Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: July 2021

ประชาธิปไตย Vs. เผด็จการ เมื่อการเลี้ยงดูสามารถสร้างคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้
Character building
6 July 2021

ประชาธิปไตย Vs. เผด็จการ เมื่อการเลี้ยงดูสามารถสร้างคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้

เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ชุดประสบการณ์ที่บุคคลคนนั้นมี มีผลต่อการสร้างพลเมืองประชาธิปไตย แต่โครงสร้างบุคลิกภาพ (Personality Character) เองก็มีผลต่อการสร้างให้พลเมืองมีคาแรกเตอร์ประชาธิปไตยเช่นกัน และสิ่งนี้สามารถเริ่มปลูกฝังได้ตั้งแต่ในเด็กเล็ก
  • นักวิจัยหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า บุคลิกภาพแบบเผด็จการอาจเกิดจากการถูกเลี้ยงดูโดยใช้ความรุนแรง มีความสัมพันธ์ที่เข้มงวด และมีพฤติกรรมใช้การลงโทษกับเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจเด็กได้ยาวนาน โดยเฉพาะการแสดงความก้าวร้าวและการปฎิบัติตัวในสังคม
  • บุคลิกภาพประชาธิปไตยจะเกิดกับเด็กที่มีสุขภาพดี ได้รับการเลี้ยงดูตามลักษณะธรรมชาติของมนุษย์ ต่างจากเด็กที่มีบุคลิกภาพเผด็จการจะเกิดจากวัยเด็กที่ผ่านการเลี้ยงดูแบบรุนแรง ขัดต่อธรรมชาติมนุษย์

เด็กคนหนึ่งจะโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เขาโตมา โดยเฉพาะปัจจัยการเลี้ยงดู เป็นข้อเท็จจริงอย่างแน่นอนว่า หากเขาได้รับการเลี้ยงดูที่อบอุ่น ตอบสนองความต้องการ ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย เด็กคนนั้นคงโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้ซึ่งบาดแผลกายและจิตใจ 

ในทางกลับกัน หากเขาถูกเลี้ยงดูด้วยการควบคุม บังคับ หรือใช้การลงโทษ แน่นอนว่าเด็กคนนั้นอาจโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยบาดแผล หรืออาจเป็นผู้ใหญ่ที่มีคาแรกเตอร์เผด็จการในตัว (Authoritarian character)

หนึ่งในทักษะหรือคาแรกเตอร์ที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจอยากปลูกฝังให้เด็กมี คือ ประชาธิปไตย (Democratic Character) นอกจากกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถสร้างคาแรกเตอร์ดังกล่าวได้ การเลี้ยงดูในครอบครัวก็ทำได้เฉกเช่นเดียวกัน และสิ่งนี้สามารถเริ่มปลูกฝังได้ตั้งแต่ในเด็กเล็ก

แต่นักวิชาการส่วนใหญ่มักศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมเกี่ยวกับประชาธิปไตยกับกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ เพราะสมมติฐานที่ว่า ความสามารถในการเรียนรู้ (Cognitive capacities) เป็นพื้นฐานในการฝึกทักษะประชาธิปไตย (Democratic capacities) นั่นเลยทำให้พวกเขาส่งเสริมความรู้ประชาธิปไตยในกลุ่มนี้ เช่น ความรู้เรื่องสิทธิและหน้าที่พลเมือง เหตุผลเชิงจริยธรรมกับชีวิตการเมือง (Moral reasoning about social political life) ฝึกสนทนาในหัวข้อที่อาจสร้างความขัดแย้ง (Controversial topics) เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อรัฐบาลในการกำหนดและผ่านร่างกฎหมายต่างๆ

แน่นอนว่าชุดประสบการณ์ที่บุคคลคนนั้นมี มีผลต่อการสร้างพลเมืองประชาธิปไตย แต่ที่คนมักไม่ค่อยพูดถึงกัน คือ โครงสร้างบุคลิกภาพ (Personality Character) เองก็มีผลต่อการสร้างให้พลเมืองมีทักษะประชาธิปไตยเช่นกัน

อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow 1970) เจ้าของทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Need) ในทฤษฎีของเขาระบุว่า คนที่อยู่ขั้นที่ 5 ขั้นความต้องการที่จะเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง (Self – actualizing) คนกลุ่มนี้จะมีโครงสร้างบุคลิกภาพที่เป็นประชาธิปไตย คือ พวกเขาจะไม่พยายามครอบงำคนอื่น เพราะเชื่อว่าทุกคนเท่าเทียม (Egalitarianism) โดยแสดงให้เห็นผ่านการยอมรับสิ่งที่ผู้อื่นเป็น แตกต่างจากคนที่มีบุคลิกภาพแบบเผด็จการที่มีแนวโน้มไม่ไว้ใจผู้อื่น คาดหวังความสัมพันธ์แบบลำดับชั้น (Hierarchical relations) รวมถึงมีพฤติกรรมครอบงำผู้อื่น หรือให้ความไว้วางใจกับหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ

คนที่มีบุคลิกภาพแบบเผด็จการ จะใช้ชีวิตแบบ ‘Rubricize’ ตามนิยามของมาสโลว์ คือ พวกเขาจะปฎิบัติตามบริบทสังคมอย่างเคร่งครัด แทนที่จะรู้จักการยืดหยุ่นให้คนอื่น

มาถึงคำถามสำคัญว่า…ที่มาของบุคลิกภาพทั้ง 2 แบบเกิดจากอะไร? มีนักวิจัยหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า บุคลิกภาพแบบเผด็จการอาจเกิดจากการถูกเลี้ยงดูโดยใช้ความรุนแรง (Harsh parenting) คือ ผู้เลี้ยงดูไม่ตอบสนองต่อความต้องการของเด็ก มีความสัมพันธ์ที่เข้มงวด และมีพฤติกรรมใช้การลงโทษกับเด็ก เช่น การตีก้น (Spanking) ซึ่งการกระทำลักษณะนี้อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจเด็กได้ยาวนาน โดยเฉพาะการแสดงความก้าวร้าวและการปฎิบัติตัวในสังคม

แล้วบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตยสามารถสร้างได้อย่างไร? – ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่คอยตอบสนองซึ่งกันและกันตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น (Mutually responsive parent – child relationship) ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีทักษะการเข้าสังคมที่ดี โดยเฉพาะรู้จักวิธีต่อรองและตอบโต้อย่างสร้างสรรค์ รู้จักยืดหยุ่น และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการเลี้ยงดูแบบใช้ความรุนแรงกับการเลี้ยงดูแบบตอบสนอง คือ ‘ความกลัว’ การเลี้ยงดูที่ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ช่วยให้พวกเขาสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านการดูแลที่อ่อนโยน จะช่วยพัฒนาสมองและร่างกายของเขาในทิศทางที่ดี

ส่วนการเลี้ยงดูที่ทำให้เด็กรู้สึกทุกข์และไม่ปลอดภัย จากงานวิจัยของ Snonkoff (2012) ระบุว่า ปัจจัยความเครียดในวัยเด็กส่งผลกระทบต่อพัฒนาการพวกเขา เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Lanius (2010) และของ Van Der Kolk (2014) ที่ระบุว่า ประสบการณ์เลวร้ายจะถูกบันทึกไว้ในเซลล์ประสาท ถูกดึงมาใช้เมื่อเจอการกระตุ้น เป็นกลไกป้องกันตัวเอง

ปม (trauma) ที่เกิดส่งผลต่อกลไกป้องกันตัวเองเมื่อต้องเผชิญกับความเครียด พวกเขาอาจตอบสนองด้วยการหนี (Flight) สู้ (fight) แช่แข็ง (freeze) หรือหมดสติ (faint) (อ่านบทความเพิ่มเติม ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก) ส่วนใหญ่การตอบสนองของคนกลุ่มนี้จะเป็นแบบ freezing คือ ภาวะสมองถูกแช่งแข็ง ไม่สู้ หรือหนี ซึ่งลักษณะเช่นนี้สามารถพบได้ในกลุ่มสิ่งมีชีวิตตระกูล Hominidae (หรือวงศ์ลิงใหญ่ (Great ape) หนึ่งในบรรพบุรุษของมนุษย์)

อย่างไรก็ตามในสายพันธุ์มนุษย์ พวกเรามีการพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัวให้มีความเท่าเทียม และรู้จักการดูแลตอบสนองอย่างเต็มที่ บุคลิกภาพประชาธิปไตยจะเกิดกับเด็กที่มีสุขภาพดี ได้รับการเลี้ยงดูตามลักษณะธรรมชาติของมนุษย์ ต่างจากเด็กที่มีบุคลิกภาพเผด็จการจะเกิดจากวัยเด็กที่ผ่านการเลี้ยงดูแบบรุนแรง ขัดต่อธรรมชาติมนุษย์

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มนาซีเยอรมัน (The Nazi Germany) ส่งเสริมให้ปฎิบัติต่อเด็กเล็กๆ อย่างโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อที่ให้พวกเขาโตขึ้นและรู้จักยอมจำนนต่อผู้มีอำนาจโดยอัตโนมัติ

หากเราอยากส่งเสริมให้โลกนี้เป็นสังคมประชาธิปไตย คงต้องเริ่มจากการดูแลเด็กเล็กและวัยรุ่น ปลูกฝังคาแรกเตอร์ประชาธิปไตยให้กับพวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่าคาแรกเตอร์เช่นนี้จะอยู่คู่สายพันธุ์เราต่อไป

อ้างอิง
Democracy Starts with Babies and Responsive, Nested Care
Harsh Parenting and Child Externalizing Behavior: Skin Conductance Level Reactivity as a Moderator

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยประชาธิปไตยการเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsMovie
    Ted Lasso: โค้ชทีมฟุตบอลก็เหมือนการเลี้ยงลูก ในวันแข่งจริง เราแค่ภาวนาให้เค้าทำอย่างที่เราสอนไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.2 แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับลูกปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

‘ประเทศนี้ต้องการคนรุ่นใหม่แบบไหน’ 5 ประเด็นถกเถียงสำคัญจากร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ
5 July 2021

‘ประเทศนี้ต้องการคนรุ่นใหม่แบบไหน’ 5 ประเด็นถกเถียงสำคัญจากร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล

  • ในการพัฒนาฝึกฝนและบ่มเพาะสมรรถนะให้ผู้เรียนที่ละเอียดเกินไปอาจไม่เหมาะสมกับช่วงอายุของเด็ก ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในพัฒนาการเรียนรู้และการส่งเสริมคุณค่าความฝันของเด็กแต่ละคนตามพัฒนาการ ยังละเลยการให้คุณค่าเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคซึ่งเป็นหลักการสากล กลับเน้นไปที่การพยายามปลูกฝังแนวคิดแบบชาตินิยมแทน
  • ร่างพ.ร.บ.การศึกษา ควรมีกลไกให้นักเรียนได้มีอำนาจตรวจสอบและและถ่วงดุลในสถานศึกษาเพิ่มเข้าไปด้วยหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีหลายกรณีที่ผู้บริหาร และครู ได้ใช้อำนาจที่ไม่ธรรมต่อนักเรียน
  • ที่น่ากังวล คือ หากสถานศึกษาอยากจะออกแบบหลักสูตรของตัวเอง และที่ผ่านมาสามารถทำได้ทันที หลังจากนี้ต้องเปลี่ยนมาแจ้งสถาบันเพื่อขอการอนุมัติให้หลักสูตรด้วย ซึ่งจุดนี้ก็อาจทำให้เกิดความล่าช้า ด้วยการเพิ่มขั้นตอนทางราชการเข้ามา

ในช่วงที่ผ่านมา เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงร่างพระราชบัญญัติการศึกษาในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ครู ผู้บริหาร นักการศึกษา รวมไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นำไปสู่การถกเถียง แลกเปลี่ยน ทั้งในทางที่สนับสนุนและคัดค้าน รวมถึงการให้ข้อสังเกตที่สำคัญจากร่างฯ ดังกล่าว ในการเขียนครั้งนี้ ผู้เขียนจึงอยากฉายให้เห็นภาพว่า ร่าง พ.ร.บ.การศึกษา ฉบับเดียวที่กำลังเข้าสู่สภาฯ ซึ่งถูกร่างโดยคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) กำลังถูกพูดถึงในประเด็นใดบ้าง และภายใต้ประเด็นเหล่านี้ มีมุมมองและข้อถกเถียงจากหลายฝ่ายว่าอย่างไร

1. เป้าหมายของการจัดการศึกษา

มาตรา 8 ในร่างพระราชบัญญัติการศึกษา ได้ถูกพูดถึงในวงกว้างเพราะมีการระบุรายละเอียดว่าเด็กในแต่ละช่วงวัยต้องบรรลุเป้าหมายสมรรถนะใดบ้าง 

มาตรา ๘ ในการพัฒนาฝึกฝนและบ่มเพาะให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตามมาตรา ๗ ต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามระดับช่วงวัย ดังต่อไปนี้

ช่วงวัยที่หนึ่ง ตั้งแต่แรกเกิดจนมีอายุครบหนึ่งปี ต้องได้รับการเลี้ยงดูให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์ การพัฒนาทางอารมณ์ และการกระตุ้นการรับรู้ทางประสาทสัมผัส  ให้สามารถเรียนรู้ในการช่วยเหลือตนเองและสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ตามวัย

ช่วงวัยที่สอง เมื่อมีอายุเกินหนึ่งปีจนถึงสามปี นอกจากต้องดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตาม (๑) แล้วต้องฝึกฝนให้ช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น เรียนรู้ผ่านการเล่น การสังเกตและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสภาพแวดล้อม เรียนรู้การพูดและการสื่อสารที่ดี เรียนรู้การสร้างวินัย เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เริ่มรู้จักเผื่อแผ่และเริ่มซึมซับวัฒนธรรมไทยพื้นฐาน

อ่านร่างฉบับเต็มได้ที่: https://bit.ly/3qDaBTv

ในแง่มุมแรก การระบุเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงเช่นนี้เป็นการกำหนดแนวทางให้ชัดเจนว่าเด็กแต่ช่วงชั้นควรมีสมรรถนะอะไรและอย่างไร ก็เพื่อให้เด็กรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี และเป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สพฐ. โรงเรียน ได้ปฏิบัติตาม 

แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเห็นว่า การระบุสมรรถนะที่ละเอียดเกินไปเช่นนี้อาจไม่เหมาะสมกับช่วงอายุของเด็ก ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในพัฒนาการเรียนรู้และการส่งเสริมคุณค่าความฝันของเด็กแต่ละคนตามพัฒนาการ ที่สำคัญยังละเลยการให้คุณค่าเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคซึ่งเป็นหลักการสากล แต่กลับเน้นไปที่การพยายามปลูกฝังแนวคิดแบบชาตินิยมแทน

2.สิทธิ เสรีภาพ ศักดิศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน 

จากกระแสการเคลื่อนไหวของนักเรียนในรอบปีที่ผ่านมา มีการเรียกร้องถึงการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน ปัญหาที่พวกเขาได้สะท้อนออกมาผ่านการเรียกร้อง เช่น การบูลลี่ การลงโทษที่รุนแรง การกร้อนผม การล่วงละเมิดทางเพศ การปิดกั้นเสรีภาพ รวมไปถึงการไม่เคารพความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งปัญหาทั้งหมดวางล้วนอยู่บนวิธีคิดแบบอำนาจนิยม

ในมาตรา 34  ที่พูดถึงคุณลักษณะทั่วไปที่ครูต้องมี 7 ข้อ ในวรรคสุดท้ายได้กล่าวถึง “ในกรณีที่ครูผู้ใดใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ครอบงำให้ผู้เรียนกระทำ หรือไม่กระทำการโดยมิชอบ หรือให้ผู้เรียนกระทำการทางเพศ ให้ถือว่าครูผู้นั้นประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” บางคนจึงมองว่าอาจจะช่วยปกป้อง คุ้มครองนักเรียน และสามารถเอาผิดครูที่กระทำความผิดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น    

มาตรา ๓๔ ครูต้องมีคุณลักษณะทั่วไป ดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีความถนัดและภาคภูมิใจในความเป็นครูซึ่งมีภารกิจในการหล่อหลอมคน ซึ่งต้องมีความอดทนและมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความสำเร็จของผู้เรียน รับรู้ และยอมรับถึงความแตกต่างหลากหลายของผู้เรียนด้วยความใส่ใจ ใจกว้าง และมีเมตตา        

อ่านร่างฉบับเต็มได้ที่: https://bit.ly/3qDaBTv

แต่ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายสะท้อนว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แทบไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดกลไกการปกป้องและคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และศักดิศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเด็กในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา หากเราดูตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น พ.ร.บ.การศึกษาของประเทศฟินแลนด์ จะพบว่า การให้เรื่องคุณค่าสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานสำคัญในกฎหมาย รวมถึงยังมีการประกันสิทธิพื้นฐานในเรื่องอื่นๆ เช่น เด็กต้องได้เรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน การเดินทางระหว่างบ้านและโรงเรียนต้องไม่ไกล มีสวัสดิการอาหารกลางวัน กำหนดให้เด็กต้องมีเวลาพักผ่อน และเคารพในความแตกต่างหลากหลาย สิ่งเหล่านี้ คือ หลักประกันพื้นฐานเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในหลายประเทศ

3.ความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา

ที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่า โรงเรียนในประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำอยู่มาก ขณะเดียวกันการจัดสรรงบประมาณสู่โรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับการจ่ายเงินอุดหนุนรายหัว หมายความว่า หากโรงเรียนใดมีเด็กจำนวนมาก ก็จะได้งบประมาณมากตามไปด้วย ในทางกลับกันหากโรงเรียนใดมีนักเรียนน้อยก็เป็นไปได้ยากที่งบประมาณรายหัวที่ได้รับจะเพียงพอต่อการจัดการศึกษา ทางด้านดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ นักวิชาการอิสระ ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ร่างดังกล่าวได้เปลี่ยนจากการจัดสรรงบแบบรายหัวมาเป็นจัดแบบขั้นต่ำตามเงื่อนไขที่โรงเรียนจะได้รับ ซึ่งจะส่งผลโดยต่อการพัฒนาคุณภาพโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก  

“โรงเรียนเล็กๆ จะจ่ายเงินตามหัว ผู้อำนวยการจะวิ่งหาแต่โรงเรียนใหญ่เพราะได้เงินเยอะ คนจะอยู่โรงเรียนเล็กๆ ได้ คือ มีอุดมการณ์ เวลาหาโรงเรียนใหญ่ก็ต้องใช้เส้น วิ่งเต้นหาผู้ใหญ่ ในพ.ร.บ.เขียนว่าการจัดสรรงบรัฐให้สถานศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา หมายความว่าถ้ามีนักเรียน 200 – 300 คน เงินที่จัดให้ต้องไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำ การจัดสรรโดยให้จัดสรรเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปที่ไม่กำหนดวัตถุประสงค์”

มาตรา ๒๖ ในการจัดสรรงบประมาณให้แก่สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรา ๘ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดสรรให้ไม่ต่ำกว่าจำนวนเงินขั้นต้นในการจัดการศึกษาในสถานศึกษา โดยให้จัดสรรให้เป็นเงินอุดหนุนทั่วไป ที่ไม่กำหนดวัตถุประสงค์จำนวนเงินขั้นต้นดังกล่าว ไม่รวมถึงงบประมาณสำหรับเป็นเงินเดือน หรือค่าจ้าง และค่าที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง

อ่านร่างฉบับเต็มได้ที่: https://bit.ly/3qDaBTv

ขณะที่อาจารย์เดชรัตน์ สุขกำเกิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center กลับสะท้อนว่า ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาไม่ได้พูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำให้ชัดเจน และแนะว่าไม่ควรมองความเหลื่อมล้ำเพียงมิติเดียวเท่านั้น 

“เช่น ถ้าเราซอยประชาชนออกมาตามรายได้ เราจะพบว่าคนที่มีรายได้น้อยที่สุดประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ เขาจะเสียค่าเดินทางหนักมากในค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่เขาต้องใช้เพื่อการศึกษาเป็นเรื่องของค่าการเดินทางของบุตรหลาน เป็นต้น”

ร่างพ.ร.บ. กำลังขาดหลักการที่เป็นหลักประกันว่าทุกคนจะเข้าถึงการศึกษาได้ และคุณภาพโรงเรียนจะไม่แตกต่างกัน  ในประเทศฟินแลนด์และเดนมาร์ก นโยบายด้านการศึกษามีหลักการชัดเจนว่าคุณภาพของโรงเรียนจะต้องไม่ต่างกันเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ควรผลักดันให้เด็กสามารถเลือกเองได้ว่าเขาจะใช้เงินที่ได้รับจากการจัดสรรเพื่อการเรียนรู้ในด้านใด เพื่อให้เขาสามารถกำหนดและพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างยืดหยุ่น    

ในประเด็นนี้ พริษฐ์ วัชรสินธุ์ ผู้พัฒนาแพลทฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ แนะว่า การะบาดของโควิดได้เผยให้เห็นว่าเด็กจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตซึ่งส่งผลให้มีเด็กตกหล่นในการเรียนออนไลน์ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรมีการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตให้เกิดขึ้น 

4.ภาระงานครูและการพัฒนาครู

หากเราติดตามเพจการศึกษาจำนวนมาก จะพบว่า ครูจำนวนมากต่างเห็นตรงกันว่า ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่สอนและสนับสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเต็มที่ แต่กลับต้องรับภาระหน้าที่ทำงานในส่วนอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย ภาระงานเอกสารที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการประเมินการทำงานที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลที่เกิดขึ้นจริงจนทำให้หลายคนรู้สึกท้อและหมดไฟ  ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ได้มีการบัญญัติมาตรา 14 โดยเฉพาะวรรค (4) และ (11)  ดังนี้

มาตรา ๑๔ การจัดการศึกษาของสถานศึกษาของรัฐต้องอยู่บนพื้นฐาน ดังต่อไปนี้ (๔) ในแต่ละสถานศึกษาต้องจัดให้มีผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการสนับสนุนการบริหาร จัดการ และดำเนินงานอื่นที่มิใช่การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามจำนวนที่จำเป็นและเหมาะสม ในกรณีที่สถานศึกษาตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน จะมีผู้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวร่วมกันทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ (๑๑) ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้หน่วยงานของรัฐสั่งการ หรือมอบหมายกิจกรรม หรือโครงการใดๆ อันจะทำให้ครูไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หลักได้เต็มกำลังความสามารถ หรือทำให้ผู้เรียนไม่มีเวลาเพียงพอในการเรียน

อ่านร่างฉบับเต็มได้ที่: https://bit.ly/3qDaBTv

หลายฝ่ายมองว่าการกำหนดเช่นนี้จะช่วยทำให้ครูได้มุ่งพัฒนานักเรียนได้อย่างเต็มที่มากกว่าหมดเวลาและพลังงานไปกับงานเอกสารหรือโครงการเหมือนที่ผ่านมา  ทางด้านกลุ่มครูขอสอน แนะว่า ควรมีการระบุให้ชัดเจนถึงบุคลากรสนับสนุนหรือนักวิชาชีพต่างๆ ที่รัฐต้องจัดสรรให้โรงเรียน เช่น นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่ธุรการ เจ้าหน้าที่โภชนาการ ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการทำงานของครูและการจัดการภายในโรงเรียน และยังมีข้อสังเกตว่า การระบุในลักษณะนั้นเป็นการผลักภาระให้โรงเรียนต้องเป็นคนรับผิดชอบฝ่ายเดียวหรือไม่ หรือควรเป็นหน้าที่รัฐในการเข้ามาสนับสนุนและรับผิดชอบร่วมด้วย  

นอกจากนี้ อาจารย์เดชรัตน์ ได้ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2557 – 2561 งบประมาณของการพัฒนาครูลดลงเป็นเรื่องที่น่ากังวล ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติการศึกษา ควรมีหลักการและแนวทางในเชิงงบประมาณในการพัฒนาครูให้ชัดเจนขึ้นมากกว่านี้

5.ระบบโครงสร้างการจัดการศึกษา

ระดับโรงเรียน ในการตัดสินใจในระดับเล็กหรือภายในโรงเรียน ในร่างฉบับนี้ หลายฝ่ายมองว่า มีทิศทางไปทางที่ดีขึ้น เพราะจะทำให้ครูมีสิทธิ มีส่วนร่วมในตัดสินใจด้านการบริหารงานของโรงเรียน ซึ่งต่างจากอดีตที่ครูเป็นผู้รับคำสั่งจากผู้บริหารเพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดการรับผิดชอบร่วมกันผ่านคณะกรรมการสถานศึกษา ที่ประกอบด้วยผู้แทนจากครู ผู้ปกครอง และคนในชุมชน เป็นหลัก  

มาตรา ๒๓ ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามมาตรา ๘ (๔) (๕) และ (๖) มีคณะกรรมการสถานศึกษาเพื่อให้คำปรึกษา เสนอแนะ ติดตามดูแล หรือช่วยเหลือสถานศึกษาในการจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรา ๘ และหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในระเบียบที่ออกตามวรรคสอง  

อ่านร่างฉบับเต็มได้ที่: https://bit.ly/3qDaBTv

ทั้งนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ร่างดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะต้องรับผิดชอบอย่างไร และใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบบ้าง หากโรงเรียนไม่สามารถสร้างนักเรียนออกมาได้ตามสมรรถนะที่กำหนดไว้ หรือในความเป็นจริงแล้ว รัฐต้องเป็นคนรับผิดชอบ เพราะในทางหนึ่งร่างพ.ร.บ. ได้กำหนดไว้ว่ารัฐมีหน้าที่ในการสนับสนุนให้เกิดสมรรถนะตามที่กำหนด

มากไปกว่านั้น อาจารย์ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ จากคณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง ยังได้ตั้งคำถามที่ยึดโยงกับประเด็นนี้ว่า ร่างพ.ร.บ.การศึกษา ควรมีกลไกให้นักเรียนได้มีอำนาจตรวจสอบและและถ่วงดุลในสถานศึกษาเพิ่มเข้าไปด้วยหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีหลายกรณีที่ผู้บริหาร และครู ได้ใช้อำนาจที่ไม่ธรรมต่อนักเรียน  

ระดับนโยบาย หากเราอ่านในร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว จะพบว่ามีสององค์กรใหม่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบาย และสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ ในส่วนของสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้ ที่ระบุไว้ในมาตรา 58  ถูกมองว่า อาจเป็นเรื่องที่ดี ที่มีองค์กรเข้ามาทำหน้าที่หลักให้หลักสูตรมีความทันสมัยมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี เพื่อตามทันโลกที่เปลี่ยนแปลง แต่ก็มีอีกด้านที่น่ากังวล คือ หากสถานศึกษาอยากจะออกแบบหลักสูตรของตัวเอง และที่ผ่านมาสามารถทำได้ทันที หลังจากนี้ต้องเปลี่ยนมาแจ้งสถาบันเพื่อขอการอนุมัติให้หลักสูตรด้วย ซึ่งจุดนี้ก็อาจทำให้เกิดความล่าช้า ด้วยการเพิ่มขั้นตอนทางราชการเข้ามา   

ทางด้านคณะกรรมการนโยบาย ที่ระบุไว้ในหมวดที่ 7 ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการในกระทรวง ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นหลัก ในการเคลื่อนนโยบายหลักของประเทศ ฉัตร คำแสง นักวิจัยนโยบาย Think Forward Center ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญว่า ในคณะกรรมการดังกล่าว ควรมีตัวแทนจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู และนักเรียนนักศึกษา เข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการศึกษาไปข้างหน้าร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้นำเสนอมาอาจไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ยังมีประเด็นที่น่าสนใจที่อยากชวนผู้อ่านพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับนี้และเปิดพื้นที่พูดคุยกันเพิ่มขึ้นอีก ทั้งทิศทางของเอกชนต่อการมีส่วนในการจัดการศึกษา การยุบโรงเรียนขนาดเล็ก การให้ชุมชนหรือครอบครัวจัดการศึกษา รูปแบบการกระจายอำนาจทางการศึกษา และการยกเลิกการสอบเข้าของเด็กประถม 

ท้ายที่สุดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเขียนในครั้งนี้ จะเป็นสารตั้งต้นให้ผู้อ่านได้ค้นหาคำตอบว่า การศึกษาที่เราฝันถึงมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้ว พ.ร.บ.การศึกษาแบบไหน ที่จะช่วยเป็นหลักประกันให้การศึกษาที่เราฝันเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

อ้างอิง
ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่กำลังเข้าสู่สภาฯ
นักเรียนเลว นัดม็อบราชประสงค์ 21 พ.ย. พูดทุกเรื่องที่ไดโนเสาร์ไม่อยากฟัง
ชวนคุย “ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ” เพื่อช่วยครู เพราะปัญหาการศึกษาเป็นเรื่องของพวกเรา
กลุ่มน.ร. แสดงจุดยืนไม่เอาพ.ร.บ.การศึกษาชาติ ชี้กดขี่ ล้างสมอง ขอเลือกอนาคตเอง
รัฐไทยอยากให้ น.ร.ได้เรียนอะไรบ้าง? สำรวจประเด็นน่าสนใจจากร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฯ ฉบับใหม่
เด็กไทยอยู่ตรงไหนในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฯ ฉบับใหม่ คุยกับครูจุ๊ย กุลธิดา และเมนู สุพิชฌาย์
สรุปความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ การศึกษา จากครูขอสอน
การเสวนา “พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ตอบโจทย์การศึกษาไทยจริงหรือไม่ ?”
งานเสวนา พ.ร.บ.การศึกษา จัดโดย สุจริตไทย

Tags:

ระบบการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติกฎหมาย

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่คนวัยเรียนต้องเจอ คุยกับ เฟลอ – สิรินทร์ มุ่งเจริญ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    เส้นทางการหนีออกนอกห้องเรียน สู่ผู้สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กชนเผ่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ ของ‘ครูนิด-อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’

    เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • 21st Century skills
    CREATIVE PROCESS : 7 นิสัยทำลายความคิดสร้างสรรค์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

  • Family PsychologyEF (executive function)
    พ่อแม่ที่รอไม่ได้และประเทศที่ไร้เสรีภาพ : นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เงินทองต้องคิดส์ (4): สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับเด็กเล็ก)
Early childhood
2 July 2021

เงินทองต้องคิดส์ (4): สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับเด็กเล็ก)

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การควักเงินออกจากกระเป๋าเพื่อซื้อสินค้าและบริการเป็นธุรกรรมสามัญธรรมดาที่เราต้องเจอในทุกๆ วัน ธรรมดาเสียจนบางครั้งเราละเลยที่จะสอนเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในบ้าน แต่หากใครคิดจะสอนเรื่องการเงินให้กับลูกหลาน สิ่งแรกๆ ที่ควรสอน คือ การยับยั้งชั่งใจก่อนจะจ่ายเงิน โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่เด็กๆ สามารถรับสื่อโฆษณาจากหลายช่องทางโดยไม่รู้ตัวทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์
  • ในช่วงอนุบาล พ่อแม่ควรสอนให้เด็กแยกให้ออกระหว่าง ‘ความอยาก’ กับ ‘ความจำเป็น’ พร้อมทั้งอธิบายว่าโฆษณาคืออะไร ทำงานอย่างไร และมีที่มาจากไหนเพื่อให้เด็กๆ สามารถแยกได้ระหว่างโฆษณากับรายการทั่วไป ที่สำคัญคือพ่อแม่อย่ากลัวที่จะปฏิเสธลูก และต้องยืนยันหนักแน่นว่า ‘ไม่ก็คือไม่’
  • ในช่วงวัยประถม พ่อแม่ควรเริ่มอธิบายเหตุผลในการเลือกซื้อสินค้าแต่ละชิ้นให้ลูกฟัง เปรียบเทียบว่าแต่ละยี่ห้อนั้นราคาและคุณภาพต่างกันอย่างไร แล้วทำไมเราถึงตัดสินใจเลือกสินค้าชิ้นนี้ เด็กๆ ยังควรเรียนรู้สิทธิของผู้บริโภค เช่น การคืนสินค้าหรือการแสดงความไม่พอใจเมื่อคุณภาพสินค้าที่ซื้อไปไม่เป็นไปตามโฆษณา และก้าวสุดท้ายคือการจัดสรรเงินก้อนใหญ่ที่ได้รับในวันพิเศษเพื่อตัดสินใจเลือกซื้อของที่ต้องการด้วยตนเอง

มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนมีความอยากมีอยากได้ไม่ต่างกัน และในโลกทุนนิยม เราระงับความอยากด้วยการจับจ่ายใช้สอย การควักเงินออกจากกระเป๋าเพื่อซื้อสินค้าและบริการจึงเป็นธุรกรรมสามัญธรรมดาที่เราต้องเจอในทุกๆ วัน ธรรมดาเสียจนบางครั้งเราละเลยที่จะสอนเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในบ้าน เพราะมีสมมติฐานว่าเด็กๆ คงเข้าใจเอง

ความเข้าใจเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก หากใครคิดจะสอนเรื่องการเงินให้กับลูกหลาน สิ่งแรกๆ ที่ควรสอนคือการยับยั้งชั่งใจก่อนจะจ่ายเงิน โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่เด็กๆ สามารถรับสื่อโฆษณาจากหลายช่องทางโดยไม่รู้ตัวทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์

บางคนอาจไม่เห็นด้วยพร้อมกับบอกว่าถ้าพ่อแม่ใช้เงินอย่างประหยัดมัธยัสถ์ ลูกก็จะซึมซับพฤติกรรมการใช้เงินเช่นนั้นไปเองโดยไม่ต้องเอ่ยปากสอนเพราะการกระทำย่อมมีค่ามากกว่าคำพูด

แน่นอนครับว่าคำพูดดังกล่าวมีส่วนถูก แต่เด็กๆ ไม่ได้รับอิทธิพลในการจับจ่ายใช้สอยจากพ่อแม่เพียงลำพัง แต่ยังตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โดยอิงจากกลุ่มเพื่อน รวมถึงการถูกกระตุ้นให้ซื้อสินค้าจากเหล่านักโฆษณามืออาชีพที่พร้อมจะตะครุบความสนใจของเจ้าตัวเล็กซึ่งนับเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อ (จากพ่อแม่) มากกว่าที่หลายคนคิด

ตัวอย่างความชาญฉลาดของนักการตลาด เช่น การออกแบบกล่องซีเรียลอาหารเช้า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์พบว่ากล่องซีเรียลของเด็กนั้นจะวางที่ระดับความสูงประมาณ 23 นิ้วโดยที่เหล่าตัวการ์ตูนหน้ากล่องจะมองต่ำลงมาประมาณ 10 องศาเพื่อให้ ‘สบตา’ กับเด็กๆ ที่เดินอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ขณะที่ซีเรียลสำหรับผู้ใหญ่จะวางไว้สูงกว่าและมองในทิศทางที่เกือบตรง การศึกษาชิ้นดังกล่าวยังพบว่าการที่ผู้บริโภคสบตากับตัวการ์ตูนหน้ากล่องไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะทำให้รู้สึกชื่นชอบและเชื่อใจในผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น 

คงไม่เกินเลยไปนักหากจะกล่าวว่าเด็กสมัยนี้ต่างถูก ‘ถล่ม’ ด้วยการตลาดไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และเป็นหน้าที่ของเราผู้เป็นพ่อแม่ยุคใหม่ที่จะสอนให้ลูกเติบโตมาเป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาดและรู้จักยับยั้งชั่งใจก่อนใช้เงิน

วัยอนุบาล เริ่มด้วยการแยกแยะ

1. แยกให้ออกระหว่าง ‘ความอยาก’ กับ ‘ความจำเป็น’

การแยกแยะระหว่างสิ่งที่อยากได้และของที่จำเป็นต้องใช้อาจเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่สำหรับเจ้าตัวเล็กทุกความต้องการของเขาอาจเป็น ‘ความจำเป็น’ ตั้งแต่เค้กแสนสวย ชุดซุปเปอร์ฮีโร่ หรือสนามแข่งรถราคาแพง พ่อแม่จึงต้องเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ให้เด็กๆ ผ่านเกมส์ “อยากได้” หรือ “จำเป็น”

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเล่นเกมส์ดังกล่าวคือระหว่างการเดินในซุปเปอร์มาร์เก็ต พ่อแม่สามารถชี้ชวนให้ลูกดูของต่างๆ แล้วถามว่าของชิ้นนี้ ‘อยากได้หรือจำเป็น’ นม ข้าว ไข่ ผักผลไม้ โยเกิร์ต คือของจำเป็นจึงต้องเอาใส่รถเข็น ส่วนขนมขบเคี้ยว ลูกอมลูกกวาด น้ำหวานคือสิ่งที่อยากได้ก็ไม่ต้องหยิบใส่ หรือหากบ้านไหนผ่อนคลายหน่อยก็อาจอนุญาตสักสองสามชิ้น

ไม่นานหรอกครับที่เด็กๆ จะเริ่ม ‘เข้าใจ’ ว่าพ่อแม่จะสอนอะไร แต่ระวังด้วยนะครับเพราะเจ้าตัวเล็กอาจแผลงฤทธิ์ถามกลับว่าของที่พ่อแม่หยิบใส่รถเข็นสำหรับนั่งกินดื่มเพื่อผ่อนคลายนั้น ‘อยากได้หรือจำเป็น’  

2. อย่าเชื่อโฆษณา

ในสายตาผู้ใหญ่การแยกแยะระหว่างโฆษณากับรายการทั่วไปนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่มีการศึกษาพบว่าเด็กในช่วงปฐมวัยไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ตนเองรับชมนั้นคือโฆษณาหรือรายการทั่วไป พ่อแม่จึงต้องบอกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อยู่บนจอคืออะไร พร้อมทั้งอธิบายให้เข้าใจว่าโฆษณาทำงานอย่างไร

ตัวอย่างเช่น เมื่อพ่อลูกนั่งดูทีวีอยู่ด้วยกันแล้วมีโฆษณาน้ำหวานแทรกขึ้นมา คุณพ่อก็บอกได้ว่าบริษัทนี้หาเงินโดยการขายน้ำหวานให้กับเด็กๆ ก็เลยพยายามดึงดูดให้เรารู้สึกอยากซื้อ คนในจอเป็นแค่นักแสดงที่ถูกจ้างมาให้ทำท่าสนุกสนาน แสงสีเสียงที่สดใสถูกออกแบบมาเพื่อให้เราเชื่อมโยงระหว่างน้ำหวานกับความสดใสชื่นใจ ดังนั้นเวลาดูโฆษณาแบบนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้เราลองคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง

การรับสื่อโฆษณาเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรใส่ใจและระมัดระวัง เพราะมีการวิจัยยืนยันว่าเด็กๆ สามารถรับรู้แบรนด์ได้ตั้งแต่อายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น โดยนอกจากจะออกเสียงอ่านชื่อได้อย่างถูกต้องแล้ว เด็กบางคนยังสามารถบอกได้ถึงผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์จำหน่ายเพียงแค่เห็นรูปโลโก้  

3. อย่ากลัวที่จะปฏิเสธลูก

ภาพเด็กดีดดิ้นกับพื้นในห้างสรรพสินค้าคือฝันร้ายที่พ่อแม่แทบทุกคนหวาดกลัว จนบางครอบครัวเลือกที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว

แต่ทางเลือกที่ดีกว่าและสอดคล้องกับความเป็นจริงคือการให้ลูกเรียนรู้ที่จะผิดหวัง แม้ว่าเด็กจะดีดดิ้นกรีดร้องราวกับจะตายเสียให้ได้หากไม่ได้ซื้อของที่ต้องการ แต่หลังเหตุการณ์นั้นไม่นานเจ้าตัวเล็กก็อาจจะลืมไปขณะที่ทิ้งบาดแผลในใจพ่อแม่เสียมากกว่า หากลูกของคุณสามารถสงบสติอารมณ์ได้ไม่นานก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากเด็กเล็กมีแนวโน้มจะโยเยแม้ว่าเคยถูกปฏิเสธไปแล้ว คุณอาจต้องเตรียมแผน เช่น การทำสัญญาเกี่ยวก้อยกับลูกเสียก่อนเดินเข้าแดนอันตราย

สิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ต้องเข้มแข็งให้คำว่าไม่ก็คือไม่ มิฉะนั้นเจ้าตัวเล็กจะพัฒนากลยุทธ์โดยร้องโยเยทุกครั้งจนกว่าจะได้ของที่ตัวเองต้องการ

วัยประถม ก้าวแรกสู่การเป็นผู้บริโภคตัวน้อย

1. เช็คราคาก่อนซื้อเสมอ

การอ่านป้ายราคาแทบจะเป็นกระบวนการอัตโนมัติสำหรับผู้ใหญ่ แต่อย่าลืมว่าเด็กๆ ไม่ได้มีทักษะดังกล่าวติดตัว ดังนั้นก่อนหยิบอะไรใส่ตะกร้า อย่าลืมชวนให้เจ้าตัวเล็กเช็คราคาสินค้าให้ติดเป็นนิสัย เพื่อให้รู้จักเปรียบเทียบราคาระหว่างสินค้าหลากหลายแบรนด์ รวมถึงการเลือกซื้อให้อยู่ในงบประมาณที่จำกัด

2. อธิบายเหตุผลในการซื้อ

หลายครั้งที่พ่อแม่ต้องแอบไปซื้อของชิ้นใหญ่ เช่น โทรทัศน์เครื่องยักษ์หรือรถคันใหม่โดยไม่บอกราคากับลูกๆ เพราะกลัวลูกจะรู้ว่าพ่อแม่ที่คอยห้ามซื้อนู่นซื้อนี่แท้จริงแล้วมีเงินในบัญชีมหาศาล (ในมุมมองของเจ้าตัวเล็ก) โดยอาจลืมมองไปว่าการตัดสินใจซื้อสินค้าดังกล่าวคือบทเรียนสำคัญที่ลูกควรเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังสามารถสะท้อนคุณค่าและการลำดับความสำคัญของแต่ละครอบครัวอีกด้วย

ตัวอย่างเช่น คุณแม่สามารถอธิบายให้ลูกฟังว่าที่ครอบครัวตัดสินใจซื้อรถตู้ขนาดเล็กซึ่งใช้ระบบไฮบริดก็เพราะรถคันใหม่นี้จะใส่ของและพาคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายไปเที่ยวด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาได้ รถไฮบริดประหยัดน้ำมันเพราะใช้พลังงานส่วนหนึ่งจากไฟฟ้า แล้วก็ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่ารถทั่วไป

หากเป็นไปได้ พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้เจ้าตัวเล็กรับรู้การบริหารจัดการเงินในแต่ละเดือน เหตุผลที่คุณพ่อเลือกซื้อไข่ไก่แบรนด์นี้ทั้งที่แพงกว่าแบรนด์อื่น หรือคำอธิบายจากคุณแม่ที่ตัดสินใจซื้อชีสลดราคา พร้อมรับฟังความคิดเห็นของเด็กๆ ว่าควรปรับเปลี่ยนการใช้เงินอย่างไร นี่คือแบบฝึกหัดการเงินในชีวิตจริงที่หลายบ้านมักมองข้าม

3. เรียนรู้สิทธิของผู้บริโภค

การใช้เงินอย่างชาญฉลาดนั้นไม่ได้จบแค่การซื้อสินค้าหรือบริการ แต่ยังรวมถึงการรับรู้สิทธิของผู้บริโภค เช่น นโยบายการคืนสินค้าว่าหากมีปัญหาจะทำการคืนอย่างไร ต้องเก็บใบเสร็จรับเงินและกล่องไว้หรือไม่ หรือห้ามแกะสติกเกอร์ตรงไหนเพื่อให้การขอเปลี่ยนสินค้าไม่มีปัญหา

อีกหนึ่งสิทธิของผู้บริโภคคือการแสดงความไม่พอใจเมื่อได้รับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เด็กๆ ควรทราบว่าตนเองมีสิทธิยกหูโทรศัพท์หรือส่งจดหมายไปแสดงความคิดเห็นเพื่อให้บริษัทปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ดียิ่งขึ้น หรือขอคำอธิบายในฐานะผู้บริโภค เพราะไม่ว่าจะอายุน้อยแค่ไหนแต่ก่อนจะได้สินค้ามาก็ต้องควักกระเป๋าเงินจ่ายในราคาเท่ากัน ดังนั้นแทนที่จะอัดอั้นความโกรธไว้กับตัว พ่อแม่ก็สามารถสนับสนุนให้ลูก ‘ปล่อยพลัง’ ในฐานะลูกค้าคนหนึ่ง

4. เปิดโอกาสให้ตัดสินใจใช้เงินก้อนใหญ่

ช่วงประถมเป็นวัยที่เด็กๆ เริ่มเข้าสังคมและเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้น ‘มีและไม่มี’ อะไร รวมถึงผลิตภัณฑ์ไหนกำลังเป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียนสวยงาม กิ๊บสุดน่ารัก สมุดบันทึกกุ๊กกิ๊ก ของเล่นจากการ์ตูนเรื่องดัง หรือรองเท้ากีฬาแบรนด์เนม ซึ่งของบางอย่างราคาแพงจนเกินความจำเป็น

อย่างไรก็ดี การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มเพื่อนในวัยนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับลูกๆ เช่นกัน พ่อแม่อาจหาโอกาสพิเศษเพื่อซื้อของพวกนี้ให้โดยที่เจ้าตัวเล็กร่วมสมทบเงินบางส่วน เมื่อวันนั้นมาถึง เราอาจพาเด็กๆ ไปห้างสรรพสินค้าแล้วยื่นเงินสดให้ตามที่สัญญา เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกตัดสินใจเองว่าจะทุ่มเงินทั้งก้อนเพื่อซื้อสินค้าราคาแพงตามที่ตั้งใจไว้ หรือยอมลดสเปคลงมาหน่อยแล้วใช้เงินก้อนดังกล่าวไปซื้อของอย่างอื่นที่อยากได้เหมือนกัน ที่สำคัญคือให้ลูกหัดตัดสินใจจัดการกับเงินก้อนใหญ่ด้วยตัวเอง

การยับยั้งชั่งใจก่อนการใช้เงินไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ว่าจะสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การตลาดรุมเร้าเราทั้งโลกออฟไลน์และออนไลน์ แถมการจ่ายเงินก็ง่ายแสนง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ความสะดวกสบายนี้ทำให้หลายคนติดอยู่ในกับดักหนี้สินเพราะการใช้จ่ายเกินตัว แต่ปัญหาดังกล่าวป้องกันได้โดยการปลูกฝังเด็กๆ ให้แยกแยะระหว่างสิ่งที่จำเป็นและสิ่งที่ต้องการ รวมถึงการฝึกใช้เหตุผลก่อนตัดสินใจหยิบสินค้าใส่ตะกร้าและกดจ่ายสตางค์

Tags:

การเงินเงินทองต้องคิดส์การใช้จ่าย

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (11): เรื่องเงินทองที่พ่อแม่ต้องวางแผน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (6) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (5) : สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (3) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กโต)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (2) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

The Big Bang Theory (2007-2019) อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย เพราะไม่ว่าใครก็สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างมนุษย์ที่มีหัวใจ
Movie
2 July 2021

The Big Bang Theory (2007-2019) อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย เพราะไม่ว่าใครก็สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างมนุษย์ที่มีหัวใจ

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ถึงคิวซีรีส์ในตำนานอย่าง The Big Bang Theory ซิทคอมสุดฮาที่ถ่ายทอดชีวิตของกลุ่มเพื่อนนักวิทยาศาสตร์สุดเนิร์ด มาพร้อมกับความฮาและสาระ (?) ทางวิทยาศาสตร์
  • ‘เลนเนิร์ด’ นักฟิสิกส์หนุ่มที่โตมากับแม่นักจิตวิทยาที่เลี้ยงลูกตามตำราเป๊ะๆ แถมบางครั้งก็จับเขาไปทดลองในงานวิจัย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเลนเนิร์ดกับแม่ไม่ค่อยดี แม่ไม่เคยชื่นชมหรือซัพพอร์ตความรู้สึกของเขา เลนเนิร์ดกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง
  • เลนเนิร์ดโกรธกับสิ่งที่แม่ทำกับเค้ามาตลอด เค้าโทษว่าแม่ทำให้เค้าเป็นแบบนี้ เค้าไม่เคยปล่อยวางได้ ไม่มีความสุขเวลาเจอแม่ แต่อยู่มาวันนึงเค้าก็ค้นพบว่า สิ่งที่จะทำให้หลุดพ้นและรู้สึกเป็นอิสระจากความคิดที่ทำร้ายตัวเองเหล่านี้ได้ คือ ‘ให้อภัย’ ในสิ่งที่แม่ทำ

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ซีรีส์รูปแบบการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ (Parenting Styles)

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    This is Paris : แผลในใจของ ‘ปารีส ฮิลตัน’ กับการเลือกคาแรกเตอร์ลูกคุณหนูสุดซ่าเพื่อปิดแผลนั้นกว่าสิบปี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Myth/Life/Crisis
    ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel