาการซึมเศร้า ได้ด้วย หากเป็นมากขนาดนี้ ควรพบแพทย์เพื่อรักษาจะดีกว่าครับ

สภาวะทางจิตใจก็ส่งผลทำให้เกิดความขี้อายได้ครับ โดยพบว่า คนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองต่ำ มักแสดงออกถึงความขี้อายให้เห็น การที่ขนาดตัวเราเองยังไม่ให้คุณค่ากับตัวเอง จึงสะท้อนออกมาด้วยการคิดไปว่า คนอื่นก็คงไม่ให้การยอมรับนับถือเราด้วยแน่ๆ จนทำให้ไม่อยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมต่างๆ 

การคิดมาก ขี้กังวล และมองโลกในแง่ลบ ก็มีส่วนทำให้เกิดความขี้อายด้วยเช่นกัน 

ปัจจัยแวดล้อม เช่น ประสบการณ์จากการเลี้ยงดูวัยเด็กก็มีผลด้วยเช่นกัน 

พ่อแม่ที่ปกป้องลูกจนเกินจำเป็น มักจำกัดกิจกรรมทางสังคมของลูกในวัยเด็กไปด้วยในตัว จนทำให้เสียโอกาสในการพัฒนา ‘ทักษะการเข้าสังคม’ ไป เมื่อโตขึ้นเรามักจะเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ จึงทำให้เกิดวงจรความขี้อายขึ้นโดยอัตโนมัติ 

สุดท้ายเลยกลายเป็น ‘คนดู’ ไม่กล้าเข้าไปร่วมในงานหรือโครงการต่างๆ ก็เลยยิ่งแก้นิสัยขี้อายยากขึ้นไปอีก วนเวียนอยู่แบบนี้

วัฒนธรรมรวมๆ ของสังคมก็มีผลมากนะครับ ในสังคมที่การนิ่งเงียบ ยอมรับกฎเกณฑ์โดยง่ายถือเป็นเรื่องดี อย่างสังคมของคนเอเชีย การเป็นคนขี้อายกลับเป็นเรื่องดี ต่างกันกับคนอเมริกันที่ยกย่องคนกล้าแสดงออก ความขี้อายจึงเป็นจุดอ่อนหรือจุดบอดไปได้เช่นกัน 

ความขี้อายส่งผลเสียอะไรบ้างหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน?

เรื่องนี้แตกต่างกันได้มากในแต่ละคน แต่ที่เห็นได้ง่ายและชัดเจนก็คือ คนขี้อายมักหลีกเลี่ยงจะต้องไปมีบทบาทอยู่ใต้ ‘สปอตไลต์’ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดารา นักแสดง พิธีกร ผู้ประกาศข่าว ฯลฯ ในกรณีของคนที่มีความใฝ่ฝันจะทำสิ่งเหล่านั้น จึงต้องทำลาย ‘เครื่องกีดขวาง’ นี้ลงให้ได้เสียก่อน

อันที่จริงมีดาราหลายคนทำได้นะครับ บางคนอาจแปลกใจที่ดาราบางคนมีชีวิตส่วนตัวที่เงียบเชียบ ไม่เป็นข่าว และหลีกเลี่ยงการเป็นข่าวเป็นอย่างมาก คนเหล่านี้อาจมีลักษณะขี้อาย แต่พออยู่หน้ากล้องก็จัดการกับจิตใจตัวเอง ทำให้ตัวเองมีความกล้าพอจะทำภารกิจให้สำเร็จได้ แต่พอถึงชีวิตส่วนตัว ก็อยากมีชีวิตแบบเก็บตัวเงียบๆ สบายๆ เท่านั้น 

มีคำแนะนำเรื่องวิธีการจัดการกับความขี้อายหรือไม่? 

อันที่จริง นิสัยขี้อายไม่ได้เป็นความผิดปกติถึงกับต้องรักษา แต่หากกังวลใจมากจนถึงกับไม่กล้าเข้าสังคม แบบนี้ต้องรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญแล้วนะครับ ซึ่งก็มีหลายวิธี วิธีการที่เรียกว่า CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ก็ใช้การได้ดี อีกวิธีหนึ่งก็คือ Social Fitness Model ลองไปอ่านดูได้ที่ shyness.com 

คำแนะนำง่ายๆ รวมๆ ดูได้ในเอกสารอ้างอิง [2] ซึ่งเหมาะสำหรับคนขี้อายที่คิดว่าอยากปรับปรุงบุคลิกภาพ ประกอบไปด้วย 

(1) สร้างความมั่นใจผ่านการฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไป 

(2) ลองทำเรื่องใหม่ๆ พาตัวเข้าไปในสถานการณ์ใหม่ๆ ดูบ้าง 

(3) บอกกับตัวเองว่า ความขี้อายเป็นแค่นิสัยแบบหนึ่ง ไม่ได้เป็นสิ่งกำหนดตัวตนและชีวิตทั้งหมดของคุณ

(4) ปรับวิธีคิดขณะเข้าสังคม คิดถึงจุดแข็งของตัวเองเข้าไว้ เช่น การเป็นผู้ฟังที่ดี และสุดท้าย 

(5) มีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ล่องลอยไปกับความคิดกังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จะช่วยให้สงบ ผ่อนคลาย และมีสมาธิกับเรื่องตรงหน้ามากขึ้น 

จำไว้ว่าการเป็นคนขี้อายก็มีข้อดีเช่นกัน โดยพบว่า

คนขี้อายมักมีนิสัยการเป็นนักสังเกตการณ์ที่ดี เพราะฝึกฝนมาเยอะ เป็นคนเฝ้าดู วิเคราะห์ วิจารณ์สถานการณ์ และเข้าใจอุปนิสัยใจคอคนได้ดีกว่าคนโดยทั่วไป จึงมีทักษะในการทำหน้าที่จำพวกวางแผนหรือพิจารณาความเสี่ยงได้ดี 

และยังมักตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ในชีวิตได้ดี เพราะมีใจจดจ่อกับมันมากกว่าคนทั่วไปที่มักหลุดไปเข้าเรื่องซุบซิบนินทาที่สนุกกว่าในสังคมกลุ่ม [3]

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ แม้คนขี้อายอาจจะดูเหมือนมีเพื่อนน้อย แต่ก็มักจะเป็นเพื่อนที่ไว้วางใจกันได้ และคบกันได้นานๆ 

สุดท้าย จำไว้ว่าขี้อายเป็นนิสัยแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่สิ่งกำหนดตัวตนและวิถีชีวิตทุกอย่างของเรา เราแค่ยอมรับว่า เราขี้อายกว่าคนอื่นๆ ทั่วไป แต่ก็มีคุณค่าและเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ไม่ต่างจากคนอื่นเลย        

เอกสารอ้างอิง

https://www.newswise.com/articles/vanderbilt-shyness-study-examines-how-human-brain-adapts-to-stimuli 

Julie Bassett. What Makes Us Shy? Psychology Now, vol. 2, 2022. 

https://www.entrepreneur.com/article/277993 

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การเลี้ยงลูกการพัฒนาตนเองShyness

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Character building
    สอนให้เด็กเห็นคุณค่าสิ่งที่มี ขอบคุณยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    5 จิตสำคัญ แห่งศตวรรษที่ 21

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    9 วิธีพ่อแม่ช่วยลูกพิชิตฝัน ดันไปให้สุดทาง

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

Grit : ส่วนผสมของ ‘หลงใหล’ และ ‘พากเพียร’ ความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
Character building
20 June 2022

Grit : ส่วนผสมของ ‘หลงใหล’ และ ‘พากเพียร’ ความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • พรสวรรค์ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป เคล็ดลับความสำเร็จของผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกอาชีพ เป็นส่วนผสมของ ‘ความหลงใหล’ (passion) และ ‘ความพากเพียร’ (perseverance) ที่มีอยู่ในตัวบุคคล หรือที่เรียกว่า ‘Grit’ 
  • Grit จึงไม่เกี่ยวกับโชคช่วย และไม่ใช่ความต้องการบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่จะทำจนกว่าจะสำเร็จ เป็นคนที่ใส่ใจและยึดมั่นกับเป้าหมายอย่างแน่วแน่ชนิดกัดไม่ปล่อย แม้ว่าลงมือทำแล้วล้มเหลวก็พร้อมสู้ใหม่ได้อย่างหนักแน่น
  • ในทุกสาขาอาชีพ Grit เป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จที่มีความสำคัญไม่ต่างจากพรสวรรค์ ดังนั้นการสร้างนิสัยที่ช่วยส่งเสริมให้ Grit แข็งแรงเป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ

เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จในชีวิต

หากลองมองให้ดี ‘ความสำเร็จ’ เป็นนามธรรมที่จะว่าไปก็มีหลากหลายมาตรฐาน ความสำเร็จของบางคนผูกกับชื่อเสียงเงินทองหรือรายได้ บางคนมองหาการเป็นที่ยอมรับ หรือบางคนให้คุณค่ากับความสุข ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่หลายคนพยายามตามหาและไขว่คว้า แตกต่างกันตามเป้าหมาย ความฝันหรือความคาดหวังของตนเอง รวมถึงความสำเร็จที่คนอื่นฝากความหวังไว้

หลายคนตั้งคำถามถึงวิธีการสู่ความสำเร็จ อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่ล้มเหลว อะไรกันแน่ที่เป็นความลับไปสู่ความสำเร็จเหล่านั้น ทำไมคนบางคนถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ขณะที่บางคนจะกลับตัวก็ไม่ได้จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง จนต้องล้มเลิกระหว่างทาง! 

แองเจลา ลี ดักเวิร์ธ (Angela Lee Duckworth) นักจิตวิทยาและนักวิจัย ได้นำเสนอข้อมูลการศึกษาพบว่า เคล็ดลับความสำเร็จของผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกอาชีพ ไม่ใช่ ‘พรสวรรค์’ (talent) แต่เป็นส่วนผสมของ ‘ความหลงใหล’ (passion) และ ‘ความพากเพียร’ (perseverance) ที่มีอยู่ในตัวบุคคล หรือที่เธอเรียกสั้นๆ ว่า ‘Grit’ นั่นหมายความว่า พรสวรรค์ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป ข้อค้นพบนี้ถูกค้นพบในปี 2007 อย่างไรก็ตาม หลังจากดักเวิร์ธถูกรับเชิญให้ขึ้นพูดบนเวที TED talk ในปี 2013 ‘Grit’ ได้ถูกพูดถึงทั้งในแวดวงการศึกษาและธุรกิจอย่างกว้างขวางมาจนกระทั่งปัจจุบัน

Grit ไม่ใช่พรสวรรค์ และ ความสำเร็จไม่ได้มาจากโชคช่วย

เพื่อให้สามารถเข้าใจ Grit ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ดักเวิร์ธ กล่าวว่า เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า…อะไรกันแน่ที่ไม่ใช่ Grit?

Grit ไม่ใช่พรสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับโชคช่วย (luck) และไม่ใช่ความต้องการบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่จะทำจนกว่าจะสำเร็จ 

คนที่มีคุณสมบัตินี้อยู่ในตัว เป็นคนที่ใส่ใจกับเป้าหมายของตัวเองอย่างถึงที่สุด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างของชีวิต และยึดมั่นกับเป้าหมายนั้นอย่างแน่วแน่ชนิดกัดไม่ปล่อย แม้ว่าลงมือทำแล้วล้มเหลวหรือพังไม่เป็นท่า พลังแห่งความต้องการความสำเร็จไม่มีทางมอดลงไปได้ง่ายๆ ซ้ำยังกลับมายืนหยัดและพร้อมสู้ใหม่ได้อย่างหนักแน่น 

ดักเวิร์ธ ระบุชัดว่า Grit เป็นส่วนผสมของ ‘ความหลงใหล’ และ ‘ความพากเพียร’ 

เรามาทำความรู้จักกับความหมายของทั้งสองคำนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้นกันดีกว่า

หนังสือคู่มือเรื่อง ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งและคุณธรรม’ (Character Strengths and Virtues) โดย คริสโตเฟอร์ ปีเตอร์สัน และ มาร์ติน อี.พี. เซลิกแมน สองนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบวก ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดในปี 2004 ได้ให้นิยามคำว่า ความพากเพียร หมายถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดจากความสมัครใจและทำอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายชัดเจนแม้ต้องเผชิญกับปัญหา ความยากลำบากและอุปสรรค นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ถึงแม้ความพากเพียรไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่ความสำเร็จมักไม่บรรลุผลหากปราศจากความพากเพียร ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ มนุษย์ต้องมีความพากเพียรและอดทนต่อความล้มเหลวให้ได้

ขณะที่ ความหลงใหล (Passion) ได้ถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เรามักได้ยินคำพูดที่กระตุ้นให้ต้อง “ตามหาความหลงใหล ตามหาแพสชั่น” จนรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับชีวิต ไม่อย่างนั้นจะตามไม่ทันคนอื่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2018 นักวิชาการมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวถึงข้อค้นพบใหม่ว่า การกระตุ้นให้ผู้คนออกไปตามหา (find) แพสชัน อาจเป็นคำแนะนำที่มาจากความตั้งใจดีแต่ไม่ใช่คำแนะนำที่ดีนัก เพราะการตามหาเพื่อให้ค้นพบบางอย่าง มีความหมายที่เป็นการสร้างเงื่อนไขซ่อนอยู่ เช่น ถ้าไม่ตามหาหรืออยู่เฉยๆ ก็จะไม่พบแพสชัน หรือ ตามหาแล้วอาจจะไม่เจอแพสชันก็เป็นได้ 

นอกจากนี้ ‘การตามหา’ ยังเป็นการจำกัดมุมมอง ทำให้ต้องโฟกัสไปที่การค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งและละเลยเรื่องราวอื่นๆ รอบตัว จากการศึกษา พบว่า แพสชันไม่จำเป็นต้องตามหา เพราะเราสามารถพัฒนา (develop) ขึ้นมาได้จากสิ่งที่มีอยู่เดิม ซึ่งสัมพันธ์กับกรอบคิดแบบเติบโต หรือ ‘Growth Mindset’ (อ่านเพิ่มเติม https://thepotential.org/knowledge/growth-mindset-coach-2/)

ความหลงใหล หรือ แพสชัน หมายถึง  อารมณ์หรือความรู้สึกที่สะท้อนถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าและความกระตือรือร้นที่ไม่มีขีดจำกัด หนังสือ Aspire: Discovering Your Purpose Through the Power of Words โดย เควิน ฮอล์ (Kevin Halls) ที่นำเสนอความหมายและพลังของคำศัพท์และภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร กล่าวถึงความหมายดั้งเดิมของคำนี้ว่า หมายว่า ความเต็มใจที่จะทุกข์เพื่อสิ่งที่คุณรัก

แล้วอะไรบ้างเป็นสิ่งที่เรารัก?

เชื่อว่าคำตอบที่ได้…คงไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว

ดังนั้น ความหลงใหล จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ

ปั้น Grit ให้โตขึ้นและแข็งแรงขึ้น

ลองมาประเมินดูว่าคำพูดเหล่านี้เป็นตัวเรามากแค่ไหน 

“ฉันสามารถก้าวข้ามความล้มเหลว เพื่อพิชิตเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต”

“ความพ่ายแพ้/ความล้มเหลว ไม่ได้ทำให้ฉันท้อถอย”

“ฉันไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก”

“เมื่อเริ่มต้นทำแล้ว ฉันจะทำมันจนจบ”

“ฉันเคยทำสำเร็จตามเป้าหมาย แม้ต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ”

“ฉันเป็นคนขยัน” 

หากคำตอบ คือ ใช่ มากกว่าไม่ใช่!! นั่นหมายความว่า…Grit ของเราได้ถูกพัฒนามาถูกทางแล้ว

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ในทุกสาขาอาชีพ Grit เป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จที่มีความสำคัญไม่ต่างจากพรสวรรค์ ดังนั้นการสร้างนิสัยที่ช่วยส่งเสริมให้ Grit แข็งแรงเป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น 

  • การตั้งเป้าหมายและกำหนดระยะเวลาสำหรับการทำเป้าหมายให้สำเร็จ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่ยังคงเปิดพื้นที่ยืดหยุ่นไว้สำหรับการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง โดยไม่ลดทอนเป้าหมายให้เล็กลง
  • การจัดระเบียบการทำงานส่วนตัวและร่วมกับทีมงานให้ทุกฝ่ายเข้าใจเป้าหมายและทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้แน่ใจว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่กำหนด เรื่องนี้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนทั้งจากการเรียนและการทำงานแบบ work from home ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องอาศัยการจัดการตนเองและคนรอบข้าง เช่น การจัดระเบียบการเรียนตามตารางเรียนออนไลน์ที่ผู้เรียนต้องใช้ความตั้งใจและโฟกัสมากกว่าในห้องเรียนปกติ และการประสานการทำงานระหว่างผู้ปกครองและครู เพื่อให้สามารถจัดการสอนแก่ผู้เรียนได้ตามเป้าหมาย ในสถานการณ์เช่นนี้ Grit จะทำให้ผู้เรียน ผู้ปกครองและครู ฝ่าฟันความอึดอัด ความไม่สบายใจ และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไปได้ 
  • การเรียนรู้การจัดสรรแบ่งงาน มีความไว้วางใจผู้อื่นให้งานตามที่ได้รับมอบหมาย 

การปั้น Grit ไม่ต่างจากการออกกำลังกายปั้นกล้ามเนื้อ ที่ต้องผ่านการยกน้ำหนัก ออกแรงซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง การกินโปรตีนและสารอาหารอื่นๆ ให้ได้อย่างเพียงพอ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้โตขึ้นและแข็งแรงขึ้น ยิ่งมีโค้ชคอยช่วยให้คำแนะนำ เป็นเข็มทิศพาเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ยิ่งประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก 

ดังนั้น นอกจากการจัดการตัวเองแล้ว การพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความหลงใหลและมีความเพียรพยายามจะช่วยผลักดันและสนับสนุนให้เดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ ข้อสรุปจากการวิจัยของดักเวิร์ธได้สะท้อนให้เห็นแนวทางการออกแบบการเรียนรู้และการจัดระบบการศึกษา ดังนี้

ประการแรก เด็กที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งตามเป้าหมายที่วางไว้ ควรได้รับการสนับสนุนด้วยทรัพยากรที่มีอย่างเต็มความสามารถ เช่นเดียวกับเด็กที่ถูกมองว่ามีพรสวรรค์และมีความสามารถ

ประการที่สอง ผู้ปกครองและนักการศึกษาควรส่งเสริมให้เด็กทำงานที่ท้าทาย เผชิญกับความกดดันทั้งทางกายและใจได้ ด้วยการเตรียมความพร้อมให้เด็กรับมือกับความล้มเหลวและผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นความโชคร้าย ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ปกครองและครูสามารถชี้ให้เด็กเห็นว่าความสำเร็จอาศัยการลงมือทำอย่างต่อเนื่องและต้องใช้เวลา

และ ประการที่สาม การสร้างการเรียนรู้ในระบบการศึกษาต้องคำนึงเสมอว่า เป้าหมายของการศึกษาไม่ใช่แค่การเรียนรู้เพียงผิวเผินในหลายๆ เรื่อง แต่ต้องส่งเสริมการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เวลาเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

อ่านเพิ่มเติม

https://thepotential.org/knowledge/to-find-the-passion/

https://thepotential.org/knowledge/character-world-ep2-grit/

อ้างอิง

https://www.psychologytoday.com/us/blog/cutting-edge-leadership/202204/what-is-grit-and-do-you-have-it

https://angeladuckworth.com/qa/

https://www.ted.com/talks/angela_lee_duckworth_grit_the_power_of_passion_and_perseverance/transcript?language=en

Tags:

ความพากเพียร (perseverance)Gritความหลงใหล (passion)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Blue Giant: ในวันที่ก้าวสู่ฝัน…หวังว่าเราจะเป็นลมใต้ปีกที่คอยพยุงกันและกันไปให้ถึงจุดหมาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Whisper of the heart: ในวันที่มองไม่เห็นอนาคตและความฝันยังไม่สำเร็จ ฉันเพียงต้องการแค่คนที่อยู่เคียงข้างกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    The Element: การค้นพบ ‘ธาตุ’ ที่บอกว่า ‘ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Life Long Learning
    เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

  • Grit
    5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์ : โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปหรอก
Book
17 June 2022

ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์ : โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปหรอก

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • หนังสือในดวงใจของนักอ่าน ‘ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์’ หรือ ชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Wonder’ เขียนโดย อาร์.เจ. ปาลาซิโอ (R.J. Palacio) เป็นเรื่องราวของ ‘อ๊อกกี้’ หรือ ออกัสต์ พูลล์แมน เด็กชายวัยสิบขวบ ผู้เกิดมาพร้อมกับความพิการบนใบหน้า
  • เรื่องราวของอ๊อกกี้ในหนังสือเล่มนี้ สื่อสารกับเราอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่หน้าแรกๆ ของหนังสือว่า สิ่งที่คนไม่ปกติต้องการมากที่สุด คือ ความปกติธรรมดานั่นเอง
  • สารสำคัญที่สุดที่หนังสือเล่มนี้ต้องการบอกกับเรา คือ ‘ความมีเมตตา’ ที่แม้ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่า โลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายเกินไป

หนังสือเล่มนี้ จั่วหัวไว้ว่า ‘เรื่องราวของเด็กชายผู้หน้าตาน่าเกลียดที่สุดในโลก’ นั่นอาจทำให้หลายคนถึงกับชะงักและไม่กล้าหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน

แต่จริงๆแล้ว หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้หดหู่ โหดร้าย หรือชวนให้จิตตกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม นี่คือวรรณกรรมเยาวชนที่จะทำให้คุณหัวใจฟูด้วยความรู้สึกอิ่มเอม หรือพูดง่ายๆ ในภาษาหนังว่า ‘ฟีดกู้ด’ นั่นแหละครับ

ชื่อของหนังสือเล่มนี้คือ ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์ หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Wonder เขียนโดย อาร์.เจ. ปาลาซิโอ (R.J. Palacio) แปลเป็นภาษาไทยโดย ปณต ไกรโรจนานันท์ จัดพิมพ์โดยแพรวเยาวชน

หนังสือเล่มนี้ ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์หนังสือ กลายเป็นหนังสือในดวงใจของนักอ่าน ติดอันดับวรรณกรรมเยาวชนขายดีข้ามปีในหลายๆประเทศ อีกทั้งยังถูกนำไปดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน ซึ่งทั้งภาพยนตร์และหนังสือ ต่างก็สร้างความประทับใจและเรียกน้ำตาแห่งความตื้นตันจากผู้ชมและผู้อ่าน

สำหรับผมแล้ว สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ คือ การสะท้อนภาพจริงในสังคม ที่หลายคนพร้อมแสดงความโหดร้ายออกมา เมื่อพบเห็นคนที่ดูแตกต่าง (และไม่เข้าพวก) จากคนหมู่มาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีคนอีกหลายคน ที่พร้อมจะโอบรับความแตกต่างนั้น 

และนั่นทำให้เรายังมีความหวังว่า โลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายเกินไปหรอก

ปกตินั่นแหละคือความมหัศจรรย์ 

ชีวิตมหัศจรรย์ของออสกัสต์ เป็นเรื่องราวของ ‘อ๊อกกี้’ หรือ ออกัสต์ พูลล์แมน เด็กชายวัยสิบขวบ ผู้เกิดมาพร้อมกับความพิการบนใบหน้า ซึ่งจากคำบรรยายของโอลิเวีย หรือ ‘เวีย’ พี่สาวของอ๊อกกี้ บอกไว้ว่า

ดวงตาเขาอยู่ต่ำกว่าตำแหน่งที่ควรอยู่บนใบหน้าประมาณหนึ่งนิ้วตรงเกือบถึงกลางแก้ม และเอียงลงมากจนเกือบเหมือนรอยกรีดทแยงมุมที่มีคนบากไว้บนใบหน้าเขา ตาข้างซ้ายอยู่ต่ำกว่าตาข้างขวาอย่างชัดเจน ดวงตาสองข้างโปนออกมา… สองข้างจมูกมีรอยพับยาวลงมาจนถึงปาก ทำให้ผิวเขาเยิ้มๆ บางครั้ง ผู้คนก็คิดว่าเขาถูกไฟคลอก เพราะหน้าตาเขาดูหลอมละลายคล้ายน้ำตาเทียนที่ย้อยลงข้างเล่มเทียน

ความพิการบนใบหน้าของอ๊อกกี้ เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่มีอยู่จริง โดยกลุ่มอาการนี้ถูกเรียกในชื่อ เทรชเชอร์ คอลลินส์ ซินโดรม (Treacher Collins Syndrome) ส่งผลทำให้อวัยวะบนใบหน้า เช่น หู ตา โหนกแก้ม และขากรรไกร ผิดรูป ซึ่งสามารถพบได้ 1 ใน 50,000 คน

อาร์.เจ. ปาลาซิโอ ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ เล่าว่า เธอได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์วรรณกรรมเล่มนี้ จากประสบการณ์จริง เมื่อตอนที่เธอพาลูกชายสองคนไปร้านไอศกรีม แล้วพบเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีความผิดปกติบนใบหน้า 

“ตอนนั้น ฉันเริ่มตื่นตระหนกลนลาน เพราะลูกชายคนเล็กทำท่าจะกรีดร้อง สิ่งที่ฉันทำก็คือ รีบผลักรถเข็นเด็กหนีไปทางอื่น ซึ่งเป็นอะไรที่แย่มากและงี่เง่ามาก” ปาลาซิโอ เล่า “หลังจากนั้นตลอดทั้งวัน ฉันนั่งคิดทบทวนสิ่งที่ทำลงไป และสิ่งที่ฉันควรจะทำให้ดีกว่านั้น”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่กลายเป็นหนังสือ Wonder ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2012 และได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง ทั้งจากนักอ่าน นักวิจารณ์ โรงเรียน ชุมชน พ่อแม่ที่มีลูกป่วยด้วยโรคนี้ รวมถึงแวดวงทางการแพทย์ ที่พยายามรณรงค์ส่งเสริมความเข้าใจในการปฏิบัติต่อผู้ป่วย 

เรื่องราวของอ๊อกกี้ในหนังสือเล่มนี้ สื่อสารกับเราอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่หน้าแรกๆ ของหนังสือว่า สิ่งที่คนไม่ปกติต้องการมากที่สุด คือ ความปกติธรรมดานั่นเอง

“ถ้าผมเจอตะเกียงวิเศษและอธิษฐานขอพรได้สักข้อหนึ่ง ผมจะขอให้ตัวเองมีใบหน้าปกติที่ไม่มีใครสนใจเลย… สาเหตุเดียวที่ทำให้ผมไม่ปกติคือการที่ไม่มีใครเห็นว่าผมปกตินั่นเอง”

แน่นอนว่า ในโลกความเป็นจริงไม่มีมนต์วิเศษที่ทำให้คำอธิษฐานเป็นจริงได้ เราไม่อาจเปลี่ยนให้คนที่ไม่ปกติ กลายเป็นคนปกติได้ แต่เราสามารถปฏิบัติต่อเขา แบบเดียวกับที่เราปฏิบัติต่อคนปกติ ซึ่งนั่นจะช่วยให้เขาไม่รู้สึกว่า ตัวเอง ‘ผิดปกติ’ หรือรู้สึกเช่นนั้นน้อยลง

ในช่วงต้นของเรื่องบอกเราว่า อ๊อกกี้ได้รับการเลี้ยงดูแบบ ‘ไม่ปกติ’ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพ่อแม่ทุกคนย่อมต้องทำสิ่งที่เชื่อว่า ‘ดีที่สุด’ ให้กับลูก อ๊อกกี้จึงถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในสังคมที่แวดล้อมด้วยคนที่รักและเข้าใจเขาเป็นหลัก

แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ลูกนกทุกตัวย่อมต้องหัดกระพือปีกเพื่อโบยบินออกจากรัง ทำให้พ่อกับแม่ต้องตัดสินใจว่า จะส่งอ๊อกกี้ไปเรียนในโรงเรียนปกติ (จากเดิมที่เรียนโฮมสกูลอยู่ที่บ้าน) แต่แน่นอนว่า การทำเช่นนั้น จะทำให้อ๊อกกี้ต้องเผชิญกับโลกภายนอก ที่ไม่ได้มีแต่คนที่รักและเข้าใจเขา หากยังมีคนอีกหลายประเภท รวมถึงคนที่พร้อมจะปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อคนที่เขามองว่า ‘ไม่ปกติ’ หรือเพียงแค่ ‘ผิดแผก-แตกต่าง’ จากเขา

และนั่นเป็นฉากหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ ที่ชวนให้เราฉุกคิดอะไรหลายๆอย่าง

“เราจะคอยปกป้องลูกตลอดไม่ได้หรอกนะ” แม่กระซิบบอก…

“ก็เลยส่งลูกไปโรงเรียนมัธยมต้นเหมือนส่งลูกแกะไปให้เขาเชือดนิ่มๆ…” พ่อพูดขัดด้วยความโมโห

โรงเรียนไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์

ชีวิตในโรงเรียนของเด็กทุกคน ไม่ว่าจะเด็กอเมริกันหรือเด็กไทย ไม่ใช่ทุ่งหญ้าอันงดงามเสมอไป และยิ่งเด็กที่ดู ‘แตกต่าง’ อย่างอ๊อกกี้ เขาต้องเผชิญกับการบูลลี่จากเด็กหลายคน แต่โลกก็ไม่ได้โหดร้ายเกินไปหรอก อ๊อกกี้ มีเพื่อนหลายคนที่ยอมรับความไม่ปกติ และปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงคนปกติ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ แจ็ก วิลล์

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในหนังสือเล่มนี้คือ การเดินเรื่องแบ่งออกเป็นหลายๆ ภาค โดยที่ในแต่ละภาคจะถูกเล่าโดยตัวละครแตกต่างกัน ซึ่งผมมองว่า ตรงนี้ไม่ใช่แค่เป็น ‘กิมมิก’ หรือลูกเล่นในการเขียนเรื่องเท่านั้น แต่เป็นความตั้งใจของปาลาซิโอ ที่จะสะท้อนมุมมองที่หลากหลายผ่านทางตัวละคร ที่ต่างคนต่างก็มีปมและภูมิหลังแตกต่างกัน

ในภาคที่เล่าเรื่องโดย แจ็ก วิลล์ เด็กน้อยอารมณ์ดีในครอบครัวค่อนข้างยากจน บอกกับเราว่า เขาได้รับการขอร้อง หรือไหว้วานจากผู้อำนวยการโรงเรียน ให้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับเด็กใหม่ที่กำลังจะย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียน และเด็กใหม่คนนั้นก็คือ อ๊อกกี้

อาจกล่าวได้ว่า แจ็ก คือตัวแทนของปาลาซิโอ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะในหนังสือเล่าว่า ก่อนที่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน เขาเคยพบอ๊อกกี้ในร้านขายไอศกรีมมาก่อน เมื่อสมัยยังเด็กๆ ซึ่งการพบเจอใบหน้าที่ไม่ปกติของอ๊อกกี้ ทำให้เขาและน้องชาย ตกใจจนถึงลุกหนีออกจากร้าน (แบบเดียวกับที่ปาลาซิโอเคยทำ) ซึ่งในเวลาต่อมา พี่เลี้ยงได้สอนแจ็กว่า สิ่งที่เขาทำไปนั้น เป็นเรื่องแย่มาก เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจคนอื่น แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

“แจ็ก บางครั้งการไม่ตั้งใจทำร้ายคนอื่น ก็ทำร้ายคนอื่นได้เหมือนกัน”

ในช่วงแรกๆ แจ็กอาจจะขัดเขินหรือเกร็งๆ อยู่บ้างที่ต้องทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับเพื่อนใหม่  แต่ด้วยนิสัยตลกของอ๊อกกี้ บวกกับความมีจิตใจอ่อนโยนของแจ็ก ทำให้ในที่สุดทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนรักกัน แม้ว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้แจ็กต้องกลายเป็น ‘หมาหัวเน่า’ ในสายตาเด็กๆ หลายคนที่ตั้งแง่รังเกียจอ๊อกกี้

แจ๊ก (หรือจริงๆ อาจจะเป็นปาลาซิโอ) บอกกับเราผ่านทางข้อความในหนังสือว่า การที่เขาตอบรับคำขอให้เป็นเพื่อนกับอ๊อกกี้ เพราะเขาคิดว่า แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ ที่น่ารักอย่างน้องชายของเขา ยังสามารถทำสิ่งที่ ‘ใจร้าย’ กับอ๊อกกี้ได้ แล้วถ้าเป็นเด็กงี่เง่านิสัยไม่ดีคนอื่นๆ ในโรงเรียนล่ะ จะยิ่งทำสิ่งที่ใจร้ายยิ่งกว่านั้นได้มากแค่ไหน ซึ่งอ๊อกกี้ไม่มีทางรอดแน่ หากไม่มีสิ่งที่คอยปกป้องอย่างเช่น ‘เพื่อน’

ไม่มีใครเป็นศูนย์กลางระบบสุริยะ

อีกตัวละครหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ โอลิเวีย หรือ ‘เวีย’ พี่สาวของอ๊อกกี้ โดยในภาคที่เธอเป็นคนเล่าเรื่อง เริ่มต้นด้วยประโยคสุดแสนประทับใจว่า

ออกัสต์เป็นดวงอาทิตย์ ส่วนฉัน แม่ และพ่อ เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ คนอื่นๆ ในครอบครัวเราและเพื่อนๆ เป็นดาวเคราะห์น้อยและดาวหางที่ล่องลอยรอบดาวเคราะห์ ซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์อีกที… ฉันคุ้นเคยกับวิถีของจักรวาลนี้ ฉันไม่เคยรังเกียจมัน เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่ฉันรู้จัก

เป็นคำบรรยายที่งดงามแต่แสนเศร้า เวีย เป็นพี่สาวที่รักน้องเป็นที่สุด เธอยินยอมเสียสละทุกอย่าง เพราะเข้าใจดีว่า ด้วยเงื่อนไขความผิดปกติ ทำให้พ่อแม่จำเป็นต้องทุ่มเททุกอย่างให้น้องชายเป็นอันดับแรก แต่เมื่อเธอก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นที่ต้องพบเจอปัญหาชีวิตในแบบวัยรุ่น เธอไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาหรือปรึกษาใคร เพราะดูเหมือนไม่มีดาวดวงไหนโคจรรอบตัวเธอเลย

แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้แต่แรกล่ะครับ นี่คือหนังสือฟีลกู้ด ไม่ใช่วรรณกรรมสะท้อนสังคมอันขมขื่น สุดท้าย โลกก็ไม่ได้โหดร้ายเกินไปหรอก ไม่ว่าจะสำหรับอ๊อกกี้ หรือเวีย

แม้ว่าในภาคที่ดำเนินเรื่องโดยเวีย ทุกอย่างอาจดูคลี่คลายง่ายดายสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นความไม่เข้าใจระหว่างเวียกับแม่ เวียกับเพื่อน รวมทั้งเวียกับอ๊อกกี้ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะสิ่งที่ปาลาซิโอบอกกับเราผ่านทางเรื่องเล่าของเวีย ก็คือ ไม่ควรมีใครกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาล จนทำให้คนที่เหลือถูกหลงลืม เหมือนดาวหางที่หลุดออกจากระบบสุริยะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีเด็กที่มีปัญหา (ไม่ว่าจะทางกายหรือทางจิตใจ) ซึ่งไม่แปลกที่พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ จะให้ความสำคัญกับเด็กคนนั้นเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ

จงอย่าหลงลืมเด็กคนอื่นในครอบครัว มิเช่นนั้นแล้ว พ่อแม่อาจต้องพบว่า เด็กคนอื่นที่ไม่มีปัญหา ก็อาจกลายเป็นเด็กมีปัญหาอีกคนในอนาคตได้

จงมีเมตตา..มากกว่าที่จำเป็น

สิ่งที่เป็นสารสำคัญที่สุดที่หนังสือเล่มนี้ต้องการบอกกับเรา ก็คือ ความมีเมตตา

ในช่วงแรกๆ ที่อ๊อกกี้เข้าโรงเรียน เขาได้พบกับมิสเตอร์บราวน์ ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งสอนให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตผ่านทางคติพจน์ที่เลือกมาเขียนถึงในแต่ละเดือน

คติพจน์ประจำเดือนกันยายนของมิสเตอร์บราวน์ : เมื่อต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับความมีเมตตา จงเลือกความเมตตา

สารสำคัญนี้ถูกแทรกอยู่ในเรื่องเล่าของทุกตัวละครในหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นอ๊อกกี้ เวีย แจ็ก พ่อ-แม่ รวมทั้งมิสเตอร์ทุชแมน ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้ที่แม้ว่าจะไม่มีภาคที่เล่าเรื่องเป็นของตัวเอง แต่ก็ได้กล่าวสุนทรพจน์ได้อย่างงดงามจับใจในพิธีจบการศึกษาว่า

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่ทำได้ นักเรียนจะพยายามมีใจเมตตาให้มากกว่าที่จำเป็นอีกนิด—โลกจะน่าอยู่ขึ้นมาก”

แน่นอนว่า ความมีเมตตา ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือเยียวยาได้ทุกสิ่ง แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยให้เรารู้สึกได้ว่า โลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายเกินไปหรอก

Tags:

ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์Wonderความไม่ปกติความปกติผู้พิการเมตตา

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    ‘พิการ’ ไม่เท่ากับ ‘ไร้ค่า’ ขอแค่พื้นที่ปลอดภัย และโอกาสในการเรียนรู้ 

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel