Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: August 2021

‘Learn from Home’ ฉบับปฐมวัย เรียนรู้ผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว งานเล่น กับ ครูกิ๊ฟท์ – ปิยะดา พิชิตกุศลาชัย โรงเรียนรุ่งอรุณ
Creative learning
31 August 2021

‘Learn from Home’ ฉบับปฐมวัย เรียนรู้ผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว งานเล่น กับ ครูกิ๊ฟท์ – ปิยะดา พิชิตกุศลาชัย โรงเรียนรุ่งอรุณ

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • การออกแบบตารางกิจวัตรของเด็กวัยอนุบาล โรงเรียนรุ่งอรุณ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้และสร้างวินัยผ่าน ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว งานเล่น และงานคิด อ่าน เขียน’ เพื่อให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนรู้จากเรื่องใกล้ตัวและมีพัฒนาการตามวัยอย่างเหมาะสม โดยหัวใจสำคัญ คือ ความสม่ำเสมอ
  • กิจกรรมปลูกผัก เหมือนการที่เด็กๆ ได้เล่นในธรรมชาติ โดยมีแปลงปลูกผักเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่เขาจะได้รู้จักกับธรรมชาติ ดิน น้ำ สายลม แสงแดด ได้สังเกตการเจริญเติบโตของพืชผัก จนกระทั่งผักนั้นสามารถนำมาประกอบอาหารรับประทานได้จริงๆ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ มีความสุขใจ
  • เด็กวัยนี้เริ่มมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น “มีวันหนึ่งเขาระบายสี แล้วไม่เป็นอย่างที่คิด เขารู้สึกเสียใจมาก เขาก็เลยเดินไปหยิบขวดเขย่าอันนี้ที่มีกากเพชรอยู่ข้างในมานั่งเขย่าๆๆ แล้วก็นั่งดูจนกว่ากากเพชรจะตกลงที่ก้นขวด แล้วความผิดหวังความเสียใจนั้นมันหายไป เขาก็เลยกลับมานั่งวาดรูปต่อได้ เราพยายามทำเรื่องที่อยู่ในเนื้อในตัวเขาออกมาเป็นรูปธรรม ให้เขาได้มีเครื่องมือที่จะรับรู้ตัวเอง รู้เนื้อรู้ตัว มี Self-awareness นั่นเอง”

เมื่อเด็กปฐมวัยไม่สามารถไปโรงเรียนได้ การเรียนรู้ที่บ้าน  (Learn from Home) ผสานกับครู สู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีพ่อแม่และครู เป็นพาร์ทเนอร์สำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก จึงเป็นแนวทางหลักในการจัดการเรียนรู้ในช่วงเวลานี้ 

ในงานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้’ EP.2 ในหัวข้อ: สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างทุกคนให้เป็นครู กล้าเรียนรู้ด้วยตนเอง – Inclusive Education บทเรียนจากโรงเรียนรุ่งอรุณและโรงเรียนเครือข่ายในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง ครูกิ๊ฟท์ – ปิยะดา พิชิตกุศลาชัย ครูอนุบาล โรงเรียนรุ่งอรุณ ได้นำเสนอประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้ผ่าน ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว งานเล่น และงานคิด อ่าน เขียน เพื่อให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนรู้จากเรื่องใกล้ตัวและมีพัฒนาการตามวัยอย่างเหมาะสม

ตารางกิจวัตร คู่มือสร้างวินัยที่บ้านให้ลูกวัยอนุบาล 

การออกแบบตารางกิจวัตรของเด็กวัยอนุบาลของโรงเรียนรุ่งอรุณ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้และสร้างวินัยผ่าน ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว งานเล่น และงานคิด อ่าน เขียน’ โดยมีหัวใจสำคัญของการทำตารางกิจวัตร คือ ความสม่ำเสมอ

“ตารางนี้ทำให้พ่อแม่รู้ว่า ในแต่ละวันลูกเขาจะจัดลำดับชีวิตยังไงบ้าง และในเด็กอนุบาลจะมีงานแบบไหนที่ทำได้ที่บ้านบ้าง ทำให้เด็กมีความรับผิดชอบ ทุกคืนก่อนนอนลูกจะต้องมานั่งติ๊กในเล่มว่า วันนี้ทำงานอะไร ขาดงานอะไรไปบ้าง แล้วก็ได้เรียนรู้อะไรจากกิจวัตรวันนั้นบ้าง”  

ตารางกิจวัตรนี้จะถูกบูรณาการเข้ากับวิชาต่างๆ ยกตัวอย่าง ‘งานสวน’ กับ ‘งานครัว’ ครูกิ๊ฟท์ชวนเด็กๆ เรียนรู้ผ่าน ‘ฤดูกาลจากธรรมชาติรอบตัว’ โดยส่งชุดเรียนรู้หรือถุงกิจกรรมให้ถึงบ้าน ในนั้นประกอบไปด้วย คุณอุตุหรือกระดาษส่องท้องฟ้า กระดาษ สีน้ำ และฟองน้ำ 

“เราส่งคุณอุตุ เป็นกระดาษให้เด็กๆ ไปสังเกตท้องฟ้าในหน้าฝน เราเชื่อว่าธรรมชาติรอบตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด มีชีวิต มีความหมาย ถ้าเขาได้ใช้ประสาทสัมผัสในการสังเกต รับรู้ด้วยตัวเอง เขาจะค่อยๆ ถอดการเรียนรู้เหล่านั้นออกมาได้ เราก็ชวนคุณอุตุไปเล่านิทานให้ ตามหาเสื้อที่หายไป เด็กๆ เลยพาคุณอุตุออกไปนอกบ้าน ไปดูท้องฟ้าหน้าบ้าน ไปดูต้นไม้” ครูกิ๊ฟท์ เล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ พร้อมทำท่าทางประกอบ ราวกับว่านี่เป็นการเรียนรู้ที่เธอกำลังมอบให้กับเด็กๆ 

เมื่อได้เห็นสภาพท้องฟ้าหน้าบ้านแล้ว เด็กๆ ก็ถ่ายทอดสิ่งที่เห็น จากความเข้าใจของตัวเองออกมาเป็นชิ้นงานศิลปะ ในแบบฉบับของเขาเอง

นอกจากนี้ยังมีชุดสื่อการเรียนรู้ ‘งานสวน งานครัว ตามฤดูกาล’ ด้วย

“เราส่งเป็นเมล็ดพันธุ์กับดินให้เด็กๆ ไปปลูกที่บ้าน เพราะอยากให้เขาเชื่อมโยงฤดูกาลกับอาหารการกินแบบเป็นรูปธรรม เห็นด้วยตาของตนเอง ได้ปลูกผักเอง ได้รดน้ำดูแลเอง แล้วก็ได้กินเองด้วย ซึ่งจะนำไปสู่ความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่าในตนเอง เห็นความใส่ใจของตนเอง แล้วก็เห็นคุณค่าของธรรมชาติรอบตัว”

กิจกรรมปลูกผัก เหมือนการที่เด็กๆ ได้เล่นในธรรมชาติ โดยมีแปลงปลูกผักเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่เขาจะได้รู้จักกับธรรมชาติ ดิน น้ำ สายลม แสงแดด ได้สังเกตการเจริญเติบโตของพืชผัก จนกระทั่งผักนั้นสามารถนำมาประกอบอาหารรับประทานได้จริงๆ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ มีความสุขใจ

ในส่วนของห้องเรียนออนไลน์อย่างมีคุณภาพนั้น ครูจะชวนเด็กๆ นำประสบการณ์จากที่บ้านมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกัน “อย่างเช่น น้ำสมุนไพร จากที่เราส่งมะตูม กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย ไปให้เด็กๆ ได้ลองต้มดู เพราะอยากเห็นเขาได้วิทยาศาสตร์ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากการลงมือทำงานครัวนี้ ตอนที่มาเล่าในกลุ่ม เขาบอกว่าต้องรอให้ควันขึ้นด้วยนะ ถึงจะใส่มะตูมได้ เขาได้สังเกตน้ำเดือดที่บ้าน”  

กิจกรรมรับรู้กายใจ เรียนรู้เรื่องอารมณ์ที่ซับซ้อน 

นอกจากวิทยาศาสตร์ในเด็กปฐมวัยแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ เด็กวัยนี้เริ่มมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ซึ่งครูกิ๊ฟท์ทำให้เด็กๆ เข้าใจ รู้เนื้อรู้ตัว รู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองในขณะนั้น ด้วยนิทานเรื่อง ‘อารมณ์นี้สีอะไร’ ให้ฟังพร้อมๆ กับตัวมอนสเตอร์อารมณ์ 

“ในนิทานเรื่องนี้จะพาให้เด็กรู้ชื่ออารมณ์แต่ละชนิด ว่าในแต่ละอารมณ์มันมีความรู้สึกยังไงบ้าง แล้วมันให้ชื่อได้ยังไงบ้าง แล้วเขาก็จะได้ทำเป็นปฏิทินอารมณ์ของเขาเองว่าในแต่ละวันเขามีอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน แล้วมันมีชื่อเรียกว่าอะไร”

นอกจากยังมีลูกโป่งอารมณ์ ภายในลูกโป่งจะมีถั่วเขียว แป้ง และเม็ดทรายละเอียด เจ้าลูกโป่งอารมณ์นี่แหละจะเป็นเครื่องมือให้เขาอยู่กับตัวเองเป็น โดยครูกิ๊ฟท์มีคาถาว่า เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ให้หยุด! แล้วค่อยๆ หายใจ จากนั้นก็บีบเจ้าลูกโป่งอารมณ์นี้ อารมณ์ที่หงุดหงิด ขุ่นข้องทั้งหลายก็จะค่อยๆ คลายลง หรือจะเป็นขวดเขย่าสลายใจ ที่เด็กๆ เล่าว่า

“มีวันหนึ่งเขาระบายสี แล้วไม่เป็นอย่างที่คิด เขารู้สึกเสียใจมาก เขาก็เลยเดินไปหยิบขวดเขย่าอันนี้ที่มีกากเพชรอยู่ข้างในมานั่งเขย่าๆๆ แล้วก็นั่งดูจนกว่ากากเพชรจะตกลงที่ก้นขวด แล้วความผิดหวังความเสียใจนั้นมันหายไป เขาก็เลยกลับมานั่งวาดรูปต่อได้ 

เราพยายามทำเรื่องที่อยู่ในเนื้อในตัวเขาออกมาเป็นรูปธรรม ให้เขาได้มีเครื่องมือที่จะรับรู้ตัวเอง รู้เนื้อรู้ตัว มี Self-awareness นั่นเอง” 

เล่นผ่านการรู้จักธรรมชาติ และของเล่นต่อยอดการเรียนรู้

สำหรับงานเล่น ครูกิ๊ฟท์ยกตัวอย่าง Quiet Bin-Quiet Time กล่องของเล่นที่เด็กๆ จะได้เล่นเงียบๆ อยู่คนเดียวเป็น จะมีทั้งกล่องคณิตศาสตร์ กล่องภาษา กล่อง Constructive play และกล่องลูสพาร์ท (Loos part) หรือชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ถูกเก็บใส่กล่องเป็นหมวดเดียวกัน นำมาเล่นต่อกันเป็นของเล่นได้

“เมื่อเขาเล่นเงียบๆ คนเดียวเป็น เขาก็จะรู้จักจดจ่อ และเกิดความคิดสร้างสรรค์จากการสร้างของเล่นในกล่องนั้นๆ และก็คิดเป็นระบบ จนสุดท้ายเล่นเสร็จเก็บเอง ก็ดูแลและรับผิดชอบตัวเองได้ 

พ่อแม่ก็บอกว่าเมื่อไรก็ตามที่ลูกได้เริ่มเล่นกล่องอันนี้นะ เขาก็มีเวลาไปทำงานอื่นๆ เหมือนกัน เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในบ้านต่างมีการงานเป็นของตัวเอง เด็กๆ ก็จะรับรู้เลยว่าเขามีเวลาส่วนตัว พ่อแม่ก็มีเวลาส่วนตัว ทุกคนได้ทำงานเงียบๆ”

‘งานคิด อ่าน เขียน’ ฝึกออกเสียง จดบันทึก และสร้างคลังคำศัพท์ 

ในเรื่องการคิด อ่าน เขียน (Language Literacy) ครูกิ๊ฟท์เชื่อว่า ภาษาเป็นเครื่องมือ เป็นการเชื่อมโลกกับตัวเรา เชื่อมเรากับโลก อะไรก็ตามที่มากระทบตัวเรา เราจะมองหาความหมาย มองหาคำ และเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวที่มีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นของตัวเอง ทำให้เรื่องนั้นมีความหมายอยู่ในตัวเรามากขึ้น ซึ่งนอกจากตารางบันทึกกิจวัตรประจำวันแล้ว ก็ยังมีสมุดบันทึกที่ครูกิ๊ฟท์ส่งให้เด็กๆ เพื่อให้บันทึกงานบ้าน งานสวน งานครัว งานเล่น  และงานคิด อ่าน เขียน 

“บันทึกภาษาจากการเล่าเรื่องอย่างมีความหมายที่เกิดจากประสบการณ์ของตัวเอง ผ่านรูปวาดหรือเขียนออกมาเป็นรูปธรรม โดยมีพ่อแม่ช่วยเขียนคำพูดของเขาออกมา ทำให้ภาษาธรรมชาตินี้มีความหมาย เขาเลยรู้ว่าทำไมเขาถึงอยากเขียนเป็น เพราะการเขียนมันทำให้เขานำความรู้สึกนึกคิดของเขาออกมาเป็นรูปธรรมได้ นี่ก็จะเป็นการเขียนในเด็กเล็กของเรา”

นอกจากเรื่องการเขียน ครูกิ๊ฟท์ยังมีสื่อเพิ่มเติมที่ส่งให้เด็กๆ ด้วย เช่น นิทานอ่านเพลิน เป็นชุดหนังสือนิทานสำหรับหยิบยืมที่เด็กๆ จะได้หนังสือไปวนอ่านตลอดทั้งเดือน รวมไปถึงคลิปเสียงที่คุณครูอ่านนิทานให้ฟังด้วย 

“เราเชื่อว่าการให้ภาษาจากนิทานที่มีเรื่องราว แล้วก็มีจินตนาการจะช่วยให้เด็กๆ ได้สะสมคำศัพท์เพิ่มเติมอย่างมีความหมายด้วย รวมไปถึงไฟล์เสียงเราส่งเป็นบทร้องเล่น นิทานเสียงให้เด็กได้ไปฟังเพลินๆ ในช่วงกลางคืนเงียบๆ ได้ด้วย”  

ยกตัวอย่างชั้นอนุบาล 3 จะได้รับชุดหนังสือฝึกอ่านตามระดับ ‘อาน อ่าน อ๊าน’ ระดับที่ 1 จากสำนักพิมพ์สานอักษร ให้เด็กได้อ่านภาพ อ่านภาษาจากเรื่องราว และนำมาคุยกันกับเพื่อนๆ ในห้องเรียนออนไลน์ โดยครูกิ๊ฟท์จะตั้งคำถามถึงสิ่งที่เขาได้ตีความ ได้บอกเล่า ได้เห็นความรู้สึกของตัวละคร และได้มีลำดับเหตุการณ์เรื่องราว เพื่อเป็นพื้นฐานในการอ่านอย่างเข้าใจความหมาย ซึ่งในหนังสือนิทานเล่มนี้จะไม่ได้มีเรื่องเล่ามากนัก แต่เป็นเรื่องเล่าที่เด็กๆ ต้องเล่าด้วยตัวเอง ถอดความด้วยตัวเอง แล้วมาแลกเปลี่ยนกัน

“เมื่อเขาคุ้นเคยกับนิทาน เห็นตัวพยัญชนะบ่อยเข้าแล้ว เด็กๆ อนุบาล 3 ก็จะได้ร้อง เล่น สู่เสียงและรูปของพยัญชนะ เราส่งหนังสือ เล่น ร้อง ทำนอง พยัญชนะ ให้เด็กๆ ได้ร้องเล่นกัน ไปคู่กับบัตรพยัญชนะให้เขาได้มาเล่นกับคุณครู กับเพื่อนๆ เมื่อท่องตัว “ค ควาย ค ค ควาย คางคก เครา ค้างคาว” อ้า…ตัวไหนละคือตัวค ควาย ที่อยู่บนโต๊ะของเขา เขาก็จะได้เริ่มจำรูป เข้าใจเสียง ไปพร้อมๆ กับคำ”

หลังจากเรียนรู้ผ่านงานและกิจกรรมต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว เด็กแต่ละคนจะพบความสนใจใคร่รู้ของตัวเอง และต่อยอดการเรียนรู้จนกลายเป็นชิ้นงานหรือการพูดคุย เพื่อนำเสนอสู่งาน ‘หยดน้ำแห่งความรู้’ ถ่ายทอดเรื่องเล่าความเติบโตของหนู กลั่นเอาสิ่งที่เรียนรู้มา เล่าให้ครูและเพื่อนฟัง แต่ก่อนที่เด็กจะได้เล่าหยดน้ำ คุณครูจะมีคำถามให้เด็ก Self-Reflection สะท้อนกับตัวเอง เช่น 

อ.1 “ชอบทำอะไร ทำอะไรได้บ้าง และทำอย่างไร”

อ.2 คำถามจะต้องท้าทายขึ้น เช่น “บอกเรื่องที่ทำได้ดีแล้วนั้นว่าทำอย่างไร”  

อ.3 “เรื่องไหนที่ยังทำไม่ได้ และจะทำมันอย่างไรบ้าง” 

คำถามเหล่านี้เป็นการให้เด็กๆ ได้ประเมินตัวเอง สะท้อนตัวเองว่า ตลอดการเรียนรู้ทั้ง 3 เดือนนั้น เป็นอย่างไรบ้าง

“ผลงานของอนุบาล 3 ทำโรงละครจากเปลือกไข่ เขาเล่านิทานเรื่องมดกับตั๊กแตน ใช้ศิลปะสีน้ำจากที่ระบายท้องฟ้าตอนแรก มาทำเป็นฉาก เขาบอกว่า ต้องให้แม่ช่วยนิดหน่อย เพราะต้องเจาะรู เจาะเท่าไรก็เจาะไม่ได้ มันทะลุทุกทีเลย แต่สุดท้ายก็ได้มาเป็นผลงานชิ้นนี้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง หรืออนุบาล 1 ที่บอกเล่าการเรียนรู้งานบ้าน “ตอนใส่ไม้แขวนเสื้อยากที่สุด มันชอบหล่น แต่หนูก็ทำเองได้” เขามาเล่าให้คุณครูฟัง แต่สุดท้ายเขาชอบซักผ้าที่สุดเลยในบรรดางานบ้านทั้งหมด” 

นี่คือตัวอย่าง ‘หยดน้ำแห่งความรู้’ ถ่ายทอดเรื่องเล่าความเติบโตของหนู เป็นการเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้สะท้อนคิดและเรียนรู้ด้วยตนเอง

Tags:

งานบ้าน งานครัว งานสวนLearn from Homeครูกิ๊ฟท์ - ปิยะดา พิชิตกุศลาชัยปฐมวัยโรงเรียนรุ่งอรุณ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Creative learning
    พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Early childhoodLearning Theory
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Character buildingEarly childhood
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ
Social IssuesCreative learning
31 August 2021

ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

เรื่อง ปริสุทธิ์

  • มายเซ็ตที่เคยมองว่าการศึกษาผูกติดไว้กับโรงเรียน หรือครูที่เคยชินกับการสอนเด็ก การเกิดโควิด – 19 อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
  • ‘ล็อกดาวน์’ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 2 กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณและพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง ชวนเปลี่ยนมายเซ็ตสร้างผู้เรียนให้เป็น Learner Person ที่เรียนรู้อยู่ที่บ้านได้ นำไปสู่กระบวนการที่เขาใช้การเรียนรู้เหล่านี้ได้ในทุกที่ มีรูปแบบวิธีการการเรียนรู้เปิดขึ้นมาอีกมากมายจากสถานการณ์นี้ มนุษย์ไม่หยุดเรียนรู้
  • ‘สมรรถนะ’ ถูกมาเป็นตั้งเป็นเป้าหมายออกแบบการเรียนรู้และการประเมินผล เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาและสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้
ภาพ: เว็บไซต์โรงเรียนรุ่งอรุณ

สถานการณ์โควิด – 19 ไม่ได้ทำลายวิถีชีวิตแบบเดิมเพียงอย่างเดียว แต่ยังสร้างการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่เกิดจากการปรับตัวให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและจากทุกคน

ในโอกาสการเสวนา ‘ล็อกดาวน์’ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 2 กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณและพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง คณะผู้บริหารและคุณครูโรงเรียนรุ่งอรุณ ได้นำเสนอตัวอย่างของการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้เป็นการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพแม้ในสถานการณ์วิกฤตเช่นในปัจจุบัน โดยใช้แนวทาง Learn from Home บนการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ที่มองสถานการณ์โควิด – 19 ในเชิงบวก หาโอกาสสร้างคุณภาพการเรียนรู้ยุคใหม่ที่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Learner Person)

Learn from Home บ้านคือฐานการเรียนรู้ได้เหมือนกัน

ครูต้อย – สุวรรณา ชีวพฤกษ์ ผู้บริหารโรงเรียนรุ่งอรุณ

ครูต้อย – สุวรรณา ชีวพฤกษ์ ผู้บริหารโรงเรียนรุ่งอรุณ นิยามวิธีการเหล่านี้ว่าเป็นการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างทุกคนให้เป็นครู กล้าเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นบทเรียนหลังจากทุกคนเผชิญโควิดมาร่วม 2 ปี จนตกผลึกเป็นความกล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ รวมถึงการพึ่งพาตนเองโดยเฉพาะในการเรียนการสอน

“เราเริ่มพบว่าการเรียนรู้จริงๆ เราสร้างทุกคนให้มีส่วนร่วมกับเรา จึงเกิดคำว่าสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และทุกคนเป็นครูได้ เราชวนผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เข้ามามีส่วนในการเป็นครู สถานการณ์โควิดครั้งนี้จึงสร้างสิ่งนี้ให้ปรากฏชัดขึ้น

“เราใช้คำว่า Learn from Home โดยเราให้นิยามคำว่า Home ว่าบ้านก็เป็นที่เรียนรู้ได้เช่นกัน 

“ฉะนั้น เราจะทำอย่างไรให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ที่บ้าน เพราะเด็กนักเรียนต้องอยู่บ้าน จึงเป็นบทบาทของครูต้องเปิดใจตัวเอง สร้างแผนการเรียนรู้ให้เด็กเรียนรู้ได้ที่บ้าน โดยอยู่บนฐานสมรรถนะ ซึ่งเราใช้ทำงานมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน”

แนวคิดหลัก (Concept) ของแนวทางนี้ คือ ‘เรียนเองที่บ้าน ผสานกับเพื่อน ครูและผู้ปกครอง’ ที่เน้นการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ เพื่อนำไปประยุกต์ให้อย่างสร้างสรรค์ เพิ่มประสิทธิภาพให้การเรียนในเวลาจำกัด แต่ไม่จำกัดรูปแบบ และให้ผลสัมฤทธิ์สูงสุด

ครูต้อยบอกว่าโรงเรียนและผู้ปกครองต้องรื้อชุดความคิด (Mindset) ใหม่หมด ให้เป็น ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก

“สิ่งที่เราดำเนินการกันมา มีหลายครั้งหลายคราที่เราทำโรงเรียนเป็นโรงสอน ครูเคยชินกับการที่ครูสอนเด็ก แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เด็กต้องเรียนรู้อยู่ที่บ้าน เราจะทำอย่างไรให้ที่บ้านเป็นโรงเรียนของเด็กได้ เลยเป็นที่มาของ Mindset ที่เราเปิดใจผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง ให้ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก

“เรากำลังสร้างผู้เรียนให้เป็น Learner Person ที่เรียนรู้อยู่ที่บ้านได้ ซึ่งการจะเรียนรู้อยู่ที่บ้านได้นั่นย่อมนำไปสู่กระบวนการที่เขาใช้การเรียนรู้เหล่านี้ได้ในทุกที่ มีรูปแบบวิธีการการเรียนรู้เปิดขึ้นมาอีกมากมายจากสถานการณ์นี้ มนุษย์ไม่หยุดเรียนรู้ ฉะนั้น การจัดการเรียนรู้ให้อยู่ที่บ้าน เรายังคงคุณภาพของการที่เด็กยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำงานร่วมกับเพื่อน กับครู และผู้ปกครองก็เป็นหุ้นส่วนสำคัญในการเรียนรู้ครั้งนี้”

Reskill & Upskill สร้างและเสริมทักษะเพื่อการฐานสมรรถนะในยุค New Normal

ครูจิ๋ว – สกุณี บุญญะบัญชา ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ

จากการเริ่มพลิกวิกฤตเป็นโอกาส สู่การสร้างโอกาสต่อมา คือ นำการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ครูจิ๋ว – สกุณี บุญญะบัญชา ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ อธิบายว่าจะทำให้เกิดสมรรถนะตามที่โรงเรียนรุ่งอรุณวางไว้ 6 ข้อ ซึ่งแผนสมรรถนะช่วยให้ออกแบบ หากลวิธี ที่จะทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ที่บ้าน และการเรียนรู้เป็นของผู้เรียนได้จริงๆ

  • สมรรถนะที่ 1 : การเข้าถึงระบบคุณค่าชีวิต ตื่นรู้ตามแนวพุทธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ดำรงมงคลชีวิต มีจิตสาธารณะ
  • สมรรถนะที่ 2 : การคิดด้วยระบบคุณค่าและสื่อสารด้วยภาษาอย่างฉลาดรู้ ไทย อังกฤษ คณิตศาสตร์ และดิจิทัล
  • สมรรถนะที่ 3 : ฉลาดรู้ระบบธรรมชาติ วิทยาการและเทคโนโลยี ใฝ่รู้ด้วยตนเอง และเท่าทันสถานการณ์
  • สมรรถนะที่ 4 : ฉลาดรู้การประกอบการสัมมาชีพ เข้าใจระบบเศรษฐศาสตร์การเงิน การจัดการ ที่มีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพในยุคใหม่ เพื่อความอยู่รอดของตนเองและสังคม
  • สมรรถนะที่ 5 : การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง เข้าใจระบบความสัมพันธ์ของโลกและมนุษย์ ระเบียบสังคมและวัฒนธรรม เพื่อร่วมสร้างสันติสุข
  • สมรรถนะที่ 6 : สมดุลภาวะกาย – จิต ด้วยศิลปะ – ดนตรี – กีฬา เป็นผู้มีสุนทรียธรรม มีความมั่นคง เบิกบานทั้งกายและใจ

จากสมรรถนะทั้ง 6 โรงเรียนรุ่งอรุณต้องออกแบบภายใต้สถานการณ์โควิด – 19 จึงเกิดเป็นทั้งการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) และทำให้ดีขึ้น (Upskill) ซึ่งเป็นทักษะและเครื่องใหม่ที่ครู นักเรียน และผู้ปกครองต้องใช้

“การนำสมรรถนะมาเป็นเป้าหมายการออกแบบการเรียนรู้และการประเมินผล ในการออกแบบการเรียนรู้เชิงสมรรถนะ เราใช้วงประชุมเป็นการทำงานเพื่อการเรียนรู้ของครู เป็นวงประชุม PLC เป็นแพลตฟอร์มหลัก มีทั้งการประชุมกลุ่มย่อย กลุ่มระดับชั้น กลุ่มสายวิชา หรือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ เพื่อทำความเข้าใจการการออกแบบการเรียนรู้ร่วมกัน เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญมากในการประชุม PLC เพราะจะทำให้ได้ประเด็นใหม่ๆ ที่แหลมคมมากขึ้น

“การออกแบบการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในช่วงที่นักเรียนอยู่ที่บ้าน นักเรียนจำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองให้มาก เพราะไม่มีทางอื่น เราจึงต้องออกแบบว่าต้องเอานักเรียนเป็นตัวตั้งจริงๆ แล้วดูว่าถ้าเราให้โจทย์นี้ ทำกิจกรรมแบบนี้ นักเรียนจะเข้าใจอย่างไร

“โจทย์หรืองานที่ครูเป็นผู้ให้เด็กจึงจำเป็นที่จะต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าเราจะเรียนรู้บนฐานสมรรถนะเป็นความรู้อะไร ทักษะอะไร ทัศนคติหรือคุณค่าอะไรที่ควรจะออกแบบให้เด็กเกิดผลจริงๆ เลยต้องดูว่าสิ่งที่ให้เด็กทำ ต้องเน้นการเกิดการ Output ของเด็กให้มาก เพราะวิธีที่จะดูว่าสมรรถนะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ต้องดูผ่านตัวเด็ก ผ่านการทำงาน ผ่านการพูดคุย”

คุยกันมากขึ้นผ่าน PLC แค่ทุกคนปรับโจทย์ คำตอบก็เปลี่ยน

การให้โจทย์การตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ครูทุกคนต้องฝึกฝนกันอย่างหนัก ครูจิ๋วบอกว่าวง PLC เป็นตัวช่วยให้ครูร่วมกันหาวิธีทำงานในสถานการณ์ที่การเรียนรู้ต้องเกิดขึ้นที่บ้าน ซึ่งครูมีระยะเวลาในการพบนักเรียนน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ไม่ควรอยู่กับหน้าจอนาน

ครูจึงต้องปรับวิธีการตั้งโจทย์และคำถามให้กระชับ ตรงประเด็น และตอบจุดประสงค์เชิงสมรรถนะและคุณค่าได้ชัดเจน 

“ครูจะออกแบบอย่างไรก็ตาม มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเด็ก การตั้งโจทย์ที่ดี งานที่ตึงมือ ท้าทายความคิด มีความหมายต่อชีวิตของเขา หรืออะไรต่อมิอะไร จะทำให้ผลไปสู่สมรรถนะที่แท้จริง 

“โจทย์ที่ยากสำหรับเราอีกอย่างคือเรื่องการเรียนออนไลน์ แต่เราก็พยายามทำให้ความยากนี้เปลี่ยนเป็นความท้าทายมากที่สุด เพราะถ้าคิดไม่ได้มันมีผลจริงๆ

“ยกตัวอย่างกรณีเด็กพิเศษคนหนึ่ง ตอนสอนออนไลน์ ครูพูดไม่เท่าไรเลย เขาบอกว่าเขาเหนื่อยแล้ว แล้วเขาก็ไม่เรียนเลย ก็เป็นตัวชี้วัดว่าสิ่งที่ครูทำ ไม่ได้ผล ครูต้องไปประชุมกันใหม่”

ครูจิ๋วบอกว่าเด็กจะต้อง Upskill เหล่านี้เพื่อให้การเรียนแบบ Learn from Home เกิดประสิทธิภาพ

  1. บริหารจัดการชีวิต เนื่องจากการเรียนที่บ้านทำให้การจัดการทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด ในเด็กโตต้องช่วยงานบ้าน ซึ่งต้องเลือกจัดตารางเรียนและเข้าเรียนด้วยตนเองตามเวลา ส่วนเด็กเล็กจัดเวลาร่วมกับผู้ปกครอง เกิดเป็นทักษะใหม่ที่ไม่ได้จากการเรียนที่โรงเรียน
  2. อ่านและทำความเข้าใจ คู่มือกิจกรรมการเรียนที่ส่งไปพร้อมชุดการเรียนรู้ และลงมือทำได้ด้วยตนเองในเวลาที่ไม่ได้พบกับครู
  3. ใช้แอปพลิเคชันและโปรแกรมการเรียน การส่งงาน และการพบกับครูออนไลน์
  4. การเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย ด้วยการประชุมเสมือนเรียนห้องเรียนจริง (Virtual Classroom)
  5. บริหารจัดการการทำงานร่วมกับกลุ่มเพื่อน และสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการนัดหมาย ประชุม อภิปราย หาข้อสรุปร่วมกัน เป็นต้น
  6. ออกแบบและนำเสนอความรู้ร่วมกับเพื่อนทางออนไลน์

ส่วนการ Reskill ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน ครูจิ๋วอธิบายว่ามีหลายประการ อาทิ การจัดเวลาทำงานให้เสร็จและส่งตามกำหนดด้วยตนเอง, การจัดระบบเอกสาร อุปกรณ์ การเรียน หนังสือ เพื่อเตรียมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง, การสืบค้นข้อมูลผ่านผู้เชี่ยวชาญ อินเทอร์เน็ต หนังสือ และประมวลความเข้าใจด้วยตนเอง และการจัดทำสื่อเพื่อนำเสนอข้อมูลผ่านระบบออนไลน์

ฝั่งผู้ปกครองก็มีการ Reskill & Upskill เช่นกัน เนื่องจากผู้ปกครองก็คือหุ้นส่วนสำคัญของ Learn from Home ที่สำเร็จ ครูต้อย กล่าวว่า ผู้ปกครองต้องปรับ Mindset โดยการชวนคุยด้วยวงคล้ายๆ PLC แต่จะพบกับผู้ปกครองบ่อยขึ้น การทำงานกับผู้ปกครองต้องมากขึ้น และหากลวิธีต่างๆ ที่จะให้ผู้ปกครองเข้าใจการเรียนรู้ของนักเรียนผ่านการปฐมนิเทศออนไลน์, การใช้คู่มือ, การปรึกษาออนไลน์ และความร่วมมือกับความสัมพันธ์ ซึ่ง Mindset นี้ไม่ได้เปลี่ยนในครั้งเดียว แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง

“การ Reskill & Upskill ของผู้ปกครอง จะทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องการเรียนรู้ ทั้งเรื่องพัฒนาการของลูกหลานตามวัย ถ้าลูกอยู่อนุบาลเรียนรู้อย่างไร ประถมเรียนรู้อย่างไร มัธยมเรียนรู้อย่างไร สำหรับบทบาทของพ่อแม่คือจัดตารางชีวิตการเรียนที่บ้านให้คล้ายกับที่โรงเรียน เป็นส่วนหนึ่งของการปรับเลาในชีวิตประจำวัน จัดพื้นที่ให้เขาได้เรียนรู้ (Learning Space)”

Tags:

ระบบการศึกษาระยองโรงเรียนรุ่งอรุณพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ใบงานบูรณาการ’ โรงเรียนบ้านเขาจีน : เมื่อครูช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ร่วมในโจทย์เดียว ลดภาระผู้เรียนและผู้ปกครอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning21st Century skills
    วิชาสตูดิโอและภาคสนามออนไลน์ : เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเองได้ กับโรงเรียนมัธยมรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    จุดเปลี่ยนพลเมืองไทยคุณภาพใหม่ ผู้เรียนต้องเป็น ‘learner person’ มีสมรรถนะเป็นฐานการเรียนรู้

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ลดภาระงาน เลือกทักษะที่สอดคล้องกับชีวิตเด็ก : หลักการจัดการเรียนรู้ในช่วงโควิด – 19 ของ ‘โรงเรียนบ้านปะทาย’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

เมื่อพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียนไม่ใช่แค่นักเรียนที่ต้องการ ครูก็เช่นกัน :  เปลี่ยน ‘พื้นที่ไม่ปลอดภัย’ ไปสู่ ‘พื้นที่แห่งการเรียนรู้’
Creative learning
30 August 2021

เมื่อพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียนไม่ใช่แค่นักเรียนที่ต้องการ ครูก็เช่นกัน :  เปลี่ยน ‘พื้นที่ไม่ปลอดภัย’ ไปสู่ ‘พื้นที่แห่งการเรียนรู้’

เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • สิ่งสำคัญในการเรียนรู้ คือ การให้ผู้เรียนตั้งคำถามให้ได้มากที่สุด โดยผู้สอนมี ‘พื้นที่ปลอดภัย’ มากพอที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างคำถามได้หลากหลาย แต่การจะมีพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กนั้นตัวครูต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตนเองก่อน 
  • ห้องเรียนในระบบการศึกษาไทยไม่ได้มีวัฒนธรรมในการตั้งคำถามที่ปลอดภัยพอจะให้เกิดกระบวนการเชื่อมโยงแนวคิด นอกจากคนตั้งคำถามจะกังวลกับคำตอบที่จะได้รับจากครู และสายตาที่มองมาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้ว คำถามที่ตั้งนั้นต้องคิดวิเคราะห์อย่างขะมักเขม้นว่า สิ่งที่เรากำลังจะถามสมเหตุสมผลพอหรือไม่ ผ่านการถูกพูดถึงไปหรือยัง เพื่อให้ยังอยู่ใน ‘มาตราฐานเด็กดี’ ที่ครูแปะป้ายไว้
  • เด็กเกิดความรู้สึกกลัวที่จะหลุดออกจากกรอบความคาดหวังของสังคม ซึ่งความกลัวนี้ คือ หลักการหลักที่อำนาจนิยมใช้เพื่อดำรงอยู่ พฤติกรรมของเด็กในห้องเรียนจึงเป็นการเรียนเพื่อจำมากกว่าตั้งคำถามเพื่อวิเคราะห์ แต่ครูไม่ใช่ตัวร้ายของเรื่องนี้ เพราะอำนาจนิยมในระบบการศึกษาก็กดทับครูไม่ต่างกัน 

“ทำไมไม่ตั้งใจฟัง”

“ครูเคยสอนไปแล้วนะ”

“เพิ่งสอนไปเมื่อกี้ ทำไมไม่เข้าใจ”

“ถามเป็นเจ้าหนูจำไมเลยนะ”

บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินคำตอบเหล่านี้หลังจากการตั้งคำถามในห้องเรียน พร้อมทั้งสายตาที่ดูเสมือนว่าการตั้งคำถามของเด็กนักเรียนนั้นช่างดูก้าวร้าวและไร้สาระเหลือเกิน หรือแม้แต่สายตาจากเพื่อนร่วมชั้นที่มองมา ส่งผลให้ครั้งถัดไปหากเรามีเรื่องที่สงสัยก็มักจะไม่กล้ายกมือตั้งคำถาม เพราะภาพจำแรกของการถามนั้นมันช่างดูน่าผิดหวัง

จริงๆ แล้วการตั้งคำถามในห้องเรียน หรือการโดนแปะป้ายว่าเป็น ‘เจ้าหนูจำไม’ นั้นไม่ดีจริงหรือไม่? Paul J Black, Bethan Marshall นักวิจัยด้านการศึกษา และ Clare Lee, Christine Harrison ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน ได้กล่าวถึงเรื่องการตั้งคำถามของเด็กในหนังสือ Working Inside the Black Box: Assessment for Learning in the Classroom (2004) ว่า “สำหรับนักเรียน การตั้งคำถามของตนเองถือเป็นก้าวแรกสู่การเติมช่องว่างความรู้และไขปริศนา กระบวนการถามคำถามช่วยให้พวกเขาแสดงความเข้าใจปัจจุบันในหัวข้อ เชื่อมโยงกับแนวคิดอื่นๆ และรับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาทำหรือไม่รู้ในเรื่องนี้ คำถามที่สร้างโดยนักเรียนยังเป็นส่วนสำคัญของการประเมินตนเองและโดยเพื่อน”

แต่ทว่าการตั้งคำถามในห้องเรียนไทยที่ระบบการศึกษาไม่ได้มีวัฒนธรรมในการตั้งคำถามที่ปลอดภัยพอจะให้เกิดรูปแบบกระบวนการนั้น นอกจากที่คนตั้งคำถามจะต้องกังวลกับคำตอบที่จะได้รับจากครูรวมถึงสายตาที่มองมาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้ว คำถามที่ตั้งออกไปนั้นจะต้องผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างขะมักเขม้นว่าสิ่งที่เรากำลังจะถามสมเหตุสมผลพอหรือไม่ ผ่านการถูกพูดถึงไปหรือยัง 

เพราะหากคำถามนั้นค่อนข้างออกนอกกรอบขึ้นมาเมื่อไหร่ คำว่า ‘ก้าวร้าว’ ก็มักเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกแปะป้ายเบียดตกออกมาจาก  ‘มาตราฐานเด็กดี’ ที่ครูวางไว้เช่นกัน

ทำไมการตั้งคำถามในห้องเรียนถึงต้องยุ่งยาก สร้างความตึงเครียดให้กับคนเรียนขนาดนั้นเลยหรือ? จากหนังสือ Make Just One Change: Teach Students to Ask Their Own Questions (Harvard Education Press: 2011) หนังสือที่อธิบายถึงวิธีการตั้งคำถามแบบ QFT ที่มีการวิจัยออกมาว่าสามารถสร้างเสริมทักษะในการเรียนรู้ได้ลึกซึ้งมากขึ้น ทั้งยังเสริมสร้างกระบวนการคิดและต่อยอดได้อย่างดีเยี่ยม ได้ระบุถึงกรณีการตั้งคำถามในห้องเรียนว่า สิ่งสำคัญในการเรียนรู้ คือ การให้ผู้เรียนตั้งคำถามให้ได้มากที่สุด นั่นแปลว่าผู้สอนจะต้องมีพื้นที่ปลอดภัยมากพอที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างคำถามได้อย่างมากมายและหลากหลาย เพราะการสร้างคำถามจำนวนมากนั้นจะต้องใช้ความรู้สึกปลอดภัยมากพอเช่นเดียวกัน และแน่นอนว่ามันจะต้องไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน หรือสร้างความตึงเครียดให้แก่ผู้ตั้งคำถาม

วัฒนธรรมในห้องเรียนของสังคมไทยยังไม่เอื้อให้เกิดการตั้งคำถาม

“เด็กเอ่ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน เด็กเอ่ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน…”

บทเพลงที่เด็กไทยมักจะได้ยินกันตั้งแต่ยังเด็ก บทเพลงที่บรรจุค่านิยม ‘การเป็นเด็กดี’ ต้องมีหน้าที่อย่างไรเอาไว้ ยังไม่นับค่านิยม 12 ประการที่บรรจุ ‘หน้าที่เด็กดี’ ไว้เช่นเดียวกัน หรือแม้กระทั่งสุภาษิตไทยอย่าง ‘อาบน้ำร้อนมาก่อน’ ‘เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด’ ค่านิยมเหล่านี้ล้วนแฝงไว้ทุกอณูของการดำเนินชีวิต 

หากเรานำค่านิยมในบทเพลงเหล่านี้มีมาแจกแจงกันจริงๆ จะเห็นได้ว่าค่านิยมการเป็นเด็กดี ปลูกฝังให้เด็กไทยทำตามหน้าที่จะต้องอยู่ในกรอบตามที่ผู้ใหญ่คิดขึ้นมาให้เท่านั้น หากเด็กคนไหนเกิดออกนอกกรอบเหล่านั้นก็จะหลุดจากวาทกรรมการเป็นเด็กดีขึ้นมาทันที ยกตัวอย่างจากเพลงหน้าที่เด็กดี 10 ประการ ในข้อที่ 3 ‘เชี่อพ่อแม่ครูอาจารย์’ ที่เป็นอีกหนึ่งค่านิยมที่ยึดโยงกับค่านิยมเคารพผู้อาวุโสในสังคมไทย ต้องเชื่อฟังสิ่งที่ผู้อาวุโสบอกโดยห้ามโต้เถียง หากเด็กคนไหนเกิดโต้แย้งก็จะกลายเป็นเด็กไม่ดี หรือเด็กก้าวร้าว 

การถูกสั่งสอนให้ยอมจำนนและอยู่ในโอวาทผู้ที่มีอำนาจกว่าและอายุมากกว่า ทำให้เด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าออกนอกกรอบ ขาดทักษะในการคิดสร้างสรรค์ หรือหากเด็กคนไหนกล้าหลุดออกมาจากกรอบ ก็จะถูกเบียดไปอยู่ในประเภทเด็กไม่ดีหรือเด็กก้าวร้าวทันที 

และหากมองลึกลงไปแล้ว การที่เด็กจำต้องจำนนกับความอาวุโสของครูบาอาจารย์นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำนาจนิยมในระบบการศึกษาไทยที่ให้อำนาจแก่ความอาวุโสและวางตำแหน่งครูไว้เหนือกว่าตำแหน่งนักเรียน ซึ่งค่านิยมเหล่านี้ส่งผลต่อพฤติกรรมในห้องเรียนของเด็ก ทั้งยังหล่อหลอมให้เกิดวัฒนธรรมในห้องเรียนที่ไม่เอื้อให้เด็กกล้าตั้งคำถามอีกด้วย

ถ้าหากคำนิยาม วัฒนธรรมในห้องเรียน (Classroom Culture) คือ ข้อตกลงและแนวทางปฎิบัติที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้ระหว่างครูและนักเรียน ก็จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมในห้องเรียนของสังคมไทยนั้นถูกกดทับด้วยระบบอำนาจนิยมควบคู่กับกรอบของวาทกรรมเด็กดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น การเรียนการสอนในห้องเรียนส่วนใหญ่นั้นมักจะมาในรูปแบบการสอนแบบท่องจำที่เน้นให้เด็กเชื่อฟัง ครูจะต้องถูกเสมอ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ห้องเรียนในระบบการศึกษาไทยไม่สามารถมีแนวทางปฎิบัติในรูปแบบพื้นที่ปลอดภัยมากพอจะให้เด็กกล้าตั้งคำถามหรือโอบอุ้มเด็กที่ตั้งคำถามนอกกรอบเช่นกัน

ระบอบอำนาจนิยมในการศึกษาไทยและวาทกรรมเด็กดี ปิดกั้นเด็กเห็นต่างด้วยการแปะป้ายว่าก้าวร้าว

หากระบอบอำนาจนิยม (Authoritarianism) คือ ระบอบที่ผู้คนยอมจำนนต่อผู้มีอำนาจ รวมทั้งจำกัดการกระทำและอิสระภาพทางความคิดของบุคคลที่มีอำนาจต่ำแล้วนั้น หลักฐานชิ้นสำคัญที่ฉายชัดว่าอำนาจนิยมยังคงอยู่ในระบบการศึกษาไทยก็คงจะเป็น ‘วาทกรรมเด็กดี’ วาทกรรมที่ผู้มีอำนาจสร้างมาเพื่อควบคุมให้เด็กหรือผู้มีแหล่งอำนาจน้อยกว่าให้อยู่ในอำนาจ จัดประเภทการเป็นเด็กดีจากการเชื่อฟังโดยหากใครแข็งกร้าวหรือออกนอกกรอบขึ้นมาก็จะถูกแปะป้าย ‘เด็กไม่ดี เด็กก้าวร้าว’ ขึ้นมาทันที ซึ่งวิธีการนี้ทำให้เด็กเกิดความกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัยหากเขาต้องการดำเนินชีวิตนอกกรอบวาทกรรมนี้

แล้วคุณสมบัติใดบ้างเล่าที่ถูกบรรจุอยู่ในคำว่าเด็กดี? อ้างอิงจากเกณฑ์การคัดเลือกเด็กประพฤติดีในโครงการคัดเลือกเด็กประพฤติดีมีค่านิยม วันเด็กแห่งชาติประจำปี 2561 ของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ระบุชัดเจนว่า ค่านิยมที่ดี หมายถึง ค่านิยม 12 ประการตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำหนดขึ้นมา ได้แก่…

  1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
  2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม
  3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์
  4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
  5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม
  6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน
  7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง
  8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
  9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
  10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม เมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี
  11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา
  12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

จากค่านิยม 12 ประการข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าการเป็นเด็กดีมักยึดโยงแนวคิดชาตินิยมและการเชื่อฟังให้อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใหญ่ ยิ่งเชื่อฟังและทำตามมากเท่าไร ป้าย ‘เด็กดี’ ก็จะถูกแปะมากขึ้นเท่านั้น

การแปะป้ายเหล่านี้ สร้างปัญหาให้เด็กเกิดความรู้สึกกลัวที่จะหลุดออกจากกรอบความคาดหวังของสังคม ซึ่งความกลัวนี้ คือ หลักการหลักที่อำนาจนิยมใช้เพื่อดำรงอยู่ เห็นได้ชัดว่าเด็กที่ไม่กล้าตั้งคำถามมักมีความกลัวในหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น กลัวได้รับคำตอบที่ไม่ดีจากครู, กลัวการถูกโดนด่าทอ, กลัวการโดนดูถูก, หรืออาจกลัวสายตาเพื่อนร่วมชั้น ทำให้พฤติกรรมของเด็กในห้องเรียนมักเป็นการเรียนเพื่อจำมากกว่าการตั้งคำถามเพื่อวิเคราะห์เสียมากกว่า แต่ครูไม่ใช่ตัวร้ายของเรื่องนี้ เพราะอำนาจนิยมในระบบการศึกษาก็กดทับครูไม่ต่างกัน 

สิ่งเหล่านี้คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่สามารถแปะป้ายใครสักคนให้เป็นผู้ร้าย แต่ระบบโครงสร้างที่ไม่ได้เอื้ออำนวยต่างหาก คือ ผู้ร้ายที่แท้จริง 

อำนาจนิยมที่กดทับครูที่อยู่ในระบบการศึกษา โดยเฉพาะในระบบการศึกษาของรัฐ เราจะเห็นระบบโครงสร้างเหล่านี้ได้ชัดในโรงเรียนรัฐบาล ที่ครูมักถูกจำกัดกรอบการเรียนการสอนให้เป็นไปตามแนวทางที่ระบบวางไว้เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีงานอื่นๆ อย่างงานเอกสาร หรือแบบประเมินต่างๆ ครูจำต้องทำเพื่อให้ภาพรวมของโรงเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีตามที่ระบบกำหนดไว้ หรือยิ่งหากเป็นโรงเรียนในระบบที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ครูคนเดียวจะต้องเป็นทุกอย่างในโรงเรียนแล้วยิ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าระบบโครงสร้างแบบนี้ช่างกัดกินพลังงานจนทำให้ครูไม่ได้มีเวลามากพอที่จะทุ่มไปที่การเรียนการสอนร้อยเปอร์เซ็นต์ 

ส่งผลให้เมื่อถึงเวลาที่ครูต้องมาทำหน้าที่สอนจึงไม่สามารถเปิดพื้นที่การเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ ไม่อาจมีวัฒนธรรมในห้องเรียนที่มีพื้นที่ปลอดภัยมากพอให้นักเรียนกล้าตั้งคำถาม สาเหตุเพราะตัวครูเองก็ไม่ได้มีพื้นที่ปลอดภัยให้กับตัวเองเช่นเดียวกัน ครูส่วนมากจึงมักทำหน้าที่สอนตามสิ่งที่เตรียม มากกว่าเปิดพื้นที่ให้นักเรียนกล้าตั้งคำถาม เพราะหากเด็กตั้งคำถามในสิ่งที่ครูไม่สามารถตอบได้ การกระทำเหล่านี้ก็อาจทำให้ตัวครูเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย และรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในอำนาจ ส่งผลให้เกิดการปิดป้าย ‘เด็กก้าวร้าว’ เพื่อทดแทนความรู้สึกไม่ปลอดภัยและเป็นการสร้างเกาะให้แก่ตนเอง

พื้นที่ปลอดภัย คือ สิ่งจำเป็นในห้องเรียน แต่การจะมีพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กนั้นตัวครูเองจำต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ตนเองก่อน 

การหลุดออกจากกรอบแนวคิดอำนาจนิยม ละทิ้งการถืออำนาจจากแนวคิดอาวุโสและตำแหน่งของครู ยอมลดอคติว่าครูจะต้องถูกเสมอคือสิ่งสำคัญในการปลดล็อกตนเอง มองตนเองว่าครูก็คือมนุษย์คนนึงที่สามารถผิดพลาดได้เช่นเดียวกับเด็ก การยอมรับความเป็นมนุษย์ในตัวเองนั้นจะช่วยให้ครูสามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัย เปลี่ยนความรู้สึกหวาดกลัวที่อยู่ในเขตพื้นที่ไม่ปลอดภัย (Panic zone) ให้ไปสู่พื้นที่แห่งการเรียนรู้ (Learning Zone) ได้ และหากตัวครูเองมีพื้นที่ปลอดภัยมากพอ การสร้างวัฒนธรรมในห้องเรียนที่มีพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กก็จะตามมา

แต่หากจะกล่าวกันจริงๆ แล้วนั้น การที่ครูจะสามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยและปรับทัศนคติได้อย่างสมบูรณ์ควรแก้ไขควบคู่กับปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดทับตัวครูเองเช่นเดียวกัน การมีระบบโครงสร้างการศึกษาที่ดี มุ่งเน้นการกระจายอำนาจทรัพยากรโดยไม่รวมศูนย์อำนาจอยู่บนยอดฐานพีระมิด ทั้งยังมุ่งใส่ใจในตัวครูและเด็กคือทางออกสำคัญในการเปิดพื้นที่ปลอดภัย และสร้างพลังให้ครูมีความมุ่งมั่นในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ โดยไม่จำกัดกรอบในการออกแบบการเรียนการสอน คำนึงถึงสุขภาพจิตของครูและสุขภาพจิตของนักเรียนเป็นส่วนสำคัญ มุ่งเน้นให้ครูและนักเรียนมองเห็นคุณค่าร่วมกันมากกว่ามุ่งไปที่เป้าหมาย 

ที่สำคัญคือระบบโครงสร้างควรแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบโดยทำให้การศึกษาสามารถเข้าถึงในทุกพื้นที่และทุกคนได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม รัฐควรจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอในทุกพื้นที่ การให้ครูคนเดียวทำหลายตำแหน่งในพื้นที่เดียวนั้นจะทำให้ครูไม่สามารถมีพื้นที่ปลอดภัยได้อย่างร้อยเปอร์เซ็น เพราะถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติและละทิ้งการถืออำนาจนิยมแล้วนั้น การต้องทำหลายตำแหน่งในเวลาเดียวกันก็กัดกินพลังงานชีวิตครูจนทำให้การเรียนการสอนในห้องเรียนไม่อาจเกิดพื้นที่การเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์ 

ในขณะเดียวกันหากตัวเด็กเองถูกกดทับจากโครงสร้างระบบการศึกษาที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อตัวผู้เรียนอย่างแท้จริง อำนาจนิยมในระบบเหล่านี้ก็จะเบียดเสียดเด็กที่ตั้งคำถามในห้องเรียนให้ตกลงไปในหลุมของเด็กก้าวร้าวอย่างไม่สามารถหลุดออกมาได้

หากเรามีระบบโครงสร้างการศึกษาที่ดี คำว่า ‘เด็กก้าวร้าว’ ก็จะหมดไป

จากสถิติผลการทดสอบ Programme for International Student Assessment (PISA) ในทั่วโลกตั้งแต่ปี 2000-2019 จะเห็นว่าฟินแลนด์คือประเทศที่ติดอันดับท็อปสิบเสมอ เคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างฟินแลนด์กลายเป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้ นั่นคือการวางโครงสร้างการศึกษาที่ดีและครอบคลุม

ประเทศฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับ ‘การอ่าน’ เป็นลำดับต้นๆ นับตั้งแต่วันที่เด็กถูกคลอดออกมา รัฐบาลฟินแลนด์จะทำการส่ง Baby Box มาให้แก่ครอบครัว โดยสิ่งของด้านในนั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเลี้ยงดูขั้นต้นรวมถึงหนังสือนิทาน เนื่องจากรัฐบาลเล็งเห็นว่าทักษะการอ่านคือสิ่งสำคัญในการเจริญเติบโตของเด็ก ของจาก Baby Box จึงจะต้องเป็นสิ่งที่สามารถเติบโตไปพร้อมกับเด็กได้เช่นเดียวกัน

ไม่เพียงแต่กล่อง Baby Box ที่จะช่วยพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็ก รัฐบาลฟินแลนด์ยังมีการนำซับไตเติ้ลใส่แทนรายการที่มีเสียงพากย์ในโทรทัศน์ ทำให้เด็กที่รับชมโทรทัศน์ถูกปลูกฝังให้อ่านได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ รัฐบาลฟินแลนด์ยังให้ความสำคัญกับครูในระบบการศึกษาอย่างมาก ไม่เพียงแต่กำหนดมาตราฐานในการคัดเลือกบุคลากรครูอย่างเข้มข้น เช่น ครูจะต้องจบการศึกษาในระดับปริญญาโทเท่านั้นแล้ว ฟินแลนด์ยังส่งเสริมการสร้างคุณค่าในอาชีพครูเพื่อเน้นย้ำให้ครูรู้สึกถึงคุณค่าในตนเอง กำหนดความสำคัญถึงการรู้เท่าทันอารมณ์และการยอมรับความแตกต่างของปัจเจกบุคคล และไม่มีการแข่งขันระหว่างโรงเรียนแต่เน้นไปที่การสร้างองค์ความรู้ให้เท่าเทียมกันในทุกโรงเรียนอย่างทั่วถึง และเพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเท่าเทียมในสังคมได้อย่างแท้จริง ประเทศฟินแลนด์จึงเน้นการวัดคะแนนเด็กในแต่ละบุคคลมากกว่าการตั้งมาตรฐานตามเกณฑ์ไว้ เนื่องจากรัฐบาลฟินแลนด์มองว่าเด็กแต่ละคนมีปัจเจกการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การนำมาตราฐานเดียวเป็นตัววัดจึงไม่อาจวัดค่าความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

ฟินแลนด์ได้ปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาให้มีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรอย่างเท่าเทียม โดยเน้นไปที่การสร้างความสุขให้แก่ผู้เรียนนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 นักการศึกษาชาวฟินแลนด์ได้กำหนดข้อสำคัญที่ฟินแลนด์ยึดมั่น ไว้ดังนี้ 1.นักเรียนทุกคนต้องได้รับอาหารโรงเรียนฟรี 2.มีความสะดวกในการเข้าถึงบริการสุขภาพ 3.มีการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา 4.มีการให้คำแนะนำส่วนบุคคล

โดยรัฐบาลฟินแลนด์เชื่อว่าการเริ่มต้นวางรากฐานกับปัจเจกบุคคลในสภาพแวดล้อมที่เท่าเทียมกันจะเป็นกุญแจนำไปสู่การเปิดพื้นที่การเรียนรู้ที่แท้จริง

จากกรณีศึกษาของฟินแลนด์ จะเห็นได้ว่าประเทศฟินแลนด์เลือกที่จะเคารพความหลากหลายและปัจเจกบุคคลในตัวเด็ก โดยไม่มีการกำหนดกรอบวาทกรรมเด็กดีอย่างค่านิยม 12 ประการหรือหน้าที่ของเด็กดี ซึ่งส่งผลให้การปิดป้าย ‘เด็กก้าวร้าว’ แทบไม่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าหากเรามีระบบโครงสร้างการศึกษาที่ดี แนวคิดและทัศนคติการตั้งคำถามในห้องเรียนของเด็กจะถูกมองในแง่ที่เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความรู้รวมถึงสร้างทักษะในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ สร้างความมั่นใจให้แก่ตัวเด็ก เสริมบุคลิกภาพให้เด็กเป็นคนที่กล้าแสดงออก มีความคิดสร้างสรรค์ และรู้สึกปลอดภัยรวมทั้งเชื่อมั่นในตนเองอีกด้วย

หากแต่ระบบโครงสร้างการศึกษาที่ดีไม่มีวันเกิดขึ้นในรัฐเผด็จการ เพราะรัฐเผด็จการคือต้นตอของระบบอำนาจนิยม ผู้นำเผด็จการจะไม่มีวันเข้าใจการถูกกดทับ เพราะรากฐานระบบโครงสร้างเหล่านั้นคือตัวเอื้อหนุนให้เผด็จการยังคงอยู่ หากเราต้องการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการศึกษานี้ สิ่งสำคัญในการกำจัดต้นตอคือการยุติระบอบเผด็จการที่กำลังกัดกินชีวิตพวกเรา

อ้างอิง
For Students, Why the Question is More Important Than the Answer
Authoritarianism
The Learning Zone Model
เมื่อระบบการศึกษาสร้างครูที่ภักดีต่อความรุนแรง
เกณฑ์การคัดเลือกเด็กประพฤติดีมีค่านิยม เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๑
“จงปล่อยให้ดอกไม้บาน“ รากฐานประชาธิปไตยในห้องสมุดฟินแลนด์
PISA student performance in Finland from 2000 to 2018, by subject and score
Rebrand for Finland’s baby boxes
THE SECRET OF FINNISH SCHOOLS
10 reasons why Finland’s education system is the best in the world

Tags:

เทคนิคการสอนการฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ

ชื่อชอบงานศิลปะ แต่ไม่ถนัดวาดรูป รักการถ่ายรูป ค้นพบตัวได้ที่อาร์ตแกลหรือร้านหนังสือ สนใจในเรื่องเพศ สังคม จิตวิทยา มนุษย์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เป็นเฟมินิสต์แอคทิวิสต์ที่ชอบฟังนิทานก่อนนอน เชื่อในความหลากหลายและฝันอยากมีโลกที่โอบอุ้มคนทุกคน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    7 วิธี ตั้งคำถามแบบโสเครติส

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    สื่อสารกันอย่างสันติ: ครูกับเด็กเป็นมนุษย์เท่ากันในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    วิชาฝึกฟัง: อยากให้เด็ก ‘คิด’ เป็น แต่ไม่เคยสอนให้ ‘ฟัง’ เป็น

    เรื่อง The Potential

‘ปิดโรงเรียน เปิดชีวิต’  พลิกวิกฤตเป็นโอกาสทางการศึกษาที่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ : มุมมองจากผู้ทรงคุณวุฒิ
Social Issues
30 August 2021

‘ปิดโรงเรียน เปิดชีวิต’ พลิกวิกฤตเป็นโอกาสทางการศึกษาที่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ : มุมมองจากผู้ทรงคุณวุฒิ

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • หลักคิดในการจัดการเรียนรู้ที่น่าจะเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนทิศทางการศึกษาไทยหลังวิกฤตโควิด-19 คือ ‘ปิดโรงเรียน เปิดชีวิต’ เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง เปิดการเรียนรู้ที่กว้างขึ้น และให้ความสนใจสำคัญกับสิ่งที่เป็นหัวใจของการเรียนรู้จริงๆ นั่นคือ ‘ผู้เรียน’
  • Child Based Learning หรือการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเป็นฐานหลัก คือหนึ่งในแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา นำมาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์นี้ โดยมีหลักการสำคัญคือ “อยู่ที่ไหนก็สามารถเกิดการเรียนรู้ได้”
  • ในงานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 1 นอกจากจะนำเสนอวิธีจัดการเรียนรู้จากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนากับโรงเรียนในเครือข่ายในพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งใช้หลัก Child Based Learning และวง PLC เป็นเครื่องมือสำคัญแล้ว ยังมุมมองจากผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงการศึกษาอีกหลายท่ายด้วย

การแพร่ระบาดของโควิด – 19 สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวางในแทบทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่ระบบการศึกษาที่ถูกเร่งให้ต้องปรับเปลี่ยนยกเครื่องขนานใหญ่เพื่อรับมือกับวิกฤตเฉพาะหน้า ซึ่งการไปโรงเรียนตามปกติเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่จนถึงวันนี้หลายฝ่ายเริ่มเห็นแล้วว่าด้วยสภาพการณ์ที่อาจจะยืดเยื้อยาวนาน การปรับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแล้วในหลายโรงเรียนอาจกลายเป็นโอกาสในการปฎิรูปการศึกษาไทยครั้งสำคัญ  

Child Based Learning หรือการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเป็นฐานหลัก คือหนึ่งในแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนานำมาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์นี้ มีหลักการสำคัญคือ “อยู่ที่ไหนก็สามารถเกิดการเรียนรู้ได้” ชวนให้สังคมกลับไปตั้งต้นที่หัวใจสำคัญของการออกแบบการเรียนรู้ นั่นคือ ‘ผู้เรียน’

งานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 1 กรณีศึกษา โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาและเครือข่ายโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ’ จัดโดย คณะอนุกรรมการด้านการสื่อสารและการมีส่วนร่วมในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา  นอกจากจะนำเสนอวิธีจัดการเรียนรู้จากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา พร้อมกับโรงเรียนในเครือข่ายในพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ อย่างโรงเรียนบ้านปะทาย และโรงเรียนโรงเรียนบ้านกระถุน ซึ่งใช้หลัก Child Based Learning และวง PLC (Professional Learning Community) เป็นเครื่องมือสำคัญแล้ว ระหว่างการเสวนายังเปิดเวทีสะท้อนคิดโดยผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงการศึกษา อาทิ

  • ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางนโยบายและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
  • ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฐานสมรรถนะ
  • รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ อนุกรรมการด้านบริหารงานวิชาการในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
  • ดร.รัตนา แสงบัวเผื่อน ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.
  • รศ.ประภาภัทร นิยม อธิบดีสถาบันอาศรมศิลป์
  • ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช รองประธานมูลนิธิสยามกัมมาจล

โควิด-19 เปลี่ยนมายเซ็ตทั้งประเทศ: โรงเรียนไม่ได้ผูกขาดระบบการศึกษาอีกต่อไป

รศ.ประภาภัทร นิยม อธิบดีสถาบันอาศรมศิลป์ ให้ความเห็นว่า โควิด – 19 ไม่ได้ทำให้เราติดกับหรือถูกล็อกการเรียนรู้ กลับกันโควิด – 19 ทำให้เกิดนวัตกรรมหรือเครื่องมือใหม่ๆ ในระบบการศึกษาบ้านเรา รวมถึงการปรับเปลี่ยนมายเซ็ตครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการมองโรงเรียนในเวลานี้เป็นเพียงศูนย์ปฎิบัติการที่จะทำให้เกิดการสร้างการเรียนรู้ไปสู่ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ (ครู ผู้ปกครอง นักเรียน) มองเห็นสถานที่เรียนรู้ที่สามารถเป็นไปได้ทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะ ‘บ้าน’ ก็สามารถเปิดโอกาสแห่งการเรียนรู้ได้มหาศาล

นอกจากนี้ มายเซ็ตของผู้เรียนเองที่กลายเป็นเรียนรู้ด้วยตัวเองจริงๆ เกิดเป็น Trust หรือความเชื่อมั่นว่าเด็กสามารถเรียนรู้เองได้ มายเซ็ตของครูในการทำงาน จากทำงานเป็นปัจเจก ก็รวมมือผ่านวง PLC ช่วยกันแชร์ vision (วิสัยทัศน์)

มายเซ็ตผู้ปกครอง จากที่เคยมองว่าโรงเรียนเป็นคนจัดการเรียนรู้ให้ลูก วันนี้ผู้ปกครองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง หรือแม้แต่ปู่ย่าตายายเองก็สามารถจัดการศึกษาให้ลูกหลานได้ 

นอกจากการปรับมายเซ็ตแล้ว รศ.ประภาภัทร กล่าวว่า ยังเห็นการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนทักษะ เห็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นผ่านกระบวนการศึกษาเวลานี้ เช่น ทักษะการสร้างคำถาม ทักษะการสร้างประเมินผลที่ไปถึงผู้เรียนจริงๆ ตัวผู้เรียนได้วิเคราะห์งานที่ทำว่าได้อะไรจากการทำสิ่งๆ นี้ แม้แต่ครูเองก็ได้ทักษะการเข้าไปสำรวจตัวเอง รวมถึงผู้ปกครอง ฯลฯ ทั้งหมดนับเป็นสมรรถนะที่อยู่ใน 21st century skills หรือทักษะในศตวรรษที่ 21 เป็นสิ่งที่รศ.ประภาภัทรทำงานมาตลอด รวมถึง การสร้างเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยให้การเรียนรู้เกิดได้ทุกที่ ทำให้บ้านกับโรงเรียนเชื่อมโยงใช้เครื่องมือเดียวกัน สะดวกในการปฎิบัติ ทำให้เกิดเรียนรู้ที่มีความหมาย 

ผู้อำนวยการโรงเรียนคือผู้นำการเปลี่ยนแปลง ระดมความคิดออกแบบการเรียนรู้ด้วย PLC

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงเรียนสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ได้ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางนโยบายและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ให้ความคิดเห็นว่า อยู่ที่การทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ลำปลายมาศพัฒนา ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง ผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถถ่ายทอดความฝัน หลักคิด ปรัชญาของผู้บริหาร สร้างเป็นโครงสร้างที่ยืดหยุ่น และก็ได้คุณครูในโรงเรียนมาร่วมกันสร้างผ่านวง PLC จนสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์เป้าหมาย

นอกจากนี้ กระบวนการเรียนรู้เน้นตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ จะเห็นได้จากเป้าหมายที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาตั้งให้นักเรียน คือ เน้นพัฒนาการของเด็ก เช่น EF (การทำงานของสมองขั้นสูง) Self (ตัวตน) 

“ผมชอบคำหนึ่ง ‘การแชร์ vision (วิสัยทัศน์) ให้เกิด passion (แรงผลักดัน)’ มันมีเส้นแบ่งบางๆ ว่าการเรียนที่เราทำแบบนี้ online learning ทำให้เกิดภาระหรือสร้างระบบการเรียนรู้ไปกับผู้ปกครอง ถ้าเราใช้ระบบเดิมไม่สร้าง passion ให้ผู้ปกครอง จะกลายเป็นภาระงานทันที จะมีความรู้สึกว่า ‘เฮ้ย ทำไมต้องอย่างนั้นอย่างนี้’ เสียงโวยวายสนั่นทั่วประเทศ

“การตระเตรียมผู้ปกครองจึงสำคัญ ที่คุณมาประชุม มา PLC กับเรา ก็เพื่อลูกหลานเรา ลูกหลานเราแต่ละระดับต้องเรียนรู้แบบไหน ปัญหาข้อจำกัดคืออะไร สิ่งที่เกิดขึ้น คือ การเรียนรู้ที่บ้านกับโรงเรียนเชื่อมโยงกัน เป้าหมายตรงกันเพื่อลูกหลานของคุณ เพราะพ่อแม่ทุกคนรักและหวังดีกับลูก ถ้าเราช่วยบอกกับเขาว่า ‘ไม่ควรพูดกับลูกแบบนี้นะ’ ‘ควรจะเสริมแบบไหน’ กระบวนพวกนี้ทำให้เห็นว่าวง PLC สามารถตอบโจทย์การทำงาน ความร่วมมือ เต็มใจ” ศ.ดร.สมพงษ์กล่าว

รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ อนุกรรมการด้านบริหารงานวิชาการในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ก็หยิบประเด็นการทำงานร่วมกันของครูและผู้ปกครองมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยให้ความเห็นว่าการจัดการศึกษาเช่นนี้ต้องอาศัยการคิดนอกกรอบ ความคิดสร้างสรรค์ที่ได้จากการแชร์ผ่านเครื่องมือที่สำคัญอย่างวง PLC

“วิกฤตครั้งนี้ทำให้เห็นคีย์เวิร์ดตัวหนึ่งที่เป็นประโยชน์ การเรียนรู้ของผู้ปกครอง เรารู้ว่าระบบการศึกษาพอโรงเรียนแยกมาจากคำว่าบวร ผู้ปกครองก็โยนภาระให้ครู ให้โรงเรียน แต่ครั้งนี้ผู้ปกครองได้เรียนรู้มหาศาลเลย ที่สำคัญได้เข้าใจลูกตัวเองที่กำลังอยู่ในระบบการศึกษา ได้เห็นพัฒนาการของลูก ได้เห็นว่าครูยากลำบากยังไงในการสอนลูกตัวเอง วิกฤตอันนี้ถือเป็นการสื่อสารวิชาพ่อแม่ครู พ่อแม่กลายเป็นครู เป็นครูคนแรกของเด็กอย่างจริงจังเสียที 

“ที่ผู้ปกครองเปลี่ยนได้ส่วนหนึ่งเพราะกระบวนการจิตศึกษาที่ลงไปที่ผู้ปกครอง ทำยังไงถึงจะดึงผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา เข้ามามีส่วนร่วม เปลี่ยนมายเซ็ตพวกเขา เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับโรงเรียน” 

รศ.ดร.สุธีระกล่าวและทิ้งท้ายคำถามชวนคนในวงเสวนาคิดต่อว่า โครงสร้างระบบการศึกษาในเวลานี้สามารถตามทันโลกปัจจุบันหรือไม่ และระบบพัฒนาครูที่ต้องเปลี่ยนมายเซ็ตใหม่ ในอนาคต แนวโน้มการพัฒนาครูจะเป็นอย่างไร

เอื้ออำนวยด้วยการปลดล็อกระเบียบและปฎิรูปการศึกษาไทยผ่าน ‘หลักสูตรสมรรถนะ’

แม้ว่าที่ผ่านมาหลายโรงเรียนจะพยายามปรับตัวเพื่อที่สอดรับกับวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่เสียงสะท้อนจากผู้อำนวยการและครูในฐานะผู้ปฏิบัติ คือ กฎระเบียบต่างๆ ได้สร้างเงื่อนไขและข้อจำกัดที่ทำให้ปรับเปลี่ยนได้ค่อนข้างยาก ดร.รัตนา แสงบัวเผื่อน ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า ทางสำนักวิชาการฯ พยายามปลดล็อกข้อจำกัดที่มีอยู่ โดยติดตามจากสถานการณ์ในปัจจุบันว่าโรงเรียน ครู นักเรียนมีปัญหาติดขัดอะไรบ้าง และส่งเรื่องไปยังเขตพื้นที่การศึกษา เช่น ปัญหาเวลาเรียน จากสถานการณ์ทำให้เวลาเรียนของเด็กที่ตามระเบียบจะต้องร้อยละ 80 ขึ้นไปถึงจะสามารถเลื่อนชั้นหรือเรียนจบได้ ทางสำนักฯ พยายามยืดหยุ่นโดยให้ครูเป็นคนวัดว่าความสามารถเด็กในตอนนี้ผ่านเกณฑ์ที่ครูตั้งไว้หรือไใม่ โดยไม่ต้องคำนึงเรื่องเวลาเรียน หรือการวัดและประเมินผลจากเดิมที่ต้องใช้แบบทดสอบ ก็สามารถปรับเปลี่ยนตามที่โรงเรียนเห็นสมควร 

ในอีกมุมหนึ่ง ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฐานสมรรถนะ กล่าวว่า ขณะนี้การทำงานของคณะกรรมการพยายามปรับเปลี่ยนหลักสูตรโดยใช้สมรรถนะเป็นฐาน เพราะตอนนี้เทรนด์การศึกษาโลกเปลี่ยนจาก content based เป็น capacity based ใช้สมรรถนะเป็นฐาน ความกังวลของคณะกรรมการ คือ กลัวว่าจะเป็นการเพิ่มภาระงานให้ครูและนักเรียนในสภาวะเช่นนี้ แต่จากการฟังงานเสวนาครั้งนี้ก็พบว่า หลักสูตรที่โรงเรียนคิดมีการใส่เป้าหมายพัฒนาเด็กโดยใช้สมรรถนะตั้ง แถมมีสมรรถนะมากกว่าที่คณะกรรมการกำหนดเสียอีก ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการปรับเปลี่ยนในระบบการศึกษาไทย

“หัวใจของความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ จากที่คณะกรรมการฯ ได้ศึกษาตัวอย่างหลากหลายประเทศที่ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ ไม่ว่าจะเป็นนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หรือฟินแลนด์ที่สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจระหว่างผู้อำนวยการโรงเรียนและคุณครูทุกคน ในการร่วมมือวางแผนจัดการเรียนรู้ วันนี้จากที่ฟังครูทั้ง 3 โรงเรียน กระบวนการที่พวกท่านทำเหมือนที่ฟินแลนด์ทำเลย ทั้งผู้อำนวยการโรงเรียน ครู ผู้ปกครอง และเด็กต่างมีส่วนร่วม โดยเฉพาะนักเรียนที่รู้ว่าตัวเขาต้องการสมรรถนะอะไร และต้องทำยังไงให้ไปถึงได้” ดร.สิริกรกล่าว

ปิดท้ายด้วยมุมมองจาก ดร.พิทักษ์ โสตถยาคม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา กล่าวถึง พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (อ่าน พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ) พื้นที่นำร่องทั้ง 8 จังหวัดได้เปิดให้โรงเรียนเป็นคนออกแบบหลักสูตรการศึกษาด้วยตัวเอง ความสำคัญของพื้นที่นี้ คือ การขยายผลเอากระบวนการของโรงเรียนที่ทำสำเร็จส่งต่อให้โรงเรียนอื่นๆ เพื่อปฎิรูปการศึกษาไทย 

“เราเอาระบบการศึกษากลับไปที่หัวใจจริงๆ ก็คือการเรียนรู้ด้วยตัวเองของผู้เรียน เน้นเป้าหมายแท้จริง เปลี่ยนจากโรงเรียนที่เคยเป็นฐาน กลายมาเป็นผู้เรียนเป็นฐาน”

“ที่ลำปลายมาศให้ความสำคัญกับการตั้งโจทย์น้อยแต่สำคัญยิ่ง เน้นความท้าทายเป็นหลัก ปิดโรงเรียน เปิดชีวิต เราเอาชีวิตเป็นตัวตั้ง เปิดการเรียนรู้ที่กว้างขึ้น ให้ความสนใจสำคัญกับสิ่งที่เป็นหัวใจของการเรียนรู้จริงๆ” ดร.พิทักษ์ กล่าวถึงหลักคิดในการจัดการเรียนรู้ที่น่าจะเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนทิศทางการศึกษาไทยหลังวิกฤตโควิด-19

Tags:

Professional Learning Community : PLCรศ.ประภาภัทร นิยมศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับรศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ดร.รัตนา แสงบัวเผื่อนดร.สิริกร มณีรินทร์ดร.พิทักษ์ โสตถยาคมพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาหลักสูตรฐานสมรรถนะล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ใบงานบูรณาการ’ โรงเรียนบ้านเขาจีน : เมื่อครูช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ร่วมในโจทย์เดียว ลดภาระผู้เรียนและผู้ปกครอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    ปลดล็อกระบบการศึกษาไทย ปฏิรูปการเรียนรู้บนฐานสมรรถนะ : เสียงสะท้อนจากผู้ทรงคุณวุฒิ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ถอดบทเรียน ‘ครูสามเส้า’ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องเป็นโอกาสและโจทย์ร่วมของสังคม : มุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Creative learning21st Century skills
    วิชาสตูดิโอและภาคสนามออนไลน์ : เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเองได้ กับโรงเรียนมัธยมรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    จุดเปลี่ยนพลเมืองไทยคุณภาพใหม่ ผู้เรียนต้องเป็น ‘learner person’ มีสมรรถนะเป็นฐานการเรียนรู้

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง : เคลื่อนมุมคิดจากโรงเรียนเป็นฐาน สู่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Child Base Learning)
Creative learning
28 August 2021

ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง : เคลื่อนมุมคิดจากโรงเรียนเป็นฐาน สู่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Child Base Learning)

เรื่อง ปริสุทธิ์

  • การเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นฐาน (Child Base Learning) ‘เปลี่ยน Living เป็น Learning – อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน อยู่ที่ไหนก็เรียนได้’ สร้างวิถีใหม่ในระบการศึกษาจากโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา นำโดยหัวเรือใหญ่ ครูใหญ่ – วิเชียร ไชยบัง ผู้อำนวยการโรงเรียน
  • “ทุกครั้งที่เราจะปิดเทอมใหญ่ เราก็จะมีการดีไซน์ว่าจะทำให้เด็กยังคงการเรียนรู้อยู่ได้อย่างไร เราก็จะดูว่าจะออกแบบอย่างไรให้ผู้เรียนกับพ่อแม่ยังจดจ่อ แล้วก็เกื้อหนุนให้ลูกยังเรียนอยู่ เพื่อไม่ให้การเรียนรู้ถดถอย ก็เป็นความคิดมาตั้งแต่ต้นว่า แท้จริงแล้วเราต้องยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการที่จะทำให้ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้ตลอด”
  • การบ้านที่เยอะ – ยุ่ง ถูกยกเป็นตัวอย่างอุปสรรคของการเรียนรู้สำหรับเด็กๆ เพราะโดยทั่วไป เมื่อเด็กเรียนที่บ้าน ครูจะมอบการบ้านวิชาของตัวเอง ผลคือเด็กๆ จะมีการบ้านล้นมือ และหลายชิ้นก็ไม่มีคุณค่าต่อการใช้ความรู้หรือทักษะเพื่อให้ออกมาเป็นสมรรถนะ ครูใหญ่วิเชียรบอกว่ามันเยอะเกินไปจนไม่มีเวลาใคร่ครวญออกมา ทางออกคือเปลี่ยนความเยอะ-ยุ่งให้เป็นความซับซ้อนและท้าทาย

ในสถานการณ์ที่โรงเรียนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติ ไม่เพียงความกังวลของพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูและบุคลากรทางการศึกษาต่างก็พยายามหาวิธีที่จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องและเป็นการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

ครูใหญ่ – วิเชียร ไชยบัง ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้พูดถึงภาวการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีความหวังว่า ‘โควิด คือ โอกาส’ เขาเห็นว่า ระบบการศึกษาไทยสามารถเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็นจุดหักเหในการสร้างวิถีแห่งการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นฐานได้ (Child Base Learning) เพียงแต่ต้องปรับมายเซ็ตในการออกแบบการเรียนรู้ตามแนวคิด ‘เปลี่ยน Living เป็น Learning – อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน อยู่ที่ไหนก็เรียนได้’ 

อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน

สารตั้งต้นของแนวคิดเรื่อง Child Base Learning เกิดจากการอ่านเรื่องราวของโรงเรียนทดลองแห่งหนึ่งชื่อว่า KEEP Academy ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แร้นแค้นของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทดลองวิธีการด้านการศึกษากับเด็กในพื้นที่นั้น จนกระทั่งไม่กี่ปีผ่านไป เด็กๆ ซึ่งมาจากครอบครัวผู้อพยพและยากจนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนสูงมาก โดยเฉพาะคณิตศาสตร์

ปัจจัยสำคัญของผลสัมฤทธิ์ คือ การเปลี่ยนช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอันยาวนานที่โดยปกติครอบครัวยากจนจะไม่ส่งเสริมกิจกรรมระหว่างเรียน ทำให้เด็กมีภาวะการเรียนรู้ถดถอย ให้เกิดการส่งเสริมกิจกรรมระหว่างเรียนในช่วงปิดเทอมจากโรงเรียน กระทั่งได้ผลลัพธ์อย่างที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

“ทุกครั้งที่เราจะปิดเทอมใหญ่ เราก็จะมีการดีไซน์ว่าจะทำให้เด็กยังคงการเรียนรู้อยู่ได้อย่างไร เราก็จะดูว่าจะออกแบบอย่างไรให้ผู้เรียนกับพ่อแม่ยังจดจ่อ แล้วก็เกื้อหนุนให้ลูกยังเรียนอยู่ เพื่อไม่ให้การเรียนรู้ถดถอย ก็เป็นความคิดมาตั้งแต่ต้นว่า แท้จริงแล้วเราต้องยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการที่จะทำให้ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้ตลอด อีกอันหนึ่งที่เป็นแพสชั่นส่วนตัว คือ ผมรู้สึกว่าในยุคสมัยนี้สิ่งต่างๆ ก้าวกระโดดมาก การที่จะยึดโยง ผูกขาดการเรียนรู้ไว้ที่สถาบันการศึกษาอาจจะไม่ใช่แล้ว”

เขายกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นจริงกับเด็ก ม.6 บางคนที่อยากเรียนหมอ แต่การเรียนรูปแบบเดิมๆ ที่มีวิชาอื่นๆ ราว 13-14 วิชา หลังจากคุณครูระดมให้การบ้านผ่าน Google Classroom เด็กๆ ต้องใช้เวลาทั้งสัปดาห์เพื่อสะสางงาน มิหนำซ้ำยังต้องเอาเวลาส่วนตัวไปลงเรียนพิเศษที่มีค่าเรียนแพงหลายพันบาท

เด็กบางคนฝันอยากเป็นนักเขียนโค้ด ก็ใช้เวลาส่วนตัวไปลงเรียนไพทอน (Python) ซึ่งไม่มีอยู่ในหลักสูตรมัธยมศึกษา เหตุการณ์เหล่านี้กำลังบ่งบอกว่าเด็กๆ กำลังพยายามไปสู่เป้าหมายด้วยตัวเอง ในแง่ดีนี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้าง Self Directed Learner จากผู้เรียนจริงๆ

“เราน่าจะทำอะไรที่เป็นโครงสร้างจริงๆ จังๆ เป็นรูปแบบจริงๆ จังๆ ว่า จะทำอย่างไรให้ เคลื่อน Mindset ที่ว่าจากโรงเรียนเป็นฐานในการเรียนรู้ หรือสถาบันการศึกษาเป็นฐานในการเรียนรู้ ไปสู่ผู้เรียนเป็นฐานในการเรียนรู้” 

มีสโลแกนง่ายๆ ว่า ‘อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและมายเซ็ต (Mindset)

ในฐานะเราเป็นผู้ใหญ่อาจจะต้องสนับสนุนเรื่องโครงสร้าง จัดการเรื่องโครงสร้างพอสมควร โครงสร้างก็อาจจะเป็นทั้งรูปแบบที่มองเห็นได้และมองเห็นไม่ได้ ส่วน Mindset ก็เหมือนกัน ต้องเปลี่ยนความเชื่อที่ว่า สถานศึกษาเท่านั้นที่เป็นที่สร้างการเรียนรู้ เปลี่ยนเป็นผู้เรียนก็สร้างการเรียนรู้เองได้”

ในสถานการณ์ที่ภายนอกบ้านไม่น่าไว้วางใจ หรือแม้กระทั่งที่โรงเรียนเองก็ตาม ‘บ้าน’ จึงเป็นสถานที่สร้างการเรียนรู้ที่ดีที่สุด แต่การเรียนรู้แบบเดิมก็อาจจะไม่เหมาะสมแล้ว ครูใหญ่วิเชียรบอกว่านี่เป็นโอกาสทั้งของเด็ก ผู้ปกครอง และครู ที่จะเกิดกระบวนการทำงานร่วมกัน เพื่อที่จะใช้โอกาสนี้ส่งผลถึงการเคลื่อน Mindset ของทั้ง 3 กลุ่ม รวมไปถึงการจัดการต่างๆ ที่จะยังคงการเรียนรู้ไว้ไม่ให้ถดถอยขณะที่เด็กๆ ต้องอยู่บ้าน

เขาอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเคลื่อน Mindset การเรียนรู้จาก ‘โรงเรียน’ เป็นฐาน สู่ ‘ผู้เรียน’ เป็นเจ้าของการเรียนรู้ ‘อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน’ นำไปสู่แนวคิดที่ว่า กระบวนการเรียนรู้ส่วนมากของมนุษย์ควรจะเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง สอดคล้องกับยุคสมัยที่ทุกอย่างค้นหาได้ง่ายๆ ด้วยเทคโนโลยี

เปลี่ยน Living เป็น Learning

ในช่วงภาวะโควิด – 19 อันเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต แต่สำหรับครูและผู้ปกครอง ต้องร่วมกันใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นโอกาสส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กๆ ให้ไม่ชะงัก ไม่ถดถอย และถึงที่สุดแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิด – 19 ได้

ครูใหญ่วิเชียรบอกว่านี่คือโอกาสฝึกฝนความเป็น ‘Self Directed Learner’ ให้แก่เด็กๆ ว่าจะทำอย่างไรในภาวะโควิด – 19 โดยยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยังเรียนรู้ปกติ อยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้ โดยที่ไม่ต้องหวาดกลัวมากเกินไป เมื่อมีวัตถุประสงค์แบบนี้แล้ว ก็นำไปสู่การออกแบบการทำงาน

“ครูกับผู้ปกครองทำงานร่วมกันอยู่ 2 – 3 ครั้งเลยถึงลงตัว เรื่องการให้ผู้ปกครองออกแบบวิถีชีวิตที่บ้าน จาก Living เป็น Learning ให้ได้ โดยเราเริ่มต้นจากให้ทำอย่างง่ายก่อน ให้มี 3 ช่วง ที่เด็กจะต้อง ‘ทำท่าเรียน’ คือถึงเวลาก็มานั่งเรียน มานั่งทำกิจกรรม อาจจะมีพ่อแม่ทำด้วยถ้าชั้นเล็ก ชั้นโตเขาก็ต้องทำเอง

สักพักคำว่าทำท่าเรียนจะกลายเป็นพฤติกรรมการเรียน และในที่สุดก็จะเป็นวิถีแห่งการเรียนไปเลย เพราะเวลาเขาอยู่บ้านจะรู้สึกผ่อนสบาย อยากจะทำอะไรก็ได้ ตอนไหนก็ได้ ทีนี้เราคุยกับพ่อแม่บ่อยครั้งมาก ครั้งที่ 2 – 3 ถึงลงตัว แล้วพอเป็นวัยอนุบาลจะไม่ใช่ 3 ช่วงเวลาแล้ว ตอนอยู่บ้านคือกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดเลย”

PLC เคล็ดไม่ลับการออกแบบการเรียนรู้

ครูใหญ่วิเชียรยกให้ Professional Learning Community (PLC) เป็นกระบวนการที่ทำให้ครูเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ ส่วนผู้ปกครองเป็นผู้เกื้อหนุนการเรียนรู้หรือสนับสนุนการเรียนรู้ โดยเปลี่ยนชุดความคิดด้านการสอนแบบเก่าๆ มาเน้นกระบวนการที่ผู้เรียนเป็น ‘Self Directed Learner’

“กระบวนการ PLC ที่มีคุณภาพทำให้ครูและคนที่เกี่ยวข้องได้วิเคราะห์ ได้เห็นปัญหา ได้เห็นแง่มุมต่างๆ อย่างแท้จริง” 

“เราคุยกันมากถึงเรื่องสถานการณ์ ความซับซ้อนของปัญหา เด็กแต่ละคนเป็นอย่างไร ครอบครัวแต่ละครอบครัวเป็นอย่างไร เราเก็บข้อมูลมาเรื่อย เพราะเรามีหลายอย่างที่ทำคู่ขนานกัน เราก็ได้ข้อมูลมา เช่น เรามีบางโครงการที่เข้าไปช่วยผู้ที่มีผลกระทบจากโควิด แล้วก็ช่วยผู้ปกครองบางกลุ่ม เพราะฉะนั้นข้อมูลก็จะกลับมาที่เราเยอะ ตัวเด็กเองด้วยความที่เรา PLC กันบ่อย เราจะเข้าใจเด็ก ความซับซ้อนพวกนี้จึงนำมาสู่การจัดรูปแบบและกระบวนการที่จะเข้าไปสู่เด็กแต่ละคนได้”

สถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ครูใหญ่วิเชียรอธิบายว่ากระบวนการ PLC ทำกันตั้งแต่ก่อนปฐมนิเทศการเรียน ทำอย่างต่อเนื่อง เพราะความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด และผู้ปกครองก็มีพื้นฐานที่แตกต่างกัน โดยเป้าหมายที่ครูต้องกำหนดไว้มีอยู่ 3 ส่วน คือ

  1. ทำอย่างไรที่จะพัฒนาผู้เรียนได้และยังคงเลือกที่จะพัฒนาสมรรถนะที่สำคัญได้
  2. ทำอย่างไรให้ผู้ปกครองแต่ละระดับชั้นเข้าใจลูกจริงๆ เห็นเป้าหมายของช่วงชั้นนั้นจริงๆ และยังเห็นเชื่อมโยงไปยังเป้าหมายไกลๆ ด้วย
  3. ทำอย่างไรให้ผู้ปกครองรู้วิธีการ คือการทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ทั้งออนไซต์และออนไลน์ ทั้งเรียลไทม์และไม่เรียลไทม์

“ทั้งสามข้อนำไปสู่ ‘การออกแบบกระบวนการ’ เป็นวิธีการออกโจทย์ที่ซับซ้อนแต่ได้ผล สร้างกระบวนการที่จะทำงานกับผู้ปกครองและเด็ก โยงใยกันอย่างไร ระดับไหน เราจะกำหนดตัวจัดกระทำอย่างไร จะวัดอย่างไร พวกนี้เราต้องออกแบบการดำเนินการ กระบวนการก็จะเป็นพลวัตมากๆ หมุนเวียนกันไป ลงมือทำ เอามาสะท้อนผล ให้ฟีดแบคกับกลับมาสะท้อนผล

เพราะฉะนั้น PLC จะเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ เราจะได้เห็นทุกแง่มุมว่าผู้ปกครองแต่ละกลุ่มที่เราจัดไว้ เวลาเราจะกระทำลงไปท่านได้เข้าใจลูกมากขึ้นไหม เข้าใจวิธีทำไหม ตัวเด็กก็เหมือนกัน เด็กที่เราคิดว่าแบ่งเป็นกลุ่มที่ยากลำบาก พอเข้าไปช่วยเขาเรียนรู้ได้ดีขึ้นไหม ถ้าไม่ดีจะทำอย่างไร”

การบ้านที่เยอะ – ยุ่ง ถูกยกเป็นตัวอย่างอุปสรรคของการเรียนรู้สำหรับเด็กๆ เพราะโดยทั่วไป เมื่อเด็กเรียนที่บ้าน ครูจะมอบการบ้านวิชาของตัวเอง ผลคือเด็กๆ จะมีการบ้านล้นมือ และหลายชิ้นก็ไม่มีคุณค่าต่อการใช้ความรู้หรือทักษะเพื่อให้ออกมาเป็นสมรรถนะ ครูใหญ่วิเชียรบอกว่ามันเยอะเกินไปจนไม่มีเวลาใคร่ครวญออกมา ทางออกคือเปลี่ยนความเยอะ-ยุ่งให้เป็นความซับซ้อนและท้าทาย

สำหรับครูที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะคิดโจทย์กันมา แล้วมาทำ PLC กัน ดูแง่มุมว่ามีโจทย์อย่างไร สถานการณ์แบบไหนที่จะสร้างให้เด็กแสวงหาความรู้ด้วยและดึงความรู้มาเป็นสมรรถนะด้วย ทำงานกันสักพักครูก็จะออกแบบโจทย์ที่ซับซ้อนท้าทาย เหมาะกับกลุ่มได้ โดยออกแบบโครงสร้างรูปแบบการเข้าถึงข้อมูลทั้งออนไลน์ – ออนไซต์ ทั้งแบบเรียลไทม์ ไม่เรียลไทม์ ถ้าเรียลไทม์จะต้องสั้นและเน้น Reflection เท่านั้น ไม่มีการบรรยาย

“กระบวนการ Reflection ที่ดี คือการฝึกกันว่าตั้งคำถามอย่างไรให้เด็กรู้ตัวว่าเป้าหมายคืออะไร ตั้งคำถามอย่างไรให้เด็กรู้ตัวว่าเขาอยู่ตรงไหน และตั้งคำถามอย่างไรให้เด็กรู้ว่าเขาต้องทำอย่างไร  ตรงนี้เป็นศิลปะมาก”

“ผู้ปกครองที่มาเรียนที่โรงเรียน ก็ทำ 2 – 3 เรื่องนี้ ฝึกฝนผู้ปกครองให้รู้ว่าจะซัพพอร์ตเด็กอย่างไรในแต่ละวัย โดยการฝึกฝนผู้ปกครองมี 3 อย่าง หนึ่ง คือต้องรู้จักลูกจริงๆ เพราะบางคนมีลูกเป็นมัธยมแล้วยังเข้าใจว่าลูกต้องทำตัวเหมือนอนุบาล ซึ่งวิธีการที่จะปฏิบัติกับลูกต้องเปลี่ยนไปถ้าเขาเข้าใจลูกจริงๆ 

“อย่างที่สอง เขาต้องเข้าใจเป้าหมายจริงๆ ว่าการศึกษาหรือการเรียนรู้ในสภาวการณ์แบบนี้ อะไรคือสิ่งสำคัญ อะไรคือสิ่งที่จับจ้อง อะไรคือเป้าหมาย และสามเขาต้องรู้วิธี ว่าจะฟีดแบคอย่างไร จะประเมินอย่างไร จะสังเกตอย่างไร จะส่งงานไปให้คุณครูอย่างไร คือสามเรื่องใหญ่ที่ผู้ปกครองต้องรู้”

ส่วนโครงสร้างการทำงานที่ครูใหญ่วิเชียรนำมาเป็นตัวอย่าง จะพบว่าทางโรงเรียนให้การบ้านไม่เยอะ คือ มี Problem-based Learning (PBL), ภาษาไทย, คณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, บันทึกชีวิต, บันทึกการอ่าน และจิตศึกษา (เช่น ฝึกสลับที่ความคิด สลับที่ความรู้สึก ฝึกการให้เหตุผลจากเหตุการณ์ของสังคม ฯลฯ) เขาอธิบายว่า ‘จิตศึกษา’ สำคัญมากที่สุด เพราะตระหนักว่าแม้เด็กจะมีสมรรถนะครบทุกด้าน แต่อาจถูกนำไปใช้อย่างผิดๆ

“บางทีการมีสมรรถนะครบทุกด้านอาจจะไม่เป็นคุณกับใครก็ได้ ถ้าเขารวมกลุ่มกันใช้ความคิดที่ซับซ้อนสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพจนสามารถโจรกรรมได้ เราจึงต้องบอกเรื่องหนึ่งกับผู้ปกครองแล้วให้ผู้ปกครองฝึกฝน คือเรื่องการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรม” 

“เพราะการฝึกฝนการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรมผ่านจิตศึกษาก็จะช่วยให้ผู้เรียนชั่งน้ำหนัก ประเมินผลที่จะทำให้เกิดผลกระทบทางบวกกับคนหมู่ใหญ่ได้เสมอ ก็กลายเป็นว่าเขาใช้สมรรถนะไปทางที่เป็นคุณกับคนอื่นๆ ได้”

สำหรับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ใช้เครื่องมือคือ ตารางการประมวลความก้าวหน้าของผู้เรียน มาช่วยดีไซน์ให้เห็นว่าเด็กได้รับงานหรือไม่ ส่งงานหรือเปล่า ครูให้ฟีดแบคหรือเปล่า และสุดสัปดาห์ครูมีประเมินหรือไม่

ประโยชน์ของการประเมินในแต่ละสุดสัปดาห์ก็เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนของสัปดาห์ถัดไป ได้ผลหรือไม่กับเด็กแต่ละกลุ่ม ครูใหญ่ย้ำว่าฟีดแบคสำคัญมากต่อผู้เรียน เช่นเวลาครูให้การบ้านเด็กนักเรียนไป เด็กบางคนจับทิศทางไม่ถูก การฟีดแบคอย่างรวดเร็วทำให้เขากลับมาสู่ทิศทางและเป้าหมายที่ต้องทำให้ถูกทางได้เร็ว สุดท้ายก็ไม่ล้มเหลว

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)Child Based Learningระบบการศึกษาโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาวิเชียร ไชยบังเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    หากโควิดบังคับให้ครูเปลี่ยน จะสอนออนไลน์ยังไงให้ป็อปและยังมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์อยู่?

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    COVID-19 คาดเด็ก 363 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียน

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ นัฐพล ไก่แก้ว

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

เงินทองต้องคิดส์ (6) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับเด็กเล็ก)
Early childhood
27 August 2021

เงินทองต้องคิดส์ (6) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับเด็กเล็ก)

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การลงทุนเป็นเรื่องนามธรรมที่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กเล็กที่มักมีปัญหาในการเข้าในแนวคิดเรื่องวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า หรืออนาคตอันไกลแสนไกล การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าใจยากยิ่งกว่า หนึ่งวิธีในการทำความเข้าใจ คือ การทำให้แนวคิดนามธรรมจับต้องได้ ก็คือการสอนผ่านนิทานหรือการชวนทำกิจกรรมง่ายๆ ที่ต้องรอเวลาก่อนจะได้ผลตอบแทน เช่น การปลูกผักหรือดอกไม้
  • เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงประถมวัยและเริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น พ่อแม่อาจชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจของเจ้าตัวเล็กเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในภาพใหญ่อย่างไร เช่น อธิบายเรื่องหุ้นและบริษัทผ่านสินค้าต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ชวนคิดเรื่องการกระจายความเสี่ยงด้วยการทดลองทางความคิดอย่างเช่น จะเป็นอย่างไรถ้าร้านอาหารมีเมนูแค่เมนูเดียว เป็นต้น
  • ‘ล็อตเตอรี่’ อาจดูเหมือนเป็นการลงทุนใกล้ตัวที่ใครๆ ก็รู้จักรวมถึงเด็กๆ ในบ้าน หากเจ้าตัวน้อยอยากทดลองหาทางลัดรวยเร็วด้วยการเล่นล็อตเตอรี่ ผมแนะนำว่าไม่ควรห้ามแต่ลองให้เอาเงินออมในกระปุกมาลองซื้อจริงจะได้เจ็บจริงเพราะโอกาสถูกล็อตเตอรี่นั้นน้อยมากๆ เมื่อได้ลองขาดทุนกับตัวก็ถือเป็นโอกาสให้พ่อแม่เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าถ้าเราเอาเงินที่จะซื้อล็อตเตอรี่มาเก็บออมและลงทุนนั้น ผ่านไปสิบปีจะมีเงินเท่าไหร่

แม้ตัวผมเองจะจบด้านบัญชีและการเงินมาโดยตรง แต่พอก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยก็ต้องเจอกับสารพัดรายละเอียดยิบย่อยที่ต้องบริหารจัดการ ตั้งแต่รายรับรายจ่ายแต่ละเดือน การสมัครบัตรเครดิต การขอสินเชื่อ การกำหนดวงเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การยื่นภาษี และอีกสารพัด

แต่เรื่องยอดนิยมที่สุดในแวดวงคนทำงานก็คงหนีไม่พ้น ‘การลงทุน’

เมื่ออ้าปากพูดถึงเรื่องดังกล่าว ศัพท์เทคนิคก็จะหล่นมาเป็นพรวนตั้งแต่อัตราส่วนทางการเงินเพื่อเลือกหุ้นที่น่าสนใจ วิธีดูกราฟปริมาณการซื้อขายเพื่อหาจังหวะซื้อ รายชื่อกองทุนเด็ดของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางคนอาจไปไกลถึงขั้นสารพัดตราสารอนุพันธุ์ ฟิวเจอร์ส สว็อป ออปชัน หรือกระทั่งสกุลเงินเข้ารหัสอย่างบิตคอยน์ที่การันตีว่าจะรวยง่ายและรวยเร็ว

ขนาดผู้ใหญ่อย่างเราๆ ท่านๆ ยังปวดหัว แล้วจะเอาอะไรไปสอนเจ้าตัวเล็กในบ้านล่ะครับ?

สำหรับใครที่กำลังคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่ลูกๆ จะเรียนรู้เรื่องการลงทุน ผมขอให้หยุดความคิดนั้นไว้ก่อนเพราะบทความนี้จะแนะแนวทางเบื้องต้นสำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่อยากสอนการลงทุนให้เจ้าตัวเล็ก ที่อ่านได้ทั้งคุณแม่ผู้เชี่ยวชาญโลกการเงินระดับผู้จัดการธนาคาร หรือคุณพ่อที่ยังแยกไม่ค่อยออกระหว่างตลาดหลักทรัพย์กับตลาดหลักสี่

เรื่องการเงินเริ่มยิ่งเร็วยิ่งดีเพราะทุกนาทีที่ปล่อยผ่านไปต่างก็มีราคาที่เรียกว่า ‘ค่าของเงินตามเวลา’  

วัยอนุบาล เริ่มจากแนวคิด

1. การลงทุน คือ สิ่งที่เราจะได้รับผลตอบแทนในวันข้างหน้า

สำหรับเด็กเล็กเราต้องเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยให้เข้าใจแนวคิดพื้นฐานก่อนว่า ‘การลงทุน’ คือ การกระทำอะไรก็ตามที่เราจะได้รับผลตอบแทนเมื่อเวลาผ่านไป 

คงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการสื่อสารกับเหล่าเด็กเล็กด้วยนิทานที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการทำงานหนักและเก็บหอมรอบริบในตอนนี้ โดยสิ่งที่เราลงทุนลงแรงไว้จะงอกเงยเป็นผลกำไรในอนาคต ตัวอย่างคลาสสิคก็หนีไม่พ้นนิทานเรื่องมดกับจิ้งหรีด เปรียบเทียบระหว่างมดที่ทำงานหนักเพื่อเก็บอาหารในฤดูร้อนเพื่อรอการมาถึงของฤดูหนาว ส่วนจิ้งหรีดร้องรำทำเพลงไม่สนใจอนาคต เมื่อฤดูหนาวทำให้พืชพันธุ์อาหารที่เคยอุดมสมบูรณ์หดหาย เหล่ามดก็เอาตัวรอดได้สบายเพราะลงทุนเก็บอาหารไว้ก่อน

สำหรับใครที่เบื่อนิทานเชยแสนเชยนี้ ผมแนะนำให้ลองหาหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเกษตร การก่อสร้าง หรืออะไรก็ตามที่ต้องอาศัยความมุมานะบวกกับเวลาที่จะนำไปสู่ผลตอบแทนในอนาคต ถ้าเด็กๆ ชอบเรื่องไหนเป็นพิเศษก็อย่าลืมเอามาแบ่งปันกันนะครับ

2. เปลี่ยนการลงทุนให้จับต้องได้

การลงทุนเป็นเรื่องนามธรรมที่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กที่อาจมีปัญหาในการเข้าใจแนวคิดเรื่องวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า หรืออนาคตอันไกลแสนไกล การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าใจยากยิ่งกว่า หนึ่งวิธีในการทำความเข้าใจ คือ การทำให้แนวคิดนามธรรมจับต้องได้ โดยแปลงเป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่ต้องลงแรงและรอเวลาเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในอนาคต

พอจะนึกออกไหมครับว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง?

กิจกรรมที่ผมตั้งใจว่าจะใช้สำหรับสอนเจ้าตัวเล็กที่บ้านเรื่องการลงทุน คือ การปลูกพืชผักสวนครัว เริ่มจากการเพาะเมล็ด รดน้ำทุกวัน ใส่ปุ๋ย เฝ้ารอดูมันเติบโต จนถึงวันที่เก็บเกี่ยวออกมาเป็นพืชผักสดใหม่แล้วนำมาปรุงอาหารทานร่วมกัน แล้วจึงชี้ให้เด็กน้อยเห็นว่าการรดน้ำใส่ปุ๋ยก็คือการลงทุน ส่วนผลผลิตแสนอร่อยที่เก็บมากินก็คือผลตอบแทน

สำหรับใครที่ไม่สันทัดพืชผักอาจปรับกิจกรรมเป็นการปลูกดอกไม้แทนก็ได้นะครับ ที่สำคัญคือควรเลือกพืชที่ดูแลง่ายและโตเร็วสักหน่อยเพื่อให้เด็กๆ ตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในแต่ละวัน

วัยประถม เข้าใจหลักการพื้นฐาน

1. รู้จัก ‘หุ้น’ จากสิ่งรอบตัว

หากเปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ ‘หุ้น’ ก็คือชิ้นส่วนของบริษัทที่เราสามารถซื้อหามาเป็นเจ้าของได้ แต่ถ้าเอาประโยคนี้ไปเล่า เจ้าตัวเล็กก็คงไม่ฟังแถมอาจจะงงหน่อยๆ ว่าพ่อพูดภาษาอะไร แทนที่เราจะบอกนิยามอย่างตรงไปตรงมา เราอาจต้องเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวเด็กๆ ที่สุด นั่นคือสารพัดผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันนั่นแหละครับ

เด็กในวัยนี้จะพอเข้าใจว่าสินค้าและบริการผลิตโดย ‘บริษัท’ หากสบโอกาสพ่อแม่อาจเล่าให้ฟังว่ายี่ห้อโปรดหรือของเล่นไม้ที่อยู่ข้างเตียงต่างก็มีบริษัทเป็นผู้ผลิตขึ้นมาเพื่อขายให้เรา แต่ก่อนที่จะเริ่มผลิตได้ บริษัทพวกนี้ก็ต้องหาเงินมาเป็นทุนตั้งต้นโดยการขาย ‘หุ้น’ ให้กับพวกเรา การที่เราเข้าไปซื้อหุ้นก็เสมือนได้ครอบครองชิ้นส่วนเล็กๆ ของบริษัทซึ่งจะได้ส่วนแบ่งเมื่อบริษัทมีกำไรจากการขายของต่างๆ

แน่นอนครับว่าเจ้าตัวเล็กคงไม่ได้นำความรู้นี้ไปใช้เลือกซื้อหุ้น แต่อย่างน้อยก็นับว่าเป็นก้าวแรกเพื่อให้เด็กๆ เห็นภาพว่าการตัดสินใจซื้อของแต่ละครั้งนั้นส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร

2. สอน ‘กระจายความเสี่ยง’ ด้วยการทดลองทางความคิด

‘อย่าเก็บไข่ทุกใบไว้ในตะกร้าใบเดียว’ คำพูดคลาสสิคเกี่ยวกับการกระจายความเสี่ยงที่อ่านแล้วเห็นภาพชัดเจนสำหรับผู้ใหญ่ แต่ถ้าจะนำไปเล่าต่อให้เจ้าตัวเล็กฟังก็อาจต้องเลือกบริบทสักหน่อย

สำหรับแนวคิดนี้ ผมว่าช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดคือระหว่างเลือกเมนูตอนรับประทานอาหารนอกบ้าน พ่อแม่อาจชวนลูกจินตนาการเล่นๆ ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเมนูอาหารในร้านมีเพียงของโปรดของเจ้าตัวเล็กแค่อย่างเดียวคือ ‘สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ’

แน่นอนว่าลูกค้าต้องมาน้อยลงแน่ๆ อย่างน้อยคุณแม่ก็คงไม่อยากมาเพราะไม่สันทัดกับอาหารที่คลุกซอสมะเขือเทศ ส่วนเด็กๆ ก็คงมากินอีกไม่กี่ครั้งเพราะเบื่อที่จะต้องกินอย่างเดิมซ้ำๆ ถึงจะเป็นของโปรดก็ตาม นี่คือเหตุผลที่ร้านอาหารต้องมีเมนูให้เลือกหลายอย่างเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายซึ่งก็คล้ายกับแนวทางเรื่องการกระจายความเสี่ยง

ส่วนพ่อแม่คนไหนที่ไม่สันทัดเรื่องการลงทุนและยังนึกไม่ออกว่าการกระจายความเสี่ยงจะนำมาประยุกต์ใช้กับโลการลงทุนอย่างไร ผมลองให้นึกเล่นๆ ว่าถ้าเราทุ่มเงินออมทั้งหมดไปซื้อหุ้นของบริษัท ก. เพียงบริษัทเดียว หากบริษัทดังกล่าวผลประกอบการดีจนราคาพุ่งกระฉูดก็นับว่าโชคดีไป แต่ถ้าโชคไม่เข้าข้างเงินทั้งหมดที่เก็บหอมรอบริบไว้อาจสลายหายวับไปกับตา ดังนั้นทางดีกว่าคือการกระจายความเสี่ยงฃ แทนที่จะลงทุนกับบริษัทเดียว เราอาจแบ่งเงินเป็นหลายๆ ก้อนเพื่อลงทุนกับบริษัทอื่นด้วย เมื่อกระจายเงินลงทุนแล้ว ต่อให้บริษัท ก. จะย่ำแย่จนราคาหุ้นเหลือแค่ศูนย์ เราก็ยังมีเงินลงทุนในบริษัทอื่นทำให้ไม่เจ็บหนักมากนัก

3. ชวนลูกเล่นล็อตเตอรี่

เชื่อไหมครับว่าถ้าลองถามเจ้าตัวเล็กในบ้านถึงวิธีที่จะทำให้รวยได้อย่างรวดเร็ว เด็กๆ ส่วนใหญ่อาจตอบโดยทันทีทันใดว่าให้ซื้อล็อตเตอรี่ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เจ้าตัวน้อยจะตอบแบบนั้นเพราะล็อตเตอรี่คือการเดิมพันยอดนิยมที่ทั้งถูกกฎหมายและมีเงินสะพัดหลักแสนล้านในแต่ละเดือน เมื่อเด็กเห็นผู้ใหญ่หลายคนมีความสุขและความหวังจากการซื้อล็อตเตอรี่สองครั้งต่อเดือน อิทธิพลดังกล่าวย่อมส่งต่อให้กันแบบรุ่นสู่รุ่น 

แต่ทราบไหมครับว่าถ้าเราซื้อล็อตเตอรี่ไปเรื่อยๆ เป็นจำนวนมาก สถิติบอกกับเราว่าทุกๆ เงิน 80 บาทที่ลงไปนั้นจะได้กลับมาเพียง 48 บาทหรือคิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุนเรียกว่ายิ่งซื้อยิ่งขาดทุนก็ว่าได้

แต่ตัวเลขน่าเบื่อเหล่านี้หรือจะสู้เงินรางวัลที่แสนเย้ายวนจากการซื้อล็อตเตอรี่ แม้ว่าโอกาสจะถูกรางวัลนั้นน้อยแสนน้อยก็ตาม หากเด็กๆ บ้านไหนรู้สึกว่าล็อตเตอรี่คือวิธีที่ช่วยให้รวยได้แบบง่ายๆ พ่อแม่ไม่ควรห้ามนะครับ แต่ควรให้ลองจริง (และเจ็บจริง) โดยการอนุญาตให้เจ้าตัวเล็กนำเงินในประปุกไปซื้อล็อตเตอรี่สักใบซึ่งเชื่อได้เลยครับว่าถูกกินแน่นอน

หลังจากเจ็บตัวแบบพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลาที่พ่อแม่จะถอดบทเรียนให้เจ้าตัวเล็กฟัง สมมติว่าเราเอาเงินไปซื้อล็อตเตอรี่เดือนละ 1,000 บาท ผ่านไป 10 ปีเงินที่หามาอย่างยากลำบากที่หากเก็บไว้เฉยๆ ในธนาคารก็จะได้อย่างน้อย 120,000 บาท แต่การแสวงโชคด้วยการซื้อล็อตเตอรี่จะทำให้เงินก้อนนั้นหดเหลือเพียงราว 72,000 บาท ส่วนคนที่ฉลาดลงทุนแล้วนำไปหาผลตอบแทนได้ปีละ 7 เปอร์เซ็นต์ เงินก้อนเดียวกันนี้เองก็จะงอกเงยเป็น 173,084 บาท

หากเปรียบเทียบอย่างชัดเจนอย่างนี้ เชื่อผมเถอะครับว่าไม่มีเด็กๆ คนไหนจะตอบว่าล็อตเตอรี่คือเส้นทางรวยแน่นอน

เมื่อพูดถึงเรื่องการลงทุน เรามักจะกระโดดข้ามแนวคิดพื้นฐานไปลงรายละเอียดในแง่เทคนิคว่าลงทุนที่ไหนจึงจะได้ผลตอบแทนดีโดยที่ความเสี่ยงต่ำ แต่การสอนเจ้าตัวเล็กเรื่องการลงทุนนั้นเสมือนหนึ่งย้อนกลับมาวางรากฐานเสียใหม่ เริ่มจากแนวคิดว่าการลงทุนคือการอดทนรอเพื่อจะได้ผลตอบแทนในอนาคต ทำความเข้าใจว่าหุ้นที่ซื้อขายกันนั้นแท้จริงแล้วคืออะไร รวมทั้งหลักการกระจายความเสี่ยงเบื้องต้น และการตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผลโดยยึดเอาผลตอบแทนมากกว่าความหวังที่ยากจะเป็นความจริง 

Tags:

ปฐมวัยการเงินเงินทองต้องคิดส์การลงทุน

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (10) : พื้นฐานเรื่องภาษีที่ลูกๆ ต้องรู้

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (9) : อย่ามองข้ามเรื่องการให้

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (8) : เรื่องหนี้ เรื่องนี้พ่อแม่ต้องสอน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (7) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (5) : สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Self-Directed Learner ช่วงเวลาเรียนรู้ที่มีคุณภาพของเด็กมัธยม: ครูณี-พรรณี แซ่ซือ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
Creative learning
27 August 2021

Self-Directed Learner ช่วงเวลาเรียนรู้ที่มีคุณภาพของเด็กมัธยม: ครูณี-พรรณี แซ่ซือ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • “เราอยากจะฉกชิงช่วงเวลาหน้าจอของเขาให้เขาได้เกิดการเรียนรู้มากที่สุด ให้เขาได้ลงมือปฏิบัติแล้วก็สร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะเราอยากให้เด็กๆ มัธยมมีเรื่องของ Self-Directed Learner สามารถเป็นนักเรียนรู้ได้” 
  • พ่อแม่เองก็ต้องรู้จักลูก รู้ว่าลูกมีความคิดอะไร มีศักยภาพด้านไหน บางครั้งพ่อแม่ยังมองไม่ออก คิดว่าลูกที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องติดเกม ซึ่งลูกอาจกำลังเขียนโค้ด (Code) หรือกำลังศึกษาบางเรื่องที่พ่อแม่ไม่เข้าใจเลยก็ได้ กระบวนการสร้างความเข้าใจกันนี้ จะทำให้พ่อแม่รู้ว่า ลูกมีเป้าหมายอะไร รู้วิธีการที่จะพัฒนาไปด้วยกัน เมื่อพ่อแม่เข้าใจและให้การเรียนรู้ที่ถูกทางก็จะสามารถรับรู้กันและช่วยกันได้
  • ชวนดูการจัดการเรียนรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระดับมัธยมศึกษา เพื่อหาทางเลือกที่หลากหลายในแก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรม โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้บูรณาการ PBL (Problem Based Learning) ตามรูปแบบ Child based learning ‘อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน’ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ถอดความจากงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘ล็อกดาวน์ไม่ล็อกการเรียนรู้’ ครั้งที่ 1 

มัธยมศึกษา เป็นช่วงเข้าสู่วัยรุ่นวัยที่เต็มไปด้วยความคาดหวังทั้งจากพ่อแม่และตัวเอง เป็นช่วงวัยที่เริ่มเผชิญกับความซับซ้อนของสังคม นอกจากทักษะพื้นฐานที่พวกเขาจำเป็นต้องมีอย่างความสามารถในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และการสื่อสารที่ดี 

สิ่งที่ครูผู้สอนควรให้ความสำคัญด้วยนั่นคือ พื้นฐานความฉลาดรู้ 3 ด้าน สมรรถนะ 6 ด้าน คุณลักษณะพึงประสงค์ พัฒนา Self, Self-esteem, Self-concept พัฒนาทักษะสมอง EF รวมถึงความถนัด ความสนใจ อัตลักษณ์ พื้นฐานอาชีพหรือการศึกษาต่อ และที่ขาดไม่ได้คือ ความสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ที่โรงเรียนไม่สามารถเปิดเรียนได้ตามปกติ เพื่อไม่ให้การเรียนรู้ของเด็กชะงักและถดถอย ครูจะต้องออกแบบการเรียนรู้ใหม่ โดยมีโจทย์ที่ทำให้เขาสามารถเชื่อมความรู้ที่มีไปสู่การลงมือปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตัวเอง มี Self-Directed Learner หรือการเป็นนักเรียนรู้

The Potential พาไปดูการจัดการเรียนรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระดับมัธยมศึกษา เพื่อหาทางเลือกที่หลากหลายในแก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรม โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้บูรณาการ PBL (Problem Based Learning) ตามรูปแบบ Child based learning ‘อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน’ กับ ครูณี-พรรณี แซ่ซือ ครูมัธยม โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ถอดความจากงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘ล็อกดาวน์ไม่ล็อกการเรียนรู้’ ครั้งที่ 1 

ข้อสอบวัดใจ ชวนพ่อแม่วัยรุ่นทำความรู้จักและเข้าใจลูก

ในกระบวนการทำงานกับผู้ปกครองนั้น ครูณีเล่าว่า ผู้ปกครองจำเป็นต้องเข้าใจลูก เห็นเป้าหมาย รู้วิธี (วิธีทำ วิธีดู วิธีคิด) เพื่อพัฒนา Self, EF และสมรรถนะ

“เริ่มแรกตัวครูเองต้องเปลี่ยน Mindset ต้องมาออกแบบวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ เพื่อให้การเรียนรู้ของเด็กไม่ชะงัก และยังสามารถเรียนรู้ได้ในสถานการณ์โควิด โดยลำปลายมาศเริ่มจากวิเคราะห์สภาพปัญหา วิเคราะห์ความซับซ้อนก่อน ความซับซ้อนที่ว่าคือ สถานการณ์โควิดด้วย ศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนแต่ละกลุ่มด้วย ผู้ปกครองด้วย แล้วก็อุปกรณ์ เครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ ก็ต้องออกแบบใหม่”

เมื่อออกแบบการเรียนรู้แบบใหม่แล้ว ต้องกลับมา Share vision กันในกลุ่มครูผ่านวง PLC (Professional Learning Community) ระดมสมองคิดค้นวิธีการที่เหมาะในการส่งต่อการเรียนรู้สู่เด็กและผู้ปกครอง โดยตั้งเป้าหมายว่า 

“เด็กควรจะได้เรื่องของเซลฟ์, EF และสมรรถนะที่เราตั้งไว้ เพื่อให้การเรียนรู้ไม่ถดถอย แล้วผู้ปกครองก็ต้องเห็นเป้าหมายเหมือนกันว่า ต้องการพัฒนาลูกไปด้านไหน แล้วก็ให้การเรียนรู้กับผู้ปกครอง ให้ฟีดแบค โดยการเรียนรู้กับผู้ปกครองเราจะมีทั้งแบบออนไซต์และออนไลน์ด้วย เพื่อที่ผู้ปกครองจะได้รู้ว่าเขาจะไปสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกที่บ้านได้ยังไง”

แต่ก่อนจะไปถึงขั้นที่ผู้ปกครองได้สร้างการเรียนรู้ให้กับลูก สิ่งที่ครูณีไม่อาจละเลยได้ก็คือ การทำให้พ่อแม่ได้รู้จักรู้และเข้าใจลูกก่อน หลายคนอาจจะบอกว่า รู้จักลูกอยู่แล้ว รู้ว่าลูกต้องการอะไร แต่แน่ใจหรือไม่ว่านั่นคือความต้องการของคนเป็นลูกจริงๆ ในทางกลับกันก็ต้องให้ลูกรู้จักและเข้าใจพ่อแม่ของเขาด้วย ซึ่งครูณีเชื่อว่าความเข้าใจกันและกันนี้สร้างได้

“รู้จักลูกในที่นี้หมายความว่า รู้ว่าลูกเขามีความคิดอะไร เขามีศักยภาพด้านไหน บางครั้งพ่อแม่ยังมองไม่ออก คิดว่าเขาอยู่ในห้องเขาติดเกม เขาไม่ทำอะไรหรอก แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาอยู่ในนั้นเขาอาจกำลังเขียนโค้ด (Code) กำลังศึกษาบางเรื่องที่พ่อแม่ไม่เข้าใจเลย”

กระบวนการสร้างความเข้าใจกันนี้ จะทำให้พ่อแม่รู้ว่า ลูกมีเป้าหมายอะไร รู้วิธีการที่จะพัฒนาไปด้วยกัน เมื่อพ่อแม่เข้าใจและให้การเรียนรู้ที่ถูกทางก็จะสามารถรับรู้กันและช่วยกันได้ 

แต่ทำอย่างไรให้พ่อแม่รู้จักลูกและลูกรู้จักพ่อแม่? ครูณีใช้ช่วงเวลาของกิจกรรมการแลกเปลี่ยนกันของผู้ปกครองที่โรงเรียนจัดขึ้น เริ่มจากผู้ปกครองรู้จักลูกก่อน โดยพวกเขาจะได้ทำข้อสอบที่ลูกๆ ของตัวเองเป็นคนออกให้ ซึ่งข้อสอบแบบปรนัย มีตัวเลือก พร้อมกับทำเฉลยไว้ด้วย ปรากฎว่าแต่ละคนตอบผิดกันหมด นั่นแสดงว่าวิธีคิดของพ่อแม่กับวิธีคิดของลูกนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันผู้ปกครองก็จะได้ออกข้อสอบให้ลูกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นความคาดหวังของพ่อแม่ หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการทำข้อสอบแล้ว ก็จะนำข้อสอบและคำตอบเหล่านั้นนำมาเรียนรู้ร่วมกันว่า จริงๆ แล้วพ่อแม่คิดอะไร และลูกคิดอย่างไร 

ขั้นต่อมาครูณีเล่าว่า เป็นการทำให้ผู้ปกครองได้เห็นความคิดความอ่านของลูกผ่านผลงานที่ของเด็ก หลังจากที่ได้เห็นผลงานนั้นแล้ว จะต้องมาวิเคราะห์กันว่า พ่อแม่คิดอย่างไรกับสิ่งที่ลูกเขียน ซึ่งฟีดแบคของพ่อแม่กลับมาให้ลูกได้วิเคราะห์เช่นกันว่า ทำไมพ่อแม่จึงคิดแบบนี้ ทำไมถึงคาดหวังกับเราอย่างนี้ แล้วควรจะทำอย่างไรดี 

“ตัวอย่างคำถามที่ว่า คิดว่าพ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นยังไง? แล้วลูกก็ตอบไม่ตรงกับที่พ่อแม่ต้องการ นั่นเพราะว่าเราคิดกันคนละแบบ หรือข้อสอบของลูกที่พ่อแม่ตอบไม่ถูกเลย เช่น เด็กที่พ่อแม่เขามองว่าเก็บตัว เด็กก็จะตั้งคำถามว่า รู้ไหมว่าลูกอยู่โรงเรียนลูกเป็นคนยังไง? ซึ่งพ่อแม่ก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เพราะเข้าใจว่าลูกเล่นแต่เกม ติดเกม พอได้มาคุยกันก็จะเริ่มบาลานซ์ เริ่มคิดได้ว่าทำไมเราถึงมองผิดไป ต่างฝ่ายต่างเริ่มปรับจูนกัน”

ครูจัดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ให้โจทย์ตามลักษณะของเด็ก 

มาถึงการจัดการเรียนรู้ สำหรับโจทย์ระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนานั้น มีความแตกต่างจากช่วงวัยอื่นๆ เพราะครูจะต้องฉกชิงช่วงเวลาในการเรียนรู้ของพวกเขามาจากเวลาหน้าจอ เวลาหน้าจอก็คือช่วงเวลาที่เด็กใช้ไปกับอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งจากผลสำรวจของ ETDA หรือสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2563 ระบุว่า Gen Z ช่วงอายุ 8-20 ปี มีชั่วโมงเฉลี่ยการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันราว 12 ชั่วโมง 8 นาที  

“เราอยากจะฉกชิงช่วงเวลาหน้าจอของเขาให้เขาได้เกิดการเรียนรู้มากที่สุด ให้เขาได้ลงมือปฏิบัติแล้วก็สร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะเราอยากให้เด็กๆ มัธยมมีเรื่องของ Self-Directed Learner สามารถเป็นนักเรียนรู้ได้” 

ครูณียกตัวอย่างโจทย์ที่ออกแบบใหม่ ซึ่งยังคงสอดคล้องกับการบูรณาการหน่วยการเรียนรู้ แต่สิ่งที่คุณครูจะต้องเพิ่มก็คือ ความเป็นผู้เรียนรู้และกำกับการเรียนรู้ของตัวเองได้ โดยตารางการเรียนรู้แบบใหม่มีทั้งแบบเรียลไทม์และไม่เรียลไทม์ ให้งานทิ้งไว้ที่ google classroom จากนั้นมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน Reflection ผ่านช่องทาง zoom หรือ google meet 

“ถ้าเป็น PBL เราจะให้งานแบบไม่เรียลไทม์ เราจะทิ้งงานไว้ที่ google classroom แล้วค่อยมา reflection (สะท้อนคิด) ผ่าน zoom ในช่วงเวลาของเขา ซึ่งโจทย์ต้องซับซ้อน แต่ยังสามารถบูรณาการในเรื่องของ PBL ได้ การเรียนรู้ที่บ้านที่สามารถลงมือปฏิบัติได้ แล้วเด็กๆ ก็สามารถที่จะสรุปองค์ความรู้ ความเข้าใจได้ด้วยตัวเอง เป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วแต่ละคนเราความสนใจไม่เหมือนกัน งานของเด็กๆ เป็นร่องรอยการเรียนรู้ของแต่ละคน ครูก็จะรู้ว่าจะประเมิน ติดตามผล แล้วก็เห็นแนวโน้มว่าจะพัฒนา เพิ่มเติมให้เขาได้ตรงไหน”

ตัวอย่าง PBL : ศาสดาลาพักร้อน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา

ตัวอย่าง PBL (Problem Based Learning) : ศาสดาลาพักร้อน เราจะสร้างโลกขนาด 1 ตารางเมตรให้สมบูรณ์แบบทั้งพืช สัตว์ อยู่อย่างเกื้อกูลได้อย่างไร? โดยมีเป้าหมาย คือ นำเสนอความสัมพันธ์ของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ศาสนา และปรัชญา จากโลกที่เราสร้างขนาด 1 ตารางเมตร กับโลกของเรา(ภายใน) จากการวิเคราะห์เชิงระบบในรูปแบบตาราง

“ตอนแรกก็ทำที่โรงเรียน พอเจอสถานการณ์โควิดก็ให้เขาเลือกว่าทำที่บ้านได้ด้วย และด้วยความที่เขาอาจจะไม่ได้มีศักยภาพทางวิชาการที่โดดเด่นมากนัก แต่ด้านทักษะชีวิต การลงมือปฏิบัติ การออกแบบการทำงาน เขาสามารถทำได้ดี เขาก็สามารถไปสร้างที่บ้าน แล้วก็มีคุณแม่ช่วยดูแลให้ด้วย” 

โดยครูณีมองเห็นว่าเด็กมีโอกาสที่จะเกิดสมรรถนะ ดังนี้

การมีสติ : จดจ่อกับโจทย์หรืองาน สามารถกํากับตนเองให้ลงมือทํางาน จัดการเวลา เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือ ปัจจัยต่างๆ ในการทํางานได้ 

การสื่อสาร : เลือกรับข้อมูลที่จะนํามาใช้ในการจัดการเรียนรู้และใช้ภาษา ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ ความคิด ความรู้สึก และทัศนะของตนเองผ่าน การพูดและเขียน 

การคิดขั้นสูง : ริเริ่มเพื่อออกแบบวิธีการวางแผนการสร้างโลกขนาด 1 ตารางเมตร ตระหนักต่อปัญหาที่เผชิญและมีกระบวนการทดสอบ ปรับแก้ และยืดหยุ่นนวัตกรรม 

การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง : มีความสามารถในการรับผิดชอบต่อบทบาท หน้าที่ พึ่งพาตนเองในฐานะผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทําหน้าที่ต่อการเรียนรู้

จะเห็นว่าช่วงชั้นมัธยมศึกษา เด็กต่างมีศักยภาพการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง โจทย์ที่ครูณีให้แต่ละกลุ่มนั้น พิจารณาตามความถนัด ความสนใจของแต่ละคน ดังนั้นครูจะเห็นแนวโน้มว่าเด็กแต่ละคนจะไปพัฒนาด้านไหน เพื่อที่ครูจะสร้างโจทย์ที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น ให้เด็กได้ท้าทายศักยภาพของตัวเอง และสามารถทำได้จริง

การจัดการเรียนรู้ของลำปลายมาศพัฒนา บทบาทสำคัญอีกอย่างของครูคือ การให้ฟีดแบคและการตั้งโจทย์ที่ตีความตามบริบทของเด็กๆ รายคน และการฟีดแบคจะต้องเพิ่มความท้าทายหรือทำให้เด็กสามารถที่จะใช้ศักยภาพของเขาได้มากขึ้น

Tags:

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้Self-Directed Learner การเป็นนักเรียนรู้มัธยมศึกษาครูณี-พรรณี แซ่ซือโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ใบงานบูรณาการ’ โรงเรียนบ้านเขาจีน : เมื่อครูช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ร่วมในโจทย์เดียว ลดภาระผู้เรียนและผู้ปกครอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    ปลดล็อกระบบการศึกษาไทย ปฏิรูปการเรียนรู้บนฐานสมรรถนะ : เสียงสะท้อนจากผู้ทรงคุณวุฒิ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Creative learning
    ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว’ วิชาเรียนของเด็กๆ โรงเรียนบ้านกระถุนในช่วงโควิด – 19 ที่ยังคงได้ทักษะชีวิตและสมรรถนะที่จำเป็น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ครูเป็นโค้ช โจทย์ต้องท้าทาย พลังสำคัญของการเรียนรู้ที่บ้าน : ครูเต้ย- โกเมน อ้อชัยภูมิ โรงเรียนประถมรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ลดภาระงาน เลือกทักษะที่สอดคล้องกับชีวิตเด็ก : หลักการจัดการเรียนรู้ในช่วงโควิด – 19 ของ ‘โรงเรียนบ้านปะทาย’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

ลดภาระงาน เลือกทักษะที่สอดคล้องกับชีวิตเด็ก : หลักการจัดการเรียนรู้ในช่วงโควิด – 19 ของ ‘โรงเรียนบ้านปะทาย’
Creative learning
26 August 2021

ลดภาระงาน เลือกทักษะที่สอดคล้องกับชีวิตเด็ก : หลักการจัดการเรียนรู้ในช่วงโควิด – 19 ของ ‘โรงเรียนบ้านปะทาย’

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ชวนดูกระบวนการจัดการเรียนการสอนจากโรงเรียนขยายโอกาส โรงเรียนบ้านปะทาย ในงานเสวนา ‘ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 1 กรณีศึกษา โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาและเครือข่ายโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ’
  • “เราเคยให้เด็กทุกชั้นเรียนแบบ on hand อย่างเดียว พบปัญหาตอน reflection (สะท้อนความคิด) หนึ่ง – เด็ก ผู้ปกครองบางคนใช้อุปกรณ์ไม่เป็น ส่งงานทางไลน์ไม่ได้ สอง – การส่งงาน เราไม่แน่ใจว่าเด็กทำเองจริงๆ ไหม เพราะมีลายมือผู้ปกครองด้วย บางทีแม่หงุดหงิดเมื่อไรลูกจะเขียนเสร็จ ก็เลยเขียนแทน หรือบางทีส่งงานไปถามว่าเด็กทำได้หรือไม่ ผู้ปกครองเองก็รู้สึกทรมาน”
  • การทำวง PLC ทำให้ได้ไอเดียการเรียนที่ให้ผู้เรียนเป็นฐาน อยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนได้ ครูต้องปรับงานเด็กให้น้อยลง โดยวิเคราะห์ว่าอะไรคือความรู้จำเป็นที่เด็กสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เน้นทักษะสมรรถนะที่จำเป็นกับเด็ก

เด็กขาดเครื่องมือ และผู้ปกครองต้องทำงานไม่สามารถดูแลลูกแบบเต็มเวลา

โจทย์ในการจัดการศึกษาช่วงโควิด – 19 ของโรงเรียนบ้านปะทาย โรงเรียนขยายโอกาส พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ

จากโจทย์ดังกล่าวผู้อำนวยการโรงเรียนและครูทุกคนร่วมมือหาทางออก และได้มาแชร์ประสบการณ์ผ่านงานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 1 กรณีศึกษา โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาและเครือข่ายโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ’ จัดโดย คณะอนุกรรมการด้านการสื่อสารและการมีส่วนร่วมในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ร่วมกับสำนักงานบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา 

วัตถุประสงค์งานเสวนาเพื่อเสนอแนวทางการจัดการศึกษาในช่วงวิกฤตนี้ โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ที่แท้จริง อยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนรู้ได้ เกิดพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ครั้งนี้นำโดยโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาและโรงเรียนในเครือข่ายพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โรงเรียนบ้านปะทายและโรงเรียนบ้านกระถุน

ครูเอ๋ – ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ ครูชั้นประถมศึกษา ตัวแทนจากโรงเรียนบ้านปะทาย แชร์ประสบการณ์การจัดการเรียนรู้ โดยเริ่มต้นด้วยการเล่าปัญหาที่บ้านปะทายเจอคล้ายกับโรงเรียนอื่นๆ นั่นคือ สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ครูและนักเรียนมีปฎิสัมพันธ์น้อยลง ต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งนักเรียนบ้านปะทายส่วนใหญ่จะชินกับการเรียนที่ใกล้ชิดครู เมื่อต้องเรียนที่บ้าน เด็กเกิดความรู้สึกว่า “จะเรียนไปทำไม” ไม่เห็นคุณค่าในการเรียนแล้ว เพราะรู้สึกว่าอยู่บ้านมีชีวิตที่เป็นอิสระ ส่วนผู้ปกครองเองต้องไปทำงาน ไม่สามารถดูแลลูกได้เต็มเวลา ต้องให้ญาติคนอื่นๆ แทน เกิดความยากตรงที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าต้องสอนเด็กยังไง

“เราเคยให้เด็กทุกชั้นเรียนแบบ on hand อย่างเดียว (ส่งใบงานให้ทำที่บ้าน) พบปัญหาตอน reflection (สะท้อนความคิด) หนึ่ง – เด็ก ผู้ปกครองบางคนใช้อุปกรณ์ไม่เป็น ส่งงานทางไลน์ไม่ได้ ครูก็สอนการใช้อุปกรณ์ สอง – การส่งงาน เราไม่แน่ใจว่าเด็กทำเองจริงๆ ไหม เพราะมีลายมือผู้ปกครองด้วย บางทีแม่หงุดหงิดเมื่อไรลูกจะเขียนเสร็จ ก็เลยเขียนแทน หรือบางทีส่งงานไปถามว่าเด็กทำได้หรือไม่ เด็กส่งแต่สติ๊กเกอร์ยกนิ้วโป้งหรือไม่ก็ร้องไห้ เราไม่รู้เลยว่าเขาเป็นยังไง ผู้ปกครองเองก็รู้สึกทรมาน” ครูเอ๋ กล่าว

ทั้งโรงเรียนจึงต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ว่าจะจัดการเรียนการสอนอย่างไร พวกเขาใช้เครื่องมือ PLC ( Professional Learning Community) ในการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น วางแผนสร้างกระบวนการทุกๆ วันอังคารและพฤหัสบดีของแต่ละสัปดาห์ เมื่อครูไม่สามารถดูแลเด็กได้แล้ว ต้องปล่อยให้ผู้ปกครองเป็นคนดูแล หาวิธีการสนับสนุนให้เด็กยังอยู่ในระบบการศึกษา และช่วยเตรียมผู้ปกครองให้สามารถจัดการเรียนรู้ให้ลูกได้

จัดตารางเรียน On hand Vs On site

แนวทางของโรงเรียนบ้านปะทาย เริ่มจากจัดตารางเรียนใหม่ทั้งหมด โดยชั้นมัธยมศึกษาจะเรียนแบบ on hand เต็มรูปแบบ เพราะด้วยวัยที่โตสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ประมาณหนึ่ง ส่วนชั้นอนุบาลและประถมศึกษาเป็นแบบ on hand สลับ on site 

“ครูจะนัดผู้ปกครองมาเรียนกับลูกเลย เอาวันที่เขาว่าง ช่วงเสาร์ – อาทิตย์ เพื่อผู้ปกครองจะได้เห็นว่าครูสอนลูกยังไง เอาไปสอนลูกต่อเองได้ การสั่งงานจะสั่งผ่านไลน์ ส่วนการให้ feedback (ข้อคิดเห็น) จะมีทั้งในไลน์ แชทส่วนตัว สามารถส่งมาคุยกับเราได้ตลอดเวลา” ครูเอ๋ กล่าว

เลือกเฉพาะเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กเวลานี้

เมื่อแก้ปัญหาตารางเรียนได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การสั่งงาน ถือเป็นโจทย์หินท้าทายครูเกือบทุกคน เรามักเห็นในโลกโซเซียลที่เด็กๆ ต่างบอกว่าภาระงานที่เยอะ เพิ่มความยากลำบากในการเรียนยิ่งขึ้น ครูเอ๋เล่าว่า เคยทำวง PLC กับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ทำให้ได้ไอเดียการเรียนที่ให้ผู้เรียนเป็นฐาน อยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนได้ ฉะนั้น ครูต้องปรับงานเด็กให้น้อยลง โดยวิเคราะห์ว่าอะไรคือความรู้จำเป็นที่เด็กสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เน้นทักษะสมรรถนะที่จำเป็นกับเด็ก ได้ออกมาเป็นเป้าหมายการพัฒนาเด็กแต่ละระดับชั้น

  • ระดับอนุบาล เน้นพัฒนาการด้านตัวตน (Self) และ EF (สมองส่วนหน้า) 
  • ระดับประถม เน้น Literacy อ่านออกเขียนได้ ผสมผสานทักษะชีวิตโดยความร่วมมือจากผู้ปกครอง
  • ระดับมัธยม เน้นงานน้อย ความรู้มาก สัมผัสประสบการณ์ชีวิต 

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ครูเอ๋ยกตัวอย่างการปรับแผนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ของเธอ จากแผนเดิมที่คิดสำหรับการเรียนในห้อง สู่แผนใหม่ในสถานการณ์นี้ ครูเอ๋กำลังสอนเรื่องจำนวนที่มีค่ามาก เธอวิเคราะห์ว่าประเด็นสำคัญที่เด็กควรจะรู้จากเรื่องนี้คืออะไร เช่น เด็กต้องอ่านตัวเลขได้ รู้จักหลักเลข รู้จักค่าประมาณ 

“ครูเอ๋ก็ดูเลยว่า จำนวนที่มีค่ามากที่สุดตอนนี้ที่ใกล้ตัวเขาคืออะไร เอาจำนวนผู้ติดโควิด – 19 มาเชื่อมให้เขารู้จักอ่านตารางเปรียบเทียบจำนวน จากนั้นออกแบบใบงานทำให้เด็กเข้าใจว่าครูอยากให้เขาเรียนอะไร คล้ายๆ เป็นคำถามเชื่อม หรือตอนสอนเรื่องค่าประมาณ ให้โจทย์เด็กว่าต้องพาคนไปเที่ยวทั้งหมด 4 คน ไปที่ไหนก็ได้ ให้ทำตารางค่าใช้จ่ายว่ามีอะไรบ้าง เด็กก็หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและเขียน list มาให้เรา เช่น ค่าน้ำมัน 1,000 กิโลเมตร 4,000 บาท ไปกลับเท่านี้นะ สุดท้ายได้ออกมาเป็นค่าประมาณการ” ครูเอ๋ กล่าว 

Feedback ทำให้ง่ายที่สุด ‘เตาะแตะ’ ‘ใกล้แล้วนะ’ ‘แจ๋ว’

ในสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากจะต้องปรับรูปแบบการเรียนรู้แล้ว การให้ feedback หรือการวัดประเมินผลจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอีกหนึ่งส่วนที่ทำให้เด็กรู้ว่าศักยภาพตอนนี้ของตนเองเป็นอย่างไร ได้สมรรถนะอยู่ระดับไหน ควรมีแนวทางพัฒนาต่ออย่างไร แนวทางที่ง่ายที่สุดคือ ใช้คำประเมินที่เข้าใจง่ายๆ 

ครูเอ๋อธิบายว่า เวลาทำรายงานต้องใช้ภาษาทางการ เช่น ปรับปรุง พอใช้ ดีมาก ฯลฯ คำไม่สามารถกระตุ้นพลังเด็กได้มากพอ เธอเลือกใช้คำง่ายๆ ให้ผู้ปกครองและเด็กเข้าใจ เช่น เตาะแตะกำลังหัดเดิน ใกล้แล้วนะ ทำได้แล้ว แจ๋ว ฯลฯ ทำให้เด็กมีพลัง ได้เห็นเป้าหมายตัวเองว่าต่อไปฉันต้องทำได้ระดับเท่านี้นะ 

วง PLC ตัวช่วยสำคัญ

ตลอดการแชร์ประสบการณ์ ครูเอ๋มักย้ำถึงวง PLC เครื่องมือที่เป็นประโยชน์มาก ไม่ว่าจะใช้ทำงาน แชร์ความคิดเห็น สร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของครูในโรงเรียน รวมถึงเป็นพื้นที่ให้กำลังใจและส่งพลังในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ซึ่งวิธีที่จะทำให้วง PLC มีคุณภาพ คือการกำหนดประเด็นให้ชัดเจนว่าวันนี้จะคุยเรื่องอะไร เช่น วิธีเขียนแบบประเมินความก้าวหน้า และให้ทุกคนโฟกัสที่ประเด็นนี้จนสำเร็จลุล่วง

แต่อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามและเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือการยึดผู้เรียนเป็นหลัก ในเวลานี้ที่เด็กๆ ต้องเผชิญกับความยากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19 ปัญหาต่างเข้ามารุมเร้า หากครูและโรงเรียนเข้าใจพวกเขา ช่วยทำให้การเติบโตในช่วงเวลาวิกฤตนี้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

Tags:

เทคนิคการสอนงานเสวนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้โรงเรียนบ้านปะทาย

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ใบงานบูรณาการ’ โรงเรียนบ้านเขาจีน : เมื่อครูช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ร่วมในโจทย์เดียว ลดภาระผู้เรียนและผู้ปกครอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว’ วิชาเรียนของเด็กๆ โรงเรียนบ้านกระถุนในช่วงโควิด – 19 ที่ยังคงได้ทักษะชีวิตและสมรรถนะที่จำเป็น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social IssuesCreative learning
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Self-Directed Learner ช่วงเวลาเรียนรู้ที่มีคุณภาพของเด็กมัธยม: ครูณี-พรรณี แซ่ซือ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

แดรกคิวล่า : เรียนรู้จากผีดิบ และอาการป่วยไข้ที่รุกล้ำอาณาเขตของเรา
Myth/Life/Crisis
26 August 2021

แดรกคิวล่า : เรียนรู้จากผีดิบ และอาการป่วยไข้ที่รุกล้ำอาณาเขตของเรา

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ในบางสถานการณ์ชีวิตคนเราก็ต้องการ 1.การขีดอาณาเขตที่ชัดเจนและแข็งกร้าวเพื่อป้องกันภัยคุกคาม และบ้างก็ต้องการ 2.การหลอมรวมเอาสิ่งที่ดูเหมือนเป็นภัยเข้ามาไว้ในความตระหนักรู้ มิใช่เพียงเพื่อเพิ่มความสมดุลหรือขยายขอบเขตทางใจของตน แต่บางกรณียังเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ตนเองปลอดภัยจากสิ่งที่รุกเขตแดนเข้ามาได้อีกด้วย – บทความจะถกถึงทั้งสองกระบวนการนี้ผ่านเรื่อง แดรกคิวล่า (Dracula)
  • เชื้อโรค คนแปลกหน้า ผีสาง ปิศาจที่น่าหวาดกลัว ความป่วยไข้ต่างๆ สามารถสะท้อนลักษณะบางอย่างที่ปัจเจกและกลุ่มนั้นๆ ไม่ตระหนัก รู้จักน้อยหรือปฏิเสธได้
  • อาการป่วยที่คนในครอบครัวและวงศ์ตระกูลมีร่วมกัน ในบางกรณีสามารถสะท้อนความไม่สมดุลในวิธีคิดบางอย่างที่ไหลเวียนสืบสาย อีกทั้งบาดแผลที่สัมพันธ์กับความป่วยไข้นั้น

1.

โจนาธาน ฮาร์เกอร์ ทนายหนุ่มเดินทางไกลไปเจอ เคานท์แดรกคิวล่า ลูกความผู้สืบตระกูลขุนน้ำขุนนางเก่าแก่ ณ ปราสาทแถบทรานซิลเวเนียอันเป็นมรดกตกทอดมาหลายร้อยปี โจนาธานรู้แต่เพียงว่าลูกความของเขาต้องการย้ายไปอยู่ที่มหานครลอนดอน แต่หารู้ไม่ว่าท่านเคานท์เป็นผีดิบที่ดูดเลือดคนอื่นเพื่อยังชีพ ทนายหนุ่มผู้ไหวตัวช้าจึงจำต้องผ่านเรื่องชวนขนหัวลุกต่างๆ ในที่พำนักเร้นลับของท่านเคานท์ และสุดท้ายก็ถูกทิ้งไว้ในปราสาทสยองขวัญดังกล่าวร่วมกับบรรดาผีดิบสาวผู้ก้าวร้าวเย้ายวนทางเพศ 

ฝั่งท่านเคานท์นั้นก็ออกเดินทางไปยังท่าเรือวิทบีประเทศอังกฤษและเริ่มหาเหยื่อ ซึ่งเมื่อถูกเขาดูดเลือดก็จะต้องกลายเป็นผีดูดเลือดไปด้วย 

ลูซี่ เวสเทนรา สาวยุคใหม่หัวใจอิสระที่มีความคิดอ่านไม่เข้ากับอุดมคติผู้หญิง ‘ดี’ ตามแบบฉบับวิกตอเรียนกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของผีดิบ เธอเริ่มมีอาการคล้ายเป็นโรคโลหิตจางประกอบกับละเมอเดิน ทว่าก็หามีใครวินิจฉัยโรคของเธอได้ไม่ หลังจากเสียชีวิตลูซี่กลายเป็นผีดิบที่ออกหาเหยื่อเด็กไปทั่วกรุงลอนดอน อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์แวน เฮลซิ่ง พอจะเข้าใจเหตุการณ์ลี้ลับที่เกิดขึ้นกับลูซี่ เขาได้รวมพลกำจัดลูซี่อย่างหฤโหด ทั้งยังขับไล่ต้นเชื้อ ‘โรคระบาด’ กลับไปยังทรานซิลเวเนียและสังหารปิศาจดูดเลือดลงเสีย

2.

‘ปิศาจแปลกหน้า นำพาเชื้อโรค’ อาจเป็นสิ่งที่เราหรือสังคมเราต้องเห็นในตัวเอง? 

Greg Buzwell ภัณฑารักษ์แห่งหอสมุดสหราชอาณาจักร กล่าวถึงนวนิยายเรื่อง แดรกคิวล่า (Dracula ตีพิมพ์ในปีค.ศ.1897) ซึ่งประพันธ์โดยนักเขียนไอริช แบรม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ว่ามีเนื้อหาสะท้อนความหวาดกลัวของผู้คนในปลายศตวรรษที่ 19 เช่น กลัวผู้อพยพเข้าเมือง อันสะท้อนชัดเจนในพระราชบัญญัติคนต่างด้าวค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) ซึ่งช่วยสกัดการอพยพส่วนใหญ่จากยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ยังมีความกลัวความเสื่อมทรามทางศีลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำส่อนทางเพศ ความกลัวที่แฝงอยู่ในนวนิยายยังสะท้อนอีกความเชื่อด้วยว่าหญิงยุคใหม่นอกขนบสามารถจะแพร่เชื้อโรคซึ่งอาจนำความตายมาให้ (เช่น ซิฟิลิส) พวกเธอจึงถูกลดทอนเป็นเหมือนสัตว์ร้ายมีเขี้ยวเล็บที่ต้องถูกทำลายเหมือนอย่างผีดิบสาวลูซี่

อย่างไรก็ตาม หากเรามองในระดับจิตใจ เชื้อโรค คนแปลกหน้า ผีสาง ปิศาจที่น่าหวาดกลัว ความป่วยไข้ต่างๆ ก็ล้วนสามารถสะท้อนลักษณะบางอย่างที่ปัจเจกและกลุ่มนั้นๆ ไม่ตระหนัก รู้จักน้อยหรือปฏิเสธได้ เช่น เราอาจมีความเอาแต่ใจ ความต้องการรวมศูนย์อำนาจ ความหิวกระหายอย่างมากล้น ความฟุ้งฝันอันเป็นเท็จ ฯลฯ และได้ปล่อยให้มันขับเคลื่อนเราไปอย่างไม่ค่อยรู้ตัวมาตลอด เราจึงพร้อมผลักไสและฉาย (project) ลักษณะเหล่านั้นไปยังสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวเราหรือพรรคพวกของเรา 

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการฉายภาพชั่วร้ายบางอย่างไปยังศัตรูทางการเมือง เช่น ในยุคหนึ่งจีนคอมมิวนิสต์วาดรูปสำหรับเดินขบวนให้อเมริกาเป็นงูร้าย ซึ่งทั้งลำตัวเต็มไปด้วยเครื่องหมายสวัสดิกะของนาซีและถูกแทงด้วยน้ำมือของจีน ส่วนที่อเมริกานั้น ในเดือนมีนาคมค.ศ. 2020 อดีตประธานาธิปดีทรัมพ์เรียกเชื้อโควิดว่า ‘ไวรัสจีน’ ซึ่งมีส่วนเพิ่มจำนวนเนื้อหาต่อต้านเอเชียในทวิตเตอร์ อีกทั้งชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็ตกเป็นเป้าความเกลียดชังเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อมีการฉายภาพความชั่วร้ายไปที่สิ่งอื่น ก็มักเกิดความรู้สึกชอบธรรมที่จะทำร้ายและกำจัดอีกฝ่ายเหมือนที่แวน เฮลซิ่งได้ไล่ล่าแดรกคิวล่าและลูซี่ 

แต่เฉดสีที่อ่อนกว่าการเห็นสิ่งอื่นเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดทิ้งไม่ว่าต้องใช้วิธีที่โหดสักปานใด ก็คือศักยภาพในการเห็นลักษณะของ ‘ศัตรู’ ในตัวเอง ตลอดจนสามารถนำลักษณะเหล่านั้นมาปกป้องพื้นที่ของตัวเองอย่างพอเหมาะ คู่ขนานไปกับการขยายพื้นที่ทางจิตใจ

3.

บางครั้งเราก็ต้องการลักษณะของสิ่งที่เราไม่ชอบ เพื่อมาใช้สร้างอาณาเขตต่อสิ่งที่แสดงลักษณะเช่นนั้น

สิ่งที่ดูเหมือนย้อนแย้งก็คือ ในหลายกรณี เราก็ต้องการลักษณะของสิ่งที่เราไม่ชอบและปฏิเสธ เพื่อมาใช้สร้างอาณาเขตต่อสิ่งนั้น หากเรามิได้มองว่าคนกลุ่มอื่น เชื้อโรค อาการป่วยไข้ไม่สบายทั้งทางกายและใจของตน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ต้องต่อต้านหรือทำให้มลายไปเดี๋ยวนั้น แต่เป็นเข็มทิศที่เราสามารถติดตามไปสู่ขุมทรัพย์ได้ เราอาจสัมผัสลักษณะที่ไม่ตระหนักรู้หรือไม่ค่อยได้ใช้อย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งสามารถช่วยกู้สมดุลในใจและคลายความอึดอัดคับข้องให้หายไปได้

ยกตัวอย่างหญิงสาวคนหนึ่งเป็นคนไม่ค่อยกล้าปฏิเสธคนอื่น แต่ครั้นเธอทำตามความต้องการของผู้อื่นซึ่งขัดกับความต้องการของเธอเองมากเกินไป เธอก็มักรู้สึกอึดอัดราวกับมีก้อนหินสีดำขรุขระทิ่มแทงอยู่ที่หน้าอก เมื่อเธอติดตามก้อนหินสีดำนี้ไป เธอพบว่านี่คือรูปแบบพลังที่เธอขาด เธอต้องรู้จักใช้ความหนักแน่นของหินและความแข็งกร้าวดุจคมหินในการปฏิเสธคนอื่นเสียบ้าง และกรณีส่วนใหญ่เธอก็เพียงต้องนำพลังงานแบบแวน เฮลซิ่ง มาเจือจางเพื่อที่จะขับผู้บุกรุกออกไปจากเขตแดนด้วยความเด็ดขาดได้บ้าง

และเชื่อมโยงกับบาดแผลในครอบครัว?

อย่างไรก็ตาม เธอต้องต่อสู้กับความเชื่อบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในครอบครัว นั่นคือ ในสถานการณ์ต่างๆ คนในครอบครัวมักบีบให้เธอสยบยอมแก่ความต้องการของพวกเขารวมไปถึงคนภายนอกที่เข้ามารุกล้ำพื้นที่และเอารัดเอาเปรียบ (อุปมาเหมือนการยอมให้แดรกคิวล่าเข้ามาดูดเลือดโดยไม่ขัดขืนต่อรอง) เมื่อเธอลุกขึ้นสู้คนนอก เธอจะถูกคนในครอบครัวโจมตีเพื่อสกัดการรบรา เพราะพวกเขารู้สึกว่าตนมีกำลังอำนาจน้อยเกินกว่าจะก่อศึกกับคนนอก ความหวาดกลัวอย่างมากทำให้พวกเขาต้องยัดเยียดวิธีศิโรราบแก่เธอเพราะเชื่อว่ามันจะอันตรายน้อยกว่า นอกจากนี้ คนในครอบครัวเธอมักไม่ปล่อยพื้นที่ให้กับความผิดพลาดและพยายามผลักดันเธอไปสู่ความไร้ที่ติซึ่งเป็นไปไม่ได้ ฯลฯ 

เธอพูดคุยถึงเรื่องราววัยเด็กของคนในครอบครัวซึ่งมีบาดแผลชอกช้ำ และสำรวจต่อไปว่าในวงศ์วานนั้นมีคนเป็นโรคมะเร็งกันมาก เธอสังเกตเห็นลักษณะบางประการของผู้ป่วยมะเร็งกล่าวคือ ร่างกายผู้ป่วยเปิดโอกาสให้เซลล์ที่แปลกแยกไปจากแก่นสารอันมีสุขภาวะของตัวเขาเองงอกขึ้น และบุกรุกแผ่ขยายไปในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ซึ่งในที่สุดก็เข้าไปทำลายอวัยวะต่างๆ โดยที่ตัวผู้ป่วยไม่มีศักยภาพมากพอจะปกป้องตัวเองจากเซลล์เหล่านั้น – เธอเกิดความตระหนักรู้บางอย่างจากความสอดคล้องของรูปแบบการรับมือสถานการณ์คุกคามของสมาชิกครอบครัว และลักษณะผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งเชื่อมโยงได้อีกทอดกับคนไข้ติดดีที่ดร.มาเธ่ จิตแพทย์ฮังกาเรียนยิว เล่าว่ามักปล่อยให้คนอื่นรุกอาณาเขตในลักษณะที่บั่นทอนตัวเอง และสุดท้ายก็กลายเป็นเป็นมะเร็งหรือไม่ก็โรคภูมิต้านทานตนเอง (autoimmune disease) 

อาการป่วยที่คนในครอบครัวและวงศ์ตระกูลมีร่วมกัน ในบางกรณีจึงสามารถสะท้อนความไม่สมดุลในวิธีคิดบางอย่างที่ไหลเวียนสืบสาย ยิ่งถ้าป่วยแบบเดียวกันหลายชั่วอายุคน ยิ่งน่าสำรวจว่ามีวิธีคิด ความเชื่อ และที่สำคัญมีบาดแผลใดที่สัมพันธ์กับความป่วยไข้ดังว่า โดยเราอาจสำรวจตัวเองต่อด้วยคำถามต่างๆ เช่น

  1. อาการป่วยนั้นคืออะไร และร่างกายส่วนใดบ้างที่รองรับความเจ็บป่วยนั้นๆ ใช้ความรู้สึกตัวสัมผัสมันอย่างเต็มที่ จากนั้นลองขยายความรู้สึกนี้ไปสู่สิ่งรอบตัว เช่น วัตถุบางอย่าง บุคคลในครอบครัว ฯลฯ
  2. มีรูปแบบความคิดและพฤติกรรมอะไรในครอบครัวและเทือกเขาเหล่ากอที่สอดคล้องกับอาการป่วยนั้นๆ หรือไม่? พวกเขาเผชิญเหตุการณ์ในอดีตที่อาจสร้างบาดแผลไว้หรือไม่? (แต่หากต้องถามก็ต้องมีวิธีการคุยที่เหมาะสมและดูจังหวะด้วย เพราะส่วนใหญ่เขาอาจไม่อยากเล่า) เกิดความตระหนักรู้อะไรจากความพ้องกันหรือขัดกันที่ได้เห็นบ้าง? 
  3. ความตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นสามารถนำมาใช้เยียวยาและป้องกันอาการป่วยดังกล่าวในคนรุ่นต่อๆ ไปได้หรือไม่?

ใน Man and His Symbols มารี หลุยส์ ฟาน ฟรันซ์ (M.L. Von Franz) ได้กล่าวถึงลักษณะที่เราไม่ตระหนักรู้หรือรู้จักน้อยในฐานะเงามืด (Shadow) ซึ่งเราจำเป็นต้องปรับเข้าไว้ในความตระหนักรู้เพื่อการเติบโตภายใน มิเช่นนั้นเราอาจทำได้เพียง “ติดเชื้อร่วมกัน” เหมือนอย่างกลุ่มคนที่ติดโรคในภาพ “การเต้นระบำของนักบุญไวรัส (St. Virus Dance)” โดยยากจะหาย

ดังนั้นครั้งต่อไปเมื่อเรารับรู้ถึงเชื้อโรค อาการป่วยไข้ไม่สบาย (dis-ease) อีกทั้งปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ดูดำมืดคลุ้งคาวและไม่ค่อยรู้จักนั้น ลองถามตัวเองอีกสักครั้งว่า มันสะท้อนความไม่สมดุลและบาดแผลบางอย่างที่ผู้คนในครอบครัวหรือชุมชนอาจมีร่วมกันหรือไม่? 

อ้างอิง
Authenticity vs. Attachment ดร. กาบอร์ แมท Gabor Maté แพทย์ซึ่งเกิดในฮังการีในช่วงนาซีบุก เขาสนใจเรื่องพัฒนาการในวัยเด็กและบาดแผลทางจิตใจ
Bram Stoker’s Dracula และ Dracula: vampires, perversity and Victorian anxieties จากเว็ปไซต์หอสมุดสหราชอาณาจักร
Carcinosin โดย Narendra Mehta
Dracula จาก สารานุกรมออนไลน์บริทานิกา
Man and His Symbols บรรณาธิการและคำนำโดย คาร์ล กุสตาฟ ยุง (Carl Gustav Jung)
Netflix’s Dracula Season 1 Ending Explained
The Vampire Book: The Encyclopedia of the Undead โดย J Gordon Melton
Trauma Intergenerational โดย Gill Emslie และ Andy 
Trump’s ‘Chinese Virus’ tweet helped lead to rise in racist anti-Asian Twitter content: Study โดย Dr. Mishal Reja
Victorian Studies Vol. 26, No. 1, “Dracula”: Stoker’s Response to the New Woman” โดย Carol A. Senf
What is CARCINOSIN? Homeopathic Miasms

Tags:

ปม(trauma)Myth Life Crisisตำนาน

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : ความสัมพันธ์ที่เคารพอาณาเขตของตัวเอง (2)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : เพื่อนผู้พึ่งพาได้ ในขณะที่ยังมีเส้นอาณาเขตระหว่างตัวเองและผู้อื่นชัดเจน (1)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    เราไม่จำเป็นต้องสูญเสียตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ : ผลจากการเลี้ยงดูที่ถูกปกป้อง (ควบคุม) อย่างสุดขีดและทางออก

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    วังวนของซิซีฟัสผู้ถูกลงทัณฑ์ให้กลิ้งหินตราบชั่วนิรันดร์ และทางออกจากอาการย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’
25 August 2021

โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ในสภาวะที่การเรียนการสอนไม่เหมือนเดิม ความไม่แน่นอนและปรับเปลี่ยนไปมาอาจส่งผลกระทบกับผู้เรียนเกิดภาวะ ‘ความรู้ถดถอย’ (Learning Loss)’
  • งานเสวนา ‘ล็อกดาวน์ไม่ล็อกการเรียนรู้’ ครั้งที่ 1 โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนามาแชร์วิธีออกแบบการเรียนรู้ในช่วงเวลาโควิด – 19 โดยให้สอดคล้องกับวิถีและความสนใจของเด็ก เพิ่มโจทย์ที่ท้าทายศักยภาพเด็กแต่ละคน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะต่างๆ ไม่ให้พวกเขาเกิดภาวะความรู้ถดถอย
  • ผู้ปกครองกลายมาเป็นฝ่ายซับพอร์ตเด็กแทนครู ทำให้โรงเรียนต้องเตรียมความพร้อมให้พวกเขา เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเกื้อหนุนการเรียนรู้ให้กับลูกๆ ที่บ้านได้ เข้าใจกระบวนการและวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ที่บ้านตั้งแต่การออกแบบตารางเวลาเรียน การทำกิจกรรมร่วมกับลูก และการให้ข้อมูลป้อนกลับหรือฟีดแบคกลับมายังคุณครู

การเรียนรู้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด – 19 ของเด็กๆ บ้านกับโรงเรียนต้องเชื่อมโยงกัน โรงเรียนต้องออกแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับพื้นที่และสถานการณ์ เพื่อให้เด็กๆ ได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโรคระบาดได้โดยไม่เกิดภาวะ ‘ความรู้ถดถอย’ (Learning Loss)’ ที่สำคัญควรออกแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีและความสนใจของเด็กด้วย โดยครูอาจเพิ่มโจทย์ที่ท้าทายศักยภาพเด็กแต่ละคน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะต่างๆ 

สำหรับเด็กในช่วงชั้นประถมศึกษา สิ่งที่ครูต้องให้ความสำคัญ คือ พัฒนาการความฉลาดรู้ 3 ด้าน สมรรถนะ 6 ด้าน, คุณสมบัติพึงประสงค์, พัฒนาการ Self (Self-esteem, Self-control) และพัฒนาการทักษะสมอง EF

The Potential ถอดบทเรียนจากการนำเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้ระดับประถมศึกษาโดย ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์ ครูประถมและหัวหน้าฝ่ายวิชาการ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ผ่านงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘ล็อกดาวน์ไม่ล็อกการเรียนรู้’ ครั้งที่ 1 

ครูยิ้มเริ่มต้นด้วยการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลศักยภาพการเรียนรู้ของเด็ก ผู้ปกครอง และความพร้อมของเครื่องมือ เพื่อนำมาจัดกลุ่ม และออกแบบกระบวนการเรียนรู้ กิจกรรมสำหรับเด็กแต่ละกลุ่ม ซึ่งในกรณีที่ผู้ปกครองไม่มีเวลา ไม่มีศักยภาพ ครูจะเป็นโค้ชเพื่อให้แนะนำเพิ่มเติม แต่หากผู้ปกครองไม่สามารถจัดการเรียนรู้ได้แม้จะได้รับคำแนะนำจากครูแล้ว ในส่วนนี้ครูจะออกแบบให้โดยดูจากความสนใจของเด็กเป็นสำคัญ

PLC ชุมชนแห่งการเรียนรู้ของครู 

ด้วยสถานการณ์โควิด – 19 เป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกคน การปรับรูปแบบการเรียนรู้ถือเป็นโจทย์ใหญ่และไม่สามารถคิดคนเดียวได้ ครูยิ้มเล่าว่า ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา มีการนำเครื่องมือที่เรียกว่า PLC​ (Professional Learning Community) มาใช้เพื่อสร้างการเรียนรู้ระหว่างครูด้วยกัน 

“ในส่วนกระบวนการทำงานของครูอันนี้สำคัญมาก เวลาเราได้งานแล้วคิดคนเดียวบางทีเราจะรู้สึกว่ามันตัน จะทำยังไงให้กระบวนการเรียนรู้ช่วยผลักเราให้เกิดไอเดียร่วมกันได้ ที่โรงเรียนเราจะมีวง PLC ครูที่เข้มแข็งมาก กระบวนการแต่ละกระบวนการจะค่อนข้างให้ครูได้นำไปใช้กับเด็กจริงๆ จนเกิดผล เพราะว่าเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมดจะต้องส่งผลไปหาเด็กๆ” 

นอกจากกระบวนการทำงานระหว่างครูกับครูแล้ว การสร้างการมีส่วนร่วมของระหว่างครูกับผู้ปกครองก็เป็นขั้นตอนสำคัญ ครูจะส่งต่อโจทย์ให้เด็กผ่านการจัดการเรียนรู้โดยพ่อแม่ และโจทย์นั้นต้องเป็นโจทย์ที่ท้าทายพัฒนาด้านต่างๆ ของเขา จนสั่งสมเป็นสมรรถนะ

สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา จะแบ่งเป็น 2 ช่วงชั้น คือ ป.1 – ป.3 และ ป.4 – ป.6 ในช่วงชั้นแรกกระบวนการจะคล้ายกับอนุบาล เนื่องจากไม่ได้เรียนออนไลน์ 100% เป็นการเรียนรู้กึ่งออนไลน์ ที่เน้นกระบวนการทำงานกับผู้ปกครองเช่นกัน แต่ในช่วงชั้นที่สอง คือ ป.4 – ป.6 จะมีกระบวนการออนไลน์ร่วมด้วย

“ในกระบวนการทำงานกับผู้ปกครอง เราพยายามทำให้เขาเห็นทั้งหมด 3 ส่วน ส่วนแรกคือ ให้เห็นเป้าหมายที่แท้จริงของการจัดการศึกษาทั้งระยะไกลและระยะใกล้ เห็นถึง vision (วิสัยทัศน์) รวมถึงสมรรถนะว่าผู้ปกครองต้องมีอะไร ส่วนที่สองอยากให้ผู้ปกครองเข้าใจลูกแต่ละวัย พัฒนาการและการใช้จิตวิทยาที่เหมาะสม สกิลที่ลูกควรได้คืออะไร และส่วนที่สาม ที่สำคัญเลยคือ ผู้ปกครองต้องเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ให้ลูกๆ ได้” 

การจัดกิจกรรมให้กับผู้ปกครองจะเป็นการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเกื้อหนุนการเรียนรู้ให้กับลูกๆ ที่บ้านได้ เข้าใจกระบวนการและวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ที่บ้านตั้งแต่การออกแบบตารางเวลาเรียน การทำกิจกรรมร่วมกับลูก และการให้ข้อมูลป้อนกลับหรือฟีดแบคกลับมายังคุณครู

คณิต Pro – active: สร้างกิจกรรมให้เด็กค้นพบวิธีการแก้ปัญหา

สำหรับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาการให้โจทย์มีเงื่อนไขที่ครูใหญ่วิเชียรตั้งไว้ว่า ต้องไม่เยอะแต่สร้างความท้าทายและซับซ้อนให้กับผู้เรียน และครูแต่ละวิชาว่าต้องตอบให้ได้ว่าโจทย์นั้นจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในเรื่องอะไร จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการแบ่งกลุ่มตามศักยภาพของผู้เรียน

“เวลาแบ่งกลุ่มผู้เรียน เราจะมีจุดมุ่งหมาย คือ อยากให้เด็กๆ ทุกคนเขามีโอกาสที่จะทำงานนั้นสำเร็จ หมายความว่าทำได้ตามศักยภาพของเขา เพราะฉะนั้นครูผู้สอนเราก็เชื่อว่าครูที่เป็นคนให้โจทย์นั้นจะเป็นคนที่เข้าใจเด็กจริงๆ เราก็มาช่วยกันคิด วิเคราะห์โจทย์กัน โจทย์แต่ละกลุ่มก็จะไม่เหมือนกัน”

ครูยิ้มยกตัวอย่างวิชาคณิตศาสตร์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของเด็กๆ ซึ่งตนเองมีประสบการณ์ตรงจากการเป็นโค้ชวิชานี้ในช่วงที่โรงเรียนไม่สามารถเปิดได้ปกติ โจทย์ที่ครูยิ้มคิดล้วนมาจากสถานการณ์จริงในชีวิตที่เด็กต้องเผชิญอยู่แล้ว เช่น รายการอุปกรณ์การเรียนแต่ละประเภทที่ผู้ปกครองต้องซื้อให้ลูกพร้อมราคา โดยโจทย์ที่ชวนให้เด็กได้คิดไม่ใช่แค่วิธีการบวก ลบ คูณ หาร แต่เป็นการให้เขาได้คำนึงถึงบริบทของพ่อแม่ และแสดงวิธีคิดว่าในข้อจำกัดนั้นเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร  

“อย่างข้อนี้ ถ้าแม่ทำงานมีรายได้วันละ 350 บาท แม่ต้องทำงานกี่วัน ถึงจะสามารถซื้ออุปกรณ์การเรียนได้ครบทุกประเภท แล้วถ้าแม่มีลูก 2 คน แม่ต้องใช้เงินในการซื้ออุปกรณ์การเรียนทั้งหมดกี่บาท และแม่ต้องทำงานกี่วัน ให้เขารู้สึกว่าขณะที่ทำโจทย์ก็ต้องคิดถึงบริบทของพ่อแม่เราที่ทำงานเพื่อจะซัพพอร์ตเราด้วย แล้วเราก็มีทิ้งท้ายไปด้วยว่า ถ้าเรามีลูก 2 คน จะช่วยแม่ประหยัด จะออกแบบการซื้ออย่างไร แต่ยังได้ครบทุกประเภท เด็กๆ เขาก็จะมีวิธีการ กระบวนการแสดงวิธีคิดของเขา”  

ซึ่งหนึ่งในนักเรียนของครูยิ้ม ตอบกลับมาว่า “เราไม่จำเป็นต้องซื้อสีกล่องใหญ่ เพราะสีกล่องใหญ่มัน 189 บาท เราสามารถใช้สีไม้กล่องเล็กแล้วมาเรียนรู้การผสมสีการไล่สีได้” จะเห็นว่าเขาสามารถให้คำตอบพร้อมเหตุผลได้ 

และเมื่อไรก็ตามที่นักเรียนของครูยิ้มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไม่ว่าจะด้านใด ครูยิ้มไม่รีรอที่จะตอบสนองความต้องการนั้นกลับไปทันที นี่คือกระบวนการฟีดแบคที่ต้องทำทันที 

“ถ้าเมื่อไรที่เด็กเขามีข้อความส่งมาหาเรา เราอย่ารอช้าควรจะรีบหยิบขึ้นมาแล้วตอบทันทีเลย เพราะเราเชื่อว่าขณะนั้นแสดงว่าเขามีความอยากรู้ มีแพชชั่นที่จะเรียนแล้ว เราก็ต้องตอบโต้หรือว่าให้ฟีดแบคให้ข้อมูลเขาไปทันที” 

นอกจากนี้ นักเรียนของครูยิ้มยังมีกลุ่มที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ คือ กลุ่มที่อยู่กับปู่ย่าตายายหรือมีความขัดข้องหลายๆ ด้าน ซึ่งครูต้องเข้าไปติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะในระยะยาวหากปล่อยไปเรื่อยๆ โอกาสที่การเรียนรู้ของเขาจะถดถอยมีสูงมาก

ตัวอย่างโจทย์คณิต Pro-active รายบุคคลของนักเรียนชั้น ป.4

บทเรียนสองภาษา ฝึกทักษะการสื่อสาร

สำหรับการเรียนรู้ภาษาไทยผ่านวรรณกรรม ใช้การ์ตูนเรื่อง ‘อธิษฐานสิจ๊ะ’ กับ ‘นางฟ้าสีเขียว’ ตอนแจกัน เป็นโจทย์ในการอ่าน สรุปความเข้าใจและลำดับเหตุการณ์ พร้อมปั้นแจกันในรูปแบบของตนเอง

การเรียนรู้ขั้นแรกเริ่มจากการคาดเดาเรื่องผ่านคำถาม เช่น “เหตุการณ์ในตอนนี้จะเป็นอย่างไร?” จากนั้นทบทวนความรู้สึกหลังอ่านจบ สรุปลำดับเหตุการณ์ผ่านการวาดการ์ตูนช่อง และค้นหาคำศัพท์ใหม่ จับกลุ่มคำความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงแล้วนำมาแต่งประโยคเพื่อยืนยันว่าใช้คำได้ถูกความหมาย ขั้นต่อมาคือการตีความใต้บรรทัด เพื่อเข้าใจความคิด ความเชื่อ สังคมและวัฒนธรรม โดยครูยิ้มหย่อนคำถามว่า “ลวดลายบนแจกันแบบต่างๆ บอกถึงสิ่งใด ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?” และเพื่อให้เด็กๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เขาจะได้ออกแบบและลงมือปั้นแจกันที่สามารถใช้งานได้จริงเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงหนึ่งชิ้น 

นอกจากทักษะการอ่านการเขียนแล้ว โจทย์นี้ยังสร้างโอกาสที่จะเกิดสมรรถนะ 2 ด้านด้วยกัน คือ การสื่อสารด้วยภาษา มีความสามารถในการรับรู้ รับฟัง ตีความ และส่งสารด้วยวัจนภาษาและอวัจนภาษา โดยใช้กระบวนการคิด นำไปสู่การเรียนรู้ ความเข้าใจ และการคิดขั้นสูงและการเรียนรู้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ เข้าถึงความเชื่อมโยงร่วมกันอย่างเป็นระบบด้วยการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล 

“ส่วนภาษาอังกฤษ เน้นกระบวนการคือ ให้โจทย์นักเรียนไปก่อน แต่ว่าโจทย์จะไม่ใช่ใบงานหรือไม่ใช่สิ่งที่ต้องยุ่งยากหรือเป็นภาระมาก พอให้โจทย์ให้คลิปไปศึกษาเสร็จ เราจะมีช่วงภาษาอังกฤษของช่วงชั้น ชั้นละประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ มาแชร์กันในช่อง zoom หรือว่าช่องที่เรากำหนดไว้ ประมาณ 40 นาที เด็กเขาก็จะนำชิ้นงาน นำสิ่งที่ทำมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ แล้วก็ฝึกฝนการใช้ภาษา”

ตัวอย่างโจทย์ English : Telling the Feeling and Emotions เป้าหมายคือให้เข้าใจความหมายของศัพท์ Feeling and Emotions สามารถสนทนาตอบคำถาม เขียน วาดภาพ แต่งการ์ตูนช่อง เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้  

ครูยิ้มยกตัวอย่างกรณีนักเรียนชั้นป.4 คนหนึ่งซึ่งเรียนรู้ค่อนข้างช้า โดยเฉพาะการเขียนและการสื่อสาร ยังพูดไม่ชัด สื่อสารไม่ตรงประเด็นหรือไม่ตรงคำถาม อีกทั้งเวลาอยู่ในห้องเรียนค่อนข้างที่จะกำกับตัวเองยากในการนั่งอยู่กับที่ 

“ครอบครัวนี้อาจจะมีสภาวะหลายอย่างที่บ้าน กระบวนการทำงานกับผู้ปกครองคือ จะให้นักเรียนมารับโจทย์กับคุณแม่ที่โรงเรียน มาทำความเข้าใจก่อน เสร็จแล้วก็ทำงานที่โรงเรียนสักประมาณนึงแล้วค่อยกลับไปทำต่อที่บ้าน ส่วนคุณแม่ก็คอยช่วยเหลือด้วยการถ่ายภาพ ส่งข้อความมาสอบถาม วันต่อมาเขาไม่สามารถที่จะเข้าออนไลน์กับเพื่อนๆ ได้ เราก็ให้เขากลับมาที่โรงเรียนอีก เป็นการสลับบางวันให้เขาได้เรียนรู้กับเพื่อนๆ แล้วก็กล้าที่จะใช้ภาษา” 

หลังจากที่ครูยิ้มสื่อสารและทำงานร่วมกับผู้ปกครองเป็นรายกรณี ออกแบบการเรียนรู้ 3 ช่วงเวลาที่บ้าน พร้อมติดตามและฟีดแบคทันที ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ 

เด็กมีเป้าหมายกำกับตัวเอง รับผิดชอบงานจนสำเร็จ มีความมั่นใจในการพูด โต้ตอบได้ดีกับครูเจ้าของภาษาในระหว่างเรียนออนไลน์ มีความพยายามสื่อสารภาษาอังกฤษง่ายๆ ตามโจทย์ที่ครูให้ได้โดยไม่กลัวผิด และเคารพในกฎกติกาการร่วมกิจกรรม เช่น เคารพข้อตกลง การยกมือ การเปิด-ปิดไมล์ในการเรียนออนไลน์ร่วมกับเพื่อนๆ ได้สมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง

จะเห็นว่าช่วงเวลาการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ของครูยิ้ม บทบาทครูยิ้มไม่ใช่ครูบอกสอนออนไลน์ แต่เป็นโค้ชที่ให้ฟีดแบค ฟังความคิดของเด็กที่กำลังพรั่งพรู พูดคุยประเด็นปัญหาต่างๆ ระหว่างการเรียนรู้ ทำให้เด็กเข้าใจบทเรียนนั้นมากขึ้น การเรียนรู้จึงกลายเป็นเรื่องสนุก

Tags:

งานเสวนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้ศิริมา โพธิจักร์ประถมศึกษาโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ใบงานบูรณาการ’ โรงเรียนบ้านเขาจีน : เมื่อครูช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ร่วมในโจทย์เดียว ลดภาระผู้เรียนและผู้ปกครอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ‘งานบ้าน งานสวน งานครัว’ วิชาเรียนของเด็กๆ โรงเรียนบ้านกระถุนในช่วงโควิด – 19 ที่ยังคงได้ทักษะชีวิตและสมรรถนะที่จำเป็น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ครูเป็นโค้ช โจทย์ต้องท้าทาย พลังสำคัญของการเรียนรู้ที่บ้าน : ครูเต้ย- โกเมน อ้อชัยภูมิ โรงเรียนประถมรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง : เคลื่อนมุมคิดจากโรงเรียนเป็นฐาน สู่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Child Base Learning)

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Self-Directed Learner ช่วงเวลาเรียนรู้ที่มีคุณภาพของเด็กมัธยม: ครูณี-พรรณี แซ่ซือ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel