Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: April 2021

ทำไมรัฐบาลกับป้าข้างบ้านอยากให้เราแต่งงาน
Social Issues
15 April 2021

ทำไมรัฐบาลกับป้าข้างบ้านอยากให้เราแต่งงาน

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ninaiscat

  • ‘เมื่อไหร่จะแต่งงาน?’ นัดรวมญาติครั้งใดเป็นต้องได้ยินคำถามนี้ ไม่ใช่คำถามที่อยากรู้คำตอบในระดับปกติ เพราะเจอหน้าทีไรก็ถูกถามซ้ำๆ ทุกที แม้เราจะตอบไปแล้วด้วยเหตุผลต่างๆ ทำไมพวกเขาถึงอยากให้เราแต่งงานนัก? และรวมไปถึงรัฐบาลที่ออกนโยบายกระตุ้นให้คนแต่งงานมีลูก
  • ฝั่งรัฐบาล ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างประเทศไทยนั้นจำนวนคนคือสิ่งสำคัญ อัตราการเกิดประชากรที่ลดลงย่อมส่งผลกระทบต่อแผนพัฒนาประเทศแน่นอน
  • การออกนโยบายกระตุ้นให้ประชาชนมีลูกจึงสำคัญ เพราะไม่มีรัฐบาลประเทศไหนสนับสนุนให้มีลูกแบบขอไปที เพราะทุกประเทศต้องการประชากรที่มีคุณภาพ
  • ฟากคุณป้าข้างบ้านหรือคุณลุงเพื่อนพ่อที่ต่างดูกระตือรือร้นอยากให้เราแต่งงาน ก็เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่พวกเขาโตมา ค่านิยมที่การแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เหมือนเป็นการวัดคุณค่าของคนเลยก็ว่าได้ว่า ‘ดีพอไหม’

การหาแฟนว่ายากแล้ว แต่การจะคบกับใครจนถึงขั้นตกลงปลงใจแต่งงานนั้นยากกกว่า เจอคนที่ใช่เขาก็ไม่รัก เจอคนที่รักมันก็ไม่ใช่ บางคนก็เลยจำใจอยู่ในสถานะโสด หรือบางคนก็พอใจที่จะโสด ชอบมีอิสระดีไม่อยากมีคู่ให้วุ่นวาย หรือบางคนจริงๆ แล้วไม่ได้โสดหรอก แต่การเปิดเผยให้คนอื่นรู้มันยาก อย่างในสังคมปัจจุบันแม้ว่าเรื่อง LGBTQ จะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่หลายคนก็ยังอึดอัดใจที่จะบอกว่ามีคู่รักเพศเดียวกันก็เลยโสดกันในที่สาธารณะไปก่อน 

แต่ไม่ว่าคนจะจำใจหรือตั้งใจโสด บางทีการอยู่เป็นโสดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องมาคอยตอบคำถามคุณป้าข้างบ้าน คุณลุงเพื่อนพ่อ คุณน้าญาติห่างๆ และผู้ใหญ่อีกหลายต่อหลายท่านที่เจอกันทีไรต้องถามว่า เมื่อไหร่จะแต่งงาน?

คำถามอื่นมีเป็นร้อยไม่ถาม ตอบไปแล้วว่า ยังหาแฟนไม่ได้ หรือไม่อยากแต่งก็เลยแต่ไม่แต่ง แต่เขาเหมือนไม่เข้าใจ ถามซ้ำถามย้ำจนเราอึดอัด และบางครั้งเราก็พบว่าความโสดเป็นปัญหาระดับชาติจริงๆ ข่าวเรื่องรัฐบาลสนับสนุนให้คนแต่งงานนั้นมากวนใจไม่พอ ยังมาเจอว่าคนโสดก็ต้องเสียภาษีเยอะกว่าคนที่แต่งงานแล้วอีก จนบางทีคนโสดหลายท่านเริ่มสงสัยว่า ฉันจะโสดแล้วมันไปหนักหัวป้าข้างบ้านหรือรัฐบาลตรงไหน ทำไมถึงอยากให้ฉันแต่งงานเหลือเกิน โสดแล้วมันผิดตรงไหน วันนี้ผมจะมาชวนคุยกันครับว่าทำไมทั้งรัฐบาลและคุณป้าข้างบ้านถึงสนใจกับสถานภาพของเรานัก 

ทำไมรัฐบาลถึงอยากให้เราแต่งงาน จะว่าเพราะกลัวผู้ใหญ่ในอำเภอไม่มีงานเลี้ยงได้ไปไชโยก็คงไม่ใช่  จริงๆ แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ห่วงเรื่องงานแต่งของเราหรอกครับ แต่ที่รัฐบาลอยากให้คนแต่งงานเพราะว่าอยากให้คนมีลูกต่างหาก… เอาเข้าไป แล้วฉันจะมีหรือไม่มีลูกมันหนักหัวรัฐบาลตรงไหน หลายๆ ท่านที่ติดตามข่าวอาจจะได้ยินบ่อยๆ ว่าในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยนั้นอัตราการเกิดค่อยๆ ลดลง อย่างเมื่อปี 2562 สองปีที่แล้วองค์การสหประชาชาติเตือนว่า ประเทศไทยกำลังพบปัญหาเรื่องอัตราการเกิดต่ำมาก คือผู้หญิง 1 คนมีลูกเฉลี่ยเพียง 1.52 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าเป็นห่วงมากของประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งควรจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.1 คน และสถิติของปี 2564 ก็ไม่ดีขึ้นเลยครับ ค่าเฉลี่ยตกไปอยู่ที่ 1.49 คน หากแนวโน้มเป็นแบบนี้ต่อไป ในราวๆ ปี 2643 คนไทยจะลดลงเหลือเพียงแค่สองในสามของตอนนี้เลยล่ะครับ

แล้วทำไมถึงต้องห่วงว่าจะมีคนเยอะๆ ตอนนี้ประชากรโลกดูแออัดสุดๆ โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพ ถ้าประชากรน้อยลงเมืองน่าจะโล่งสบายขึ้น ไม่ต้องเบียดขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ทุกวัน ปัญหาคือในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างประเทศไทยนั้นจำนวนคนคือสิ่งสำคัญ เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจทุนนิยมนั้นจำนวนผู้ผลิตและผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ คนมีมากการจับจ่ายใช้สอย การหมุนเวียนของเงินจะได้คล่องตัว ช่องทางในการเปิดตลาดสินค้าใหม่ๆ ก็ยังกว้างขวาง เศรษฐกิจทุนนิยมเลยต้องการให้มีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (จนกว่าทรัพยากรจะไม่พอกินพอใช้)

ในทางกลับกันที่ถ้าคนเริ่มลดลงปัญหาความฝืดเคืองที่เกิดจากการจับจ่ายน้อยลง และการผลิตน้อยลงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นไม่ใช่ภาวะที่รัฐบาลของประเทศไหนต้องการแน่ๆ จริงอยู่ที่ประชากรอาจจะดูแออัดไปโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ แต่เหตุผลสำคัญที่เมืองมีคนเยอะเพราะมีคนอพยพมาจากที่อื่นๆ เพื่อเข้ามาหางานทำ คนก็เลยกระจุกแน่นอยู่ในตัวเมือง เราเลยอาจไม่เห็นว่าในภาพรวมของประเทศแล้วประชาชนกำลังลดจำนวนลง

นอกจากนี้การแพทย์พัฒนาขึ้น คนเสียชีวิตช้าลง อัตราส่วนของจำนวนผู้สูงอายุต่อบุคคลวัยอื่นเลยกำลังเพิ่มขึ้น ท่านอาจจะเคยได้ยินว่าไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ฟังดูดีเหมือนกับว่าประเทศเราผู้ใหญ่สุขภาพดี นั่นก็จริงครับ แต่ว่าสังคมแบบที่คนเยอะ แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเยอะไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจเลยในแง่ของตลาดแรงงาน ถึงแม้ตอนนี้ผู้สูงอายุหลายๆ ท่านยังทำงานต่อแม้เลยหลัก 60 แต่งานบางอย่าง เช่น งานที่ต้องใช้แรงงานในภาคและอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งการผลิตหลักๆ ของประเทศนั้นจำเป็นต้องอาศัยคนวัยหนุ่มสาวจนถึงวัยผู้ใหญ่เป็นหัวหอกหลัก และการที่อัตราเด็กเกิดใหม่มีน้อยลง อนาคตก็จะมีคนหนุ่มสาวมาไม่พอแทนที่แรงงานปัจจุบันที่มีก็จะมีแต่แก่ตัวลงและต้องเกษียณอายุทำงาน 

ดังนั้น รัฐบาลไทยและเช่นเดียวกับรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ที่อัตราการเกิดกำลังลดลง ต่างสนับสนุนให้คนแต่งงานและมีลูกกันทั้งนั้น แต่จะไปบังคับให้มีก็คงไม่ได้ รัฐบาลเลยหาสิทธิประโยชน์เช่น ภาษีของคู่สมรสที่จ่ายน้อยกว่าคนโสด หรือการลดหย่อนค่าเลี้ยงดูบุตรมาคอยสนับสนุน

เพราะถ้าค่านิยมว่า ‘โสดแล้วสบายกว่าแต่งงานมีลูกเยอะ’ ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประเทศจะพบกับปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากคนน้อยลงแน่นอน 

คนอีกกลุ่มที่เห็นความโสดของเราเป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้รัฐบาล คือ ญาติผู้ใหญ่รอบตัวเรา หลายท่านคงสงสัยว่าใครเป็นคนแรกที่นำเทรนด์ในการถามว่า เมื่อไหร่จะแต่งงาน? คำถามนี้มันฮิตตั้งแต่สมัยไหน การจะตอบคำถามนี้เราต้องย้อนอดีตกันสองรอบครับ 

รอบแรกไม่ไกลนักคือราวๆ สามสิบสี่สิบปีที่แล้วที่เหล่าคุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา ยังหนุ่มยังสาว สังคมสมัยนั้นแตกต่างจากสมัยนี้พอสมควร เมื่อก่อนการแต่งงานเป็นเหมือนกิจกรรมภาคบังคับของคนหนุ่มสาวก็ว่าได้ แม้ว่าไม่มีกฎหมายบังคับให้คนต้องแต่งงาน แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘ค่านิยม’ หรือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเห็นตรงกันว่าสำคัญก็คือ เมื่อถึงวัยที่เหมาะสมก็ควรหาคนแต่งงานด้วย หากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ คนมักจะไม่อยู่เป็นโสด คนที่ไม่แต่งงานคือคนแปลกในสมัยนั้น สังคมจะมองว่าหากใครหน้าตาพอไปวัดไปวา ฐานะก็ไม่ได้แย่ แต่ไม่ได้แต่งงานเสียทีแสดงว่าต้องซ่อนสิ่งไม่ดีให้คนไม่อยากแต่งด้วยไว้แน่ๆ 

ดังนั้น การแต่งงานในสมัยก่อนจึงเหมือนการวัดคุณค่าของคนเลยก็ว่าได้ว่า ‘ดีพอไหม’ สมัยก่อนแค่โสดจนอายุ 30 ก็ถือว่าแต่งงานช้ามากแล้ว คนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีน้อยมากครับ ส่วนใหญ่พอเรียนจบมัธยมก็เริ่มแต่งงานกันแล้วครับ ไม่ค่อยมีใครรอสร้างเนื้อสร้างตัวกันจนขึ้นเลขสามหรอก

สมัยก่อนการรีบหาคู่แต่งงานเป็นปัญหาใหญ่มากในผู้หญิง กับผู้ชายแล้วต่อให้ถึงวัยกลางคนก็ยังเป็นที่หมายปองอยู่บ้าง แต่เทรนด์ ‘สาวอายุมากกว่า’ ยังไม่แพร่หลายในสมัยนั้น หรือต่อให้มีหนุ่มๆ มาจีบก็เถอะ สังคมก็มองว่าไม่งามที่สามีจะเด็กกว่ามากๆ นอกจากนี้สมัยก่อนคนที่หาเงินเลี้ยงครอบครัวเป็นหลักคือสามีเท่านั้น ภรรยาทำหน้าที่จัดการงานบ้านงานเรือนไป อาจจะมีส่วนดูแลค่าใช้จ่ายในครัวเรือนบ้าง แต่น้อยคนที่จะออกหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ยกเว้นที่บ้านสามีจะเปิดร้านรวงอะไรก็ออกมาช่วยงานบ้าง ถ้าไม่ยากจนถึงขั้นต้องช่วยทำงานทั้งคู่ถึงอยู่รอด ผู้หญิงมักจะไม่ได้ทำงานนอกบ้านหรอกครับ ยิ่งจะออกมาทำงานมีตำแหน่งแบบผู้ชายนั้นเป็นเรื่องที่หายากมากๆ ในสมัยก่อน ดังนั้นผู้หญิงจึงเหมือนถูกค่านิยมบีบให้มีสามีเพื่อที่จะได้มีที่ทางของตนเองให้ดูเหมาะสมในสายตาคนรอบตัว ก็คือเป็นภรรยาดูแลบ้าน เป็นแม่คอยเลี้ยงลูก

อย่างไรก็ตามสังคมในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานั้นเปลี่ยนแปลงไปไวมากครับ ไวจนคนปรับตัวไม่ค่อยทัน สิ่งหนึ่งที่ปรับได้ยากคือเรื่องของค่านิยมนี่แหละครับ พวกผู้ใหญ่รอบตัวเราหลายคนเลยยังมีค่านิยมว่า ‘ถึงวัยก็ต้องแต่งงาน’ และเอามาตรฐานนี้มาใช้กับคนหนุ่มสาวรอบตัวของเขาด้วย พอเห็นคนที่ถึงวัยแต่งงานแล้วไม่แต่งเสียที มันเลยเป็นสิ่งที่แปลกในสายตาเขา เขาเลยอดที่จะถามไม่ได้ มันมีเหตุผลยิ่งใหญ่อะไรกันทำไมไม่แต่งงาน ถ้าจะบอกว่าแค่ไม่อยากแต่ง มันฟังไม่ขึ้นในมุมมองเขาครับ

เหตุผลอีกข้อที่ทำคนชอบถามว่าเมื่อไรจะแต่งงาน เราต้องย้อนเวลาไปหลักหมื่นหลักแสนปีก่อนจะมนุษย์จะมีอารยธรรมเพื่อตอบคำถามนี้เลยล่ะครับ มนุษย์มีความสามารถอย่างหนึ่งที่สัตว์ไม่มีคือการใช้ภาษาเพื่อสื่อสาร สร้างประโยคสารพัดแบบจากการผสมคำ ทำให้คนเล่าเรื่องราวได้ละเอียดหลากหลายแบบ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มี ‘ฝูง’ ขนาดใหญ่มากถ้าเทียบกับลิงญาติๆ ของเรา และทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความรู้จักกับคนในฝูงเดียวกันได้ครบถ้วนผ่านการสื่อสารทางตรง พอกลุ่มใหญ่ขึ้นอย่าว่าแต่สนิทเลยครับ แค่ได้คุยยังไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ 

การที่มนุษย์มีภาษานี่แหละที่ทำให้เราแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคนใกล้ตัว รู้เรื่องของคนอื่นๆ ในฝูงโดยไม่ต้องเจอหน้าหรือพูดคุยกันโดยตรง การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ว่าก็คล้ายกับการซุบซิบนินทาหรือการเม้าท์นี่แหละครับ การอยู่ในสังคมเราต้องรู้ว่าใครเชื่อใจได้ ใครขี้โกง เพราะการใช้ชีวิตในสมัยโบราณนั้นต้องพึ่งพากันหลายอย่าง ช่วยกันล่าสัตว์ แบ่งปันอาหารตอนอดอยาก ปกป้องจากสัตว์อันตราย การเลือกคนผิดมาเข้ากลุ่มมันเสี่ยงที่เราจะเอาตัวไม่รอดไปด้วย วิวัฒนาการเลยทำให้มนุษย์นั้นชอบเรื่องซุบซิบนินทาเหลือเกิน

อีกเรื่องที่วิวัฒนาการให้ความสำคัญนอกจากการเอาตัวรอดคือการมีคู่ การเม้าท์ว่าคนนี้น่าสนใจ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสารให้เลือกคู่ได้ถูกคน และข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ‘เขามีคู่รักหรือยัง?’

ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์แบบผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) การที่คิดจะไปวุ่นวายกับคู่ของคนอื่นจะสร้างปัญหาตามมาหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ต้องปะทะต่อสู้แย่งคู่กัน แต่สมัยโบราณผู้หญิงต้องให้ผู้ชายช่วยเลี้ยงลูก ตนกับเด็กถึงจะอยู่รอด 

การไปมีลูกกับผู้ชายที่มีคู่อยู่แล้วมันเสี่ยงที่ผู้ชายจะชิ่งไม่เลี้ยงลูกเรา ไปเลี้ยงลูกของเขากับหญิงอื่นแทน ส่วนผู้ชายก็ไม่อยากยุ่งกับผู้หญิงที่มีคู่อยู่แล้ว เพราะเวลาคลอดก็ไม่แน่ใจว่านั่นลูกของผู้ชายคนไหน การพูดคุยสอบถาม นินทาว่าใครมีคู่หรือยัง จึงเป็นประเด็นร้อนมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่เจอหน้ากันต้องถามให้รู้ จนถึงตอนนี้ความอยากรู้เรื่องนี้ก็ยังฝังอยู่ในสายเลือดของทุกๆ คน ดังนั้นเวลาคุยกัน เรื่องคู่จึงเป็นหัวข้อที่มักจะถูกยกมาถาม ฟังดูเป็นเหตุผลเก่าแก่ แต่อะไรที่เป็นเหตุผลของวิวัฒนาการ มันแก้ยากมากครับ ถึงสมัยนี้สังคมเปลี่ยนไปมาก แต่ความเคยชินที่ฝังในดีเอ็นเอของเรานั้นยังอยู่เหมือนเดิม

ในเมื่อทั้งรัฐบาลมีเหตุผลทางเศรษฐกิจ และป้าข้างบ้านมีเหตุผลทางสังคมและวิวัฒนาการที่อยากให้เราแต่งงาน แล้วเราควรจะแต่งงานตามลูกยุของพวกเขาไหม 

ผมไม่คิดว่าเหตุผลที่ยกมาจะเป็นเหตุผลที่ดีในการตัดสินใจว่าจะแต่งงานไหมหรอกนะครับ สังคมพัฒนาไปไกลแล้ว ความโสดไม่ใช่เรื่องแปลก จะเพศไหนก็หาเลี้ยงตนเองได้ไม่ต้องพึ่งพาคู่แต่งงาน เราไม่ได้ถูกบังคับด้วยค่านิยมเก่าๆ อีกต่อไป ถ้าคิดใจดีอยากแต่งงานมีลูกให้ชาติเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ก็แต่งงานและมีลูกเมื่อพร้อมเถอะครับ

ไม่มีรัฐบาลประเทศไหนสนับสนุนให้มีลูกแบบขอไปที เพราะถึงจะต้องการประชากรก็จริง แต่ทุกประเทศต้องการประชากรที่มีคุณภาพ

ซึ่งปัจจัยหนึ่งก็น่าจะมาจากตัวพ่อแม่เองที่เต็มใจแต่งงานและมีลูกเมื่อพร้อมจริงไหมครับ

ส่วนในแง่วิวัฒนาการ เราอาจจะรู้สึกว่าแล้วเราไม่ต้องทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์เสียหน่อยหรือ คำตอบคือไม่จำเป็นแล้วครับ การตัดสินคุณค่าของสิ่งต่างๆ ในสังคมมนุษย์ว่าควรทำสิ่งไหนเปลี่ยนไปตั้งแต่เรามีอารยธรรมแล้ว ความสุขความทุกข์ของเราเป็นมากกว่าแค่เรื่องการเอาตัวรอดและการสืบเผ่าพันธุ์เหมือนสัตว์อื่นๆ การต้องสืบสายเลือดก็เป็นเรื่องที่เริ่มล้าสมัย คู่รักบางคู่ยินดีที่จะรับเด็กที่ถูกทอดทิ้งมาอุปการะเป็นลูกตนเอง สังคมยอมรับการเป็นพ่อแม่โดยไม่เกี่ยงเรื่องสายเลือดมากขึ้นหากพวกเขาเลี้ยงดูเด็กอย่างดี และอย่างที่ท่านเห็นครับ มนุษย์มีมากมายเหลือเกินในโลกตอนนี้ และคนที่ยังอยากแต่งงานมีลูกก็ยังมีอีกเยอะมาก

เรื่องภาษีที่คนโสดต้องจ่ายแพงกว่าคงต้องทำใจเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องป้าข้างบ้านก็คิดเสียว่าเขาหวังดีในแบบของเขา เขาจะถามซ้ำ เราก็ตอบซ้ำไปว่า “ยังไม่แต่ง” หรือ “ไม่อยากแต่ง” ก็พอ ไม่ต้องเอาแรงกดดันที่ล้าสมัยมากดดันชีวิตเราเองหรอกครับ ทุกคนมีสิทธิเสรีที่จะโสดอย่างมีความสุขครับ

อ้างอิง
หนังสือจิตวิทยาวิวัฒนาการ โดย ดิแลน อีวานส์
หนังสือย่อโลกทุนนิยม โดย แดน ครายอัน, แชร์รอน ชาทิล
หนังสือความรู้เบื้องต้นทางสังคมวิทยา โดย ศิริรัตน์ แอดสกุล
UN เตือนไทยวิกฤตประชากร เร่งรับมือสำคัญ “แก่ก่อนรวย”
Thailand Fertility Rate 1950 – 2021
Will population decline create a richer society

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ประเด็นทางสังคมการแต่งงาน

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ดอเรียน เกรย์ : ความเหงาและหัวใจที่เชื่อมโยง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    ลูกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (พ่อแม่ก็เช่นกัน)

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    หลีกเลี่ยง รวนเร ขาดการจัดการ และมั่นคงปลอดภัย: รูปแบบความผูกพัน 4 แบบของพ่อแม่กับวัยรุ่น

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

เอาชนะอัลกอริทึม (1) : Me, We และ Why ติดทักษะการจัดการตัวเอง เตรียมพร้อมเด็กสำหรับโลกที่เปลี่ยนไป
Adolescent Brain
12 April 2021

เอาชนะอัลกอริทึม (1) : Me, We และ Why ติดทักษะการจัดการตัวเอง เตรียมพร้อมเด็กสำหรับโลกที่เปลี่ยนไป

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ในโลกปัจจุบันที่อัลกอริทึมมีบทบาทสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้หลายสิ่ง การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเทคโนโลยีดังกล่าวและเตรียมมนุษย์ให้อาศัยในโลกอนาคตได้เป็นเรื่องสำคัญ ‘QI (คีย์)’ แนวทางพัฒนาทักษะชีวิตให้กับเด็กๆ ยุคดิจิทัล คือหนึ่งในคำตอบ
  • QI กระบวนการสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 คิดค้นโดยดร.ลอรา จานา กุมารแพทย์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเนแบรสกา ประกอบด้วย 7 ข้อ คือ Me (ฉัน), We (ผู้คน), Why (ทำไม), Will (แรงจูงใจ), Wobble (ความสามารถในการปรับตัว) และ What If (จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…?)
  • ในช่วง 5 ปีแรกเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเตรียมตัวลูกน้อย สมองของลูกจำเป็นต้องอาศัยผู้ปกครองเป็นสถาปนิกช่วยปลดล็อกศักยภาพของพวกเขา ผ่านวิธีการง่ายๆ จากการพูดคุย (talking) การสื่อสารผ่านการส่งเสียง (cooing) การร้องเพลง (singing) และ การอ่านหนังสือสำหรับเด็กทารก (reading) วิธีการเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทสมองทำงานเชื่อมโยงถึงกัน

“ร้อยละ 65 ของเด็กที่กำลังเติบโตขึ้นในวันนี้ พวกเขาจะทำงานหรือมีอาชีพที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นหรือยังไม่มีอยู่ในปัจจุบัน”

ดร.ลอรา จานา (Dr. Laura Jana) กุมารแพทย์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเนแบรสกา (University of Nebraska Medical Center) สหรัฐอเมริกา นำเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาไว้ในหนังสือ The Toddler Brain – สมองของเด็กวัยหัดเดิน

เมื่อไม่รู้ปลายทางในอนาคต ความแน่นอนกลายเป็นความไม่แน่นอน 

พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และผู้เกี่ยวข้องในแวดวงการศึกษา สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อสร้างเกราะและภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและวัยรุ่น? เราจะส่งเสริม เตรียมความพร้อมให้เด็กๆ เดินหน้าต่ออย่างมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลาได้อย่างไร? เราจะทำให้พวกเขารู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่ออัลกอริทึม หรือถ้าจะให้ดีสามารถเอาชนะอัลกอริทึมได้หรือไม่?

เป็นคำถามที่วันนี้จะชวนกันไปหาคำตอบ

หุ่นยนต์ได้เข้ามาแทนที่งานบางอย่างของมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นจริงภายในระยะเวลาไม่นาน หุ่นยนต์ชงกาแฟ รถยนต์ไร้คนขับ หรือเรื่องใกล้ตัวอย่างโมบายแบงค์กิ้งที่ช่วยให้เราทำธุรกรรมหลายอย่างได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องไปธนาคาร อีกหลายอาชีพในอนาคตยังไม่เกิดขึ้น ขณะที่หลายอาชีพในปัจจุบันกำลังค่อยๆ ลดบทบาทลง การเข้ามาของเทคโนโลยียุคดิจิทัล ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนแทบทุกด้าน ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ การศึกษา งาน อาชีพ สุขภาพ ระบบสังคม ค่านิยม สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ

โลกไซเบอร์ได้เข้ามาสลายโครงสร้างการเผยแพร่และรับรู้ข้อมูลข่าวสารแบบเดิม แล้วสอดแทรกตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เนื้อหาต่างๆ ที่แต่ละคนเห็นบนโซเชียลมีเดีย ผ่านการคัดกรองมาแล้วจาก อัลกอริทึม* (Algorithm) พยากรณ์สิ่งที่เราสนใจ แล้วนำเสนอเนื้อหาเหล่านั้นขึ้นมาให้เห็น ยิ่งกว่านั้นยังพยากรณ์พฤติกรรม และความคิดของมนุษย์ได้

การทำงานบนอินเทอร์เน็ต การค้นหาข้อมูลออนไลน์ทั้งหมด ทำงานผ่านอัลกอริทึม อีเมลที่ถูกกดสั่งออกไป รู้ว่าต้องเดินทางไปที่ไหนด้วยอัลกอริทึม แอพพลิเคชั่นต่างๆ บนสมาร์ทโฟนคืออัลกอริทึม คอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมเล่าเรื่องราวด้วยอัลกอริทึม เว็บไซต์หาคู่ออนไลน์ หนังสือ ภาพยนตร์ ซีรีย์ หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่แนะนำขึ้นมาบนหน้าจอมือถือของเรา ทำงานด้วยอัลกอริทึม จีพีเอส (GPS) นำทางพาเราไปยังจุดหมายปลายทางครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยอัลกอริทึม เราออกคำสั่งให้ สิริ (Siri) กูเกิ้ล (Google) อเล็กซ่า (Alexa) ฯลฯ ทำงานได้ด้วยอัลกอริทึม

เคยไหมหลายครั้งที่เราพูดถึงอะไรสักอย่างขึ้นมา ชอบรถยี่ห้อนี้ อยากได้กล้องหรือมือถือยี่ห้อนั้น ไม่กี่นาทีหลังเปิดเฟซบุ๊ก เราเห็นโฆษณาเกี่ยวกับสิ่งนั้นโผล่ขึ้นมา

“นี่เฟซบุ๊กมันดักฟังเราอยู่ใช่ไหม?” หลายคนถึงกับอุทานออกมาเสียงดัง เมื่อได้เห็นอัลกอริทึมแผลงฤทธิ์

เตรียมพร้อม ตั้งรับ โลกที่ยังมองไม่เห็น

แม้ว่าอัลกอริทึมในรถไร้คนขับอาจสามารถช่วยชีวิตคนขับรถและคนข้ามถนนได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่เพราะศักยภาพที่เหลือล้ำของอัลกอริทึม ซึ่งพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้นในทุกครั้งที่ได้ข้อมูลและประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่ม แถมยังเรียนรู้ได้เร็วกว่ามนุษย์หลายเท่า นำมาสู่ข้อกังวลของผู้เชี่ยวชาญว่ามีความเป็นไปได้ที่ หากผู้สร้าง หรือ มนุษย์ ไม่สามารถควบคุมอัลกอริทึมได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองกลเหล่านี้จะควบคุมระบบทุกอย่างด้วยตัวเอง ทำให้ในระดับนานาชาติมีการเคลื่อนไหวเพื่อกำหนดนโยบาย และมาตรการควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียและอัลกอริทึมอย่างรัดกุม

ปี 2016 สภาเศรษฐกิจโลก (The world economic forum) ได้ประกาศทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เพื่อรับมือกับโลกดิจิทัล เป็นแนวทางให้กับผู้ปกครอง นักการศึกษา และผู้นำประเทศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ทักษะสำคัญพื้นฐานเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน, คุณสมบัติด้านต่างๆ เพื่อจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน และ บทบาทในสังคมเพื่อปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทักษะกลุ่มต่างๆ ที่ว่ามานี้ เป็นส่วนผสมของความฉลาดทางปัญญา หรือ ไอคิว (IQ: Intelligence Quotient) การอ่าน การเขียน การคิด การใช้เหตุผล และการคำนวณ รวมถึง ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว (EQ: Emotional Quotient) เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ความอยากรู้อยากเห็น ความคิดเชิงวิพากษ์ ความเป็นผู้นำ หรือความยืดหยุ่นหรือการปรับตัว 

ทั้งไอคิวและอีคิวเป็นเรื่องจำเป็น แต่ดร.จานา กล่าวว่า บางทักษะมักถูกเรียกและจัดสรรให้อยู่ในหมวดอื่นๆ (other) ทำให้ไม่ค่อยได้รับความสนใจ และไม่ได้ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากนัก ทั้งที่มีความสำคัญมากต่อความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ 

เธอจึงผนวกทักษะในหมวดอื่นๆ ขึ้นมาเป็นกุญแจความสำเร็จที่เรียกว่า QI ออกเสียงภาษาอังกฤษว่า key – คีย์ แปลว่า กุญแจ ซึ่งมีบทบาทช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านไอคิวและอีคิวของเด็ก หรือหากออกเสียง chi – ชิ จะหมายถึง พลังชีวิตเชิงบวก ที่มนุษย์สามารถเรียนรู้เพื่อพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจได้ตั้งแต่แรกเกิด  

พลังชีวิตเชิงบวกที่ว่าไม่ต่างจากพลัง หรือ force ที่ถูกเอ่ยถึงในภาพยนตร์สตาร์วอร์ (Star Wars) 

“may the force be with you.” – ขอให้พลังจงสถิตย์อยู่กับคุณ 

พลังจากการพัฒนาตัวเองนี้จะช่วยให้เด็กไม่ตกเป็นคู่แข่ง หรือเป็นเหยื่อของอัลกอริทึม ที่สำคัญสามารถต่อกรกับอัลกอริทึมได้

คีย์ทั้ง 7 ประกอบด้วย Me – ฉัน (self), We – ผู้คน (People) และ Why – ทำไม? ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการตัวเอง Will – แรงจูงใจ (Self-Motivation, Wiggle – ความตื่นตัวทางร่างกาย และสติปัญญา, Wobble – ทักษะที่ช่วยส่งเสริมความคล่องตัว ความสามารถในการปรับตัว ปฏิภาณไหวพริบและความยืดหยุ่น และ What If – จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…? ที่เป็นการขยายศักยภาพของตัวเองไปสู่ภายนอก

พ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกรู้จักและจัดการตัวเองได้ตั้งแต่แรกเกิด

สำหรับพ่อแม่มือใหม่ ช่วง 5 ปีแรกเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเตรียมตัวลูกน้อย สมองของลูกจำเป็นต้องอาศัยผู้ปกครองเป็นสถาปนิกช่วยปลดล็อกศักยภาพของพวกเขา ผ่านวิธีการง่ายๆ จากการพูดคุย (talking) การสื่อสารผ่านการส่งเสียง (cooing) การร้องเพลง (singing) และ การอ่านหนังสือสำหรับเด็กทารก (reading) วิธีการเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทสมองทำงานเชื่อมโยงถึงกัน 

แต่สำหรับวัยรุ่นที่อายุล่วงเลยมาแล้ว ดูเหมือนว่าการพาเขากลับเข้ามาพัฒนาคีย์ โดยเริ่มจากทำความเข้าใจ ตัวเอง (self) จะเป็นเกราะป้องกันหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ได้ดี

1. Me – ฉัน (self) เน้นไปที่การจัดการตนเอง (self-management) จากภายใน เพื่อควบคุมความคิด ความรู้สึก และการกระทำของตัวเอง ได้แก่ 

การเรียนรู้ การรู้จักตัวเอง (self-awareness) 

การกำกับตนเอง การยับยั้งชั่งใจ (self-regulation) 

การควบคุมอารมณ์ตัวเอง (self-control) 

ความสนใจ (attention) และการจดจ่อ (focus)

ในแวดวงการศึกษาน่าจะพอคุ้นกับ อีเอฟ – EF (Executive functions) อยู่บ้าง อีเอฟเป็นกระบวนการทำงานของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการควบคุมความคิด ความรู้สึกและการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ควบคุมตนเอง ความจำใช้งาน และการคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น ซึ่งสัมพันธ์กับ Me โดยตรง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เคยให้สัมภาษณ์กับ The Potential ว่า การควบคุมอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด สัมพันธ์กับการดึงประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพออกมาใช้ ทั้งนี้‘ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ’ คือความอบอุ่น ความรัก ความผูกพัน จากคนใกล้ตัว และไม่ใช่ความรักที่ต้องแลกมาจากการเรียนเก่งหรือได้เกรดดี ผู้ปกครองจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพให้กับเด็ก (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ EF คือความรัก แต่ไม่ใช่รักที่ต้องแลกจากการเรียน เรียน และเรียน)

งานวิจัยระบุว่า ช่วงอายุระหว่าง 3-5 ขวบ เป็นวัยที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาอีเอฟ อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นยังสามารถใช้งานอีเอฟในการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าได้ หากผู้ใหญ่เปิดพื้นที่และสร้างโอกาสแห่งการเรียนรู้ ให้อิสระในการคิดและการรวมกลุ่มทำงาน ซึ่งเชื่อมโยงมาสู่คีย์ข้อที่สอง 

2. We – ผู้คน (People) จากการศึกษาด้านกุมารเวชศาสตร์ ดร.จานา กล่าวว่า เด็กทารกในวัย 9 เดือน สามารถแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้แล้ว (empathy) นั่นหมายความว่าเด็กทารกสัมผัสและรับรู้ความรู้สึกของคนใกล้ตัวได้ การพัฒนาทักษะที่ช่วยให้เข้าใจผู้อื่นตั้งแต่แรกเกิด เช่น การรู้จักแบ่งปัน จะทำให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้โดยไม่รู้สึกแปลกแยก 

การพัฒนาทักษะด้านนี้จึงทำได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เด็กพูดหรือเดินได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านการสื่อสารทั้งคำพูดและท่าทาง และการฟัง ยกตัวอย่าง การแบ่งแชร์ของเล่นกับเพื่อนๆ จากวัยเด็กแล้วพัฒนาไปสู่การทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ทักษะสังคม ประสบการณ์การเรียนรู้ถูกสะสมทำให้เด็กมีความเห็นอกเห็นใจ เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน รับฟังและไม่เอาเปรียบผู้อื่น เมื่อ Me และ We ผนึกกำลังกันจะช่วยให้เด็กพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ด้านอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. Why – ทำไม? การตั้งคำถามถึงจากสิ่งที่สงสัย ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อเปิดมุมมองความคิดและสร้างความเข้าใจ ทำให้ผู้ถามเข้าใจตัวเอง ผู้อื่น สังคมและโลกที่เป็นอยู่มากขึ้น ไม่ใช่การถามเพื่อการเอาชนะ

เมื่อเด็กอยากรู้อยากเห็น พวกเขาจะพยายามสื่อสารเพื่ออธิบายสิ่งที่เห็น สมองคิดสรรหาคำศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาขยายความ ดังนั้น เมื่อเด็กถาม พ่อแม่จึงต้องพูดคุยด้วย โดยไม่จำเป็นต้องตอบคำถามตรงไปตรงมาเสมอไป (หากไม่รู้คำตอบ) แต่หันมาใช้คำถามปลายเปิด หรือถามด้วยความสงสัยของตัวเอง เพื่อชวนเด็กคิดต่อไปเรื่อยๆ 

เช่น ลูกรู้เรื่องนี้มาจากที่ไหน? ลูกสงสัยเรื่องนี้มานานหรือยัง? ทำไมลูกถึงคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ? 

ตัวอย่างคำถามที่ว่ามานี้จะช่วยให้ผู้ปกครอง สร้างบทสนทนาต่อไปได้ และไม่หยุดความสงสัยของเด็กๆ ทั้งนี้ สิ่งที่ไม่ควรทำเลย คือ การแสดงความรำคาญ หรือ การตอบออกไปว่า “ไม่รู้!” “หยุดถามได้แล้ว!”

การจัดการตัวเอง: กุญแจแห่งยุค new normal และโลกอนาคต

ตลอดระยะเวลาราวหนึ่งปี ที่ผู้คนทั่วโลกต่างเผชิญวิกฤติโควิด-19 โรงเรียนในหลายประเทศต้องปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนจากชั้นเรียนแบบเดิมมาใช้ระบบการสอนทางไกล เป็นความท้าทายใหม่สำหรับผู้สอนและผู้เรียน โดยเฉพาะสำหรับเด็กวัยอนุบาลและประถมที่อายุยังน้อย เมื่อสถานการณ์บังคับให้ต้องเรียนจากที่บ้าน ช่วงเวลานี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การสร้างทักษะการจัดการตนเอง (self-management skill) สำคัญมากขนาดไหน ความสำเร็จของการจัดการตนเองได้ดี เห็นได้จากการทำตามแผนการเรียน ทำงานที่ได้รับมอบหมาย และติดตามแผนการเรียนอย่างสม่ำเสมอ 

แม้ผู้ปกครองหลายบ้านไม่มีเวลามากนักในการเข้ามาดูแลเรื่องการเรียนให้ลูกแต่ก็มีส่วนช่วยสนับสนุนการเรียนให้กับพวกเขาได้ ด้วยการช่วยวาง ตารางประจำวัน ตารางประจำสัปดาห์ และตารางส่งงาน เพื่อให้เด็กรับรู้หน้าที่ และลงมือจัดการตัวเองได้อย่างมีแบบแผน กระบวนการวางแผนเป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้การจัดการตนเอง นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ปกครองรับรู้ว่าเด็กๆ จะใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการทำอะไรบ้าง มีเวลาว่างช่วงไหน ใช้เวลาว่างทำอะไร ไม่ลงเอยด้วยคำพูดทำร้ายจิตใจทำนองว่า “วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย!”

นอกจากการจัดตารางเวลาเพื่อการเรียนแล้ว ผู้ปกครองต้องเข้าใจด้วยว่า บางคนสนุกกับการใช้เวลาร่วมกับเพื่อน ซึ่งปัจจุบันอาจอยู่ในรูปแบบของเกมหรือโลกออนไลน์ (ข้อที่สอง We) บางคนสนุกกับการใช้เวลาทำงานอดิเรกที่ชอบ ทำสิ่งที่ตนเองสนใจ (ข้อที่สาม Why) แต่ท้ายที่สุดความสามารถในการจัดการตนเอง (ข้อที่หนึ่ง Me) จะแสดงออกให้เห็นผ่านการสร้างวินัยในตนเอง เช่น การบริหารจัดการเวลา แบ่งเวลาเรียน เวลาเล่น เวลาพักผ่อน การรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่รู้สึกอึดอัดหรือถูกบังคับ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้ปกครองสามารถประเมินได้

Me, We และ Why เป็นทักษะเบื้องต้นที่ทำให้เด็กเรียนรู้การจัดการตัวเอง สามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่น และยังคงมีความอยากรู้ความเป็นไปในโลกภายนอก 

ส่วน Will, Wiggle, Wobble และ What if ที่จะนำเสนอในครั้งต่อไป เป็นคีย์ที่จะช่วยให้เด็กเห็นภาพความเป็นไปได้ในชีวิตชัดเจนขึ้น แม้ไม่เคยรู้จักสิ่งนั้นมาก่อน

ดร.จานา เล่าว่า เธอเป็นนักศึกษาสาขาอณูชีววิทยา สาขาที่ผสมผสานระหว่างชีววิทยาและเคมีในระดับเซลล์ ที่ต้องอาศัยการอ่านตำราเรียนจำนวนมาก ใครมีความสามารถท่องจำได้ดีย่อมได้เปรียบคนอื่น และถูกชื่นชม เธอเป็นหนึ่งในนั้น แต่วันเวลาผ่านไปการจดจำเนื้อหาในตำราแทบไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เมื่อทุกคนค้นเจอคำตอบเดียวกันได้จากสมาร์ทโฟนของใครของมัน 

ในโลกยุคดิจิทัล การได้คำตอบที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องที่น่าคำนึงถึง แต่การตั้งคำถามที่ดีเพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบมีความจำเป็นและสำคัญยิ่งกว่า 

ยิ่งเด็กรู้ความต้องการของตัวเองว่าพวกเขาต้องการเรียนรู้อะไร สนใจเรื่องอะไร และมีความสามารถในการคัดกรองข้อมูลจำนวนมหาศาล แทนการตอบรับข้อมูลที่ถูกแนะนำขึ้นจากแอพพลิชั่นได้ พวกเขาจะมีศักยภาพมากพอต่อกรและเอาชนะอัลกอริทึม ที่กำลังพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ได้ในอนาคต

อัลกอริทึม คือ ชุดคำสั่งหรือเงื่อนไขที่ถูกวางขึ้น เพื่อรับข้อมูลสู่การประมวลผลแก้ไขปัญหาอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ตามที่โปรแกรมเมอร์กำหนดโครงสร้างไว้  
อ้างอิง
Skills Every Child Will Need to Succeed in 21st century | Dr. Laura A. Jana | TEDxChandigarh
21st Century Skills for Kids & Rethinking how Students Learn
Code-Dependent: Pros and Cons of the Algorithm Age

Tags:

21st Century skillsทักษะชีวิตQI

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Adolescent Brain
    เอาชนะอัลกอริทึม (2) : Will, Wiggle, Wobble และ What if คีย์ที่จะช่วยขยายศักยภาพเด็กจากภายใน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    Project-Based Learning ที่สร้างความเป็นนักสำรวจ: กระหายใคร่รู้ ทะลายกรอบ กล้าออกไปผจญภัย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Character building
    11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

เอาชนะอัลกอริทึม (2) : Will, Wiggle, Wobble และ What if คีย์ที่จะช่วยขยายศักยภาพเด็กจากภายใน
Adolescent Brain
12 April 2021

เอาชนะอัลกอริทึม (2) : Will, Wiggle, Wobble และ What if คีย์ที่จะช่วยขยายศักยภาพเด็กจากภายใน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • คีย์ (QI) หรือ พลังชีวิต แนวทางพัฒนาทักษะชีวิตให้กับเด็กๆ ยุคดิจิทัล อีก 4 ตัวหลัง คือ Will – แรงจูงใจ (Self-Motivation), Wiggle – ความตื่นตัวทางร่างกายและสติปัญญา, Wobble – ล้มแล้วลุก และ What If – การตั้งคำถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…?
  • ผู้ใหญ่ควรให้คุณค่ากระบวนการเรียนรู้ระหว่างทาง เช่น ให้คำชมเชยและให้กำลังใจเด็กๆ ในความพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาสำเร็จหรือไม่ก็ตาม การแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในตัวเด็กจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นแรงจูงใจที่มีพลังมหาศาล ทำให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง 
  • เมื่อเด็กมีแรงจูงใจ (Will) มีความตื่นตัว (Wiggle) ที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ประสบการณ์จากการลงมือทำ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การยอมรับข้อผิดพลาด (Wobble) แล้วจินตนาการต่อถึงสิ่งที่อยากทำ (What If) โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับอาชีพที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

การจัดการตัวเอง (Self-management) ให้อยู่หมัดเพื่อเอาชนะอัลกอริทึมได้ เป็นเนื้อหาส่วนแรกที่นำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ (เอาชนะอัลกอริทึม (1) : Me, We และ Why ติดทักษะการจัดการตัวเอง เตรียมพร้อมเด็กสำหรับโลกที่เปลี่ยนไป)

The Potential หยิบยก คีย์ (QI) หรือ พลังชีวิต ทั้ง 7 ประกอบด้วย ‘Me, We, Why, Will, Wiggle, Wobble และ What if’ โดย ดร.ลอรา จานา (Dr. Laura Jana) กุมารแพทย์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเนแบรสกา (University of Nebraska Medical Center) สหรัฐอเมริกา ขึ้นมาเป็นตัวอย่างแนวทางพัฒนาทักษะชีวิตให้กับเด็กๆ ยุคดิจิทัล เทียบเคียงกับทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ที่สภาเศรษฐกิจโลก (The world economic forum) ประกาศไว้ 

โลกดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างกลมกลืน โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย อัลกอริทึมคัดเลือกและคัดสรรเฉพาะข้อมูลบางอย่างที่มีความใกล้เคียงและสอดคล้องกับความสนใจของแต่ละคน นำเสนอข้อมูลเสิร์ฟบนหน้าจอสกรีนให้ผู้ใช้งาน ขณะที่ยังมีข้อมูลอีกหลายส่วนถูกปิดกั้นการมองเห็น 

หลายครั้งกลายเป็นการเผยแพร่อคติและความขัดแย้ง ทำให้ความสงบกลายเป็นความโกลาหล ไอเดียหรือความคิดที่มองแล้วสร้างสรรค์ อาจกลายเป็นการถูกจำกัดกรอบ เพราะการถูกคัดกรองให้มองเห็นแต่รูปแบบซ้ำๆ เดิมๆ  

Me – ฉัน (self), We – ผู้คน (People) และ Why – ทำไม? นำเสนอไปในบทความแรก เป็นคีย์ 3 ข้อแรกที่เกี่ยวข้องกับการจัดการตัวเอง (Self-management) เป็นเกราะคุ้มกันชั้นแรกไม่ให้เด็กตกเป็นเหยื่ออัลกอริทึม และแสดงบทบาทสำคัญในโลกแห่งการเรียนรู้ท่ามกลางโควิด-19 

บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกับ Will – แรงจูงใจ (Self-Motivation), Wiggle – ความตื่นตัวทางร่างกาย และสติปัญญา, Wobble – ล้มแล้วลุก และ What If – การตั้งคำถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…? คีย์ 4 ข้อที่เหลือนี้จะขยายศักยภาพของเด็กจากภายในไปสู่ภายนอก

ขยายความเป็นไปได้ออกไปจากสิ่งที่รู้อยู่แล้ว

ดร.จานา กล่าวว่า เด็กเรียนรู้และพัฒนาคีย์ทั้ง 7 ได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะช่วงอายุ 3 ถึง 5 ขวบเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ แต่ถ้าหากผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว เด็กและวัยรุ่นสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิต

4. Will – แรงจูงใจ (Self-Motivation) แรงผลักดันที่ทำให้เกิดการลงมือทำ ด้วยทัศนคติเชิงบวกต่อตัวเอง เช่น “ฉันอยากทำ” “ฉันทำได้” ไม่ใช่แค่เพราะต้องการรางวัลตอบแทน สอดคล้องกับทักษะเรื่องความสามารถในการตั้งมั่นในเป้าหมาย (conscientiousness) ความตั้งใจ ความกล้าหาญ ความอดทน ความเพียรพยายาม การยืนกรานไม่ยอมแพ้ (grit) และความมุ่งมั่น เป็นต้น

งานวิจัยพบว่า กับดักของการให้รางวัล คือ คนส่วนใหญ่มักไม่ทำงานนอกเหนืองานที่ตัวเองได้รับรางวัลตอบแทน จานา ยกตัวอย่างครอบครัวของเธอเองที่การทำความสะอาดบ้านเคยเป็นเรื่องสนุกสนาน ทุกคนในครอบครัว (เธอ สามี และลูกทั้งสามคน) ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ต่อมาลูกๆ จัดสรรหน้าที่ของแต่ละคน แบ่งงานบ้านที่ต้องรับผิดชอบออกเป็น 3 ส่วน แต่ละคนจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นค่าขนมหากรับผิดชอบส่วนนั้นได้ ดูแล้วเป็นการฝึกทักษะการจัดการตัวเองที่ดี แต่ถ้าผู้ปกครองไม่คิดอย่างรอบด้าน อาจเกิดผลเสียตามมา

จานา เล่าว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ ลูกๆ ของเธอไม่ช่วยกันทำความสะอาดบ้านเหมือนแต่ก่อน การทำความสะอาดบ้านส่วนไหนที่ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบในขอบเขตงานของตัวเอง หรือยังไม่ถึงวันที่กำหนดไว้ว่าต้องจัดการทำความสะอาด จะไม่มีใครลงมือทำ 

ด้วยเหตุนี้ การสร้างแรงจูงใจจึงควรอยู่บนพื้นฐานความสำเร็จที่จะได้รับในทันทีจากการลงมือทำ เช่น แรงจูงใจในการทำความสะอาด คือ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้บ้านน่าอยู่ สร้างบรรยากาศที่ดีในบ้าน แรงจูงใจในการทานของที่มีประโยชน์ คือ ความภาคภูมิใจในตัวเองที่ทำได้ และมีการสุขภาพดีได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ การลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ก็ต้องการแรงจูงใจ เช่นกัน

“ฝึกทำบ่อยๆ ก็เก่งขึ้นได้” 

เป็นตัวอย่างคำพูดสร้างแรงจูงใจ เป้าหมายของการฝึกฝนไม่ได้อยู่ที่ความสมบูรณ์แบบ แต่คือประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการทำ แน่นอนว่าการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ครั้งแรกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การทำบ่อยๆ ส่งเสริมความพากเพียรและความอดทน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในอนาคต ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การผูกเชือกรองเท้า หรือ การฝึกใช้ห้องน้ำด้วยตัวเองของเด็กๆ ที่พวกเขาอาจทำไม่ได้ในครั้งแรก แต่ความพยายามจะทำให้พวกเขาทำได้ในที่สุด

ดร.จานา กล่าวว่า ผู้ใหญ่ควรให้คุณค่ากระบวนการเรียนรู้ระหว่างทาง เช่น ให้คำชมเชยและให้กำลังใจเด็กๆ ในความพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาสำเร็จหรือไม่ก็ตาม การแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในตัวเด็กจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นแรงจูงใจที่มีพลังมหาศาล ทำให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง 

ปล่อยให้เด็กอยู่ไม่นิ่งบ้างก็ได้

5. Wiggle – ความตื่นตัวทางร่างกาย และสติปัญญา เป็นคีย์ที่ช่วยขับเคลื่อนให้ Why และ Will ทำงานได้ดีขึ้น เด็กเรียนรู้ได้ดีเมื่อได้สัมผัสและลงมือทำ เช่น การปล่อยให้ทารกเรียนรู้จากการจับ สัมผัส ผ่านการเล่น หรือ แม้แต่จากการชิมรสชาติแปลกใหม่ ภาพห้องเรียนแบบเดิมที่นักเรียนนั่งกันเป็นแถว เรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อยและอยู่ในความสงบ อาจไม่ใช่คำตอบ 

เมื่อโตขึ้นเด็กควรได้เรียนรู้จากการทดลองทำโปรเจคในเรื่องที่พวกเขาสนใจ ไม่เฉพาะแค่ในตำราเรียน ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพื่อจุดประกายความคิดต่อยอด

จานา เล่าถึงงานวิจัยด้านสมองว่า กระบวนการคิดทำงานสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยเช่นกัน เธอเองจัดหมวดหมู่ให้กับทักษะต่างๆ ออกมาเป็นคีย์ทั้ง 7 ข้อได้ หลังจากออกไปวิ่งเป็นเวลา 30 นาที 

เด็กเล็กวัย 2 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่ไม่อยู่นิ่ง ไม่จำเป็นต้องนั่งเฉยๆ ฟังนิทานที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง แต่พ่อแม่เลือกเล่านิทานให้พวกเขามีส่วนร่วมแสดงท่าทางได้ เช่น นิทานเรื่องกบ ให้เด็กๆ ได้ขยับตัวกระโดดไปมา หรือการเรียนนับเลขจากการนับจำนวนก้าวที่เดินจากจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่ง

6. Wobble – ล้มแล้วลุก อย่ายอมแพ้ ในโลกธุรกิจสมัยใหม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ เช่น ผลิตภัณฑ์ (product) เพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับกระบวนการ (process) สอดคล้องกับทักษะด้านความคล่องตัว (agility) ความสามารถในการปรับตัว ปฏิภาณไหวพริบ (resilience, adaptability) และความยืดหยุ่น (flexible) เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ หรือหากเกิดข้อผิดพลาดและความล้มเหลว เด็กสามารถเรียนรู้และคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อแก้สถานการณ์ แทนการจมอยู่กับความเสียใจจากเรื่องที่เกิดขึ้น

ดร.จานา ยกตัวอย่างคำถามที่บริษัทใหญ่ๆ ใช้สัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกพนักงาน 

“เรื่องที่ผิดพลาด ล้มเหลวในชีวิตของคุณคือเรื่องอะไร? แล้วคุณจัดการกับเรื่องนั้นอย่างไร?”

และยกตัวอย่างคำแนะนำยอดฮิตในโลกยุคใหม่ 

“ล้มก่อน ล้มบ่อยๆ ล้มเพื่อไปข้างหน้า”

ทั้งสองตัวอย่างสะท้อนให้เห็นภาพของ wobble หรือ การล้มแล้วลุกเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย 

วิธีคิดเรื่องการยอมรับข้อผิดพลาด และมองความล้มเหลวเรื่องธรรมดาในชีวิต เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรนำไปใช้เพื่อลดความคาดหวังในตัวเด็ก หันมามองความล้มเหลว ความผิดพลาด เป็นเรื่องสนุก เพื่อให้ได้ลงมือทำสิ่งที่ไม่เคยทำ

7. What If – จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…? การตั้งคำถามถึงสิ่งที่อาจยังไม่มีอยู่จริง

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราทำสิ่งนี้?

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราทำสิ่งนั้น?

เป็นเรื่องของจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และความคิดที่ไม่ถูกจำกัดกรอบ ไม่เฉพาะแค่การรับรู้และเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่ แต่รวมถึงการออกแบบความเป็นไปได้ให้กับโลกในอนาคต และใช้ชีวิตอย่างมี “ความหวัง” (hope) 

งานวิจัยด้านสมองพบว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ทำงานได้ดีระหว่างอ่านหนังสือ ขณะที่ระหว่างดูภาพเคลื่อนไหวสมองส่วนนี้ไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ การอ่านหนังสือจึงช่วยส่งเสริมจินตนาการได้มากกว่า 

ครั้งหนึ่ง The Potential เคยนำเสนอเรื่องราวของ ไอเดียกับไอซี สองพี่น้องวัยเรียนที่จินตนาการถึงการไปอวกาศ ทั้งสองมองว่าอวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่สามารถเข้าถึงและสัมผัสได้เริ่มต้นจากการอ่านนิทาน เมื่อเห็นความเป็นไปได้ ทั้งสองคนจึงส่งผลงานการทดลองในอวกาศ เข้าร่วมกับองค์การวิจัยและพัฒนาการสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA (Japan Aerospace Exploration Agency) อยู่หลายครั้ง จนได้เดินทางไปชมการทดลองของนักบินอวกาศแบบสดๆ ด้วยตนเองที่ศูนย์ควบคุมภาคพื้นดินเมืองสึคุบะ (Tsukuba) ประเทศญี่ปุ่น

ตอนนี้ไอเดียกำลังศึกษาต่อคณะแพทยาศาสตร์ ส่วนไอซีก็มุ่งมั่งศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เส้นทางการเติบโตและการเรียนรู้ของไอเดียและไอซี สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการตั้งคำถาม What if….? ได้อย่างชัดเจน (ไอเดีย – ไอซี : เส้นทางสู่ ‘อวกาศ’ ของเด็กไทยที่เริ่มต้นจากนิทาน จินตนาการ และการเรียนรู้ โดยไม่หยุดแค่คำว่า… เป็นไปไม่ได้) 

ทั้งนี้ ผลจากการสำรวจซีอีโอ 1,500 คนทั่วโลก พวกเขามีความเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าตำแหน่งงานใด ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากที่สุดต่อความสำเร็จในอนาคต เพราะคนที่มีความคิดสร้างสรรค์จะจัดการและหาวิธีรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ได้

คีย์ทั้ง 7 ไม่จำเป็นต้องสอน แต่ผู้ปกครองจำเป็นต้องสนับสนุน ยกตัวอย่างเช่น 

  • กระตุ้นให้เด็กลองสำรวจสิ่งใหม่ๆ โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์หรือการประเมิน ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ไม่ต้องกลัวคำตัดสินจากคนอื่น สิ่งนี้จะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันต่อฟีดแบคหรือคอมเม้นเชิงลบในโลกโซเชียลมีเดีย 
  • พาเด็กๆ ไปพบปะทำกิจกรรมกับชุมชน เช่น เพื่อนรุ่นเดียวกัน เพื่อนบ้าน หรือกิจกรรมจิตอาสา เพื่อสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นในชีวิตจริง และได้สัมผัสกับการทำงานเป็นทีม 

อัลกอริทึมพยากรณ์พฤติกรรมของมนุษย์ได้จากการสะสมข้อมูลก็จริง รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้ว่าเพื่อนเราชอบหรือไม่ชอบแบบไหน ทักษะการทำงานเป็นทีม ปฎิภาณไหวพริบ การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็สร้างได้ในลักษณะเดียวกัน คือ อาศัยประสบการณ์จากการลองผิดลองถูก 

ยิ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น ประสบการณ์ทั้งเชิงบวกและลบ จะทำให้เด็กเรียนรู้และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เป็นที่มาให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ และความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ทำให้เขาอยู่รอดในการทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้

  • ให้รางวัล เช่น คำชื่นชม จากความพยายามไม่ใช่ผลลัพธ์ ไม่ว่าจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หากเด็กๆ ได้รับรางวัลจากความพยายาม พวกเขาจะไม่ยึดติดกับความผิดพลาด แต่มีความมั่นใจและมีกำลังใจในการทำสิ่งนั้นอีก พวกเขาจะยอมรับความจริงได้และสามารถจัดการกับความผิดหวังได้ดีขึ้น
  • ชวนคิดชวนเล่น กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เช่น วันนี้เรามาสมมุติว่าเราเป็นนักบินอวกาศกันดีกว่า เราต้องเตรียมตัวยังไงและทำอะไรบ้าง? แล้วปล่อยให้เด็กใช้จินตนาการของตัวเอง

เมื่อเด็กมีแรงจูงใจ (Will) มีความตื่นตัว (Wiggle) ที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ประสบการณ์จากการลงมือทำ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การยอมรับข้อผิดพลาด (Wobble) แล้วจินตนาการต่อถึงสิ่งที่อยากทำ (What If) โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับอาชีพที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

วัยเด็กเป็นวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการและความฝัน ซึ่งไม่ควรถูกตัดทอนให้หายไปจากคำตัดสิน หรือการตัดโอกาสโดยผู้ใหญ่ เพราะทุกจินตนาการมีความเป็นไปได้ และความสำเร็จได้เกิดขึ้นแล้วครั้งแรกในจินตนาการ

อ้างอิง
Skills Every Child Will Need to Succeed in 21st century | Dr. Laura A. Jana | TEDxChandigarh
Skills that Will Shape Your Child’s Tomorrow: Nurturing QI Skills with Dr Laura Jana
Code-Dependent: Pros and Cons of the Algorithm Age
21st Century Skills for Kids & Rethinking how Students Learn

Tags:

21st Century skillsทักษะชีวิตQI

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Adolescent Brain
    เอาชนะอัลกอริทึม (1) : Me, We และ Why ติดทักษะการจัดการตัวเอง เตรียมพร้อมเด็กสำหรับโลกที่เปลี่ยนไป

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    Project-Based Learning ที่สร้างความเป็นนักสำรวจ: กระหายใคร่รู้ ทะลายกรอบ กล้าออกไปผจญภัย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Character building
    11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

การทำหนังสารคดี เหมือนเป็นบัตรเสือก ให้เราได้ไปทำความเข้าใจชีวิตคนอื่น – ไก่ ณฐพล บุญประกอบ
Everyone can be an Educator
12 April 2021

การทำหนังสารคดี เหมือนเป็นบัตรเสือก ให้เราได้ไปทำความเข้าใจชีวิตคนอื่น – ไก่ ณฐพล บุญประกอบ

เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์ ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • “เอหิปัสสิโก” (Come and See) ภาพยนตร์สารคดีเล่าเรื่องวัดพระธรรมกายในช่วงที่เจ้าอาวาสวัดมีส่วนในคดีฟอกเงิน โดยหนังวางตัวเป็นกลางสะท้อนความสัมพันธ์ของ ศรัทธา ความเชื่อ และอำนาจรัฐ
  • “เอหิปัสสิโก” เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของ ไก่ ณฐพล บุญประกอบ ด้าน  Social Documentary Film จาก School of Visual Arts เมืองนิวยอร์ก ที่เขาใช้ความผิดหวังจากการสอนของโรงเรียน ผลักตัวเองออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนและนอกบ่อน้ำที่คุ้นเคย
  • เขาหอบความคิดและมุมมองใหม่จากอีกซีกโลก กลับบ้านมาสร้างการเรียนรู้ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่ชื่อว่า “หนังสารคดี” และใช้กระบวนการของการทำหนังสารคดีมาสร้างทักษะให้น้องๆ นักทำหนังรุ่นใหม่ และสร้างความเป็นไปได้ใหม่ของวงการสารคดีไทย ทั้งในบทบาทผู้กำกับและอาจารย์วิชา Documentary Production

หลายคนอาจคุ้นชื่อ ไก่ ณฐพล บุญประกอบ จากผลงานกำกับภาพยนตร์สารคดี 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว ที่เล่าถึงโครงการก้าวคนละก้าวของตูน บอดี้แสลม โครงการวิ่งจากอำเภอเบตง จังหวัดยะลา สู่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อระดุมทุนให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ หลังจบจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไก่โลดแล่นอยู่ในวงการภาพยนตร์และโฆษณา ทั้งเขียนบท กำกับ และปรากฏตัวบนจอบ้าง ถ้าคุณรู้สึกคุณหน้าก็อาจจะใช่เขา .. เอ๊ะ หรือไม่ใช่ คุณต้อง Come and See เอง 

และ ใช่ เรากำลังจะตัดเข้าผลงานชิ้นต่อไปของเขาที่กำลังทำให้วงการภาพยนตร์สารคดีไทยคึกคักอยู่ในขณะนี้ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Come and See หรือชื่อไทยว่า เอหิปัสสิโก เล่าเรื่องวัดพระธรรมกายและเหตุการณ์ในช่วงที่วัดโดนคดี หนังวางตัวเป็นสื่อกลางสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อ กฎหมาย อำนาจรัฐ และสิ่งที่คุณต้อง Come and See ด้วยตัวเอง ตามชื่อหนัง

งานชิ้นนี้เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ที่เขาหอบความตั้งใจข้ามฟ้าข้ามทะเลไปเรียนปริญญาโทด้าน Social Documentary Film ไกลถึงนิวยอร์ก

“วันรับปริญญาหนังสือที่อ่านในฮอลล์รับปริญญาคือชื่อ Introduction to Documentary แล้วเป็นหนังสือเล่มนี้ที่เปิดโลกสารคดีในวันรับปริญญา”

เจ้าตัวต่อท้ายประโยคว่าพูดแบบนี้อาจจะดูไม่แฟร์กับโรงเรียน แต่เราว่านี่เป็นความตรงไปตรงมากับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ การไปเรียนปริญญาโทอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการเรียนรู้ให้ลึกขึ้นสำหรับทุกคน และการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในห้องเรียน แต่การพาตัวเองไปเจอดินแดนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ ก็ไม่เคยทำให้ใครขาดทุน

เช่นเดียวกันกับเขา ที่สุดท้ายแล้วความผิดหวังจากการสอนของโรงเรียน ทำให้เขาพยายามทำงานหนักขึ้น ออกไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เรียนรู้จากประสบการณ์จริง และหอบเอามุมมองใหม่ๆ จากอีกฟากโลกกลับบ้าน

เราชวนเขามาคุยถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการเรียนและทำหนังสารคดี และการใช้หนังสารคดีเป็นเครื่องมือชวนคนอื่นเรียนรู้ และชวนคนดูตั้งคำถามกับความจริง

บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ก็ผ่านการตัดต่อ เราสัมภาษณ์มาจริง แต่มันจะจริงแค่ไหน ขอให้คนอ่านได้พิสูจน์เอง … Come and Read

ทำไมถึงเลือกมาทำสายหนังสารคดี

เราเรียนภาพยนตร์ จบมาก็ทำงานวงการบันเทิง ทำหนัง เขียนบท กำกับ ตัดต่อ วิดิโอ MV โฆษณา เป็นงานที่โฟกัสความบันเทิงเป็นหลัก แต่เราเป็นคนอินกับงานสายสังคม ตอนเรียนมหาลัยเราไปออกค่ายอาสา ได้เห็นว่าเราอยู่ตรงไหนของสังคม ไปเจอที่ที่เราไม่เคยเจอ ไปนอนบ้านชาวบ้าน ไปเจอสภาพแวดล้อมที่ต่างจากบ้านเรามาก แล้วก็ชอบ พอได้ทำงานบันเทิงขาหนึ่งเราก็ทำงานกับพี่ที่ทำ NGO เราก็ใช้สกิลการทำวิดิโอไปสื่อสารเรื่องพวกนี้คู่กันมาตลอด จนกระทั่งช่วงน้ำท่วมปี 54 พี่ๆ ที่นิเทศจุฬาฯ รวมตัวกันทำอนิเมชั่นปลาวาฬ รู้ สู้! Flood เพื่อลดการฝังข้อมูลและให้คนเข้าใจสถานการณ์ ตอนแรกคิดว่าจะทำงานให้คนที่บ้านดูก็พอ ปรากฏว่าฟีดแบก (feedback) ดีมาก มากจนเราเห็นพลังของงานที่เราทำได้ เห็นเวทีของการทำหนังที่สื่อสารข้อมูลที่ผ่านการเรียบเรียงมาแล้ว เพราะสิ่งที่เราทำมันไม่ใช่การ generate (สร้าง) ข้อมูลอะไรใหม่เลย มันเป็นแค่การเรียบเรียงและเล่าออกมา พอเราเห็นสิ่งนี้ในงานที่เราทำที่ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว ก็ทดไว้ในใจมาตลอด จนกระทั่งหลังๆ เริ่มดูสารคดีมากขึ้น เริ่มรู้สึกอยากเข้าใจมัน อย่าง Fiction เราพอรู้ว่าโครงสร้างมันเป็นยังไง วางแผนยังไง แต่สารคดีนี่ไม่รู้เลย มันแปลกมากมันซับซ้อน มันงง เรารู้สึกว่าอยากทะลุขีดตัวเองไปในทางใดทางหนึ่ง เลยตัดสินใจไปเรียนต่อ แต่ก็ เอ๊ะ.. เรียนกำกับหนังมันจะได้หรอ ไม่ได้ชอบขนาดนั้น เรียนถ่ายหนังก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น จนมาคิดกับตัวเองว่าทำไมไม่เรียนดอค (documentary) ก็เลยไปเรียน

เราอยากจัดการเรียบเรียงข้อมูลที่มันมีอยู่แล้วในสังคม เราไม่ได้ต้องการจะสร้างสิ่งใหม่หรือสร้างโลกในจินตนาการของเราขึ้นมาอีกโลกหนึ่งเพื่อสะท้อนอะไร พูดแบบนี้เดี๋ยวจะดูเหมือนเป็นการลดค่าหนังแบบอื่นๆ แต่จริงๆ เราคิดว่ามันเป็นเพราะเราไม่ถนัดเท่านั้นเอง เราถนัดงานมีโจทย์ ถนัดงาน mv มีเพลง มีโจทย์ให้ตีความ มีเนื้อหาให้เรามาเรียบเรียง ก็ค่อยๆ เรียนรู้หลังจากทำงานมาเรื่อยๆ ว่าเราถนัดอะไรไม่ถนัดอะไร ชอบอะไรไม่ชอบอะไร นี่ก็เป็น documentary ประมาณนั้น

พอไปเรียนแล้วได้รู้จักสารคดีเพิ่มขึ้นยังไงบ้าง

วิชาที่ชอบที่สุดคือ Process and Style คือเอาคนทำสารคดีมาฉายหนังแล้วก็มาคุยถามตอบ เพราะว่าการเรียน 2 ปีที่นั่นมันเป็น Project-based มันคือการแลกเปลี่ยนงานที่ทำกับเพื่อนแล้วอาจารย์คอมเมนท์ เพราะสารคดีมันไม่มีฟอร์แมทตายตัวที่จะสามารถ 1 2 3 4 ได้ มันเรียนจากประสบการณ์ จากข้อผิดพลาด จากข้อจำกัด จากคนอื่น เรียนว่าคนนู้นแก้ปัญหายังไง ประสบการณ์ของคนอื่นเป็นยังไง เราควรจะป้องกันยังไง เราควรจะหาทางหนีทีไล่ยังไง การเปลี่ยนแปลงหน้างานหรือโจทย์ที่เราได้รับยังไง คือการได้เห็นเลยว่าคนทำหนังเขาทำแบบนี้ได้ เราเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในขณะที่บางวิชาอย่าง Directing มันคือดูงานเพื่อน ดูงานตัวเองแก้ยังไง อาจารย์ก็มาสอนๆ ชี้ๆ วนๆ ซึ่งเรามองว่ามันไม่ได้อะไรเท่าไหร่ มันก็ได้ตามความพยายามของแต่ละคน

พูดได้ไหมว่า ส่วนที่ทำให้หนังสารคดีแตกต่างจากหนังประเภทอื่น คือความเป็นเรื่องจริง

เราจะชอบอธิบายว่า พอเราเขียนมาเป็นสมการ “สารคดี = เรื่องจริง” เครื่องหมายเท่ากับ (=) มันลดทอนความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างสองคำนี้ไปเยอะมาก เพราะจริงๆ แล้วกว่าจะเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ถูกนำเสนอให้เราดู ผู้กำกับต้องเลือกซับเจกต์ (Subject) เลือกวันฉาย เลือกมุมกล้อง เลือกเลนส์ที่ใช้ เลือกมุมที่ถ่าย เลือกฟุตเทจ (footage) ที่ตัดต่อ เลือกคำสัมภาษณ์ เลือกเพลง เลือกสถานที่ฉาย เลือกชื่อหนัง เลือกคาแรกเตอร์ การเลือกสี่ล้านห้าแสนครั้ง เรายอมรับมันได้ไหมที่จะเรียกว่า จริง ความจริงมัน elusive มันลื่นไหล มันเปลี่ยนแปลง สุดท้ายคนดูต้องยอมรับความเสี่ยงในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเชื่อ ซึ่งสารคดีเป็นแค่เลเวล (level) หนึ่งในการแปะป้ายว่าสิ่งนี้คือสารคดี ซึ่งมันจะจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ว่าคนดูจะเปิดใจรับมันหรือเลือกเชื่อมันมากน้อยแค่ไหน

ความจริงในสารคดี (หรือในสื่อ) คืออะไร

มันเป็นความเสี่ยง ดูข่าวแล้วเราเชื่อ มันก็เป็นความเสี่ยง เพราะถ้าข่าวมี Agenda ของตัวเอง มีการเลือกบางอย่างเขาก็มีการไม่เลือกบางอย่าง ความเสี่ยงนั้นตกอยู่ที่คนดู เพราะว่าคนดูจะไม่รับรู้เรื่องที่มันเกิดขึ้นจริงๆ หลังกล้องหรือเรื่องที่อยู่เบื้องหลังต่างๆ สุดท้ายคำว่าความจริงกับสารคดีมันเป็นแค่การแปะป้ายเพื่อ หนึ่ง คือสื่อสารว่าเรากำลังดูอะไรอยู่ เรากำลังทำอะไร พูดถึงอะไรอยู่ เหมือนเราไปร้านขายดีวีดี แล้วไปถามว่าชั้น Documentary อยู่ไหน เราจะได้เดินไปหยิบหนังที่เราจะดูถูกยี่ห้อ มันเป็นแค่คำ นี่คือฟังก์ชั่นนึง สอง มันเป็นการเคลมอำนาจที่มีต่อคนดู พอพูดว่านี่คือสารคดี คนจะเชื่อไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วเราเลือกช้อยส์ไปสี่ล้านห้าแสนครั้งตอนทำ กว่าที่เรื่องๆ หนึ่งจะออกมาเป็น format ที่เรียกว่าสารคดีมันถูก shape ไปแบบไหนบ้าง สิ่งที่ให้มองคือย้อนมาที่สมการแรกว่า สารคดี = เรื่องจริง คำว่าเรื่องจริงมันมีอำนาจมาก เพราะว่าเรื่องจริงเราต้องเชื่อสิห้ามตั้งคำถาม แต่แท้จริงแล้วสองคำนี้มันมี layer เยอะมาก แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่จริงนะ มันไม่มีคำตอบ

สารคดีเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องแต่ง

ก็ได้ ถ้าเราบอกว่ามันไม่เป็นอะไรบ้าง มันอาจทำให้เห็นเค้าโครง แต่เราก็ pin down มันไม่ได้อยู่ดี มันไม่ได้เป็นเรื่องจินตนาการจะบอกแค่นี้ก็ได้ สุดท้ายแล้วปัญหามันอยู่ที่คำ มันอยู่ที่ภาษา ซึ่งมันเป็นเครื่องมือที่เราใช้สื่อสารกันนี่แหละที่เราไปยึดติดกับมันไง

ถ้าเราไม่มีคำนิยามว่าสิ่งๆ นี้คืออะไร แล้วจะทำให้คนเข้าใจสิ่งนี้เหมือนกันได้ยังไง

เราไม่ได้บอกว่าภาษาต้องเอาออกไป หรือมันเป็นตัวปัญหา มันมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้วแหละ มีการคิดนู้นนี้นั้น การสื่อสารทำให้สังคมเกิดขึ้น บลาๆ แต่ขณะเดียวกันต้องมองให้ออกด้วยว่ากับดักของมันคืออะไร ข้อจำกัดของมันคืออะไร เครื่องมือทุกอย่างมีข้อจำกัด ภาษาเป็นเครื่องมือก็ย่อมมีข้อจำกัด

แล้วข้อจำกัดของสารคดีคืออะไร

คนไม่ค่อยดู เพราะว่ามีภาพจำ ตัวฟอร์แมตเองมันไม่ได้มีปัญหาและไม่ได้มีข้อจำกัด แต่ว่าข้อจำกัดเกิดจากบริบทที่ medium นั้นไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เราคิดว่าสารคดีมีภาพในหัว เป็นลุงมานั่งเครียดๆ ให้ความรู้ ก็ไม่ผิดแต่มันจะจำกัดไปหรือเปล่าถ้าเรามีภาพๆ เดียวในหัว ทั้งที่จริงแล้วมันมีความเป็นไปได้อื่นๆ เยอะมาก อันนี้เป็นข้อจำกัดที่เราเจอ

ในทางตรงกันข้าม จุดแข็งของเครื่องมือนี้คืออะไร

ยี่ห้อที่คนเชื่อไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เราต้องแยกข้อดีของสารคดีอย่างที่บอก คือคนเชื่อไปแล้วครึ่งหนึ่งสุดท้ายมันจะวกไปที่ media literacy

คุณไม่ได้ใช้สารคดีแค่สื่อสารความจริง แต่ใช้มันกระตุ้นคนดูให้ตั้งคำถามถึงความจริง?

อยู่ที่วิธีเล่าด้วย ต้องพูดเป็นเคสไป มันมีสองเลเยอร์ เลเยอร์แรกมันทำให้คนดูเกิดการตั้งคำถามต่อซับเจกต์ที่เราจะเล่า เช่น คลองแสนแสบน้ำเน่าจัง คนดูจบ เออน้ำมันเน่าจริง สองเกิดการตั้งคำถามต่อตัวสื่อเองว่าสารคดีนี้มันน่าเชื่อถือใช่ไหม ซึ่งมันต่างกันจนนักวิชาการแทบจะแยกสองสิ่งนี้เป็นสองหมวดไปเลย มีสารคดีหมวดหนึ่งที่ตั้งคำถามของสารคดีเอง โชว์โครงสร้างให้เห็นว่ากว่าจะเป็นหนังที่คนดูมันมีไวยากรณ์ยังไง มันเกิดอุปสรรคการสร้างยังไง เหมือนภาพเบื้องหลังอะ

หนังสารคดีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างการเรียนรู้ ไวยากรณ์ของเครื่องมือนี้คืออะไร

มันก็มีคนนิยามว่าสารคดีคืออะไร มันคือการเล่าเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นในโลกเดียวกันกับเรา แน่นอนคือเราได้เรียนรู้เรื่องของคนอื่นๆ เรื่องคนใกล้ตัว คนที่อยู่ในโลกของเราที่เป็นอะไรก็ตามในสิ่งที่เขาเป็น เป็นหน้าต่างไปสู่โลกใบใหม่ที่กว้างกว่าโลกที่เป็นอยู่ ส่วนจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ มันก็แล้วแต่เรื่อง

สุดท้ายมันคือเราผลิตความเห็นอกเห็นใจ ทำให้ได้เห็นชีวิตคนอื่น เห็นปัญหา รับรู้ชีวิตที่ต่างจากเรา นั้นคือหน้าที่ที่ดีที่สุดของภาพยนต์ไม่ว่ามันจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม

ในฐานะคนทำก็เช่นกัน การที่เราต้องมีภารกิจในการออกไปทำหนังเรื่องหนึ่ง มันต้องใช้พลังงานและเวลา มันเป็นความเข้มข้นไปปะทะกับชีวิตอื่น สิ่งแวดล้อมอื่น ผลออกมาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม สุดท้ายมันก็กลับมาที่เรื่อง empathy อยู่ดี มันคือการหาเรื่องออกไปเจออย่างอื่นนอกจากความเข้าใจที่เราคุ้นเคย ไม่จำเป็นต้องไปแอฟฟริกา อาจจะเป็นบ้านข้างๆ ก็ได้  ห้องเรียนข้างๆ มันมองได้หลายมิติ

การเป็นคนทำหนังสารคดี เราชอบเรียกว่าบัตรเสือก เหมือนมาสัมภาษณ์ก็ถือบัตรเสือกมาถามเรา มันคือผมเป็นคนทำสารคดี แล้วสิ่งนี้เองที่ทำให้เราได้อภิสิทธิ์ไปทำความเข้าใจชีวิตคนอื่น เราได้ไปอยู่ในที่ชีวิตปกติน่าจะไม่ได้ทำ ไม่ได้เข้าใจในสิ่งนี้ ซึ่งการจะบอกว่าการสัมภาษณ์นี่ก็เหมือนกัน ท้ายที่สุด output ที่ออกมา จะเป็นหนัง จะสั้นจะยาว จะฉายในโรงไหน มันก็ทำหน้าทึ่เช่นเดียวกับบทความหรือสื่ออื่นๆ

แล้วหนังสารคดีต่างจากบทสัมภาษณ์ หรือสื่ออื่นๆ ไหม

เราว่ามันเหมือนกัน หนัง1วิกับบทความ มันแล้วแต่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร สุดท้ายต้องยอมรับว่าเรามองว่างาน visual and sound สุดท้ายแล้วมันวัดไม่ได้ ถ้าจะหาวิธีเปรียบความต่าง เราว่ามันคือกาลเทศะ สารคดีมันมีกาลเทศะหมดแหละ ฟิคชั่นก็มีกาลเทศะของมัน บทความก็มีอีกแบบหนึ่ง พอสแคสต์ก็มีอีกแบบหนึ่ง เราไม่ได้มองว่าสารคดีมีพลังที่เหนือกว่า มันเป็นแค่ความถนัดที่เราทำได้ แค่นั้นเอง สุดท้ายเราไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นคนทำสารคดี มันเรียกเพราะว่ามันอาจง่าย แต่มันก็เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งเท่านั้นเอง

แล้วนิยามตัวเองว่าอะไร

เป็นคนทำหนัง

สารคดีจะช่วยเคลื่อนความคิดคนได้ยังไง

มันก็เหมือนเราดูหนังฟิคชั่น รับสื่อ ทุกอย่างมันทำได้ ถ้ามันมีจังหวะและเวลาที่ถูกต้อง อุณหภูมิที่ถูกต้องกับเมล็ดพันธ์ที่ถูกต้องอยู่ร่วมกันต้นไม้ก็จะเติบโตได้ หนังมันจะมูฟ (move) คนได้ มันก็เกิดจาก กาลเทศะในการดู วัยวุฒิของคนดู จังหวะเวลาอารมณ์ message ที่หนังพูด จังหวะของการเรียบเรียง ความพร้อมของสถานที่ จะบอกว่าหนังหนึ่งเรื่องมันมูฟคนได้ไหม มันก็ได้และไม่ได้ มันเกี่ยวกับอุณหภูมิถูกต้องหรือเปล่า ไปดูหนังแล้วโรงหนังแอร์เสียคนไม่มูฟหรอก คนมูฟออกจากโรงแทน (ฮา)

เคลื่อนได้ยังไง ถ้าจะให้ตอบก็ตอบได้นะ แต่มันจะจำกัด เช่น สารคดีบางทีมันเดินเรื่องด้วยข้อมูล ก็มูฟด้วยข้อมูล หรือหนังบางเรื่องเป็นสัมภาษณ์ๆ บางเรื่องติดตามชีวิตคนนี้แล้วเราเห็นการขึ้นการลง เห็นชีวิตของคนนี้แล้วมันไปมูฟอะไรบางอย่างในตัวคนดู ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของข้อมูลแต่มันเป็นเรื่องของชีวิต มูฟด้วยการเห็นชีวิตของคนอื่น แต่จริงๆ เราไม่อยากอธิบายไปแบบนั้น เพราะมันจะจำกัด

สิ่งเหล่านี้เราออกแบบไว้ก่อนไหมว่าจะมูฟอะไร แล้วเราจะเล่าเรื่องนี้ด้วยวิธีการไหน

ดีไชน์สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยน ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเพราะว่าหนังในหัวเราตอนเรานั่งทำก่อนจะออกไปเจอเป็นอีกแบบ เราไปเจอของจริงเราก็จะรู้มากกว่าที่เรารู้ ตื่นขึ้นมาอีกวันหนึ่งเราก็จะรู้มากขึ้นไปอีก แล้วหนังมันก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ยึดติดกับของเดิมที่เราทำที่เราคิดมา ซึ่งแน่นอนเรารู้มากขึ้น หนังมันก็จริงขึ้น มันก็มีคลี่คลายมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปตามข้อมูลที่เพิ่มขึ้นในหัวเรา มีทั้งความเป็นไปได้ใหม่และข้อจำกัดที่เราต้องเจอมากขึ้น มีโจทย์ใหม่ให้แก้ตลอดเวลา อย่างถ่ายไปแล้วเขาไม่ให้เราถ่ายต่อเราจะเปลี่ยนยังไงได้บ้าง สุดท้ายคนนี้ตายหนังเปลี่ยนละ มันเปลี่ยนไปได้หมดเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ แต่ว่าพูดแบบนั้นมันก็จะไหลออกทะเลไป จริงๆ คนทำมันควรจะมีเฟรมในหัวตัวเองแหละว่าสิ่งที่ตัวเองสนใจในต่อซับเจกต์นี้คืออะไร

สิ่งที่ทำให้สารคดีน่าสนใจสำหรับเราคือมันควบคุมไม่ได้ มันมีข้อเท็จจริงเยอะจนควบคุมมันไม่ได้ทั้งหมด เราควบคุมกล้องเราได้  แต่เราควบคุมซับเจกต์ไม่ได้ว่าจะตัดสินใจยังไง เราควบคุมการตัดต่อได้ แต่เราไม่สามมารถควบคุมคนอื่นๆ ได้ สุดท้ายมันคือเราควบคุมพื้นที่ที่เราควบคุมได้แค่บางส่วน

นอกจากทำหนังแล้ว คุณเป็นอาจารย์สอนวิชา Documentary Production ด้วย ช่วยเล่าถึงห้องเรียนของคุณให้ฟังหน่อย

การสอนวิชานี้เขาเปิดกว้างมากเลย สอนสารคดี สอนทำสารคดี เราอยากเป็นครู แล้วยิ่งเป็นเรื่อง Documentary เรายิ่งสนใจเพราะว่า perception (การรับรู้) ที่คนไทยมีต่อ Documentary มันหนาทึบมาก มันมีภาพจำบางอย่างทั้งๆ ที่โลกสารคดีที่เรารู้จักมันแตกต่าง มันสนุกนู้นนี้นั้นมากๆ คนอื่นมีภาพจำต่อสารคดีที่แตกต่างจากที่เรารู้ เราเลยอยากจะแบ่งปันสิ่งทึ่เรารู้ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างการจะนิยามว่าอะไรคือสารคดีมันยังนิยามไม่ได้ สไลด์แรกที่เราเปิดคือ What the f** is Documentary เพราะเราก็ไม่รู้ มันมีความเป็นไปได้หลายแบบมาก มันมีวิธีการในการแก้ปัญหาสิ่งที่จะเล่าได้เยอะมาก แล้วก็อยากให้เรียนรู้ Journey การทำหนังว่าจุดเริ่มต้นกับจุดปลายทางของหนังมันไม่ได้จะเป็นอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก นั่นคือเป้าหมายที่อยากจะเน้น 

สุดท้ายอีกอย่างที่อยากจะเน้นคือมันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่โตหรือเป็นเรื่องไกลตัว ทำเรื่องการทำความเข้าใจคนอื่น การทำความเข้าใจตนเองก็ได้ เราชอบคำหนึ่งของ Ramell Ross คนทำสารคดี “เมื่อคุณเข้าไปสัมผัสอะไรบางอย่างด้วยจิตใจทึ่เปิดกว้าง สิ่งที่จะได้เรียนรู้คือตัวเอง” เรารู้สึกว่าคำนี้ดี แล้วก็อีกอย่างที่อยากจะเน้นคือคนดูเป็นเจ้าของผลงาน คนทำเป็นเจ้าของ process (กระบวนการทำ) คนดู judge (ตัดสิน) หนังแบบไหนก็ได้เพราะว่าหนังเป็นของเขา หนังคือความทรงจำของเขาที่เขาได้ดู แต่คนทำเป็นเจ้าของกระบวนการทำงานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฟอร์แมตไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบทความนี้ หรือหนัง หรืออาหาร อาหารเป็นของคนกิน ขั้นตอนการทำประสบการณ์ฝีมือต่างๆ เป็นของคนทำที่ได้เรียนรู้ เราอยากทำให้เด็กๆ ที่เรียนด้วยกันเข้าใจสิ่งนี้ตลอดการทำหนังออกมาสักเรื่อง มันก็เลยเป็นคลาสที่แบบว่าค่อนข้าง flexible มากพอสมควร

วิธีการที่เราใช้ เช่น งานไฟนอล เราให้คนในห้องสัมภาษณ์ใครก็ได้มาหนึ่งคนแล้วเขียนว่าอยากทำ Documentary อะไรจากคนนี้ คนที่ไม่รู้จัก ก้าวออกจากโลกตัวเอง สัมภาษณ์จากโลกที่เราไม่รู้จัก พอได้สิ่งที่เขาเขียนมา ก็ให้จับฉลาก ให้ทำเรื่องของคนอื่น แต่การทำเรื่องคนอื่นในที่นี้ก็คือไม่ต้องเอาทรีทเมนต์ที่เขาเขียนย่อๆ มาทำ คือให้ไปฟังสัมภาษณ์ที่เพื่อนสัมภาษณ์มาแล้วจับคีย์เวิร์ดอะไรก็ได้เอามาต่อเป็นหนังของตัวเอง เช่น คนหนึ่งสัมภาษณ์เรื่องเชฟทำพิซซ่า เพราะอยากทำเรื่องเชฟทำพิซซ่ามากเขียนทรีทเมนต์มา อีกคนจับฉลากได้เรื่องของคนนี้ แต่พอเขาไปฟังสัมภาษณ์ของเพื่อนแล้วไม่อินเรื่องพิซซ่าเลย แต่ดันชอบเรื่องที่เชฟมีลูกชายแฝดสาม แล้วเกิดอยากทำเรื่องเปรียบเทียบการเติบโตของเด็กแฝดสามในประเทศไทย คือสุดท้ายถ้าไม่อยากทำเรื่องที่เพื่อนเขียนมาเลยก็ได้ พ้อยท์คือเราอยากให้มีตุ๊กตาแรก การที่จะออกไปทำอะไรสักอย่างแล้วเราไม่safe ไม่รู้ สุดท้ายถ้าต้องผลิตงานออกมาจริงๆ จะต้องเป็นเรื่องที่เขาอิน ก็วกกลับมาที่เรื่องอะไรก็ได้ที่เขาอิน แต่ว่าอย่างน้อยต้องออกไปก่อน ไม่ใช่แค่เริ่มโจทย์จงทำหนังที่อินออกมา ทุกคนก็จะแบบทำอะไรดีวะ เด็กบางคนต้องการอะไรให้ยึดเกาะ เด็กบางคนไม่ต้องการ เด็กบางคนคิดได้เลยว่าอยากจะทำอะไร เด็กบางคนต้องมีโจทย์เราเลยให้โจทย์เด็กก่อน สุดท้าย output ออกมาก็เป็นหนังที่เท่ากันหมดก็คือดูร่วมกัน ก็ประสบผลสำเร็จ เด็กก็สนุก เราก็สนุก

ปฏิกิริยาของเด็กที่เจอการสอนแบบนี้เป็นยังไงบ้าง

เด็กชอบ มันสนุก และเดาไม่ได้ เราก็เดาไม่ได้ว่าจะสอนอะไร ความยูนีคที่เราคิดว่าคลาสนี้มันยูนีคเพราะว่าเราพยายามไม่ยึดติด ไม่ตายตัวว่าต้องเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไร มันเป็นได้หมดเลย เราจะทำเรื่องนี้ แต่ทำวิธีอื่นก็ได้ อย่างมีโจทย์หนึ่ง ตอนนั้นเราอัดเสียงไว้แล้วเลือกไดอาล็อกมา 3 ประโยคยาวๆ แล้วให้เสียงนี้กับเด็กทุกคนเลย ให้เด็กไปทำภาพมา ภาพอะไรก็ได้ มันก็จะเห็นว่าเลเยอร์ความสัมพันธ์ระหว่างภาพและเสียง บางคนถ่ายไฟมา สมมติในเสียงพูดเรื่องจะตายเพราะเป็นโรคไต บางทีก็วูบจะตายแต่ก็ไม่ตายก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ ภาพของบางคนก็ตีความดำน้ำแล้วก็โผล่ขึ้นมา บางอันก็เป็นไม้ขีดไฟที่แบบมีพลัง มันเลยเป็นเหมือนโจทย์ให้เด็กเรียนรู้ไวยากรณ์การทำงาน แล้วก็สามารถเปรียบเทียบได้ว่าข้อมูลเดียวกันแต่สามารถตีความไปได้หลายแบบ  มันเห็นความเป็นไปได้ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียว มันไม่จำเป็นต้องเป็นคนนี้พูด ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงพยาบาล อันนี้คืองานก่อนไฟนอล

เห็นการเรียนรู้อะไรในตัวเด็ก

เราเห็นพื้นฐานการคิด บางคนก็ติดกรอบ บางคนพยายามไม่ยึดติดกับสิ่งที่คิดมาแต่บางคนก็ยังจะยึดอยู่เพราะรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย บางคนก็ทำอย่างอื่นเลย

ฟังดูเหมือนมันต้องมีความยืดหยุ่น (Resilience) และทักษะในการปรับตัว (Adaptability) ซึ่งกำลังเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษนี้ กระบวนการทำหนังสารคดีช่วยสร้างสกิลเล่านี้ให้เด็กๆ ได้อย่างไร

เรารู้สึกว่าการทำ Documentary มันเหมือนการทรงตัวอยู่บนลูกบอลหนึ่งลูก อย่าไปคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงๆ มันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นแบบนี้ มันต้องพร้อม adapt ตลอดเวลา แล้วเราก็สนุกด้วยซ้ำการได้ adapt ไม่งั้นทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างที่เขียนมา แต่ต้องเขียนก่อนนะ ที่สำคัญคือต้องวางแผนก่อนให้เต็มที่ แต่สุดท้ายพอเจอของจริงคุณต้องยอมเปลี่ยน เราว่านี่คือสิ่งสำคัญในการทำหนัง ไม่ใช่แบบไม่คิดอะไรเลย ถ่ายๆ แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แบบนั้นมันก็จะไม่โฟกัส อีกอย่างเวลาทำหนังการเรียนรู้จะครบ cycle ได้จริงๆ คือการได้ดูในโรง หรือการได้ดูหนังที่ไหนก็ได้ อันนี้ก็เหมือนกันตอนที่มันทำไม่รู้หรอกว่าต้องวางแผนอะไรไปก่อน จนกระทั่งได้ดูหนังแล้วเพื่อนฟีดแบค ถ้าทำหนังแล้วไม่ได้ดูหนังมันไม่ครบเลยนะ ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เหนื่อยสิ่งที่ทำไปเนี่ยผลลัพธ์มันคุ้มไหม เวิร์กไหม เราจะพยายามให้เด็กคอมเมนต์งานกันเองก่อนที่เราจะคอมเมนต์ มันก็จะเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาโดยที่เราได้กำหนดขึ้นมา เคยคิดว่าจะฉายออกมาโดยไม่บอกว่างานใครเคยทำอยู่ครั้งสองครั้งก็ดี ก็พูดดี

คำถามสุดท้ายละ คิดว่ากระบวนการแบบสารคดีมันช่วยขยับวงการการศึกษาไทยได้ไหม ได้อย่างไรบ้าง

มันเอามาใช้ประโยชน์ได้อยู่แล้ว ได้ 2 มิติ มิติแรก คือในฐานะที่เอาชิ้นงานหรือตัวหนังเองมาเป็นตัวจุดประเด็นในการพูดคุย อย่างเช่นเมืองนอกมี POV for educator รายการ POV เป็นโปรแกรมสารคดีที่ดังมาก เขามีช่วง educator ซึ่งเอาหนังมาตัดแบ่งเป็นช่วง สมมติว่าวันนี้เราจะสอนเรื่องอาหาร ก็เปิดเป็นช่วงนี้ๆ มี outline ของหนังเรื่องนี้ที่จะมาใช้ร่วมกับแขกรับเชิญในการคุย ดูหนังเรื่องนี้ฉายช่วง abc 10 นาที 15 นาที มีลิสต์คำถามให้โต้ตอบกับเด็กระดับชั้นไหน ใช้อย่างไร มันทำมาเพื่อซัพพอร์ตคนสอนเลย หรือมีหนังหลายเรื่องมากมีให้โหลดพวกหนังสือทำมือไปใช้ในแต่ละคลาส ซึ่งเราเชื่อว่าไทยก็ทำได้ แต่ไทยต้องการกำลังในการทำเพราะว่าอุปสรรคของไทยอีกอย่างหนึ่งคือภาษา คือสารคดีแปลไทยมีน้อยมาก มี DocClub ที่ทำอยู่ แต่ว่าในโลกมีหนังดีดีที่ซับอังกฤษเยอะมาก ภาษาเป็นกำแพงที่ใหญ่มาก เรารู้สึกมากๆ ตอนไปเรียนต่อ ตอนเรียนที่นี่ไม่ค่อยรู้ พอไปละพบว่าทะเลมันกว้างใหญ่มาก เราอยู่ในบ่อมาตลอด

มิติที่สอง คือเอากระบวนการทำหนังมาช่วยในการทำความเข้าใจสิ่งใดๆ ก็ตาม สิ่งแวดล้อม ตัวเอง มันทำได้หมดเพราะว่าสารคดีคือบัตรเสือก สารคดีคือเราไปเสือกเรื่องอะไรก็ได้ เสือกเรื่องตัวเอง เสือกเรื่องคนอื่น สิ่งแวดล้อมการเมือง มันทำได้หมด  filmmaking มันเลยเป็นกิจกรรมที่มีความเซ็กซี่ในตัวเอง เด็กๆ ก็สนใจอยากถ่ายให้มันสวย อยากตัดต่อ มีการจัดอีเวนท์ฉายหนัง คือโดยตัวกระบวนการของมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมันสร้างพื้นที่ให้คนมาสนุกได้ตลอด ได้เรียนรู้ตั้งแต่ขั้นตอนการถ่ายทำจนถึงการจัดฉาย เด็กๆ จะเรียนรู้หลากหลายมิติ

Tags:

ณฐพล บุญประกอบภาพยนตร์สารคดีเอหิปัสสิโก

Author:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Kru Jo
    Social Issues
    จากครูปกครองสุดเฮี้ยบที่ผลักเด็กจากระบบการศึกษา สู่ครูนางฟ้าที่สื่อสารด้วยหัวใจ: ครูโจ-วิฑูลย์ แซมสีม่วง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Kru Lisa
    Social Issues
    “การเป็นครูแปลว่าต้องดูแลเด็กตั้งแต่จิตใจ” ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ ครูนางฟ้าที่ใช้การสื่อสารเชิงบวก รับฟังและอยู่เคียงข้าง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Pakorn_1
    Everyone can be an EducatorSocial Issues
    “เราก็แค่ส่องไฟให้เขาเลือกเส้นทางเอง” ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบการเรียนรู้ผู้ขอเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้เด็กนอกระบบ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • KhobfaKwangClassroom
    Creative learning
    ‘ห้องเรียนขอบฟ้ากว้าง’ พื้นที่แห่งความรักที่โอบรับทุกความแตกต่าง การเรียนรู้เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของเด็กพิเศษ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

แพสชันไม่เกี่ยวกับวัย ความสุขไม่จำเป็นต้องหวาน : คุยเรื่องกาแฟและวิชาชีวิตกับ ‘บาริสป้า’ แห่ง Mother Roaster
Life Long Learning
11 April 2021

แพสชันไม่เกี่ยวกับวัย ความสุขไม่จำเป็นต้องหวาน : คุยเรื่องกาแฟและวิชาชีวิตกับ ‘บาริสป้า’ แห่ง Mother Roaster

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ร้านกาแฟที่เกิดจากความชอบดื่มกาแฟของป้าพิม-เพลินพิศ เรียนเมฆ ความสนุกที่ได้เรียนรู้เรื่องกาแฟ และอยากหากิจกรรมทำหลังจากที่ตัวเองปลดระวางภาระต่างๆ ในชีวิต จึงเริ่มเปิดร้านกาแฟเล็กๆ แบบ coffee stand ที่คั่ว บด ดริปเองกับมือ
  • นอกจากนั้นยังทำเวิร์กชอปกาแฟให้ผู้สูงวัย ด้วยความตั้งใจที่อยากให้คนวัยเดียวกันได้เห็นคุณค่าในตัวเอง แบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ด้วยหวังว่าเมื่อกลับไปเขาจะไม่ไปกินกาแฟที่ใส่น้ำตาลหรือใส่อื่นๆ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ แล้วถ้ามีโอกาสไปต่อยอดเปิดร้านของตัวเองได้ป้าพิมก็ยินดี

ไม่มีคำว่า สายเกินไปหรือแก่เกินเรียน เพราะการเรียนรู้มีเพียงจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด 

ต้อนรับวันหยุดสงกรานต์ด้วยเรื่องราวดีๆ ที่ว่าด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของคนวัยเกษียณกันสักหน่อย เราพาทุกคนไปกันแถวๆ ย่านประตูผี ในช่วงสายของวันที่ผู้คนยังคงบางตา มานั่งจิบกาแฟดีๆ สักแก้ว พร้อมกับเรื่องราวการเรียนรู้ในวัยเกษียณของบาริสต้าวัยเก๋าคนหนึ่ง 

ตึกแถวหลังเก่าที่เผยให้เห็นร่องรอยของปูนและอิฐที่เคยสมบูรณ์แบบแม้จะถูกเนรมิตจนกลายเป็นร้านกาแฟที่ไม่เล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็ยังคงความคลาสสิกของตัวมันเองได้เป็นอย่างดี เรากำลังเกริ่นภาพของ ‘มาเธอร์โรสเตอร์’ ร้านกาแฟของป้าพิม-เพลินพิศ เรียนเมฆ ที่นอกจากจะเป็นเจ้าของร้านแล้ว ยังเป็นมือคั่ว บด ดริปเองกับมือแก้วต่อแก้ว  

ร้านมาเธอร์โรสเตอร์ ย่านประตูผี

จากคนคลั่งกาแฟ สู่ ‘บาริสป้า’ วัยเก๋า 

แน่นอนว่า การที่เราจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน คงต้องเริ่มจากความสนใจในสิ่งนั้น หรือที่เรามักเรียกกันว่า Passion เช่นกันกับจุดเริ่มต้นของร้านมาเธอร์โรสเตอร์ที่ป้าพิมเล่าสู่กันฟัง

“เราเป็นคนกินกาแฟมาตั้งแต่สาวๆ จนตอนนี้ แล้วก็ด้วยความที่เรากินกาแฟอยู่ที่บ้าน พอเกษียณก็เลยหาว่าอะไรที่เรายังไม่ได้ทำตอนช่วงหลังเกษียณบ้าง หลังจากที่เราไปเที่ยวเฮฮากันมาสักพักละ ก็คิดว่าน่าจะเป็นกาแฟนี่แหละมั้งที่ใกล้ตัวที่สุด เลยตัดสินใจเปิดร้านกาแฟเล็กๆ เพื่อที่จะได้ออกจากบ้าน จะได้มีสังคม ได้พูดคุยกับคน ได้มีรายได้นิดๆ หน่อยๆ พอว่าอยากกินเปรี้ยวกินหวานของตัวเอง มันตามประสาคนสูงวัย” 

ร้านกาแฟไซส์มินิที่เรียกว่า coffee stand ริมถนนมหาพฤฒารามของป้าพิมจึงเริ่มต้นขึ้น 

“ความหมายของ coffee stand มันก็คือเป็นร้านกาแฟเล็กมากๆ ให้คนมาซื้อแล้วก็เพื่อที่จะเดินไป เป็นการ take away เกือบทั้งหมด เดิมร้านเราจะอยู่ในตัวตึกโบราณพื้นที่เล็กๆ หน้ากว้างแค่ 2.5 เมตร ความลึกแค่ 2.5 เมตร แล้วเราก็ดีไซน์ตรงนั้นเพื่อให้มันเข้ากับรูปลักษณ์ของตึก มันก็เลยออกมาเป็น coffee stand ซึ่งจะมีที่นั่งแค่ 2 ที่เล็กๆ แล้วก็มีบาร์ข้างหน้า ซึ่งนั่งได้ 2 คน บาร์ข้างหน้าไว้สำหรับคนมาเทคแล้วก็ไปๆ ซึ่งร้านกาแฟลักษณะนี้ในต่างประเทศในญี่ปุ่นมีกันเยอะ แต่บ้านเราไม่ยังค่อยมี” 

ป้าพิม-เพลินพิศ เรียนเมฆ

ป้าพิมบอกกับเราว่าด้วยความที่เป็นคนสูงวัยมาทำกาแฟ โดยใช้เครื่อง ROK Espresso เครื่องสกัดช็อตกาแฟที่ต้องอาศัยแรงของเราในการสกัด ซึ่งไม่ค่อยมีใครใช้เท่าไร เพราะส่วนใหญ่ก็หันมาใช้แบบอัตโนมัติกันทั้งนั้น ทำให้ป้าพิมและร้านมาเธอร์โรสเตอร์เป็นที่รู้จักในเวลาไม่นานจากการแชร์ต่อๆ กันในโซเชียลและปากต่อปากของคนที่แวะมาลิ้มชิมรสกาแฟฝีมือป้าพิม 

“อีกอย่างกาแฟทำมือของเรามันมีจุดเด่นตรงที่ว่ากาแฟเรามีให้เลือก แล้วเราสามารถให้คุณเลือกกาแฟตรงกับใจคุณมากที่สุด เราอยากให้ทุกคนเดินเข้าร้านมาแล้วกลับออกไปอย่างมีความสุขในการมาดื่มกาแฟสักแก้วหนึ่งอย่างที่ตั้งใจ 

มันก็คือเหตุผลหนึ่งที่อะไรที่มันเป็นแฟชั่นเดี๋ยวมันก็ไป แต่อะไรที่มันถูกใจเขา เขากลับมาหาเราเอง เพราะป้าเชื่อในกฎของแรงดึงดูด คนจำพวกเดียวกันจะดึงดูดคนจำพวกเดียวกันเข้าหากัน ในทำนองเดียวกันเรากินกาแฟแบบนี้ คนที่กินกาแฟแบบเราเขาก็จะเดินมาหาเราเอง คนที่ไม่ใช่เขาเข้ามาเพื่อลองแล้วเขาก็ไป อาจจะไม่ถูกใจเขา เพราะกาแฟทั้งร้านไม่มีน้ำตาล และมีแต่กาแฟอย่างเดียวไม่มีชา ไม่มีโกโก้”

หลังจาก coffee stand เล็กๆ ได้รับการตอบรับอย่างดี บาริสป้าคนนี้ก็ย้ายทำเลไปบ้านหลังใหญ่แถวตลาดน้อย ป้าพิมบอกว่า ตอนแรกก็คิดว่าจะขายแค่กาแฟดำอย่างเดียว เป็นตัวไซฟ่อน (Syphon) กาแฟที่ชงด้วยระบบสุญญากาศได้รสชาติกาแฟที่สะอาดไร้ตะกอน ซึ่งจะใช้คำว่า ‘สายฝนบาร์’ คำไทยๆ ที่พ้องเสียงของคำว่าไซฟ่อน อีกทั้งชื่อของร้านนี้ก็ยังใช้ชื่อภาษาไทยว่า “มร” หรือ มาเธอร์โรสเตอร์ ไม่ใช่ MR หรือ Mother Roaster เหมือนร้านที่ตลาดน้อย และเมนูทั้งหมดก็เป็นภาษาไทย แม้จะทับศัพท์ก็ตาม เพราะป้าพิมอยากจะคงคอนเซปต์ของร้านที่มีแต่ผู้สูงวัยเอาไว้ 

เวิร์กชอปกาแฟ พาเพื่อนสูงวัยเรียนรู้ศาสตร์กาแฟและค้นหาความสุข

พอย้ายร้านป้าพิมก็มีโครงการๆ หนึ่งที่อยากจะสานฝันให้เป็นจริง นั่นก็คือ อยากทำเวิร์กชอปให้ผู้สูงวัย 

“เรามีแฟนคลับอยู่ส่วนหนึ่ง เรามีคนที่กินกาแฟอยู่แล้วส่วนหนึ่ง หรือคนที่แค่อยากทำกาแฟให้ลูกหลานกิน แค่อยากกินกาแฟที่มันไม่ต้องมีน้ำตาลที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพก็ได้ หรือคนที่ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตดี ออกมาหาอะไรใหม่ๆ ในชีวิตทำ หรือคนเขาสนใจกาแฟแล้วมาบ่อยๆ เราอยากมีร้านสักร้านหนึ่งให้เขาประลองฝีมือก่อนที่จะออกไปต่อยอดของตัวเอง มันก็เลยเป็นเหตุผลที่เราทำเวิร์กชอปขึ้นมา แต่ช่วงนี้ก็ติดโควิดเลยหยุดไว้ก่อน แล้วก็มาเปิดร้านนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพิ่งจะได้ 2 เดือน พนักงานในร้านก็คือเป็นผู้สูงวัยทั้งหมด 60-70 ปีทั้งนั้น มันก็ตรงคอนเซปต์ที่เราตั้งใจไว้ว่าเป็นร้านของคนสูงวัย”

เวิร์กชอปนี้เป็นการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยป้าพิมหวังว่าคนสูงวัยเหล่านั้นที่มาเข้าเวิร์กชอปกัน เมื่อกลับบ้านไปเขาจะไม่ไปกินกาแฟที่ใส่น้ำตาลหรือใส่อื่นๆ ซึ่งจะยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ เพราะกาแฟของป้าพิมเป็นกาแฟที่กินเอารส ไม่ได้เอาฤทธิ์ และหวังว่าจะทำให้เขาได้มาเจอสังคมใหม่ๆ เจอเพื่อนใหม่ๆ วัยเดียวกัน 

“แล้วถ้าเขามีโอกาสไปต่อยอดเปิดร้านของตัวเองได้อันนั้นเราก็ยินดี แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราอยากให้เขามีความรู้สึกว่า คุณอายุ 60 ปีไม่ได้หมายความว่าคุณจะรอวันตาย คุณยังมีโอกาสทำอะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ คุณจะได้เห็นคุณค่าในตัวเอง นั่นคือความตั้งใจของเรา 

อย่าลืมว่าผู้พันแซนเดอร์สเปิดร้าน KFC ตอนอายุ 70 ปี แล้วก็ประสบความสำเร็จทั่วโลก ทำไมเราเป็นคนไทยอายุ 70 ปี เปิดร้านแล้วจะไม่เป็นที่รู้จักได้ นี่มันเป็นเวลาที่เราต้องออกมาเสาะแสวงหาในสิ่งที่เราอยากทำ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องไม่เกินกำลังของตัวเอง กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ของตัวเอง”

ซึ่งเวิร์กชอปนี้เปิดมาหลายรุ่น มีลูกศิษย์เป็นร้อยๆ คน และพนักงานในร้านก็คือหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นที่ผ่านการเวิร์กชอปกับป้าพิมมาแล้ว และพวกเขากำลังจะเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเองด้วย โดยปกติแล้วคนที่มาเวิร์กชอปทุกคนจะได้มาทำงานเป็นพนักงานในร้านคนละ 1 สัปดาห์ แล้วก็แปะมือให้เพื่อนคนอื่นๆ ต่อ สร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ แถมได้แก้เหงาของคนวัยนี้ด้วย ได้ความสุขอีกต่างหาก

“สิ่งที่เขาจะได้กลับไป มันคือประสบการณ์ชีวิตเลย เขาจะได้เรียนรู้ว่าชีวิตจริงเป็นยังไง การดูแลลูกค้าเป็นยังไง การทำกาแฟในแต่ละขั้นตอนเป็นยังไง เขาได้เรียนรู้ คุณมาทำงาน 1 สัปดาห์ปุ๊บแล้วก็แปะให้เพื่อนคนใหม่มา เพื่อนคนใหม่ก็จะได้เรียนรู้ในสิ่งนี้ต่อไป มันจะไม่มีวันสิ้นสุด”

บทเรียนนอกตำรา ที่สร้างการเรียนรู้ให้ตัวเองและผู้อื่นด้วย  

ก่อนหน้าที่จะมาทำร้านกาแฟ ในทุกๆ วัน ป้าพิมก็จะตื่นมาทำกาแฟกินเอง แต่พอมีร้านก็กลายเป็นว่าทำให้คนอื่นกินด้วย ซึ่งตอนที่เปิดเป็น coffee stand ริมถนนมหาพฤฒาราม หลังจากปิดร้านแล้ว ป้าพิมก็จะกลับไปคั่วกาแฟด้วยกระทะที่บ้านทุกวันเพื่อที่ตื่นไปเปิดร้านตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น 

“เมื่อก่อนเราไม่ได้ขายเยอะไง แต่พอคนเริ่มมาเยอะๆ ก็คั่วกระทะไม่ไหวแล้ว กลัวจะตายในหน้าที่ จำเป็นต้องลงเครื่องค่ะ ทุกวันนี้ก็เลยคั่วด้วยเครื่อง” 

และด้วยความที่ทั้งร้านมาเธอร์โรสเตอร์และ Mother Roaster ไม่ได้มีเพียงป้าพิมคนเดียว เมื่อพื้นที่ใหญ่ขึ้นค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นตาม ซึ่งคนที่มาช่วยบริหารจัดการก็คือลูกๆ 

“ตอนนี้มันก็จะเป็นเวอร์ชั่นลูกแล้ว ซึ่งร้าน MR ยังเป็นเวอร์ชั่นลูกทั้งหมด มีร้านนี้ มร เท่านั้นเองที่เรามาคุมเอง ตรงนั้นลูกเป็นคนบริหารเป็นคนจัดการ ซึ่งมันก็เทิร์นมาถึงร้านนี้ด้วย เราคั่วกาแฟทีเดียวใช้ทั้งสองร้าน ถามว่ายากไหมพอเราต้องมาบริหารร้านนี้เอง ก็ไม่ยากหรอกค่ะ เพราะวอลลุ่มเรายังน้อยอยู่ แล้วด้วยความที่เราอยู่กับเขามาหนึ่งปีสองปี มันก็ได้ทำให้เรารู้ว่าเราควรทำอะไรแค่ไหนที่ไม่เกินกำลังตัวเราเอง ร้านนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะใหญ่โต เพราะฉะนั้นเราควบคุมดูแลเองได้ มันยังอยู่ภาวะที่เรายังไหวอยู่”

ป้าพิมบอกว่า สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากตำราบทนี้ก็คือ ความภาคภูมิใจ อายุเป็นเพียงตัวเลขไม่ใช่ข้อจำกัดในการเริ่มทำอะไรสักอย่าง แม้อายุจะเข้าเลข 7 แต่ป้าพิมก็ยังสามารถสร้างคุณค่าในตัวเองได้ 

“นอกจากนี้ยังได้เจอคนใหม่ๆ ได้เจอเด็กรุ่นใหม่ ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติซึ่งกันและกัน มีมุมมองที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตอยู่บ้านเฉยๆ ลูกค้าที่มามีความหลากหลาย แต่ความหลากหลายนั้นมันก็จะมีอยู่อย่างหนึ่งถ้าคุณเป็นคนกินกาแฟ คุณจะมีลักษณะเฉพาะที่คนกินกาแฟด้วยกันจะเข้าใจกัน แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนกินกาแฟคุณมาเพื่อลอง คุณลองแค่ครั้งสองครั้งคุณก็ไป อันนั้นแหละค่ะคือสิ่งที่เราได้ อย่างที่บอก เรารู้สึกเราเคารพตัวเราเองมาก เพราะว่าเราเข้าใจว่าชีวิตเรายังมีค่า” 

มาเธอร์โรสเตอร์ คือภาพฝันชีวิตในวัยเกษียณ

คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า คนวัยเกษียณคือคนที่แก่ เป็นวัยที่ไม่สร้างสรรค์อะไรใหม่ได้ แต่ไม่ใช่กับป้าพิมที่มองว่าเกษียณเป็นวัยที่คุณสามารถเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ได้ตั้งมากมาย 

“ถ้าคุณจะเข้าสู่วัยเกษียณบอกได้ค่ะว่าคุณเฮมันได้ทันที เพราะคุณจะปลดวางจากภาระความรับผิดชอบต่างทั้งสิ่งทั้งปวง อย่างแรกไม่ต้องทำงาน สองเมื่อคุณทำงานมาสักระยะหนึ่งแล้ว คุณจะมีเงินพอที่จะดูแลตัวเองได้ หรือถ้ามันยังน้อยอยู่คุณก็มีโอกาสที่จะเสาะแสวงหาได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น 

เราไม่ได้สอนให้คุณทำงานหนักนะ แต่เราสอนให้คุณใช้ชีวิตให้เป็น ใช้ชีวิตที่เหลือในช่วงบั่นปลายชีวิตให้มีความสุขที่สุด อยากทำอะไรทำ ทุกสิ่งอย่างที่มันหาความสุขมาให้ตัวเราเองโดยไม่เบียดเบียนคนอื่นไม่สร้างทุกข์ให้คนอื่น บางอย่างก็ไม่ต้องใช้เงินก็ได้ บางอย่างก็ต้องใช้นิดหน่อย มันอยู่ที่ว่าคุณรู้สึกคิดและรู้จักต่อยอดมันหรือเปล่า”

สำหรับคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วันเกษียณ จะพูดเสมอๆ ว่า สิ่งสำคัญคือต้องหาตัวเองให้เจอก่อน แล้วเริ่มทำซะ อย่ากลัวที่จะลุกขึ้น อะไรก็แล้วแต่เมื่อสะดุดล้มให้รีบลุกขึ้นใหม่ ถึงตอนนี้ความผิดหวังความเสียใจมันมีไม่เท่าไรแล้ว เพราะเราต่างผ่านโลกมาเยอะแล้ว จะล้มอีกสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร อยู่ที่ว่าใจเข้มแข็งแค่ไหน  คนที่อายุ 70 ปี เขายังเรียนจบจนรับปริญญาได้เลย ถ้ามีความตั้งใจ”

“ร้านกาแฟนี้เป็นมากกว่าความสุข ตราบใดที่ทุกวันตอนเช้ายังได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมาทำกาแฟ” 

“มันไม่ใช่แค่ในร้านนะคะ ทุกวันนี้ชีวิตประจำวันของเราตื่นเช้ามาปุ๊บสิ่งแรกที่ทำคือต้มน้ำชงกาแฟก่อน จะเลือกเลยว่าวันนี้จะกินกาแฟอะไรดี วันนี้ทำดริป วันนี้ทำเอสเพรสโซ่ วันนี้ทำลาเต้ วันนี้ทำโมก้าพอต จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าอารมณ์วันนั้นจะอย่างไร อยากกินอะไร และวันนั้นอยากได้อะไร คนเราอารมณ์ไม่เหมือนกัน 

ฉะนั้นเวลาลูกค้ามาจะถามเลยว่า …วันนี้อยากกินอะไรดีคะ”

Tags:

Mother Roasterกาแฟวิชาชีวิตการเรียนรู้ในวัยเกษียณบาริสต้าlife long learning

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘แกะสลักชีวิต’ วิชาที่ชวนเด็กสำรวจตัวเองและขจัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป: ครูฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา โรงเรียนปัญญาประทีป

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • วิชาพื้นฐานของคนพิการ คือการเห็นคุณค่าของตัวเอง: เพียงฟ้า สุทธิพรมณีวัฒน์ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an EducatorLife Long Learning
    พระอาจารย์ชยสาโร: พุทธศาสนาคือระบบการศึกษาที่อุดมสมบูรณ์ เกื้อกูลต่อการพัฒนาทุกด้านของชีวิตพร้อมกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนทอสี’ กัลยาณมิตรบนเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กศตวรรษที่ 21: ‘ครูอ้อน’ บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

Start – up (2020) เราควรเลิกคาดหวังกันและกัน เพื่อกลับมาเป็นพ่อแม่ลูกดีกว่า
Movie
9 April 2021

Start – up (2020) เราควรเลิกคาดหวังกันและกัน เพื่อกลับมาเป็นพ่อแม่ลูกดีกว่า

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • พิมพ์พาพ์รีวิวซีรีส์เกาหลีสุดฮิต ‘Start up (2020)’ เล่าเรื่องราวการทำตามความฝันคนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง
  • ‘คาดหวัง’ ความรู้สึกที่เลี่ยงได้ยาก แม้รู้ว่าสุดท้ายแล้วคาดหวังไปอาจทำให้ตัวเราเจ็บ อย่างเช่นพ่อของ ‘นัมโดซาน’ ที่คาดหวังให้ลูกชายสร้างธุรกิจสำเร็จ ภาระความกดดันทั้งหมดจึงมาตกอยู่ที่ลูกชาย
  • “ถ้าเราลดความคาดหวังในตัวอีกฝ่ายลง แล้วคิดว่าเราก็มีชีวิตของเรา ลูกก็มีชีวิตของลูก เส้นทางของเราและเค้าไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ อยากจะบอกพ่อจ๋าแม่จ๋าเหมือนที่โดซานพูดว่าเรามาเลิกเป็นความคาดหวังของกันและกัน แล้วมาเป็นแค่ ‘พ่อแม่ลูก’กันดีกว่า”

Tags:

ซีรีส์เกาหลีใต้แบบแผนทางความสัมพันธ์

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Movie
    The Big Bang Theory (2007-2019) อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย เพราะไม่ว่าใครก็สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างมนุษย์ที่มีหัวใจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Blackdog : ซีรีส์ที่บอกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถาบันการศึกษาที่ถูกลืม

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

‘เครื่องล้างหอยนางรม’ นวัตกรรมโดยเด็กเมืองหอยใหญ่ ที่จะทำให้การกินหอยนางรมหรอยอย่างแรงแบบปลอดภัย
Voice of New Gen
8 April 2021

‘เครื่องล้างหอยนางรม’ นวัตกรรมโดยเด็กเมืองหอยใหญ่ ที่จะทำให้การกินหอยนางรมหรอยอย่างแรงแบบปลอดภัย

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • กินหอยนางรมสดอย่างไรให้ปลอดภัย? โจทย์ตั้งต้นที่ แม๊ค – ภานุรุจ นิลรัตน์ นักศึกษาสาขาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีได้รับ
  • ‘เหตุผลที่ทำให้คนกินท้องเสียเพราะแบคทีเรียในหอยที่มาจากการล้างไม่สะอาด’ ข้อค้นพบที่แม๊คเจอและนำมาประดิษฐ์เครื่องมือที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว นั่นคือ Clean Oyster เครื่องล้างหอยนางรม ลดเชื้อเอมบริโอในหอยนางรมสด
  • ความน่าตื่นเต้นไม่ใช่แค่เจ้าเครื่องล้างหอยนางรม แต่เป็นระหว่างทางที่แม๊คสร้างสิ่งประดิษฐ์ คือการทำความเข้าใจปัญหา โดยต้องเปลี่ยนบทบาทจากจากผู้วิจัยไปเป็นผู้ถูกวิจัย จากคนไปเป็นหอย และจากห้องทดลองไปสู่ท้องทะเล

เพราะการที่นวัตกรรมสักชิ้นจะสามารถแก้ปัญหาให้ผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวนวัตกรจำเป็นต้อง “เข้าให้ถึง” ปัญหา จึงจะสามารถออกแบบนวัตกรรมที่มีศักยภาพขึ้นมาได้

นวัตกรส่วนใหญ่จึงมักเก็บเกี่ยวปัญหาใกล้ตัวที่คุ้นชิน มาตั้งเป็นโจทย์ในการริเริ่มทำงาน

สำหรับ ภานุรุจ นิลรัตน์ หรือ แม๊ค นักศึกษาสาขาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี แม้ว่าที่บ้านคุณพ่อจะเป็นตำรวจ และคุณแม่ประกอบอาชีพค้าขาย ซึ่งฟังดูแล้วไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเชื่อมโยงหรือส่งผลให้แม๊คเติบโตมาทางด้านไอทีหรือนวัตกรรมเลย แต่กลายเป็นว่าตัวแม๊คกลับมีความหลงใหลในการงัดแงะแกะประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นฐานให้เขาเติบโตขึ้นมาทางสายนวัตกรโดยไม่รู้ตัว

แม๊ค – ภานุรุจ นิลรัตน์

และประกอบกับที่เป็นเด็กสุราษฎร์ตั้งแต่เกิด ทำให้แม๊คคุ้นชินกับหอยนางรม ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดมาตั้งแต่เด็ก และตัวเขาเองก็ชอบทานหอยนางรมสดเป็นชีวิตจิตใจ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หอยนางรมทำพิษจนเขาต้องนอนแบบไปร่วมสัปดาห์

ประสบการณ์ใกล้ตัวนั้นเองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนและเป็นแรงผลัก ทำให้แม๊คเกิดความตั้งใจที่จะหันหน้าเข้าหาความเป็นนวัตกรอย่างเต็มตัว มุ่งแก้ปัญหาให้ชุมชนด้วยการใช้ความหลงใหลส่วนตัวด้านไอทีมาเป็นทักษะสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม

แล้วแม๊คทำอะไร? และสิ่งที่แม๊คทำจะเชื่อมโยงไปช่วยชุมชนได้อย่างไร? ลองไปฟังแม็คเล่ากันดู…

เชื่อมโยงเรื่องส่วนตัว ไปสู่ประเด็นส่วนรวม

เป็นที่ทราบกันว่า หอยนางรมสดนั้นนอกจากจะอุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายแล้ว มันยังมีแบคทีเรียวิบริโอ วัลนิฟิคัส (Vibrio Vulnificus) ที่สามารถทำให้ผู้ที่ทานเข้าไปเกิดอาการอาหารเป็นพิษ คอและหน้าบวม หายใจไม่ออก หรือบางรายอาจช็อคเสียชีวิตได้ ซึ่งแม๊คเคยเจอมากับตัวเอง

“ปัญหาที่เจอ คือ ผู้รับประทานหอยนางรมสดที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมักจะเกิดอาการท้องร่วงท้องเสีย ส่วนตัวผมก็เคยเป็น พูดได้ว่าเป็นฝันร้ายในการกินหอยนางรมของผมทีเดียว ท้องร่วงเกือบสัปดาห์”

แต่ด้วยความที่ชอบทานหอยนางรมมาก ประกอบกับเมื่อขยายมุมมองออกจากตัวเองไปสู่ชุมชนแล้วพบว่า ปัญหาแบคทีเรียในหอยนางรมไม่ได้สร้างปัญหาให้ตัวแม๊คคนเดียว หากแต่ส่งผลถึงเศรษฐกิจของจังหวัดสุราษฎร์ธานีเลยทีเดียว

“จังหวัดสุราษฎร์ธานีของขึ้นชื่อคือหอยนางรม พอมีข่าวออกมาว่าหอยนางรมสดทานแล้วเป็นแบบนี้ เศรษฐกิจบ้านเราก็ซบเซา ไม่ค่อยมีใครซื้อหอยนางรม เลยนำแนวคิดจากปัญหานี้ไปคุยกับอาจารย์ ว่าเราจะทำอย่างไรให้ชุมชนของเราดี ถ้าเราแก้ปัญหาให้หอยนางรมของเราสด สะอาด ปลอดภัย ปราศจากแบคทีเรีย น่ารับประทานมากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้หอยนางรมของเรา”

ปัจจุบันแม๊คอายุ 21 ปี แน่นอนว่าหอยนางรมมีอยู่มาก่อนที่แม๊คจะลืมตาดูโลก และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่มีแม๊คคนเดียวที่อาหารเป็นพิษจากแบคทีเรียวิบริโอในหอย เมื่อตระหนักว่ามันต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการแบคทีเรียในหอยนางรมอยู่แล้ว แม๊คจึงเริ่มหาคำตอบ โดยการเข้าถึงกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากแบคทีเรียในหอยมากที่สุด นั่นก็คือ แม่ค้าขายหอยนางรม

จากการลงไปขุดคุ้ยหาข้อมูล ทำให้แม๊ครู้ว่าการจะทำให้หอยนางรมปราศจากเชื้อโรค 100% นั้นคือต้องทำให้หอยสุก แต่การทานสุกให้รสสัมผัสที่แตกต่างไปจากการทานสด พ่อค้าแม่ค้าขายหอยจึงใช้องค์ความรู้ดั้งเดิมคือ การล้างด้วยโซดา ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ก่อนจะพบว่าวิธีดังกล่าวเป็นมายาคติ เพราะเมื่อแม๊คนำหอยที่ล้างด้วยโซดากับหอยที่ไม่ได้ล้างอะไรเลยไปตรวจวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน ค่าเชื้อโรคยังคงเท่าเดิม แถมการล้างด้วยโซดายังให้ผลทางลบต่อภาพลักษณ์ของสินค้าด้วย

“การล้างด้วยโซดา แม่ค้าต้องแกะหอยเพื่อแช่น้ำโซดา ทำให้ความเป็นกรดของหอยลดลง แต่ผลที่ตามมาก็คือหอยที่ผ่านการแกะแช่จะมีสีขุ่นและมีกลิ่นที่เปลี่ยนไป แต่ถ้าเป็นหอยสดที่ไม่ผ่านการแช่ สีจะขาวนวล ผู้บริโภคก็เลือกที่จะไม่ซื้อหอยแกะ”

การใช้องค์ความรู้ดั้งเดิมจึงมีอันตกไป แต่ไฟของแม๊คยังไม่หมด เขาเกิดความคิดว่าในเมื่อกระบวนการแบบเดิมใช้ไม่ได้จริง เขาก็ควรจะต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแทนที่ โดยเชื่อมโยงตัวเองไปสู่ประเด็นปัญหา ใช้ศักยภาพที่มีอยู่อย่างทักษะทางช่างอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเครื่องล้างหอยนางรมขึ้นมา

“ผมมาเรียนด้านนี้เพราะส่วนตัวสนใจเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อยู่แล้ว ตอนเด็กๆ ชอบงัดแงะแกะซ่อม ตั้งแต่ ป.5 ป.6 ได้คอมพิวเตอร์มาใหม่ ซื้อลำโพงมาตัวหนึ่งเพราะอยากฟังเพลงดังๆ แต่สงสัยทำไมไม่ดังสะใจ เลยลองแกะดีไอวายเอง เอาลำโพง 2 – 3 ตัวมาต่อพ่วง สรุปโหลดเกินพังทั้งชุด (หัวเราะ) แต่ก็ยังไม่หยุด ด้วยความเป็นคนขี้สงสัย ก็ยังรื้อต่อไปด้วยความสงสัยว่าทำไมแกะแล้วพัง เลยเลือกมาเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อจะได้ซ่อมสิ่งต่างๆ ได้”

ทำอย่างไรให้หอยอ้าปาก?

ธรรมชาติของหอยนางรมนั้นอยู่ได้ด้วยการอ้าปากดูดน้ำกินแพลงตอนและออกซิเจนที่อยู่ในน้ำเพื่อดำรงชีวิต ก่อนจะปล่อยน้ำทิ้งออกไปจากตัว คุณสมบัติของหอยนางรมในมุมหนึ่งจึงไม่ต่างอะไรกับเครื่องกรองน้ำ ที่คอยกรองสารแขวนลอยต่างๆ รวมไปถึงเศษหินเศษดินและเชื้อโรคต่างๆ ที่อยู่ในน้ำ เข้าไปกักเก็บไว้ในตัวเอง

โจทย์ในการล้างหอยนางรม จึงอยู่ที่การทำให้หอยอ้าปาก ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถทำความสะอาดชะล้างแบคทีเรียและเศษดินเศษหินในตัวหอยได้

“จะทำอย่างไรให้หอยนางรมยังคงสดแต่ปราศจากเชื้อโรค พวกเราจึงไปหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับธรรมชาติของหอยนางรมจากผู้เลี้ยงหอยซึ่งจะมีความรู้และประสบการณ์เรื่องหอยมากกว่าพ่อค้าแม่ค้า ได้ไปพูดคุยและหาข้อมูลแล้วเกิดความคิดปิ๊งขึ้นมาว่า จะล้างอย่างไรก็ได้ให้หอยมันอ้าปาก เพื่อที่จะให้มันคายเศษดินเศษหิน รวมทั้งพวกเมือกพวกเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะของหอยออกมาให้หมดด้วย”

แต่ประเด็นก็คือ เครื่องล้างหอยนางรมเวอร์ชันแรกที่แม๊คและทีมพัฒนาขึ้น และนำไปทดลองกับผู้ใช้โดยตรงนั้น ไม่สามารถทำให้หอยอ้าปากได้ทุกตัว

กระบวนการจึงต้องย้อนกลับมาสู่การค้นคว้าหาคำตอบ ผ่านการแสวงหาข้อมูลความรู้และการทดลอง ซึ่งแม๊คบอกว่าเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความอดทนและเวลานานที่สุดในการพัฒนาเครื่อง

การทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านไป แม๊คและทีมต้องพบกับความล้มเหลวหลายครั้ง เพราะมุ่งหาคำตอบในฐานะคนนอก จนกระทั่งแม๊คเริ่มปรับมุมมองใหม่ ลองเปลี่ยนสถานะจากผู้วิจัยไปเป็นผู้ถูกวิจัย จากคนไปเป็นหอย และจากห้องทดลองไปสู่ท้องทะเล

“การทดลองว่าทำอย่างไรให้หอยอ้าปาก วิธีแรกเราใช้ปั๊มน้ำเจาะถังแล้วฉีดที่ตัวหอย ปรากฏมันไม่อ้าปากเลย เหมือนแค่มีสิ่งรบกวนรอบๆ ตัวหอยเฉยๆ วิธีที่สองผมทดลองทำเป็นสเปรย์ฝอยฉีดบนผิวน้ำ ก็ไม่อ้าปากเหมือนเดิม ทีนี้ตอนอยู่ในทะเลหอยมันอ้าปาก ผมจึงไปค้นคว้าว่าในทะเลมีอะไรบ้าง ไปเจอบทความหนึ่งเกี่ยวกับคลื่นน้ำว่ามีความสำคัญช่วยให้หอยจับแพลงตอนกินได้ จึงมาดัดแปลงเครื่องล้างหอยของเราให้มีตัวทำน้ำวนเพื่อสร้างน้ำวนใต้น้ำ ปรากฏว่าหอยอ้าปากและสามารถคายเศษดินเศษสกปรกออกมาได้ ส่วนพวกเศษดินเศษสกปรกก็จะถูกระบบทำน้ำวนดูดออกไปยังถังกรองด้านล่าง ซึ่งวิธีนี้ได้ผลดีที่สุด”

และไม่ใช่เพียงรูปแบบการเคลื่อนที่ของน้ำที่ใช้ล้างเท่านั้นที่เป็นปัจจัยทำให้หอยอ้าปาก ทว่าคุณสมบัติของน้ำก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่แม๊คและทีมต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลอยู่นาน กว่าจะได้คำตอบ ซึ่งขอบเขตการค้นคว้าของพวกเขานั้น ขยายไปถึงการอ่านงานวิจัยต่างประเทศเลยทีเดียว

“พวกผมไปเจอบทความหนึ่งที่ว่า ค่า PH25 ของหอยนางรมเป็นค่าหลักที่ทำให้หอยนางรมอ้าปาก คือตอนแรกเครื่องของเราใช้น้ำเปล่าหรือน้ำประปาผสมกับเกลือในการล้าง ซึ่งหอยนางรมไม่อ้าปากเพราะค่าความเค็มไม่ถึงค่า PH ของมัน เราจึงแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนมาใช้น้ำทะเลที่สำรองกันไว้ในที่ต่างๆ เช่น ในบ่อกุ้ง หรือน้ำทะเลของกรมประมง สรุปคือเราต้องใช้น้ำทะเลที่มีค่ามาตรฐานอยู่ที่ PH25-30 หอยจะอ้าปากทุกตัว”

นั่นคือองค์ความรู้ที่แม๊คและทีมค้นพบ ที่ทำให้เครื่องล้างหอยนางรมของพวกเขามีประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ทว่าโจทย์ที่พวกเขาต้องแก้ก็ยังไม่หมดไป…

ความถนัดไม่พอ ต้องต่อยอดทักษะอื่น

การประดิษฐ์เครื่องล้างหอยนางรมของแม๊คกับเพื่อนนั้น ใช้ฐานคิดในการทำงานแบบ PDCA (วงจรการบริหารงานคุณภาพ ย่อมาจาก Plan (วางแผน), Do (ปฏิบัติ), Check (ตรวจสอบ) และ Act (การดำเนินการให้เหมาะสม) ซึ่งวงจร PDCA สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกๆ เรื่อง) ที่มีสอนอยู่ในหลักสูตรอยู่แล้ว ทำให้พวกเขารู้ว่าก่อนที่จะประดิษฐ์อะไรขึ้นมาสักชิ้น มันควรเริ่มจากอะไร?

“ก่อนจะประดิษฐ์อะไร เราต้องหาข้อมูลให้ครบ เพราะถ้าเราลงทุนไปแล้วเกิดไม่สำเร็จ ทุนก้อนนั้นจะหายไปเลย ผมจึงเริ่มต้นจากไปคุยกับพ่อค้าแม่ค้าว่า ถ้าพวกผมจะผลิตเครื่องล้างหอยนางรม พวกเขามีความต้องการอย่างไรบ้าง เขาก็บอกว่าขอเป็นเครื่องที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก และด้วยพ่อค้าแม่ค้าก็จะไม่ถนัดด้านเทคโนโลยีนัก เราจะทำเครื่องที่เทคโนโลยีสูงนักก็ไม่ได้ เลยออกแบบเครื่องล้างหอยเป็นแนวรถเข็นไอศกรีมเพื่อให้เคลื่อนย้ายได้สะดวก และให้มีการใช้งานโดยการกดเพียงปุ่มสวิตช์เดียวเครื่องก็จะทำงานไปเรื่อยๆ คือ เรารวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาออกแบบเครื่องให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด”

Clean Oyster เครื่องล้างหอยนางรม ลดเชื้อเอมบริโอในหอยนางรมสด

นั่นคือที่มาของผลงาน Clean Oyster เครื่องล้างหอยนางรม ลดเชื้อเอมบริโอในหอยนางรมสด ที่แม๊คและทีมประดิษฐ์ขึ้น และส่งผลงานเข้าร่วมในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 7

จริงอยู่ว่าการใช้ทักษะความสามารถของตนเองเป็นฐานในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์จะเป็นแนวทางที่ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมได้มากที่สุด ทว่าในโลกแห่งความจริงที่ทุกสิ่งเชื่อมร้อยโยงใยกันเป็นสหวิทยาการ องค์ความรู้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจไม่เพียงพอต่อการประดิษฐ์นวัตกรรมที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการส่วนตัว ความต้องการของผู้ใช้ สภาพความเป็นจริง และปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจได้

กล่าวคือการพัฒนาเครื่องล้างหอยนางรมนี้ แม๊คและเพื่อนร่วมทีมไม่สามารถใช้ทักษะความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ได้เพียงอย่างเดียว แต่สถานการณ์บีบบังคับให้พวกเขาต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้และฝึกปรือทักษะด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อให้ผลงานไปถึงเป้าหมาย

“ความรู้ที่มีอยู่ในตัวอยู่แล้วคือ เรื่องวงจรควบคุม การทำงานของเครื่อง การประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมคือ งานเหล็ก งานเชื่อมสเตนเลสแต่ละแบบ คือตอนแรกเราใช้โครงสร้างเหล็ก ก็พบปัญหาเป็นสนิม จึงต้องเปลี่ยนโครงสร้างใหม่เป็นสเตนเลสทั้งหมดเพื่อให้ใช้งานได้นานขึ้น เราก็ไปหาข้อมูลว่าเหล็กอะไรที่มีความทนทานสูง ก็ได้ว่าเป็นสเตนเลส แม้จะราคาสูงกว่าเหล็ก แต่เมื่อเทียบกับไทเทเนียมที่ราคาสูงกว่ามากซึ่งผู้ใช้รับราคาไม่ได้ จึงเลือกเป็นสแตนเลส”

เข้าให้ถึงทุกซอกเร้นของประเด็นปัญหา

เพราะขอบเขตของการพัฒนาเครื่องล้างหอยนางรมถูกวางเอาไว้เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนไว้แต่ต้น ดังนั้น การพัฒนาจนเครื่องมีประสิทธิภาพ สามารถทำให้หอยอ้าปากและล้างได้หมดทุกตัว จึงยังไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ดังกล่าวได้

เพราะในมิติของการพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ มีอีกหลายด่านที่แม๊คและเพื่อนต้องจัดการปิดช่องโหว่ ทั้งการเปลี่ยนวัสดุถังกรองและถังล้าง ที่เริ่มต้นจากการใช้พลาสติก แต่เมื่อถูกน้ำเค็มไปนานๆ ก็เริ่มกรอบแตก แม๊คและทีมจึงต้องมองหาวัสดุใหม่ ภายใต้โจทย์ที่ว่า ต้องทนต่อน้ำเค็ม ก่อนจะฉุกคิดถึงเรือไฟเบอร์ของชาวประมง และนำไอเดียมาผลิตถังกรองและถังล้างจากไฟเบอร์ ซึ่งมีความทนทานและใช้งานได้ดี

ทั้งเรื่องการการันตีความสะอาดปลอดเชื้อของหอยนางรมที่ผ่านเครื่องล้าง แม๊คและทีมก็ได้ส่งตัวอย่างหอยนางรมที่ผ่านการล้างด้วยเครื่อง ไปทดสอบที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และได้ข้อสรุปว่าต้องใช้เวลาล้างนาน 4 ชั่วโมงจึงจะล้างแบคทีเรียออกได้ดีที่สุด พร้อมทั้งได้การการันตีว่า ผู้บริโภคสามารถรับประทานหอยนางรมสดได้โดยไม่เป็นอันตราย

แต่ที่น่าประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นความละเอียดในการเข้าถึงผู้ใช้ ด้วยการมองหาโซลูชั่นสำหรับแม่ค้าขายหอย ว่าถ้าหากแม่ค้าไม่สามารถหาน้ำทะเลมาใช้ในการล้างหอยได้ แล้วจะทำอย่างไร?

“เราทดลองเรื่องน้ำที่ใช้ล้าง โดยลองใช้น้ำผสมเกลือล้างดู ก็ได้ค่าแบคทีเรียเท่าเดิม ใช้น้ำทะเลก็ล้างออกบ้างแต่ไม่หมด เพราะน้ำทะเลแต่ละแหล่งค่าความเค็มไม่ได้มาตรฐานเท่ากัน สุดท้ายทดลองใช้น้ำเปล่าผสมเกลือสมุทรที่ไม่ใส่ไอโอดีน ซึ่งทำให้หอยอ้าปากได้เหมือนกัน ที่ทดลองตรงนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาให้ผู้ใช้ที่ไม่มีน้ำทะเลหรือบ้านอยู่ไกลทะเล ก็สามารถใช้น้ำประปาผสมเกลือสมุทรมาใส่ทดแทนได้”

จะเห็นได้ว่าแต่ละขั้นตอนของการพัฒนาผลงาน ตั้งแต่ Plan-Do-Check-Act คือความทุ่มเทตั้งใจในการแก้โจทย์ไปทีละเปลาะ บนฐานของการมองให้ลึกถึงแก่นปัญหา และมองให้กว้างถึงขอบเขตของการแก้ปัญหา เรียกได้ว่าแม๊คและทีมพยายามอย่างยิ่งที่จะ “เข้าให้ถึง” ทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้อง ทั้งความต้องการของผู้ใช้ ธรรมชาติของหอยนางรม และตัวชิ้นงาน

เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้…

“ด้วยนิสัยเป็นคนอยากค้นหา ถ้าอยากรู้อะไรจะหาคำตอบให้ได้โดยหาให้ตรงจุด เมื่อเราพบปัญหาอะไรก็ค้นคว้าก็สอบถาม เมื่อได้คำตอบก็เอามาทดลองทำ ถ้าไม่สำเร็จก็ไปค้นคว้าต่อ ถ้าสำเร็จก็ดีใจเพราะถือว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จเราเพิ่มขึ้น การทดลองซ้ำไปซ้ำมาก็อาจทำให้เบื่อบ้าง แต่เราตั้งใจทำแล้วต้องทำให้ประสบความสำเร็จให้ได้ นี่คือส่วนตัวของผม”

ถึงวันนี้ เครื่องล้างหอยนางรม Clean Oyster อาจยังเป็นเพียงตัวต้นแบบ แต่ด้วยความตั้งใจแรกที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงของแม๊ค ว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจชุมชนดีขึ้นให้ได้ ก็ทำให้เชื่อได้ว่า สักวันผลงานชิ้นนี้จะต้องถูกผลักดันสู่เชิงพาณิชย์ได้เป็นผลสำเร็จ

และเมื่อนั้น ผู้บริโภคก็จะได้กินหอยอย่างหรอยแรงกันถ้วนหน้า…

“สุดท้ายเราต้องเข้าสู่เชิงพาณิชย์ให้ได้ อยากให้ได้ขายถึงมือพ่อค้าแม่ค้าหอยนางรม เพราะเครื่องนี้สามารถเพิ่มมูลค่าหอยได้ 10-15 บาทต่อตัว และหวังว่าจะเป็นส่วนช่วยให้เศรษฐกิจบ้านเรากลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง ธุรกิจค้าขายหอยนางรมน่าจะดีขึ้น ผู้บริโภคก็เกิดความมั่นใจว่าได้รับประทานหอยนางรมที่สดสะอาดปลอดภัยแน่นอน”

Tags:

นวัตกรอาหารสิ่งแวดล้อมGeneration of Innovator

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    Project-based learning กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้อวกาศไม่ไกลเกินเอื้อม ของ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    4 เคล็ดลับสู่การเริ่มต้นเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยี : ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์มณฑลี เนื้อทอง

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Tuber Teacher ครูนักเล่าเรื่อง : เวิร์กชอปที่จะเปลี่ยนให้คุณครูกลายเป็นยูทูบเบอร์
8 April 2021

Tuber Teacher ครูนักเล่าเรื่อง : เวิร์กชอปที่จะเปลี่ยนให้คุณครูกลายเป็นยูทูบเบอร์

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ในวันที่ทุกคนต่างลุกขึ้นมาเป็นยูทูบเบอร์ นักสร้างคอนเทนต์ เพื่อขายของที่ตัวเองมี ‘ครู’ ก็เป็นคนหนึ่งที่มีของและต้องการขาย
  • หลักสูตร Tuber Teacher ครูนักเล่าเรื่อง Workshop ครั้งที่ 3 : ลำดับภาพอย่างไรให้เป็นเรื่อง โดย บริษัท บางกอกบุรี ครีเอทีฟเฮ้าส์ จำกัด และมูลนิธิสยามกัมมาจล เวิร์กชอปที่จะเปลี่ยนคุณครูให้กลายเป็นนักสร้างวีดีโอคอนเทนต์
  • บทความชิ้นนี้จะเล่าเนื้อหาการสอนตั้งแต่เทคนิคการตัดต่อ การเปลี่ยนภาพ และการลำดับภาพ ใส่ดนตรีประกอบ

ขณะที่นั่งสไลด์จอหาคลิปดูในยูทูบ เราก็พบอัตราการเกิดใหม่ของประชากรยูทูบเบอร์ประมาณ 10 ล้านคน นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนเราก็ค้นพบว่าทุกคนต่างมีของที่อยากโชว์ให้ทุกคนดู และการทำคอนเทนต์เช่นวีดีโอก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป เพียงมีอุปกรณ์ที่อัดคลิปได้ ประเด็นเจ๋งๆ ชวนคนดู และการตัดต่อ เท่านี้ท่านก็สามารถเป็นนักสร้างคอนเทนต์ผ่านวีดีโอได้แล้ว 

พากิน ท่องเที่ยว ชอปปิง แต่งหน้า เปิดบ้าน และอีกสารพัดคอนเทนต์ที่กำลังฮอตฮิตในช่วงนี้ 

สิ่งที่อารัมภบทข้างต้นทำให้เราพาตัวเองมานั่งซิทอินในเวิร์กชอปที่จัดไกลถึงจังหวัดศรีสะเกษ Workshop ครั้งที่ 3 : ลำดับภาพอย่างไรให้เป็นเรื่อง ในหลักสูตร Tuber Teacher ครูนักเล่าเรื่อง โดย บริษัท บางกอกบุรี ครีเอทีฟเฮ้าส์ จำกัด และมูลนิธิสยามกัมมาจล เมื่อวันที่ 29 – 30 มีนาคม อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าทุกคนมีของที่อยากออกมาโชว์ ‘ครู’ ก็เป็นอีกคนที่มีของเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอน การทำกิจกรรม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เกิดเวิร์กชอปครั้งนี้ ก็เพื่อติดตั้งเครื่องมือให้เหล่าคุณครูได้ปล่อยของ

The Art of Editing

เริ่มเซกชันแรกด้วยการเกริ่นถึงความสำคัญของการตัดต่อ ไม่ว่าคลิปที่ถ่ายมาจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเจอการตัดต่อที่ไม่เข้าหรือเปลี่ยนสารที่คลิปนั้นต้องการสื่อ ก็อาจจะกลายเป็นการทำคอนเทนต์ที่ล้มเหลว ซึ่งการตัดต่อ (cutting) ก็คือการเอาคลิปหลายๆ คลิปมาชนกันเพื่อให้ออกมาเป็นหนึ่งสารที่คนทำต้องการสื่อออกไป เราสามารถแบ่งประเภทการตัดต่อได้ประมาณ 7 ประเภท ได้แก่

  • Cutting on action เป็นการตัดต่อขั้นพื้นฐาน เอาคลิปที่มีมาต่อกัน ไม่ต้องใส่เอฟเฟกต์ที่ซับซ้อน แต่ละคลิปที่นำมาใช้อาจมีขนาด หรือมุมกล้องที่แตกต่างกัน เหมาะกับการเล่าเรื่องที่ไม่ซับซ้อน เดินเป็นเส้นตรงเส้นเดียว
  • Cutaway การตัดต่อโดยมีคลิปหลักและมีคลิปที่เข้ามาแทรก
  • Cross cutting การตัดต่อโดยใช้เหตุการณ์มากกว่า 2 เหตุการณ์มาตัดสลับกัน ให้ความรู้สึกดำเนินเรื่องแบบเส้นขนาน เช่น คลิปหนึ่งนักเรียนกำลังเล่นอย่างมีความสุข ตัดสลับมาที่อีกคลิปผู้อำนวยการโรงเรียนกับครูกำลังประชุมอย่างเคร่งเครียด คลิปที่ใช้ควรไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นจุดเชื่อมว่าเหตุการณ์เหล่านี้สัมพันธ์กัน เช่น โทนสี อารมณ์ของตัวละคร
  • Jump cut การตัดคลิปหนึ่งให้กระชับเพื่อย่นระยะเวลา แม้เนื้อเรื่องอาจจะดูกระโดด แต่องค์ประกอบยังคงเหมือนเดิม เพื่อสื่อสารให้เห็นความไม่ปกติของเนื้อเรื่อง ณ ขณะนั้น หรือเพื่อกระชับเวลา
  • Match cut จับคู่คลิปที่มีการกระทำ (action) คล้ายกัน ให้คนดูรู้สึกเชื่อมโยงไปด้วยกัน เช่น คลิปคนกำลังดื่มน้ำคู่กับคลิปคนกำลังเทน้ำ 
  • Montage cutting การตัดต่อแบบประมวลภาพรวมทั้งหมด เน้นสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของเรื่อง โดยอาจจะมีดนตรีประกอบ เช่น การทำทีเซอร์ (teaser) ตัวอย่าง (trailer)
  • Flashback การตัดต่อมีพาร์ทที่เล่าย้อนอดีต

Creative transition การเปลี่ยนภาพ

คราวนี้ลงลึกกับเทคนิคการตัดต่อ คือ การเปลี่ยนภาพ ซึ่งเทคนิคการเปลี่ยนภาพที่ดีจะมีส่วนช่วยทำให้คนเข้าในเนื้อหา ลงลึกไปกับคลิปเรา และที่สำคัญเป็นส่วนทำให้คนจดจำคลิปเราได้ด้วย เทคนิคการเปลี่ยนภาพก็มีหลากหลาย ที่นำมาสอนในเวิร์กชอปนี้มีด้วยกัน 4 แบบ

  • Fade การเปลี่ยนภาพจากภาพหนึ่งไปอีกภาพหนึ่ง โดยที่ภาพแรกจะค่อยๆ มืดและสว่างปรากฎเป็นอีกภาพ หรือจากภาพที่สว่างไปเป็นมืดปรากฎเป็นอีกภาพแทน ส่วนใหญ่ใช้กับตอนต้นหรือตอนจบเรื่อง
  • Dissolve การซ้อนภาพ ภาพจะค่อยๆ เปลี่ยนจากภาพหนึ่งไปอีกภาพโดยมีภาพนั้นซ้อนอยู่ เพื่อให้ความรู้สึกลื่นไหลขณะที่เปลี่ยน ไม่มีสะดุด 
  • Wipe การปาดภาพ เป็นเทคนิคดังเดิม สมัยที่เริ่มมีการใช้เอฟเฟกต์ในการเปลี่ยนภาพ ตัวอย่างเช่น ภาพยนต์ชุด star wars ที่จะมีลูกเล่นการเปลี่ยนภาพ เช่น ปาดภาพหรือหมุนแบบนาฬิกา ให้ความรู้สึกไม่สมจริง เน้นความสนุก 
  • B-roll อาศัยเทคนิคตอนถ่ายทำ คือ ใช้กล้องและอุปกรณ์เสริม เช่น ไม้กันสั่น เพื่อทำให้ให้ได้คลิปที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ภาพจะแปลกและสวย

Creative pacing & rhythm จังหวะการลำดับภาพ

เมื่อเตรียมวัตถุดิบเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การปรุง ‘การลำดับเรื่อง’ เป็นการใช้ศาสตร์ของความมีเหตุมีผลในการเลือกใช้สิ่งที่กล่าวไปข้างต้น (เทคนิคการตัดต่อ การเปลี่ยนภาพ) บาลานซ์กับความเป็นศิลปะ อารมณ์และความรู้สึก 

เริ่มกันที่จังหวะคลิป แน่นอนว่าคลิปๆ หนึ่งคงไม่ได้มีจังหวะการดำเนินเรื่องเพียงจังหวะเดียว เป็นงานที่อาศัยทั้งความเป็นเหตุเป็นผลและศิลปะ เช่น ต้องมีช่วงที่ทิ้งให้คนดูได้ตั้งหลักคิด หรือปลุกเร้าอารมณ์คนดูไปพร้อมๆ กับเนื้อเรื่อง

สังเกตไหมว่าเวลาที่เราดูภาพยนตร์สักเรื่อง หรือละครสักตอน ทำไมเรื่องนี้รู้สึกดูง่าย ทั้งๆ ที่เนื้อหาเข้าใจยาก กลับกันบางเรื่องพล็อตธรรมดา แต่ดูได้ไม่เท่าไรต้องกดปิดเพราะงง ไม่เข้าใจ เวลาที่เราดูภาพยนตร์แล้วรู้สึกง่าย ส่วนหนึ่งก็เพราะจังหวะการลำดับภาพ

เสียงเป็นอีกวัตถุดิบสำคัญที่จะช่วยบิลด์อารมณ์ให้คนดูรู้สึกอิน เข้าใจคลิปเรามากขึ้น เพราะดนตรีเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อจินตนาการของมนุษย์ การเลือกใช้ดนตรีประกอบงานของเรา ก็เหมือนกับการแต่งตัวว่าวันนี้เราอยากออกมาในลุคไหน เปรี้ยวซ่าหรือหวานเจี๊ยบ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปที่ไหน เป็นงานอะไร เช่น ไปทำงาน ไปงานแต่ง งานศพ เป็นต้น

ไม่มีกฎตายตัวว่างานคลิปแบบนี้ ต้องเลือกใช้เพลงแบบไหน มีเพียงข้อแนะนำหลักๆ คือ ให้คำนึงถึงอารมณ์ สารที่เราต้องการส่งไป แต่ต้องโน้ตไว้เล็กๆ ว่าการรับสารของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับชุดประสบการณ์เดิมที่คนๆ นั้น เช่น เปิดเสียงดนตรีที่ได้จากเปียโนผสมไวโอลิน บรรเลงช้าๆ ฟีดแบ็กของคนที่ฟังอาจจะไม่เหมือนกัน คนหนึ่งฟังแล้วนึกถึงคู่รักที่กำลังใช้เวลาร่วมกัน บางคนฟังแล้วรู้สึกเศร้าเหมือนกำลังสูญเสียบางอย่าง 

การเปิดเรื่อง ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนสร้าง เน้นว่าต้องเป็นจุดเปิดที่สามารถตีหัวเรียกคนดูได้ เช่น ใช้ปัญหานำ สร้างความน่าสนใจ ดึงจุดร่วมให้คนดูรู้สึกว่า ‘ฉันก็มีปัญหาแบบเธอ’ เพื่อทำให้เขาอยากดูต่อ แต่ไม่ควรเน้นดราม่าหรือปัญหาแต่อย่างเดียว ควรมีมุมสร้างพลังบวก (positive thinking) เช่น ให้เครื่องมือ นำเสนอทางออกให้คนดู

วิธีเล่าเรื่อง หลักๆ จะแบ่งได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ หนึ่ง – ใช้การสัมภาษณ์คนเป็นตัวเดินเรื่อง และสอง – มีผู้บรรยายหลักเล่าประกอบทั้งคลิป ซึ่งแบบหลังต้องมีการเขียนบท รวมถึงวิเคราะห์ว่าควรใช้น้ำเสียง โทนการเล่าอย่างไรให้เข้ากับเรื่อง นอกจากนี้ถ้ารู้สึกว่าเนื้อหาในคลิปเยอะและดูท่าจะเข้าใจยาก การใส่ copy ไฮไลท์คำพูดสำคัญๆ จะช่วยให้คนดูเข้าใจประเด็นที่เราต้องการสื่อสารมากขึ้น

หัวใจของคลิป คือ เนื้อหา

เมื่อเรียนเนื้อหาจบแล้ว ก็เข้าสู่พาร์ทลงมือทำ ซึ่งโจทย์ที่ผู้ร่วมเวิร์กชอปได้รับ คือ ให้ทำคลิปนำเสนอโรงเรียนของตัวเอง โดยใช้ฟุตเทจที่ตัวเองมีสร้างสรรค์คลิปออกมา ซึ่งข้อแนะนำที่พวกเขาได้รับ คือ ต้องใส่ใจทำคลิปตั้งแต่การวางเนื้อเรื่อง (storyboard) จะเป็นตัวไกด์ไลน์ว่าคลิปของเราควรเดินไปทางไหน เทคนิคอาจเป็นเพียงเครื่องเคียง หัวใจสำคัญอยู่ที่สารของเรา

การทำคลิปที่แนะนำโรงเรียน อันดับแรกควรหาข้อมูลก่อน อาจจะด้วยการลงพื้นที่ สัมภาษณ์คนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อมูลคร่าวๆ พอที่จะรู้ว่าเราควรตั้งต้นด้วยประเด็นใด ก่อนจะออกแบบการถ่ายทำและมาสู่ขั้นตอนการตัดต่อ ซึ่งคลิปที่แต่ละคนนำเสนอส่วนใหญ่ประเด็นหลักที่เล่าจะเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ เช่น BBL (Brain Based Learning การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง)

รอยยิ้มจากเหล่าคุณครูคงพอเป็นเครื่องมือที่การันตีได้ว่า พวกเขารู้สนุกกับการเรียนรู้ครั้งนี้ บางทีหลังจบงานครั้งนี้เราอาจได้เห็นยูทูปเบอร์สายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างคุณครู

Tags:

ครูโรงเรียนการตัดต่อวิดีโอ

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Creative learning
    พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • หน้าตาของความกลัวในรั้วโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    คู่มือเลี้ยงเด็กในศตวรรษที่ 21 จะปรับตัวอย่างไรให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รอด!

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

พ่อแม่ควรเตรียมอาหารให้ลูกอย่างไร เมื่ออาหารและโภชนาการเด็กวัยเรียน ไม่ได้อยู่แค่ที่โรงเรียน
Social Issues
7 April 2021

พ่อแม่ควรเตรียมอาหารให้ลูกอย่างไร เมื่ออาหารและโภชนาการเด็กวัยเรียน ไม่ได้อยู่แค่ที่โรงเรียน

เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้เพราะว่าเด็กไทยมักจะได้รับอาหารที่มีสารอาหารไม่พอ เด็กไทยขาดโปรตีน ขาดไอโอดีน ธาตุเหล็ก ทั้งหมดนี้จะไปผูกโยงกับการพัฒนา IQ และสติปัญญา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามเด็กไทยได้อาหารจนล้นเกิน ได้ไขมันเยอะ ได้แป้งมาก ได้น้ำตาลมาก หวานจัดเค็มจัดเยอะ กินผักผลไม้น้อย ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • “การได้รับอาหารของเด็กไม่เพียงพอ” มาจากสามด้าน หนึ่ง – พ่อแม่ขาดความรู้และทักษะในการให้อาหารลูกที่บ้าน สอง – การขาดการจัดการที่ถูกหลักและเอาใจใส่จากที่โรงเรียน และสภาพแวดล้อมรอบโรงเรียน ชุมชน และสาม – พฤติกรรมการกินของตัวเด็ก ซึ่งต้องแก้ทั้งสามด้านไปพร้อมกัน
  • อาหารกลางวันโรงเรียนนั้นเป็นเพียง 5 ใน 21 มื้อ ของชีวิตพวกเขาในหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น อาหารเช้า อาหารเย็น วันเสาร์อาทิตย์ และปิดเทอม อยู่ในมือผู้ปกครอง
  • “เด็กกินหวานมันเค็มจัด กินผักผลไม้น้อย เป็นพฤติกรรมปัญหาอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็ก แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่ความผิดของเด็ก จะมาโทษเด็กไม่ได้ เด็กเขาพร้อมที่จะรับสิ่งดีๆ เข้าสู่ตัวเอง แต่พ่อแม่ไม่ได้รับการฝึก เด็กก็เลยเป็นแพะรับบาปไปโดยปริยาย”
  • ลูกไม่กินผักไม่ใช่เป็นเพราะกรรมพันธุ์ แต่เป็นเพราะสิ่งแวดล้อม เพราะเขาไม่ได้ถูกฝึก สิ่งนี้แก้ได้ถ้าคุณฝึกลูกตั้งแต่เด็ก
ภาพ ปริสุทธิ์

“เด็กวัยเรียน เป็นวัยที่ต้องการการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา (IQ) และอารมณ์ (EQ) การเจริญเติบโตมันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติแต่ต้องเกิดจากการเลี้ยงดู การให้อาหารที่ถูกต้อง มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าเด็กที่ได้รับอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการครบถ้วน จะมีสติปัญญา IQ การพัฒนาร่างกาย ความสูง รูปร่าง ภาวะโภชนาการจะปกติกว่าเด็กที่ได้รับอาหารที่ไม่ครบ” ดร.สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการด้านโภชนาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และที่ปรึกษา กรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข กล่าวถึงความสำคัญของอาหารและโภชนาการที่มีต่อเด็กวัยเรียน และสาเหตุที่ The Potential เชิญอาจารย์สง่ามานั่งพูดคุยกันในวันนี้

ดร.สง่า ดามาพงษ์

ต้นไม้จะเติบโตได้อย่างไรหากขาดน้ำและแดด เช่นกันกับพัฒนาการของเด็กวัยเรียน สมองจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรหากท้องไม่อิ่ม อาหารที่ถูกหลักโภชนาการและปริมาณที่ครบสามมื้อ จึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก ผู้ปกครองและผู้ใหญ่อาจฝากความหวังไว้ที่โรงเรียน (ไม่นับข่าวปัญหากลางวันโรงเรียนที่เราได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ) ทว่าเด็กต้องการอาหารสามมื้อตลอดเจ็ดวันต่อสัปดาห์ อาหารกลางวันโรงเรียนนั้นเป็นเพียง 5 ใน 21 มื้อ ของชีวิตพวกเขาในหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น มื้อเช้า มื้อเย็น วันเสาร์อาทิตย์ และปิดเทอม มื้อที่เหลืออยู่ในมือผู้ปกครอง สถานการณ์โภชนาการเด็กไทยวันนี้เป็นอย่างไร แล้วผู้ปกครองจะมีส่วนร่วมในการจัดสรรมื้ออาหารที่ถูกหลักโภชนาการให้ลูกๆ ได้อย่างไร รวมไปถึงคำถามยอดฮิตอย่าง อยู่คอนโดไม่มีครัวไม่มีเวลาเตรียมอาหารควรทำอย่างไร และลูกไม่กินผักทำอย่างไรดี เราหาคำตอบมาให้แล้วในย่อหน้าถัดไป

ปัญหาโภชนาการของเด็กๆ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้เพราะว่าเด็กไทยมักจะได้รับอาหารที่มีสารอาหารไม่พอ เด็กไทยขาดโปรตีน ขาดไอโอดีน ธาตุเหล็ก ทั้งหมดนี้จะไปผูกโยงกับการพัฒนา IQ และสติปัญญา ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามเด็กไทยได้อาหารจนล้นเกิน ได้ไขมันเยอะ ได้แป้งมาก ได้น้ำตาลมาก หวานจัดเค็มจัดเยอะ กินผักผลไม้น้อย ปัญหาสองอย่างนี้เกิดขึ้นกับเด็กวัยเรียน ถ้าเด็กกินแบบนี้บ่อยๆ จะมีผลกระทบแน่นอน ประการแรกคือการเจริญเติบโต สูงไม่ทันเพื่อน ตัวเตี้ย ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เจ็บป่วยบ่อยเป็นหวัดบ่อย ลาเรียนบ่อย ผลกระทบที่เห็นชัดเจนคือผลการเรียน เด็กที่ได้รับสารอาหารไม่สมดุล จะมีประสิทธิภาพการเรียนด้อยกว่าเด็กที่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ สิ่งนี้ชัดเจนมาก

ประการที่สอง ถามว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เกิดจากการเลี้ยงดู ที่ให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ คำว่า ”การได้รับอาหารของเด็กไม่เพียงพอ” มาจากสามด้าน ด้านที่ 1 – พ่อแม่ที่เป็นคนคอยดูแลลูกขาดความรู้ทักษะในการให้อาหารลูกขณะที่ลูกอยู่บ้าน ทั้งวันเสาร์อาทิตย์ ทั้งช่วงปิดเทอม ด้านที่ 2 – โรงเรียน หลักการจัดการอาหารโรงเรียนให้เด็กกิน นม น้ำดื่ม ขนม วิธีที่ปฏิบัติกันอยู่ถูกต้องไหม ด้านที่ 3 – ตัวเด็กเอง 3 ด้านนี้เป็นอิทธิพลต่อการกินอาหารของเด็ก

ดังนั้นการที่เราจะแก้ไขปัญหา ไม่ใช้แก้ที่ด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว เราจะต้องแก้ไขให้ครบทั้ง 3 ด้านนี้ และยังมีกลุ่มเป้าหมายรองอีก เช่น แม่ครัว แม่ค้าขายขนมในโรงเรียน ล้วนเกี่ยวข้องการได้รับสารอาหารของเด็กไม่เพียงพอ ฉะนั้นจะมาแก้ที่ด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องแก้ในภาพรวม

พอพูดถึงอาหารเด็กวัยเรียน คนมักจะพุ่งเป้าไปที่ปัญหาอาหารกลางวันในโรงเรียน

ปัญหาที่โรงเรียนตอนนี้คือเด็กจะกินอาหารที่โรงเรียนอย่างน้อย 1 มื้อกลางวัน เฉพาะจันทร์ถึงศุกร์ ทั้ง 5 วัน ถ้าเป็นอาหารที่ไม่มีคุณค่าในโรงเรียนก็จะมีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของเด็กได้ มีผลต่อ IQ ของเด็กถ้าสารอาหารมันไม่พอ ซึ่งเรื่องอาหารกลางวันในโรงเรียนขณะนี้ทางรัฐบาลโดยเฉพาะกรมอนามัย สสส. และกระทรวงศึกษาธิการ พยายามพัฒนาคุณภาพขึ้นมา ถามว่าปัญหาที่มันเกิดขึ้นตอนนี้คืออะไร ปัญหาคืออาหารมันไม่มีคุณภาพ คืออาหารไม่ครบ 5 หมู่ อาหารไม่สมดุล อาหารปนเปื้อนเชื้อโรคสารเคมีไม่ปลอดภัย นี่เป็นปัญหาที่มีอยู่ในโรงเรียนไทยในขณะนี้

ถ้าจะพูดถึงโรงเรียน อาหารโรงเรียนไม่ใช่แค่อาหารมื้อกลางวันที่อยู่ในถาดหลุม แต่เรามองถึงอาหารว่าง ผลไม้ ขนมกรุบกรอบที่อยู่ในโรงเรียน เครื่องดื่ม น้ำอัดลม ขนมหวานในโรงเรียน และนมโรงเรียน สิ่งสำคัญที่ถูกละเลยอีกประเด็นคือเรื่องน้ำดื่มไม่สะอาด ซึ่งเกี่ยวโยงกันหมด ฉะนั้น อาหารโรงเรียนครอบคลุมทั้งหมดคืออาหารกลางวัน อาหารเช้าที่เด็กไม่ได้กิน อาหารว่าง นม เครื่องดื่ม ทั้งหมดให้สารอาหารเด็กได้ไม่ครบถ้วน หรือหวานเกิน มันเกิน เค็มเกิน ซึ่งปัญหาอาจจะมาจากหนึ่ง – นโยบายของโรงเรียนไม่ดีพอที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา พอผู้บริหารโรงเรียน เช่น ผอ.ไม่เน้นเรื่องนี้โรงเรียนก็จะเละ สอง – ครูแม่ครัวที่มีส่วนรับผิดชอบทำอาหารให้เด็กนักเรียนนั้นขาดความรู้และทักษะในการบริหารจัดการอาหารในโรงเรียนให้มีคุณภาพ ขาดการอบรมเท่าที่ควร ถามว่าทำไมขาด? ครูบางคนมีความรู้แต่ไม่มีเวลาอยู่ในครัว แม่ครัวเองก็ได้ค่าจ้างถูกมากเพียงแต่มาปรุงอาหารให้เป็นแล้วก็จบ บทบาทของแม่ครัวต้องมากกว่าการทำกับข้าว

สิ่งสำคัญ คือ เราขาดผู้รู้ที่จะไปบอกครู บอกพ่อแม่ บอกแม่ครัว คำว่าผู้รู้คือนักโภชนาการชุมชน เป็นสิ่งที่ประเทศเรายังขาด สิ่งที่สาม – ขาดการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เอื้อต่อการได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าและปลอดภัย ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ให้เด็กกินหวานมันเค็ม แต่โรงเรียนขายขนมกรุบกรอบขายขนมถุง โรงเรียนขายน้ำอัดลม แสดงว่าโรงเรียนมีสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยแล้ว ฉะนั้นสิ่งแวดล้อมจึงสำคัญการสร้างปัจจัยเอื้อให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นสำคัญมาก

นอกจากที่โรงเรียนแล้ว ปัญหาการกินของเด็กเกิดจากที่ไหนอีกบ้าง

เรื่องการให้ความรู้แก่เด็กและผู้ปกครอง ก็กลับไปที่โรงเรียนค่อนข้างละเลยในการให้ความรู้ทักษะแก่เด็กนักเรียนและพ่อแม่เพื่อให้ไปดูแลลูกที่บ้าน โรงเรียนไม่ได้ใส่ใจทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้พฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง หมายถึงการบูรณาการในหลักสูตรการเรียนการสอน ต่อมาคือปัญหาการกินอาหารของเด็กที่บ้านที่ไม่ได้เกิดจากเด็กแต่เกิดจากพ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กเขาเป็นผ้าขาวที่จะรับสิ่งดีๆ ถูกฝึกและปูพื้นฐานให้มีพฤติกรรมการกินการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องมาตั้งแต่เกิด ปัญหารการกินอาหารของเด็กที่บ้านคือการกินหวานมันเค็ม เด็กกินขนมกรุบกรอบน้ำอัดลม เด็กกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ สิ่งนี้เหมือนกันกับที่อยู่ในโรงเรียน

แต่อย่าลืมว่าที่บ้านมันมีอาหารทั้งหมดอยู่กี่มื้อ มื้อเช้าก็ที่บ้าน มื้อเย็น สามมื้อวันเสาร์อาทิตย์ ปิดเทอมก็ที่บ้าน เด็กกินอาหารที่บ้านมากกว่าที่โรงเรียน ดังนั้นเราจะมาเน้นที่โรงเรียนอย่างเดียวไม่ได้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลตอนนี้เราหลงทาง เราชอบไปแก้การกินอาหารของเด็กที่โรงเรียนแต่ลืมเน้นที่บ้าน สิ่งที่จะต้องทำคือการจะทำอย่างไรให้พ่อแม่มีทักษะในการให้อาหารลูก เห็นความสำคัญของอาหารโภชนาการของลูกในวัยเรียน

ตัวเด็กไม่ว่าจะอนุบาล ประถม มัธยม โดยเฉพาะอนุบาลการ จะต้องฝึกให้เด็กมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง เราจะต้องเริ่มตั้งแต่อยู่ที่บ้านเลย เช่นเด็กไม่กินผัก การที่เด็กไม่กินผักเพราะพ่อแม่ไม่ได้ฝึกให้ลูกกิน ที่สำคัญพ่อแม่คนรุ่นใหม่ไม่ยอมกินผักลูกก็เลยไม่กินผัก เพราะพ่อแม่ไม่รู้ว่าเด็กไม่กินผักโตขึ้นเด็กจะเป็นมะเร็ง มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และมีภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กไม่กินผักผลไม้มีโอกาสเป็นโรค NCD (non-communicable diseases เป็นกลุ่มโรคไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากนิสัยและพฤติกรรม เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต) เมื่ออายุมากขึ้น ตอนเป็นเด็กไม่เป็นไรแต่อายุมากขึ้นแล้วจะเจอ เราไม่เคยมองเห็นระยะยาว ดังนั้นปัญหาที่เด็กกินหวานมันเค็มจัด กินผักผลไม้น้อย เป็นพฤติกรรมสี่ห้าอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็ก

แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่ความผิดของเด็ก จะมาโทษเด็กไม่ได้ เด็กเขาพร้อมที่จะรับสิ่งดีๆ เข้าสู่ตัวเอง แต่พ่อแม่ไม่ได้รับการฝึก เด็กก็เลยเป็นแพะรับบาปไปโดยปริยาย

ที่สำคัญที่สุดก็คือสื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโซเซียลมีเดีย โทรทัศน์ วิทยุทั้งหลายมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกินของเด็ก เพราะเด็กสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ โซเซียลมีเดีย หรือสื่ออะไรก็แล้วแต่ที่เด็กสามารถเข้าถึงได้มันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการกินของเด็กโดยสิ้นเชิง

นอกจากผู้ปกครอง ที่บ้าน โรงเรียน แม่ครัว แล้วยังมีปัจจัยอะไรอีกที่ส่งผลต่อการกินอาหารของเด็ก

โภชนาการของเด็กนักเรียนไม่ได้มีแค่ในโรงเรียนเท่านั้น ต้องมีอยู่ที่ชุมชนด้วย คำว่า “ชุมชน” พอเด็กเลิกเรียนมาขนมกรุบกรอบน้ำอัดลมเต็มนอกโรงเรียนเลย โรงเรียนไม่มีขายเป็นโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม แต่รอบโรงเรียนขายเต็มไปหมด ดังนั้นตรงนี้จึงแก้ปัญหาไม่ได้ เราจะทำอย่างไรให้อาหารรอบรั่วโรงเรียนถูกโภชนาการ แล้วก็อาหารที่ซื้อในชุมชน อาหารในร้านสะดวกซื้อทั้งหลายก็เหมือนกัน ตรงนี้อาจารย์กำลังจะพูดว่ารัฐบาลต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเข้ามาดูแลว่าอาหารว่างของเด็กต้องเป็นมิตรต่อสุขภาพเด็ก เด็กใช้พลังงานเรียน พลังงานเล่นกีฬาเยอะมากพอเลิกเรียนเด็กหิวมาก พอหิวเด็กต้องกิน อาหารที่กินอยู่ในร้านสะดวกซื้อ เป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่

อีกประเด็นที่สำคัญ คือ “นักโภชนาการชุมชน” ถ้าไม่มี ถามว่าครู แม่ครัว ผู้ปกครอง จะเอาความรู้ที่ไหนมา ถ้าแค่มาจากการอบรมของเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขนั้นไม่เพียงพอ ตอนนี้สาธารณสุขงานล้นมือ ดังนั้นการเรียกร้องให้ประเทศไทยมีนักโภชนาการชุมชนอย่างน้อยตำบลละ 1 คนเข้าไปในโรงเรียน สมมติตำบลนั้นมี 5 โรงเรียน ให้เข้าไปโรงเรียนวันละโรงเรียน เข้าไปแนะนำส่งเสริมให้เด็กมีการกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ถามว่าญี่ปุ่นทำไมมีนักโภชนาการโรงเรียนละ 1 คน ไปดูแลแม่ครัว ทำสื่อการสอนให้นักเรียน หากเด็กมีปัญหาให้ไปเยี่ยมบ้านคนนั้น คนญี่ปุ่นจึงเติบโตมีคุณภาพเพราะเขามีนักโภชนาการ ประเทศเรานักโภชนาการคนเดียวก็ไม่มี

มีแต่นักโภชนาการในโรงพยาบาลที่คอยจัดสรรเมนูให้ผู้ป่วย คุณป่วยก่อนนะคุณถึงจะได้กินอาหารจากนักโภชนาการ ถ้าคุณไม่ป่วยคุณไม่ได้กิน แล้วการที่คุณไม่ได้กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการนี่แหละที่จะทำให้คุณป่วย การไม่มีนักโภชนาการในชุมชนคือจุดบอดจุดใหญ่

นักโภชนาการต้องไปอบรมแม่ครัวแม่ค้าที่ไปขายของในโรงเรียน ทั้งในและรอบโรงเรียนต้องมีอาหารที่มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการ เราต้องสร้างสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เอื้อต่อเด็กในการกินอาหารที่ปลอดภัย และมีคุณค่า อาหารที่ปลอดภัย คือไม่ปนเปื้อนไม่มีเชื้อโรค คุณค่าก็คือ ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ

พ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากจัดอาหารที่ถูกหลักโภชนาการให้ลูก ควรเริ่มอย่างไรดี

สิ่งแรกเลย คือการฝึกลูกให้กินอาหารถูกหลักโภชนาการ พ่อแม่ต้องมีความรู้และตระหนัก เรื่องอาหารโภชนาการอันดับแรกคือต้องคิดเสมอว่าอาหารคือสิ่งจำเป็นไม่ใช่การเรียน สมองลูก ร่างกายลูก ความพร้อมของลูก ต้องมาก่อน ซึ่งสมอง ความพร้อมต่างๆ ของลูกล้วนมาจากอาหาร ดังนั้น พ่อแม่ต้องมองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ก่อน

สิ่งที่สองพ่อแม่ต้องหาความรู้ใส่ตัวเอง ต้องมีความรู้ว่าอาหารและโภชนาการต่อลูกตัวเองมันสำคัญอย่างไร ความรู้ในโซเซียลมีเดียนั้นมีเยอะมาก พ่อแม่ต้องไปศึกษาเอาเอง เช่น ถ้าอยากให้ลูก IQ ดีได้จากอาหารอะไรบ้าง ถ้าลูกขาดไอโอดีนขาดธาตุเหล็กแล้วจะเป็นอย่างไร แล้วอาหารไอโอดีนและธาตุเหล็กอยู่ในไหน เป็นต้น พ่อแม่ต้องขวานขวาย พอได้องค์ความรู้แล้วพ่อแม่ต้องหาทักษะ เพราะตระหนักแล้ว มีความรู้แล้วอย่างเดียวไม่พอ ต้องหาวิธีการที่จะทำให้ลูกของคุณกินอาหารให้ได้ อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าต้องปรุงอาหารให้ลูกกินเองนะ จะทำ จะซื้อ อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในบริบทของคุณ แต่คุณต้องทำให้ลูกของคุณกินอาหาร ตามข้อ1 ข้อ2 ตามหลักที่คุณรู้มา เช่น คุณอยู่คอนโด คุณไม่มีครัว คุณสั่งเดริเวอร์รี่มากินก็ได้ แต่คุณต้องมีความรู้เรื่องโภชนาการ มีทักษะการจัดการที่จะทำให้ลูกได้กินอาหารถูกหลักโภชนาการ พ่อแม่ต้องหาวิธีการ ในยุคที่เร่งรีบ ตอนนี้พ่อแม่ส่วนหนึ่งทำอาหารให้ลูกกินแต่เวลาน้อย เช่น อาหารเช้า  บางคนพ่อแม่ทำงานหมดตื่นตี5 6โมงจับลูกใส่รถเอาเวลาที่ไหนทำอาหารให้ลูก แต่ถ้าคุณเห็นความสำคัญของอาหารเช้าของลูกแล้ว คุณเตรียมวัตถุดิบไว้ตั้งแต่มื้อเย็น มื้อเย็นกินข้าวเสร็จเอาผักมาล้างหั่น แช่ตู้เย็นไว้ ตื่นเช้ามาคุณเอาทั้งหมดที่เตรียมไว้ลงกระทะ

ฉะนั้นสิ่งที่สาม พ่อแม่ต้องมีทักษะในการจัดการ อาจารย์ใช้คำว่า”การจัดการ” พ่อแม่ควรมีการจัดการ จะมาอ้างไม่มีเวลาไม่ได้ ในเมื่อคุณตระหนักและมีความรู้แล้ว คำถามคือคุณจะจัดการอย่างไรให้เอาการตระหนักรู้และความรู้มาใส่ปากลูกให้ได้ พ่อแม่ที่อยู่อพาร์ทเมนต์ บ้านพอจะมีเวลาทำอาหารให้ลูกกิน ต้องเตรียมตั้งแต่มื้อเย็น ตื่นเช้าขึ้นมาเอาลงหม้อ 10 นาทีคดข้าวใส่ปิ่นโตใส่ไว้ในรถป้อนให้ลูก หรือจะกินที่บ้านก็ได้ คนที่ทำอาหารไม่เป็นแวะตลาดตอนเย็นซื้ออาหารเช้าเผื่อใส่ตู้เย็นไว้แล้วเอาเข้าไมโครเวฟ จากนั้นเอาใส่รถแล้วให้ลูกกิน  หรือสำหรับคนที่ทำกับข้าวไม่เป็นครัวไม่มี ตอนที่คุณส่งลูกไปโรงเรียนคุณต้องแวะร้านอาหาร แวะซื้ออาหารเช้าให้ลูกคุณกิน ถ้าคุณไม่มีเวลาคุณต้องให้เงินลูกไปกินที่โรงเรียนนี่เป็นทางออก

ฟังดูเหมือน มื้อที่สำคัญมากแต่เรามักละเลย คือมื้อเช้า ผู้ปกครองยุคใหม่มักไม่มีเวลา จะจัดการมื้อเช้าอย่างไรดี

อาหารเช้าสำคัญมาก แต่เด็กมักจะกินไม่ครบ 5 หมู่ เช่น เอาซีเรียลใส่นมเทลงไป นี่ไม่ใช่อาหารเช้าที่ถูกหลักโภชนาการ เด็กจะขาดวิตามินแร่ธาตุเพราะเด็กไม่ได้กินเป็นอาหารหลัก ถ้ากินซีเรียลนานๆ ทีแล้วผ่าแอปเปิ้ลลงไปให้ลูกกิน 1ลูก พอจะอนุโลมได้แต่อย่าเป็นแบบนี้ทุกวัน ข้าวเหนียวหมูปิ้งลูกกินหมดไป 5 ไม้ข้าวเหนียวปั้นเบอเร่อ ลูกอิ่มโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน แต่ลูกไม่ได้วิตามินและแร่ธาตุที่จะไปบำรุงสมองเพราะสารอาหารมันไม่ครบ ยกตัวอย่างเช่น เด็กบางคนบอกว่าดื่มนมกล่องหนึ่งและขนมปังเป็นอาหารเช้า อันนี้เป็นตัวอย่างอาหารเช้าที่แย่นะ

อาหารเช้าที่ถูกหลัก ต้องเป็นอาหารเช้าที่ครบ 5 หมู่ เช่น ข้าวผัดหั่นแครอทถั่วฝักยาวใส่ลงไปมี ผลไม้นี่แหละครบ 5 หมู่ ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ได้แต่ต้องให้ลูกดื่มนม 1กล่องและผลไม้ ถ้าไม่มีผักต้องมีผลไม้ มักกะโรนี สปาเก็ตตี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถ้าลูกคุณจะกินตอนเช้านานๆ กินที พ่อแม่ไม่มีเวลา ต้มบะหมี่เอาผักใส่ตอกไข่ลงไปนี่คือผ่าน แต่กินเส้นอย่างเดียวไม่ได้ สมองฝ่อแน่ นี่คือตัวอย่างการจัดการอาหารให้กับลูก ตอนนี้โชคดีของเด็กกทม. ทุกโรงเรียนในสังกัดกทม. กทม.สนับสนุนงบอาหารเช้าให้เด็กกินทุกโรงเรียน แต่ยังไงอาหารเช้าและอาหารทุกมื้อของเด็กนั้นสำคัญหมด

ลูกไม่กินผัก ผู้ปกครองรับมืออย่างไรดี

ต้องถามกลับว่าทำไมเด็กไม่กินผักผลไม้ เพราะอย่างแรกเด็กไม่ได้ถูกฝึกให้กินมาตั้งแต่เด็ก

เด็กเริ่มกินผักได้ตอนอายุ 7 เดือน เด็กคนไหนกินนมแม่เสร็จแล้วเริ่มมากินอาหาร เริ่มเอาน้ำต้มผักใส่ข้าวลูกตอน 7 เดือน กลิ่นของผักมันจะเริ่มติดอยู่ที่สมองเด็ก พอครบ 1 ปี บดผักลงไปในข้าว เด็กฟันยังไม่ขึ้นก็บดผักเข้าไป จะมีแครอท ฟักทอง มะเขือเทศ พอเด็กมีฟันก็เริ่มให้เด็กเคี้ยวผักได้ เขาจะกินผักไปจนโต อย่างที่สองพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกถ้าพ่อแม่ไม่กินลูกก็ไม่กิน อย่างที่สามต้องสร้างสิ่งแวดล้อมทำให้เด็กได้กินผัก สิ่งแวดล้อมที่ว่านี้ก็คืออาหารต้องมีผักเป็นองค์ประกอบ สิ่งนี้คือสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นผลไม้พ่อแม่ต้องซื้อผลไม้ที่ต้องหยิบฉวยได้ง่าย เช่น หั่นมะละกอเป็นชิ้นใส่ตู้เย็นไว้ แกะส้มโอเป็นกรีบใส่ตู้เย็นไว้ ในช่วงลูกทำการบ้านเอาผลไม้จากตู้เย็นมาวางไว้

ถ้าเด็กโตแล้วไม่กินผักจะเริ่มให้เด็กกินผักได้อย่างไร ลองไปหาผักที่เด็กชอบก่อน ผักที่มันไม่มีกลิ่นฉุนและมีความกรอบ บางคนอาจจะเริ่มด้วยแตงกวา แครอท โดยเอาแครอทไปนึ่งให้นิ่ม เอาแครอทหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ บางๆ ใส่ลงไปในไข่เจียว ให้เด็กได้กลิ่นก่อนโดยที่เด็กไม่รู้ตัว แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาในหลายๆ เมนูเด็กก็จะกินผักได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แปลว่าถ้าเจียวไข่ตำลึง ให้ลูกล้างใบตำลึงแล้วก็สอนให้ลูกจับมีดสำหรับเด็กโตหั่นตำลึงบางๆ หั่นแครอทฟักทองให้ลูกได้ทำ ให้ลูกหัดตอกไข่ใส่ลงไป ฝึกลูกเอาฟักลงไปตีๆ แม่ตั้งกระทะให้ลูกเทสอนให้ลูกพลิกไปมาแล้วเขาจะทำเองได้ แล้วชมเขาว่าไข่เจียวผักที่ลูกทำเยี่ยมมากเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ลูกจะกินแน่นอน อีกสิ่งหนึ่งคือห้ามบังคับให้ลูกกินเด็ดขาด กินนะถ้าไม่กินจะตี เด็กถ้ายิ่งบังคับยิ่งต่อต้าน

ลูกไม่กินผักไม่ไช่เป็นเพราะกรรมพันธุ์ แต่เป็นเพราะสิ่งแวดล้อม เพราะเขาไม่ได้ถูกฝึก สิ่งนี้แก้ได้ถ้าคุณฝึกลูกตั้งแต่เด็ก

Tags:

อาหารกลางวันดร.สง่า ดามาพงษ์พ่อแม่

Author:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

‘จงทำให้เด็กรู้สึกโชคดีที่มีเราเป็นครู’ ครูคณิตที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษา’ ของครูร่มเกล้า ช้างน้อย (2)
Unique Teacher
7 April 2021

‘จงทำให้เด็กรู้สึกโชคดีที่มีเราเป็นครู’ ครูคณิตที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษา’ ของครูร่มเกล้า ช้างน้อย (2)

เรื่อง สัญญา มัครินทร์ณิชากร ศรีเพชรดี

  • “(…) ถ้าเราจะต้องมีชีวิตอยู่นานๆ เราต้องเลือกเป้าหมายที่เป็นอมตะ ตายเร็วไม่ได้ คือเลือกว่าเราจะแก้ปัญหาสักอย่างหนึ่ง และปัญหาที่เราเลือกคือ แก้ปัญหาการศึกษาไทย”
  • คุยกับครูกุ๊กกั๊ก-ร่มเกล้า ช้างน้อยต่อตอนที่ 2 คราวนี้ลงลึกถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ‘ร่มเกล้า’ กลายมาเป็นครูในแบบวันนี้ ด้วยหลักว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความหมาย
  • และประเด็น ‘สายสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์’ ‘การตั้งคำถามเชิงระบบและการพูดคุยถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเด็กรุ่นใหม่’ ‘อำนาจ 3 แบบ และการคืนอำนาจให้แก่นักเรียน’ รวมถึง ‘ข้อสำคัญ 4 อย่างที่จะช่วยให้ระบบการศึกษาไทยขับเคลื่อนต่อไปได้’ 

ตอนที่แล้ว (อ่านบทความ) ‘ครูกุ๊กกั๊ก’ ได้เล่าถึงตัวตนความเป็นครูของตัวเอง พร้อมนิยามการเป็นครูที่เปลี่ยนแปลงไป และแบ่งปันมิติการสอนในห้องเรียนรูปแบบต่างๆ รวมถึงมิติการทำงานนอกห้องเรียนด้วย 

ครั้งนี้ ครูสัญญา มัครินทร์ ชวนครูกุ๊กกั๊กคุยกันต่อ เพราะได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งครูกุ๊กกั๊กก็เคยคิดอยากฆ่าตัวตายเหมือนกัน! ซึ่งการที่เขายังนั่งอยู่ตรงนี้ เป็นครูสอนหนังสืออยู่ถึงตอนนี้ก็เพราะอาชีพนักการศึกษาที่เขาตั้งใจเอาไว้นี่เอง 

ก่อนจะเชื่อมไปถึงเรื่อง ‘สายสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์’ ‘การตั้งคำถามเชิงระบบและการพูดคุยถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเด็กรุ่นใหม่’ ‘อำนาจ 3 แบบ และการคืนอำนาจให้แก่นักเรียน’ รวมถึง ‘ข้อสำคัญ 4 อย่างที่จะช่วยให้ระบบการศึกษาไทยขับเคลื่อนต่อไปได้’ 

ดำเนินรายการโดย ‘ครูสอญอ-สัญญา มัครินทร์’ และ ‘ครูกุ๊กกั๊ก-ร่มเกล้า ช้างน้อย’ ครูสอนคณิตศาสตร์สุดติสต์แห่งโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม

ครั้งหนึ่งเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย

เรายังสนใจประเด็นตัวตนของครูกั๊กนะครับ ผมเคยไปอ่านเจอในบทสัมภาษณ์หนึ่งว่าครูกั๊กเองเคยอยากฆ่าตัวตาย อยากให้ขยายให้ฟังหน่อย ทำไมคุณถึงอยากฆ่าตัวตาย

ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นหลายอย่างครับ แต่ว่าตอนม.3 นี่ชัดเจนมาก ตอนนั้นผมอยู่โรงเรียนสิงห์สมุทร แล้วมหาวิทยาลัยกรุงเทพไปแนะแนวที่โรงเรียน คณะที่ไปคือคณะนิเทศฯ เรารู้สึกว่าอยากทำงานเบื้องหลัง เราชอบอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเสียง เบื้องหลัง ภาพ ทั้งหมดเลย เราไม่ใช่คนเบื้องหน้า ผมจะไม่ยุ่งกับหน้าเวทีเด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่เป็นวิทยากรเลย ผมไม่ชอบ ผมกลัวตรงนั้น เชื่อไหมหน้าห้องเรียนผมก็กลัว ผมต้องคอย built up ตัวเองทุกครั้ง ‘ทำได้กั๊ก สอนได้ เอาวะ!’

แต่มีช่วงหนึ่งมีรายการร้องเพลง The Star เข้ามา ตอนนั้นเท่มากอยากเป็น The star ซึ่งปกติเข้ารอบแล้วมีคนไปตามถ่ายที่บ้าน ฝันอยากเป็นแบบนั้น เฮ้ย… ทำไมมันเท่จังวะ ก็เลยใฝ่ฝันจะไปเป็นนักร้องเพื่อให้เขามาตามถ่าย ตอน The Star ปี 1 ก็ไปสมัคร เขาบอกรอบแรกให้ใช้เพลงเดียว เราก็ร้องไป ปรากฏเขาบอก “ชอบมากเลย ขอเพลงที่สองแล้วกัน” เอ้า… เพลงที่สองกูไม่ได้ซ้อมมา (หัวเราะ) คือตื่นเต้น ตกใจ ร้องเพี้ยนเลย ไปอีกทีประมาณปี 5 ตอนนั้นได้ร้อง 5 เพลง เหมือนเขาพยายามจะเค้นว่าเรามีตัวตนประมาณไหน แต่อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนขี้อายมาก ถ้าไม่คอยกอดดนตรีไว้มันจะกลัวมาก โอเค รอบนั้นก็ตกไป หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ไปประกวดอีกเลย 

เป้าหมายชีวิตมีอยู่ 2 อย่างนะ มีคนไปตามถ่ายเราที่บ้านกับอยากมีเพลงของตัวเองออกคลื่นวิทยุ เราอยากเห็นเพลงของเราลอยไปตามอากาศ 

ทีนี้เราไปเรียนแต่งเพลงกับ พี่จุ้ย – ศุ บุญเลี้ยง ที่ TK Park เขาเปิดเป็นโครงการ TK Brand สมัครไปรุ่นที่ 3 เรียนแต่งเพลง 4 สัปดาห์ แล้วจะให้ทำเพลง แต่ผมไม่ได้ทำเพลงกับเขา เรียนอย่างเดียว ก่อนหน้าที่จะไปเรียนเราส่งเพลงไป Fat Radio ส่งไป 2 เพลงเขาไม่เปิด เราก็แบบ… ‘โห แม่งไม่ถึงเลยว่ะ มึงไม่รู้จักศิลปะขั้นสูง’ (หัวเราะ) เป็นอีโก้เลย พอเรียนเสร็จปุ๊บกลับมานั่งฟังเพลง ‘อืม… มึงส่งไรไปวะเนี่ยกั๊ก สมควรละ กูอยากจะขอโทษพี่ดีเจเขามากเลย’ (หัวเราะ) 

แล้วผมก็ไปสมัครรายการ ‘สื่อศิลป์ดิน น้ำ ป่า’ ของไทยพีบีเอส ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นโครงการ 2 พอไปประกวดปั๊บ มันมี 10 ทีม 9 ทีมอยากเป็นศิลปินทั้งหมด มีผมคนเดียวที่อยากเป็นครูและศิลปินพร้อมกัน ก็เลยเป็นเคสที่แปลก รายการ ‘คนกล้าฝัน’ ก็เข้ามาถ่ายผมไปด้วย แล้วก็ไปถ่ายผมกับที่บ้าน (หัวเราะ) เหมือน The Star เลย ตอนนั้นน่าจะเรียนจบไปไม่นาน เพราะเขาไปถ่ายตอนรับปริญญาด้วย แล้วตอนนั้นผมก็ส่งเพลงไป Cat หรือ Fat  Radio นี่แหละ จำได้ว่าส่งไป 6 เพลง เขาเปิด 5 เพลง มันเหมือนผมเล่นเกมได้แจ็กพอต แล้วผมก็เลิกเล่น พอละ พอได้ตรงนั้นก็ฟิน จบ ก็เลยกลายเป็นประสบความสำเร็จในชีวิตสองอย่างเรียบร้อย อันนี้คือความฝันสองอย่างในชีวิตตั้งแต่ม.3 จนถึงอายุ 23 ปี 

ก็มานั่งคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมวะ คือไม่เศร้านะ มีความสุข เราบรรลุหมดแล้ว ซึ่งผมก็คิดว่ามันเร็วไป แล้วตอนนั้นดูคลิปของ พี่ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า เขาบอก “ผมเกษียณอายุตั้งแต่ตอนนี้แล้ว” เราก็แบบ “เฮ้ยพี่… ผมเกษียณพร้อมพี่เลยก็ได้นะเนี่ย” ก็พร้อมที่จะตายครับ ตอนนั้นคิดว่าเราจะตายยังไงดี จำได้ว่าคืนนั้นฝันว่าฆ่าตัวตาย กระโดดจากสระว่ายน้ำสี่ชั้น วิ่งแล้วเลย หน้าโขกกับขอบสระ แต่ในฝันมันไม่ตาย โอ๊ย… ปวดหัวจัง น่าจะเตี้ยไป ก็พยายามคิดหาทางอื่น ให้รถมาชนดีไหม ผมไปดูคลิปพอรถชนปุ๊บมันไม่ตายไง “น่าจะเจ็บว่ะตอนแขนหัก” กรีดแขนล่ะ อันนี้ตลกสุด เพราะอยู่ดีๆ เสียงพี่ตูนก็มา ‘กรีดแขน ไม่ช่วยอะไร…’ (ร้องเพลง) โอเคครับพี่ตูน ผมไม่ตายก็ได้ งั้นเราจะกระโดดตึกแล้วกัน เพราะไม่ทันรู้สึกเจ็บก็น่าจะตายแล้ว 

กำลังคิดวนๆ อยู่อย่างนั้น แล้วเพื่อนชื่อปุ๊กปิ๊กก็โทรมาถามว่า “มึงทำไรอยู่” “อ๋อ กูกำลังจะฆ่าตัวตาย” ปุ๊กปิ๊กบอก “มึงจะตายทำไม” เราบอกว่า “กูสำเร็จหมดละว่ะ พ่อแม่ก็ไม่น่ามีไรห่วง พ่อเป็นทหารเบิกได้อยู่แล้ว แม่ก็เป็นเมียทหาร พี่สาวก็ไม่ได้ห่วงอะไรละ” เพื่อนก็บอกเราว่า “งั้นมึงอย่าเพิ่งตาย ไปทำประโยชน์ก่อน” “ไปทำอะไร” “เดี๋ยวมึงไปบริจาคร่างกาย ไปบริจาคอวัยวะ ไปบริจาคดวงตาก่อน สมมติถ้ามึงยิงตัวตายอวัยวะบริจาคได้ ถ้ามึงแทงตัวตาย ดวงตาบริจาคได้” เราก็บอก “เออๆๆ มีประโยชน์” ก็ไปบริจาคกัน บริจาคดวงตาก่อนแล้วก็บริจาคอวัยวะ แล้วก็ไปบริจาคร่างกายกับน้องอีกคนที่ไปด้วยกัน กะว่าวันนี้แหละ

คือคุณเตรียมตัวแล้ว?

ใช่ ค่อยๆ คิดว่าตายยังไงให้มีประโยชน์ แต่ในใบบริจาคนั้นเขียนประมาณว่าห้ามตายโดยโรคติดต่อทางเลือดหรือน้ำเหลือง ห้ามตายแบบร่างกายแหลกละเอียด ‘อ้าว… ไอที่ว่าจะกระโดดตึกตาย มันตายไม่ได้แล้ว อ้าว… งั้นกูต้องมีชีวิตใช่ไหมเนี่ย ปุ๊กปิ๊กมึงหลอกกู’

แต่ทีนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้มาคิดว่าเราจะมีชีวิตอยู่ด้วยความหมายอะไร โอเค ถ้าเราเรียนจบครู ที่เดียวที่เรายังไม่เคยไปสอนคือโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนในสังกัดกระทรวง คือผมเคยฝึกสอนที่โรงเรียนเอกชน โรงเรียนสาธิต ตอนที่เป็นฟรีแลนซ์ก็เป็นอาจารย์พิเศษ ผมก็เลยลองไปสอบบรรจุ เพราะเราอยากทำประโยชน์ให้สังคม แล้วก็ตั้งเป้าหมายว่า ถ้าเราจะต้องมีชีวิตอยู่นานๆ เราต้องเลือกเป้าหมายที่เป็นอมตะ ตายเร็วไม่ได้ คือเลือกว่าเราจะแก้ปัญหาสักอย่างหนึ่ง และปัญหาที่เราเลือกคือ แก้ปัญหาการศึกษาไทย 

ซึ่งมันใช้เวลานานใช่ไหม?

ผมบอกได้เลยแม่งไม่รู้จบ (หัวเราะ) หมายความว่าเราอาจจะแก้เรื่องนี้ได้ แต่ก็จะมีเรื่องใหม่ผุดเข้ามา ถ้าเรานิยามว่าจะแก้ปัญหา ปัญหาไม่มีวันหมด เราก็น่าจะอยู่ได้จนแก่เหมือนกัน ก็เลยตั้งเป้านี้แล้วก็เลือกที่จะมาสอบบรรจุเป็นครู 

สายสัมพันธ์ระหว่างครูกั๊กและลูกศิษย์

ต้องขอบคุณเพื่อนคนนั้นและขอบคุณวิธีคิดของเขานะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากชื่นชมครูกั๊ก คือ ลูกศิษย์คุณที่ตอนนี้ไปเป็นนักศึกษา เขายังวนเวียนมาเจอ มาแบ่งปัน ครูกั๊กมีความสนิทกับลูกศิษย์ลูกหามาก ยังผูกพันหรือเกื้อกูลกันอยู่ไหมทุกวันนี้

คงเป็นความสนิทตั้งแต่ในห้องครับ เราค่อนข้างที่จะเปิดพื้นที่ให้เด็กเล่นกับเราได้เยอะ คุณครูแต่ละคนมีนิยามการวางตัวไม่เหมือนกัน ผมเคารพทุกคนนะครับ บางคนก็บอกว่า “เป็นครูยังไงก็ต้องมีเส้น” จริงๆ ผมก็มีเส้นเพราะว่าเด็กตบหัวผมไม่ได้ (หัวเราะ) ถ้าเด็กตบหัวผมก็ด่าเหมือนกัน แต่ว่ามันคือความเคารพที่เท่ากัน ผมถูกฝึกมาตั้งแต่อยู่ชมรมละคร เราจะนั่งล้อมวง เรียกว่าวงกลมไว้ใจ นั่งคุยกันอย่างนี้ตลอด แต่พอถึงเวลาทำงานจริงๆ ตอนที่ยืนสอนมันไม่จำเป็นต้องยืนเป็นวงกลมไว้ใจก็ได้นะ 

เพราะพื้นที่ปลอดภัยไม่ได้จำกัดรูปแบบว่าคุณต้องนั่งเป็นวงกลม หรือต้องนั่งเท่ากัน ผมว่าการนั่งเท่ากันก็เป็นนัยอย่างหนึ่งที่ทำได้แล้วผมก็ชอบทำด้วย แต่ถ้าเราหลุดจากตรงนั้น กลับมาสู่ความเป็น Being ของเรา เรายืนตรงไหนเขาก็ปลอดภัย 

ที่ยังรู้สึกผูกพันกันอยู่เพราะว่าเราน่าจะยังอินเรื่องเดียวกัน ตอนที่เราอยู่โรงเรียน มันไม่ได้แค่สอน แต่เราต่อสู้บางอย่างมาด้วยกันจริงๆ ผมพยายามถอดบทเรียนว่าทำไมผมถึงสนิทกับบางรุ่น แต่บางรุ่นไม่สนิท มันสนิทเพราะว่าผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน หรือเรื่องที่เข้าใจความรู้สึก อารมณ์ เรื่องเดียวกัน 

จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เด็กติดลิฟต์ เด็กกลุ่มนั้นถูกทำให้กลายเป็นผู้ร้าย ซึ่งลิฟต์นั้นมันติดบ่อยมาก ตอนนี้มีช่างมาแก้ไขแล้วแต่ก็ยังติดบ่อยอยู่ ผมว่ามันเก่าแล้วแหละ แล้วในยุคนั้นเขาบอกว่าเด็กกลุ่มนี้ทำให้ลิฟต์พัง พี่เป็นเด็ก พี่อยู่ในลิฟต์ แล้วรู้ว่าลิฟต์นี้มีปัญหา พี่จะเล่นไหม เราก็ไม่เล่นเนาะ แสดงว่าสิ่งที่มีปัญหาคือลิฟต์มากกว่า เราก็พยายามต่อสู้กันเรื่องนี้ จำได้ว่ามีการสั่งให้ปิดลิฟต์ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะว่าตอนนั้นมีเด็กที่ผมทำงานด้วย คือเขาขาขาดข้างหนึ่งครับ แล้วเขาต้องเดินบันได แผลมันยังไม่หายสนิท ผมก็ถามว่า “เห้ย… เป็นไงบ้างวะ” “อ๋อ ก็เจ็บนิดหน่อยครู มีเลือดออกบ้าง” เห้ย… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะ ทำไมเป็นแบบนี้วะ ตอนนั้นผมโกรธมาก 

ผมก็ไปเสิร์ชกูเกิลหา พ.ร.บ.ลิฟต์ ผมอยากรู้เลยว่ากฎหมายนี่สั่งปิดลิฟต์ได้หรือเปล่า แล้วปรากฏว่ามันมีครับ พ.ร.บ. การขนส่งลิฟต์… อะไรสักอย่างนี่แหละ (พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒) แล้วก็ลองไฮไลต์ดูว่าโรงเรียนเราไม่ได้ทำข้อไหนบ้าง ปรากฏว่ามี 6 ข้อเลย แสดงว่าจริงๆ แล้วตอนนั้นโรงเรียนผิดกฎหมาย เราก็พยายามลงไปหาฝ่ายบริหาร ไปสามครั้งก็ไม่เจอ ผมโมโหมาก วันนั้นเป็นวันศุกร์ และรู้สึกว่าวันจันทร์มันต้องได้เปิด ก็เลยไปโวยวายครูที่เป็นเลขาหน้าห้อง “เนี่ยครู ทำแบบนี้ได้ยังไง โรงเรียนเราทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้ามีตึกสูงเกินขนาดนี้จะสั่งปิดลิฟต์ไม่ได้ ต้องสั่งซ่อมแซมเท่านั้น” เช้าวันจันทร์ลิฟต์เปิด เด็กดีใจมาก แล้วเราก็แบบ เฮ้ย… เราผ่านเรื่องนี้มาด้วยกัน เราสู้มาด้วยกัน คุณไม่ใช่คนที่ทำผิดนะ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ในโรงเรียนด้วย

พอมันมีควาวมผูกพันแบบนี้ มันเลยเป็นสายใยระหว่างกันที่ทำให้เราสนิทกับบางรุ่น บางคน เราสนิทกับทุกคนไม่ได้หรอก ก็เลยยังเกื้อกูลกัน วันนั้นครูกับนักเรียนช่วยกัน วันนี้ครูต้องการความช่วยเหลือเขาก็มาช่วย 

การตั้งคำถามเชิงระบบและพูดคุยปัญหาเชิงโครงสร้างของเด็กยุคใหม่

ครูกั๊กก็ทำงานกับนักเรียนมาเยอะมาก อยากให้ครูกั๊กแบ่งปันหน่อยครับว่า ยุคนี้นักเรียนเขาตื่นตัวกับเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และขึ้นมาตั้งคำถามเชิงระบบ เขาคุยปัญหาเชิงโครงสร้างด้วยซ้ำ ซึ่งโครงสร้างทางการศึกษา การเมือง วัฒนธรรมในโรงเรียนมันก็ค่อนข้างไปเขย่าขอบความเชื่อของครูหลายๆ คน โดยเฉพาะครูที่เชื่อเรื่องอนุรักษ์นิยม ครูกั๊กคิดเห็นยังไงกับปรากฏการณ์นี้ หรือมองมันยังไงบ้างครับ

อันนี้ผมมองเป็นสองประเด็นครับ ประเด็นแรก – เขาหาข้อมูลได้เยอะมาก ถ้าวาดเส้นการศึกษา มันจะมีอยู่ 3 เส้น เส้นแรก คือ การศึกษาในระบบ ไล่มาตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 23 ปี หรือมากกว่านั้นคือไปจนถึงป.เอก อาจจะ 40 ปี หลังจากนั้นก็จะเป็นการศึกษานอกระบบ อาจจะมีตั้งแต่ป.6 หรือม.1 ไล่ขึ้นไป การศึกษานอกระบบคือการศึกษาที่มีหลักสูตร มีใบ Certificate มีความยืดหยุ่นทั้งเวลาและสถานที่ อันนี้ต่างกับในระบบนิดหนึ่ง การจัดอบรมต่างๆ ถือว่าเป็นการศึกษานอกระบบทั้งหมด เส้นนี้จะยาวหน่อย แต่ว่าเริ่มช้ากว่าในระบบ 

แต่อีกเส้นที่มันขนานตลอดเวลาเลยก็คือ การศึกษาตามอัธยาศัย อันนี้ผมว่าเด็กเขาเข้าถึงได้เร็วกว่าเราและกว้างกว่าเรา ในตอนที่เราอายุเท่าเขา ตอนนั้นเราไม่มี Search Engine ที่มีข้อมูลมหาศาลขนาดนี้ แต่ตอนนี้เด็กเขามีแล้ว ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เด็กยุคนี้เป็นคือ เขาหาข้อมูลเก่งมาก เราไม่ได้บอกว่าข้อมูลที่ได้ถูกต้องหรือเปล่า ยิ่งเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผมตอบยากมากเลย เพราะผมเกิดไม่ทัน ขนาดคณิตศาสตร์เอง ผมยังไม่รู้เลยว่ามันจริงหรือเปล่าที่สอนมา เขาบอกว่าประวัติศาสตร์ของคณิตมาจากสัจพจน์ 5 ข้อที่เชื่อว่าจริงเสมอ มันมาจากความเชื่อครับ แต่ความเชื่อตรงนั้นมันปรู๊ฟในโลกของเรา ส่วนใหญ่ก็จริงหมดเลย แล้วถ้าเกิด 5 ความเชื่อนั้นมันไม่จริง คณิตศาสตร์ทั้งหมดมันอาจจะไม่จริงก็ได้ นั่นแปลว่าถ้าเกิดเด็กยุคนี้มาเทียบกับเรา เขาค้นหาข้อมูลเชิงกว้างได้มากกว่าเรา แล้วถ้าเขาตัดสินใจ วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ผมว่าเขารู้เยอะกว่าเรามาก ของเรามีแค่หนังสือเรียน 

ประเด็นที่สอง ที่ผมรู้สึกว่าเข้ามามีผลคือ เรื่องของพื้นที่ เวลามีคนถามผม มันมีพื้นที่ตรงกลางระหว่างการคุกคามกับการไม่คุกคามหรือเปล่า ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าพูดในความเป็นนิเสธ มันไม่มี หมายความว่า ถ้าวาดเป็นวงต้องวาดแยกกัน แต่ว่าในพื้นที่การทำงานของครู จริงๆ ครูเป็นกันชนของทั้งนักเรียนและอำนาจเหนือทั้งหมด ซึ่งผมว่าพื้นที่การทำงานตรงกลางมีจริงนะ 

แต่ว่าคุณครูไม่มีใครเลือกตรงกลางได้แน่ ครูมีในใจอยู่แล้วว่า ในประเด็นนี้เราอยู่ตรงไหน คือถ้าพูดถึงหัวข้อใหญ่ โอเค เราอาจจะเห็นด้วยกับฝั่งนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าในบางประเด็นมันไม่ได้เห็นด้วยกันทั้งหมดหรอก ถ้าเทียบเป็นสี เราอาจจะเป็นสีเขียวเหมือนกัน แต่พี่อาจจะเป็นเขียวอ่อน ผมเป็นเขียวเข้ม อีกคนหนึ่งอาจจะเป็นเขียวน้ำทะเล ทุกคนมีเฉดของตัวเอง เพราะฉะนั้นจะมาบอกว่าเราเห็นด้วยเหมือนกันหมด ก็คงเป็นไปไม่ได้ 

อย่างประเด็นของชุดนักเรียน ผมเชื่อว่าในใจมีการเลือกอยู่แล้ว เพราะมันมีแค่บังคับกับไม่บังคับ ซึ่งมันเป็นนิเสธกัน ต้องเลือกว่ายังไงดี มันก็เลยเป็นการทำงานเชิงอำนาจ สมมติผมเลือกฝั่งที่บอกว่าใส่อะไรก็ได้ ก็คือการไม่บังคับใช่ไหมครับ แล้วเราจะทำยังไงให้สองฝ่ายนี้คุยกันได้ ในเมื่อเรามีในใจของเรา ฉะนั้นสิ่งที่ครูต้องทำคือ ยื่นแขนไปแล้วจับกันกับฝั่งนู้น ฝั่งนี้มีเหตุผลแบบนี้ ฝั่งนู้นมีเหตุผลยังไง แล้วเหตุผลของใครมีน้ำหนักกว่ากัน แล้วเราก็ทำได้แค่ชวนเขาเดินข้ามมาอยู่ฝั่งเรา แต่เราไม่สามารถที่จะกระชากเขามาได้ ผมคิดว่าอันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากๆ ในเรื่องนี้ 

อันนี้ขอเล่าจากที่โรงเรียนด้วยเลย คือ โรงเรียนก็จะมีความกังวลเพราะว่าเราเป็นหน่วยเล็กๆ แล้วเวลามีนักเรียนที่จะใส่ชุดแบบนี้มา มันเป็นพื้นที่ที่อันตรายสำหรับคนที่ดูแลเรื่องนี้ทั้งหมด ก็ไม่รู้ว่าผู้ปกครองจะว่ายังไงถ้าอนุญาต และไม่รู้ว่าผู้ปกครองจะว่ายังไงเมื่อไม่อนุญาต ก็เลยตัดสินใจลำบาก เขาก็มีการส่งกฏของกระทรวง กฎของโรงเรียนเข้ามา หน้าที่ที่เราทำก็คือ เราก็พูดไปตามความจริงแท้ของเรา จริงๆ โรงเรียนสามารถเปิดพื้นที่ได้นะ ผมเชื่อว่าเขาแสดงออกแค่วันเดียวแหละ พอคุยกันนักเรียนก็ถาม “ครู หนูใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียนผิดไหม” “ผิด” อันนี้ตอบแบบจริงแท้ เพราะว่ามันไม่ได้มีการอนุญาต แสดงว่าถ้าเกิดผิด เราก็อาจจะต้องถูกลงโทษ แต่ถ้าจะถูกลงโทษนักเรียนจะถูกลงโทษได้แค่ 4 กรณีเท่านั้น คือตามที่กระทรวงบอก ถ้าโดนลงโทษมากกว่านั้นโรงเรียนก็ทำผิดเช่นกัน มันก็เลยไม่รู้จะทำยังไงกันแน่ เราก็บอกส่วนที่เราบอกได้ในไลน์โรงเรียนไป 

สุดท้ายวันเปิดเทอมเด็กก็ใส่ไปรเวทมาครับ ถามว่าใส่มาเยอะไหม ก็ 6 – 7 คน ผมไม่แน่ใจจำนวนนะ แต่ก็ถูกเรียก ถามว่าถูกเรียกไปด่าหรือเปล่า ก็เปล่า คือผู้บริหารชวนนักเรียนคุยว่า เราต้องการอะไร ฝั่งบริหารมีความคิดแบบนี้ เรามีความคิดยังไง เขาก็คุยกัน จนสุดท้ายนักเรียนกลุ่มนี้ก็มานั่งร่างกันว่า จะให้ใส่ชุดไปรเวทมาวันไหน โดยมีข้อเสนอและเงื่อนไขจากปัจจัยใดบ้าง ทำไมเราถึงต้องใส่ สำหรับผม ผมว่าน่ารักมากนะ แล้วตรงนี้แหละมันไม่ใช่ตรงกลาง แต่มันเป็นพื้นที่ตรงกลางที่ให้ทั้งสองฝ่ายได้คุยกัน ผมว่าหน้าที่ของครูคือตรงนี้ จูนเข้าหากัน ไม่ว่าครูจะเลือกข้างไหนก็ตาม แต่ว่าหน้าที่ที่ทำให้คนได้คุยกันเป็นหน้าที่ที่เป็นกลางได้ 

ซึ่งจริงๆ มันก็เหมือนกับการสร้างพื้นที่เพื่อให้คนได้มาคุยแล้วก็สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพราะเอาเข้าจริงแล้วการใส่ไปรเวทก็เหมือนเป็นการแสดงเชิงสัญญะ ผมว่าเขาบรรลุโจทย์ไปหลายข้อเหมือนกันนะ อย่างน้อยผู้บริหารเรียกคุย แล้วเรียกคุยในมิติของโรงเรียน แล้วเขาก็รับฟัง มันยังมีข้อเสนอแนะที่ไปร่วมกันได้

อำนาจ 3 แบบ และการคืนอำนาจให้แก่นักเรียน

เหมือนสิ่งที่ครูกั๊กเล่ามา ทั้งความสัมพันธ์ เรื่องการนั่งเท่านักเรียน หรือแม้กระทั่งการต่อรองด้วยนวัตกรรมหลายๆ อย่าง เรามองว่าครูกั๊กกำลังต่อรองกับอำนาจหรือเล่นกับอำนาจ ซึ่งครูกั๊กก็ตั้งธง อยากจะทำงานเรื่องอำนาจหรือการคืนอำนาจกับนักเรียน อยากให้ครูกั๊กช่วยขยายมิตินี้ให้ฟังหน่อยครับ

อย่างแรกเลยคือผมมองตัวเองเป็นคุณครูสายมนุษยนิยมแล้วกัน เราจะพยายามเคารพทุกอย่างของความเป็นมนุษย์ ซึ่งพอเราบอกว่าเราเคารพความเป็นมนุษย์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องเคารพนักเรียนเหมือนกัน พอมันมีชุดความคิดแบบนี้มาตั้งแต่แรก วิธีการทำงานของเรากับเด็กเลยไม่ใช่การกดขี่ เพราะฉะนั้นมันก็เลยนำไปสู่อำนาจ 3 แบบ ผมไม่แน่ใจนะว่าผมเข้าใจมันถูกแค่ไหน 

  1. อำนาจเหนือ คือ อำนาจสั่งการลงมา 
  2. อำนาจภายใน คือ จากตัวพวกเรานี่แหละ เราต้องการอะไร แสดงมันออกมา อยากเรียกร้องอะไร พูดมันออกมา 
  3. อำนาจร่วม เป็นอำนาจที่คนที่มีอำนาจเหนือกว่า รับฟังคนที่มีอำนาจน้อยกว่า และนำสิ่งนั้นมาทำงานต่อ ซึ่งเป็นการรับฟังซึ่งกันและกัน มันทำงานไปข้างหน้าได้ 

ถามว่าเราเล่นกับอำนาจไหม คำตอบคือ ใช่แน่นอน เพราะว่าปฏิเสธไม่ได้ แต่เราเรียนรู้ว่าเราจะบริหารมันยังไง ครูหลายคนมักจะบอกว่า “การเติบโตต้องเป็นผู้บริหาร” แต่ผมว่ามันคนละเรื่อง เติบโตมันก็ต้องเติบโตในสายของเราสิ อันนั้นมันเรียกว่าการเปลี่ยนสายงานหรือเปล่า ผู้บริหารก็ต้องเติบโตในสายผู้บริหาร มันไม่ใช่การก้าวขึ้น แต่เป็นการก้าวไปในอีกทางหนึ่งเฉยๆ 

มีครูบอกว่า “แล้วเราต้องทำงานภายใต้การกุมอำนาจของฝ่ายบริหาร เราจะทำยังไง” ผมบอกว่า “จริงๆ ครูควรจะเป็น ครูผู้บริหารผู้บริหาร” หมายความว่า ถ้าเรารวมกลุ่มกันได้ แล้วเราเชื่อมั่นในงานที่เราทำ เห็นคุณค่าของงานเราจริงๆ เราสามารถที่จะบอกผู้บริหารให้สนับสนุนเรา นี่คือการบริหารผู้บริหาร ให้มาช่วยเรา 

เพราะฉะนั้นครูไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บริหารก็ได้ แต่ให้เชื่อมั่นในงานของครู เชื่อมั่นในสิ่งที่เรารู้ว่าเราสามารถทำงานกับผู้บริหารได้ ถ้าเรารู้จักอำนาจร่วม ผมคิดว่าอันนี้เป็นสิ่งสำคัญ เราแค่บอกใจความสำคัญ และผลดีที่ได้ทั้งต่อเราและต่อเขา หาอะไรที่วิน – วินผมคิดว่าอันนี้มันทำงานด้วยกันได้ ทุกๆ อย่างที่เห็นว่าสำเร็จ มันผ่านการคุยมาแล้วนะ SAR หน้าเดียว แผนหน้าเดียว มันอาจไม่ได้สำเร็จ ณ วันนั้น แต่อาจสำเร็จจากการที่รอเวลา จังหวะและการคุย ผมคิดว่าต้องค่อยๆ มา ไม่ใช่ทำทุกอย่างแล้วจะได้เลย

ทีนี้ผมสนใจเรื่องคืนอำนาจให้ผู้เรียนได้ทำหลักสูตรด้วยกัน ได้ให้คะแนน ได้ให้เกรด…

น่าจะมี 2 ประเด็นครับ เอาประเด็นในห้องเรียนก่อน เทอมนี้ลองผิดลองถูกมากๆ คือ เราชวนเด็กคุยเลยว่าอยากให้เราสอนด้วยปรัชญาไหนทางการศึกษา ซึ่งจริงๆ แล้วครูแต่ละคนมีปรัชญาเป็นของตัวเอง เราไม่สามารถให้เด็กเลือกให้เราได้ อันนี้เป็นอันหนึ่งที่ผมทำผิดนะ ครูก็อาจจะชวนคุยได้แหละว่า ปรัชญาการศึกษามีแบบนี้ ทำให้ครูแต่ละคนมีคาแรกเตอร์แบบนี้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเห็นในโรงเรียน ครูทุกคนจะมีคาแรกเตอร์เหมือนกันไม่ได้ แล้วก็ชวนคุยไปถึง อยากให้ครูใช้หลักจิตวิทยาแบบไหนกับเรา อยากให้ครูเป็นแบบพฤติกรรมนิยมหรือมนุษยนิยม พฤติกรรมนิยมจะเป็นแบบดูพฤติกรรมเป็นหลัก ถ้าเป็นมนุษยนิยมก็ดูความแตกต่างของผู้เรียนเป็นหลัก ซึ่งเด็กก็จะเทไปทางมนุษยนิยม 

รวมไปถึงการเลือกรูปแบบการสอน มีอยู่ 2 แบบ คือ 1.Cooperative ถ้าเราได้ฝึกอะไรเราก็จะเก่งอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เช่น งานกลุ่มผมทำพาวเวอร์พอยต์ ผมก็ยังเก่งพาวเวอร์พอยต์ต่อไป 2.Collaborative จะเป็นฟีลค่อยๆ เก่งเรื่องนี้ไปด้วยกัน อาจจะไม่ได้เก่งสุดหรอก แต่ว่าเราได้เรียนรู้ทุกๆ ทักษะไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเด็กก็เลือก Collaborative

แล้วก็มีวิธีการสอน อยากให้มีบรรยาย บทบาทสมมติ สถานการณ์จำลอง หรือทัศนศึกษา เด็กเขาจะวงมาให้ เหมือนสั่งอาหารตามสั่งเหมือนกันนะ เราก็โอเค ได้ เดี๋ยวเทอมนี้เราจะมาทำประมาณนี้กัน 

รวมถึงรูปแบบการประเมิน เรามี 100 คะแนน 20 คะแนนเป็นกลางภาค 20 คะแนนเป็นปลายภาค เราเปลี่ยนไม่ได้ แล้วเราก็ให้เด็กเขาเลือกอีก 60 คะแนนกันเอง โดยที่จะแบ่งเป็นช่องละ 10 คะแนน เขาก็จะเลือก 10 นี้เป็นชีทนะ 10 นี้เป็นจิตพิสัย ซึ่งปกติเด็กของผมจะให้คะแนนตัวเอง สนุกมากครับ ผมว่าเด็กทุกคนรู้ว่าตัวเองดีเลวยังไง น้อยมากที่จะให้ตัวเอง 10 แต่เด็กคนนั้นก็สมควรที่จะได้ 10 จริงๆ เพื่อนทุกคนบอก “เฮ้ย… มึงควรได้ 10 เว้ย มึงไม่ควรได้ 9” บางคนบอก “ไม่เว้ย… กูเคยทำผิด” คือผมจะให้เด็กประเมินตัวเองทั้งเทอม บางคนให้ 0 ก็มีนะ ผมบอก “อย่าเลย เอาสัก 5 ละกัน เพราะว่ามึงซื่อสัตย์ไง แล้วมึงก็เข้าเรียนตลอด” ก็พยายามจะเพิ่มคะแนนให้อยู่แล้ว อันนี้คือส่วนของห้องเรียน

ประเด็นต่อมาคือ หลักสูตร อันนี้ผมเคยทดลองให้นักเรียนร่วมออกแบบหลักสูตรร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว แต่สุดท้ายมันได้เป็นแค่โมเดล และถูกยกเลิกไป เพราะมีการเปลี่ยนนโยบาย ก็ถามเด็กเลยว่าม.ปลายอยากเรียนแบบไหน คำตอบที่ได้มาคือ เด็กอยากให้มีสายการเรียน อันนี้ผมคิดว่าเป็นข้อจำกัดของโรงเรียนผมนะ เด็กบอกว่าการบังคับให้เราไปเลือกอย่างอื่น เช่น ต้องเลือกเป็นวิทย์กับวิศวะ เด็กบอก “ถ้าผมเลือกไปแล้วผมไม่ชอบทำไง” เพราะว่าเด็กหลายคนเขามาค้นพบตัวเองตอนม.ปลายก็มี เขาเลยบอกว่า “งั้นเป็นอย่างนี้ได้ไหม เป็นเหมือนแผนที่ ถ้าจะเป็นอาชีพนี้ต้องเก็บวิชาอะไรบ้าง” “ได้” เขาก็จะไปลงวิชาพวกนี้เอง เพราะฉะนั้นก็จะเป็นแบบ 1 ห้องเรียนมี 4 สายการเรียน สมมติวิชาพื้นฐานเรียนด้วยกันคาบนี้ พอถึงคาบเรียนฟิสิกส์ พี่สอญอก็ไปเรียนฟิสิกส์ ผมก็ไปเรียนศิลปะ อันนี้หลายๆ โรงเรียนทำอยู่แล้ว แล้วเด็กก็รู้สึกว่าชอบแบบนี้มากกว่า เพราะเขาได้เลือกในสิ่งที่เขาเลือกจริงๆ ปกติวิชาทุกวันนี้บังคับเลือก อันนี้ก็ชวนเด็กออกแบบทั้งหลักสูตร หรือว่าบรรยากาศการเรียนร่วมกัน เราก็จะเห็นมิติว่าเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าการสอนปกติทั่วไป ถ้าไปไกลกว่านี้ได้ อยากให้เด็กร่วมออกแบบวิชากันเลย ว่าเราจะเรียนอะไร อยากรู้เรื่องอะไร ซึ่งผมคิดว่าอันนี้น่าจะตามมากับหลักสูตรสมรรถนะได้

ข้อสำคัญ 4 อย่าง ที่ครูกั๊กเชื่อว่าช่วยขับเคลื่อนการศึกษาได้

ประเด็นสุดท้ายครับครูกั๊ก ผมเห็นในเฟซบุ๊กของคุณเขียนเรื่องการขับเคลื่อน จะมี 4 อย่าง ช่วยขยายตรงนี้หน่อยครับ เพื่อปิดเทปของเราวันนี้

อันนี้เป็นชุดประสบการณ์ที่ตกตะกอนจากตัวผมเองนะครับ ผมรู้สึกว่าเวลาที่เราจะขับเคลื่อนอะไรบางอย่าง มันสามารถทำได้อยู่ 4 อย่าง จะผสมกันก็ได้ หรือจะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ อย่างแรกที่ต้องใช้เลยคือ ความรู้ อาจจะเป็นเชิงวิจัย การหาข้อมูลต่างๆ เวลาที่เราจะต้องไปอธิบายเพื่อให้เหตุผล ผมว่าความรู้สู้ได้ 

อย่างที่สองเป็นกฎหมาย จำตอนที่ผมเล่าเรื่อง พ.ร.บ.ได้ใช่ไหมครับ กฎหมายมันสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แต่ผมมีความรู้เรื่องนี้น้อยมาก อาจจะต้องไปศึกษาเพิ่ม ผมคิดว่ามันขับเคลื่อนได้เยอะเลย อย่างการไปอยู่กับ ก.ค.ศ. ที่เขาชวนไปวิพากษ์ ผมว่าอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายเหมือนกันนะ เอาประสบการณ์ที่เรามีไปสู่ตรงนั้น

อย่างที่สาม เรื่องของการใช้สื่อ อันนี้เรื่อง SAR หน้าเดียวนี่ชัดเจนมาก เราใช้สื่อช่วยขยาย อาจจะฝากกับเพจ พอเพจเห็นว่าดีเขาก็ช่วยขยาย พอสังคมเห็นว่าดี เขาก็เลยยอมทำตาม นี่ก็ขับเคลื่อนได้

อย่างสุดท้ายพึ่งมาค้นพบตอนที่อยู่กลุ่มครูขอสอนกับ insKru คือ การรวมกลุ่มกันสามารถทำให้เราขับเคลื่อนและเสนอนโยบายได้ในฐานะกลุ่ม อย่างตอนที่กรรมาธิการของสภาเชิญกลุ่มครูขอสอนไป เป็นประเด็นเกี่ยวกับเด็กและการศึกษานี่แหละ แล้วคนที่ว่างก็เป็นผมกับพี่โจ๊ก (ณัฏฐเมธร์ ดุลคนิต) เราก็ไปกันสองคน แล้วก็ไปนำเสนอเชิงนโยบายจากตรงนั้นได้ แสดงว่าการรวมกลุ่มก็สามารถขับเคลื่อนได้ 

ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสื่อ กฎหมาย ความรู้ หรือว่าการรวมกลุ่ม 4 อย่างนี้สามารถขับเคลื่อนสิ่งที่เราเชื่อว่ามันจะสามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาได้ รวมถึงเปลี่ยนแปลงเรื่องอื่นได้ด้วย

ก็ขอบคุณครูกั๊กมากครับที่มาแบ่งปัน ตั้งแต่มิติของเด็กชายกั๊กในอดีต มาเป็นครูในวันนี้ และสิ่งที่ขับเคลื่อนข้างในวิชาตัวเอง คณิตศาสตร์ ห้องเรียน เพื่อนครู และสิ่งที่ขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และมิติของสังคมที่ครูกั๊กช่วยมองและช่วยขับเคลื่อน ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ

Tags:

เทคนิคการสอนพื้นที่ปลอดภัยร่มเกล้า ช้างน้อยวิชาคณิตศาสตร์

Author:

illustrator

สัญญา มัครินทร์

หรือที่รู้จักกันในนาม 'ครูสอญอ' เจ้าของรายการข้างๆ ครูคูล ครูสังคมศาสตร์ที่อยากสร้างห้องเรียนประชาธิปไตย ออกแบบการสอนแบบบูรณาการและเปิดห้องเรียนให้เด็กได้ถกเถียงกันอย่างเมามันส์

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    ‘วิธีหาคำตอบไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว’ ห้องเรียนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการคิดมากกว่าผลลัพธ์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Unique Teacher
    ‘จงทำให้เด็กรู้สึกโชคดีที่มีเราเป็นครู’ ครูคณิตที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษา’ ของครูร่มเกล้า ช้างน้อย (1)

    เรื่อง สัญญา มัครินทร์

  • Voice of New Gen
    Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    ห้องเรียนที่เท่ากัน กับ ความจริงใจที่ไม่ต้องเอาอะไรมาแลก ของครูโปเต้ ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    ห้องแนะแนวที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า อารมณ์ น้ำตา และคนรับฟัง ของครูต้น-เบญจวรรณ บุญคลี่

    เรื่อง The Potential ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel