Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: March 2021

การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.4 พ่อแม่แยกทางกัน ความรักที่มีให้ลูกไม่ควรหารครึ่ง
Family Psychology
3 March 2021

การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.4 พ่อแม่แยกทางกัน ความรักที่มีให้ลูกไม่ควรหารครึ่ง

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • การหย่าร้างของผู้ปกครองย่อมส่งผลกระทบกับลูกไม่มากก็น้อย ซึ่งผลกระทบที่ว่านี้จะส่งผลแค่ระยะสั้นๆ เป็นแผลที่ตกสะเก็ดและหายไป หรือกลายเป็นแผลเรื้อรังที่กัดกินจิตใจพวกเขาไปจนโต ก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของผู้ปกครองแต่ละคน
  • การทะเลาะต่อหน้าลูก หรือพูดให้ร้ายอีกฝ่าย อาจทำให้ลูกเกิดความสับสนและส่งผลกระทบทำให้จิตใจของเขาไม่มั่นคง ลูกจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ และลำบากใจถ้าต้องเลือกระหว่างพ่อหรือแม่
  • พูดความจริงกับลูกตรงๆ พร้อมกับให้เวลาเขาจะเป็นตัวช่วยให้ลูกก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
หมายเหตุ 1 เนื้อหาต่อไปนี้มีการปรับแต่งเนื้อหาและรายละเอียดเพื่อปกป้องสิทธิ์ของคนไข้ แต่โครงเรื่องยังคงไว้เช่นเดิม
หมายเหตุ 2 บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

เด็กหญิงสองบ้าน

พ่อแม่ของเด็กหญิงวัย 8 ปีคนหนึ่ง กำลังอยู่ในกระบวนการหย่าร้าง ทั้งคู่ต่างต้องการให้ลูกสาวมาอยู่กับตัวเอง แต่สำหรับเด็กหญิงแล้วทั้งคู่คือคนที่เธอรัก เธอไม่สามารถเลือกได้ว่าเธออยากอยู่กับใครดี เพราะคำตอบสุดท้ายที่เธอต้องการ คือ การอยู่กับทั้งพ่อและแม่ของเธอเหมือนเดิม

ระหว่างการตัดสินใจ เด็กหญิงต้องอยู่ท่ามกลางพ่อกับแม่ที่ทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน ทั้งคู่ต่างต้องการให้ลูกสาวเข้าข้างตัวเอง จึงใช้วิธีการพูดถึงอีกฝ่ายเสียๆ หายๆ ให้ลูกฟัง ทุกครั้งที่พ่อแม่ของเธอพูดถึงด้านไม่ดีของกันและกันให้เด็กหญิงฟัง เธอจะรู้สึกว่าร่างกายของเธอจะมีตำหนิมากมายโผล่ขึ้นมา

ถ้าหากแม่ของเธอไม่ดี ตัวเธอก็คงไม่ดีด้วย หรือถ้าพ่อของเธอแย่ ตัวเธอก็คงแย่ด้วย เพราะเด็กหญิงรู้ว่า เนื้อกายของเธอส่วนหนึ่งก็มาจากแม่ของเธอและอีกส่วนหนึ่งก็มาจากพ่อของเธอ ดังนั้นเมื่อพ่อตำหนิแม่ ก็เหมือนตำหนิส่วนหนึ่งของเธอด้วย เมื่อแม่เกลียดพ่อ ก็เหมือนเกลียดส่วนหนึ่งของเธอด้วย

บาดแผลที่เกิดขึ้น ทำให้เธอรู้สึกว่า ‘เธอไม่ดีพอ’ และความเศร้าที่เกิดขึ้นจากการที่ ‘รักแท้ที่เธอมักอ่านเจอในตอนจบของเทพนิยายไม่มีอยู่จริง’ เพราะพ่อแม่ของเธอกำลังจะแยกทางกัน โลกทั้งใบของเธอเพิ่งทลายลงไปต่อหน้าต่อตา

บาดแผลที่ส่งผลไปยังวัยผู้ใหญ่

มีงานวิจัยมากมายพบว่า การหย่าร้างที่ยุติไม่ดี มักส่งผลกระทบทางใจต่อเด็ก และส่งผลต่อเนื่องไปยังการแสดงออกทางพฤติกรรมในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นในวัยผู้ใหญ่ ตัวอย่างเช่น…

งานวิจัยของ Silvio Silvestri (1992) พบว่า เด็กหญิงที่พ่อแม่ยุติความสัมพันธ์กันไม่ดี เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอมีแนวโน้มจะไม่พัฒนาความวิตกกังวลในการสร้างความสัมพันธ์ในเชิงคู่รัก เพราะเธอมีแนวโน้มไม่เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ในทางกลับกันเธอกลับต้องการความรักและกลัวการถูกทอดทิ้งเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้งานวิจัยของ David Fergusson และคณะ (2014) พบว่า เด็กชายที่เติบโตมาท่ามกลางการทะเลาะเบาะแว้ง และการใช้ความรุนแรงของพ่อแม่ก่อนการหย่าร้าง เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขามีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงกับคู่รักของตัวเองโดยเจตนา หรือไม่เจตนา

ด้วยเหตุนี้บาดแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยา ไม่เพียงแค่ติดตัวเด็กๆ ไป แต่บาดแผลกลับแผ่ขยายใหญ่โตตามตัวพวกเขาไปด้วย

‘การหย่าร้าง’ สถานะสามีภรรยาหมดลง ความเป็นพ่อแม่ไม่ (ควร) หมดไป

บ่อยครั้งที่เส้นทางการแต่งงานของสองสามีภรรยาไม่อาจไปต่อได้ ‘การหย่าร้าง’ มักเป็นทางออกของเราทั้งคู่ แต่สำหรับคนที่เป็นลูกแล้ว เหตุการณ์นี้ไม่ต่างอะไรกับการที่ตัวของเขาถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งที่รักแม่มาก และส่วนหนึ่งที่รักพ่อมากเช่นกัน แม้ว่าหลังการหย่าพ่อแม่อาจจะต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป แต่สำหรับลูกบางคน ชีวิตของเขาอาจจะหยุดลง ณ วินาทีที่พ่อแม่ยุติความสัมพันธ์

อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นในประเทศไทยมากจนน่าใจหาย อ้างอิงจากข้อมูลสถิติจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครองระบุว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 – 2559 ที่ผ่านมามีคู่แต่งงานที่ตัดสินใจเซ็นใบหย่าเพิ่มสูงขึ้นถึง 33%

ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงการหย่าร้างไม่ได้ เราควรทำอย่างไรเพื่อให้การหย่าร้างครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อใจของลูกและตัวเราให้น้อยที่สุด

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำและไม่ควรทำก่อนการหย่าร้างสิ้นสุดลง

  1. งดการทะเลาะกันต่อหน้าลูก

พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการทะเลาะกันต่อหน้าลูก โดยเฉพาะการมีปากเสียงที่ใช้คำหยาบคาย และการกระทำทางกายที่รุนแรงต่อกัน

  1. ไม่พูดใส่ร้ายซึ่งกันและกัน

พ่อแม่บางคนพูดใส่ร้ายกันเพื่อให้ลูกมาเข้าข้างตัวเอง เพราะสำหรับลูกแล้วเขารักทั้งพ่อและแม่ อย่าทำให้เขาลำบากใจด้วยการให้เขาตัดสินใจเลือกฝั่ง

ในกรณีที่การหย่าร้างเกิดจากอีกฝ่ายทำสิ่งที่ไม่สมควร เช่น การทำร้ายร่างกาย หรือมีพฤติกรรมสุ่มเสียงต่ออันตรายต่างๆ เช่น ติดแอลกอฮอลล์ ติดการพนัน มีความสัมพันธ์ในลักษณะคบซ้อน เป็นต้น พ่อหรือแม่ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ดี แต่พูดได้ว่า… เช่น ในกรณีที่ฝ่ายพ่อมีปัญหา แม่สามารถพูดได้ว่า ‘ตอนนี้พ่อของลูกเจอกับปัญหาส่วนตัวที่ต้องจัดการด้วยตัวเองอยู่ ไม่ใช่ความผิดของลูกที่พ่อมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องแก้ พ่อกับแม่รักลูกมากนะ แต่ลูกต้องให้เวลาพ่อเขาหน่อย ระหว่างนี้ลูกไม่ต้องห่วงแม่จะดูแลลูกเอง’

หรือถ้าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์คบซ้อน ลูกอาจจะถามเราว่า ‘ทำไมพ่อ/แม่ถึงต้องมีคนอื่น พ่อ/แม่ไม่รักเราแล้วเหรอ?’ เราสามารถตอบได้ว่า ‘บางครั้งคนเราทำผิดพลาดกันได้ พ่อของลูกก็เช่นกัน แต่แม่เชื่อว่า ลึกๆ แล้วพ่อรักลูกมาก และที่สำคัญที่สุด คือ แม่รักลูกมาก และจะรักลูกตลอดไป’

  1. เตรียมความพร้อม

ในเรื่องของการแบ่งทรัพย์สิน และการแบ่งภาระการรับผิดชอบดูแลลูก เช่น ค่าดูแลลูก และวันที่พ่อแม่จะเข้ามาดูแลเขา เพื่อให้เกิดผลกระทบในแง่ของความสับสนในตารางเวลาและการใช้ชีวิตของลูกให้น้อยที่สุด

ในกรณีที่ลูกต้องอยู่บ้านพ่อบ้าง บ้านแม่บ้าง ควรจัดตารางแบ่งเป็น วันธรรมดา กับ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แล้วแบ่งกันว่าพ่อหรือแม่จะรับผิดชอบวันไหนเป็นหลัก เพื่อให้ลูกยังมีเวลาอยู่กับพ่อแม่ได้อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของเขาจนเกินไป

  1. พูดความจริงกับลูก

ถ้าพ่อกับแม่รักลูกมาก ควรปล่อยวางเรื่องขัดแย้งส่วนตัว แล้วลงมาคุยกับลูกพร้อมหน้ากัน ใช้เวลาพูดคุยกับเขาว่า…

เกิดอะไรขึ้น…

พ่อแม่ตัดสินใจอย่างไร…

ผลลัพธ์จากการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรกับลูกและครอบครัวเราบ้าง…

ในเด็กเล็กเราควรอธิบายสั้นๆ ไม่ต้องใส่รายละเอียดมากนัก แต่ต้องตรงไปตรงมา ส่วนเด็กโตเขาต้องการข้อมูล แต่เราไม่ควรบอกทุกอย่างๆ ที่ไม่จำเป็น เน้นสาเหตุ และผล และพยายามยึดกับหลักความเป็นจริงให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น

ในเด็กเล็ก อาจพูดว่า ‘พ่อกับแม่มีเรื่องสำคัญจะบอกลูก เราสองคนจำเป็นต้องแยกทางกัน เพราะพ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก เราไม่ได้ชอบสิ่งเดียวกันแล้ว เราไม่อยากให้ครอบครัวเรามีแต่ความเศร้า เราเลยจำเป็นต้องแยกกันอยู่ นี่ไม่ใช่ความผิดของใคร และพ่อกับแม่ยังคงรักลูกไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่ายังไงพ่อแม่ยังเป็นพ่อกับแม่ของลูกตลอดไป’

ในเด็กโต ‘พ่อกับแม่มีสิ่งสำคัญที่ต้องบอกกับลูก ที่ผ่านมาพ่อกับแม่มีเรื่องที่เราไม่เห็นด้วยกันหลายอย่าง ทำให้เราทะเลาะกัน และทำให้ครอบครัวเราไม่มีความสุข พ่อกับแม่จึงคิดว่าเราควรแยกทางกันเพื่อให้เรายังมีความสัมพันธ์ดีๆ เหลือไว้ให้จดจำดีกว่า พ่อแม่ขอโทษที่ทำให้ลูกผิดหวัง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้พ่อกับแม่จะเลิกเป็นสามีภรรยากันแล้ว พ่อกับแม่ยังคงเป็นพ่อกับแม่ของลูกเสมอ ลูกไม่ต้องห่วง เพราะพ่อแม่จะทำหน้าที่ของเราต่อไป’

ณ จุดนี้ เมื่อลูกได้ยินคำอธิบายจากเรา เขาอาจจะร้องไห้ฟูมฟาย ตะโกนใส่หน้าเรา หรือทำอะไรที่แย่ๆ ด้วยความโกรธ ขอให้พ่อแม่อดทนรับฟัง และรอเขา อย่าเร่งให้เขารับรู้แล้วต้องเข้าใจ

ถ้าครอบครัวไหนมีโอกาสปรึกษาจิตแพทย์เด็ก ระหว่างขั้นตอนนี้อาจจะทำให้เราผ่านช่วงเวลาดังกล่าวได้ดีขึ้น ที่สำคัญหากลูกรับไม่ได้ ทั้งแสดงออกให้เราเห็นหรือไม่ก็ตาม (เราควรสังเกตลูกดีๆ) เราสามารถพาลูกไปพบจิตแพทย์ได้ อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะการหย่าร้าง สำหรับเด็กแล้วความสูญเสียที่เขาได้รับทางใจ มันหนักหนาพอๆ กับการที่โลกทั้งใบของเขาถูกทำลาย

ตัวช่วยสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กไปจนถึงวัยประถม หนังสือนิทานและหนังสือวรรณกรรมเยาวชนช่วยได้ อ่านหนังสือเหล่านั้นกับลูกๆ พูดคุยกับลูกถึงความรู้สึก และรับฟังความคิดของลูก เพื่อให้เขาค่อยๆ เข้าใจสถานการณ์ที่เขากำลังจะเผชิญมากขึ้น

สิ่งที่พ่อแม่ควรและไม่ควรทำหลังการหย่าร้างสิ้นสุดลง

  1. งดการทะเลาะกันเมื่อเจอหน้ากัน ต่อหน้าลูก

พ่อแม่ก็ยังควรหลีกเลี่ยงการทะเลาะกันต่อหน้าลูกอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ตาม

  1. พูดคำไหนคำนั้น รักษาสัญญากับลูก

พ่อแม่ควรรักษาคำสัญญาที่มีไว้ให้กับลูก เช่น ทำหน้าที่ดูแลลูกเช่นเดิม ไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนตามตารางเวลาที่ตกลงกับอีกฝ่ายไว้ ให้เวลาคุณภาพกับลูก เช่น เล่น อ่านหนังสือ ทำกิจวัตรประจำวัน ทำงานบ้าน นอนกอดกัน รับฟังเขา เป็นต้น

  1. ให้เวลาลูก และตัวเราเอง

ในกรณีที่พ่อหรือแม่มีความสัมพันธ์ใหม่ ควรให้เวลากับลูกก่อนที่จะแนะนำลูกให้รู้จักกับคนใหม่ เวลาขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคน แต่อย่างน้อยก็ควรผ่านพ้นช่วงเวลาปรับตัวไปแล้ว (ประมาณ 2 – 3 เดือนขึ้นไป)

ทั้งนี้หากเด็กจะแสดงอาการต่อต้าน โกรธเคือง เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ เราต้องให้เวลากับเขา และรับฟังเขาให้มากที่สุด เพราะนอกจากการหย่าร้างจะทำให้เขาสูญเสียครอบครัวเขาไป สำหรับเด็ก การที่แม่หรือพ่อมีคู่รักใหม่ ยิ่งทำให้เขากลัวการสูญเสียพ่อหรือแม่ให้กับคนใหม่ด้วย ดังนั้น เราต้องแสดงความรัก ให้เวลา ให้การรับฟัง ให้ความเข้าใจ อย่าเร่งเขา ความรักรอได้ การยอมรับจะเกิดขึ้นเมื่อ เด็กค่อยๆ รับรู้ว่า ‘เขายังเป็นที่รักเหมือนเดิม และเขาจะมีคนที่รักเขาเพิ่มขึ้นด้วย’

ที่สำคัญ อย่าเร่งรัดตัวเองให้มีความสัมพันธ์ใหม่ เพราะคนใหม่ที่เข้ามาอาจจะไม่ได้เข้ามา เพราะเรารักเขา แต่อาจจะเป็นเพราะเรากลัวความว่างเปล่า ขั้นตอนนี้ถ้าเรากับลูกไม่สามารถผ่านไปได้ด้วยตัวเราเอง เราสามารถขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเด็กและครอบครัวได้

  1. ไม่ควรนินทา พูดว่าร้าย อีกฝ่ายให้ลูกฟัง

เพราะลูกยังต้องการรักและเคารพพ่อกับแม่ของเขาอยู่ ถ้าไม่รู้ว่าควรพูดถึงอีกฝ่ายดีๆ อย่างไร ก็ไม่ควรพูดอะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยง่ายกว่า ถ้าลูกถามให้ตอบอย่างเป็นกลาง งดการพูดทำร้ายจิตใจลูก

  1. ย้ำเตือนคุณค่าในตัวเองกับลูกอยู่เสมอ

หลังการหย่าร้างจบลง เด็กบางคนสูญเสียการรับรู้คุณค่าในตัวเองไป ไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่ที่เผชิญปัญหานี้เลยดังนั้น ย้ำเตือนลูกและตัวเอง ด้วยบอก ‘รัก’ และแสดงความรักต่อเขาเสมอ

ให้เวลา อดทน รับฟัง ไปโทษกัน ช่วงเวลานี้เด็กบางคนอาจจะทำตัวไม่ดี พ่อหรือแม่ไม่ควรทำโทษเขาทางลบ แต่ควรใช้การพาไปสงบด้วยกันในมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน รอเขาระบายทุกความคับข้องใจออกมา รอเขา แม้ว่าอาจจะใช้เวลารอหลายชั่วโมงก็ตาม สงบแล้วกอดเขาให้แน่น สอนเขาว่า ที่เขาทำนั้นไม่เหมาะสม แม่หรือพ่ออยากให้ลูกทำอะไร เช่น อาจใช้ประโยคบอกเล่าว่า แม่ + อยาก + ให้ลูกทำ… แทนการกล่าวโทษซ้ำเติม

ถ้าหนักหนาเกินทานทน การพาเด็กไปพบผู้เชี่ยวชาญ (จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักเล่นบำบัด นักศิลปะบำบัด นักดนตรีบำบัด และอื่น) อาจจะช่วยให้เขาผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวได้ดีขึ้น

  1. ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษใคร

บางครั้งเราพยายามโทษตัวเองและอีกฝ่ายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้เราเดินต่อไปข้างหน้าได้ เมื่อชีวิตเราหยุดอยู่กับที่ ลูกของเราก็อาจจะหยุดอยู่กับเราเช่นกัน แม้จะไม่สามารถให้อภัยได้ นั่นก็ไม่เป็นไรอีกเช่นกัน ไม่ต้องมองไปไกลถึงวันที่ใจเรากับลูกหายดี ขอแค่วันนี้เราได้เติมรักให้ตัวเองกับลูกหรือยังก็พอ ถ้ายัง ให้หันกลับไปมองลูก บอกเขาว่า ‘รักลูกนะ’ กอดเขาแน่นๆ แล้วชวนกันลุกไปทำกิจกรรมสักอย่าง ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เมื่อแต่ละวันผ่านไปได้ ชีวิตเราจะค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าเอง

  1. จัดบ้านใหม่

บางที่ข้าวของเครื่องใช้บางอย่างอาจจะทำให้เรานึกถึงอีกคน การจัดบ้านช่วยให้เราจัดการกับใจตัวเองได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง เลือกไว้ในสิ่งที่ทิ้งความทรงจำดีๆ ไว้กับเราและลูก ในขั้นตอนนี้

ถ้าลูกโตพอ พูดคุยกับเขา อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าตัดสินใจจัดบ้านคนเดียว เพราะลูกก็มีความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ไม่แพ้กันกับเราเช่นกัน

  1. ดูแลตัวเอง เท่ากับดูแลลูก

บางคนโฟกัสแต่ดูแลสภาพจิตใจลูก จนลืมดูแลตัวเอง ผลลัพธ์คือ ‘เละเทะ’ ดังนั้น ดูแลใจเราให้ดี ดูแลสุขภาพเราให้พร้อม จากนั้นเราจะดูแลลูกเราได้ดีขึ้น ถ้าใจไม่ไหว อย่าลืมขอความช่วยเหลือจากคนที่เราไว้ใจ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ

สุดท้าย ทุกคนต้องมีชีวิตต่อไป แต่เรามีสิทธิ์เลือกเสมอว่า ‘เราอยากมีชีวิตแบบไหน’

ขอเป็นกำลังใจคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านที่ต้องยืนเดี่ยวเพื่อลูก เราไม่ได้สู้เพียงลำพัง ลูกเราต้องการเรา

ถ้าวันนี้เหนื่อยล้า ให้เราพักก่อน วันพรุ่งนี้ มองหน้าลูก กอดเขาเเน่นๆ บอกเขาชัดๆ ‘พ่อ/เเม่ รักลูกมาก และจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ’

หวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์กับหลายๆ ท่านที่เผชิญปัญหานี้อยู่ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ ท่านผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ และเติบโตต่อไปอย่างเข้มแข็ง

อ้างอิง
Silvio Silvestri, “Marital Instability in Men from Intact and Divorced Families: Interpersonal Behavior, Cognitions and Intimacy,” Journal of Divorce and Remarriage 18, (1992): 79-106.
David M. Fergusson, Geraldine F. H. McLeod, and L. John Horwood, “Parental Separation/Divorce in Childhood and Partnership Outcomes at Age 30,” Journal of Child Psychology & Psychiatry 55, no. 4 (2014): 352, 357

Tags:

การเลี้ยงลูกThe Untold Stories

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    Wednesday’s child : แค่ความรักที่พร่อง (ของพ่อแม่) ไม่ได้ทำให้เด็กสูญเสียคุณค่า

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.1 ชวนสำรวจว่าเรากำลังเป็นพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์อยู่หรือเปล่า?

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    เพราะไม่ว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราก็ต้องการความรักและความสนใจจากพ่อแม่เหมือนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Early childhoodFamily Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้
Learning Theory
2 March 2021

สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การที่ครูสร้างบรรยากาศแห่งความหวังและการมองโลกแง่ดีในห้องเรียน จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความเชื่อมั่นว่า ตัวเองสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงได้ โดยเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวขาดแคลนมักไม่กล้าตั้งความหวังสูง ไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ
  • บทความนี้จะชวนคุณครูสร้างความมั่นใจให้นักเรียนผ่านเครื่องมือ 5 ชิ้น คือ 1.เกมเปลี่ยนบทบาท 2.แสดงหลักฐานความสำเร็จของนักเรียนรุ่นก่อนๆ 3.เปลี่ยนเกม 4.มุ่งเป้าที่ mastery และ 5.สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ
อ่านบันทึกตอนที่ 1 Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน และตอนที่ 2 ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต

สาระหลักในบันทึกนี้ คือ ครูสามารถสร้างบรรยากาศแห่งความหวังและการมองโลกแง่ดีในชั้นเรียน ให้นักเรียนเกิดความเชื่อมั่นว่า ตัวเองสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงได้ มองอีกมุมหนึ่งเป็นการสร้างแรงบันดาลใจนั่นเอง

มีผลงานวิจัยบอกว่า การมีความหวังต่อความสำเร็จ มี effect size ต่อผลการเรียนสูงถึง 1.44 โดยเฉพาะนักเรียนที่มาจากครอบครัวขาดแคลนมักไม่กล้าตั้งความหวังไว้สูง หรือไม่มั่นใจว่าตนจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงได้ ครูจึงต้องมีเครื่องมือสำหรับใช้เปลี่ยนใจนักเรียนให้มีความมั่นใจ โดยในหนังสือเสนอเครื่องมือ 5 ชิ้น คือ 1.เกมเปลี่ยนบทบาท 2.แสดงหลักฐานความสำเร็จของนักเรียนรุ่นก่อนๆ 3.เปลี่ยนเกม 4.มุ่งเป้าที่ mastery และ 5.สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ

เกมเปลี่ยนบทบาท

เป็นเกมเปลี่ยนความคิดซึ่งมี 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ให้นักเรียนแต่ละคนตอบคำถามว่า เมื่อโตขึ้นต้องการเป็นอะไร หรือประกอบอาชีพอะไร เป็นการชวนคิดถึงอนาคตการทำงานของตน และความฝันของตนว่าอยากทำอะไร เป็นอะไร ส่วนขั้นตอนที่ 2 ให้ตอบคำถามว่าบุคคลผู้นั้น (ที่ประกอบอาชีพอย่างที่นักเรียนอยากเป็น) เขาเรียนอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร แสดงบทบาทในชั้นเรียนอย่างไร

เป็นการช่วยให้นักเรียนหลุดพ้นออกจากความคิด หรือความเคยชินเดิมๆ โดยการสวมบทบาทใหม่ แล้วย้อนกลับมาบอกตัวเองให้เปลี่ยนพฤติกรรมในขณะนั้น

แสดงหลักฐานความสำเร็จของนักเรียนรุ่นก่อนๆ

เพื่อให้นักเรียนเห็นว่าความสำเร็จเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ครูลองจัดให้นักเรียนไปสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จ จัดทำเป็นวิดีทัศน์สั้นๆ นำเอาเรื่องราวมาฉายในห้องเรียน หรือนำมาทำเป็นละครแสดงสด เพื่อยืนยันว่าความฝันในทำนองเดียวกัน หรือยิ่งกว่าที่นักเรียนฝัน เคยมีนักเรียนที่ยากจนข้นแค้นกว่าทำสำเร็จมาแล้ว

ครูอาจสั่งสมนิทรรศการความสำเร็จของนักเรียนรุ่นก่อนๆ นำมาจัดแสดงในวันแรกๆ ของชั้นเรียน หลังจากนั้นอาจนำมาตั้งแสดงไว้ทีละคน คนละ 1 สัปดาห์ อาจนำเรื่องราวของนักเรียนที่อื่นที่มีความยากลำบากในครอบครัว แต่มีความฝันสูง มีความมานะพยายามและบรรลุความสาเร็จได้ในที่สุด

เปลี่ยนเกม

ที่จริงตัวของกิจกรรมเองเป็นเกมเพื่อเปลี่ยนความคิดของนักเรียนในเรื่องความเชื่อว่าตนเป็นใคร ใช้ในสถานการณ์ที่แรงบันดาลใจของนักเรียนถดถอย หรือนักเรียนแสดงท่าทีท้อแท้ เช่น ครูอาจแสดงให้นักเรียนเห็นว่า เยาวชนสามารถใช้ข้อเขียนของตนเปลี่ยนโลกได้ โดยให้อ่านหนังสือที่เขียนด้วยท่าทีมีความหวังหรือมองโลกแง่ดี เช่น บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์ หรือ Invisible Man ที่เขียนขึ้นโดย Ralph Ellison แล้วให้นักเรียนเขียนเรียงความเรื่อง ‘ฉันจะเปลี่ยนโลก’ แล้วให้นักเรียนผลัดกันนั่งที่หน้าชั้นที่สมมติเป็น ‘เก้าอี้นักเขียน’ อ่านข้อเขียนของตนให้เพื่อนฟัง

มุ่งเป้าที่ mastery

ความหมายของ mastery ตามในหนังสือคือ กระบวนการพัฒนาทักษะชีวิต เช่น อิทธิบาท 4 (perseverance) ที่ทำให้นักเรียนพอใจที่จะเรียนสิ่งที่ซับซ้อน และท้าทาย เขาบอกว่า mastery ไม่ใช่แค่มานะพยายาม แต่เป็นเรื่องของฉันทะส่วนตัว เขาบอกว่า mastery มี effect size สูงถึง 0.96 สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถต่ำโปรดสังเกตว่า ความหมายของ mastery ในที่นี้ไม่เหมือนความหมายในหนังสือ How Learning Works ที่ผมตีความแล้วพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร และยังมีบันทึกของผมตอนที่ว่าด้วยเรื่อง นักเรียนพัฒนาการเรียนรู้ให้รู้จริง (mastery learning) ได้อย่างไร อ่านได้ที่นี่

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช้ความหมายตามในหนังสือเล่มนี้ หรือความหมายจากหนังสือ How Learning Works การมุ่งเป้าไปที่ mastery เป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งสิ้น

เพื่อบรรลุ mastery ต้องตั้งเป้าการเรียนรู้ในระดับท้าทาย กำหนดเป้าหมายรายทาง แล้วค่อยๆ ดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายรายทางทีละขั้น

สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ

‘ความเป็นเจ้าของ’ ในที่นี้ หมายถึงเป็นเจ้าของชั้นเรียนและเป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้ เป็นความรู้สึกที่ครูต้องหาทางให้ก่อตัวขึ้นในศิษย์โดยมีวิธีการหลากหลาย ที่ยกตัวอย่างข้างล่างเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ครูสามารถคิดริเริ่มหาวิธีการได้มากมาย

วิธีการหนึ่งเป็นเรื่องวินัย หากนักเรียนทำผิดวินัยบ่อยๆ เจนเซนใช้วิธีแก้แบบยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว คือได้แก้ปัญหาวินัย และได้สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของชั้นเรียนขึ้นในตัวนักเรียนด้วย กลยุทธ์ที่ใช้คือ สร้างวินัยโดยการฟื้นสภาพ (restorative discipline) ไม่ใช่โดยการลงโทษ (punitive discipline)

การสร้างวินัยโดยการฟื้นสภาพ เน้นที่การฟื้นปฏิสัมพันธ์ เช่น เมื่อมีนักเรียนคนหนึ่งทำผิด จะได้รับโอกาสให้ออกไปที่หน้าชั้นและทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรืออาจจัดให้ผู้ทำผิดนั่งเป็นวงร่วมกับเพื่อนและครู มีผู้ดำเนินกระบวนการเรียกว่า mediator ทำหน้าที่ตั้งคำถาม ดังตัวอย่าง ‘เกิดอะไรขึ้น’ ‘เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร’ ‘เราจะช่วยกันทำให้เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องที่ถูกต้องได้อย่างไร’ เป้าหมายคือหาทางให้นักเรียนและครูอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข นักเรียนได้เรียนรู้แบบเข้ม mastery ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

การสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของที่ได้ผลดียิ่งอย่างหนึ่ง คือ ให้ทำงาน ได้มีโอกาสรับผิดชอบ ได้พัฒนาอัตลักษณ์ของตนในนักเรียนระดับอนุบาลถึง ป.5 อาจสร้างการเป็นเจ้าของชั้นเรียนโดยจัด cooperative learning และจัดหน้าที่ในชั้นเรียน ตั้งชื่อแต่ละหน้าที่ให้เก๋ไก๋ ที่โรงเรียนรุ่งอรุณ นักเรียนตั้งแต่ชั้นประถม ผลัดเวรกันทำครัว ปรุงอาหารกลางวันให้เพื่อนทั้งชั้นรับประทาน มีเวรดูแลความสะอาดชั้นเรียนและบริเวณโรงเรียน

ในระดับ ป.6 ถึง ม.6 ครูอาจร่วมกับกรรมการนักเรียนจัดทำรายการตำแหน่งงานในชั้นเรียน พร้อมทั้งบอกคุณสมบัติหรือสมรรถนะของผู้มีสิทธิ์สมัคร ให้ผู้สมัครส่งประวัติความสามารถ (resume) ของตน พร้อมทั้งเข้ารับการสัมภาษณ์ นักเรียนทำหน้าที่ในแต่ละตำแหน่งเป็นเวลา 5 – 6 สัปดาห์ และได้รับการบันทึกไว้ในประวัติการเรียน

  • เปลี่ยนวาทกรรม เปลี่ยนพฤติกรรม

เพื่อสร้างชุดความคิดห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้มให้แก่ศิษย์ ครูต้องเปลี่ยนวาทกรรมของตนเอง จาก ‘ฉันมีหน้าที่สอนเนื้อหาวิชาความรู้ หากคุณต้องการให้นักเรียนเรียนได้ดี จงบอกให้เขาตื่นและตั้งใจเรียน ห้องเรียนไม่ใช่สถานบันเทิง ไปสู่วาทกรรม’ เปลี่ยนเป็น ‘ฉันโฟกัสที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน และเชื่อมโยงสู่กระบวนการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของทุกวัน’

  • ใคร่ครวญสะท้อนคิด และตัดสินใจ

หน้าที่หลักของครู คือ สร้างสภาพที่เอื้อต่อการเรียนรู้สูงสุด เน้นที่ตัวนักเรียน เหนือสิ่งอื่นใดคือ ต้องใช้ช่วงแรกของเวลาเรียนปลุกพลังในตัวนักเรียน สร้างสภาพบรรยากาศที่ในขณะนั้นนักเรียนมีความตื่นตัวเพื่อการเรียนรู้สูงสุด บุคคลหมายเลข 1 ที่มีความสำคัญที่สุดในการสร้างบรรยากาศนี้คือ ครู

ผมเคยไปเห็นวิธีที่ครูใช้ปลุกพลังนักเรียนวัยรุ่นชั้น ม.2 ตอนเริ่มชั้นเรียน ที่โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ จ.ศรีสะเกษ โดยครูให้นักเรียนเต้นแอโรบิก 15 นาทีก่อนเรียนช่วงบ่ายเพื่อปลุกสมอง ทั้งครูและนักเรียนยืนยันว่าทำให้ผลการเรียนดีขึ้น เสียดายที่ค้นบันทึกที่ลงไว้ไม่พบ

บทความนี้มาจากหนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ซึ่งได้รับความกรุณาจากผู้เขียนทั้งสองท่านให้นำมาเผยแพร่ เป็นบทความที่ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) โดยผู้เขียนตีความให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งเรื่องเล่าจากห้องเรียนในประเทศไทยที่นำสาระของบทความนี้ไปใช้บันทึกนี้เป็นบันทึกที่สุดท้ายใน 3 บันทึก

(อ่านบันทึกที่ 1 และบันทึกที่ 2) ภายใต้ชุดความคิดห้องเรียนที่มีบรรยากาศเรียนเข้ม (rich classroom climate mindset) ตีความจาก Chapter 12 : Foster Academic Optimism เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู

Tags:

เกมสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนRich classroomการตั้งเป้าหมายเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ชวนครูสร้างพื้นที่ปลอดภัย ช่วยให้นักเรียนกล้าเสี่ยงที่ผิดพลาด แล้วเขาจะเติบโต

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset: ชวนสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องเรียน ให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับนับถือจากครูและเพื่อน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
1 March 2021

โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • แม้สังคมจะเริ่มยอมรับความหลากหลายทางเพศ แต่หลายครอบครัวก็ยังกังวล ทั้งจากความไม่เข้าใจและความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย การเปิดใจคุยกันจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้เด็กๆ ได้เติบโตในแบบของตัวเองและมีความสุขอย่างแท้จริง
  • แม่ตุ๊ก-อังสุมาลิน อากาศน่วม ถ่ายทอดประสบการณ์ในฐานะแม่ของลูกหลากหลายทางเพศ “…หลายคนเมื่อเริ่มสงสัยว่าลูกเป็น LGBTQ+ มีความกังวลอยู่มาก ใจเย็นๆ ค่ะ ตั้งสติก่อน LGBTQ+ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย LGBTQ+ คือคนธรรมดา เขาไม่ได้เป็นคนโรคจิต ไม่ได้ผิดปกติ เพียงแต่ว่าเราอาจจะยังไม่ได้ศึกษาความหลากหลายทางเพศที่ลื่นไหลไปไกลกว่าแค่ กะเทย ทอม ดี้”

ภาพ : ปริสุทธิ์

มีคนถามว่า “ต๊าย…เธอเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นแบบนี้” 

เราก็ตอบกลับไปว่า เลี้ยงลูกแบบให้มีความสุขไงคะ ลูกอยากเป็นอะไรก็ปล่อยให้เป็น เพราะสำหรับ แม่ตุ๊ก-อังสุมาลิน อากาศน่วม เจ้าของเพจ ‘LGBTQ+’s Mother: แม่ของลูกหลากหลายทางเพศ’ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้เห็นลูกเติบโตอย่างมีความสุขในสิ่งที่เขาเลือก

เมื่อตั้งโจทย์ไว้เช่นนั้น การเปิดใจทำความรู้จักและยอมรับในความหลากหลายทางเพศของคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ทว่าด้วยความซับซ้อนของสังคมในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งด้านที่เปิดกว้างและคับแคบ แม่ตุ๊กได้ใช้ความรู้ความเข้าใจของตัวเองมาสื่อสารและเรียนรู้ไปกับพ่อแม่ผู้ปกครองหัวอกเดียวกันที่อาจกำลังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ขณะเดียวกันก็ใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นตัวช่วยให้เด็กๆ ที่มีความหลากหลายทางเพศได้เข้าใจตัวเอง พอๆ กับเข้าใจผู้อื่น 

ที่สำคัญคือ เพื่อให้พวกเขารู้จักปกป้องสิทธิของตัวเอง เช่นเดียวกับการไม่ละเมิดสิทธิคนอื่นด้วยเหตุแห่งความแตกต่างด้วย

เพจ LGBTQ+’s Mother: แม่ของลูกหลากหลายทางเพศ มีที่มาอย่างไรคะ

ก็คือ ลูก (ปาร์คเกอร์) มาบอกว่าเขาเป็น LGBTQ+ แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า อยากจะเข้าใจเขา ตอนแรกยังไม่ได้เปิดเพจ แต่ลูกบอกว่าอยากจะไปทำกิจกรรมกับกลุ่ม Non-binary เราก็เอ๊ะ! คืออะไร ทีนี้เขามีนัดกับกลุ่มทำกิจกรรมกัน ด้วยความที่เรากับลูกสนิทกันมาก เมื่อลูกถามว่า “แม่อยากไปไหมล่ะ ถ้าแม่อยากไปก็ไปได้” ก็เลยตามไปดูสิว่าเขาทำอะไรกัน แล้วกลุ่มนี้มันคืออะไร

ต้องบอกว่าตัวเราเองมีความรู้เรื่อง LGBTQ+ ก็แค่ เกย์ กะเทย เลส ทอม ดี้ Bisexual เรารู้แค่นั้น แต่ Queer กับ Non-binary คือคำใหม่สำหรับเรา พอได้มาทำกิจกรรมกับลูก เราก็เห็นว่าเอ๊ะ! ทุกคนดูตื่นเต้นว่าทำไมถึงพาแม่มาได้ แม่ไม่ห้ามเหรอ ปฏิกิริยาคนรอบข้างมันทำให้เรารู้สึกว่า มันเป็นเรื่องแปลกเหรอที่พ่อแม่ผู้ปกครองมากับลูก หรือการที่เราไม่ต่อต้านในสิ่งที่เขาเป็น มันแปลกมากเหรอ

ในกลุ่มนักกิจกรรมด้วยกัน เราจะเห็นว่าหลายๆ คนก็มีปัญหาในเรื่องการยอมรับ การถูกบูลลี่ บางทีเราอาจจะมองเขาผิวเผินเกินไป การปฏิบัติกับเขา การใช้คำพูด บางครั้งเราไม่ได้คิดให้ลึกซึ้ง หรืออาจลืมไป เพราะเราไม่ได้เป็นเขา เราก็เห็นในสังคมทั่วๆ ไป เขาก็พูดกับแบบนี้ เล่นกับแบบนี้ แต่บางคำพูดหรือการแสดงออกบางอย่างมันไปกดทับคนที่เป็น LGBTQ+ ให้เขารู้สึกเหมือนถูกบูลลี่ และเป็นการไปลดคุณค่าเขา

แม้แต่เรากับลูกเองก็เจอปัญหานี้ในช่วงแรกๆ เพราะเขาเคยเป็นเด็กผู้หญิง แล้วเราก็เลี้ยงเขามาอีกแบบหนึ่ง พอโตมาเขาบอกว่าเขาไม่ใช่นะ เขาไม่ใช่ผู้หญิง เขาเป็นผู้ชาย ตัวตนเขาเป็นแบบนี้ แล้วเขาก็ขอไปเทคฮอร์โมนด้วย นอกจากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายแล้ว ก็ยังความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ด้วยที่เราจะต้องดูแลเขา เลยต้องมีการปรับตัวกันเยอะเหมือนกัน และเราเองก็ยังมีความกังวลว่า… ลูกเราจะใช้ชีวิตลำบากในสังคมนี้ สังคมที่ไม่ได้เปิดกว้างอย่างที่คิด

อีกอย่างการสื่อสารกับพ่อแม่ เพื่อนปาร์คเกอร์หลายคนถามว่า “คุณแม่คะ หนูจะไปคุยกับที่บ้านอย่างไรดี” “ทำยังไงให้เขายอมรับได้” ถ้าอย่างนั้นฉันเปิดเพจแล้วกัน หวังว่าพื้นที่ตรงนี้จะเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทำให้คนที่กำลังเผชิญกับเรื่องแบบนี้อยู่รู้สึกว่าเขามีเพื่อนคุยที่เข้าใจเขา เป็นศูนย์กลางให้ทั้งพ่อแม่และลูกได้ลองเปิดใจทำความรู้จักความหลากหลายทางเพศที่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร 

แม่ตุ๊ก กับปาร์คเกอร์

เพื่อให้เป็นตัวอย่างว่าจริงๆ แล้ว การที่มีลูกเป็น LGBTQ+ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย และสำหรับแม่ การที่ปาร์คเกอร์เปิดตัวแบบนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อการใช้ชีวิตเลย ถามว่ามีคนเคยมาพูดแอนตี้ไหม มีนะ ต๊าย…เธอเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นแบบนี้ เธอเลี้ยงลูกแบบไหนเนี่ย แม่ก็ตอบว่า ก็เลี้ยงลูกแบบลูกให้มีความสุขไงคะ ลูกอยากเป็นอะไรก็ปล่อยให้เป็น นั่นคือ Point ของฉัน

แล้วการที่เราออกไปทำกิจกรรมกับลูกทำให้หลายๆ คนเห็นว่าบ้านนี้เขายอมรับ เขาก็มีความหวังว่าสักวันพ่อแม่เขาน่าจะรับได้บ้าง คนถามเยอะว่าทำไมคุณแม่ยอมรับ เราก็ถามกลับไปว่าแล้วทำไมต้องไม่ยอมรับล่ะ ในเมื่อมันเป็นตัวเขา แล้วการที่เขาเป็นอะไรมันไม่ได้เดือดร้อนใครนะคะ

ในเพจแม่ตุ๊กรับบทเป็นที่ปรึกษาให้กับพ่อแม่และลูก มีเคสเข้ามาปรึกษาเรื่องอะไรบ้าง แล้วให้คำแนะนำอย่างไร

ส่วนมากในเพจจะเป็นลูกๆ ไม่มีพ่อแม่เข้ามาเลย เราจะได้คุยกับพ่อแม่ก็ในงานกิจกรรมต่างๆ แล้วเด็กๆ ที่เข้ามาปรึกษาส่วนใหญ่ก็จะเป็นคำถามประมาณว่า “ทำยังไงดีที่บ้านไม่ยอมรับ” อันนี้คือ point หลักที่เจอเลย เราก็ตั้งใจเปิดเพจมาเพื่อแบบนี้แหละค่ะ มีเรื่องไม่สบายใจมาคุยกับแม่ได้ ทำให้มีแฟนคลับที่เป็นลูกๆ งอกขึ้นมาเยอะมาก

สำหรับคำแนะนำที่มักบอกเสมอ คือ บางทีเราต้องให้เวลาครอบครัวในการยอมรับด้วย หรือบางทีปาร์คเกอร์เขาก็ให้คำแนะนำเหมือนกัน อย่างพวกคำถามที่ว่า อยากเปิดตัวกับพ่อแม่ทำยังไงดี เขาก็แนะนำว่า ลองโยนหินถามทาง คุยเรื่อง LGBTQ+ กันดูก่อน แล้วดูว่าพ่อแม่มีทัศนคติยังไง แอนตี้ไหม ถ้ายังแอนตี้อยู่ก็พยายามจะเล่าถึง LGBTQ+ ที่เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือ คนที่ประสบความสำเร็จ อย่างประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกาเขาก็ตอบรับ LGBTQ+ มีรัฐมนตรีที่เป็น LGBTQ+ เราก็สามารถจะอ้างได้ พูดได้ว่านี่ไงอย่างแคนาดาในคณะของผู้บริหารก็มีรัฐมนตรีที่เป็น LGBTQ+ ตั้งหลายคน

แต่ถ้ายังแอนตี้มากๆ ก็หยุดก่อนค่ะ ไม่ปลอดภัย อย่าเพิ่งเปิดตัว แต่ลองหาคนในครอบครัวคนอื่นๆ ที่พอจะคุยได้ก่อน มันต้องมีบ้างสักคน ถ้าในบ้านไม่มีดูญาติพี่น้อง เริ่มหาพวกก่อนแล้วค่อยๆ มาโน้มน้าวทีละนิดทีละหน่อย คือต้องเข้าใจเหมือนกันว่าบางคนเขาถูกสอนมาอย่างเข้มงวดจริงๆ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายมาก เป็น โฮโมโฟเบีย (Homophobia) หรือ อาการเกลียดกลัวคนที่เป็น LGBTQ+

ซึ่งอันนี้ก็ต้องบอกว่าสื่อก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สื่อคุณควรคำนึงถึงสังคม ไม่ควรจะสร้างภาพจำแบบนั้น ทำให้ครอบครัวยิ่งยอมรับยาก การสร้างภาพจำที่ว่า กะเทยจะต้องตลก ต้องโอเวอร์แอคติ้ง มันทำให้คนที่เป็นผู้ปกครองจินตนาการไปแล้วว่า ถ้าลูกฉันเป็นจะต้องเป็นแบบนั้น ซึ่งเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรานี่แหละ

บางทีเราอาจจะต้องเรียนรู้มากขึ้น มีกรณีที่คนถามเยอะมากคือ อย่างเป็นชายข้ามเพศ (transman) หรือ หญิงข้ามเพศ (transwoman) จำเป็นไหมจะต้องชอบขั้วตรงข้าม พูดง่ายๆ สมมติแต่งหญิงแต่ชอบผู้หญิง ทุกคนงงว่าแล้วจะเป็นทำไม ต้องแยกว่า ‘อัตลักษณ์ทางเพศ’ กับ ‘รสนิยมทางเพศ’ ไม่เกี่ยวกันเลย 

บางคนเขารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชาย อย่างปาร์คเกอร์เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แต่อาจจะชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็ได้ เขาเป็น  Aromantic asexual transman คือเขาก็ไม่ได้อยากแปลงเพศ ความเป็นทรานส์ของเขาคือ ไม่ได้อยากจะ transformation เปลี่ยนแปลงทั้งหมด อันนี้พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกเป็น LGBTQ+ ที่เขาอยากจะเปลี่ยนสภาพตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องของสุขภาพที่สำคัญมาก

คนที่เป็นทรานส์จะชัดเจนมากว่าเขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากเทคฮอร์โมน อยากแปลงเพศ อยากทำหน้าอก หากไม่สามารถคุยกับที่บ้านได้ แล้วถ้าเขาอยากจะเปลี่ยนสภาพร่างกายตัวเอง ก็ต้องใช้เงิน ยิ่งถ้าไม่มีเงินอาจจะแอบไปซื้อยามากินเอง แอบไปผ่าตัด ซึ่งมันอันตรายมาก ถ้าพ่อแม่บอกไม่รู้หรอกว่าลูกเป็นอะไรก็ปล่อยลูก แต่ปล่อยไปโดยไม่ได้สนใจ แล้วเวลาที่เขามีปัญหาจะไม่ได้รับรู้หรือช่วยเหลือเขา 

บางคนไม่ยอมรับตัวเองด้วย เพราะรู้ว่ารอบข้างไม่ยอมรับแน่ๆ ก็พยายามจะกดตัวเองไว้ ตำหนิตัวเอง ลงโทษตัวเอง ฉันไม่ดีพอ ฉันทำให้ทุกคนผิดหวัง เราเคยไปเป็นวิทยากรของยูเอ็น เขามีรายงานการศึกษาวิจัยในเอเชีย ในประเทศไทยเรื่อง LGBTQ+ ซึ่งมีประมาณ 60% ที่อยู่ในภาวะเป็นโรคซึมเศร้า และกว่า 50% ที่เคยคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งมันเยอะมาก 

ครั้งล่าสุดที่ไปงานยูเอ็นมีอาจารย์คนหนึ่งทำวิจัยเกี่ยวกับคนที่เป็น  transwoman ในพัทยาที่ทำงานเป็น เซ็กส์เวิร์กเกอร์ พบว่าปัญหาของคนกลุ่มนี้คือการถูกเลือกปฏิบัติ ถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ได้รับความเท่าเทียม แต่ส่วนมากจะไม่ขอความคุ้มครองทางกฏหมาย และไม่บอกแม้แต่ครอบครัว  เพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นตัวปัญหา ก็ไม่ควรจะสร้างปัญหาเพิ่มหรือเรียกร้องอะไร ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ทำให้เขาคิดว่าการได้รับการปฏิบัติแบบนี้สมควรแล้ว แต่มันไม่ใช่ ดังนั้นความรู้สึกกับตัวเอง การยอมรับตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก 

แล้วส่วนมากพ่อแม่ที่ไม่ได้ห้าม แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าถามลูกเรื่องแบบนี้ มันเลยไม่เกิดการสื่อสารกัน คือเป็นการยอมรับโดยปริยาย ลูกเองก็ก่ำกึ่งว่าการที่แม่เงียบนี่ตกลงแม่รับได้หรือจำใจยอมรับหรือเปล่า ลูกก็เกิดกำแพงไม่กล้าเข้าไปคุยกับแม่ เหมือนกับว่าถ้ายิ่งพูดจะยิ่งทำให้พ่อแม่ผิดหวังมากขึ้น เลยไม่ได้เปิดใจกัน ทำให้มีช่องว่างระหว่างกัน 

สังเกตดูคนที่เป็นแบบนี้ที่บอกว่าที่บ้านก็รับได้ คำว่า ก็รับได้ เหมือนกับว่า ก็ไม่รู้ เขาทำอะไรกับฉันไม่ได้ ฉันก็จะเป็นยังนี้ แต่ไม่ได้คุยกัน คนกลุ่มนี้เวลาอยู่ในสังคมเขาจะเซนซิทีฟกับคำพูดของคนมาก คนรอบข้างจะรู้สึกยังไงกับเขา สิ่งที่เราเห็นชัดคือ เขาจะไม่มั่นใจในตัวเอง และเขาจะแคร์เสียงคนรอบข้างมาก

มีคนเคยถามว่า ถ้าสมมติว่ามีคนไม่เห็นด้วยมาพูดกับคุณแม่ แล้วคุณแม่จะทำยังไง เราตอบคำเดียวเลยว่า ไม่สนใจค่ะ เพราะคนเราชอบพูดเรื่องชาวบ้าน แต่ถามว่าสนใจไหม ไม่ เดี๋ยวก็ลืม ไม่มีใครสนใจใครจริงๆ จังๆ บางทีคนพูดก็แค่อยากพูดเพื่อความสะใจแต่ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ ในการใช้ชีวิตเรารับผิดชอบตัวเราเองอยู่แล้ว เพราะงั้นอย่าไปแคร์คนอื่นมากเกินไป เพราะบางคนที่พูดเขาไม่ได้หวังดีกับเราด้วยซ้ำ แล้วยิ่งคนที่พูดไม่ได้สำคัญกับชีวิตเรา ก็ควรมองข้ามไป

ถ้าเราสังเกตเห็นลูกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เป็นอะไรก็ตามที่ไม่ได้จำกัดแค่หญิงชาย ซึ่งเขาอาจกำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ สิ่งที่แม่ควรจะทำเป็นอันดับแรก?

สำหรับครอบครัวเรา ในช่วงแรกๆ ที่คุณตาคุณยายรู้เขาก็ไม่เข้าใจ เราถามคำเดียวเลยว่า รักลูกรักหลานไหมล่ะ อยากให้เขามีความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่พยายามเข้าใจเขาก็จะออกไปข้างนอกนะ ก็เห็นตัวอย่างกันมาแล้วว่าคนที่ที่บ้านไม่ยอมรับเขาเป็นยังไง เข้าใจว่าคุณตาคุณยายเขาก็เป็นห่วงว่าหลานจะปลอดภัยไหม ในสังคมตอนนี้ ถ้าเกิดยังไม่เป็นที่ยอมรับแล้วเขาเปิดตัวไปจะโดนต่อต้านหรือเปล่า จะใช้ชีวิตในสังคมยังไง แต่สุดท้ายก็เปิดใจยอมรับได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขของลูกและหลาน

เราคิดว่าพ่อแม่หลายคนสังเกตเห็น แต่ยังไม่ฟันธง คือทุกคนก็ไม่อยาก และคิดว่าไม่หรอก ไม่เป็นหรอก เพราะหนึ่ง อาจจะเป็นคนที่รับไม่ได้เลย สอง อย่างตอนลูกเราก็ยังไม่ฟันธง เราก็มีความกังวลนิดๆ ว่าถ้าเขาเป็นจริงๆ อาจอยู่ยาก ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับ มันเป็นสิ่งที่เรากังวลแทนเขา เพราะเราเห็นจากในข่าวมาเยอะว่าเด็กบางคนเป็น LGBTQ+ แล้วไปเรียนหนังสือ โดนอาจารย์กลั่นแกล้ง โดนรังเกียจ โดนต่อต้าน โดนเลือกปฏิบัติ เราก็กลัว 

อีกอย่างบ้านเรายังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น ถึงแม้ใครจะบอกว่า บ้านเราเป็นสวรรค์ของ LGBTQ+ ซึ่งมันไม่ได้มีบริบทอะไรที่มารองรับ และยังมีเงื่อนไขอีกมาก คนที่ถูกยอมรับจะต้องมีเงื่อนไขมาทำให้เป็นที่ยอมรับหนักมาก ต้องเก่ง ต้องเป็นคนดี ต้องประสบความสำเร็จ ต้องพิสูจน์ตัวเองมากมายเพื่อให้มีที่ยืนในสังคม

หลายคนเมื่อเริ่มสงสัยหรือคิดว่าลูกเป็น LGBTQ+ มีความกังวลอยู่มาก ฉันจะทำยังไงดี ใจเย็นๆ ค่ะ ตั้งสติก่อน LGBTQ+ ไม่ผิดกฎหมายค่ะ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย LGBTQ+ คือคนธรรมดา เขาไม่ได้เป็นคนโรคจิต ไม่ได้ผิดปกติ เพียงแต่ว่าเราอาจจะยังไม่รับความรู้ใหม่หรือยังไม่ได้ศึกษาความหลากหลายทางเพศที่ลื่นไหลไปไกลกว่าแค่ กะเทย ทอม ดี้

แล้วถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นอะไร หาข้อมูลค่ะ ตอนนี้บนโลกโซเชียลมีข้อมูลเยอะมาก ถ้าเข้าไม่ถึงก็มีหลายหน่วยงานที่ให้ความรู้เรื่องนี้ อย่าง สสส. ก็จะมีให้ความรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศ หรือจะเข้ามาพูดคุยกับเราก็ได้ ถ้าเริ่มหาข้อมูลคุณจะเห็นว่า LGBTQ+ ในระดับสากลก็เป็นที่ยอมรับ 30 ประเทศทั่วโลกผ่านกฎหมายสมรสบุคคลเพศเดียวกัน คือ คนเพศเดียวกันสามารถที่จะจดทะเบียนสมรสและได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ตอนนี้ก็คือประเทศชั้นนำอย่างอเมริกา แคนาดา เยอรมัน อังกฤษ หรือไต้หวัน รวมถึงประเทศแถบยุโรปก็ยังผ่านแล้ว

แม้แต่  WHO ก็ประกาศตั้งแต่ปี 1970 ว่าคนที่มีความหลากหลายทางเพศคือคนปกติ เขาถอดออกจากบัญชีที่เคยบอกว่าเป็นโรคจิต ถอดออกนานกว่า 30 ปีแล้ว แต่คนไทยอาจจะยังไม่ได้มีการสื่อสารใหม่อย่างทั่วถึง ทั้งในวงการการศึกษาด้วย ต้องบอกว่าปัจจุบันแบบเรียนสุขศึกษาของเรา ก็มีการรีไวซ์ใหม่ ในปี 2562 ใส่เรื่องของความหลากหลายทางเพศลงไป นั่นคือเรามีการผลักดันทั้งภาครัฐ ทั้งการทำกิจกรรมแบบใหม่ๆ ให้ความรู้กับคนทั่วไป เพื่อที่จะทำให้เปลี่ยนทัศนคติเดิมๆ อยากจะให้คนที่เป็นพ่อแม่มองดูปัจจุบัน อย่าไปยึดติดกับอดีต ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นตลอดเวลา

เพราะการไม่ถูกยอมรับจากคนในครอบครัว มีผลกระทบต่อจิตใจคนเป็นลูกมาก รุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะซึมเศร้าได้เลย อย่างเพื่อนสนิทคนหนึ่ง พอจบมหาวิทยาลัยเขาเริ่มเปิดตัวเอง เริ่มสงสัยว่าตกลงฉันเป็นอะไรกันแน่ และมีภาวะซึมเศร้าแบบรุนแรง เพราะว่าไม่รักษาด้วย แล้วที่บ้านแม่เขาก็ไม่ยอมรับ เนื่องด้วยเป็นบ้านคนจีน พ่อแม่ก็พยายามบอกหมอทุกคนว่าทำยังไงก็ได้รักษาให้ลูกเขาหายจากการเป็นกะเทย (เขาคิดว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่หมอสามารถจะรักษาหายได้) ซึ่งเพื่อนคนนั้นเขากินยาฆ่าตัวตายหลายรอบ 

นี่เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ที่บ้านเรารู้สึกว่าคนเป็น LGBTQ+ เขาลำบากมากๆ แล้วไม่มีความสุขเลย เหมือนกับทุกข์ทรมานใจว่าทำไมพ่อแม่ไม่ยอมรับ เขาทำอะไรผิด พอมาถึงลูกเรา มันก็ง่ายขึ้นในการจะสื่อสารตรงนี้กับคนในครอบครัว

ปาร์คเกอร์เอง เขาก็เป็นซึมเศร้านะคะ แต่ก็ไปพบแพทย์ตลอด คือกว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร กว่าที่เขาจะกล้าเปิดเผยกับเรา เขาต้องไปตีกับตัวเอง ต้องผ่านความสับสนอยู่นาน เขาเคยมาบ่นๆ กับเราว่า เขาไม่เหมือนเพื่อนเขาเลย เข้ากับเพื่อนไม่ได้ ไม่รู้จะเข้ากลุ่มไหน 

เราก็รู้สึกว่ามันเป็นช่วงยากของวัยรุ่นมากๆ กว่าที่เด็กคนหนึ่งจะรู้ว่าสิ่งที่เขาเป็นคืออะไร ก็ต้องค้นหา พอหาเจอกว่าจะยอมรับตัวเองได้ ไหนจะความคาดหวังของครอบครัว ความกลัวที่ว่าจะถูกยอมรับไหม จะถูกต่อต้านไหม จะโดนอะไรบ้าง ช่วงเปลี่ยนผ่านตรงนี้จึงสำคัญมาก

สำหรับพ่อแม่แล้ว การเปิดใจทำความรู้จักกับความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องยากไหม แล้วจะเริ่มอย่างไร

เริ่มจาก ‘เปิดใจ’ ก่อน คุณอาจจะมีความเชื่อเดิมๆ ในเรื่องนี้ เนื่องจากถูกสั่งสอนมาอีกแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมต่างๆ เราถูกปลูกฝังว่า แบบนี้มันผิดปกติ อาจใช้คำว่า วิปริตผิดเพศ โรคจิต หรืออะไรก็ตาม ขอให้วางตรงนั้นลงก่อน คิดก่อนเลยว่าเรารักลูกไหม สิ่งสำคัญที่เราคาดหวังกับลูกคืออะไร ให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการหรือให้เขาเป็นตัวของเขาเอง ใช้ชีวิตในแบบของเขา

บางคนคาดหวังกับลูกไว้เยอะมาก บังคับทุกอย่าง ไม่ต้อง LGBTQ+ นะ เด็กทั่วไปก็โดน เธอจะต้องเรียนเก่งสอบได้ที่หนึ่ง ต้องเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ คณะดังๆ ซึ่งมันหนักมากสำหรับเด็กคนหนึ่ง แล้วบอกเลยว่าไม่มีลูกคนไหนอยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ทุกคนอยากเป็นลูกรัก อยากเป็นที่ยอมรับ

การออกมาทำกิจกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่เราอยากจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อที่จะขับเคลื่อนสังคมให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้มันเกิดการกระจายความรู้ ต้องบอกว่าบางคนที่เขาไม่ยอมรับ เพราะเขาไม่รู้ และเขายังติดกับความเชื่อเดิมๆ หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมถึงกล้าออกมา ไม่อายเหรอ แล้วทำไมต้องอายล่ะ ลูกฉันเป็นเด็กปกติค่ะ ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องส่วนบุคคล แล้วอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะรสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ เขาทำกับตัวเขาเอง ไม่ได้เดือดร้อนใคร แล้วเราควรเคารพความคิดเห็นของคนอื่น ทุกคนมีสิทธิพื้นฐาน ทุกคนควรได้รับความเคารพและการยอมรับ

สิ่งที่สำคัญคือ ‘การยอมรับ’ อย่างแรกคือยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามจะบอกกับคนที่เป็น LGBTQ+ เพราะก่อนที่คุณจะ come out ออกมาคุณต้องยอมรับตัวเองก่อนว่าคุณเป็นอะไร คุณมีคุณค่า รู้สึกดีกับตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือไม่รู้สึกด้อยกว่าคนอื่น คุณต้องภูมิใจที่ฉันเป็นฉัน

แล้วยังมีด่านทดสอบของสังคมอีกที่เขาจะต้องเรียนเก่ง หน้าตาดี ต้องประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้ออกมาเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ว่าฉันเป็น LGBTQ+ แล้วฉันภูมิใจในตัวเอง ทำไมล่ะ! เป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้เหรอ ทำไมการจะเป็นที่ยอมรับต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เหมือนกับที่มีคนชอบพูดว่า “ไม่ว่าลูกฉันจะเป็นอะไร แค่ลูกฉันเป็นคนดีก็พอแล้ว” ซึ่งเราแอนตี้เรื่องนี้มาก ความเป็นคนดีทุกคนควรมีเหมือนกันไหม แต่ทำไมต้องมาบอกว่าเป็น LGBTQ+ ก็ได้แต่เป็นคนดีก็พอ เหมือนกับว่าความเป็น LGBTQ+ มันด้อยค่า เลยจะต้องบอกว่าเป็นคนดีนะ เพื่อที่จะมาดึงคุณค่าขึ้นให้เท่ากับคนอื่น 

ถามว่าใครจะเป็นคนดีได้ตลอดเวลา มีใครไม่เคยทำอะไรผิดพลาดบ้าง แล้วความดีเอาอะไรเป็นมาตรฐาน ต้องทำดีเท่าไรถึงจะเรียกว่า ดีพอ เขาควรได้รับการยอมรับเท่ากับคนอื่นหรือเปล่า เราไม่ควรเอาความคิดของเราหรือมาตรฐานของเราไปตัดสินใคร

หลังจากครอบครัวเข้าใจและยอมรับแล้ว เรายังต้องรับมือหรือเผชิญหน้ากับสังคมภายนอกด้วย

สำหรับพื้นฐานครอบครัวที่สนิทกัน คุยกันได้ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการ come out ของลูก เพราะเราพร้อมที่จะเรียนรู้และเข้าใจเขา แต่ครอบครัวที่มีช่องว่างระหว่างกันเยอะแนะนำว่า อย่าเอาประสบการณ์หรือความเชื่อเดิมๆ มาตัดสินทุกเรื่องที่เกิดในปัจจุบัน เราเองก็ถูกเลี้ยงมาแบบหัวโบราณ ถูกจำกัดทุกอย่าง ห้ามๆๆๆ แต่ห้ามแล้วได้ผลไหม ห้ามอะไรเราทำอย่างนั้น ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้มาแล้ว 

เพราะฉะนั้นการเลี้ยงลูกเราต้องนึกถึงตอนที่เราเป็นเด็กด้วย ต้องไม่ลืมว่าตอนนั้นเรารู้สึกยังไง เราไม่ชอบถูกห้าม ลูกก็ไม่ชอบเหมือนกัน บอกเลยว่าลูกไม่ได้ฟังสิ่งที่เราพูด แต่ลูกดูในสิ่งที่เราทำ คุณสอนไปเถอะคุณจะพูดมีหลักการยังไง แต่ถ้าตัวคุณเองยังทำไม่ได้ แล้วลูกจะเอาตัวอย่างจากไหน เพราะฉะนั้นอย่าโทษใครเลยค่ะ ต้องดูสิ่งแวดล้อม ดูตัวเองด้วย

ยากนะคะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โต เราต้องมีความอดทนมากๆ แล้วเด็กก็คือเด็ก มีทำผิด อยากทำตามใจตัวเอง เราก็ต้องสอนหรือทำให้เขารู้ว่าเขาควรมีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำ  ต้องรู้จักปรับปรุงแก้ไขตัวเอง แล้วตัวเราเองต้องทำให้เห็นด้วย เวลาเราทำผิดก็ต้องรู้จักยอมรับ รู้จักขอโทษลูกให้เป็น ไม่ได้บอกว่าความอาวุโสของฉัน ความเป็นแม่ของฉันต้องถูกทุกอย่าง 

คนเราไม่ว่าจะอายุเท่าไรทุกคนทำผิดพลาดได้ การยอมรับเป็นพื้นฐานของหลายๆ พฤติกรรมที่จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น นั่นคือการสอนลูกของเรา

และไม่เฉพาะ LGBTQ+ แต่หมายรวมถึงทุกคน แต่ลูกที่เป็น LGBTQ+ เราต้องสอนเขามากกว่านั้น เพราะเขาจะต้องไปอยู่ในสังคมที่มีทั้งคนเข้าใจและไม่เข้าใจ เราบอกเขาเสมอว่าถ้าเขาไม่เข้าใจก็พยายามสื่อสารให้เขาเข้าใจ หรือบางครั้งมีคนมาพูดล้อเล่นกัน แบบที่ตลกชอบใช้ ซึ่งมันอาจสะเทือนใจเรา เขาอาจไม่ได้ตั้งใจก็ได้ ให้ดูก่อนว่าเจตนาไหม เพราะบางคนเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคำล้อเล่นพวกนั้นมันสร้างบาดแผลหรือเปิดปม แล้วมันไม่ตลกเลย เป็นการละเมิดทางเพศเขาด้วยซ้ำ 

ด้วยความเคยชินบางคน ไม่ได้อยู่สังคม LGBTQ+ บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจหรืออาจเข้าใจผิด เพราะถูกสอนมาให้เหยียด ถูกสอนมาว่าคนกลุ่มนี้ผิดปกติ อาจจะเป็นสังคมที่เขาอยู่ ครอบครัว หรือแม้แต่ศาสนา เราก็ต้องยืดหยุ่นหน่อย 

ตอนปาร์คเกอร์เด็กๆ เขาก็จะหัวร้อน เกรี้ยวกราดเลย เพราะเขาไม่เข้าใจ เราก็ต้องคอยบอกลูก เตือนเขาให้ใจเย็นๆ บางทีมันก็ต้องใช้เวลา แม้แต่ในบ้านเราเองกับคุณตาคุณยายกว่าเราจะปรับตัวที่จะคุยกันแบบให้เข้าใจกันได้ ให้โอเคกับสิ่งที่เขาเป็น ยังต้องใช้เวลาเลย เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจ การปรับตัว แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน

ช่วงนี้กระแสซีรีส์วายกำลังมาแรง แม่ตุ๊กมองว่าช่วยทำให้สังคมเข้าใจ LGBTQ+ ได้ดีขึ้นไหม 

ซีรีส์วายเราต้องดูที่เนื้อหาด้วย มันเป็นความชื่นชอบของคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า ‘สาววาย’ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ถามว่ามันจะสร้างการยอมรับไหม ก็มีทั้งสองแง่ ถ้าออกมาดีก็คือจะทำให้คนเข้าใจมากขึ้น เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็น LGBTQ+ แต่ถ้าในแง่ลบก็จะสร้างภาพจำผิดๆ แต่นิยายก็คือนิยาย บางทีเขียนมาเพื่อสนอง need คนแต่งและคนอ่านที่อยากจะให้มันเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ มันไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เราไม่ปฏิเสธว่า ความรักสวยงาม แต่ในชีวิตจริงมันมีดีเทลที่มากกว่านั้นเยอะ

เราไม่แอนตี้นะคะ มีก็ดีที่มีการสื่อสารเกี่ยวถึง LGBTQ+ อาจจะทำให้คนกลุ่มหนึ่งเข้าใจ มองว่าความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องปกติ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นดาบสองคม อาจจะทำให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยแอนตี้ไปเลยก็ได้ เพราะว่าเห็นเนื้อหาที่สร้างภาพจำผิดๆ เหมือนกับที่เรามองภาพจำว่ากะเทยต้องตลกนั่นแหละ บางทีการสื่อสารมันดีทำให้เขามีพื้นที่ในสังคม เป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่มันต้องระมัดระวังมากเหมือนกันในเนื้อหาที่ถ่ายทอดออกไป อย่างหลายๆ เรื่องที่เป็นนิยายเกี่ยวกับ LGBTQ+ บางเรื่องก็ทำออกมาดี แต่ส่วนตัวไม่ดูซีรีส์วายไทยค่ะ

ถ้าดูจะเป็นภาพยนตร์แนว Boy’s Love มากกว่า เรื่องที่ดูและชอบเลยคือเรื่อง Dallas Buyers Club เรื่องราวของคนที่เป็นเอดส์ ในยุคที่คนยังเข้าใจว่าเป็นโรคของคนรักเพศเดียวกัน เขาจึงพยายามสร้างความเข้าใจกับสังคม ส่วนของไทยนี่ยังต้องอิงตลาดหลักๆ ไว้อยู่ เราก็เลยไม่เห็นเด่นชัดว่าเรื่องไหนจะนำเสนอได้ชัดเจน ซีรีส์ที่ดังๆ อย่างฮอร์โมนก็บิดเบี้ยว อยากให้ขายของที่มีคุณภาพ บางทียิ่งนำเสนอก็ยิ่งผิดพลาดนะ แล้วอีกอย่างในปัจจุบันการนำเสนอสิ่งที่สวนกระแสกับขนบธรรมเนียมหมิ่นเหม่มาก อย่างเรื่องเด็กที่มาเรียกร้องว่าทำไมคุยเรื่องเพศไม่ได้ ก็จริง ทำไมการคุยเรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม แทนที่ลูกจะสามารถคุยเรื่องเพศสัมพันธ์กับพ่อแม่ก็คุยไม่ได้แล้วลูกจะไปหาความรู้จากไหน ก็จากเพื่อน จากอินเทอร์เน็ต มันจะดีกว่าไหมถ้าเราได้ทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อแม่ให้กับลูก

แล้วถ้าลูกติดซีรีส์วายมองว่าเป็นปัญหาไหม มีผลกระทบต่อตัวลูกอย่างไรบ้าง

ติดขนาดไหน เขาอาจจะชอบเหมือนติดการ์ตูน ติดเกม ก็จะมีวัยหนึ่ง แต่ถ้ามันมากไปก็ลองไปดูกับลูกไหม คุณต้องไปดูก่อนว่าทำไมลูกติด คุยกับลูก ถามเขาว่ามันดียังไง สนุกตรงไหน บอกหน่อยสิ แล้วดูปฏิกริยาของเขาตอนดูด้วยกัน ลูกอาจจะชอบแค่ผู้ชายหล่อๆ หน้าตาดี เหมือนกับแฟนตาซีผู้ชายหน้าตาดีมากๆ มาชอบกัน แล้วก็ไม่ต้องไปแย่งกับผู้หญิงด้วยกัน ต้องดูว่ามันกระทบกับชีวิตหรือเปล่า

แม้จะให้อิสระกับลูก แต่เขาต้องรู้กติกาการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่น หนึ่ง ต้องไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น สอง ต้องไม่ล้ำเส้นคนอื่น รู้จักพิจารณาตัวเอง แน่นอนทุกคนทำผิดพลาดได้ แม่ไม่ได้ตัดสินว่าเมื่อทำผิดเท่ากับตายเลย ทุกอย่างแก้ไขได้เพียงแต่ต้องรู้ว่าตัวเองผิดอะไร และต้องพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น 

ที่สำคัญต้องมีมารยาทด้วย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละจะทำให้กลายเป็นนิสัย ซึ่งเราไม่ควรละเลย อันนี้เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ การเลี้ยงลูกก็ต้องมีขอบเขตเหมือนกันค่ะ แล้วเราก็ต้องสอนให้เขาดูแลตัวเองเป็น ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่สามารถจะอยู่กับเขาไปได้ตลอด

ครอบครัวคนที่เป็น LGBTQ+ อาจจะมีน้อยว่าครอบครัวอื่นๆ จึงอยากฝากไว้ว่าควรสอนลูกด้วยว่า มีคนที่เป็น LGBTQ+ และการปฏิบัติกับคนที่เป็น LGBTQ+ ควรจะทำอย่างไร เด็กบางคนถูกเพื่อนรังแก บูลลี่ แล้วบางคนไม่สอนลูก ซึ่งปัญหามันอยู่ที่เด็กที่รังแกคนอื่น ควรสอนเรื่องการปฏิบัติตัวกับคนอื่น เราควรจะทำเหมือนกับที่เราให้เกียรติตัวเองด้วย อย่าปฏิบัติกับคนอื่นในสิ่งที่ตัวเราเองก็ไม่ชอบ

Tags:

เพศLGBTQ+การยอมรับคุยกับแม่เรื่องเพศ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • MovieDear Parents
    We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Dear Parents
    “จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel