Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: February 2022

Friends Can Break Your Heart Too: บทเรียนหัวใจสลาย บางครั้งคนใจร้ายก็คือ ‘มิตร’
Relationship
28 February 2022

Friends Can Break Your Heart Too: บทเรียนหัวใจสลาย บางครั้งคนใจร้ายก็คือ ‘มิตร’

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย

  • เมื่อพูดถึงอาการ ‘อกหัก’ เชื่อว่าหลายคนคงนึกคิดไปในทางเดียวกันว่าอาการดังกล่าวเกิดจากความผิดหรือพลาดหวังจากความสัมพันธ์หนึ่งอย่างรุนแรง ซึ่งโดยมากก็มักจะเป็นความสัมพันธ์ฉันท์คู่รัก 
  • แต่เราต่างรู้ดีว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถหักอกเราได้อย่างเจ็บปวด แม้จะไม่ได้เป็นอะไรกันในทำนองนั้น คนที่เราไว้ใจเล่าเรื่องต่างๆ ทั้งดีและร้ายให้ฟัง ซึ่งระดับความไว้ใจนั้นอาจมากพอๆ กัน(หรือมากกว่า!) กับแฟน คนที่ถ้าหากว่าเราเลิกรากับแฟนแล้วเราก็ยังมีพวกเขาอยู่ คนที่เราเรียกว่า “เพื่อน”
  • แน่นอนว่าในความสัมพันธ์ การกระทบกระทั่งกันถือเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่เกิดขึ้นได้เสมอ และอาจไม่ใช่ความผิดของใครเลย นอกจากมุมมองหรือความคิดที่แตกต่างกันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่รุนแรงก็สามารถนำไปสู่จุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ได้ 

สำหรับชาวฮอร์โมนพุ่งพล่านที่นอกจากจะรับบทเป็นวัยรุ่นวุ่นรักแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่โดดเด่นไม่แพ้เรื่องรักใคร่คือเรื่องพฤติกรรมไหลตามกันของกลุ่มเพื่อน ดังที่เขาว่ากันว่า “ช่วงวัยรุ่น เพื่อนจะมีอิทธิพลต่อเรามาก” ซึ่งแม้จะไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่ว่านี้เป็นใคร แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่ผิดไปจากความจริงเท่าไรนัก เพราะจากประสบการณ์ของทุกคน เชื่อว่าหลายคนต้องเคยทำอะไรตามเพื่อนไม่มากก็น้อย 

การไหลตามกันนี้สะท้อนให้เห็นว่าจิตใจของเหล่าวัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะผูกติดกับผองเพื่อน พฤติกรรมนี้มีที่มาจากการที่ครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันแรกที่หล่อหลอมเด็กในการเติบโต มีช่องว่างระหว่างอายุมาก ทำให้หลายต่อหลายครั้งมุมมองที่มีต่อปัญหาเดียวกันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เข้าใจกัน วัยรุ่นจึงเลือกที่จะหันไปพูดคุยกับเพื่อนในช่วงวัยใกล้เคียงกันและให้เพื่อนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจต่างๆ ในชีวิตแทน

อย่างไรก็ตาม การรักษาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนก็ไม่ง่ายนัก เมื่อเราบอกคนอื่นๆ ว่าเราเลิกกับแฟน เป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะเข้าอกเข้าใจเหตุผล “อ๋อ เขานอกใจ” “เบื่อล่ะสิ หมดรักหมดโปรแล้ว” “เราเข้ากันไม่ได้” เหตุผลเหล่านี้ช่างง่ายดายเหลือเกินในการอธิบายจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ฉันท์คนรัก แต่ถ้าหากต้องอธิบายว่าทำไมถึงเลิกคบกับเพื่อน เหตุผลต่างๆ ก็ดูจะไม่เข้าท่าไปเสียหมด แม้ว่าเพื่อนคนนั้นจะทำให้เสียความรู้สึก แต่ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดที่จะเลิกคบกัน

เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ที่โรแมนติก มันง่ายเมื่อหัวใจของเราเข้ามาแทนที่ เราใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในความสัมพันธ์ แต่ในมิตรภาพนั้น เราและเพื่อนต้องเลือกกันเอง ต้องตัดสินใจว่าคนๆ นี้เข้ากันได้ดีกับเรา และเราชอบพวกเขามากพอที่จะเปิดใจ บอกความลับทั้งหมดให้และสามารถพึ่งพา ขอคำแนะนำในการตัดสินใจในชีวิตได้ เรารักเขา และหากสนิทกันมากพอ ครอบครัวของเราก็จะรักเขาด้วยเช่นกัน เขาจึงไม่ใช่เพียงคนรู้จัก ในบางครั้งเขาก็เป็นยิ่งกว่าครอบครัว

‘เพื่อนไม่ใช่แค่คนอีกคน แต่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ’

ผู้คนมักจะมีความคิดว่าการเจ็บปวดเพราะเลิกกับแฟนนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ในทางกลับกันการเลิกกับเพื่อนไม่ควรจะเจ็บปวดเท่า เพราะโดยปกติทั่วไปแล้ว เราไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเพื่อน ซึ่งการไม่ได้มีความสัมพันธ์ในแง่นั้นเท่ากับการไม่ผูกพันลึกซึ้ง แต่ในความจริง แม้การสิ้นสุดทางเพื่อนจะไม่เกี่ยวข้องกับเซ็กซ์ แต่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็รู้สึกไปในทางเดียวกันเมื่อถูกเลิกคบจากเพื่อนว่า “เขาไม่ต้องการฉันอีกต่อไปแล้ว” ซึ่งขัดกับคตินิยมที่มักปรากฏในสื่อทั้งหนังสือและภาพยนตร์ว่ามิตรภาพจะคงอยู่ตลอดไป

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบไหน การที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกว่า ‘ไม่มีใครต้องการ’ จึงเป็นเรื่องยากและเจ็บปวดสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีแนวโน้มจะยึดติดกับความสัมพันธ์ เราอาจไม่เคยถูกปลูกฝังให้มองเพื่อนด้วยมุมมองว่า “ฉันหวังว่าเราจะไปด้วยกันได้ดี” เพราะความคิดแบบนั้นใกล้เคียงกับคู่รักมากกว่า แต่มิตรภาพยังคงถือว่าเป็นประเภทหนึ่งของความสัมพันธ์ – เรายังคงมีปากเสียง มีการผิดใจ ไม่เข้าใจกันในลักษณะเดียวกับความสัมพันธ์รูปแบบอื่นๆ 

สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้การเลิกราเป็นเรื่องปกติ เตรียมใจรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ทันตั้งตัว เพราะในจังหวะหนึ่งของชีวิตนั้น เราอาจสิ้นสุดทางเพื่อนได้เสมอ

1. ให้พื้นที่ตัวเองได้เสียใจกับการสูญเสีย

ปล่อยใจให้ตัวเองรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความเสียใจ ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด การพยายามที่จะเข้มแข็งไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะแทนที่จะเผชิญหน้ากับความเศร้า เราแค่เก็บฝังมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ หากมีอะไรไปกระทบก็อาจระเบิดออกมาได้อีก 

ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเป็นเด็กน้อย อาจจะดูอ่อนแอนิดหน่อย แต่การพูดว่า “ฉันเจ็บปวดและเสียใจที่ต้องสูญเสียเพื่อน” จะให้ผลดีกว่าต่อสุขภาพจิตใจในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า เพราะเมื่อเราต่อสู้ดิ้นรนผ่านจนช่วงเวลานั้นมาได้ เราจะเริ่มถามตัวเองว่าความสัมพันธ์นี้ดีต่อตัวเองแล้วจริงๆ หรือเปล่า เราผูกพันกับคนคนนี้ แล้วเอาการเลิกราไปเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์อื่นๆ หรือเปล่า

เราอาจคาดหวังว่าเพื่อนคนหนึ่งจะอยู่กับเราไปนานเหมือนในอุดมคติที่สังคมหล่อหลอม เราจึงเจ็บปวดมากเมื่อต้องสูญเสียใครไป แต่ในเส้นทางชีวิต เรามักทำใครบางคนหล่นหายไประหว่างการเติบโตเป็นธรรมดา

2. ตัดใจ (ถ้าคุณทำได้)

ลองคิดทบทวนว่าอะไรที่ทำให้เราและเพื่อนมาถึงจุดนี้ ลองตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และท้ายสุดแล้วการจบความสัมพันธ์ครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อเราอย่างไรหรือมากขนาดไหน จากนั้นเราอาจลองคุยกับเพื่อน ไม่ใช่เพื่อพยายามเปลี่ยนความคิดหรือเปลี่ยนใจอีกฝ่าย แต่เพื่อให้สามารถตัดใจและมีกำลังใจที่จะเผชิญกับความสูญเสียได้

แต่ถ้ามิตรภาพนั้นจบลงได้ไม่ดี เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกับเขาแล้ว ก็ให้ทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอโทษ” หากเป็นเราที่ทำผิด ต้องขอโทษไม่ว่าพวกเขาจะตอบกลับหรือไม่ก็ตาม ในขณะเดียวกัน หากเรามองว่าไม่ใช่ความผิดของเราก็ให้ปล่อยใจ ก้าวผ่านความเจ็บปวดด้วยการยอมรับว่ามุมมองของเรากับเขาอาจไปด้วยกันไม่ได้

3. move on! (แบบไม่เป็นวงกลม)

เมื่อเราได้ทบทวนความสัมพันธ์แล้วเราก็จะรักษาเยียวยาหัวใจของเราได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในขั้นตอนนี้ เราอาจได้ผ่านการสร้างพื้นที่ให้ตัวเองเสียใจ พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือลบสิ่งต่างๆ ที่ทำให้นึกถึงเพื่อนคนนั้นออกไปแล้ว

เราอาจปรับใจด้วยการขอบคุณเพื่อนคนที่จากไปที่ได้ให้บทเรียน เพราะในทุกการสูญเสีย เราจะเติบโตขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และแน่นอนว่าก่อนการเลิกรา เรากับเพื่อนจะต้องมีประสบการณ์และความทรงจำร่วมกันทั้งดีและไม่ดี การขอบคุณจึงเหมือนเป็นการให้อภัยเพื่อนและให้อภัยตัวเอง ซึ่งอาจบรรเทาความขมขื่นลงได้บ้าง

นอกจากนี้ การออกไปพบกับเพื่อนๆ ที่ยังอยู่เคียงข้างเราก็เป็นทางเลือกที่ดี หรือพาตัวเองไปเจอผู้คนใหม่ๆ ไม่ต้องคาดหวังว่าเราจะเจอเพื่อนแท้เพื่อนตายได้ในชั่วข้ามคืน ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไปแล้วให้เวลาช่วยคัดสรร และอย่าลืมเอาใจใส่เพื่อนให้เป็นนิสัย คอยถามไถ่ถึงความเป็นไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ

5. จำไว้ว่าเรายังคู่ควรกับมิตรภาพ

การพบปะผู้คนใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอายุเกิน 20 ปีแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ปล่อยให้การสูญเสียเพื่อนคนหนึ่งทำให้คุณรู้สึกไม่คู่ควร

ในช่วงชีวิตทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนเปลี่ยนไป พวกเราเติบโตขึ้น พวกเขาอาจกลายเป็นคนที่เราไม่รู้จักหรือเป็นคนที่พวกเขาสาบานว่าจะไม่มีวันเป็น และเราก็เปลี่ยนด้วยในแบบของเราเอง เราอาจจะพร่ำเถียงว่าถ้าเราไม่ทำแบบนั้น ถ้าเพื่อนไม่ทำแบบนี้ ทุกอย่างคงจะเป็นเหมือนเดิม แต่จริงๆ แล้วเรารักษาความสัมพันธ์ให้คงเดิมตลอดไปไม่ได้ เราไม่ได้อายุเท่าเดิมเหมือนครั้งแรกที่เจอเพื่อน ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนตอนนั้น ปัจจัยต่างๆ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน สังคมจะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี

การเลิกรากับเพื่อนอาจกลายเป็นอุปสรรคในการหาเพื่อนใหม่สำหรับหลายคน เพราะการยอมรับการสูญเสียและต้องเผชิญกับความรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการนั้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่เราต้องคอยย้ำกับตัวเองว่าเราเองก็ยังคู่ควรกับการมีเพื่อนดีๆ 

สิ่งสำคัญคือ ต้องให้อิสระกับตัวเองและซื่อสัตย์กับความรู้สึก ทำในสิ่งที่เชื่อ เมื่อถึงเวลาก็จะมีแรงดึงดูดคนที่มีความคิดและแนวทางการใช้ชีวิตที่พอดีกับเราเข้ามา สิ่งที่เราทำได้เมื่อต้องเผชิญกับความผิดหวังคือโอบกอดและหวงแหนความทรงจำที่มีค่าเหล่านั้นและเดินหน้าต่อไป 

แม้ว่ามันอาจจะรู้สึกว่าเราจะไม่มีวันเดินหน้าต่อไปได้จากการเลิกรากับเพื่อนสนิท แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดจะบรรเทาลง ขึ้นอยู่กับว่ามิตรภาพจบลงอย่างไร เราอาจจะมองย้อนกลับไปและยิ้มโดยนึกถึงความทรงจำดีๆ ที่เคยมีกับเพื่อนคนนี้ มากกว่าความทรงจำที่รู้สึกขมขื่น

อ้างอิง

Breaking up with a Friend: A Unique Type of Pain

How to get over a friendship breakup 

Tags:

วัยรุ่นความสัมพันธ์เพื่อน

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Weaponized-Incompetence-1
    Relationship
    Weaponized Incompetence: ทำไมการ ‘แกล้งทำไม่เป็น’ เพื่อโยนงานให้คนอื่น ถึงเป็นเรื่องท็อกซิกในความสัมพันธ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Skip and loafer: วิธีมองโลกแบบ ‘มิทสึมิจัง’ ใจดีกับตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Juno: การรับมือกับท้องไม่พร้อม และการบอกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ(ด้วยตัวเอง)กับครอบครัว

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

People Pleaser: หยุดใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น แล้วหันมาใส่ใจตัวเองจริงๆ
How to enjoy life
28 February 2022

People Pleaser: หยุดใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น แล้วหันมาใส่ใจตัวเองจริงๆ

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • เรากำลังใช้ชีวิตเพื่อเอาใจคนอื่น จนลืมตัวเอง…อยู่หรือเปล่า มองแบบผิวเผินก็อาจเป็นเรื่องดีที่เอาใจคนอื่น ที่จริงก็เป็นผลดีในระยะสั้นที่ทำให้เราและคนรอบข้างพึงพอใจ แต่กลับมีผลเสียระยะยาวมากมายที่จะทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง และคนอื่น
  • การเอาใจคนอื่นอาจเป็นรูปแบบหนึ่งในการควบคุมคนอื่น (Manipulation) ด้วย ซึ่งเป็นการควบคุมที่แยบยลในระดับจิตไร้สำนึกที่พยายามควบคุมว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเขาด้วย
  • การเป็นคนชอบเอาใจคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป หากใช้จุดแข็งให้ถูก และปรับจุดอ่อนบางอย่างให้ดีขึ้น เช่น คนเหล่านี้มักมีแนวโน้มที่จะรู้ใจคนอื่น เพราะชอบที่จะสังเกตความรู้สึกคนอื่นเสมอ รับรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกได้ดี และเป็นคนง่ายๆ สบายๆ มีจิตใจที่ชอบบริการ

คุณเคยรู้สึกไหมว่า ทำไมต้องเป็นเราที่คอยเสียสละตัวเองเพื่อเขาอยู่เสมอ ?

ทำไมเราสนใจคนอื่นตั้งมาก แล้วเขาไม่สนใจเราเลย ? 

ทำไมเราช่วยเขาตั้งเยอะแล้วเขากลับไม่เคยช่วยอะไรเราเลย ? 

ทำไมเราชอบแคร์ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่กลับไม่แคร์ว่าตัวเองคิดอย่างไร

สุดท้ายเหมือนว่าเรากำลังใช้ชีวิตเพื่อเอาใจคนอื่น จนลืมตัวเอง…

มองแบบผิวเผินก็อาจเป็นเรื่องดีที่เอาใจคนอื่น ที่จริงก็เป็นผลดีในระยะสั้นที่ทำให้เราและคนรอบข้างพึงพอใจ แต่กลับมีผลเสียระยะยาวมากมายที่จะทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง และคนอื่น

ผลเสียที่เห็นอย่างชัดเลย คือ คนที่ชอบเอาใจคนอื่นมีแนวโน้มที่จะหลงลืมการใส่ใจความคิด และความรู้สึกตัวเอง แม้เขาจะมีความสุขที่ได้ตามใจคนอื่น แต่สุดท้ายเขาก็มักจะรู้สึกแย่กับตัวเองบ่อยๆ สุดท้ายคนที่ไม่ได้กลับมาเชื่อมโยง ฟังเสียงความรู้สึก และความต้องการตัวเองก็มีแนวโน้มที่จะมีความภาคภูมิใจในตัวเองที่ต่ำ (Low Self-Esteem) และมีตัวตนที่ไม่ชัดเจน (Identity) ซึ่งหมายถึง เขาจะไม่ค่อยรู้ว่าข้างในเขาต้องการอะไร เพราะใช้ชีวิตที่ผ่านมาโดยละเลยตัวเอง ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ทำไมตัวเองถึงทำแบบนั้น รู้แค่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้คนอื่นรู้สึกดี 

คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะกลัวความขัดแย้ง มีจุดยืนที่ไม่ชัดเจน มีขอบเขตที่คลุมเครือ (Poor Boundary) เหมือนใครจะทำอะไรกับเขาก็ได้ ข้อดีอาจทำให้เป็นคนดูง่ายๆ สบายๆ ซึ่งนั่นก็เสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบด้วย

คนที่ชอบเอาใจคนอื่น (People Pleaser) มักถูกมองว่าเป็นคนใจดี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ยิ้มแย้มแจ่มใส จริงๆ การช่วยเหลือคนอื่นเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม แต่สิ่งที่น่าเศร้าของคนที่ชอบเอาใจคนอื่นคือ การช่วยเหลือมากเกินไปจนเกินขอบเขตที่ตัวเองรับได้ หรือพูดให้เห็นภาพคือ ช่วยเขาทั้งที่ตัวเองไม่ไหว

และภาพใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสดูไม่คิดอะไร หารู้ไม่ว่าลึกๆ แล้ว คนที่ชอบเอาใจคนอื่นมักมีแนวโน้มที่จะน้อยใจ ผิดหวัง ขุ่นเคืองอยู่บ่อยครั้ง อาจเพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ ไม่มีคนเห็นคุณค่าสิ่งที่เขาทำ

การเอาใจคนอื่นอาจเป็นรูปแบบหนึ่งในการควบคุมคนอื่น (Manipulation) ด้วย ซึ่งเป็นการควบคุมที่แยบยลในระดับจิตไร้สำนึกที่พยายามควบคุมว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเขาด้วย

คนที่ชอบเอาใจคนอื่นมักกลัวเป็นภาระ ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ แท้จริงแล้วการพยายามช่วยเหลือ ใส่ใจ ดูแลคนอื่น อาจไม่ได้ทำเพราะอยากดูแลคนอื่นจริงๆ แต่ทำเพราะจริงๆ แล้วเบื้องลึกในจิตใจ นั่นคือ สิ่งที่เขาต้องการ แต่เขาทำให้คนอื่นเป็นตัวแทนของเขาในระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious)

ถึงอย่างนั้นการเป็นคนชอบเอาใจคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป หากใช้จุดแข็งให้ถูก และปรับจุดอ่อนบางอย่างให้ดีขึ้น เช่น คนเหล่านี้มักมีแนวโน้มที่จะรู้ใจคนอื่น เพราะชอบที่จะสังเกตความรู้สึกคนอื่นเสมอ รับรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกได้ดี และเป็นคนง่ายๆ สบายๆ มีจิตใจที่ชอบบริการ 

สิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้คนเหล่านี้มีลักษณะเป็นคนง่ายๆ เอาใจคนอื่น อะไรก็ได้ มักเกิดจากการเรียนรู้ว่าการที่ทำตัวแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเขาเป็นที่รัก เขาถูกยอมรับ เขาถูกมองเห็น และมักเกิดจากการมีความภาคภูมิใจในตัวเองที่ต่ำ (Low Self-Esteem)

ปล่อยวางการเป็นคนชอบเอาอกเข้าใจจนเกินไป ด้วยการเข้าใจรูปแบบพฤติกรรม (Behavior Patterns)

คนเราทำสิ่งต่างๆ ด้วยแรงขับเคลื่อนที่แตกต่างกันไป คนที่ชอบเอาใจคนอื่นต้องแยกให้ชัดว่าการเอาใจในที่นี่เป็นเพราะเราอยากทำจริงๆ หรือทำเพราะอยากให้เขามองว่าเราในแง่ดี แม้การกระทำจะเหมือนกัน แต่แรงขับเคลื่อนที่ต่างกันย่อมส่งผลต่อความคาดหวัง และความขุ่นเคืองที่ต่างกัน 

การคอยสังเกตตัวเองแบบนี้บ่อยๆ จะเป็นการฝึกสร้างการตระหนักรู้ในตัวเอง (Self-Awareness) ว่าสาเหตุ หรือเหตุผลที่แท้จริงในการกระทำนั้นคืออะไร ซึ่งการตระหนักรู้นี้คือจุดเริ่มต้นของแทบจะทุกการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยา 

อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ได้พยายามจะบอกว่าการเอาอกเอาใจคนอื่นเป็นเรื่องไม่ดี แต่พยายามจะเน้นย้ำว่าเราจำเป็นต้องรู้เหตุผลในการทำสิ่งนั้น และเข้าใจว่าขอบเขตที่ตัวเองสามารถทำได้นั้นคือแค่ไหน การกระทำไหนที่รู้สึกโอเค การกระทำไหนที่รู้สึกว่าไม่โอเค แล้วค่อยๆ หาสมดุลที่เหมาะสมกับตัวเองในการเอาใจคนอื่น และใส่ใจตัวเอง ที่สำคัญคือ พยายามซื่อสัตย์กับขอบเขตของตัวเองอย่างที่ผมเคยเขียนบทความเรื่อง ทำไมการมีจุดยืนที่ชัดเจนจึงสำคัญต่อการมีความสัมพันธ์ที่ดี ? (Healthy Boundary) เพราะการเอาอกใจคนอื่นจนลืมตัวเองไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดีเลย 

ตอนแรกผมคิดว่าจะเขียนวิธีพัฒนาตัวเองว่าเราจะถอยตัวเองออกจากความเป็นคนขี้เอาอกเอาใจคนอื่นอย่างไรดี แต่พอมานั่งคิดดีๆ แล้ว เรื่องพวกนี้ไม่สามารถแก้ไขได้เหมือนการซ่อมคอมพ์ที่แค่เห็นจุดที่อุปกรณ์พัง พอเปลี่ยนอุปกรณ์ทุกอย่างก็ใช้งานได้ดี มนุษย์มีความสลับซับซ้อนมากกว่านั้น บุคลิกภาพไม่ได้เกิดขึ้นภายในหนึ่งวัน หากเป็่นการสะสมการกระทำซ้ำๆ จนเกิดเป็นนิสัย แล้วก็พัฒนาเป็นบุคลิกภาพ เช่นเดียวกัน หากจะแก้ไข คงไม่มีวิธีไหนที่จะปลดล็อกได้ในพริบตา

ผมคิดว่าวิธีพัฒนาตัวเองที่ดีที่สุดคือ การอ่านบทความนี้ แล้วค่อยๆ กลับมาซื่อสัตย์กับตัวเองว่าพฤติกรรมแบบไหนที่กำลังทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ เริ่มต้นจากการ “ยอมรับ” สิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วค่อยๆ สังเกตว่า ทำไมเราถึงทำแบบนี้นะ เราทำสิ่งนั้น เราทำสิ่งนี้เพราะต้องการอะไร การสังเกตรูปแบบพฤติกรรมซ้ำๆ (Behavior Patterns) จะทำให้เราก้าวข้าวผ่านตัวเองได้อย่างยั่งยืน แน่นอนว่ามันคงใช้เวลา แต่มันจะคุ้มค่า, ผมเชื่ออย่างนั้น โดยวิธีการสังเกตรูปแบบพฤติกรรม ผมประยุกต์จากการกระบวนการทำจิตบำบัดที่เป็นการปรับพฤติกรรมระยะยาวที่ค่อนข้างได้ผลดี

ขอให้วันนี้เป็นวันที่ใส่ใจตัวเองมากขึ้นครับ

Tags:

self-awarenessPeople Pleaserการควบคุมคนอื่น (Manipulation)

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

คลาราและดวงอาทิตย์ : เพราะเป็นมนุษย์จึงบกพร่อง แต่เราก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ
Book
25 February 2022

คลาราและดวงอาทิตย์ : เพราะเป็นมนุษย์จึงบกพร่อง แต่เราก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • หนังสือเรื่อง คลาราและดวงอาทิตย์ (Klara and The Sun) เขียนโดย คาซึโอะ อิชิงุโระ แปลเป็นภาษาไทยโดย ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ หนังสือเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวในโลกอนาคต ที่หุ่นยนต์ถูกพัฒนาจนเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ ที่ถูกนำมาใช้ในฐานะเพื่อนของมนุษย์วัยเด็ก โดยเรียกกันในชื่อ AF ซึ่งย่อมาจาก Artificial Friend
  • ‘คลารา’ เป็น AF ที่ถูกซื้อมาให้เป็นเพื่อนกับ ‘โจซี’ จนกระทั่งถึงวันที่โจซีป่วยหนัก แม่ของโจซีได้ขอให้คลารา เลียนแบบทุกอย่างของโจซี เพื่อทำหน้าที่ ‘เป็น’ โจซี ในวันที่เด็กสาวจบสิ้นอายุขัย
  • คลารา เฝ้าสังเกตพฤติกรรมและพยายามเข้าใจความคิดของคนรอบข้าง ทำให้เธอค้นพบว่าบางครั้งมนุษย์ก็ทำสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับตรรกะความมีเหตุมีผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกทำสิ่งที่ส่งผลเสียต่อตัวเอง เพื่อแลกกับการที่คนที่ตัวเองรัก จะได้รับสิ่งดีๆ เป็นการแลกเปลี่ยน

ลองหลับตาแล้วจินตนาการถึงโลกอนาคต โลกที่หุ่นยนต์ได้รับการพัฒนาจนถึงขีดสุด ทั้งด้านรูปลักษณ์ภายนอก และระบบปฏิบัติการภายใน

โลกที่หุ่นยนต์ที่มีความสามารถเลียนแบบมนุษย์ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม การเคลื่อนไหว การเดิน การพูดจา สำเนียงการพูด เลียนแบบแม้กระทั่งตรรกะความคิด รวมทั้งมีความละเอียดอ่อน จนเกือบจะเรียกได้ว่ามีความรู้สึก 

หุ่นยนต์ จะสามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้หรือไม่

สมมติให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นไปอีกว่า คนที่คุณรักกำลังจะตายจากไป แล้วมีหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ที่สามารถอัพเกรดรูปลักษณ์ภายนอกจนเหมือนคนๆ นั้น ขณะที่โปรแกรมการทำงานของหุ่นยนต์ตัวนั้น ก็สามารถจำลองความคิด การพูดจาของคนๆ นั้นได้อย่างครบถ้วน 

คุณจะยอมรับให้หุ่นยนต์ตัวนั้น มาแทนที่คนที่คุณรัก ซึ่งกำลังจะตายจากไปหรือไม่

นั่นคือ คำถามที่ผุดขึ้นในหัว หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้

หนังสือที่มีชื่อว่า คลาราและดวงอาทิตย์ (Klara and The Sun) เขียนโดย คาซึโอะ อิชิงุโระ แปลเป็นภาษาไทยโดย ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ จัดพิมพ์โดย แพรวสำนักพิมพ์

ความรัก ความทรงจำ และความรู้สึก

ย้อนไปเมื่อปี 2017 ปีนั้นเป็นอีกปีที่มีกระแสการคาดการณ์กันว่า ถึงเวลาแล้ว ที่รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมจะตกเป็นของฮารุกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่น ผู้มีฐานแฟนคลับทั่วโลก จนถึงขั้นที่บ่อนพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ ขึ้นชื่อมูราคามิ เป็นเต็งลำดับต้นๆ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาจะเป็นนักเขียนชาวญี่ปุ่นคนที่ 3 ที่คว้ารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ต่อจาก ยาสึนาริ คาวาบาตะ ในปี 1968 และ เคนซาบุโร โอเอะ ในปี 1994

ตอนที่คณะกรรมการรางวัลโนเบล ประกาศชื่อ คาซึโอะ อิชิงุโระ เป็นผู้คว้ารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หลายคน (รวมทั้งผมด้วย) อาจรู้สึกแปลกใจ แต่สำหรับคนในแวดวงวรรณกรรมแบบจริงจัง ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจในเรื่องนี้

อิชิงุโระ ซึ่งเกิดที่เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น แต่ไปโตและได้สัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ ไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่ แม้เขาจะสร้างผลงานนิยายออกมาไม่มาก (เขาใช้เวลาเขียนนิยายแต่ละเล่มประมาณ 5 ปี) แต่ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้มหลามมาโดยตลอด ด้วยงานเขียนที่เรียบง่าย-หากละเมียดละไม ที่เน้นการคลี่เผยความสัมพันธ์ของผู้คน ซึ่งท่วมท้นไปด้วยความรัก ความทรงจำและความรู้สึก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานเรื่อง The Remains of the Day หรือชื่อภาษาไทยว่า ‘เถ้าถ่านแห่งวารวัน’ ซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน และ Never Let Me Go หรือชื่อภาษาไทยว่า ‘แผลลึก หัวใจสลาย’

Klara and The Sun หรือชื่อภาษาไทยว่า คลารา และดวงอาทิตย์ คือ ผลงานเล่มล่าสุดหลังจากได้รับรางวัลโนเบลของอิชิงุโระ ทำให้งานเล่มนี้ได้รับการจับตามองด้วยความคาดหวังสูง 

และอิชิงุโระ ก็ไม่ได้ทำให้นักอ่านผิดหวัง นิยายเล่มนี้ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก ในด้านความละเอียดอ่อน ละเมียดละไม และพานักอ่านเข้าไปสัมผัสกับความเป็นมนุษย์

หนังสือเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวในโลกอนาคต ที่หุ่นยนต์ถูกพัฒนาจนเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ ที่ถูกนำมาใช้ในฐานะเพื่อนของมนุษย์วัยเด็ก โดยเรียกกันในชื่อ AF ซึ่งย่อมาจาก Artificial Friend ในยุคสมัยที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันน้อยลง จนถึงขั้นต้องมีการจัดงานพบปะปฏิสัมพันธ์ เพื่อให้เด็กๆได้พัฒนาการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น

แม้ว่าเซ็ตติ้งของเรื่อง จะเป็นโลกดิสโทเปีย ทำให้หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนนิยายไซไฟ แต่แก่นหลักของหนังสือ ยังคงเป็นเรื่องราวของความรัก ความทรงจำ และความรู้สึก เหมือนงานชิ้นอื่นๆ ของอิชิงุโระ

คลารา เป็นเอเอฟพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ถูกซื้อเพื่อเป็นเพื่อนกับโจซี เด็กสาวที่ร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะ ความสัมพันธ์ระหว่างหุ่นยนต์และเด็กสาว พัฒนาไปลึกซึ้งและราบรื่น จนกระทั่งถึงวันที่โจซีป่วยหนัก ถึงขนาดที่หมอยังหมดความหวัง

วันนั้น แม่ของโจซี ขอให้คลารา ซึ่งสามารถเลียนแบบพฤติกรรม การพูดจา หรืออาจจะรวมถึงความรู้สึกทุกอย่างของโจซี อัพเกรดตัวเองเข้าไปอยู่ในร่างประดิษฐ์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนโจซีทุกประการ เพื่อทำหน้าที่ ‘เป็น’ โจซี ในวันที่เด็กสาวจบสิ้นอายุขัย

แม้ว่าประเด็นที่คาบเกี่ยวปัญหาเชิงจริยธรรมนี้ จะมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ทว่า อิชิงุโระ แตะเรื่องนี้แค่เพียงผิวเผิน โดยทิ้งให้เป็นเรื่องที่นักอ่านจะนำไปขบคิดต่อเอง ขณะเดียวกัน เขาเลือกที่จะขับเน้นประเด็นความรู้สึกของคลาราแทน

ในฐานะหุ่นยนต์ คลารา พร้อมทำตามคำสั่งนี้ และมั่นใจด้วยว่า เธอสามารถทำได้ดีที่สุด แต่ในฐานะเพื่อน คลารา เลือกทำสิ่งที่ดูเหลือเชื่อ เพื่อช่วยชีวิตของโจซี ซึ่งเธอเรียกสิ่งนั้นว่า ‘ความหวัง’ แม้ว่าการได้มาซึ่งความหวังนั้น ต้องแลกกับการสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเธอก็ตาม

เพราะเป็นมนุษย์ จึงมีหัวใจ

“เธอเชื่อในหัวใจมนุษย์หรือเปล่า” พ่อของโจซี ถามคลารา “เธอจะเรียนรู้เฉพาะกิริยาท่าทางของโจซีไม่ได้… เธอจะต้องเรียนรู้ถึงหัวใจของโจซี และเรียนรู้อย่างเต็มที่ด้วย ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีวันเป็นโจซีได้”

บทความทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่ง เขียนไว้ว่า หุ่นยนต์ หรือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ไม่มีวันที่จะเลียนแบบมนุษย์ จนถึงขั้นมีความรู้สึกได้ ซึ่งในบทความชิ้นนั้น ระบุว่า กระบวนการที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้สึก” หรือ sentient มีความซับซ้อนเกินกว่าเทคโนโลยีในปัจจุบัน จนถึงอนาคตอันใกล้ จะสามารถสร้างขึ้นได้

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ซึ่งพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์กระบวนการทำงานของสมองในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรู้สึก’ ค้นพบว่า การสร้างความรู้สึก หรือจิตสำนึก อาศัยการบูรณาการข้อมูลในระดับที่ซับซ้อนกว่าการทำงานของเครื่องจักร ซึ่งทำได้แค่ย่อยข้อมูลเป็นชิ้นเล็กที่สุด แล้วเข้านำกลับมารวมกันใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม

แต่ในหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องราวจินตนาการที่ไม่อิงอยู่บนหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ ทำให้คลารา ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีความละเอียดอ่อนและช่างสังเกตเกินหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ อาจจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรู้สึกได้’

มีอยู่ฉากหนึ่งในเรื่อง ระหว่างที่แม่ของโจซีคุยกับคลารา ซึ่งแม่พูดขึ้นว่า

“บางครั้งไม่มีความรู้สึกก็คงจะดี ฉันอิจฉาเธอจัง”

ฉันใคร่ครวญสักครู่ก่อนพูดว่า “ฉันเชื่อว่าฉันมีความรู้สึกหลายอย่างค่ะ ยิ่งสังเกตมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งมีความรู้สึกมากเท่านั้น”

ความช่างสังเกตของคลารา ทำให้เธอมีความละเอียดอ่อน และเข้าใกล้การมีสิ่งที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ เช่นเดียวกับมนุษย์

หลายสิ่งหลายอย่างที่คลาราสังเกตเห็น เป็นสิ่งที่เราอาจจะมองข้าม หรือไม่ทันสังเกต ไม่ว่าจะเป็น ช่วงเวลาที่คนเราได้พบหน้าคนรักที่พลัดพรากจากกันไปนาน แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เปี่ยมด้วยความสุข แต่ก็มีร่องรอยความเจ็บปวดอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

“บางครั้ง”  เธอเอ่ย “ณ ช่วงเวลาพิเศษเช่นนั้น คนเราอาจรู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมๆ กับมีความสุขได้”

หรือตอนที่คลารา ตั้งข้อสังเกตว่า การที่เด็ก ๆ แสดงพฤติกรรมหยาบคายใส่คนอื่น ไม่ได้เป็นเพราะจิตใจที่ชั่วร้าย หากแต่พวกเขาทำลงไปเพราะกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนมากกว่า

“ส่วนเด็กๆ พวกนั้น พวกเขาทำพฤติกรรมหยาบคายก็จริง แต่อาจไม่ได้ใจร้ายมากนัก พวกเขากลัวความโดดเดี่ยวถึงได้ทำตัวแบบนั้น”

การเฝ้าสังเกตอย่างตั้งอกตั้งใจ ยังทำให้คลาราค้นพบว่า บางครั้ง มนุษย์ก็ทำสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับตรรกะความมีเหตุมีผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกทำสิ่งที่ส่งผลเสียต่อตัวเอง เพื่อแลกกับการที่คนที่ตัวเองรัก จะได้รับสิ่งดีๆ เป็นการแลกเปลี่ยน

“ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามนุษย์จะเลือกความโดดเดี่ยว ไม่เคยคิดว่าบางครั้งจะมีพลังอื่นๆ ที่รุนแรงกว่าความปรารถนาที่จะหลีกหนีจากความโดดเดี่ยว”

มิสเฮเลนยิ้ม “ความรักของแม่ที่มีต่อลูกชาย สิ่งอันสูงส่งนั้นมีไว้เพื่อเอาชนะความน่ากลัวของความโดดเดี่ยวจ้ะ”

บางที การได้พูดคุยกับมิสเฮเลน ทำให้คลาราได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ อันนำไปสู่การเสียสละเพื่อคนที่รัก และความรักนั่นเอง ที่ก่อเกิดขึ้นจาก ‘หัวใจ’

และที่สำคัญ คลาราเรียนรู้ที่จะมี ‘ความหวัง’ ในการช่วยชีวิตของโจซี แม้ว่าความหวังนั้นอาจดูเป็นเรื่องไร้สาระเลื่อนลอยในสายตาคนอื่น โดยเธอพยายามอ้อนวอนต่อดวงอาทิตย์ ให้ส่งพลังพิเศษมาช่วยให้โจซีหายจากอาการป่วยหนัก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คลาราจะมีความเชื่อมั่นศรัทธาในดวงอาทิตย์ เพราะเธอเป็นหุ่นยนต์ที่ได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์โดยตรง

แม้ว่าคลาราจะเป็นเพียงหุ่นยนต์ แต่สิ่งที่เธอทำ-สิ่งที่เธอเลือก ชวนให้เราฉุกคิดว่า ‘ความเป็นมนุษย์’ คืออะไร

มนุษย์แตกต่างจากหุ่นยนต์ เพราะมนุษย์มีหัวใจ

ในแง่หนึ่ง เพราะมีหัวใจ จึงมีความรู้สึก จึงมีอคติ และจึงมีความผิดพลาด

ทว่า ในอีกแง่หนึ่ง เพราะมีหัวใจ จึงมีความรู้สึก จึงมีความรัก และจึงมีความหวัง

เพราะเป็นมนุษย์ จึงบกพร่อง แต่เราก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ

Tags:


Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

นักพนัน(Gambler): สยบยอมและใช้อำนาจครอบงำ
Myth/Life/Crisis
25 February 2022

นักพนัน(Gambler): สยบยอมและใช้อำนาจครอบงำ

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • นักพนัน(Gabler) เป็นบทประพันธ์ของดอสโตเยฟสกี มีตัวละครเอกคือ ‘อเล็กซี’ ผู้ที่สานสัมพันธ์กับ ‘โพลีนา’ ลูกสาวครอบครัวนายพล ประหนึ่งว่าเธอคือเจ้านาย “ผู้ทรมาน” ส่วนเขาก็รู้สึกว่าตนเป็น “ทาส” ที่ไม่ได้รับความเคารพ แต่ในความสัมพันธ์นั้นก็มีการชักเย่อสับเปลี่ยนกันไปมาในภาวะสยบยอมและวางอำนาจ ยอมจำนนและเอาชนะคล้ายกับความสัมพันธ์แบบ ‘ซาโดมาโซคิสม์’
  • ความสัมพันธ์แบบ ‘ซาโดมาโซคิสม์’ มีความหมายที่กว้างมากกว่าในเรื่องการร่วมเพศ นั่นคือเรื่องของอำนาจและการควบคุม ซึ่งมีฝั่งที่สยบยอม (submission) และฝั่งที่ใช้อำนาจครอบงำ (domination) แต่ทั้งฝั่งที่ยอมจำนนและใช้อำนาจครอบงำล้วนแต่กำลังออกจากอิสรภาพและความเปลี่ยวดาย แม้ดูเหมือนอยู่ตรงข้ามกันแต่ต่างก็ต้องพึ่งพากัน
  • แทนที่เราจะถามหาความสัมพันธ์ตามอุดมคติใดๆ มันอาจน่าสนใจกว่าที่จะเฝ้าสังเกตด้วยความรู้สึกตัวว่า มีชั่วขณะไหนในชีวิตประจำวัน เช่น การเลี้ยงดูลูกหลาน การดูแลพ่อแม่ การปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง การบริหารทรัพย์สินเงินทอง ฯลฯ ที่เราปรารถนาจะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ ทำให้เขาเจ็บปวดอับอาย หรือสำนึกผิดและศิโรราบต่อเราโดยสิ้นเชิง

1.

นักพนัน (Gambler) เป็นบทประพันธ์ของดอสโตเยฟสกี นักเขียนเรืองนามแห่งรัสเซีย ที่ทำให้รู้สึกถูกเคี่ยวคั้นอารมณ์ไปตามจังหวะอันไม่หนักหนา แต่เผยรสจัดตามมาหลังอ่านจบไปแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีตัวละครเอกคือ อเล็กซี อีวาโนวิช สุภาพบุรุษผู้มีการศึกษาแต่ขาดทุนรอน ทำให้จำต้อง ‘พึ่งพา’ ท่านนายพลรัสเซียผู้จ้างให้เขาเป็นครูสอนเด็กในครอบครัวสองคน แต่นอกจากนี้แล้ว ครอบครัวของนายพลยังมี โพลีนา อเล็กซานดรอฟนา ลูกเลี้ยงผู้งดงามและภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งพร้อมจะใช้โฉมงามหยาดฟ้าเย้ายวนให้ชายหนุ่มทั้งหลายสยบยอมไปตามอำเภอใจของเธอ

อเล็กซีสานสัมพันธ์กับโพลีนาดุจว่าเธอคือเจ้านาย ‘ผู้ทรมาน’ ส่วนเขาก็รู้สึกว่าตนเป็น ‘ทาส’ ที่ไม่ได้รับความเคารพ และหล่อนก็ยินดีถือสิทธิ์เหนือตัวเขาทั้งยังพร้อมจะออกคำสั่ง “คุณบอกเองว่าชอบความเป็นทาส และฉันนึกว่าคุณชอบจริงๆ” หญิงสาวยอมให้เขาล้ำเส้นในหลายโอกาสแต่ก็เอื้อนเอ่ยว่าเกลียดเขา

เหล่านั้นกระมังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทาสรักก็มีหัวใจของอาชญากร เขาพร้อมจะกระโจนลงจากยอดเขาสูงลิ่วหากเธอสั่งให้ทำ ในขณะที่หลายคราก็อยากจะฝังคมมีดลงในอกนวลนางและปลิดชีพหล่อนเสียด้วยความอยากกลืนกินหล่อนลงไป 

ทาสหนุ่มคนนี้ก็มีความเป็นนักพนันเสียด้วย ซึ่งมิได้หมายความถึงเพียงภาวะฮึกเหิม วาดหวังในชัยชนะและกล้าได้กล้าเสียในการเล่นพนัน แต่ยังรวมถึงการเอาชีวิตเป็นเดิมพันด้วยเขาทราบว่าอยู่แล้วว่าบ้านของหญิงสาวที่เขาลุ่มหลงติดหนี้สินหนัก ครั้นทราบว่าหนุ่มฝรั่งเศสที่หล่อนดูจะมีเยื่อใยได้สลัดจากหล่อนไปด้วยเรื่องเงินล้วนๆ เขาก็หุนหันออกไปเล่นพนันแล้วชนะได้ทรัพย์สินมหาศาลมา เขาเต็มใจแบ่งเงินทองนั้นให้หล่อนแต่หล่อนเย่อหยิ่งเกินจะรับมันไว้ หญิงสาวผู้สะอื้นไห้นอนค้างอ้างแรมกับเขา และที่เคยแดกดันให้ซื้อหล่อนด้วยเงิน สุดท้ายก็ปาเงินเหล่านั้นใส่หน้าเขาและหนีไป 

ภายใต้การกระทำที่คล้ายไร้หัวใจเธอก็ลงให้เขามิใช่น้อยตลอดมา ที่บอกออกไปว่าชิงชังนั้นแท้จริงเป็นเพราะอเล็กซีมีความหมายกับเธอมากนั่นเอง 

ในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้น ความย่ำเหยียดก็เร้นด้วยความปรารถนาจะถูกยั่วยวน ในความเย็นชามีความเร่าร้อน ในการยิ้มเยาะที่ดูเหี้ยมโหดก็กลับยินยอมคุกเข่าลงต่อหน้า

และดูจะมีการชักเย่อสับเปลี่ยนกันไปมาในภาวะต้อยต่ำและสูงศักดิ์ สยบยอมและวางอำนาจ ยอมจำนนและเอาชนะ

ชวนให้นึกถึงความสัมพันธ์แบบซาโดมาโซคิสม์ (Sadomasochism)

2.

แยกออกเป็นสองคำศัพท์คือ ‘ซาดิสม์ (Sadism)’ และ ‘มาโซคิสม์ (Masochism)’ ที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยจิตแพทย์ออสเตรีย-เยอรมัน คราฟ เอบิง (Richard Freiherr von Krafft-Ebing 1840-1920) ผู้มีผลงานมากมายเกี่ยวกับอาชญาวิทยา การสะกดจิตและพฤติกรรมทางเพศ  

มีความเข้าใจในศัพท์เหล่านี้แตกต่างกันไปและมักเชื่อมโยงกับเรื่องเพศ แต่ซาโดมาโซคิสม์ในความหมายที่กว้างกว่าโซ่แส้กุญแจมือในช่วงฉากร่วมเพศ คือเรื่องของอำนาจและการควบคุม ซึ่งมีฝั่งที่สยบยอม (submission) และฝั่งที่ใช้อำนาจครอบงำ (domination) โดยฝั่งมาโซคิสม์ดูจะถูกกำราบ ถูกบดขยี้โบยตีและถูกกลืนกินโดยฝ่ายที่ขึ้นขี่อย่างโอหัง แต่ลักษณะเช่นว่านี้ก็ปรากฏขึ้นได้อย่างเข้มข้นเจือจางและหลากหลาย ซึ่งทำให้เราสามารถพบรูปแบบทำนองดังกล่าวจากภาวะจิตใจที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันทั่วไปได้เหมือนกัน 

และรายละเอียดของซาโดมาโซคิสม์ที่จะกล่าวนับจากนี้ เกือบทั้งหมดมาจากคำอธิบายของอีริค ฟอร์มม์ (Erich Fromm 1900 –1980)  นักจิตวิทยาสังคมชาวเยอรมัน ทั้งนี้ การดิ้นรนแบบมาโซคิสมักปรากฏเป็นความรู้สึกไร้อำนาจ ด้อยและไม่สำคัญแม้จะไม่ได้อยากรู้สึกเช่นนั้น นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มจะไม่ยืนกรานในสิทธิ์ของตัวเอง ดูถูกและแม้แต่ทำร้ายตัวเอง อีกทั้งมักพึ่งพาอำนาจนอกตัว การเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังกว่าซึ่งให้ความรู้สึกเป็นนิรันดร์ไม่สะท้านสะเทือนย่อมให้ความรู้สึกว่าเราได้ ‘มีส่วนร่วม’ ในความแข็งแกร่งเรืองโรจน์นั้น   

ส่วนฝ่ายซาดิสต์ก็กลืนกินแทนที่จะถูกกิน เขามีแนวโน้มทำให้คนอื่นมาพึ่งพาตนเองและใช้อำนาจควบคุมโดยสมบูรณ์ แม้แต่ทรมานกายใจคนอื่นรวมถึงทำให้อับอายขายหน้า นอกจากนี้ยังมีรูปแบบของการใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ควักคว้านและฉกฉวยเอาอะไรก็ตามที่เสพสมเข้าไปได้ของอีกฝ่าย(รวมถึงสติปัญญาและอารมณ์)มาเป็นส่วนหนึ่งของตัว แม้จะดูแกร่งกว่าในทางกายภาพ แต่ใจที่หื่นกระหายอำนาจมีรากมาจากความอ่อนแอและไม่เป็นอิสระ อย่างไรเสียเขาก็ต้องพึ่งอีกฝ่ายเพื่อจะทะนงลำพอง  

แนวโน้มซาดิสม์ตามตัวอย่างของฟอร์มมที่เห็นได้ในชีวิตประจำวันก็เช่น เธอจงอย่างขัดขืนเพราะฉันรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ อีกทั้งการทึ้งทวงเอาสิ่งใดก็ตามจากเขาโดยให้เขาสำเหนียกความเป็นเจ้าบุญนายคุณเหนือหัวของตน เมื่อหน้ากาก ‘รัก’ ถูกกระชากออกเราอาจพบความหรรษาในการปกครองครอบงำ ฟอร์มม์มีทรรศนะว่าความรักนั้นมีอิสรภาพและความเท่าเทียมเป็นฐาน มันจึงกลายเป็นการพึ่งพาแบบมาโซคิสหากฝ่ายหนึ่งต้องพร้อมสละตัวเองโดยสมบูรณ์และยอมพลีสิทธิ์ให้จนสูญเสียความซื่อตรง บูรณภาพและตกอยู่ใต้อาณัติใครอีกคน  แต่ทั้งฝั่งที่ยอมจำนนและใช้อำนาจครอบงำล้วนแล้วแต่กำลังออกจากอิสรภาพและความเปลี่ยวดาย แม้ดูเหมือนอยู่ตรงข้ามกันแต่ต่างก็ต้องพึ่งพากันและอาจสลับบทได้เรื่อยๆ เพราะเมื่อฝั่งที่เคยตอบสนองต่ออำนาจเริ่มขัดขืนและเพิกเฉย ก็เป็นไปได้ที่ฝ่ายที่เคยควบคุมได้จะขัดใจและเริ่มเรียกร้องสิ่งที่เคยได้รับราวกับเด็กน้อย อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็สามารถจะเริ่มใจอ่อนและตอบสนองกระทั่งวงจรการครอบงำได้เปลี่ยนศูนย์กลับมาที่เดิมอีก

3.

และรูปแบบเหล่านี้ก็สามารถเกิดซ้ำในพื้นที่นอกเหนือสัมพันธ์ของคู่รัก แต่แทนที่เราจะถามหาความสัมพันธ์ตามอุดมคติใดๆ มันอาจน่าสนใจกว่าที่จะเฝ้าสังเกต ด้วยความรู้สึกตัวว่า มีชั่วขณะไหนในชีวิตประจำวัน เช่น การเลี้ยงดูลูกหลาน การดูแลพ่อแม่ การปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง การบริหารทรัพย์สินเงินทอง ฯลฯ ที่เราปรารถนาจะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ ทำให้เขาเจ็บปวดอับอาย หรือสำนึกผิดและศิโรราบต่อเราโดยสิ้นเชิง ฯลฯ  

และมีชั่วขณะไหนบ้างที่เรารอคอย รู้สึกควรค่าและสาแก่ใจในการลิ้มรสการถูกลงทัณฑ์เช่นนั้น? ❄❄

อ้างอิง

The Gambler by Fyodor Dostoyevsky
Translated by C. J. Hogarth (https://www.gutenberg.org/files/2197/2197-h/2197-h.htm)
Sadomasochism in Everyday Relationships by Michael J. Formica EdM, NCC, LPC
The Fear of Freedom (1942) by Erich Fromm
“Masochism and Pathological Gambling” (March 2015), Psychodynamic Psychiatry 43(1):1-25 by Richard J Rosenthal

Tags:

การควบคุมgablerนักพนันซาโดมาโซคิสม์

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ทิ้งไว้ไหงจำได้เพิ่ม’ ความลับของสมองที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาการ…อยากลืมกลับจำ
Adolescent Brain
23 February 2022

‘ทิ้งไว้ไหงจำได้เพิ่ม’ ความลับของสมองที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาการ…อยากลืมกลับจำ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ปัจจุบันเรารู้กันแล้วว่า การหลงลืมและการจดจำได้ ไม่ใช่กระบวนการแบบแข็งๆ ตายตัว และปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ซึ่งค่อยๆ เสื่อมสลายหายไปตามเวลา แต่สมองจะมีการจัดระบบความจำ และดึงเอามาใช้งานให้เข้ากับสถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา
  • ‘ปรากฏการณ์บัลลาร์ด’ เกิดจากผลการทดลองที่พบว่า เด็กส่วนใหญ่จำได้ดีขึ้นในสองสามวันแรก โดยไม่ต้องมีการทบทวนใดๆ แต่หลังจากนั้นราววันที่ 4 โดยเฉลี่ย เด็กเริ่มจำได้น้อยลงเรื่อยๆ
  • ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างจำเพาะ นักประสาทวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การทิ้งช่วงดังกล่าวเกิดจากสมองเริ่มลืม ‘เรื่องที่ไม่สำคัญ’ และเริ่มจัดระเบียบย้ำเตือนบันทึก ‘เรื่องสำคัญ’ ลงไปได้ดีขึ้น

มีกราฟรูปหนึ่งที่หลายคนคงเคยได้เห็นกันมาแล้วเรียกว่า “กราฟการลืม (The Forgetting Curve)” ซึ่งวาดขึ้นจากผลการทดลองของ เฮอร์มานน์ เอบบิงฮอส (Hermann Ebbinghaus) และคณะ หน้าตาดังรูปข้างล่างนี้ ซึ่งสรุปได้คร่าวๆ ว่า ความจำของเราจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป 

โดยความจำในช่วงแรกจะลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือน้อยมากในที่สุด

Chart, line chart

Description automatically generated

กราฟการลืม. ที่มา: https://petramayerconsulting.com/the_forgetting_curve/

แต่กราฟนี้น่าจะติดท็อปกราฟที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดมากที่สุดในโลก เพราะมีการนำไปใช้อย่างผิดๆ โดยไม่รู้และไม่เข้าใจวิธีการทดลอง หรือไม่ก็เกิดความเข้าใจผิด จนมีการนำไปขยายผลนอกบริบท 

เฮอร์มานน์ เอบบิงฮอส ทดลองในช่วงทศวรรษ 1880 เพราะต้องการรู้ว่า ความจดจำของคนเราจะย่ำแย่ลงเพียงใด เมื่อเวลาผ่านไปในระดับหลายวันหรือหลายเดือน ประเด็นก็คือวิธีการทดลองของเขานี่แหละครับ เขาเลือกใช้คำที่ประกอบด้วยสระที่วางอยู่กลางพยัญชนะ 2 ตัว เช่น RUR, HAL, MEK, BES, SOK, DUS 

โดยทั้งหมดนั้นเลือกเอามาใช้แต่ ‘คำที่ไม่มีความหมาย’ 

คำเหล่านี้นำมาใช้ทดสอบโดยแต่คำละคำไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับคำอื่นๆ เลย อีกทั้งไม่มีรูปแบบการเรียงลำดับของคำที่แน่นอน หรือไม่มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบใดๆ ทั้งสิ้น เรียกว่าพยายามให้มีลักษณะสุ่มหรือไร้ความหมายและความเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิง 

รูปแบบคำทำนองนี้ สมองของเราจัดการได้ไม่ดีนัก เพราะมันไม่มีความหมายและความเชื่อมโยงหรือสัมพันธ์ใดเป็นพิเศษให้จดจำ 

ตัวเอบบิงฮอสเองก็ตั้งข้อสังเกตไว้ในผลงานตีกราฟการลืม. ที่มา: https://petramayerconsulting.com/the_forgetting_curve/

พิมพ์อย่างชัดเจนว่า กราฟอันโด่งดังของเขานี้อาจจะ “ไม่สามารถนำไปใช้ประยุกต์ใช้อะไรมากนัก นอกเหนือไปจากการทดลองที่สร้างขึ้นนี้” แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าเมื่อเวลาผ่านไปคนปัจจุบันจำนวนมากจดจำมันในฐานะกราฟแสดงการลืมเลือนอันเป็นสากลของ ‘ความทรงจำทั่วไป’—ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้นเลย!

ปัจจุบันเรารู้กันแล้วว่า การหลงลืมและการจดจำได้ ไม่ใช่กระบวนการแบบแข็งๆ ตายตัว และปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ซึ่งค่อยๆ เสื่อมสลายหายไปตามเวลา

แต่สมองจะมีการจัดระบบความจำ และดึงเอามาใช้งานให้เข้ากับสถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา ข้อมูลที่ใช้งานบ่อยหรือท่องจำซ้ำบ่อยๆ เช่น สูตรคูณหรือเบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเอง จะจดจำได้แม่นยำ ขณะที่ข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ จะมีการกรองออกไปเรื่อยๆ เช่น ข้อมูลหลายๆ อย่างในวัยเด็ก หรือเบอร์มือถือของคนที่นานๆ จะโทรหาก็จะเลิกจำ ย้ายไปพึ่งพาระบบความจำในมือถือแทน 

แต่ไม่ใช่ว่าข้อมูลพวกนี้จะหายไปอย่างสิ้นเชิง แค่จะดึงออกมาใช้งานได้ยากขึ้น หากมีโอกาสจะเล่าเรื่องกระบวนการบันทึกและดึงเอาความจำออกมาแยกต่างหากอีกทีนะครับ  

อีกราว 20 ปีให้หลัง ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีครูชาวอังกฤษและนักวิจัยชื่อ ฟิลิป บอสวูด บัลลาร์ด (Philip Boswood Ballard) ทำการทดลองกับลูกศิษย์ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของชนชั้นใช้แรงงานในชานเมืองด้านตะวันออกของลอนดอน และได้ผลลัพธ์ที่ทำให้คนในวงการศึกษางุนงงกันเป็นอย่างยิ่ง

เขาต้องการระบุให้ได้แน่ชัดว่า พวกลูกศิษย์ที่โดนตราหน้าว่าหัวทึบ เรียนไม่ได้เรื่องนั้น อันที่จริงน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่? มาจากหัวไม่ดี ไม่ตั้งใจเรียน หรือมีอะไรมารบกวนกระบวนการคิด และดึงเอาความทรงจำออกมาหรือเปล่า?

เขาออกแบบการทดลองหลายอย่าง หนึ่งในนั้นได้แก่การทดลองให้เด็กอ่านบทกวีชื่อ The Wreck of the Hesperus (การอัปปางของเฮสเพอรุส) ของกวีชื่อ เฮนรี แวดสเวิรธ ลองเฟลโลว์ (Henry Wadsworth Longfellow) ที่มีเนื้อหาดังนี้

At daybreak, on the bleak sea-beach,

A fisherman stood aghast, 

To see the form of a maiden fair, 

Lashed close to a drifting mast. 

The salt sea was frozen on her breast, 

The salt tears in her eyes; 

And he saw her hair, like the brown sea-weed, 

On the billows fall and rise. 

Such was the wreck of the Hesperus, 

In the midnight and the snow!

Christ save us all from a death like this, 

On the reef of Norman’s Woe!

ผลลัพธ์ที่ได้ตรงกันข้ามกลับที่คนส่วนใหญ่คาดไว้ เพราะเด็กๆ ไม่ได้แสดงว่ามีปัญหาเรื่องการรับรู้เลย และกลับได้ผลที่ตรงกันข้ามเลยคือ พอทิ้งช่วงการสอบวัดความจำ เด็กๆ กลับจำได้มากขึ้น!!! 

เล่าให้ละเอียดขึ้นอีกนิดคือ เขาให้เวลาเด็กๆ 5 นาที ในการพยายามจำกลอนบทนี้ให้ได้ หลังจากนั้นผ่านไป เขาทิ้งช่วงเวลาไว้ 5 นาที โดยไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษก่อนจะวัดความทรงจำของเด็กๆ 

ผลก็ตามคาด เด็กบางคนทำได้ดี บางคนก็ทำได้ไม่ดี ความแปลกไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่ตรงที่วิธีการทดลองต่อไป เพราะบัลลาร์ดต้องการรู้ว่าจะเป็นอย่างไร หากเวลาผ่านไปอีก เขาทดสอบเด็กๆ ในอีก 2 วันต่อมา โดยไม่บอกก่อนล่วงหน้า ด้วยวิธีนี้เขาก็คาดว่าไม่น่าจะมีเด็กคนไหนกลับไปท่องจำบทกลอนนี้เพิ่มเติมอีก 

คราวนี้เขาต้องประหลาดใจ เพราะผลการทดสอบแสดงว่า เด็กๆ ทำได้มากขึ้นกว่าการทดสอบก่อนหน้า 10%!  

เพื่อให้แน่ใจว่า “ไม่ฟลุก” เขาทดสอบเด็กกลุ่มเดิมในวันรุ่งขึ้นอีกครั้ง และพบว่ามีเด็กบางคนที่จำเพิ่มขึ้นจากตั้งต้น 15 วรรค เป็น 21 วรรค เมื่อทดสอบครบ 7 วัน อีกคนก็จำเพิ่มขึ้นจาก 3 วรรคเป็น 11 วรรค โดยเด็กคนนี้ตั้งข้อสังเกตว่า เขามองเห็นภาพตัวอักษรบนกระดานดำ (สมัยนั้นยังสอนโดยการเขียนบนกระดานดำอยู่) 

มีอีกคนที่จำได้เพิ่มจาก 9 วรรคเป็น 13 วรรคในอีกหลายวันให้หลัง เด็กคนดังกล่าวบอกคล้ายกันว่า “เมื่อเริ่มเขียน ผมก็เห็นภาพตัวอักษรปรากฏขึ้นบนกระดาษที่อยู่ตรงหน้า” 

บัลลาร์ดทดสอบกับเด็กๆ เพิ่มเติมอีกมากกว่า 10,000 คนในอีกหลายปีต่อมา ผลที่ได้ยังคงออกมาคล้ายคลึงกันคือ พวกเด็กส่วนใหญ่จำได้ดีขึ้นในสองสามวันแรก โดยไม่ต้องมีการทบทวนใดๆ ทั้งสิ้น แต่หลังจากนั้นราววันที่ 4 โดยเฉลี่ย เด็กๆ เริ่มจำได้น้อยลงเรื่อยๆ 

เขาตีพิมพ์ผลการทดลองที่พบใน ค.ศ. 1913 ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นเต้นและสับสนงุนงงในวงการเป็นอย่างมาก

เขาสรุปว่าเราไม่แค่มีแนวโน้มจะลืมสิ่งที่เคยจำได้เท่านั้น แต่เรายังมีแนวโน้มสามารถจดจำสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราเคยลืมไปแล้วได้ด้วยเช่นกัน!

มีคนข้องใจผลการทดลองของเอบบิงฮอสและบัลลาร์ด เพราะดูเหมือนจะขัดกันรุนแรง จึงมีการทำการทดลองซ้ำขนานใหญ่ เช่น การทดลองหนึ่งใน ค.ศ. 1924 ที่ใช้คนจำนวนมาก ทดลองโดยให้จำคำต่างๆ แล้ววัดความจำที่ 8 นาที, 16 นาที, 3 วัน และ 7 วัน ก็พบว่าความจำแย่ลงตามเวลา

หลังจากนั้นก็มีการทดลองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยังคาใจกันไม่เลิก แม้ว่าจะมีคนเชื่อผลการทดลองของบัลลาร์ดน้อยลงเรื่อยๆ แต่ด้วยการทดสอบที่รัดกุมมากพอ ในที่สุดก็ค้นพบความลับว่า ‘ปรากฏการณ์บัลลาร์ด’ หรือการที่จู่ๆ แม้ไม่มีการทบทวน แต่หลังจากการทดลองไปแล้ว 2-3 วัน กลับจำได้มากชึ้น เป็นเรื่องเกิดขึ้นอย่างจำเพาะ และขึ้นเป็นอย่างมากกับสิ่งที่นำมาใช้ทดสอบ โดยใช้ไม่ได้กับคำไร้ความหมาย 

แต่ในทางตรงกันข้าม หากใช้ภาพวาด ภาพถ่าย บทกวี หรือคำที่บรรยายให้เห็นภาพ จะเกิด ‘ฟองความจำ’ ผุดขึ้นมาหลังการทดสอบไปแล้ว 2-3 วันมากที่สุด ก่อนจะลดลงไปตามเวลาในที่สุด ดังนั้น การตรวจวัดที่ระดับนาทีหรือชั่วโมง สัปดาห์หรือเดือน จึงไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิงสำหรับความทรงจำในรูปแบบนี้  

ระบบความจำต่อสิ่งต่างๆ ของเราจึงไม่ได้มีเพียงแบบเดียว การจำเรื่องราวทั่วๆ ไป การจำเรื่องหรือคำที่ไร้ความหมายจำเพาะ และการจำรูปภาพหรือคำที่ทำให้เกิดจินตนาการ จึงมีธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป

จะเอาความรู้นี้มาประยุกต์ใช้ได้อย่างไร?

ไม่ว่าจะเป็นความจำรูปแบบใด การทบทวนสิ่งที่เรียนไปอย่างเหมาะสม เช่น นำมาทบทวนซ้ำในอีกสองสามวันถัดมา มีส่วนช่วยให้ความทรงจำที่เริ่มลดลงในบางกรณี และเริ่มกลับมาจำได้มากขึ้นในบางกรณี ได้กลายเป็น “ความทรงจำระยะยาว” มากยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ การแปลงคำที่ไร้ความหมาย (สำหรับผู้เรียน) หรือไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับตัวผู้เรียนมากนักให้กลายเป็นภาพ จะช่วยยืดเวลาความทรงจำได้อีกหน่อย เพราะจะระลึกขึ้นได้มากขึ้นใน 2-3 วันแรก  

นักประสาทวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การทิ้งช่วงดังกล่าวเกิดจากสมองเริ่มลืม ‘เรื่องที่ไม่สำคัญ’ และเริ่มจัดระเบียบย้ำเตือนบันทึก ‘เรื่องสำคัญ’ ลงไปได้ดีขึ้น  

การลืมจึงกลายมาเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการส่งเสริมความจำระยะยาวได้!    

Tags:

การจดจำสมองการลืม

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • digital-diet-nologo
    Adolescent Brain
    Digital Diet: สอนให้เด็กบริโภคสื่ออย่างสมดุลเพื่อพัฒนาสมองอย่างมีประสิทธิภาพ

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ‘อยากจำกลับลืม’ เข้าใจการทำงานของสมอง เพิ่มประสิทธิภาพการจดจำให้แม่นยำและยืนยาว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Education trend
    ‘ทั้งขำ ทั้งจำได้’ ประโยชน์ของอารมณ์ขันในห้องเรียน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    รู้ใจวัยรุ่น…ผ่านตัวตน สมอง และฮอร์โมน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Learning Theory
    เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า: เทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดีขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

self-awareness และ empathy ยาสามัญสำหรับคนป่วยใจ: เชื่อม ‘โลก’ ซึมเศร้า กับ  Eyedropper fill
Social Issues
23 February 2022

self-awareness และ empathy ยาสามัญสำหรับคนป่วยใจ: เชื่อม ‘โลก’ ซึมเศร้า กับ Eyedropper fill

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • แม้โรคซึมเศร้าจะถูกพูดถึงมากในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่พูดในเชิงการแพทย์ การรักษา ซึ่งอีกมุมหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เบสท์ – วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย และ นัท – นันทวัฒน์ จรัสเรืองนิล  แห่ง Eyedropper fill อยากจะสื่อสารก็คือ การพาคนไปฟังเสียงในใจของคนที่เผชิญกับภาวะนั้นจริงๆ และสืบหาไปพร้อมๆ กันว่าอะไรคือรากที่ทำให้พวกเขากลายเป็นเขาอย่างทุกวันนี้
  • ภายใต้คำว่า ‘โรคซึมเศร้า’ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องปัจเจก แต่เป็นร่องรอยของการเติบโต ภูมิหลังของครอบครัว สังคม ความสัมพันธ์หรือเศรษฐกิจ ทุกอย่างล้วนผลักไสให้คนที่กำลังป่วยใจมายืนอยู่ตรงนี้ ในจุดที่เป็นโรคซึมเศร้า
  • สิ่งที่ Eyedropper fill อยากจะสื่อสารให้ลึกที่สุดนั่นคือ empathy ไม่ใช่ empathy คนอื่นอย่างเดียว แต่ self-empathy ด้วยว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไร ต้องการอะไร ฟังเสียงของตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้นเราเองนี่แหละที่จะป่วยใจไปอีกคน

เมื่อพูดถึงความเจ็บป่วยทางใจหรือปัญหาสุขภาพจิต หนึ่งในกลุ่มอาการที่คนมักตกหลุมพรางกันคงหนีไม่พ้น ‘โรคซึมเศร้า (Depression)’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคจิตเวชที่ถูกระบุว่าเกิดจากสารเคมีในสมอง และวิธีการรักษาพื้นฐานก็คือการใช้ยา 

แต่หากลองตั้งคำถามกลับไปว่า ทำไมกันนะคนที่เป็นโรคซึมเศร้าถึงกลายเป็นพวกเขาในเวอร์ชันนั้น? แล้วพวกเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? เบสท์ – วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย และ นัท – นันทวัฒน์ จรัสเรืองนิล สอง CEO แห่ง Eyedropper fill ชวนสืบหาต้นสายปลายเหตุที่ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกอีกต่อไป รวมถึงเป็นกระจกสะท้อนให้เราหันกลับมามองจิตใจตัวเอง ผ่านโปรเจกต์ Conne(x)t ‘โลก’ ซึมเศร้า ด้วยความตั้งใจอยากเชื่อมโลกของเรากับคนข้างๆ ที่ซึมเศร้า ให้ทั้งเราและเขามี self-awareness ในตัวเอง โดยใช้รูปแบบภาพยนตร์สารคดีแบบจัดวาง (Immersive Documentary) เล่าเรื่องจากภาพถ่ายของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าในมุมมองของ 3 คน 3 ช่วงวัย กับ ‘Mental-Verse จักรวาลใจ’ ภายใต้งาน Bangkok Design Week 2022 ที่ผ่านมา

เพราะ Mental Health หรือ สุขภาพจิต สุขภาพใจ เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่ต้องใส่ใจพอๆ กับปากท้อง   

แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องราวของ Mental Health ขอแนะนำ Eyedropper Fill พอสังเขป ซึ่งหลายคนอาจคุ้นชื่อกันมาบ้างกับผลงาน School Town King หนังสารคดีที่สะท้อนปัญหาเรื่องโอกาสในการศึกษา และคุณภาพชีวิตของเด็กคลองเตย 

“เรานิยามตัวเองว่าเป็นนักออกแบบสหศาสตร์ หรือว่า multidisciplinary design studio ที่อยากจะสร้างโซลูชั่น เหมือนเป็นสะพานที่จะเชื่อมต่อให้คนหมู่มากเข้าใจคนหมู่น้อย รวมไปถึงเรื่อง social issues ต่างๆ ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ โดยใช้การออกแบบสื่อ ภาพเคลื่อนไหว นิทรรศการต่างๆ ในการนำเสนอผลงาน” นัท หนึ่งใน CEO เอ่ยถึง Eyedropper fill   

วัฒนธรรมครอบครัวประตูบานแรกของ ‘โรคซึมเศร้า’  

เราต่างเติบโตมาในครอบครัวที่แตกต่างกัน รวมถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านตามยุคสมัย ความผันผวนของเศรษฐกิจ และสังคมที่นิยามความสำเร็จว่าคือ เงินทอง หรือ การศึกษาระดับสูง 

‘It’s okay not to be perfect’ 

มัน ‘โอเค’ ที่จะบอกว่า ‘ไม่โอเค’  

สังคมไทย ‘ชายเป็นใหญ่’  

นี่คือสิ่งที่ 3 คน 3 วัย (Gen Z, Gen Y และเบบี้บูมเมอร์) สะท้อนปัญหาของตัวเองออกมา ซึ่งภายใต้คำว่า ‘โรคซึมเศร้า’ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องปัจเจก แต่เป็นร่องรอยของการเติบโต ภูมิหลังของครอบครัว สังคม ความสัมพันธ์หรือเศรษฐกิจ ทุกอย่างล้วนผลักไสให้คนที่กำลังป่วยใจมายืนอยู่ตรงนี้ ในจุดที่เป็นโรคซึมเศร้า 

“โรคซึมเศร้ามันควรจะเชื่อมไปสู่ประเด็นสังคมด้วย แต่เราไม่ได้ล็อกว่าสังคมแบบไหนที่ทำให้คนเหล่านี้เป็นซึมเศร้า เราใช้โปรเจกต์จักรวาลใจเป็นยานอวกาศในการเดินไปสู่จักรวาลนี้ไปพร้อมกัน ซึ่งสิ่งที่ทั้ง 3 คนสะท้อนมาคือ ‘วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่’ มีปัญหากับพวกเขา อย่างมินนี่เกิดปี 40 คุณพ่อเขาโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก เป็นลูกคนจีนแล้วก็ต้องดิ้นรนในยุคนั้น ต้องดูแลทั้งครอบครัว แล้วก็คาดหวังให้ลูกต้องสมบูรณ์แบบ ต้องไม่แพ้ และไม่ได้ซัพพอร์ท แต่เป็นการออกคำสั่ง ถ้าไม่ได้ตามนั้นจะโดนลงโทษทางวาจา ซึ่งทุกคนมีปมเรื่องพ่อหมดเลย” เบสท์ เล่า 

ตลอดเวลาการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง ในครอบครัวลักษณะนี้หรือในสังคมเช่นนี้ ตอกย้ำว่าเขาต้องอยู่รอดอย่างเดียว ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอสักที คำชมไม่ใช่สิ่งที่จะผลักดันให้ก้าวต่อไป แต่คำก่นด่าต่างหากที่จะทำให้คนๆ หนึ่งประสบความสำเร็จได้  

หรือจะเป็น ‘ฝัน’ ที่มีคุณพ่อเป็นครู และใช้วิธีการออกคำสั่งในการเลี้ยงดูลูก รวมถึงแม่นี แม่ของเบสท์เอง ที่ใช้ชีวิตคู่ในครอบครัวชายเป็นใหญ่และค่อนข้างเผด็จการ ถูกสอนด้วยค่านิยมในสังคมว่า ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี เชื่อฟังสามี หรือกระทั่งต้องกราบเท้าก่อนนอน สะท้อนถึงสถาบันครอบครัวที่ล้มเหลว วัฒนธรรมเช่นนี้แฝงอยู่ในทุกๆ มิติของสังคม ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือสังคมที่เราอยู่ในปัจจุบัน 

“แม่นีเองก็เพิ่งจะเข้าใจจริงๆ ว่า สิทธิของตัวเองอยู่ตรงไหน ถ้าไม่รักกันแล้ว ไม่โอเคกันแล้วเราก็แบ่งสเปซกันได้ หรือการมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีแล้วไม่กล้าหย่า อยากจะให้ลูกได้อะไรครบ แต่สุดท้ายแล้ว toxic relation ที่เกิดขึ้นมันมีสิ่งอื่นๆ ด้วย ทั้งการไฟต์กัน มันก็กระทบลูกอีก ตรงนี้ก็จะเห็นมิติชัดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องปิตาธิปไตยหรือว่าชายเป็นใหญ่อย่างเดียว” นัทเสริม

นัท – นันทวัฒน์ จรัสเรืองนิล

เพราะสังคมป่วยๆ ทำให้เราป่วยใจ

ในมุมมองของเบสท์นั้น ปัญหาสุขภาพจิตอย่างโรคซึมเศร้า นอกจากสะท้อนสถาบันครอบครัวแล้ว เราต้องมองถึงสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ด้วย 

“เราว่ามันเป็นสังคมที่กดทับผู้คน เป็นสังคมที่ powerless ทำให้เรารู้สึกว่าไร้ซึ่งอำนาจในตัวเอง อยู่ในบริษัทที่เจ้านายไม่ฟังลูกน้อง อยู่ในความสัมพันธ์ที่อีกคนนึงกดอีกคนนึง อยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่บอกให้ลูกต้องเป็นแบบนี้ๆ โรงเรียนให้ท่องค่านิยมให้เราต้องเป็นตามนั้น อยู่ในสังคมที่มันไม่ empower เรื่องวอยซ์เลย

นั่นแหละมันเลยทำให้มนุษย์เกิดสภาวะของการไร้ซึ่งอำนาจในตัวเอง ไม่มีความสามารถที่จะรู้สึกว่าตัวเองดีพอ” 

“รวมไปถึงเศรษฐกิจปัจจุบันด้วย ถ้าพูดว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นมันไม่จริง เพราะต่อให้เราพยายามขนาดไหนในประเทศนี้ที่มันมีเพดานชัดเจน ซึ่งเราคิดว่านั่นแหละมันไปเชื่อมประเด็นสังคมในแบบที่มันไม่ empower แม้กระทั่งอำนาจหรือพลังที่จะรักตัวเองยังไม่มีเลย เพราะเราไม่ได้ถูกปลูกฝัง ทำให้เราเหมือนกับถูกกดขี่แบบนึง” 

“ซึ่งคนไทยจริงๆ ถูกกดขี่หลายรูปแบบ ครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง ที่แบบมันกระทำเราในทุกๆ มิติ แล้วสุดท้ายสิ่งที่เราเห็นบนยอดภูเขาน้ำแข็งคือความป่วยไข้ที่เป็นโรค จริงๆ แล้วภายใต้โรคถ้าค่อยๆ สืบลึกลงไป 3 สเต็ป หนึ่ง Biology อะไรที่ทำให้เกิดโรคบ้าง เช่น นอนไม่พอ แล้วเรานอนไม่พอเกิดจากอะไร เกิดจากเศรษฐกิจที่กำลังแย่ โควิด-19 การไม่มี wellbeing ไม่มี work life balance เพราะต้องใช้งานร่างกายอย่างหนัก แลกกับการอยู่รอดในสังคมนี้ ลึกลงไปอีกสเต็ปหนึ่งคือ mental มันทำอะไร เริ่มรู้สึกแย่ หดหู่ ลึกลงไปอีกเป็นเรื่องของสังคมหรือปัจจัยครอบครัวที่ผลักให้เขาเป็นอย่างนี้”  

เบสท์ – วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย

Self-awareness คือทางออกสำหรับปัญหาสุขภาพจิตของคนในสังคม 

“เรามองว่าสังคมในประเทศที่เราโตมา มันไม่มี empathy มันเหมือนคนไทยมีน้ำใจ แต่ empathy ไม่ใช่การมีน้ำใจอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของระบบที่มันไม่ได้ empathy เรา มันสั่งเราอย่างเดียว ไม่เคยถามเราด้วยซ้ำว่าเราต้องการอะไร ระบบการศึกษาก็ไม่เคยถามเรา ก็เลยคิดว่าลึกที่สุดเราอยากจะสร้าง empathic society สังคมที่เห็นใจกัน เราก็ไม่ได้หวังว่าจะไปกระทำกับผู้นำอย่างเดียว เรามองว่าคนที่มาดูงานซึ่งทำโพลออกมาแล้วเป็นเด็กประมาณ 18-30 ต้นๆ คนพวกนี้อนาคตเขากำลังจะโตไปเป็นคนที่สร้างสังคมให้กับเราอยู่ ถ้าเราหยอด เราเรียกว่ามันเป็นยาเข้าไปเยอะๆ มันก็อาจจะทำให้ในวันหนึ่งเราได้อยู่ในสังคมที่มีคนที่มีมายเซ็ตนี้อยู่ เขาไม่ลืมคลองเตย ไม่ลืมคนที่เป็นโรคซึมเศร้า” เบสท์พูดถึงโซลูชั่นแรกที่ค้นพบจากการทำโปรเจกต์จักรวาลใจครั้งนี้ 

“จะเห็นได้ว่าโซลูชั่นมีแต่ฝั่งเยียวยา ไม่มีฝั่งรักษา เพราะว่าถ้ารักษาได้มันต้องคนที่สามารถทำได้จริงๆ คนที่เปลี่ยน แล้วพลังของคนที่เราทำให้เข้าใจนี่แหละน่าจะเป็นจุดนึงที่ทำให้เปลี่ยนได้ แต่เราก็อาจจะไม่ได้มองเป็นโซลูชั่นในการรักษาทุกอย่าง ให้โลกทุกคนมันสดใสกว่านี้ มันก็อาจจะทำไม่ได้ แต่เป็นการให้เข้าใจ โซลูชั่นคือการเข้าใจกัน และก็เยียวยาตัวเอง นั่นแปลว่าปัญหามันไม่หายไปหรอก” นัท แสดงความเห็น  

อย่างไรก็ตาม แม้การจัดแสดงภาพยนตร์ mental-verse จักรวาลใจ จะจบลงไปแล้ว แต่ข่าวดีคือในเดือนเมษายนนี้ Eyedropper fill จะมีการนำมาจัดแสดงใหม่อีกครั้ง ในพื้นที่ออนกราวด์

“ซึ่งก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ดูหนังเสร็จแล้วจบ เราอาจจะมีปาร์ตี้ อาจจะมีไลฟ์มิวสิก หรืออาจจะมีงาน collaborate เพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ เพราะจากที่สังเกตเวลาดูจบเห็นคนเดินออกมา บางคนก็ดูเครียด บางคนก็โอเคนิ่งๆ เดินออกไป เราก็แอบจะอยากมี intermission ที่จะจบจากงานแล้วออกไปข้างนอก อาจจะมีสันทนาการเข้ามาอีกหน่อยนึง” นัท เล่า

“อีกส่วนที่เราอยากทำต่อคือ mental-verse 2 หลังจากที่เราค้นพบสามคนนี้แล้วเราจะทำอีกสี่คน เป็นผู้ชายล้วนเลย เป็น mental-verse ที่เป็น men ผู้ชาย เพราะเราก็ค้นพบว่า จากสถิติการเป็นโรคซึมเศร้าที่บอกว่าผู้ชายเป็นน้อยกว่าผู้หญิง แต่จริงๆ เราว่าไม่ อัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าผู้หญิงเยอะเลย แสดงว่าช่องว่างตรงนี้คืออะไร เราอยากให้โปรเจกต์นี้พาทีมงานเข้าไปเข้าใจ เราว่าสุดท้ายมันเป็นเรื่องวัฒนธรรมแหละที่เป็นเหมือนกับผู้ชายห้ามร้องไห้ ผู้ชายห้ามอ่อนแอ ต้องเป็นผู้นำ ซึ่งสุดท้ายมันก็ทำร้ายผู้ชาย แล้วก็ไปแสดงออกด้วยการกินเหล้า ทำร้ายร่างกาย domestic violence หรือความรุนแรงในครอบครัว หรือว่าแสดงความโกรธเกรี้ยวต่อลูก เราว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่เราได้เรียนรู้” เบสท์ เสริม

ไม่ว่าจะ Conne(x)t Klongtoey หรือ Conne(x)t ‘โลก’ ซึมเศร้า สิ่งที่ Eyedropper fill อยากจะสื่อสารให้ลึกที่สุดนั่นคือ empathy ไม่ใช่ empathy คนอื่นอย่างเดียว แต่ self-empathy ด้วยว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไร ต้องการอะไร ฟังเสียงของตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้นเราเองนี่แหละที่จะป่วยใจไปอีกคน

Tags:

สุขภาพจิตซึมเศร้าความเข้าอกเข้าใจ(empathy)Eyedropper Fillself-awareness

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • emotional corrective experience-cover
    Healing the trauma
    บาดแผลทางใจอาจลึกเกินกว่าจะเยียวยาด้วยความคิด การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดที่ความรู้สึกด้วย (emotional corrective experience)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

อินโทรเวิร์ต: อยู่เงียบๆ แต่ไม่เงียบเหงา
How to enjoy life
22 February 2022

อินโทรเวิร์ต: อยู่เงียบๆ แต่ไม่เงียบเหงา

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คน ‘อินโทรเวิร์ต’ ดูเงียบๆ ทึมๆ เลยอาจจะดูเหมือนเป็นคนไม่มีความสุข แต่ไม่ได้แปลว่าจะมีสุขภาพจิตไม่ดีเสมอไป เพราะความสุขในแบบของคนอินโทรเวิร์ตที่มักจะอยู่ในรูปแบบของความสงบ อย่างการได้นั่งทำอะไรเงียบๆ คนเดียว ซึ่งตรงกันข้ามกับคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต
  • ในแง่ของความสัมพันธ์ แม้ว่าคนอินโทรเวิร์ตจะดูเหมือนใช้ชีวิตแบบเงียบเหงาเพราะไม่ค่อยชอบเข้าสังคม แต่ไม่ได้แปลว่าชีวิตด้านนี้จะไม่ดี หรือจะเหงากว่าคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต เพราะคนอินโทรเวิร์ตมักจะเน้นที่ความสัมพันธ์กับคนสนิทเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเจอคนเยอะๆ
  • สิ่งแวดล้อมส่งเสริมให้เราทำตัวแบบเอ็กซ์โทรเวิร์ตมากกว่าอินโทรเวิร์ต ในห้องเรียนจะนั่งเรียนเงียบๆ ไม่ได้ ต้องคอยตอบหรือถามคำถาม ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้คะแนนการมีส่วนร่วม หรือในที่ทำงานก็ต้องทำหมั่นทำความรู้จักคนใหม่ๆ หมั่นหาคอนเนคชัน ค่านิยมนี้เองที่สังคมกดดันให้คนอินโทรเวิร์ตไม่มีความสุขกับชีวิตการเรียนและการทำงานบางประเภท

หากเราเลื่อนผ่านเพจหรือนิตยสารที่พูดถึงเรื่องจิตวิทยา สังคม หรือไลฟ์สไตล์ เราอาจจะเคยเห็นคำว่า ‘อินโทรเวิร์ต’ มาบ้าง และคำนี้ก็เป็นคำที่ทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจกันพอสมควรทีเดียว 

คนอินโทรเวิร์ตนั้นตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจคือคนที่ชอบเก็บตัว ไม่ชอบออกไปสังสรรค์ ชอบอยู่บ้านทำกิจกรรมเงียบๆ คนเดียวอย่างอ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ เล่นเกมแนวแบบไม่ต้องคุยกับใคร ซึ่งในสายตาของหลายๆ คนมักจะรู้สึกว่าคนอินโทรเวิร์ตดูปิดกั้นตนเองเกินไปหรือเปล่า ใช้ชีวิตมืดหม่นเงียบเหงาเกินไปไหม เป็นแบบนี้จะมีความสุขหรือ ทำไมไม่รู้จักปรับตัวออกไปสังสรรค์ ออกไปเปิดหูเปิดตาสู่โลกภายนอกบ้าง วันนี้เราจะมีดูทฤษฎีและงานวิจัยของจิตวิทยากันครับว่า จริงๆ แล้วคนอินโทรเวิร์ตนั้นแท้จริงแล้วคืออะไร คนอินโทรเวิร์ตมีความสุขน้อยกว่าจริงหรือ และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่

มนุษย์เรานั้นถึงจะมีส่วนเหมือนกันเยอะแต่ก็มีส่วนที่แตกต่างพอสมควรโดยเฉพาะเรื่อง ‘นิสัยใจคอ’ จิตวิทยาที่เป็นศาสตร์มุ่งอธิบายว่ามนุษย์นั้นคิดหรือทำสิ่งใดเพราะอะไรเลยจำเป็นต้องใส่ใจความแตกต่างของมนุษย์ไว้ด้วย ในวงการจิตวิทยาหัวข้อดังกล่าวใช้คำว่า ‘บุคลิกภาพ’ (personality) ซึ่งก็คือความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยคนที่มีบุคลิกภาพต่างกันเมื่อเจอกับสถานการณ์หรือรับรู้สิ่งต่าง จะคิดหรือทำตอบสนองต่อสิ่งที่เจอไม่เหมือนกัน 

ตัวอย่างที่เราคุ้นเคยคือ บุคลิกภาพด้านการมองโลกในแง่ดีกับมองโลกในแง่ร้าย หากเจอเหตุการณ์เดียวกัน เช่น ทำเอกสารงานหาย คนมองโลกในแง่ดีอาจจะคิดว่านานๆ ก็ฟาดเคราะห์บ้างไม่เป็นไร ไม่เครียดเท่าไหร่ แต่คนมองโลกในแง่ร้ายอาจจะโทษตัวเองที่เลินเล่อ เครียดหนัก คิดมากไปหลายวัน (อ่านเพิ่มเติมที่ link บทความ: มองโลกแบบไหนถึงเรียกว่าในแง่ร้าย: https://thepotential.org/life/personality-of-pessimism/) บุคลิกภาพอีกด้าน เช่น รูปแบบความผูกพัน ถ้าสมมติไปเห็นแฟนเดินกับคนอื่น ที่ถ้าหากมีบุคลิกภาพด้านวิตกกังวลสูงก็จะรู้สึกหึงหวงมาก ระแวงว่าอีกฝ่ายจะไม่รักมากกว่าคนที่มีบุคลิกภาพด้านนี้น้อยกว่า (อ่านเพิ่มเติมที่ link บทความ: เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก: https://thepotential.org/life/relationship-attachment-theory/) 

บุคลิกภาพนั้นเป็น ‘แนวโน้ม’ คืออาจจะไม่ได้ตอบสนองแบบเดียวกันทุกครั้ง แต่มักจะเป็นแบบนั้น เช่นตัวอย่างเดิม คนมองโลกในแง่ดีก็อาจจะคิดมากตอนทำเอกสารงานหายเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เป็นแบบนั้นบ่อยเหมือนคนมองโลกในแง่ร้าย และบุคลิกภาพคือสิ่งที่ค่อนข้างคนทน เปลี่ยนได้ยาก อาจจะใช้เวลาหลายปีถึงจะเปลี่ยนได้ บางครั้งอาจเปลี่ยนไม่ได้เลย บุคลิกภาพ ‘ด้าน’ หรือ ‘มิติ’ ที่แตกต่างกันนั้นจะเป็นอิสระต่อกันหรือเกี่ยวพันกันเล็กน้อยเท่านั้น เช่น คนที่มองโลกในแง่ร้ายจะมีรูปแบบความผูกพันด้านวิตกกังวลที่สูงหรือต่ำก็ได้ หรือคนอินโทรเวิร์ตก็มีทั้งคนที่มองโลกในแง่ดีและแง่ร้าย 

มิติหรือด้านของบุคลิกภาพนั้นมีมหาศาล แต่นักจิตวิทยาก็พยายามหาบุคลิกภาพด้านหลักๆ ที่สำคัญ เพื่อแบ่งคนออกเป็นกลุ่มไม่ยิบย่อยจนเกินไป และหนึ่งในด้านหลักๆ 5 ด้านที่ได้รับความนิยมและยอมรับในแวดวงจิตวิทยาที่สุดนั้นเรียกว่า ‘Big 5’ โดย ด้านแรกใน Big 5 ชื่อว่า ‘Surgency’ ซึ่งก็คือการแบ่งว่าคนนั้นเป็นคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต (extrovert หรือ ‘เปิดตัว’) หรืออินโทรเวิร์ต (introvert หรือ ‘เก็บตัว’) ที่เรากำลังพูดถึงนั่นเอง มาลองอ่านด้านล่างแล้วจินตนาการดูนะครับว่าเราหรือและคนรอบตัวมีบุคลิกภาพด้านนี้แบบไหน

คนที่มีบุคลิกภาพแบบเอ็กซ์โทรเวิร์ต จะเป็นคนพูดเก่ง ชอบเข้าสังคม ชอบคนเยอะๆ ชอบความครึกครื้น ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ชอบผจญภัย คนที่มีบุคลิกภาพแบบนี้เหมือนได้รับพลังงานจากสิ่งภายนอก ดังนั้นเลยต้องแสวงหาสิ่งใหม่ๆ คอยเข้าสังคม สังสรรค์ ให้รู้สึกไม่เฉื่อย ไม่เนือย

คนที่มีบุคลิกภาพแบบอินโทรเวิร์ต จะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม ไม่ชอบพบคนแปลกหน้า เป็นคนระแวดระวัง ไม่ชอบเสี่ยง ไม่ชอบเสียงดัง คนที่มีบุคลิกภาพแบบนี้เหมือนเสียพลังงานไปกับสิ่งภายนอก การได้อยู่เงียบๆ เลยจะทำให้รู้สึกดีกว่า

เอ็กซ์โทรเวิร์ตและอินโทรเวิร์ตนั้นเป็นมิติเดียวกัน ลองจินตนาการเหมือนสีขาวและสีดำที่อยู่คนละฝั่งกัน ซึ่งความเข้มข้นของการมีบุคลิกด้านดังกล่าวแต่ละคนนั้นก็มากน้อยต่างกันไป 

หากเอ็กซ์โทรเวิร์ตมากก็จะหมายถึงอินโทรเวิร์ตน้อย คนส่วนใหญ่นั้นไม่มีใครอยู่ฝั่งดำหรือขาวร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มักจะอยู่ในพื้นที่สีเทา คนที่เอ็กซ์โทรเวิร์ตก็เทาเข้มๆ คนอินโทรเวิร์ตก็อาจจะเทาจางๆ คนที่อยู่ฝั่งดำเข้มมากๆ หรือแทบจะขาวจั๊วะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือแล้วทำไมคนเราถึงเกิดมาอินโทรเวิร์ตหรือเอ็กซ์โทรเวิร์ต ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบที่ฟันธง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จากสถิติพบว่า ส่วนหนึ่งบุคลิกด้านนี้สืบทอดจากพันธุกรรม และอีกส่วนมาจากการเลี้ยงดู ในแง่ของกลไกทางร่างกาย งานวิจัยพบว่าคนที่มีบุคลิกภาพด้านนี้แตกต่างกันจะมีความแตกต่างของสรีระสมองในส่วนตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น คำว่ากระตุ้นนั้นหมายถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว ตื่นเต้นน่ะครับ เช่น เสียง ถ้าเสียงเพลงเบาๆ ก็อาจจะไม่ได้กระตุ้นมาก อาจจะฟังแล้วหาวด้วยซ้ำ แต่ถ้าเสียงดังก็อาจจะทำให้ครึกครื้นขึ้นหน่อย แต่ถ้าเสียงดังมากเกินไปก็อาจจะเริ่มเครียด ตื่นตัวเกินไปจนรู้สึกแย่ สิ่งที่เรารับรู้ต่างๆ นั้นก็มีระดับของว่ากระตุ้นเราเบาๆ หรือรุนแรง อย่างเช่น ภาพทิวทัศน์ในเมืองของเราก็อาจจะไม่ได้กระตุ้นมากเท่าภาพสถานที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อน การเจอคนที่เจอกันทุกวันก็ไม่กระตุ้นเรามากเท่าเจอคนแปลกหน้า การได้ทำสิ่งเดิมๆ ก็ไม่ได้กระตุ้นเท่าทำสิ่งใหม่ๆ ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์เราจะรู้สึกดีถ้าได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม หากน้อยไปก็จะรู้สึกเบื่อ รู้สึกเนือย ง่วงเหงา หาวนอน แต่ถ้ามากเกินไป ก็จะเครียด ใจเต้นแรง กระสับกระส่าย

ประเด็นคือสมองของคนอินโทรเวิร์ตนั้นจะมีระดับการกระตุ้นที่เหมาะสมต่ำกว่าคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต  ยกตัวอย่างเช่น การฟังเพลง สมมติว่าวิทยุเร่งเสียงได้ 10 ระดับ คนอินโทรเวิร์ตอาจจะรู้สึกว่าเปิดแค่ 4-5 ก็ดังพอแล้ว มากกว่านี้จะเริ่มหนวกหูเพราะไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่า แต่คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตที่ไวน้อยกว่าอาจจะรู้สึกว่าแค่ 4-5 มันเบาเกินไป ฟังแล้วจะหลับ ขอ 8-9 เลยแล้วกันกำลังดี แต่ถ้าเสียง 8-9 คนอินโทรเวิร์ตจะรู้สึกหนวกหูจนฟังไม่เพราะ จากความแตกต่างในด้านนี้เราเลยทำให้การใช้ชีวิตของคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตและอินโทรเวิร์ตแตกต่างกันไป คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตเลยต้องหาสิ่งกระตุ้นมากๆ แรงๆ จึงจะอยู่ในระดับพอดี ก็เลยชอบเสียงดังๆ ชอบเจอคนแปลกหน้า ชอบความตื่นเต้น ชอบเสี่ยง เพราะถ้าเจอสิ่งกระตุ้นเบากว่านี้พวกเขาจะรู้สึกเฉื่อย เนือย ง่วง ต้องขอไปครึกครื้น สังสรรค์ เข้าสังคม ตรงกันข้ามกับคนอินโทรเวิร์ต ที่เสียงไม่ต้องดังมากก็ถือว่าพอแล้ว การเจอคนแปลกหน้า หรือความตื่นเต้นต่างๆ มันกระตุ้นพวกเขาจนเยอะเกินไป พวกเขาเลยชอบอยู่ในที่เงียบๆ และทำกิจกรรมที่ไม่กระตุ้นมากนัก เช่น นั่งอ่านหนังสือคนเดียว

คำถามสำคัญที่เราถามไว้คือแล้วเอ็กซ์โทรเวิร์ตหรืออินโทรเวิร์ตแบบไหนที่ดีกว่ากัน ส่วนหนึ่งเพราะคนอินโทรเวิร์ตดูเงียบๆ ทึมๆ เลยอาจจะดูเหมือนเป็นคนไม่มีความสุข นักจิตวิทยาก็วิจัยเพื่อหาคำตอบนี้ครับ หากดูจากสถิติแล้วพบว่าคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตมักมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าคนอินโทรเวิร์ต ซึ่งก็อาจจะแปลว่าเอ็กซ์โทรเวิร์ตมีความสุขมากกว่า มีการวิจัยเรื่องนี้ต่อและพบว่าการเป็นคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่มีสุขภาพจิตดีกว่า แต่รูปแบบการใช้ชีวิตของเอ็กซ์โทรเวิร์ตนั้นมีกิจกรรมหลายอย่างที่เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิต เช่น การที่คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตชอบออกไปพบเจอผู้คนบ่อยๆ นอกจากนี้เนื่องจากคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตมักจะพยายามหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ หาความสุขในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอและความพยายามนี้เลยทำให้คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตคงอารมณ์ดีไว้ได้นานกว่า หากเทียบกับคนอินโทรเวิร์ตแล้วกิจกรรมเหล่านี้มักไม่ใช่ตัวเลือกที่นิยมนัก อย่างไรก็ตามถึงคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตคงอารมณ์ที่ดีไว้ได้ดีกว่าจริง แต่บุคลิกภาพด้านนี้ไม่ได้ทำนายว่าจะมีความสุขหรือทุกข์ง่ายกว่า 

อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยาให้ข้อสังเกตไว้ว่า ผลงานวิจัยนี้อาจไม่ได้แปลว่าคนอินโทรเวิร์ตจะสุขภาพจิตไม่ดีเสมอไป บางครั้งการวัดสุขภาพจิตหรือความสุขอาจจะคลาดเคลื่อนในงานวิจัย เพราะความสุขของคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตนั้นแสดงออกชัดเจน คือ การสังสรรค์รื่นเริง แต่ความสุขในแบบของคนอินโทรเวิร์ตที่มักจะอยู่ในรูปแบบของความสงบ อย่างการได้นั่งทำอะไรเงียบๆ คนเดียวนั้นอาจจะไม่ถูกตีความว่าเป็นความสุขในงานวิจัยเหล่านั้นก็ได้ 

นอกจากนี้ในแง่ของความสัมพันธ์ แม้ว่าคนอินโทรเวิร์ตจะดูเหมือนใช้ชีวิตแบบเงียบเหงาเพราะไม่ค่อยชอบเข้าสังคม แต่ไม่ได้แปลว่าชีวิตด้านนี้จะไม่ดี หรือจะเหงากว่าคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต เพราะคนอินโทรเวิร์ตมักจะเน้นที่ความสัมพันธ์กับคนสนิทเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเจอคนเยอะๆ แบบคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต เพียงแค่เจอคนที่สนิทเพียงไม่กี่คนก็ทำให้คนอินโทรเวิร์ตมีความสุข และหายเหงาแล้ว ยิ่งอายุมากประเด็นนี้จะยิ่งชัดเจน เพราะความสุขในด้านการเข้าสังคม การไปสังสรรค์ของคนจะลดตามอายุ และคนที่มีความสุขในความสัมพันธ์คือมีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ คือมีคนที่สนิทชิดใกล้จริงๆ ไม่ใช่การไปเจอคนจำนวนมากๆ ดังนั้นในเรื่องของความสุขและสุขภาพจิตแล้ว เราจะเห็นว่าบุคลิกด้านนี้แต่ละแบบต่างก็มีความสุขได้ แต่อาจจะอยู่ในรูปแบบต่างกัน

ประเด็นหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าคนอินโทรเวิร์ตเป็นบุคลิกภาพไม่ดีนั้นเป็นปัจจัยทางสังคมหรือเรื่องค่านิยมมากกว่าครับ รูปแบบชีวิตในสังคมปกติมักจะสอดคล้องกับคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตมากกว่า 

คนในอุดมคติของสังคมมักมีภาพที่กล้าคิดกล้าแสดงออก ต้องเข้าสังคมเก่ง รู้จักคนใหม่ๆ เสมอ ต้องออกจากคอมฟอร์ตโซนหมั่นหาสิ่งใหม่ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนอินโทรเวิร์ตไม่ชอบ 

แต่ค่านิยมก็เป็นสิ่งที่คนจำนวนมากคิด ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป หากเทียบแล้วเหมือนค่านิยมที่บอกว่าคนเราจะมีความสุขหรือประสบความสำเร็จในชีวิตก็ต่อเมื่อมีตำแหน่งการงานสูงๆ ต้องแต่งงาน มีบ้านของตนเอง ต้องมีชื่อเสียง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้การันตีว่าผู้ที่มีจะมีความสุขและรู้สึกประสบความสำเร็จจริงๆ 

อย่างไรก็ตามเพราะสิ่งแวดล้อมมักจะส่งเสริมให้ทำตัวแบบเอ็กซ์โทรเวิร์ตมากกว่าแบบอินโทรเวิร์ต อย่างในห้องเรียนก็จะนั่งเรียนเงียบๆ ไม่ได้ ต้องคอยตอบหรือถามคำถาม ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับคะแนนการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน หรือในที่ทำงานก็ต้องทำหมั่นทำความรู้จักคนใหม่ๆ หมั่นหาคอนเนคชัน ต้องไปงานเลี้ยงบริษัท และค่านิยมเหล่านี้เองที่สังคมกดดันให้คนอินโทรเวิร์ตไม่มีความสุขกับชีวิตการเรียนและการทำงานบางประเภท 

แม้มนุษย์ควรปรับตัวให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ควรถึงขั้นกดดันให้ตัวเองต้องเปลี่ยนจนไม่ใช่ตัวของตัวเอง ทำแค่ให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับหน้าที่ก็เพียงพอแล้ว อย่าถึงขั้นต้องจากที่เกลียดการไปงานเลี้ยงก็ต้องโหมไปมันทุกงานไม่ปฏิเสธ ต้องฝืนไปทักคนนั้นคนนี้ที่ไม่รู้จัก อยากนั่งอยู่บ้านเงียบๆ วันหยุดก็ต้องฝืนใจออกไปข้างนอก ถ้ามันขัดแย้งกับบุคลิกของเรามากๆ การฝืนบ่อยๆ จะยิ่งกดดันและยิ่งเป็นผลเสียมากกว่าครับ

 นอกจากนี้การเป็นคนอินโทรเวิร์ตไม่ได้มีแต่ข้อที่ด้อยกว่าคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตอย่างที่สังคมรับรู้ นักจิตวิทยาวิจัยและพบข้อดีของบุคลิกภาพแบบอินโทรเวิร์ตมากมาย เช่น คนอินโทรเวิร์ตมักจะเป็นคนพูดน้อย แต่ก็มักจะเป็นผู้ฟังที่ดี และถึงแม้จะไม่ชอบทำความรู้จักคนแปลกหน้าและมีรู้จักคนน้อย แต่คนอินโทรเวิร์ตให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่สนิทอย่างลึกซึ้ง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นคุณลักษณะที่ดีของการมีความสัมพันธ์ที่มีความสุขครับ นอกจากนี้ในแง่ของการทำงานอินโทรเวิร์ตเป็นคนคิดเยอะ คิดมาก แต่นั่นก็มักทำให้เป็นผู้ที่วิเคราะห์ได้ลึกได้ละเอียด และยังมุ่งความสนใจในเรื่องที่กำลังทำอยู่ได้นาน ไม่เบื่อง่าย นอกจากนี้คนอินโทรเวิร์ตมักจะไม่ทำอะไรเสี่ยงจนเกินเหตุ เวลาทำอะไรก็มักจะรอบคอบกว่าหากเทียบกับคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตที่บางครั้งกล้าเสี่ยงจนเกินไป 

หลายๆ ครั้งบางคนหรือสังคมเข้าใจผิดว่าคนที่ทุกข์ตรม มืดมน เงียบเหงา ไม่กล้าเข้าสังคม นั้นเรียกว่า ‘อินโทรเวิร์ต’ แต่อย่างที่เราคุยกันไว้แล้วว่าคนอินโทรเวิร์ตไม่ได้แปลว่าต้องนั่งเป็นทุกข์ เงียบเหงาแต่อย่างใด 

คนอินโทรเวิร์ตต้องการสังคม แต่ไม่ต้องมาก ขอเน้นแค่คนสนิท และไม่ต้องการแสงสีเสียงมากเกิน ขอแบบซอฟต์ๆ เช่น นั่งฟังเพลงเบาๆ นั่งทำสวนหย่อมในบ้าน ไม่ได้แปลว่านั่งนิ่งๆ ไปเรื่อยๆ ไม่คิดจะทำอะไร ซังกะตายไปวันๆ จะคนอินโทรเวิร์ตหรือเอ็กซ์โทรเวิร์ตต่างก็มีวิธีที่จะทำให้ตนเองมีความสุข ดังนั้นหากเรารู้สึกว่าเราเป็นทุกข์ อย่าคิดว่านั่นคือบุคลิกภาพของเราที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราอาจจะอยู่ในภาวะปัญหาทางสุขภาพจิตหรือปัญหาอื่นๆ ที่เราอาจจะแก้ไขให้มีความสุขขึ้นได้ หากหาคำตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร อย่าเก้อเขิน หรือกลัวที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์นะครับ 

ส่งท้ายกันด้วยสิ่งที่อยากเน้นอีกรอบคือบุคลิกภาพเป็นแนวโน้ม ไม่ได้แปลว่าคนอินโทรเวิร์ตจะไม่เข้าสังคมเลย วันๆ เอาแต่อยู่คนเดียวตลอดเวลา คนอินโทรเวิร์ตก็อาจจะอยากไปสังสรรค์บ้างนานๆ ครั้ง หรือคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตก็มีช่วงเวลาที่อยากอยู่เงียบๆ และผลงานวิจัยของนักจิตวิทยาที่ผมเล่ามานั้นคือการวิเคราะห์ทางสถิติในภาพรวม นั่นแปลว่ามีโอกาสสูงที่คนเอ็กซ์โทรเวิร์ตหรืออินโทรเวิร์ตจะมีข้อดีหรือข้อเสียดังกล่าว แต่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแบบนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ 

และท้ายสุดคือบุคลิกภาพนั้นคือความแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องถูกผิด เราจะเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ตหรืออินโทรเวิร์ต ต่างมีสิ่งที่เหมาะและไม่เหมาะกับเรา ที่เราควรทำคือหาทางที่เหมาะกับบุคลิกภาพซึ่งจะทำให้เรามีความสุขครับ

อ้างอิง

Buecker, S., Maes, M., Denissen, J. J., & Luhmann, M. (2020). Loneliness and the Big Five personality traits: A meta–analysis. European Journal of Personality, 34(1), 8-28.

Larsen, R. J., & Buss, D. M. (2008). Personality psychology: Domains of knowledge about human nature. New York: McGraw-Hill.

Lischetzke, T., & Eid, M. (2006). Why extraverts are happier than introverts: The role of mood regulation. Journal of personality, 74(4), 1127-1162.Walsh, B. (2012). The upside of being an introvert (and why extroverts are overrated). Time Magazine, 40-45.

Tags:

ความสุขความสัมพันธ์อินโทรเวิร์ต (Introvert Personality)บุคลิกภาพ

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • loneliness-nologo
    How to enjoy life
    ‘ภัยเงียบของความเหงา’ เมื่อคนมากมายไม่อาจเติมช่องว่างทางความรู้สึก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • platonic
    Relationship
    เพื่อนสนิทในที่ทำงานมีจริงไหม? ทำความเข้าใจมิตรภาพในที่ทำงานผ่านแนวคิด Platonic Love

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    New Year’s Resolutions: อ่าน 7 เล่ม เพื่อเป็นตัวเราที่ดีกว่าเดิม

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Myth/Life/Crisis
    ‘ครอบครัว’ ที่ไม่เป็นไปตามขนบ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

MAID: อยากหลุดจากวงจรแย่ๆ ไม่สร้างบาดแผลให้คนอื่น ไม่ทำสิ่งที่พ่อแม่เคยทำกับเรา
Movie
18 February 2022

MAID: อยากหลุดจากวงจรแย่ๆ ไม่สร้างบาดแผลให้คนอื่น ไม่ทำสิ่งที่พ่อแม่เคยทำกับเรา

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MAID เป็นมินิซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวของ ‘อเล็กซ์’ ที่พบเจอปัญหาการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัวทางด้านอารมณ์ ทำให้เธอต้องพาลูกสาวหนีออกมา และพยายามที่จะดิ้นรนมีชีวิตต่อไป
  • หลายครอบครัวมีการทำร้ายกันในครอบครัวทั้งทางกายและจิตใจ และหลายครั้งที่ฝ่ายถูกทำร้ายก็ไม่กล้าที่จะเดินออกมาจากความสัมพันธ์นั้นเพราะเห็นแก่ลูก และลืมมองบาดแผลที่เกิดขึ้น หรือกระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เจอคือความรุนแรงประเภทหนึ่ง
  • วันหนึ่งเมื่อเราโตขึ้น ก็จะเข้าใจได้ว่าเราสามารถแสดงความรู้สึกได้หลายแบบ ไม่ต้องสื่อสารความโกรธเพื่อทำร้ายคนอื่น เพราะมันมีวิธีการสื่อสารที่ดีกว่านั้นได้ โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องเก็บกดมันไว้คนเดียว

Tags:

ปัญหาครอบครัวMAIDความรุนแรงในครอบครัวความเจ็บปวด

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • How to get along with teenager
    การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Foely Friend-nologo
    Relationship
    เมื่อ ‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น ‘เพื่อนร้าย’ แล้วเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Family Psychology
    เรียนรู้ที่จะ “ใจกว้าง” ในความขัดแย้งกับครอบครัว เพื่อเราจะได้ไม่ต้องปล่อยมือจากกัน : คุยกับหมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Movie
    Shoplifters : การรวมตัวกันของคนไม่รู้จัก สร้างหลุมหลบภัยที่ขออ้อมแขนจากคนไม่ทำร้ายกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

นักพนัน(Gambler): ผู้ไล่ตามความสูญเสีย
Myth/Life/Crisis
17 February 2022

นักพนัน(Gambler): ผู้ไล่ตามความสูญเสีย

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ‘แอนโตนิดา ทาราเซวิเชฟ’ ผู้ที่ถูกญาติหวังทรัพย์สมบัติหลังจากที่เธอเสียชีวิต แต่เมื่อเธอรู้ทัน จึงประกาศกร้าวว่าคนเหล่านั้นจะไม่มีใครได้ทรัพย์สินของเธอแม้แต่แดงเดียว และหลังจากนั้นเธอก็ถูกครอบงำด้วยการพนัน จนเสียเงินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ราวกับไล่ตามความสูญเสีย
  • การไล่ตามความสูญเสียที่สืบค้นโลกภายในได้เช่นกัน เช่น การไล่ตามคน ‘รัก’ ที่ไม่ต้องการจะสัมพันธ์กับตนอีกต่อไปแล้ว ภายใต้ตัวตนที่แตกสลายซึ่ง ยอมทุกอย่างขอเพียงให้เขาหรือเธอคืนกลับมาหา
  • อีกด้านของการไล่ตามความสูญเสียคือการไม่รู้จักหยุดลงทุน แม้มันได้ส่งสัญญาณความล่มสลายมาตลอด แต่บางทีคนเราก็ยอมรับความล้มเหลวพ่ายแพ้ หรือความรู้สึกที่ว่า ‘เรายังพยายามไม่มากพอ’ ได้ยาก

1.

นายพลรัสเซียและครอบครัวพร้อมด้วยคุณครูประจำบ้าน อยู่กันพร้อมหน้าที่โรงแรมหรูในเมืองตากอากาศเยอรมัน แม้ท่านนายพลมีภาพลักษณ์อันทรงศักดิ์และร่ำรวยทว่าที่แท้แล้วสถานภาพทางการเงินกำลังง่อนแง่น เขากู้ยืมเงินจากชาวฝรั่งเศส เดอ กริเยอซ์ มาจำนวนหนึ่งและจำนองทรัพย์ไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ด้วย เพราะเหตุนี้เอง เขาก็แอบวาดหวังให้ แอนโตนิดา ทาราเซวิเชฟ เจ้าที่ดินแห่งมอสโควซึ่งเป็นญาติที่เหมือนจะป่วยอยู่นั้นวางวาย แล้วเขาก็จะมีสิทธิ์ในทรัพย์มรดกของผู้วายชนม์ และด้วยการคาดการณ์ความมั่งคั่งในอนาคตนั้นก็ทำให้สาวฝรั่งเศส มาดมัวแซล บลังช์ เข้ามาหว่านเสน่ห์ติดพันเขาอยู่ไม่ห่าง 

ในระหว่างที่นายพลและชาวฝรั่งเศสทั้งสองรอคอยความตายของแอนโตนิดา สตรีสูงศักดิ์วัย 75 ปี ผู้มีน้ำเสียงดังดุดัน สายตาว่องไวและความรู้เต็มอกว่ามีคนหวังให้ตัวเองมอดม้วยก็สร้างความประหลาดใจด้วยการเดินทางมาปรากฏตัวในเมืองพักตากอากาศอย่างน่าเกรงขามวางอำนาจ เธอได้พบกับทุกคนที่หวังสมบัติของเธอและประกาศเจตนาชัดเจนว่า “ฉันจะไม่ให้เงินเธอแม้แต่นิดเดียว” 

แม่เฒ่าผู้โผงผางขอให้ครูประจำบ้านของนายพลพาเธอไปที่บ่อนพนันซึ่งนับว่าขึ้นชื่อในถิ่นนั้น แล้วเธอก็ชนะพนันมาด้วยความน่าหวาดเสียว แต่แล้วเธอก็หวนไปหามันอีกอย่างบ้าระห่ำ เธอถูกการพนันครอบงำและหลังจากเสียพนันไปสิบสองครั้ง สตรีผู้ฉุนเฉียวไล่ตามความสูญเสียจนได้เงินคืนมาบ้าง แต่แล้วก็เสียพนันไปอีกมากโข เธอเกรี้ยวกราดและลงเงินพนันจำนวนมากเพิ่มลงไปอีก โดยเมื่อถูกทักท้วงก็ตอกกลับว่า “ฉันจะเอากลับมาให้หมด” “เหมือนที่หวังจะมีชีวิตอยู่” เธอเสีย ได้และก็เสีย และเมื่อสูญสิ้นเงินไปหมดแล้ว เธอก็ยังคิดจะใช้ตั๋วแลกเงินที่มี “ฉันจะชนะคืนมาทั้งหมด!”   

ครั้งแล้วครั้งเล่าในการไล่ตามความสูญเสีย “ก็อย่างที่ฉันหวังจะมีชีวิตอยู่ ฉันจะชนะคืนมาให้หมด” เธอก็สูญเสียอีก

2.

ระหว่างแค่ไม่ชนะ กับ การต้องสูญเสียอย่างเจ็บปวด คุณกลัวเสียมากกว่าใช่หรือไม่? พฤติกรรมวิ่งตามการสูญเสียของแม่เฒ่าแอนโตนิดา สอดคล้องกับการอธิบายของ Noel Bell นักจิตบำบัดแห่งนครลอนดอนว่า นักพนันที่มีปัญหาจะเพิ่มเงินเดิมพันหลังจากเผชิญความสูญเสีย ด้วยวาดหวังจะกอบกู้สิ่งที่เสียไปและเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากการสูญเสีย  

พวกเขาจึงกล้าวางเงินก้อนโตที่มีแนวโน้มจะสูญไปในชั่วพริบตา

การฝึกยับยั้งชั่งใจสามารถเป็นทางเลือกในการช่วยหยุดความพยายามกอบกู้สิ่งที่สูญเสียไปผ่านการเดิมพันจนหมดหน้าตักและสูญเปล่า แต่การอดกลั้นต่อแรงขับก็ไม่ง่ายสำหรับผู้คนในบางภาวะ ดังนั้น สิ่งที่ทำได้อีกอย่างคือการสืบค้นโลกภายในของผู้ไล่ตามความสูญเสีย

ในการวางเงินเดิมพันจำนวนมากครั้งแล้วครั้งเล่าของแอนโตนิดาที่หวัง “จะชนะคืนมาให้หมด” มีสิ่งที่น่าสืบสาวต่อ นั่นคือประโยคที่ว่า “เหมือนที่ฉันหวังว่าจะมีชีวิตอยู่” (เงื่อนไขที่หนึ่ง) 

ซึ่งเชื่อมโยงกับผลที่ว่า พวกที่หวังสมบัติของเธอจะไม่ได้เงินของเธอแม้แต่นิดเดียวอย่างที่เธอประกาศ (ผล)

ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าอีกแรงขับเบื้องลึกในการเล่นพนันอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้เป็นการได้ทรัพย์ แต่คือความต้องการจะเสียทรัพย์ อันเป็นการสร้างเงือนไขที่สองขึ้นมาเพื่อประกันผลลัพธ์เดียวกันนั้นว่า ต่อให้กูตาย (ไม่เข้าเงื่อนไขที่หนึ่ง ในการมีชีวิต) ก็แทบไม่เหลือทรัพย์มรดกให้พวกมึงอีกต่อไปแล้ว

ลองสืบค้นจิตใจของนักพนันคนอื่น ซึ่งเมื่อได้เงินจากการพนันมาก้อนหนึ่งแล้วก็เล่นต่อและก็เสียเงินไป จากนั้นก็หยุดเล่นไม่ได้ เพราะหวังว่าอย่างน้อยก็จะได้คืนทุนและเอากำไรส่วนที่ต้องได้นั้นกลับคืนมา ซึ่งบ้างก็เชื่อมโยงกับความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น การให้โชคของสิ่งมีชีวิตในภพภูมิอื่น อีกทั้งสามารถสืบถึงความปรารถนาในเรื่องอื่นๆ เช่น ต้องการนำเงินนี้ไปให้คนที่รัก สืบโยงไปถึงความรู้สึกได้รับการยอมรับจากคนที่ตนรัก หนีความรู้สึกผิด ต้องการความรู้สึกมีค่า ฯลฯ (แต่ละคนสามารถปรารถนาแตกต่างกันไป)อีกการไล่ตามความสูญเสียที่สืบค้นโลกภายในได้เช่นกัน เช่น การไล่ตามคน ‘รัก’ ที่ไม่ต้องการจะสัมพันธ์กับตนอีกต่อไปแล้ว ภายใต้ตัวตนที่แตกสลายซึ่ง ยอมทุกอย่างขอเพียงให้เขาหรือเธอคืนกลับมาหา มีความปรารถนาอื่นใดหรือความต้องการหนีจากอะไร และมีอดีตลักษณะไหนซ้อนอยู่ในนั้นอีกบ้าง? โปรดรับรู้ความรู้สึกอย่างซื่อตรง มีขุมทรัพย์แห่งพลังชีวิตรอคอยให้เราค้นพบอยู่ภายในใจแล้ว

3.

อีกด้านของการไล่ตามความสูญเสียคือการไม่รู้จักหยุด เมื่อได้ลงเวลา พลังงาน อารมณ์ความรู้สึก ฯลฯ ไปในสิ่งใดก็ตามแล้ว แม้มันได้ส่งสัญญาณความล่มสลายหรือทำร้ายมาตลอด แต่บางทีคนเราก็ยอมรับความล้มเหลว หรือความรู้สึกว่าเรายังพยายามไม่มากพอได้ยาก รวมไปถึงอาจมีความกลัวผีที่ไม่รู้จักด้วย นั่นทำให้เราไม่ค่อยกล้าโอบรับรูปประสบการณ์สดใหม่ที่กำลังรอคอยอยู่ตรงหน้าอย่างกระตือรือร้น

พยายามอีก พยายามอีก และพยายามอีก 

และเราก็สูญเสียสุขภาวะหรือแม้แต่สูญเสียตัวเองไปในความพยายามอัน ‘ไม่รู้จบ’ ในซากปรักหักพังนั้น..

แน่นอนว่าที่นั่นไม่จำเป็นต้องดีกว่าที่นี่ มันอาจจะแย่กว่าก็ได้ ไม่มีอะไรเคยสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พาเราหรือที่เราพาคนอื่นมาถึงจุดนี้ก็อาจไม่สามารถพาพวกเราไปล่องไปอย่างไหลลื่นหรือยั่งยืนได้แล้ว แม้เราไม่ได้มองหารางวัลจากความพยายามระยะสั้น แต่การ ‘ถอยออกมามอง’ ภาพใหญ่ก็สามารถทำให้เราประเมินได้เหมือนกันว่า เรายังควรทุ่มเทกับสิ่งนั้นๆ อยู่หรือไม่ และแม้เรายังยืนกรานที่จะทุ่มเทกับสิ่งเดิมต่อไป เราอาจลืมตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนไหลไปเป็นรูปภาวะใหม่ของทั้งเราเอง และสิ่งเก่าที่เราพยายามทำอะไรบางอย่างอยู่ด้วย ซึ่งนั่นทำให้เราไม่สามารถปฏิสัมพันธ์ด้วยรูปแบบเก่าได้อีก

เราสามารถฉุกคิดได้ว่า เมื่อไหร่ที่ควร ‘หยุด’ ก่อน

กลับมาสำรวจตัวเองก่อนว่ามีหลุมดำในใจเราหรือไม่? ในนั้นมีอะไรบ้าง? อีกทั้งกลับมารับรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นของเดิมในกระแสการรับรู้ กำลังมีสิ่งใหม่อะไรผุดเกิดขึ้นมาบ้าง?

อ้างอิง

นักพนัน (Gambler) โดย ดอสโตเยฟสกี้ แปลโดย ร.จันเสน 

Here’s why gamblers chase losses โดย  Noel Bell 

Tags:

ความสูญเสียการปล่อยวางดอสโตเยฟสกี้Gambler

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • How to enjoy life
    เดอสแตดนิง (Döstädning): มากกว่าจัดบ้านคือจัดการชีวิต ศิลปะการละทิ้ง(ก่อนตาย) สไตล์ชาวสวีเดน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    สโตอิก (Stoicism): ปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แล้วโบยบินในแบบของตัวเอง ศิลปะการใช้ชีวิตแบบชาวกรีกโบราณ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    นิกเซน (Niksen): ละทิ้งความคาดหวังและอยู่กับปัจจุบันขณะ ศิลปะของการไม่ทำอะไรของชาวดัตซ์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ในวันที่พ่อแม่หรือบุคคลที่รักจากไป

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Captain Fantastic : เลี้ยงลูกเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พร้อมรับความจริงไม่ต้องปรุงแต่ง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

วิธีแสดงความรักอย่างเหมาะสมต่อลูก
Family Psychology
17 February 2022

วิธีแสดงความรักอย่างเหมาะสมต่อลูก

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • พ่อแม่มีวิธีที่สามารถแสดงความรักที่มีต่อลูกได้หลากหลายรูปแบบ และหากพ่อแม่ต้องการให้ลูกตอบสนองกับเราอย่างไร ตัวพ่อแม่เองก็ควรต้องปฏิบัติตัวเช่นนั้นกับลูกก่อนเป็นตัวอย่าง
  • ‘ภาษากาย’ ที่สื่อสารความรักให้ลูกรู้ 

สายตา ที่มอบให้เขา 

หู ที่รับฟังเขาทุกเรื่องราว ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ 

มือ ที่ว่างพร้อมเล่นกับเขา และเป็นผู้ช่วยสอนยามที่ลูกต้องการความช่วยเหลือ วงแขนที่พร้อมเป็นที่พักพิงยามที่เหนื่อยล้า 

ทั้งหมดทั้งมวล คือ “ตัวเราที่พร้อมอยู่ตรงนั้นเพื่อเขา”

  • ‘พูดสื่อสาร’ ให้ลูกรู้ว่า “พ่อแม่รักเขา” 

สื่อสารอย่างจริงใจ 

ให้การชื่นชมมากกว่าตำหนิ 

ให้การสอนมากกว่าลงโทษ 

พูดบอกรักมากกว่าพูดทำร้าย 

  • ‘รัก’ และ ‘ยอมรับ’ ในแบบที่ลูกเป็น 

ไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น 

ไม่เรียกร้องให้ลูกต้องทำตามที่เราต้องการ 

ไม่คาดหวังไม่ตรงตามความเป็นจริง 

แต่เชื่อมั่นในตัวลูก และให้การสอนสิ่งสำคัญตามวัยของเขา 

  • ให้เกียรติซึ่งกันและกัน 

หากต้องการให้ลูกตอบสนองเราเช่นไร พ่อแม่ควรปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นก่อน อยากให้ลูกรักและเคารพเรา เราเองก็ควรรักและเคารพเขาเช่นกัน การทำข้อตกลง และกำหนดกติกาภายในครอบครัวให้ชัดเจน จะช่วยให้คนในบ้านเข้าใจและเคารพกันมากขึ้น 

‘ร่างกาย’ เป็นของลูก ในวันที่เขายังเล็ก เราให้ความรักและการปกป้อง ในวันที่เขาโตพอ เราควรขออนุญาตจากเขาก่อนจะทำสิ่งใด 

‘จิตใจ’ เป็นของลูก ในวันที่เขายังเล็ก เราให้ความรักและการสอนสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต ในวันที่เขาเติบโตพอจะตัดสินใจ ให้เขาได้เลือกด้วยตัวเอง 

แม้ว่าจะเป็นเด็กและยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้สึก บางครั้งเด็กอาจจะรู้สึกมากกว่าผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรตระหนักถึงข้อนี้เสมอ 

สุดท้าย รักและเคารพลูกวันนี้ให้มากพอ เพื่อที่เขาจะรักและเคารพตัวเองในวันที่เติบโต แม้พ่อแม่จะไม่สามารถปกป้องลูกได้ตลอดเวลา แต่ความรักและคุณค่าที่เรามอบให้จะติดตัวลูกไปตลอดชีวิตของเขา

อ่านบทความฉบับเต็ม https://thepotential.org/family/child-rights-body/

Tags:

ลูกวิธีแสดงความรักพ่อแม่

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Survival of the thickest – แด่ผู้รอดชีวิตจาก toxic parents

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    After the storm: เผชิญหน้าเพื่อลาจาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  •  The Road: ถึงโลกล่มสลาย…แสงสว่างยังอยู่ในใจเธอเสมอ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear ParentsMovie
    Stutz: เปิดอกสื่อสารออกไป ให้หัวใจได้บำบัด

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
  • “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel