Skip to content
พัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถาม
  • Creative Learning
    Unique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an Educator
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
พัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถาม

Month: February 2021

ครูต้นกล้วย -วรินทร์ อาจวิไล : ครูที่ใช้ดนตรีคลาสสิกสร้างโอกาสและวงออร์เคสตราให้เด็กชุมชนคลองเตย
Unique Teacher
16 February 2021

ครูต้นกล้วย -วรินทร์ อาจวิไล : ครูที่ใช้ดนตรีคลาสสิกสร้างโอกาสและวงออร์เคสตราให้เด็กชุมชนคลองเตย

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • เด็กชายต้นกล้วยเกิดและเติบโตในชุมชนคลองเตย แต่ด้วยโอกาสเล็กๆ ที่ทำให้เขาได้เรียนไวโอลินกับครูชาวนอร์เวย์ตอน 8 ขวบ ทำให้เส้นทางสายดนตรีเริ่มต้นขึ้น และสำเร็จจนได้เป็นนักไวโอลินของวงออร์เคสตราระดับประเทศ
  • แม้ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นครูตั้งแต่แรก แต่ด้วยความที่อยากสานฝันส่งต่อโอกาสให้กับเด็กๆ  เขาจึงลาออกจากงานประจำมาสอนดนตรีคลาสสิกให้กับเด็ก และตั้งวงอิมมานูเอล ออร์เคสตรา จนมีงานแสดงทั้งในและต่างประเทศ 
  • ครูต้นกล้วย ออกแบบการเรียนรู้โดยมีดนตรีเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้สร้างแค่ทักษะอาชีพแต่ให้ทักษะชีวิต ที่สำคัญคือการเติมความรักและความมั่นใจให้กับเด็กๆ เพื่อก้าวพ้นการตีตรา

“บางคนติดภาพว่า การเรียนดนตรีจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนดนตรีข้างนอกที่แพงมาก ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วสำหรับเด็กที่พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ แต่เราอยากทำให้เด็กๆ เข้าถึงดนตรีคลาสสิกโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักบาทเดียว และยังสามารถทำเป็นอาชีพได้ด้วย” วรินทร์ อาจวิไล หรือ ‘ครูต้นกล้วย’ อดีตนักเรียนไวโอลินและนักดนตรีมืออาชีพที่เติบโตในชุมชนคลองเตย บอกด้วยความเชื่อมั่นว่า เราสามารถทำให้ดนตรีคลาสสิกเข้าถึงทุกคนได้ 

โดยครูต้นกล้วยซึ่งปัจจุบันเป็นครูสอนดนตรีที่โรงเรียนอิมมานูเอล และประธานมูลนิธิดนตรีเพื่อชีวิต ‘Music of Life’ ได้แรงบันดาลใจนี้มาจากอาจารย์สอนดนตรีของตนเอง Solveig Juhannessen มิชชันนารีชาวนอร์เวย์ ที่ติดตามสามีมาเผยแพร่ศาสนาในประเทศไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘ดนตรีคลาสสิก’ กับ ‘ชุมชนแออัด’ ได้เดินทางมาบรรจบกันในที่สุด 

โอกาสและความพยายามบนเส้นทางดนตรีที่เลือกเองของ ‘ครูต้นกล้วย’

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ครูต้นกล้วยได้รู้จักกับดนตรีคลาสสิกครั้งแรกที่บ้านสรรเสริญ สถานที่รับเลี้ยงเด็กที่แยกออกมาจากคริสตจักรอิมมานูเอล จากการทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนที่ดึงให้เด็กๆ ในชุมชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และห่างไกลจากยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นเรียนภาษาอังกฤษ เรียนดนตรี และกีฬา 

“ตอนนั้นก็ไปตามเพื่อนโดยที่ไม่ได้คิดอะไร รู้สึกว่าไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่เท่ดีดูแพงด้วย น่าตื่นเต้นก็เลยลองเล่นดู แต่พอเริ่มเล่นก็ไม่ค่อยชอบ เพราะเสียงมันหนวกหูน่ารำคาญ แล้วมันยากด้วยเล่นเท่าไหร่ก็ไม่เป็นเพลง เลยรู้สึกว่าไม่สนุกเลยเลิกไปพักใหญ่ๆ” 

จนได้เห็นว่าเพื่อนที่เรียนดนตรีพร้อมกันเล่นเป็นเพลงแล้ว จะเรียกว่าความอิจฉาหรืออยากเอาชนะก็ได้ เพราะมันทำให้เขาพาตัวเองกลับมาตั้งใจเรียนดนตรีอย่างจริงจังอีกครั้ง จนกระทั่งได้เข้าเรียนในวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นนักดนตรีอาชีพในที่สุด 

“ก่อนหน้านี้เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ดนตรีมันมีโรงเรียนสอนมีหลักสูตรจริงจังที่คุณจะต้องเป็นนักดนตรีในอนาคต เราก็คิดแค่ว่าเล่นเป็นงานอดิเรก เป็นกิจกรรมๆ หนึ่ง 

สมัยก่อนเราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า ดนตรี กีฬา เป็นเพียงกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการ เป็นเหมือนการเล่นที่ทำให้เรามีความสามารถพิเศษแค่นั้น และไม่คิดว่าวันหนึ่งมันจะกลายมาเป็นอาชีพได้”

แต่หนังเรื่อง ‘Season Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย’ ซึ่งดังมากในช่วงที่เขาอายุ 15 ปี เรื่องราวความสัมพันธ์ของเด็กวัยรุ่น 3 คน กับดนตรีที่ทำให้เขาเห็นภาพเส้นทางการเป็นนักดนตรีอาชีพชัดขึ้น

“เป็นหนังที่ทำให้เราได้รู้ว่ามีโรงเรียนดนตรี มีวิทยาลัยนี้นี้ แต่ตอนแรกไม่ได้อยากเป็นนักดนตรีนะ แค่อยากเป็นเหมือนในหนัง นางเอกในเรื่องเขาก็เล่นไวโอลิน แล้วสถานที่เรียนก็สวย อยากไปใช้ชีวิตวัยรุ่นม.ปลายในนั้น คือเราเรียนโรงเรียนวัดมาโดยตลอด เราไม่รู้ว่าการไปเรียนโรงเรียนแบบนั้นมันจะเป็นยังไง คงเหมือนหลุดออกจากกรอบจากสิ่งที่เคยเรียนในโรงเรียน ก็ไปสอบเข้าม.4 ที่นั่น แต่เราก็สอบผ่านแค่ภาคปฏิบัติ ไม่ผ่านทฤษฎี เลยไม่มั่นใจ แล้วก็ไม่แน่ใจกับการเป็นนักดนตรีด้วย”

จนมิชชันนารีชาวฟินแลนน์ชื่อ Susanna Ketunen นักไวโอลินสอนในระดับมหาวิทยาลัย เข้ามาช่วยงานที่คริสตจักรอิมมานูเอล ได้เห็นความสามารถด้านดนตรีของครูต้นกล้วย จึงอาสาสานต่อความฝันที่เด็กชายคนนั้นเกือบทิ้งไปแล้วให้กลับมาอีกครั้ง

“ครั้งนี้เป็นการเรียนที่แอดวานซ์ไปอีก ซึ่งยากมาก บางทีก็อ้างว่าไปทำรายงานเพื่อโดดซ้อม แล้วอาจารย์ก็โกรธเขาถามเราว่า ยูจะเป็นนักดนตรีจริงๆ หรือเปล่า เพราะเขาคิดว่าเราจะเป็นนักดนตรี กลายเป็นว่าเราก็พูดไม่ออกว่าเรามองอนาคตตัวเองยังไง เขาก็พาเราไปดูสิ่งหนึ่ง ก็คือสิ่งที่เขาเรียนตั้งแต่เด็ก วิดีโอที่เขาเรียนไวโอลินตั้งแต่อายุ 18 ปี โชว์วงออร์เคสตร้า เล่นอาชีพ ทำให้เรารู้ว่านี่คือความฝันที่อยากเป็น และได้เห็นภาพชัดขึ้น”

ครูต้นเปลี่ยนตัวเองหันมาตั้งใจใหม่เพื่อจะสอบเข้าวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดลให้ได้ และอาชีพนักดนตรีคลาสสิกแห่งวงออร์เคสตรานี่แหละคือเส้นทางที่เลือกเดิน ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและอาชีพที่เป็นภาพฝันของครูต้นกล้วยกำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงขึ้นทุกที เขาบอกว่าแม้สังคมในนั้นจะต่างจากที่เคยอยู่ เนื่องจากว่าราว 95 เปอร์เซ็นต์เป็นคนรวย ขณะที่ชุนชมที่เขาอยู่ 95 เปอร์เซ็นต์เป็นชนชั้นกลางไปถึงข้างล่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการใช้ชีวิต อีกทั้งยังโชคดีด้วยซ้ำเพราะมีเพื่อน มีครูที่ดีที่คอยแนะนำ และมีทุนเรียนฟรีหนึ่งปีจากความช่วยเหลือของอาจารย์

จากนักดนตรีคลาสสิกในวงออร์เคสตราระดับประเทศ สู่ครูผู้สานต่อความฝันให้เด็กๆ ในชุมชนคลองเตย

พอเรียนจบครูต้นมุ่งมั่นสู่การเป็นนักดนตรีเต็มตัว เขาฝึกฝนอย่างหนักจนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Thailand  Philharmonic Orchestra วงดนตรีมืออาชีพระดับประเทศที่จะสร้างความมั่นคงให้กับเขาและครอบครัว

“การเป็นนักดนตรีที่มีมาตรฐาน มีเงินเดือนประจำที่มั่นคง เป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง อย่างน้อยสิ่งที่เราเรียนมามันสามารถได้ใช้ และการทำได้ครั้งนี้เปลี่ยนความคิดพ่อแม่ที่ว่า ดนตรีไม่สามารถทำเป็นอาชีพได้”

ขณะเดียวกันที่โรงเรียนอิมมานูเอลก็ยุ่งมาก เด็กที่มาเรียนดนตรีเริ่มเยอะขึ้นมีเกือบร้อยคน ไม่มีคนช่วยอาจารย์สอน ครูต้นกล้วยจึงกลับมาช่วยสอนไวโอลินอาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากว่าเขายังมีงานประจำที่ต้องรับผิดชอบด้วย แต่กลายเป็นว่าเขาทุ่มเทจนละเลยอาชีพนักดนตรีที่ทำอยู่ จึงพลาดการออดิชั่นของวงที่ต้องมีทุกปี จากตอนแรกที่ไม่มีความคิดว่าจะเป็นครู เพราะการเป็นครูสำหรับเขามันเหนื่อยและไม่ใช่ตัวตน กลายเป็นครูต้นกล้วยที่ทุ่มเทวิชาดนตรีให้เด็กๆ จนถึงทุกวันนี้

“เราก็เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเรียนมาใช้สร้างเป็นหลักสูตรของโรงเรียนเรา จัดการเรียนการสอนให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น เนื่องจากว่าอาจารย์คนแรกของเราที่เป็นชาวนอร์เวย์ จะสอนแบบไม่ได้มีตารางเรียนอะไรนัก ใครมาถึงก่อนเรียนก่อนซึ่งเด็กที่มาทีหลังก็ไม่ได้เรียน เลิกเรียนช้าก็ไม่ได้เรียน สิ่งที่เราเคยขาดก็นำมาเติมให้เด็กๆ ที่นี่ ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเป็นการปูเส้นทางให้เด็กก้าวไปถึงระดับมหาวิทยาลัยได้เลย”

ซึ่งกว่าที่จะมาเป็นวงดนตรี อิมมานูเอล ออร์เคสตรา อย่างทุกวันนี้ ครูต้นเล่าให้ฟังว่า เส้นทางนี้ค่อนข้างสมบุกสมบันทีเดียว

เริ่มตั้งแต่การรับสมัครเด็กเข้ามาเรียน เขาพยายามจำกัดพื้นที่เด็กที่จะมาเรียนเฉพาะคลองเตยและใกล้เคียงเท่านั้น เพราะระยะทางก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนการสอนด้วย ถ้าเด็กจะต้องใช้เวลาในการเดินทางมาเรียนเป็นชั่วโมงเพื่อมาเรียน 3 ชั่วโมง ไม่วันใดก็วันหนึ่งเด็กจะเริ่มเหนื่อยและท้อ ซึ่งไม่เวิร์กสำหรับแผนการสอนที่ครูต้นกล้วยตั้งใจว่าให้เด็กได้เข้าถึงการเรียนดนตรีหลังเลิกเรียนอย่างสะดวก ไม่ต้องฝ่ารถติดเพื่อมาเรียน นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ครูต้นกล้วยอยากจะให้มีโรงเรียนแบบนี้เพิ่มขึ้นกระจายอยู่ตามชุมชน 

“แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เป็นวงดนตรีนะ แค่มีการรวมๆ กัน 3-4 คน มีเราแล้วก็เด็กเก่าๆ ของอาจารย์ ก็เล่นตามโบสถ์นั่นแหละ พอได้มาเล่นด้วยกันมันก็เป็นไอเดียที่ดีนะที่เราจะตั้งเป็นวง อาจารย์ก็ส่งลูกศิษย์ไปเรียนจนกลับมารวมวงกัน เราก็เอาประสบการณ์ในการเป็น conductor มาใช้รวมวง จนวงเริ่มใหญ่ขึ้น เราก็ไปแสดงในโบสถ์ใหญ่ มีคนชื่นชอบเราก็ทำอีกสนุกดี ทีนี้อยากไปเล่นให้คนข้างนอกเห็นบ้างล่ะ”

ความตั้งใจของเด็กๆ บวกกับ passion ของครูต้นกล้วย และผู้ที่มองเห็นในสิ่งที่พวกเขาอยากจะประกาศให้โลกรู้ว่าชุมชนคลองเตยมีดนตรีคลาสสิกนะ มีวงออร์เคสตราที่ประกอบไปด้วยเด็กๆ ในชุมชนนะ จึงเกิดเป็นคอนเสิร์ตเล็กๆ ขึ้น และพัฒนาก้าวกระโดดเป็นวงที่มีมาตรฐานกลายเป็นวงออร์เคสตราของที่นี่ 

บทเรียนความเป็นครูที่ได้จากลูกศิษย์

ในช่วงแรกๆ ที่เข้ามาเป็นครูสอนดนตรีเต็มตัว ครูต้นกล้วยเล่าว่าเขากำลังไฟแรง มีความรู้เยอะ อยากจะอัดความรู้ให้เด็ก จนบางทีมากจนเกินไป แล้วเด็กก็จะรู้สึกว่า มันยากเกินตัวเขา ประกอบกับครูต้นกล้วยเองเป็นคนค่อนข้างจริงจังเมื่อสอน อาจดูดุในสายตาและความรู้สึกของเด็กๆ ไปหน่อย ทำให้เด็กเริ่มไม่อยากมาเรียน

“เด็กไม่อยากมาเรียนกับเราเพราะว่าเราดุเกินไป ไม่ได้ใจดีเหมือนอาจารย์เรา ก็ต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง คิดใหม่ ว่าจะทำยังไงให้เด็กกลับมาเรียน แล้วเด็กเขาเกาะกลุ่มกันมาเรียน ถ้าคนหนึ่งไม่มาส่วนใหญ่ก็จะไม่มากันหมด  รวมไปถึงผู้ปกครองก็ไม่เข้าใจนักเรียนว่าจะมาซ้อมอะไรนักหนา เราก็จัดประชุมผู้ปกครองเลยให้รู้เลยว่าเด็กมาเรียนเวลาไหน เด็กจะได้ไม่มีข้ออ้างไปทำอย่างอื่น”

ในส่วนการบริหารค่าใช้จ่าย ก่อนหน้านี้อาจารย์เป็นคนออกให้ทุกอย่าง แต่หลังจากที่เปิดรับบริจาคด้วยการจัดคอนเสิร์ตและจัดตั้งเป็นมูลนิธิดนตรีเพื่อชีวิตก็มีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้น อาจารย์ของเขาถือเป็นต้นแบบของการให้ และสิ่งที่เขาเคยได้รับก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กคนหนึ่งไปเลย จุดนี้เองที่ทำให้เขาทุ่มเทกับการเป็นครูสอนดนตรีที่นี่

“5 ปีที่ผ่านมา เราก็สู้กันมาโดยตลอดทั้งจัดคอนเสิร์ตเพื่อระดมทุน ซึ่งมันไม่พอแล้วก็ขาดทุนด้วย เราก็มาคิดว่าทำยังไงให้คนสนับสนุนและมั่นใจว่าเงินจะถึงเด็กจริงๆ เลยมีความคิดที่จะเปิดเป็นมูลนิธิ ซึ่งตอนแรกเราก็ได้แค่คิดยังไม่มีความรู้อะไร ตอนนั้นก็มีผู้ช่วยอยู่สองคนที่มาช่วยกันทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้น จนเกิดเป็นมูลนิธิดนตรีเพื่อชีวิต ดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือเด็กๆ ให้เรียนดนตรีที่โรงเรียนแห่งนี้ฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และยังออกทุนให้เด็กได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้านดนตรีด้วย”

การออกแบบการเรียนรู้ที่เริ่มจาก D C B A

โรงเรียนดนตรีอิมมานูเอล มีเด็กอยู่ประมาณ 70 คน และมีครูสอน 7-8 คน โดยเด็กๆ จะได้ตารางเรียนในวันที่ประชุมผู้ปกครอง ซึ่งครูต้นกล้วยบอกว่าตารางเรียนของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เนื่องจากว่าพื้นฐานของเด็กไม่เท่ากัน

โดยเริ่มต้นเด็กแต่ละคนจะได้เรียนเดี่ยวกับครูตัวต่อตัวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ๆ ละ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยแบ่งเป็นเรียน 45 นาที 2 ครั้ง หรือ 30 นาที 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความสะดวกของครูกับเด็ก ซึ่งการเรียนเดี่ยวจะทำให้รู้ว่าเด็กแต่ละคนมีพื้นฐานอย่างไร โดยครั้งแรกจะเลือกเครื่องดนตรีโดยประเมินจากปัจจัยภายนอก คือ ลักษณะท่าทาง ความกำยำ เนื่องด้วยเครื่องดนตรีบางชนิดในตระกูลไวโอลิน อย่างเชลโลและดับเบิ้ลเบส เป็นเครื่องดนตรีที่ค่อนข้างใหญ่จึงต้องเลือกให้เหมาะสมกับเด็กด้วย ซึ่งการเรียนเดี่ยวนี่เองจะช่วยในการจัดตารางเรียนรวมวงที่เด็กจะได้เรียนในขั้นต่อไป โดยมีการรวมวง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนการเรียนทฤษฎีดนตรีจะเป็นวันเสาร์ เพื่อให้สมองได้พักจากการเรียนหนักมาทั้งอาทิตย์ก่อน รวมไปถึงการร้องประสานเสียงและทฤษฎีการฟังที่จะสลับกับทฤษฎีดนตรี ซึ่งในแต่ละปีจะไม่เหมือนกัน

การเรียนแบบรวมวงจะแบ่งเป็น 4 ระดับจากมาตรฐานไปถึงปรมาจารย์ ได้แก่ D C B A โดยเริ่มจาก D คือ วงสำหรับเด็กใหม่ ที่สามารถเล่นเพลงได้ระดับหนึ่งแล้ว, C คือ วงที่สามารถเล่นได้ อ่านโน้ตได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ได้เก่งมาก, B คือ วงที่สามารถอ่านโน้ตได้ เข้าใจการเล่น เข้าใจในการสื่อสาร และสุดท้าย A  คือ วงมาตรฐานที่สามารถเล่นกับวงดนตรีข้างนอกได้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดว่าวงไหนจะต้องเป็นเด็กโตหรือเด็กเล็ก เพราะเด็กที่ตั้งใจอยากจะขึ้นมาอยู่ในวง A เขาก็สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนและความเข้าใจกันในทีมด้วย เพราะการเล่นเป็นวงต้องอาศัยทักษะในการเล่นที่พร้อมเพรียง โดยมีการสอบวัดระดับ เก็บสถิติการมาเรียน และประเมินพัฒนาการของแต่ละคน

“จริงๆ เราไม่ได้มีแค่สอบวงอย่างเดียวเรามีสอบเดี่ยวด้วย เมื่อก่อนจะสอบ 2 ครั้งต่อปี แต่ตอนนี้สอบ 4 ครั้งต่อปี แบบ 3 เดือนครั้ง ก็จะมีสอบสเกลเป็นพวกแบบฝึกหัดต่างๆ แล้วก็เป็นเพลง Solo ที่เด็กจะต้องออกมาเล่นต่อหน้าเพื่อนๆ เพื่อฝึกความกล้าแสดงออก”

สำหรับปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอจากการสอนมา คือ ผู้ปกครองจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมลูกเขาต้องมาเรียนดนตรี เรียนไปเพื่ออะไร ทำไมเลิกเรียนมาไม่ไปช่วยทำงานที่บ้าน แต่พอเรามีการจัดประชุมผู้ปกครองก่อนเปิดภาคเรียน และเมื่อมีงานแสดงเราก็ให้พวกเขาได้มาดูกับตาตัวเองว่าเด็กๆ มีความสามารถด้านดนตรีมากน้อยแค่ไหน และใช้สร้างรายได้จุนเจือตัวเขาและครอบครัวได้ด้วย

“เพราะเรามีการรับงานแสดงตามสถานที่ต่างๆ ในนามของวงอิมมานูเอลด้วย โดยค่าใช้จ่ายจะก็จะอยู่ที่หลักหมื่นต้นๆ ต่องาน แบ่งเป็นเงินสำหรับบริจาคให้มูลนิธิส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการสอน อีกส่วนหนึ่งก็เป็นค่าขนมสำหรับเด็กๆ ซึ่งก็แล้วแต่ขนาดของวงด้วย ทุกวันนี้เขาก็มาดูลูกซ้อมดนตรี เวลามีการแสดง การที่เขาได้เห็นภาพลูกตัวเองเล่นดนตรีแล้วมีคนมาชื่นชมเขาก็จะรู้สึกภูมิใจ และเห็นว่าการมาเรียนดนตรีที่นี่ไม่ได้เสียเวลาไปโดยไร้ประโยชน์”

“ผลงานที่เราและเด็กภูมิใจก็คือ การได้ไปแสดงที่ต่างประเทศถึง 2 ครั้ง มีที่ประเทศนอร์เวย์ไปด้วยกัน 6 คน ไปแสดงต่อหน้าคนเกือบพันคน นี่เป็นสิ่งที่เราได้โชว์ศักยภาพให้คนอื่นได้เห็น เราก็ได้พูดเรื่องราวโปรเจ็กต์ของเราให้คนที่นั่นได้ฟัง 

แล้วก็ได้ไปฮ่องกงด้วยไปเล่นร่วมกับเด็กนานาชาติที่นั่น กลายเป็นว่าเราเป็น inspiration ให้กับเด็กนานาชาติได้เห็นว่า อย่างน้อยเด็กที่เขาขาดโอกาสเขาเล่นในฝีมือระดับไหนแล้ว รวมถึงเด็กๆ ได้ไปเห็นนักดนตรีมืออาชีพมากมายเพื่อเป็นตัวเลือกทางเดินของชีวิตตัวเองได้”

ดนตรีกับการเปลี่ยนผ่านที่พาเด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน

แน่นอนว่าการเรียนดนตรีนอกจากจะทำให้เด็กๆ มีทักษะด้านดนตรีแล้ว ยังได้ทักษะการฟัง การคิดและทำอย่างมีระบบ คิดเป็นขั้นตอน มีความจำที่ดี เพราะต้องจำโน้ต ซึ่งก็จะเสริมสร้างความจำในด้านอื่นๆ ทั้งยังมีความรับผิดชอบ มีสมาธิจดจ่อเวลาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนลุล่วง

ที่ผ่านมามีการศึกษามากมายที่พิสูจน์ว่าการเรียนดนตรีคลาสสิกนั้นส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์และพฤติกรรมเด็ก โดยผลการศึกษาของ The University of Vermont College of Medicine วิเคราะห์ผลการสแกนสมองของเด็ก 6-18 ปี โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาสมองของเด็กที่เล่นเครื่องดนตรี พบว่า เป็นการกระตุ้นส่วนนอกของสมองใหญ่หรือเปลือกสมอง (Cerebral Cortex) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในระบบความจำ ความใส่ใจ ความตระหนัก (awareness) ความคิด ภาษา และการรับรู้ (consciousness) 

นอกจากนี้ การเรียนดนตรียังสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมอีกอย่าง คือ เด็กโรงเรียนดนตรีที่นี่สามารถต่อยอดไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในด้านดนตรี และประกอบอาชีพที่ฝันไว้ได้ ซึ่งเด็กที่ได้ทุนส่วนใหญ่มักกลับมาสานต่อสิ่งที่ครูต้นกล้วยได้ปูทางไว้ เห็นได้ชัดว่าการเรียนดนตรีเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กๆ ได้มีโอกาสด้านการศึกษาที่สูงขึ้น และเป็นตัวอย่างของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับชุมชนอีกด้วย

สำหรับครูต้นกล้วยแล้ว ดนตรีคือทุกอย่าง มันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆ หนึ่งไปได้ สามารถให้อนาคตคนๆ หนึ่งได้ 

เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าดนตรีจะพาตัวเองมาไกลขนาดนี้ พามาไกลกว่าสิ่งที่เคยได้เห็น ได้เจอในสิ่งที่ไม่เคยเจอ ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลง ดนตรียิ่งใหญ่กว่าการเล่นเพื่อความสนุก เป้าหมายของนักดนตรีไม่ใช่การเล่นเก่งระดับโลก แต่อะไรคือสิ่งที่จะสื่อให้คนฟังรู้สึกได้ นี่คือการเล่นดนตรีเป็นแล้ว 

“ดนตรีเปลี่ยนแปลงเราในทางที่ดีขึ้น จากคนที่เอาแต่ใจตัวเอง มองตัวเองเป็นใหญ่ ความคิดต้องชนะทุกอย่าง เหตุการณ์เด็กไม่มาเรียนกับเรา ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเพราะอะไร ได้ย้อนกลับมาดูตัวเองว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ แล้วก็เปลี่ยนแปลงตัวเอง สร้างตัวเองใหม่ทำให้เด็กอยากกลับมาเรียนกับเรา”

สำหรับเขานี่คือจิตวิญญาณของความเป็นครูที่เกิดขึ้นในเนื้อในตัว ความพยายามที่จะถ่ายทอดทั้งความรู้ด้านดนตรี และความรู้สึกภูมิใจในตัวเองให้กับเด็กๆ เพื่อพวกเขาจะได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

“คนอาจมองภาพไม่ออกว่าดนตรีจะเปลี่ยนแปลงคนๆ หนึ่งได้อย่างไร เราคือบทพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดแล้ว ว่ามันสร้างชีวิตที่ดีขึ้นให้กับเราได้ ดนตรีพาเราออกเดินทางไปเจอผู้คน เจอวัฒนธรรมที่แตกต่าง ดนตรีให้การศึกษา สร้างโอกาสที่ทำให้เราเทียบเท่ากับกับคนอื่นได้”

Tags:

ชุมชนคลองเตยทักษะชีวิตดนตรีคลาสสิกอิมมานูเอล ออร์เคสตราวรินทร์ อาจวิไล

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Creative learning
    ‘แกะสลักชีวิต’ วิชาที่ชวนเด็กสำรวจตัวเองและขจัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป: ครูฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา โรงเรียนปัญญาประทีป

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ต้อง ‘ซ่อมใจ’ ทีหลัง: ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Social Issues
    ‘ทักษะชีวิตพิชิตการรังแก’  วิชาที่ชวนเด็กๆ ตั้งการ์ดสูง ยืนยันสิทธิที่จะไม่ถูกบูลลี่:  ผศ.นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์   

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Creative learningSocial Issues
    ‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New Gen
    CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

What When Where “Y” การเดินทางของซีรีส์วาย
Social Issues
15 February 2021

What When Where “Y” การเดินทางของซีรีส์วาย

เรื่อง The Potential ภาพ รัตน์ชนก วงษ์สมบัติ

  • คำว่า วาย (Y) มีรากศัพท์มาจากคำว่า ‘ยะโออิ’ หรือ ‘ยะโอย’ (YAOI) หรือบางครั้งก็เรียกว่า Boy’s Love เป็นนวนิยายและการ์ตูนประเภทหนึ่งของญี่ปุ่น ได้รับความนิยมกันในกลุ่มเล็กๆ ที่สื่อสารกันเฉพาะกลุ่ม
  • การ์ตูนและนิยายวายเสมือนพื้นที่และเครื่องมือให้ผู้หญิงได้มีโอกาส ‘เล่น’ กับเรื่องเพศ (Play with sex) ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม ผ่านการมองความสัมพันธ์ของตัวละครชายในเรื่อง
  • สถิติผู้บริโภคที่เข้ามาดูซีรีส์วายในแพลตฟอร์ม LINE TV ต่อปีมีประมาณ 19 ล้านคน ก่อให้เกิดวัฒนธรรมบริโภคแบบใหม่ที่เรียกว่า Y-Economy ซึ่งกระแสบริโภคนี้ไม่ใช่เฉพาะแค่ที่ประเทศไทย แต่ขยายไปในหลายประเทศทั่วโลก

ณ วันนี้ ซีรีส์วายคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ตลอด 2 – 3 ปีที่ผ่านมากระแสนิยมและตลาดซีรีส์วายเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นวัฒนธรรมบริโภคแบบใหม่ที่เรียกว่า Y-Economy ในภูมิภาคเอเชีย ต่อให้ไม่ใช่ ‘สาววาย’ หลายคนก็คงอาจได้ยินหรือลองดูซีรีส์วายกันบ้างแล้ว

บทความนี้อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับการเดินทางของซีรีส์วายที่ก่อนจะกลายเป็นแนวซีรีส์ที่ยึดพื้นที่ทั้งสื่อหลักและแพลตฟอร์มทางเลือกด้วยยอดวิวหลักล้าน คำว่า ‘วาย’ มาจากไหน แล้วเข้ามาในไทยได้อย่างไร รวมถึงความน่าสนใจอะไรที่ทำให้ใครๆ ต่างอยากหยิบเอาพล็อตเรื่องแนวนี้ จากนิยายชื่อดังหลายเรื่องบนออนไลน์ มาดัดแปลง แต่งเติม และผลิตสู่จอแก้ว จนประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายต่อหลายเรื่อง เช่น ‘Love sick The Series, SOTUS พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง, เพราะเราคู่กัน, ธารไทป์ The Series 

นอกจากเรื่องราวความรัก ความผูกพัน ของคนสองคนที่ไม่มีคำว่า ‘เพศ’ มาเป็นตัวกำหนด ที่เป็นแกนหลักของเรื่องแล้ว ซีรีส์วายมีอะไรที่น่าสนใจและบอกอะไรกับเราบ้างนะ 

ถ้าพร้อมแล้วเราไปเปิดโลกอีกหนึ่งใบของวัยรุ่นพร้อมกันค่ะ 

ที่มาของคำว่า ‘วาย’

คำว่า วาย (Y) มีรากศัพท์มาจากคำว่า ‘ยะโออิ’ หรือ ‘ยะโอย’ (YAOI) หรือบางครั้งก็เรียกว่า Boy’s Love เป็นนวนิยายและการ์ตูนประเภทหนึ่งของญี่ปุ่น ได้รับความนิยมกันในกลุ่มเล็กๆ ที่สื่อสารกันเฉพาะกลุ่มตั้งแต่ยุค 70 เริ่มจากงานเขียนที่เรียกว่า ‘โดจินชิ’ โดยนักเขียนมือสมัครเล่นหรือกลุ่มแฟนการ์ตูน หยิบตัวละครจากการ์ตูนเรื่องโปรดมาแต่งเรื่องตามจินตนาการ โดยต้องการล้อเลียนงานเขียนโคลงจีนยุคเก่าที่มี Ki (บทนำ), Syo (ดำเนินเรื่อง), Ten (จุดผกผัน) และ Ketsu (บทสรุป) จึงสร้างงานเขียนที่ไม่มีไคลแมกซ์ (Yamanashi), ไม่มีประเด็น (Ochinashi) และไม่มีความหมาย (Iminashi) ซึ่งยุคต่อมาใช้ล้อเลียนการ์ตูนชายรักชาย ที่เน้นเล่าถึงความรักโรแมนติกหรือความสัมพันธ์ทางเพศของตัวละครชายกับชาย 

ทว่า ในตระกูลการ์ตูนวายไม่ได้มีเพียงความรักของชายชายเท่านั้น ยังมีเรื่องราวความรักหวานๆ ในแบบฉบับหญิงหญิง เรียกว่า ‘ยูริ’ (Yuri) หรือ Girl’s Love โดย Bongaku Itou บรรณาธิการนิตยสารเกย์ในญี่ปุ่น เขาต้องการสร้างสัญลักษณ์ของกลุ่มรักเพศเดียวกัน จึงใช้ดอกกุหลาบ (Bara) เป็นสัญลักษณ์กลุ่ม Boy’s Love และใช้ดอกลิลลี่ (Yuri) เป็นตัวแทนฝั่งผู้หญิง

แม้การ์ตูนวายจะมีที่มาจากโดจินชิ แต่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์แบบชายรักชาย ที่ได้รับความนิยมและถูกยอมรับว่าเป็น Yaoi รวมถึงเป็นเรื่องแรกที่ขายบนดินได้คือ Kaze To Ki No Uta (A Poem of Wind and Trees) โดย ทาเคมิยะ เคย์โกะ (ตำนานบัลลังก์เลือด, สุสานฟาโรห์) ตีพิมพ์ในช่วงปี 1976 เป็นต้นมา และใช้คำเรียกเพื่อย่อยประเภทของการ์ตูนวายบนดินว่า ‘โชเน็นไอ’ (Shonen’ai) เน้นความสัมพันธ์ มิตรภาพ อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมากกว่าเรื่องเพศ

แต่หลังจากนั้นในช่วงปี 1990 นิตยสาร JUNE หรือนิตยสารแนวกามารมณ์ ปล่อยคอลัมน์เรื่องเล่าชายรักชายในรูปแบบการค้า จุดนี้เองที่เป็นใบเบิกทางไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของวงการวาย เนื่องจากมีนิตยสารแนวนี้เกิดขึ้นจำนวนมาก และขายในร้านหนังสือมีชั้นวางโดยเฉพาะ  

จะเห็นว่าการ์ตูนวายมีหลายประเภทที่ย่อยออกไป เราจึงไม่อาจเหมารวมได้ว่า การ์ตูนวายเท่ากับการ์ตูนเกย์หรือไม่ แม้มันจะเป็นการ์ตูนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย แต่ตัวละครชายในการ์ตูนวายไม่ใช่เกย์ในชีวิตจริง เขาเหล่านั้นเป็นผู้ชายในจินตนาการของผู้หญิง โดยมีความรักเป็นแรงผลักดันทำให้พวกเขาผูกพันกัน 

ในบทความ “The Evolution of BL as ‘Playing with Gender’: Viewing the Genesis and Development of BL from a Contemporary Perspective” ของฟุจิโมโต ยูคาริ (Fujimoto Yukari) ซึ่งเป็นนักวิชาการผู้บุกเบิกวงการ Boy’s Love เขาตีความว่าเกี่ยวข้องกับความไม่เท่าเทียมทางเพศระหว่างหญิงชายในสังคมญี่ปุ่น ผู้หญิงถูกควบคุมด้วยเงื่อนไขทางสังคมมากกว่าผู้ชาย จึงนำไปสู่ความหวาดกลัวต่อความสัมพันธ์ทางเพศและความเกลียดชังในความเป็นหญิงของตน 

ทั้งการ์ตูนและนิยายจึงเสมือนพื้นที่และเครื่องมือให้ผู้หญิงได้มีโอกาส ‘เล่น’ กับเรื่องเพศ (Play with sex) ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม ผ่านการมองความสัมพันธ์ของตัวละครชายในเรื่อง กับฉากที่แสดงความสัมพันธ์ทางเพศ ขยับสู่การเล่นกับ ‘เพศสถานะ’ (Playing with gender) ผ่านการจับคู่ตัวละครชายที่หลากหลาย สามารถสลับบทบาทการเป็นผู้กระทำ ‘เซะเมะ’ (Seme) หรือผู้ถูกกระทำ ‘อุเคะ’ (Ukeru) ปรับเปลี่ยนเพศสถานะที่เลื่อนไหลได้ตามรสนิยม

เมื่อนิยาย ‘วาย’ ป้ายยาแฟนดอมไทย

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรักของชายสองคนในจินตนาการของเด็กหญิงที่กำเนิดจากการ์ตูนญี่ปุ่นถูกส่งต่อมายังบ้านเราโดยอิทธิพลความนิยมของนักร้องญี่ปุ่นและเกาหลี ในช่วงปี 2550 ทำให้เกิดนิยายวายบนเว็บบอร์ดในโลกออนไลน์ที่เรียกกันว่า ‘แฟนฟิกชัน’ (FanFiction) โดยกลุ่มแฟนคลับหยิบเอาความสัมพันธ์ของนักร้องชายมาเล่าต่อโดยใส่จินตนาการอย่างเป็นเรื่องราวที่อิงกับโลกความจริงบ้าง หรืออาจหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแฟนตาซีเลยก็มี 

ในช่วงเดียวกันกระแสจากรายการประกวดร้องเพลงของไทยแนวเรียลลิตี้โชว์กำลังได้รับความนิยม เพราะนอกจากนำเสนอความสามารถของผู้เข้าแข่งขันแล้ว ยังถ่ายทอดให้เห็นภาพการใช้ชีวิตรวมกันและความผูกพันที่เกิดขึ้นในบ้าน อย่าง  Academy Fantasia (AF) และ The Star ค้นฟ้าคว้าดาว ซึ่งคู่จิ้นที่มาแรงในยุคนั้นหรือจะเรียกว่าเป็นคู่จิ้นในตำนานเลยก็คือ ณัฐต้อล AF4, เต๋าคชา AF8 และโน่ริท The Star 6 โดยส่วนใหญ่เผยแพร่บนเว็บไซต์ dekd.com

จากแฟนฟิกชันก็ค่อยๆ พัฒนามาเป็น ‘นิยายวาย’ ที่ผู้แต่งคิดพล็อตเนื้อเรื่องเอง ซึ่งพล็อตที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นพล็อตที่มีแก่นเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ของผู้มีเพศสภาพ (Gender) เดียวกัน และเลือกมีเพศวิถี (Sexuality) มีความรักในรูปแบบชายรักชาย, หญิงรักหญิง โดยอาจเริ่มต้นจากมิตรภาพหรือศัตรู แต่ท้ายที่สุดจะขยับไปสู่สถานะที่มากกว่าเพื่อน พี่ และน้อง นั่นคือ ‘คนรัก’    

ส่วนเซตติ้งยอดฮิตมักจะดำเนินเรื่องอยู่ในวัยนักเรียนนักศึกษา และตัวละครเอกฝ่ายหนึ่งมักจะมีคาแรกเตอร์เข้มแข็งแบบ ‘ชาย’ ตามกรอบที่สังคมวางไว้ เช่น รูปร่างสูงใหญ่ อารมณ์ร้อน พูดจาโผงผาง เจ้าชู้ เป็นต้น ส่วนอีกฝ่ายจะมีความอ่อนโยนกว่า เช่น รูปร่างบาง ขี้อาย อ่อนไหวง่าย เป็นต้น จะให้ความรู้สึกว่าพวกเขาเหมือนจิ๊กซอว์ที่แตกต่างแต่เข้ากันได้พอดี 

แม้จะได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ด้วยเป็นนิยายที่ขัดกับค่านิยมอันดีงามตามที่สังคมไทยกำหนดไว้ ทำให้นิยายวายส่วนใหญ่อยู่เผยแพร่อยู่ใต้ดิน บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์เด็กดีดอทคอม, ธัญวลัย, รี้ดอะไร้ต์ หรือถ้าตีพิมพ์เป็นเล่ม ก็จะใช้วิธีพรีออเดอร์ คือ นักเขียนตั้งว่าจะจัดตีพิมพ์นิยายเรื่องนี้ รวบรวมคนที่สนใจและตีพิมพ์ออกมาจำนวนจำกัด

ซีรีส์วายไทย จิ้นแรงทุกแพลตฟอร์ม

หลังจากนั้นในปี 2014 การปรากฏตัวของ ‘Love Sick’ รักวุ่น วัยรุ่นแสบ ซีรีส์วายสัญชาติไทยเรื่องแรกบนจอแก้ว ออกอากาศทางช่อง 9 MCOT ดัดแปลงมาจากนิยายที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ dekd.com ก่อนจะตีพิมพ์และนำมาสร้างเป็นซีรีส์ ความเปลี่ยนแปลงจากนิยายวายบนออนไลน์มาสู่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ และผลิตเป็นซีรีส์ทางสถานีโทรทัศน์ช่องหลักดังกล่าว ส่งผลให้ซีรีส์วายเกิดอย่างต่อเนื่องในปีถัดๆ มา เช่น  ‘SOTUS The Series’ พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง เรื่องราวระบบการรับน้องในมหา’ลัยที่เรียกว่า โซตัส ทำเรตติ้งซีรีส์วายที่สูงที่สุด เฉลี่ย 0.597 และมียอดเข้าชมบน LINE TV กว่า 100 ล้านครั้ง  

และนี่เองที่ทำให้วงการนิยายวายไทยที่เคยอยู่ใต้ดินได้ขึ้นมาอยู่บนดินอย่างภาคภูมิใจ นักอ่านสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ มีการก่อตั้งสำนักพิมพ์ที่ขายนิยายวายโดยเฉพาะ เช่น สำนักพิมพ์บ้านวายบุ๊ค สำนักพิมพ์นาบู สำนักพิมพ์เบเกอรี่บุ๊ค 

หรือแม้กระทั่งสำนักพิมพ์ดังๆ อย่างเช่น สำนักพิมพ์นิยายวัยรุ่นชื่อดังอย่างแจ่มใส ก็แตกไลน์สำนักพิมพ์ย่อยที่ผลิตนิยายวายโดยเฉพาะเช่นกัน ‘เอเวอร์วาย’ หรือสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ก็เปิดสำนักพิมพ์ย่อยชื่อว่า สำนักพิมพ์ Deep สำหรับตีพิมพ์นิยายวายโดยเฉพาะ ซึ่งข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจคาดการณ์ว่า ปัจจุบันมีสำนักพิมพ์ที่ผลิตนิยายวายโดยเฉพาะกว่า 75 สำนักพิมพ์

แพลต์ฟอร์มนิยายออนไลน์ก็ยังคงได้รับความนิยมเช่นเดิม จนเกิดรูปแบบใหม่ๆ อย่าง ‘จอยลดา’ ที่เรียกว่าเป็นนิยายแชท คือ การนำเสนอเนื้อหาจะเป็นรูปแบบหน้าต่างแชท ส่วนแพลตฟอร์มที่ฉายซีรีส์วายส่วนใหญ่เป็นแพลต์ฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น ยูทูบ (YouTube) ไลน์ทีวี (Line TV) อ้ายฉีอี้ (iQiyi) วีทีวี (WeTV) เป็นต้น

อีกหนึ่งวงการที่เติบโตไปพร้อมๆ กับวงการซีรีส์วาย คือ วงการนักเขียนและนักวาด ซึ่งเรทค่าตัวนักวาดจะเริ่มตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน การคิดเรทก็จะมีตั้งแต่ภาพวาดนั้นขนาดเท่าไร เป็นแบบใบหน้าตัวละครอย่างเดียว หรือแบบครึ่งตัว หรือแบบเต็มตัว นำรูปไปใช้ส่วนตัวหรือเพื่อเชิงพาณิชย์ เป็นต้น ส่วนรายได้นักเขียนก็จะมีหลากหลาย เช่น ถ้าลงนิยายบนเว็บออนไลน์ก็จะได้ค่าตอบแทนที่เรียกว่า ‘ระบบ Donate’ แต่ละเว็บจะมีฟังก์ชั่นให้ผู้อ่านสามารถโดเนทเงินให้นักเขียนได้หากชื่นชอบ หรือนักเขียนสามารถตั้งราคาตอนขายได้อีกด้วย 

และถ้าหากนิยายเรื่องไหนได้รับการตีพิมพ์หรือนำไปสร้างเป็นซีรีส์ ค่าตอบแทนก็จะยิ่งเพิ่มพุ่งพรวด ที่น่าสนใจ คือ คนที่ทำงานนี้ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษาที่หารายได้เสริม ไปจนถึงคนทำงาน หรือคนที่ลาออกจากงานประจำเพื่อเดินสายงานนี้เต็มตัว

อุตสาหกรรมซีรีส์วายไทยยืนหนึ่งตลาดเอเชีย

ไลน์ทีวีได้ทำการเก็บสถิติผู้บริโภคที่เข้ามาดูซีรีส์วายในแพลตฟอร์มตัวเองต่อปีมีประมาณ 18,986,376 ล้านคน ก่อให้เกิดวัฒนธรรมบริโภคแบบใหม่ที่เรียกว่า Y-Economy ซึ่งกระแสบริโภคนี้ไม่ใช่เฉพาะแค่ที่ประเทศไทย แต่เรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมซีรีส์วายของตลาดเอเชีย

ซีรีส์วายยังเป็นประตูสู่ดวงดาวแจ้งเกิดนักแสดงหน้าใหม่ เกิดกลุ่มแฟนคลับที่รวมตัวกับคอยซับพอร์ตศิลปินที่ชอบ ยิ่งในยุคที่โซเซียลเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารหลัก เมื่อซีรีส์ปล่อยได้ไม่นานก็สามารถสร้างฐานคนดูเพิ่มขึ้นได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ 

Seth Godin กูรูการตลาดระดับโลก เคยกล่าวบนเวที TED ว่า นักการตลาดต้องตามหากลุ่ม Geek หรือคนที่คลั่งไคล้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วสื่อสารกับพวกเขา หากสร้างการเข้าถึง (Engagement) กับพวกเขาได้ เท่ากับเข้าถึงลูกค้ากลุ่มแรกได้ (Early Adopter) และจะถูกบอกต่อโดยที่แบรนด์ไม่ต้องหว่านเงินเพื่อจับตลาดแมสตั้งแต่แรก 

ผู้ผลิตซีรีส์จึงต่อยอดความสำเร็จด้วยการดันคู่จิ้นเคมีเข้ากันเสิร์ฟโมเมนต์ฟินๆ ในจัดงาน ‘แฟนมีทติ้ง’ (Fan Meeting) ในประเทศและขยายสู่ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะประเทศที่มีกำลังซื้อสูงอย่าง ‘จีน’ ที่สร้างปรากฏการณ์ขายบัตรหมดใน 5 นาที โดยราคาเริ่มต้นที่ 1,000 – 5,000 บาท ตามมาด้วยพรีเซ็นเตอร์สินค้า ออกงานอีเว้นท์ รวมถึงได้รับโอกาสในวงการบันเทิงมากมาย เช่น พิธีกร วงบอยแบนด์ 

จุดสำคัญหนึ่งที่ทำให้ตลาดซีรีส์วายเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ กลุ่มผู้บริโภค ที่พวกเขาพร้อม ‘เปย์’ ให้กับศิลปินดาราที่รัก เช่น เช่าป้ายโฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือเอ็มอาร์ที หรือเช่าป้ายโฆษณาตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เช่น สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิร์ด เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้ดาราหรือฉลองเทศกาลต่างๆ 

ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ ฐานคนดูซีรีส์วาย ไลน์ทีวีได้ทำการเก็บสำรวจพบว่ากลุ่มคนที่รับชมซีรีส์วายหลักบนแพลต์ฟอร์มตัวเอง เป็นกลุ่มคนอายุ 18 – 24 ปี รองลงมาคือ 25 – 35 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง แต่ปัจจุบันฐานอายุคนดูเพิ่มขึ้นจนถึง 65 ปี ซึ่งการเติบโตนี่ถือว่าสร้างการรับรู้ใหม่ที่คนส่วนใหญ่มองว่ากลุ่มคนดูซีรีส์วายจะเป็นเพียงคนรุ่นใหม่เท่านั้น  

จากการเติบโตของตลาดและพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภค ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตัดสินใจเข้าตลาดสร้างซีรีส์แข่งขัน อย่างช่องทีวีหลักอย่างช่อง 3 ที่ผลิตซีรีส์วาย ‘Gen Y The Series’ ‘คุณหมีปาฏิหาริย์’ และ ‘นับสิบจะจูบ Lovely Writer’ รวมถึงประเทศเกาหลีใต้ที่เริ่มหันมาผลิตซีรีส์วายด้วยเช่นกัน หรือแม้กระทั่งวงการกีฬาเองก็หันมาจับทางสร้างซีรีส์วายเช่นกัน โดยบริษัท เซนส์ เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด จับมือกับ ELEVEN SPORTS สร้างคอนเทนต์กีฬา หนึ่งในนั้น คือ การสร้างซีรีส์การ์ตูนวาย ‘The Winner รักชนะใจ’ เพื่อขยายฐานกลุ่มคนดูวายมาสู่วงการฟุตบอลไทย

อ้างอิง

ในวันที่ DATA คือพลังสำคัญ : สรุปเทรนด์ผู้บริโภคในงาน LINE Thailand Business 2020 (thematter.co)

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/884794

https://mgronline.com/business/detail/9630000103815

คอนเทนต์ “ซีรีส์วาย” กลายเป็น “กระแสหลัก” นักการตลาด-นักโฆษณาจะจับเทรนด์นี้อย่างไร ? (marketingoops.com)

การ์ตูน Y ‘Yaoi’ จากพื้นที่แสดงพลังของผู้หญิงสู่การเป็นสื่อบันเทิงที่เปิดกว้าง

YAOI101 ปูศัพท์พื้นฐาน สำหรับการเป็นหนุ่ม/สาววาย (มือใหม่) – Anitime

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/905566

Tags:

เพศซีรีส์วายวรรณกรรม

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

รัตน์ชนก วงษ์สมบัติ

นักวาดภาพประกอบ และนักวาดเว็บตูน twitter: pangolin99

Related Posts

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    เพียงพบบรรจบฝัน – เมื่อรสนิยมทางเพศไม่ใช่แค่เรื่องชอบชายหรือหญิง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก
Book
14 February 2021

หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก

เรื่อง ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ขนิษฐา ธรรมปัญญา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • “หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก” ชวนอ่าน 8 หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจความรักมากขึ้น ทั้งการรักตัวเองและการรักผู้อื่น

มีหนังสือมากมายพูดเรื่องความรัก และเราว่ามีหลายเล่มที่น่าจะทำให้คนอ่านรักตัวเองได้เก่งกว่าเดิม 

แน่นอน คงไม่มีใครรักตัวเองได้จากการอ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง และเห็นด้วยกับคุณดอน มิเกล รูอิซ นักเขียนชาวเม็กซิกัน ว่าความรักนั้นน่าจะต้องการการฝึกฝนไม่น้อย

หนังสือทั้ง 8 เล่มนี้ จะแสดงให้เราเห็นว่าการรักตัวเองนั้นมีมิติที่กว้างขวางและน่าสนใจแบบไหน หน้าตาเป็นยังไง วิธีการที่ผู้คนใช้กันเป็นยังไง ความรักตัวเองชดเชยความรักจากคนอื่นได้หรือไม่ รักคนอื่นน่าจะดีกว่ารักตัวเองหรือเปล่า แล้วมันต่างจากความเห็นแก่ตัว ต่างจากการพยายามพิสูจน์ตัวเอง การหลงตัวเอง หรือการไม่แคร์โลกรอบตัวยังไง และที่สำคัญที่สุด ความรักตัวเองจะมอบสายตา หัวใจ และชีวิตแบบไหนให้กับเรา

อย่างที่ว่าไว้ที่หัวข้อของเรื่องนี้ “หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก”

เริ่มประสบการณ์รักด้วยการอ่านหนังสือกันค่ะ 😊

1

“ค้นหาและออกไปนอกหนังสือด้วยตัวคุณเอง หรือหยุด เพื่อสัมผัสตัวคุณซึ่งมีเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขสงบซ่อนอยู่เสมอ”

DIY Your Heart คู่มือออกแบบความสุขด้วยตัวเอง

หนังสือที่เต็มไปด้วย ‘วิธี’ ที่เราจะเข้าถึงใจตัวเอง และมีความสุขได้มากกว่าเดิม ผ่านเรื่องราว 8 เส้นทาง ซึ่งอาจจะเหมาะกับแต่ละคนต่างๆ กันไป

ความน่าสนใจก็คือ หนังสือไม่ได้ชวนแสวงหาความสุขที่จะอยู่แป๊บๆ แล้วจางหาย แต่ให้เราฝึกฝนเครื่องมือที่หลากหลายที่จะเข้าไปถึงตัวเองได้ และมีความสุขได้ท่ามกลางความไหลไปของชีวิต คุณอาจพบตัวเองในธรรมชาติ ในเสียงดนตรี ในการทำงาน หรือในการดูแลใครบางคน

ให้เรามองเห็นตัวเองได้ชัดขึ้น ช้าลง ใคร่ครวญ และมีโอกาสมอบความรักให้กับตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม

ใครลองทำแล้ว อาจได้นิยามความรักที่น่าสนใจเพิ่มเติม

2

“ฉันสนับสนุนให้คุณกระทำเต็มกำลังโดยไม่ละสายตาจากเป้าหมาย ไม่ว่าเรื่องใด หากคุณทำ ไม่ว่าผลตอบแทนจะเล็กน้อยจ้อยร่อยหรือยิ่งใหญ่มหาศาล ได้โปรดรับรู้ว่า นั่นคือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ”

ค่อยๆ ไป แต่ไม่หยุด – อุรุดา โควินท์

รวมงานเขียนที่เป็นลูกผสมของบทความและเรื่องสั้น ถึงบรรดาผู้คนที่ไม่เคยหยุด โดยนักเขียนที่รักในการวิ่ง การเขียน และความงาม 

ค่อยๆ ไปแต่ไม่หยุด ไม่ใช่การไล่ตามเป้าหมายอย่างบ้าคลั่งจนทุกคนยอมศิโรราบ แต่เป็นการรู้ว่าเรากำลังจะไปไหน เพื่ออะไร และอย่างไร

แม้เรื่องจะเล่าถึงจิตวิญญาณอันมุ่งมั่นของผู้คนหลากหลาย แต่อุรุดาทำให้เราเห็นว่า คนที่เราเป็น วิธีการที่เราใช้ และสายตาที่เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเองได้เต็มตานั้นสำคัญกว่าเป้าหมายมาก

ถ้าเราคุยกับตัวเองมากพอ อยู่บนย่างก้าวในจังหวะของเรา ความรัก เคารพ และภาคภูมิในตัวเองนั้น มีพร้อมอยู่แล้วในเราทุกคน

3

“อย่าอายที่จะเป็นคนที่มีความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จงรู้สึกมันอย่างลึกซึ้ง และด้วยใจที่อ่อนโยน”

ผมเรียกเขาว่าเน็กไท – Milena Michiko Flašar

นิยายเล่มเล็กเล่าถึงชายหนุ่มผู้ขังตัวเองอยู่ในห้อง และชายสูงวัยที่ไม่สามารถเผชิญความจริง

ทั้งคู่ไม่สามารถรักใคร รวมทั้งตัวเอง โอฮาระผูกตัวตนไว้กับงาน และการเป็นสามีที่ดี ทากุชิผูกไว้กับความกล้าหาญ และความสมบูรณ์แบบ เมื่อไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง พวกเขาคิดว่าตัวเองสูญเสียทุกอย่าง ความผิดพลาดนี้เป็นของผู้คนรอบข้าง และนั่นยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับตัวเอง และไม่คิดว่าตัวเองสามารถเป็นได้แม้เพียงเป็น โอฮาระ หรือเป็นทากุชิ

หลายครั้ง การรักตัวเองก็ไม่ง่าย แต่การเล่าสู่ แลกเปลี่ยน และรับฟังเรื่องของกันและกันตลอดเล่มของทั้งคู่ ทำให้ความกลัวนั้นค่อยๆ คลี่คลาย และบอกข้อความสำคัญกับเรา

“จงรู้สึกมันอย่างลึกซึ้งขึ้นไปอีก ด้วยใจที่อ่อนโยนมากขึ้นไปอีก รู้สึกมันเพื่อตัวเธอเอง รู้สึกมันเพื่อคนอื่น แล้วจากนั้น จงปล่อยมันไป”

4

“เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นรอยแผลนั้นมาเนิ่นนาน ยังคงหลอกตัวเองอยู่เสมอ”

ผู้พิทักษ์ต้นการบูร – ฮิงาชิโนะ เคโงะ

นิยายจากผู้เขียนปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ และหนังสือสืบสวนระดับรางวัลอีกหลายสิบเล่ม 

เล่มนี้เล่าถึง เรโตะ เด็กหนุ่มกำพร้าที่มีชีวิตล่องลอย จนกระทั่งได้รับความช่วยเหลืออย่างปริศนาจากญาติที่ไม่รู้จัก เขาจะต้องไปเฝ้าต้นการบูรที่มีคนจองคิวมาอธิษฐานกันอย่างลึกลับ

ระหว่างไขปริศนา เรโตะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตที่มีค่าและมีความหมายอะไร จนกระทั่งความผูกพันก่อตัว ภารกิจสำคัญเริ่มขึ้น เขาค่อยๆ มองตัวเองและโลกใบนี้เปลี่ยนไป

หนังสือเล่าถึงการสืบทอด การสร้างสายสัมพันธ์ การทำความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ในการเชื่อมโยงเหล่านั้น เราจะเห็นว่าความสุขของเรายึดโยงกับคนอื่นเยอะมาก โยงจนกว่าเราพบจุดยืนที่เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้จริงๆ 

เป็นหนังสืออ่านสนุก ที่ทำให้เห็นความรักตัวเองถูกค้นพบอีกครั้งเมื่อเราเห็นคุณค่าของชีวิต ได้รักใครสักคน ได้ดูแล รับฟัง อยู่ร่วม รู้สึกถึงความทุกข์ สุข ของคนอื่นๆ นอกจากตัวเราเอง

5

“โดนปั่นหัวจากสิ่งที่คนเรากำหนดขึ้นเอาเองเนี่ย เหนื่อยนะ”

เจ้าอู๊ดชิตตะกะทำเป็นรู้กับบุตตะ 2 – โยชิฮิโระ โคอิซุมิ

จริงๆ เราต้องรักตัวเองรึเปล่า? ทำไมตัวเราสำคัญขนาดนั้น? การรักทำให้ทุกข์รึเปล่านะ? แล้วการรักตัวเองจะต่างไปยังไง?

หนึ่งในหนังสือเซต 7 เล่มที่เป็นการ์ตูนที่ได้รางวัลบุงเกชุนจูมังงะ เรื่องเล่าเป็นการ์ตูนช่อง ตอนละ 1-2 หน้า ที่เล่าแบบสนุกๆ บางตอนก็ตลก แต่เรื่องที่ชวนเราคุยหลายเรื่องก็ทำให้เราต้องหยุดคิดหลายนาที หรือหลายวัน

เป็นหนังสือที่ช่วยขยายขอบเขตของคำว่า ‘ตัวตน’ และพาเรามองโลกที่เชื่อมโยงอยู่กับเรา รวมถึงว่า ทำไมเราถึงทุกข์และสุขกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามามากนัก เรากำลังกังวลถูกเรื่องรึเปล่า

เมื่อเข้าใจว่าตัวตนคืออะไร ขั้นถัดไปถึงจะรู้ว่า แล้วจะรักยังไง

6

“เราทุกคนอาจแตกสลายได้เช่นเดียวกันหากสถานการณ์เหล่านั้นเลือกทดสอบเรา”

ความจิตใจดี – The School of life

หนังสือที่พาเราไปรู้จักกับความจิตใจดีแบบเพลินๆสบายๆ เป็นความจิตใจดีที่ประกอบด้วยความมั่นใจในตัวเอง การเป็นคนอบอุ่น การจีบ การโกหก และอื่นๆ อีกหลายองค์ประกอบ

ความจิตใจดีนั้นมีหลายนิยาม ในบางบริบท ความจิตใจดีอาจเป็นความโง่เขลาขี้แพ้ หรือเป็นคุณสมบัติของคนที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับ ‘ความรักตัวเอง’ ที่อาจถูกแปลว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ บางคนไม่อยากให้คนอื่นบอกว่าตัวเองเป็นคนจิตใจดี ไม่กล้ารักตัวเอง และไม่กล้ารักใคร ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของการที่เราจะอยู่ร่วมกัน

แปลกมากทีเดียว

อีกสิ่งที่น่าสนใจระหว่างที่อ่าน เราจะได้เห็นว่าในโลกที่มีนิยามอันจำกัดต่อสิ่งต่างๆ เช่น ความสำเร็จคืออะไร ความดีคืออะไร ความรัก หรือความเห็นแก่ตัวมีหน้าตาแบบไหน

อย่าปล่อยให้นิยามเหล่านั้นหลอกเรา

7

“เธอไม่ใช่เสียงในหัวของเธอ แต่ตัวเธอจริงๆ คือคนที่กำลังฟังเสียงนั้น”

เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ – ดร.เจมส์ อาร์. โดตี

หนังสือโดยศัลยแพทย์สมองที่เชื่อว่า คนเราเปลี่ยนได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบสมอง วิธีคิด ไปจนถึงชะตาชีวิต ถ้าเราจะทำ รู้วิธีทำ และฝึกฝนมัน ซึ่งวิธีที่หนังสือเล่มนี้เสนอ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยค่ะ มันคือ การภาวนา (Meditation) หรือการฝึกให้ตัวเองรู้จักหยุด อยู่กับชั่วขณะปัจจุบัน และวาง

ทำไมเรื่องนี้ถึงเกี่ยวกับการรักตัวเองได้

เรื่องนี้คล้ายบันทึกประสบการณ์ที่เล่าสลับระหว่างตอนผู้เขียนยังเป็นเด็ก แล้ววิ่งไปเจอ ‘รูธ’ ผู้หญิงแปลกหน้าในร้านอุปกรณ์มายากล รูธสอนกลให้เขา ซึ่งกลที่ว่า ก็คือการภาวนาในรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป และชวนให้เขาฝึกฝนมันอย่างเป็นปกติในชีวิตประจำวัน สลับกับกลนี้ คือเรื่องเล่าของระบบประสาท การเป็นศัลยแพทย์ ชีวิตวัยเด็กในครอบครัวที่มีทั้งความเศร้าและความรุนแรง

เมื่อเขาหยุดชั่วขณะไว้ด้วยกลได้ เขาจะเริ่มมองเห็นทุกอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว ความทุกข์ที่เชื่อว่ามีแน่จะถูกวาง ความกลัว ความโกรธ จะถูกมองเห็น สัมพันธ์กันไปทั้งสมอง กาย และใจ และสร้างชีวิตขึ้นใหม่จากความจริงตรงหน้า

เด็กน้อยในเรื่องต้องไปเจอรูธเพื่อฝึกทุกวันอยู่เกือบ 2 เดือน และถูกขอให้ฝึกอย่างต่อเนื่องที่บ้าน

ผู้เขียนบอกกับเราว่า เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ มันแค่ต้องถูกฝึก…ความรักก็เช่นกัน

8

“เราไม่ควรหลอกลวงว่าเราเป็นใครและเป็นอะไร ไม่ว่ากับตัวเองหรือผู้อื่น”

พลังแห่งการเพิ่มความนับถือตัวเอง – Nathaniel Branden

ผู้เขียนอธิบายให้เห็นได้อย่างลึกซึ้งและซับซ้อน ว่าเวลาเราพูดคุยกับตัวเองในประเด็นต่างๆ ประกอบร่างความเป็นเราขึ้นมานั้น ส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง พร้อมๆ กันก็คลี่ให้เห็นว่า เราจะคุยกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา กล้าหาญ และเต็มไปด้วยความรักได้อย่างไร

หนังสือเล่า 2 เรื่องไปคู่กัน คือกรณีศึกษาของผู้คนที่เข้ารับการเยียวยาปรึกษาและแบบฝึกหัดที่ชวนให้เราลองคุยกับตัวเองดู ซึ่งยากที่สุดก็คือ แบบฝึกหัดเหล่านั้น อาจชวนเราเผชิญกับความเป็นเราที่เราไม่ชอบ ไม่อยากเป็น ไม่อยากรับผิดชอบ และไม่อยากยอมรับ

ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ในอดีตที่เลวร้าย ความสำเร็จที่คุณรู้สึกว่าคุณไม่สมควรได้รับ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่คุณกลัวจะทำมันพัง และอื่นๆ อีกหลายประเด็น

เปิดให้เราได้มองตัวเองให้ชัด วางใจ และเข้าใจ 

จากนั้น เมื่อเรานับถือตัวเองได้ เราก็นับถือคนอื่นได้ และมีปฏิสัมพันธ์ต่อตัวเองและผู้คนอย่างมีคุณภาพและเปี่ยมเต็มได้

ให้เราใช้ชีวิตอย่างมีพลังและกล้าหาญ 

กล้าที่จะรัก และมีความสามารถที่จะรัก

Tags:

หนังสือการเติบโตความรัก

Author:

illustrator

ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

นักอ่าน บรรณาธิการอิสระ อดีตกองบรรณาธิการนิตยสาร writer ชอบการเดินทางและกำลังสนุกกับกล้องฟิล์ม เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace

illustrator

ขนิษฐา ธรรมปัญญา

นักเล่น นักทำงานอดิเรก สนใจการเดินทางด้านในของผู้คน นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายมากว่า15 ปี เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ห้องสมุดแห่งบาเบล : ภาพลวงตาของความหมาย

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy lifeBook
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

สามเหลี่ยมความรัก : ตอนนี้เรารักกันแบบไหน
Relationship
12 February 2021

สามเหลี่ยมความรัก : ตอนนี้เรารักกันแบบไหน

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • สถานะความรักของเราเป็นแบบไหน ชวนเช็คกับสามเหลี่ยมความรัก (triangular theory of love) นิยายความรักโดยโรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg)
  • องค์ประกอบสามเหลี่ยมความรักของสเติร์นเบิร์ก ได้แก่ Intimacy – ความสนิท ความรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ Passion – เสน่หา ความต้องการทางเพศ ความรู้สึกหลงใหลในรูปร่างภายนอก และ Commitment – ความผูกมัด เป็นความรู้สึกว่า อยากจะอยู่เคียงข้างกับคนนี้ต่อไปนานๆ
  • ต่อให้มีรักที่สมบูรณ์แบบ ณ ตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ยืนนาน เพราะความรู้สึกของคนมันเปลี่ยนกันได้ แต่การที่ส่วนประกอบนั้นไม่คงที่เปลี่ยนแปลงได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ไปทั้งหมด เพราะมันแปลว่าเราพัฒนาส่วนประกอบที่ขาดหายไปให้มันมาเติมเต็มได้เช่นกัน 

คำว่า ‘รัก’ เป็นคำที่แปลกครับ เราเริ่มรู้จักมันตั้งแต่ยังเด็ก พอเราเริ่มรู้ความเมื่อเห็นตัวละครที่รักกันในนิทาน ละคร หรือการ์ตูน เราก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าหมายถึงอะไร และพอเข้าสู่วัยรุ่นบางคนที่มีรักแรกจะเข้าใจเองว่า ความรู้สึกนี้แหละคือความรัก แต่หากให้เราอธิบายชัดๆ ว่า แล้วรักคืออะไรกันแน่ ความรู้สึกแบบไหนจึงจะเรียกว่ารัก กลับเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก ถามคนหนึ่งก็ตอบแบบหนึ่ง อีกคนก็ตอบอีกแบบ 

เหตุผลที่คำถามนี้ยากส่วนหนึ่งก็เพราะคำว่า ‘รัก’ นั้นเกิดจากหลากหลายความรู้สึกที่ผสมผสานกัน รู้สึกดีแน่ๆ แต่มันดีแบบไหนกัน และอีกเหตุผลคือรักนั้นมีหลายแบบ รักแฟน รักพ่อแม่ รักพี่น้อง รักเพื่อน รักแบบกิ๊ก สารพัดรูปแบบ มันเลยยากที่จะนิยามความรักอยู่สักหน่อย บทความนี้เราเลยชวนมารู้จักนิยามของความรักในมุมมองของจิตวิทยา ว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง และรักมีกี่รูปแบบ

นิยามความรักของจิตวิทยาก็มีหลายแบบครับ ตามแต่ทฤษฎีที่ยึดเป็นเกณฑ์ แต่นิยามความรักหนึ่งที่ได้รับความนิยมทั้งในและนอกวงการวิชาการ เพราะครอบคลุมความรักหลากหลายแบบ และฟังดูสมเหตุสมผลคือ นิยามความรักของโรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) นักจิตวิทยาชาวสหรัฐฯ ที่คิดไว้ตั้งแต่ปี 1986 จนถึงปัจจุบัน หากพูดถึงจิตวิทยาความรักทฤษฎีนี้ก็ยังเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย และมีงานวิจัยที่ยังคงทดสอบรูปแบบความรักดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ 

สเติร์นเบิร์กนิยามความรักไว้ว่า เป็นความรู้สึกที่ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 อย่าง เขาเลยตั้งชื่อทฤษฎีนี้ว่า ‘สามเหลี่ยมความรัก’ (triangular theory of love) มาดูกันครับว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง

สิ่งแรกคือ Intimacy หรือ ‘ความสนิท‘ เป็นความรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้กัน ปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข รู้สึกว่าพึ่งพาอีกฝ่ายได้ เข้าใจกันและกัน

เป็นความรู้สึกที่ ‘อบอุ่น’ ในความสัมพันธ์ ความสนิทอาจต้องใช้เวลาจนกว่าจะคุ้นเคยกัน หรือบางครั้งอาจจะถูกชะตา รู้สึกว่านิสัยเข้ากันได้ทั้งๆ ที่รู้จักไม่นาน

สิ่งที่สองคือ Passion หรือ ‘เสน่หา‘ ซึ่งเป็นความต้องการทางเพศ อยากสัมผัส อยากมีความสัมพันธ์ทางกาย รวมถึงความรู้สึกหลงใหลในรูปร่างหน้าตา หรือแม้แต่เสียง หรือบุคลิกของอีกฝ่าย เสน่หานั้นเหมือนความรู้สึกที่ ‘เร่าร้อน’ ในความสัมพันธ์

สิ่งสุดท้ายคือ Commitment หรือ ‘ความผูกมัด‘ เป็นความรู้สึกตกลงปลงใจว่า อยากจะอยู่เคียงข้างกับคนนี้ต่อไปนานๆ ส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าจะอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขไหม แค่ต้องการรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ให้ยาวๆ ความผูกมัดเลยเหมือนส่วนประกอบที่ ‘เยือกเย็น’ ถ้าเทียบกับความรู้สึกอีกสองอย่าง

รักของเราเป็นแบบไหน?

ความรักในมุมมองของสเติร์นเบิร์กมีหลายแบบครับ โดยความรักไม่จำเป็นต้องมีส่วนประกอบครบทั้ง 3 อย่าง มีแค่หนึ่งหรือสองอย่างก็ถือว่า คือ ความรักรูปแบบหนึ่งแล้ว ส่วนประกอบที่ต่างกันไปก็เป็นความรักในรูปแบบที่ต่างกัน คนคนเดียวมีความรักได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับว่าจะรักใคร เช่น ในความสัมพันธ์กับพ่อแม่ก็แบบหนึ่ง กับคนรักเก่าก็อีกแบบหนึ่ง กับคนรักใหม่ก็อีกแบบ เรามาดูกันดีกว่าครับว่าความรักมีรูปแบบอะไรบ้าง

  • Non love หรือ ‘ไม่รัก‘ ไม่มีส่วนประกอบใดเลย อาจจะไม่นับว่าคือรูปแบบความรักก็ได้
  • Liking หรือ ‘ชอบ‘ มีแค่ความสนิทอย่างเดียว นึกถึงเพื่อนๆ ตอนสมัยเรียนก็ได้ครับ เราสนิทใกล้ชิด มีความสุข เฮฮาตอนอยู่ใกล้ แต่เราไม่ได้คิดเรื่องที่ผูกมัดให้เพื่อนอยู่กับเราไปจนแก่เฒ่า และเราคงไม่ได้หลงใหลหน้าตาหรืออยากมีความสัมพันธ์วาบหวิวกับเพื่อนๆ 
  • Infatuated love หรือ ‘รักแบบหลงใหล‘ มีแค่เสน่หาอย่างเดียว หรือก็คือหลงใหลหน้าตาและต้องการมีเพศสัมพันธ์ด้วย ตัวอย่างคือ One night stand หรือคนที่มาเจอเพื่อมีเพศสัมพันธ์กันเท่านั้น เสร็จแล้วก็แยกย้าย ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์อะไรต่อ ไม่คิดจะเปิดอกพูดคุยให้สนิทกันมากขึ้น อาจจะเจอกันหลายครั้งก็ได้ แต่ก็ไม่ตกลงหรือทำสัญญาผูกมัดกันและกันไว้
  • Empty love หรือ ‘รักแบบว่างเปล่า’ มีแค่ความผูกมัดอย่างเดียว ที่มันว่างเปล่าเพราะไม่มีทั้งความสุขที่อบอุ่นของความสนิท หรือที่เร้าร้อนของเสน่หา แต่ก็ต้องอยู่กันไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เช่น คู่ที่ถูกบังคับให้แต่งงานหรือคลุมถุงชน ในช่วงแรกๆ อาจจะเกิดความรักรูปแบบนี้ คือรู้สึกว่าแต่งงานกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันไป ไม่ได้คิดหย่าเพราะอาจจะกลัวเสียชื่อเสียง หรือคิดว่าอยู่ๆ ไปอาจจะรักกันมากขึ้นไปเอง
  • Companionate love หรือ ‘รักแบบมิตรภาพ‘ มีทั้งความสนิท และความผูกพัน รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้กันแบบไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศ และผูกพันต้องการอยู่ด้วยกันไปอีกนาน เช่น รักที่มีต่อพ่อแม่ พี่น้อง คนในครอบครัว รวมถึงเพื่อนสนิทที่อยากจะไปมาหาสู่กันจนแก่ หรือคนที่เป็นแฟนหรือคู่แต่งงาน หากอยู่กันไปนานๆ ความตื่นเต้น ความเร่าร้อนของเสน่หาก็หายไปกับกาลเวลา แต่ความสนิทและความผูกพันยังคงอยู่ ก็ถือว่าเป็นความรักรูปแบบนี้ก็ได้ครับ
  • Romantic love หรือ ‘รักแบบโรแมนติก’ มีทั้งความสนิทและเสน่หา เป็นความรักที่เกือบจะสมบูรณ์ของคู่รักหรือคู่แต่งงาน เพราะมีความสุขกับความรักทั้งในแง่ความอบอุ่นใกล้ชิด และเรื่องบนเตียงอันเร่าร้อน แต่ไม่ได้คิดไกลๆ ว่าต้องรักกันไปอีกนานแค่ไหน มักจะเกิดในวัยรุ่นที่ยังไม่ถึงขั้นจะร่วมหัวจมท้ายไปกับคู่รัก หรือคนที่อาจจะถูกชะตาและมีอะไรกันแล้วในช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มั่นใจว่าจะคบกับคนนี้จริงจังแค่ไหน
  • Fatuous love หรือ ‘รักหลงรูป‘ คำว่า Fatuous จริงๆ แล้วแปลว่า ประหลาด รักรูปแบบนี้ประหลาดเพราะมันมีเสน่หากับความผูกมัด หรือก็คือผูกมัดคนรักไว้ด้วยเรื่องทางกามารมณ์ รูปร่างหน้าตา คู่นอนที่เจอกันบ่อยๆ ติดใจเข้ากันได้ทางร่างกายก็อาจจะเกิดความรักแบบนี้ หรือรักในแวดวงดาราที่มีแต่คนหน้าตาดีๆ หลงใหลรูปลักษณ์กันตอนทำงานด้วยกัน คู่แต่งงานที่ชอบพอเพราะหน้าตาถูกใจ และรีบร้อนแต่งงานจนยังไม่สนิทกันก็ถือว่าเป็นความรักในแบบนี้ได้
  • Consummate love หรือ ‘รักสมบูรณ์แบบ‘ มีองค์ประกอบครบถ้วนทั้ง ความสนิท เสน่หา และความผูกมัด หากพูดถึงความรักแบบแฟน สามีภรรยา คู่แต่งงาน รักแบบนี้ถือว่าดีที่สุด เป็นรักในอุดมคติ สนิทใกล้ชิดเข้าใจกันและกันจนให้ความรู้สึกอบอุ่น เรื่องบนเตียงก็เร้าร้อนตื่นเต้น และอยากรักกันไปแบบนี้นานๆ 

แน่นอนว่าคนที่เป็นแฟนกัน หรือคู่แต่งงานคู่ไหนก็อยากมีรักที่สมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตามความรักเป็นเรื่องของคนสองคน การที่ชีวิตรักจะสมบูรณ์แบบนั้น ก็ต้องเกิดขึ้นจากความรู้สึกของคนรักทั้งคู่ และการที่ทั้งคู่จะมีความรู้สึกรักที่มีส่วนประกอบครบถ้วนนั้นมักเกิดขึ้นได้ยาก 

สิ่งสำคัญที่ควรรู้ของทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก คือ มันเรื่องของ ‘ความรู้สึก’ ซึ่งความรู้สึกรักก็เหมือนความรู้สึกอื่นๆ คือ มันเปลี่ยนแปลงไปได้เมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีส่วนประกอบใดที่มั่นคงถาวร 

ถึงจะมีความรู้สึกผูกมัดตอนนี้ แต่หากชีวิตรักไม่มีความสุขด้านอื่นเลย ความรู้สึกว่าอยากจะอยู่กับคนนี้ต่อไปนานๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามคนเรามักจะเคยชินการมีอีกฝ่ายหากอยู่กันนานมากๆ ก็มักจะเลิกกันยากขึ้น

ความสนิทนั้นส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะอยู่ด้วยกันนานๆ ก็เข้าใจกันมากขึ้น รู้ใจกันมากขึ้น แต่มันก็อาจจะลดลงได้เช่นกัน หลายๆ คนยิ่งคบยิ่งเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจในตัวอีกฝ่าย ทะเลาะกันบ่อยครั้งจนรู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้ คุยกันก็ไม่รู้เรื่องรู้สึกไม่เข้าใจอีกฝ่ายไปแล้ว ยิ่งนานยิ่งสนิทกันน้อยลง

ส่วนเสน่หานั้นมักจะลดลงไปตามเวลา พอเจอหน้ากันบ่อยๆ ต่อให้หล่อหรือสวยแค่ไหนเจอทุกวันมันก็เบื่อ หรือเรื่องบนเตียงนานๆ เข้าความตื่นเต้นมันก็หายไป หรือพอแก่ตัว เรื่องพวกนี้มันก็สำคัญน้อยลง

ดังนั้น ต่อให้มีรักที่สมบูรณ์แบบ ณ ตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ยืนนาน เพราะความรู้สึกของคนมันเปลี่ยนกันได้ แต่การที่ส่วนประกอบนั้นไม่คงที่เปลี่ยนแปลงได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ไปทั้งหมด เพราะมันแปลว่าเราพัฒนาส่วนประกอบที่ขาดหายไปให้มันมาเติมเต็มได้เช่นกัน 

คู่รักที่หลงใหลกันเพียงหน้าตา แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้รับรู้นิสัยของกันและกัน ก็อาจจะมีความสนิทใกล้ชิดเข้ามาเพิ่มเติม หรือคู่รักที่สนิทกันแล้ว หลงใหลก็แล้ว เมื่อถึงเวลาต่างฝ่ายต่างตกลงใจว่า ถ้าแบบนั้นก็คนนี้แหละคือคู่ชีวิต ก็อาจจะเปลี่ยนใจมาสร้างความรู้สึกผูกมัดแก่กัน ดังนั้นไม่ว่ามีรักรูปแบบไหนเวลาผ่านไป มันก็อาจจะค่อยๆ เติมส่วนประกอบที่ขาดจนกลายเป็นรักที่สมบูรณ์ได้ แต่ในทางกลับกัน มันอาจจะค่อยๆ ตกหล่นไปจนไม่เหลือส่วนประกอบใดเลย และกลายเป็น ‘ไม่รัก’ ก็ได้

หรือต่อให้บางส่วนขาดหายไป ก็ไม่จำเป็นต้องเลิกรากัน คู่รักในบางคู่แต่เดิมอาจจะมีส่วนประกอบครบถ้วน แต่พออยู่ไปนานวัน เสน่หาหายไป ถ้ายังเหลือความรู้สึกสนิทกันเพราะอยู่ด้วยกันมานานเข้าใจกันดี และผูกมัดเพราะชินแล้วที่อยู่ด้วยกันแบบนี้ จะให้แยกกันก็คงลำบาก ก็อาจจะเปลี่ยนรูปแบบความรักไปเป็นแบบมิตรภาพและอยู่ด้วยกันแบบนั้นต่อไปได้ ซึ่งเราอาจจะเห็นได้บ่อยๆ ในคู่รักสูงวัยที่แต่งงานกันนานแล้ว

ดังนั้น รักที่ดีในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีทุกส่วนประกอบพร้อมก็ได้ หากคิดว่าส่วนใดยังขาดหายไป ก็ค่อยๆ หาทางเพิ่มมันให้เต็มก็ยังไม่สาย มาพูดคุยเปิดใจ หรือทำงานกิจกรรม หรืองานอดิเรกร่วมกันบ่อยๆ ให้เกิดความสนิทใกล้ชิด หากเรื่องบนเตียงมันยังไม่น่าพึงพอใจ ก็อาจจะลองคุยกับคู่รักดูว่าจะปรับเปลี่ยนกันอย่างไร หรือแม้แต่คุยกับแพทย์ก็ยังได้ว่ามีวิธีบำบัดหรือยาช่วยเรื่องนี้ไหม หรือแม้แต่การคุยกับนักจิตวิทยา ส่วนความผูกมัดนั้นหากทั้งคู่คิดจะปรับตัว นั่นก็น่าแปลว่าต้องการอยู่กันอีกนานอยู่แล้ว 

อย่างไรก็ตาม รักที่ดี กับ รักที่สมบูรณ์แบบ ก็ไม่เหมือนกัน รูปแบบสมบูรณ์ของสเติร์กเบิร์กนั้นหมายถึงแฟนหรือคู่แต่งงานตามมาตรฐานสังคม แต่ในความสัมพันธ์รูปแบบอื่น ๆ อย่างเช่นเพื่อนสนิท เราก็ไม่ต้องใส่ผลประโยชน์ลงเป็น friend with benefit ก็ได้ แค่มิตรภาพก็เพียงพอที่จะคบกันได้นานแล้ว หรือคู่รักที่พอใจจะไม่มีเพศสัมพันธ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากไม่ต้องการทั้งคู่จะฝืนใจมีทำไม หรือแม้แต่หลายคนไม่อยากมีความสัมพันธ์ระยะยาว อยากเปลี่ยนคนรักไปเรื่อย หากคนที่คบคิดเหมือนๆ กัน ทั้งคู่ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันนาน ขอแค่ป้องกัน ให้ไม่ติดโรค ไม่มีลูกมาให้ผูกมัดโดยไม่ตั้งใจ ก็เป็นสิทธิในการมีความรักแบบนั้น

จะรักแบบไหน หากพอใจทั้งสองฝ่าย และไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน เราก็มีสิทธิที่จะมีความสุขกับความรักในแบบที่เราพอใจได้เสมอ จะสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าพอใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครับ

อ้างอิง
Sternberg, R. J. (1986). A triangular theory of love. Psychological review, 93(2), 119.
Sternberg, R. J. (1997). Construct validation of a triangular love scale. European Journal of Social Psychology, 27(3), 313-335.Sorokowski, P., Sorokowska, A., Karwowski, M., Groyecka, A., Aavik, T., Akello, G., … & Sternberg, R. J. (2021). Universality of the triangular theory of love: Adaptation and psychometric properties of the Triangular Love Scale in 25 countries. The Journal of Sex Research, 58(1), 106-115.

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ความรัก

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    จิตวิทยา ‘ของขวัญ’ : ให้อะไรถึงจะดีต่อใจคนรัก

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    ‘รักในวัยเรียน’ เปลี่ยนความกังวลให้เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้และเติบโต : คุยกับ หมอโอ๋-พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    แยกความรักออกจากการทำร้ายร่างกาย: คุยกับ เบส-SHero เรื่องการก้าวออกจากความรุนแรงในครอบครัว 

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

Captain Fantastic : เลี้ยงลูกเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พร้อมรับความจริงไม่ต้องปรุงแต่ง
Movie
11 February 2021

Captain Fantastic : เลี้ยงลูกเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พร้อมรับความจริงไม่ต้องปรุงแต่ง

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Captain Fantastic (2016) หนังที่เล่าถึงครอบครัวคุณพ่อลูก 6 พวกเขาตัดสินใจปลีกวิเวกจากสังคมไปใช้ชีวิตในป่ากว่า 10 ปี จนมีเหตุให้พวกเขาต้องกลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง
  • การเลี้ยงลูกของ ‘เบน’ อาจไม่เหมือนคุณพ่อที่หนังครอบครัวชอบนำเสนอ เบนเลี้ยงลูกตามวิถีที่เขาเป็น คือ พยายามให้ลูกพึ่งพาตัวได้มากที่สุด แม้จะมีบางอย่างที่ดูสุดโต่ง แต่สิ่งที่เบนทำคือเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นได้
  • วิธีสื่อสารระหว่างเบนกับลูก เขาไม่เคยใช้วิธีหลีกเลี่ยงเมื่อต้องพูดเรื่องยากๆ เช่น เรื่องการสูญเสีย หรือเมื่อเจอคำถามที่ชวนกระอักกระอ่วนใจจากลูก อย่าง ‘การข่มขืนคืออะไร?’ สิ่งที่พ่ออย่างเบนทำ คือ พูดตรงๆ เพื่ออธิบายให้ลูกเข้าใจ

Tags:

การฟังและตั้งคำถามพ่อการเลี้ยงลูกความสูญเสีย

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Character building
    Shyness : ความขี้อายไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Family Psychology
    ในวันที่พ่อแม่หรือบุคคลที่รักจากไป

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    Parent, Child, Adult คุณสวมบทบาทไหนระหว่าง ‘คุยเรื่องการเมือง’

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • Dear ParentsMovie
    Beautiful Boy: ไม่ว่าลูกจะเลือกทางไหน พ่อจะเห็นลูกเป็น ‘บิ้วตี้ฟูลบอย’ ของพ่อเสมอ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

ความน่ากลัวของโลกออนไลน์ ภาพสะท้อนของชีวิต ‘ออฟไลน์’ ที่ผู้ปกครองต้องโฟกัสให้ถูกจุด
Adolescent Brain
11 February 2021

ความน่ากลัวของโลกออนไลน์ ภาพสะท้อนของชีวิต ‘ออฟไลน์’ ที่ผู้ปกครองต้องโฟกัสให้ถูกจุด

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • งานวิจัยที่ศึกษาเรื่องความกังวลใจเกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือของเด็กในประเด็นความสัมพันธ์ชี้ว่า ผลกระทบต่างๆ แบบออนไลน์เป็นแค่ภาพสะท้อนจากสิ่งที่เกิดขึ้นแบบออฟไลน์ในชีวิตจริง
  • แม้การวิจัยเกี่ยวกับผลร้ายจากการใช้เวลาหน้าจอของเด็กจะยังไม่มีข้อยุติ แต่การนำเสนอส่วนใหญ่มักให้น้ำหนักกับผลด้านลบมากกว่า ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นผลจากวิวัฒนาการของระบบสมองมนุษย์ ซึ่งมักตีความสถานการณ์แวดล้อมให้น่ากลัวเกินจริงเพื่อประโยชน์ในการรอดชีวิต
  • นักวิจัยชี้ว่า ยังคงมีขอบเขตที่แน่นอนระดับหนึ่งที่ควรยึดถือเป็นข้อปฏิบัติ นั่นคือ ต้องมีความพอเหมาะพอดีในการใช้งาน โดยแนะนำว่าระดับที่เหมาะสมคือ ให้ใช้ได้ราว 1 – 2 ชั่วโมงต่อวันในช่วงระหว่างวันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนวันหยุดอาจเพิ่มได้อีกเล็กน้อย

ในยุคข้อมูลข่าวสารที่เด็กๆ อาจจะใช้เวลากับหน้าจอมากกว่าอยู่ต่อหน้าเพื่อนหรือผู้ปกครองเสียอีก ทำให้ผู้ใหญ่จำนวนมากเกิดความกังวลใจว่า โซเชียลมีเดียจะทำให้ลูกหลานของตัวเองเกิดอาการซึมเศร้า หรือกลายเป็นคนชอบโดดเดี่ยวแยกตัวเองออกจากสังคมหรือไม่? เล่นวิดีโอเกมยิงกันบ่อยๆ จะทำให้เด็กๆ มีใจคอโหดร้าย จนกลายเป็นฆาตกรในอนาคตได้หรือไม่?

แถมยังมีข่าวในสื่อบ่อยๆ ว่า มีส่วนแน่ๆ แต่เรื่องจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? มีงานวิจัยชิ้นไหนที่ช่วยตอบคำถามทำนองนี้บ้าง

มีงานวิจัยที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดุ๊กทำไว้ตั้งแต่ ค.ศ.2015 (ตีพิมพ์ในวารสาร Perspectives on Psychological Science) ศึกษาเรื่องความกังวลใจเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้ปกครองชาวอเมริกัน พบว่าพวกเขามีเรื่องให้กลัวว่าจะเกิดผลกระทบมากถึง 7 เรื่อง ได้แก่

  1. ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ
  2. ความสัมพันธ์กับพ่อแม่
  3. การโดนรุมแกล้งหรือบูลลี่
  4. ชักจูงไปในทางที่ผิดบนไซเบอร์
  5. ขัดขวางการพัฒนาหรือสร้างบุคลิกและความเป็นตัวตน
  6. รบกวนการนอน
  7. ส่งผลกระทบต่อการเรียน 

อย่างไรก็ตาม ผลสรุปจากงานวิจัยนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก กล่าวคือ หนึ่ง – ผลกระทบต่างๆ แบบออนไลน์เป็นแค่ภาพสะท้อนจากสิ่งที่เกิดขึ้นแบบ ‘ออฟไลน์’ ในชีวิตจริง และนอกจากข้อยกเว้นสองเรื่องที่ส่งผลจริงๆ คือ การรบกวนการนอนกับการแกล้งกันทางออนไลน์ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่

และสอง – ผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือไม่สม่ำเสมอในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ขณะที่วัยรุ่นบางคนได้รับผลกระทบในด้านลบทำให้ชีวิตแบบออฟไลน์ย่ำแย่ลงไปอีก แต่บางคนก็ได้รับผลดีจากการใช้งาน เช่น มีทักษะที่เป็นประโยชน์บางอย่างสำหรับวัยรุ่นที่ขี้อาย ไม่กล้าออกไปอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก 

งานวิจัยชิ้นนี้จึงสรุปว่า ยังจำเป็นจะต้องมีการทดลองที่อาศัยการวิเคราะห์ผลทางตรงแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการขอข้อมูลจากปากคำของวัยรุ่นเอง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงผลกระทบของการใช้โทรศัพท์มือถือกับความสัมพันธ์ทางสังคม และสภาพร่างกาย ซึ่งก็รวมทั้งสมองด้วย   

ย้ำตรงนี้อีกสักทีนะครับ ผลร้ายที่กลัวๆ กันนั้น เอาเข้าจริงแล้วก็เป็นไปได้ไม่น้อยว่า เป็นแค่ภาพสะท้อนจากสิ่งที่เราพบเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้วในโลกจริงแบบออฟไลน์

ยังมีความสับสนอยู่ไม่น้อยทีเดียวเรื่องผลกระทบของการใช้โซเชียลมีเดีย หรืออุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ กับเด็กๆ ว่าดีหรือแย่กับตัวเด็กกันแน่ แต่ดูเหมือนคนจะใส่ใจหรือเผยแพร่ข้อมูลด้านลบเสียมากกว่า ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นผลจากวิวัฒนาการของระบบสมองของมนุษย์ที่เก่าแก่หลายแสนหรือเป็นล้านปี 

เนื่องจากการตีความสถานการณ์แวดล้อมให้น่ากลัวเกินจริงมีประโยชน์ช่วยให้รอดชีวิตได้ ซึ่งคุ้มค่ามากกว่าหากเปรียบเทียบกับกรณีที่เข้าใจผิดไปเอง เช่น เห็นพุ่มไม้ไหวแล้วคิดไปเองว่า มีส่วนที่อาจเป็นหัวของเสือหรือสิงโต การวิ่งแน่บในทันทีย่อมดีกว่าการมาไตร่ตรองหรือรอดูให้แน่ใจ! 

ในกรณีนี้การเข้าใจถูกย่อมช่วยชีวิตไว้ได้ ขณะที่การเข้าใจผิดก็แค่ทำให้ต้องวิ่งเหนื่อยหอบเสียแรงเปล่า ไม่ถือว่าเสียหายมากมายเท่าไหร่ 

แต่ข้อมูลข่าวสารในด้านลบที่ชวนกังวลแบบนี้ ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันอย่างหนักหน่วง งัดหลักฐานมาโชว์กันไม่หยุดหย่อนเช่นกันว่า เป็นแค่ความเชื่อผิดๆ ที่ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินเหตุหรือไม่ 

มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2019 ในวารสารชื่อ Nature Human Behaviour โดยคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่น่าสนใจมาก ชื่อบทความ ความเกี่ยวข้องระหว่างสวัสดิภาพของวัยรุ่นกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (The Association Between Adolescent Well-Being and Digital Technology Use) 

ผู้ทำวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า มี ‘หลุมพรางทางสถิติ’ อยู่ในงานวิจัย เพราะงานวิจัยแต่ละชิ้นมักทำในกลุ่มตัวอย่างจำนวนไม่มากนัก ซึ่งในแวดวงวิจัยก็รู้กันดีว่า หากเพิ่มจำนวนตัวอย่างมากขึ้น บางครั้งผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างออกไปบ้าง หรือแม้แต่จะให้ผลเป็นตรงกันข้ามเลยก็มี! 

พอมาถึงยุคปัจจุบัน มีการใช้เมตาเดต้า (metadata) มาทำวิจัยมากขึ้น คือ มีการเอาข้อมูลจากงานวิจัยของคนอื่นที่ตีพิมพ์แล้ว มาวิเคราะห์รวมกัน โดยใช้วิธีการทางสถิติ ตัดความแตกต่าง ทั้งหลายออก วิธีการนี้จะทำให้ได้กลุ่มตัวอย่างในการวิเคราะห์เพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่น หลักแสน หรือแม้แต่เป็นล้านคนทีเดียว โดยไม่ต้องทดลองทำด้วยตัวเอง ซึ่งจะต้องใช้เงินและเวลาอย่างมหาศาล 

กระนั้นก็ตาม แม้วิธีการเช่นนี้จะมีพลังและเป็นประโยชน์มาก แต่ตัวแปรหรือผลจากสังเกตการณ์ก็ยังคง ‘ปรับให้เทียบเท่า’ ไม่ได้อย่างแท้จริงอยู่ดี จนอาจทำให้เกิดผลบวกลวง (false positive) ได้ เช่น แสดงให้เห็นว่าเด็กเข้าอินเทอร์เน็ตนาน ทำให้ผลสัมฤทธิการเรียนตกลง ทั้งๆ ที่ไม่จริง ฯลฯ 

นักวิจัยกลุ่มนี้จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดจึงใช้วิธีวิเคราะห์ที่คิดขึ้นใหม่ ชื่อว่า การวิเคราะห์เส้นโค้งของคุณลักษณะจำเพาะ (Specification Curve Analysis หรือ SCA) ขึ้น แล้วใช้เทคนิคนี้ในการวิเคราะห์แต่ละชุดการทดลอง ก่อนจะนำผลมาวิเคราะห์เพื่อสรุปรวมกันอีกทีหนึ่ง (ต่างกับการทำเมตาเดต้าทั่วไปที่ ‘ทำความสะอาด’ ข้อมูลเบื้องต้นแล้วใช้สถิติวิเคราะห์รวมทีเดียว) 

โดยใช้ฐานข้อมูลของตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นมากถึง 355,358 คน 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิธีการแบบนี้ในการศึกษาทำให้ทราบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลกระทบกับสภาวะทางจิตของวัยรุ่นน้อยมาก คือ 0.4% เท่านั้น 

ผู้วิจัยบอกว่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าผลกระทบระดับนี้มันน้อยมากจริงๆ ก็อาจเปรียบเทียบได้ว่า แทบจะไม่ต่างอะไรกับผลจากการกินมันฝรั่งแล้วส่งผลเสียเลย ผลกระทบน้อยกว่าผลกระทบจากการใส่แว่นตาด้วยซ้ำไป โดยผลลบที่ใช้ในการวิจัยนี้ก็รวมเอาไว้ทั้งอาการซึมเศร้าหดหู่ การมีปัญหาความสัมพันธ์ เช่น ถูกเพื่อนรุมแกล้ง และความคิดอยากฆ่าตัวตาย เป็นต้น  

มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ผลทางลบอื่นๆ บางอย่างจะสูงกว่ามากทีเดียว เช่น ผลเสียจากการเสพกัญชา (2.7%) และการถูกรุมแกล้งหรือบูลลี่ (4.3%) ในทางกลับกัน ปัจจัยทางบวกบางอย่างที่นิยมศึกษากันก็สูงกว่ามากเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับอย่างเพียงพอหรือการกินอาหารเช้า ฯลฯ 

ผลสรุปนี้ยังตรงกันข้ามกับผลสรุปของการศึกษาที่ใช้ชื่อว่า การเฝ้าสังเกตอนาคต (Monitoring the Future) ซึ่งทำโดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (ซึ่งยังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง) โดยการศึกษาแบบหลังนี้เน้นไปที่การใช้สารเสพติดของวัยรุ่น โดยทางโครงการได้ตีพิมพ์เอกสารที่ก่อให้เกิดความแตกตื่นตกใจในปี ค.ศ. 2017 เพราะระบุว่าการใช้สมาร์ตโฟนมีส่วนทำลายวัยรุ่นในยุคนี้

แต่เมื่อทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดนำข้อมูลดิบมาวิเคราะห์เองด้วยวิธี SCA กลับพบว่าผลกระทบมีเพียงน้อยนิด จึงจะเห็นได้ชัดเจนว่า ผลกระทบด้านลบที่กลัวกันนั้น บางครั้งอาจจะเกิดขึ้นเพราะระเบียบวิธีการวิจัย (หรือจำนวนตัวอย่างที่ใช้วิเคราะห์) ได้เช่นกัน 

แต่ทั้งนี้ต้องระมัดระวังในการตีความด้วยว่า ผลการทดลองที่เล่าให้ฟังนี้ ไม่ได้สรุปว่าไม่มีผลกระทบอะไรเลยจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 

นักวิจัยชี้ว่ายังคงมีขอบเขตที่แน่นอนระดับหนึ่งที่ควรยึดถือเป็นข้อปฏิบัติเช่นกัน นั่นก็คือ ต้องมีความพอเหมาะพอดีในการใช้งานด้วย โดยแนะนำว่าระดับที่เหมาะสมคือ ให้ใช้ได้ราว 1 – 2 ชั่วโมงต่อวันในช่วงระหว่างวันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนวันหยุดอาจเพิ่มได้อีกเล็กน้อย 

เพราะหากใช้งานมากกว่านี้ก็อาจทำให้ติด จนไม่เป็นอันทำอะไรอื่น และก่อให้เกิดผลเสียตามที่กลัวได้เหมือนกัน      

จากงานวิจัยที่ยกมาทั้งสองชิ้น อาจสรุปได้ว่าผลกระทบจากการใช้มือถือหรือเครื่องมือและอุปกรณ์ดิจิทัล อาจไม่ได้รุนแรงอย่างที่กลัวกัน อาจเป็นแค่สะท้อนให้เห็นโลกออฟไลน์มากกว่า และหากใช้อย่างถูกวิธีและพอเหมาะพอควร ก็มีประโยชน์ได้ด้วย 

พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรกลัวจนมากเกินไป แต่ควรมองเห็นประโยชน์จากการใช้เครื่องมือและช่องทางเหล่านี้ในการพัฒนาศักยภาพของลูกหลานตนเอง อย่างเหมาะสมกับบุคลิกและความชอบเด็กคนนั้นๆ  

อ้างอิง
Perspectives on Psychological Science
The Association Between Adolescent Well-Being and Digital Technology Use

Tags:

วัยรุ่นความปลอดภัยไซเบอร์

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    DON’T WORRY ‘ไอจี’ ไม่ใช่วายร้าย

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง
Early childhood
9 February 2021

ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • เรื่องราวของสาวสามัญชนที่ปรับสถานะเป็นเจ้าหญิงในชั่วข้ามคืน ถูกถ่ายทอดกันมาเกิน 300 ปี ถึงวันนี้ซินเดอเรลลายังเป็นนิทานประจำบ้านของครอบครัวทั่วโลก 
  • เมื่อเราอ่านนิทานจนจบ แต่ละเล่มมักทิ้งท้ายด้วยประโยค นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แต่ในบทความนี้ “หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน” จะชวนมองหลายแง่มุมที่ นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า… ผ่านการตั้งคำถามชวนคิดกับลูกจากโลกนิทาน เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ในโลกความเป็นจริง

นิทานเรื่องนี้ (ไม่) สอนให้รู้ว่า

ซินเดอเรลลา หญิงสาวแสนสวยน้ำใจดี อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายและสองพี่สาวจอมรังแก เธอรับพรจากนางฟ้าเป็นชุดราตรียาวพร้อมรถฟักทองลิมูซีน เพื่อไปงานเลี้ยงเต้นรำของเจ้าชายเช่นเดียวกับสาวๆ ทั้งเมืองด้วยหวังจะเป็นผู้ที่ถูกเลือก เมื่อถึงเดตไลน์ที่นางฟ้าขีดเส้นไว้ เธอรีบวิ่งกลับบ้าน ทิ้งเพียงรองเท้าแก้วให้เจ้าชายออกตามหา และได้ครองรักกันในท้ายที่สุด

เรื่องราวของสาวสามัญชนที่ปรับสถานะเป็นเจ้าหญิงในชั่วข้ามคืน ถูกถ่ายทอดเล่าขานต่อกันมานับเกิน 300 ปี จนถึงวันนี้ซินเดอเรลลายังคงเป็นนิทานประจำบ้านของหลายครอบครัวทั่วโลก 

นอกจากเรื่องราวที่สนุก ยังมีแง่มุมอื่นๆ ในนิทานเรื่องนี้ที่หมอโอ๋ หรือ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน อยากชวนให้ผู้ปกครองลองนำไปคุยกับลูกๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านการตั้งคำถามและชวนหาคำตอบ ซึ่งแง่มุมที่หมอโอ๋หยิบยกมามีอยู่ 5 มุมด้วยกัน และตบท้ายด้วยเทคนิคเลี้ยงลูกด้วยนิทาน

ฝันให้ไกล ไปให้ถึง… สิทธิอันพึงมีพึงได้

ถึงแม่เลี้ยงและพี่สาวใจร้ายจะดูแคลนและกีดกันทุกโอกาส แต่ซินเดอเรลลาไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า เธอเชื่อมั่นว่าตัวเองมีสิทธิเหมือนผู้หญิงทุกคนที่จะได้ไปร่วมงานเต้นรำ และลองสวมรองเท้าแก้วในวันที่เจ้าชายออกตามหา รวมทั้งกล้าที่จะยืนยันสิทธิ เธอไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

กระนั้น ชีวิตจริงยิ่งกว่านิทาน บ่อยครั้งฝันไม่เป็นจริง หรือถึงจะเป็นจริงได้ เรื่องราวมักไม่จบด้วยความสุขที่ไม่สิ้นสุด ประเด็นจึงอยู่ที่

ทำอย่างไรจะหล่อเลี้ยงความฝันให้เป็นสิ่งนำทางชีวิต เก็บเกี่ยวความสุขในทุกๆ วัน ด้วยการลงมือทำในสิ่งที่ฝันอย่างไม่ท้อถอย

คำถามชวนคิด – ลูกคิดว่าอะไรที่ทำให้ซินเดอเรลล่ายืนยันที่จะไปงานเลี้ยงแม้ถูกกีดกัน

ต้องไม่ทน ถ้าโดน ‘บูลลี่‘

บุคลิกเด่นของซินเดอเรลลาคือเป็นคนใจดี ถึงจะถูกแม่เลี้ยงและพี่ๆ ใช้งานหนัก เธอก็อดทน ทั้งยังมีน้ำใจกับนกหนู ทำให้เธอเป็นที่รัก สัตว์เล็กๆ ในบ้านหาทางช่วยให้เธอได้ไปงานเลี้ยง รวมทั้งนางฟ้าที่มาให้พรเพราะเห็นว่าซินเดอเรลลานิสัยดี แต่การเป็นคนใจดี ไม่ได้แปลว่าต้องอดทนถ้าถูกรังแก แม้จะกล้าฝันและปกป้องสิทธิของตัวเอง แต่ซินเดอเรลลากลับยอมให้แม่เลี้ยงและพี่สาวกลั่นแกล้งซ้ำซาก 

คำถามชวนคิด – ถ้าลูกเป็นซินเดอเรลลาแล้วโดนรังแกแบบนี้ คิดว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง, สอนลูกเรื่องการปกป้องตัวเองและหาทางให้รอดพ้นจากความรุนแรง

อภัยได้ ใจก็เป็นสุข

ถึงจะโดนรังแกตลอดทั้งเรื่อง แต่ซินเดอเรลลาไม่เคยโกรธแค้นอาฆาตแม่เลี้ยงกับพี่สาว 

การให้อภัย คือ ความกล้าหาญ

กล้าหาญในการต่อสู้กับสัญชาตญาณดิบของตัวเอง ที่อยากจะตอบโต้เอาคืนคนที่ทำไม่ดีกับเรา 

กล้าหาญในการต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ที่จะไม่ได้รับในสิ่งที่คิดว่าเราควรจะได้รับ นั่นคือความยุติธรรมจากการได้เห็นความเจ็บปวดของศัตรู

การให้อภัยคือความกล้าหาญในการต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ที่จะมองหน้าศัตรูด้วยการวางอุเบกขา

การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเองจากความโกรธแค้น ซึ่งหมายถึงการปลดปล่อยตัวเราเองจากความทุกข์ภายในใจ คนที่เป็นสุขและรู้สึกเบาสบายไม่ใช่ศัตรู แต่คือตัวของเราเอง

คำถามชวนคิด – ถ้าลูกเป็นซินเดอเรลลา ลูกจะทำอย่างไรกับแม่เลี้ยงและพี่ๆ, การแก้แค้นเอาคืน เราได้อะไร เราเสียอะไร, การให้อภัย ดีไม่ดีกับตัวเราอย่างไร

‘ภาพจำ’ อาจจะไม่จริง

แม่เลี้ยงใจร้าย เจ้าหญิงแสนสวย ชีวิตเปลี่ยนเพราะเจ้าชายในฝัน ฯลฯ

ในชีวิตจริง ไม่ใช่ทุกคนที่ฝันจะได้เจอเจ้าชาย เจ้าชายอาจกลายเป็นฝันร้าย แม่เลี้ยงอาจจะใจดี เจ้าหญิงแสนสวยอาจจะนิสัยแย่ และที่สำคัญ “การครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป” อาจเป็นเรื่องไม่จริง เพราะชีวิตจริงมีทั้งความสุขและทุกข์ปะปนกันไป

ภาพจำ คำตีตรา ความคิดซ้ำๆ จะทำให้การรับรู้บิดเบี้ยว และสร้างปัญหาในการใช้ชีวิตและปรับตัว 

คำถามชวนคิด – ลูกว่าคนสวย นิสัยดีทุกคนจริงไหม, คนหน้าตาไม่สวยต้องเป็นแม่มดหรือแม่เลี้ยงใจร้ายกันหมดหรือเปล่า 

เรียนรู้เรื่องเท่าเทียม-เหลื่อมล้ำ ผ่านซินเดอเรลลา

ซินเดอเรลลาและผู้หญิงทั้งเมืองรองานเลี้ยงเต้นรำเพราะอยากเป็นคนที่เจ้าชายเลือกแต่งงานด้วย การได้แต่งงานที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ในชีวิตจริง การที่ใครสักคนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุข อาจไม่ได้หมายถึงการต้องถูกเลือกจากเจ้าชาย แต่หมายถึงการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม ทั้งด้านโอกาสทางการศึกษา การมีงานทำที่ดี มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว และมีโอกาสในการพัฒนาตัวเองให้มีความสุข เพื่อที่ทุกคนจะเป็นเจ้าหญิงได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอเจ้าชายมาสวมรองเท้าให้เหมือนในนิทาน

คำถามชวนคิด – ถ้าให้เปลี่ยนแปลงเรื่องราวในนิทานซินเดอเรลลาได้ ลูกอยากให้อะไรแตกต่างไปจากเดิม

เทคนิคเลี้ยงลูกด้วยนิทาน

  • การเลือกนิทาน พ่อแม่ผู้ปกครองควรอ่านก่อน เพื่อพิจารณาเนื้อหาว่าจะสื่อสารอะไรกับลูกบ้าง
  • อ่านให้จบ แล้วตั้งคำถามชวนคิด จะฝึกให้ลูกมีวิธีคิดในการเข้าใจคนอื่น และมีวิธีการสร้างทางเลือกในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ 
  • หลีกเลี่ยงการสรุปข้อคิดจากนิทาน เพราะนิทานเรื่องหนึ่งมีหลากหลายแง่มุม เด็กๆ สามารถเก็บเกี่ยวความเข้าใจข้อคิดระหว่างทาง และบ่อยครั้งบทสรุปของนิทานอาจไม่สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน
คอลัมน์ นิทานเรื่องนี้ (ไม่) สอนให้รู้ว่า เป็นการสื่อสารแนวคิดและวิธีการสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองและคนทำงานด้านเด็ก เพื่อให้เข้าใจการสร้างทักษะและมุมมองที่เป็นประโยชน์สำหรับเด็กๆ ผ่านเรื่องราวในสื่อ

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)กลั่นแกล้ง(bully)พญ.จิราภรณ์ อรุณากูรนิทานความเหลื่อมล้ำสิทธิซินเดอเรลลานิทานเรื่องนี้ (ไม่) สอนให้รู้ว่า

Author:

illustrator

รัชดา ธราภาค

อดีตนักเรียนรัฐศาสตร์ ฝ่าคลื่นลมในงานสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก จนถึงการสร้างงาน Interactive Story บนมือถือ ด้วยจุดยืนที่ย้ายได้ในทุกแพลตฟอร์มการสื่อสาร เพื่อส่งผ่านสาระประโยชน์สู่ผู้รับ

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep4: เรียนเรื่องรักจากนิทาน ‘เงือกน้อยผจญภัย’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep3 : เรียนรู้โลกสีเทาจากนิทานขาว-ดำ ‘ฮันเซลกับเกรเทล’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep2 : ส่องความงาม-ความดีในนิทาน ‘สโนไวท์’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.3 น้องหยิก

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

    เรื่อง The Potential

‘ไก่ไข่อารมณ์ดี’ โรงเรือนการเรียนรู้ที่สอนเด็กเรื่องความรับผิดชอบ และช่วยลดต้นทุนอาหารกลางวัน
Creative learning
8 February 2021

‘ไก่ไข่อารมณ์ดี’ โรงเรือนการเรียนรู้ที่สอนเด็กเรื่องความรับผิดชอบ และช่วยลดต้นทุนอาหารกลางวัน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • โรงเรือนเล็กๆ ในโรงเรียนเทศบาลตำบลปริก จุดเริ่มต้น “โครงการไก่ไข่อารมณ์ดี” ที่เกิดจากความสงสัยของเด็กๆ ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แล้วช่วยกันค้นคว้าหาความรู้ ลองผิดลองถูก ช่วยกันฟูมฟักจนได้ผลผลิตเป็นไข่ไก่ปลอดภัย  
  • โจทย์ตั้งต้นของโครงการไก่ไข่อารมณ์ดี คือ ปัญหา “ไข่ไก่” ที่อาจมีสารพิษปนเปื้อน ซึ่งเป็นข้อคำนึงของนักเรียนผู้ชาย 8 คนที่ยกมือตอบรับทำโครงการนี้
  • หลังจากได้เรียนรู้ลงมือทำโรงเลี้ยงไก่ด้วยตัวเอง ครูมร – อมร  หมัดเลียด ในฐานะพี่เลี้ยงโครงการเห็นพัฒนาการในตัวเด็กๆ อย่างน้อยสามด้าน คือ หนึ่ง ความรับผิดชอบในการทำงาน, สอง มีสมาธิดีขึ้นในการเรียนและการทำโครงการ จากแต่ก่อนเวลาอยู่ในห้องเรียนมักหลับหรือไม่ก็ชวนกันเล่น และสาม ทั้ง 8 คน มีความเสียสละ รู้จักการแบ่งหน้าที่ และมีสำนึกพลเมือง

จากความสงสัยของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเทศบาลตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ว่า ‘ไข่ไก่’ ที่พวกเขาชอบรับประทานกันนั้นปลอดภัยหรือไม่ นำไปสู่ความคิดที่ว่า ถ้าพวกเขาเลี้ยงไก่ไข่ด้วยตัวเองจะทำให้ได้ไข่ไก่คุณภาพดีได้อย่างไร ก่อนจะพัฒนามาเป็น “โครงการไก่ไข่อารมณ์ดี” ที่เด็กๆ ช่วยกันค้นคว้าหาความรู้ ลองผิดลองถูก ช่วยกันฟูมฟักจนได้ผลผลิตเป็นไข่ปลอดภัย 

ซึ่งภายใต้โรงเรือนเล็กๆ ในโรงเรียน นอกจากจะกระตุ้นให้เด็กๆ ได้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ยังเพิ่มทักษะชีวิตทั้งในเรื่องการทำงานเป็นทีมและความรับผิดชอบ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารกลางวันในโรงเรียนและเพิ่มรายได้ให้อีกด้วย

ที่สำคัญ ความก้าวหน้าของโครงการช่วยสร้างการยอมรับนับถือในตัวเองให้กับเด็กที่เคยถูกมองว่าเกเร ทำให้พวกเขาเริ่มค้นพบศักยภาพของตัวเอง โดยมีคุณครูเป็นผู้สนับสนุนด้วยความเข้าใจ

‘ไข่ปลอดภัย’ โจทย์ตั้งต้นของเด็ก

ครูมร – อมร  หมัดเลียด  อายุ 34 ปี เป็นผู้ช่วยครูพละ  สอนวิชาพลศึกษา-สุขศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนเทศบาลตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และเป็นพี่เลี้ยง “โครงการไก่ไข่อารมณ์ดี” ที่ทำให้เมนูอาหารกลางวันของโรงเรียนกลายเป็นเมนูอาหารปลอดภัย และช่วยลดรายจ่ายค่าอาหารกลางวันลงไปได้ด้วย เพียงแค่เปิดพื้นที่ (ในโรงเรียน) และเปิดโอกาสให้นักเรียนลงมือทำโครงการที่ตนเองอยากทำ

“การรวมตัวของนักเรียนเริ่มจากครูให้เด็กชั้น ม.1 – ม.3 มารวมตัวกัน ให้โจทย์พวกเขาคิดโครงการ ใครอยากทำโครงการอะไรออกมาเขียนลงบนบอร์ด เช่น โครงการไก่ไข่  โครงการผ้ามัดย้อม โครงการทำเฟอร์นิเจอร์ มีประมาณ 10  โครงการ หลังจากได้ชื่อโครงการต่างๆ มาแล้ว ครูให้เด็กนั่งปิดตา และยกมือเลือกโครงการที่ตัวเองสนใจเพียง 1 โครงการ โดยครูอ่านชื่อโครงการไปทีละโครงการ เด็กๆ จะมองไม่เห็นว่าเพื่อนเลือกโครงการอะไร เราให้เขาเลือกด้วยความสนใจที่แท้จริงและความสมัครใจของเขา”

ครูมร – อมร หมัดเลียด พี่เลี้ยงโครงการ และเด็กๆ เจ้าของโครงการไก่ไข่อารมณ์ดี

โจทย์ตั้งต้นของโครงการไก่ไข่อารมณ์ดี คือ ปัญหา “ไข่ไก่” ที่อาจมีสารพิษปนเปื้อน ซึ่งเป็นข้อคำนึงของนักเรียนผู้ชาย 8 คนที่ยกมือตอบรับทำโครงการนี้

“จุดเริ่มต้นคือเด็กมองเห็นปัญหาการซื้อไข่ไก่จากตลาด  จากการสังเกตของเด็กๆ พวกเขาสงสัยว่าไข่ไก่ที่คนในชุมชนและโรงเรียนซื้อมาทำอาหารมื้อกลางวันให้กับนักเรียน มาจากฟาร์มที่ปลอดภัยหรือไม่ ใช้สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของไก่และสารเร่งการออกไข่ไหม  เด็กๆ กลัวว่าไข่ไก่ที่ตัวเองกินเข้าไปอาจทำให้ได้รับสารพิษจากฟาร์มไก่”

“ก่อนหน้านี้มีรุ่นพี่ของพวกเขาทำโครงการศึกษาไก่ไข่แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ  รุ่นพี่เลี้ยงไก่ไข่ไว้ 10 ตัว แต่ไก่ตายหมด พวกเขาเลยสานต่อโครงการจากรุ่นพี่ จนมาเป็นโครงการนี้”

เรียนรู้จากโรงเรือน

กลุ่มเยาวชนตัดสินใจเลี้ยงไก่ไข่ด้วยตัวเอง ที่สำคัญโครงการของนักเรียนได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้บริหารโรงเรียน โดยเฉพาะการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ภายในโรงเรียนเลี้ยงไก่ไข่ได้อย่างเป็นสัดส่วน

“เริ่มต้นจากการหาพื้นที่ทำโรงเลี้ยงไก่ไข่ ผมเป็นหัวหน้าทีม ผมไม่บอกเด็กๆ ว่าใช้พื้นที่ตรงไหนได้ ให้เขาไปค้นหาเอง ทั้ง 8 คน สังเกตมองหาพื้นที่ ใครอยากทำบริเวณไหนให้มาบอกผม” ครูมร เล่า

ไก่ไข่ต้องการอาหารที่ดีจึงจะเติบโตได้อย่างแข็งแรง กลุ่มเยาวชนได้ค้นคว้าหาข้อมูลผลิตอาหารสูตรธรรมชาติไว้ใช้สำหรับเลี้ยงไก่ไข่ และหากไก่มีอาการป่วยไม่สบาย พวกเขาใช้พืชสมุนไพรเข้ามาช่วยรักษาอาการป่วยแทนการฉีดยาปฏิชีวนะแบบที่ฟาร์มไก่ทั่วไปใช้กัน

“ข้อมูลเหล่านี้เกิดจากเด็กไปสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต พวกเขาคุยกันว่าต้องทำอย่างไร ครั้งแรกใช้เวลา 1 เดือน ลองผิดลองถูก สุดท้ายไก่ไม่ออกไข่เพราะอาหารที่ให้มีแค่หยวก รำ และเปลือกไข่  ไก่ได้รับโปรตีนในปริมาณที่น้อยเกินไปจึงไม่ออกไข่  หลังจากนั้นต้องใช้อาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากโรงงานเพื่อปรับความสมดุล ไปสอบถามปราชญ์ชาวบ้านที่เคยเลี้ยงไก่ไข่ คิดวิธีผลิตอาหารสูตรธรรมชาติที่ถูกสัดส่วนให้กับไก่”

เมื่อโปรตีนเป็นส่วนที่ขาด ครูจึงให้โจทย์ใหม่ท้าทายการทำโครงการ ด้วยการให้นักเรียนช่วยกันหาโปรตีนมาเสริมในอาหารของไก่ไข่

“เด็กได้กากถั่วเหลือง ปลาและหัวกุ้งป่น ปลายข้าว ใบมัน ใบกระถิน (ใบสะตอเบา) จากการทดลองเราเห็นความแตกต่างของไข่ไก่หลังได้อาหารสูตรนี้ สังเกตได้จากไข่ไก่ที่ได้จากฟาร์มมีไข่ขาวเหลวกว่าไข่ไก่ที่กลุ่มเยาวชนเลี้ยงเอง แสดงให้เห็นว่าไก่ได้รับโปรตีนมากขึ้น”

ผลิตผลไข่ไก่ของกลุ่มเยาวชน มีลักษณะโดดเด่น ไข่ขาวเป็นวุ้น ไข่แดงมีสีเหลืองนวลอยู่ตรงกลาง และมีขนาดใหญ่ประมาณเบอร์ 0 และเบอร์ 1 ทั้งนี้ นักเรียนกำลังพิสูจน์เรื่องสีของไข่ไก่ต่อไปว่าไข่ไก่ที่เลี้ยงเองมีไข่แดงสีเข้มขึ้นจากอะไร  สันนิษฐานเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นสารอาหารที่ได้จากหัวกุ้ง

“ตอนนี้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ได้แล้ว เวลาไก่เป็นหวัดเราไม่ใช้ยาฉีดแต่ใช้สมุนไพรรักษาซึ่งเป็นคำแนะนำของผู้รู้ในชุมชน เราใช้ฟ้าทะลายโจรกับบอระเพ็ดเป็นตัวช่วย รวมทั้งหญ้าเบญจรงค์ห้าสี นอกจากนี้เรายังทำงานปรึกษากับทางคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ศึกษาเรื่องสมุนไพรเหมือนกัน คณะผู้บริหารของเทศบาลตำบลปริกก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ เมื่อเราขาดอะไรสามารถยื่นเรื่องแจ้งได้ทันที และมีทีมสงขลาฟอรั่มคอยให้คำปรึกษาด้วย”

ไก่ไข่เปลี่ยนนิสัย

ในฐานะพี่เลี้ยงโครงการ ครูมรเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการนี้เป็นผู้ชายทั้งหมด 8 คน หากมองให้แง่วิชาการจัดว่าเป็นเด็กค่อนข้างเกเรไม่ค่อยเรียนหนังสือ ในทางกลับกันหากปล่อยให้ลงมือทำหรือปฏิบัติ ที่ไม่ใช่รูปแบบการเรียนในห้องเรียน เด็กๆ กลุ่มนี้มีความรับผิดชอบสูงมาก เห็นได้จากพวกเขาแบ่งเวรเข้ามาดูแลไก่และเก็บไข่ไก่ได้อย่างต่อเนื่องไม่มีบ่น แม้บางวันจะเหลือกันอยู่แค่ 2 คน แต่พวกเขาก็ช่วยให้อาหารไก่ทั้งที่ไม่ใช่เวรของตัวเอง

“พอพวกเขาได้ทดลองเลี้ยงไก่ไข่จนมีผลผลิตออกมา เด็กก็รู้สึกสนุกกับการเลี้ยงและการเก็บผลผลิต บางครั้งเราไม่ต้องบอกอะไรเขา เขารู้หน้าที่ พอมาถึงโรงเรียนเขาเข้าไปดูผลผลิต ให้อาหารและน้ำกับไก่ไข่ ผู้ปกครองบอกว่า เด็กๆ ตื่นเช้าขึ้นจากเมื่อก่อนนอนตื่นสาย พวกเขาตื่นเช้าเพื่อมารวมตัวกันดูแลและให้อาหารไก่ กิจกรรมนี้ช่วยดึงลูกของเขาออกจากกลุ่มเสี่ยงในชุมชน”

“ยกตัวอย่างเด็กชายธานี  ทุกส่วนของโรงเลี้ยงไก่เขาเป็นคนคิดวิธีการและทำการก่อสร้างทั้งหมด เด็กคนนี้มีไอเดียอยู่ในหัว การเรียนของเขาอยู่ในระดับไม่ได้ดีมาก แต่เรื่องการปฏิบัติ  การซ่อม การสร้าง ผมยกให้เขาเลย เขาเป็นผู้นำของเพื่อนทั้งหมด จากคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ ตอนนี้เขามีความรับผิดชอบมากขึ้น บางครั้งถ้าผมไม่ว่าง ผมโทรหาธานีเป็นคนแรก เพื่อให้เขาดูแลความเรียบร้อยของโรงเลี้ยงไก่ ทั้งเรื่องให้อาหารไก่ เก็บไข่ นำไข่ไก่ที่ได้ไปวางไว้ที่ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน”

ครูมร กล่าวว่า ความสัมพันธ์แบบ “ใจถึงใจ” ระหว่างครูในฐานะพี่เลี้ยงโครงการกับนักเรียนผู้ริเริ่มโครงการ เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงขึ้นมาได้

“มันเป็นเรื่องใจแลกใจ เวลาทำโรงเลี้ยงไก่ เด็กเหนื่อย เด็กหิว เขาขอดื่มน้ำแดง ผมให้เงินไปซื้อน้ำมาดื่ม ถ้าหิวข้าวให้เขาไปซื้อข้าวมา 4 ห่อ แบ่งกันกิน 8 คน การที่เราดูแลเขา ทำให้เขามีใจอยากทำงาน ยกตัวอย่าง ตอนที่ผมให้โจทย์เขาไปคิดค้นสูตรอาหาร วันรุ่งขึ้นเขาเอาสูตรที่หาได้มาให้ผมดู แบบนี้ผมเรียกว่าใจแลกใจ”

“ส่วนปัจจัยภายนอก ผมคิดว่าการที่ผู้บริหารให้ความใส่ใจ ชื่นชมและพร้อมให้ความช่วยเหลือ สนใจลงมาดูสิ่งที่เด็กๆ ทำ แสดงความเป็นห่วง หาขนม หาน้ำมาให้เด็กๆ ได้ทานก็เป็นเรื่องที่ทำให้ได้ใจพวกเขา”

สำหรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนักเรียนหัวโจกทั้ง 8 คน หลังได้เรียนรู้ลงมือทำโรงเลี้ยงไก่ด้วยตัวเอง ครูมร เห็นพัฒนาการในตัวเด็กๆ อย่างน้อยสามด้าน

หนึ่ง พวกเขามีความรับผิดชอบในการทำงาน

สอง พวกเขามีสมาธิดีขึ้นในการเรียนและการทำโครงการ จากแต่ก่อนเวลาอยู่ในห้องเรียนมักหลับหรือไม่ก็ชวนกันเล่น

และ สาม ทั้ง 8 คน มีความเสียสละ รู้จักการแบ่งหน้าที่ และมีสำนึกพลเมือง

“อนาคตของเด็ก 8 คน ถามว่าไปเรียนด้านวิชาการต่อได้ไหม พวกเขาอาจไปไม่รอด แต่ถ้าไปเรียนสายวิชาชีพ เช่น ช่างยนต์ ช่างไฟ ผมคิดว่าพวกเขามีความสามารถทำได้ เด็กพวกนี้ที่ผมสอนอยู่ เรื่องวิชาการเขาอาจไม่ถนัด แต่เขาเก่งเรื่องของการปฏิบัติ เก่งด้านกีฬา ในอนาคตถ้าเขาไม่ไปกับเพื่อนกลุ่มเสี่ยงหรือว่าพ่อแม่หย่าร้าง เขาน่าจะไปได้ไกล ตอนนี้พวกเขาอยู่ภายในโรงเรียนเขาไม่เป็นไร แต่ข้างนอกมีกลุ่มเสี่ยงค่อนข้างมาก”

โรงอาหารในฝัน

ไก่ไข่ที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารจากธรรมชาติและดูแลอย่างใส่ใจทุกขั้นตอน ทำให้กลุ่มเยาวชนมีไข่ไก่กลับไปรับประทานที่บ้าน และช่วยลดค่าใช้จ่ายค่าอาหารกลางวันสำหรับใช้ซื้อไข่ของโรงเรียนเทศบาลตำบลปริกลงไปได้

“อย่างที่บอก ผมอยู่กับเด็กแบบใจแลกใจ ถ้าเรามีเราให้  เขามีเขาให้ เช่น วันนี้เราเก็บไข่ได้ 65 ฟอง เด็กมา 4 คน ครูแบ่งให้เขาคนละ 5 ฟอง พวกเขาทำหน้าที่สละเวลาของเขามาดูแลไก่  เราต้องแบ่งปันคืนให้เขาบ้าง เมื่อเราเก็บไข่ไก่ได้จำนวน 2 แผง จะส่งไปที่โรงอาหาร ลดจำนวนการสั่งไข่ไก่จากภายนอก โดยปกติโรงอาหารสั่งไข่ไก่ต่อครั้งจำนวน 8 แผง พอเราเก็บไข่ได้ 2 แผง ตรงนี้ช่วยลดรายจ่ายของโรงเรียน ถ้ามีไข่เหลือมากพอบางครั้งเราขายให้กับครูในโรงเรียน”

นอกจากนี้ โครงการของกลุ่มเยาวชนยังได้รับการตอบรับที่ดีจากคนในชุมชน ทำให้การเลี้ยงไก่ไข่กลายเป็นเรื่องที่คนในชุมชนสนใจเข้ามาสอบถามข้อมูล

“มีชาวบ้านหลายคนอยากเลี้ยงไก่ไข่ เข้ามาถามความรู้จากโรงเรียน เขาอยากลองเลี้ยงบ้าง แต่เขาไม่รู้วิธีเลี้ยงไก่ไข่ ผมแนะนำว่ามีเด็กหนึ่งกลุ่มที่ทดลองเลี้ยง เข้าไปสอบถามข้อมูลที่บ้านของเด็กๆ ได้ ถ้าไม่เจอตัวเด็กให้มาถามข้อมูลกับผมหรือให้มาสอบถามข้อมูลการเลี้ยงไก่ไข่ได้ที่โรงเรียน”

“ชุมชนนอกโรงเรียนรับรู้ จากการประกาศของโรงเรียนในวันประชุมผู้ปกครอง เขารู้ว่าที่โรงเรียนเลี้ยงไก่ไข่  มีไข่ไก่และผักปลอดสารพิษขาย ผู้ปกครองทุกระดับชั้นรับรู้ในวันนั้น ผู้ปกครองบางคนโทรมาสั่งซื้อไข่ไก่โดยตรง หลังจากที่เขาซื้อไปเขาพูดปากต่อปากว่าไข่ที่โรงเรียนไม่เหมือนที่อื่น ที่โรงเรียนมีบอร์ดแจ้งข่าวสารกิจกรรมในโรงเรียนให้เข้ามาดูได้  เรามีป้ายกิจกรรมโครงการไปแขวนไว้ เพื่อสร้างการรับรู้ว่าโรงเรียนเทศบาลตำบลปริกมีโครงการแบบนี้อยู่”

ครูมร กล่าวว่า นอกจากโครงการไก่ไข่อารมณ์ดีแล้ว ทางโรงเรียนยังสนับสนุนโครงการเกษตรปลอดสารพิษที่ผลิตผักให้โรงอาหารของโรงเรียน โครงการดีไซน์เฟอร์นิเจอร์นำไม้ที่ไม่ได้ใช้งานมาแปรรูปใหม่  โครงการผ้ามัดย้อมและมีแนวโน้มที่จะทำโครงการขนมไทยพื้นบ้านในอนาคต

“ผู้บริหารบอกว่า ถ้ามีงบประมาณหรือมีสถานที่เลี้ยงดีๆ ยิ่งส่งผลดีกับโรงเรียน อย่างน้อยเราไม่ต้องไปสั่งไข่จากตลาด เราได้ผลผลิตจากการเลี้ยงไก่ไข่เอง ได้ผักที่ปลอดสารพิษ ผู้บริหารรู้สึกปลื้มใจและชอบโครงการที่เด็กๆ ทำ เรามีรายได้หมุนเวียนจากการขายไข่ไก่บ้าง คนในพื้นที่เทศบาลได้กินไข่ไก่ที่ปลอดสารพิษ เราให้เขาเข้าคิวจองไข่ไก่ไว้ ถ้าเหลือจากการส่งให้โรงอาหาร เราจะนำมาขายเพื่อเป็นค่าอาหารไก่ต่อไป”

“ผมคิดว่าควรมีโครงการนี้ต่อไปในโรงเรียน ผมอยากพัฒนาสูตรอาหารที่สามารถเก็บไว้ได้นาน ผลิตเป็นอาหารเม็ด เราอยากเพาะพันธุ์ไก่ไข่เอง จะได้ไม่ต้องซื้อไก่ไข่ใหม่ เมื่อเพาะพันธุ์ไก่ได้ เราจะขายลูกเจี๊ยบส่งให้กับชุมชน อยากทำให้ครบวงจร” ครูมร กล่าวอย่างมุ่งมั่น

ขนาด ‘ไข่’ เรื่องไม่เล็ก
ไข่เป็นวัตถุดิบคู่จานอาหารของคนไทย เป็นแหล่งโปรตีนที่หาได้ง่าย ใกล้ตัว และยังอุดมด้วยไปคุณค่าทางอาหาร เพราะนอกจากโปรตีนสูงแล้ว ยังมีสารอาหารจำพวกเลซิทิน โคลีน วิตามินบี 12 และโอเมก้า 3 อยู่ด้วย
สำหรับไข่ที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดวัดราคาขายกันตามขนาด ไล่จากไข่ใหญ่ไปไข่เล็ก มีตั้งแต่เบอร์ 0-5
ไข่เบอร์ 0 คือไข่จัมโบ้มีน้ำหนักขั้นต่ำต่อฟอง 70 กรัมขึ้นไป
ไข่เบอร์ 1 คือไข่ใหญ่พิเศษที่มีน้ำหนักขั้นต่ำต่อฟอง 65-69 กรัม
ไข่เบอร์ 2 คือไข่ใหญ่ที่มีน้ำหนักขั้นต่ำต่อฟอง 60-64 กรัม
ไข่เบอร์ 3 คือไข่กลางที่มีน้ำหนักขั้นต่ำต่อฟอง 55-59 กรัม
ไข่เบอร์ 4 คือไข่เล็กที่มีน้ำหนักขั้นต่ำต่อฟอง 50-54 กรัม
ไข่เบอร์ 5 คือไข่จิ๋วที่มีน้ำหนักขั้นต่ำต่อฟอง 45-49 กรัม

Tags:

ความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้Creative Learningครูมร อมร หมัดเลียดอาหารกลางวันproject based learning

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    ทำอาหาร ปักสะดึง ร้อยดอกไม้ อัปสกิลกุลสตรีไทยที่โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง)

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Creative learning
    ปลุกตำนานเรื่องเล่ามีชีวิต แกะรอยบรรพบุรุษบ้านเข้าน้อย จังหวัดสตูล ที่คนเกือบทั้งชุมชนเป็นเครือญาติ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชุมชน : เด็กๆ สงสัย คิดค้น และเขียนด้วยตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

Compassion Deficit Disorder: ทำอย่างไรในยุคที่เด็กๆ (และเรา) ป่วยเป็นโรคขาดความเมตตา
Character building
8 February 2021

Compassion Deficit Disorder: ทำอย่างไรในยุคที่เด็กๆ (และเรา) ป่วยเป็นโรคขาดความเมตตา

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • โรคขาดความเมตตา หรือ Compassion Deficit Disorder (CDD) เป็นคำที่ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการเด็กจากวีล็อคคอลเลจบอสตัน ใช้เรียกลักษณะอาการของเด็กในสังคมปัจจุบันที่มีภาวะขาดความเห็นอกเห็นใจ ไม่รู้สึกรู้สา หรือคำนึงถึงความรู้สึกและผลกระทบที่เกิดกับผู้อื่นเมื่อกระทำการใดๆ ลงไป ทั้งมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงหรือการข่มขู่บีบคั้นเพื่อให้ได้ตามต้องการ
  • วัฒนธรรมการสื่อสารด้วยตัวอักษรผ่านหน้าจอ คอมเมนต์ดุดันในโซเชียลมีเดีย การบูลลี่ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากมาตรฐานความเพอร์เฟคที่สังคมสร้างให้ เหล่านี้คือปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดจากเทคโนโลยีอันมีผลให้จิตใจเหี่ยวเฉาลง 
  • ชวนสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เด็กเป็นโรคขาดความเมตตา ผ่านการสร้างสิ่งแวดล้อมที่รวมไว้ในบทความนี้ 

เมื่อปีที่แล้วมีข่าวน่าเศร้าเกี่ยวกับการจากไปของนักมวยปล้ำหญิงชาวญี่ปุ่น ฮานะ คิมูระ วัย 22 ปี ซึ่งต้นสังกัดออกมายืนยันว่าเสียชีวิตโดยไม่ระบุสาเหตุแน่ชัด แต่สื่อคาดว่าน่าจะเป็นการ “Bullycide” (Bully and Suicide การฆ่าตัวตายจากการถูกกดดันกลั่นแกล้ง) เมื่อไล่ย้อนดูข้อความที่ฮานะโพสต์ก่อนเสียชีวิตระหว่างเข้าร่วมเรียลลิตี้ Terrace House Tokyo รายการที่นำชายหญิงมาอาศัยอยู่ร่วมกันเพื่อถ่ายทอดความเป็นอยู่ให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมกับวิถีชีวิตของแต่ละคน พบว่ามีคอมเมนท์ที่ทำร้ายจิตใจเธออย่างรุนแรงเป็นจำนวนมาก ทั้งวิจารณ์รูปร่างหน้าตา และต่อว่าแบบสาดเสียเทเสียเมื่อเธอไม่ได้เป็นหรือทำตามที่ผู้ชมคาดหวัง หนักเข้าถึงกับไล่ให้เธอไปตายซะเพราะทนขยะแขยงไม่ไหว  

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ความไม่แยแสต่อความเจ็บปวดของผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการนิยมชมชอบเวลาเห็นผู้อื่นเปราะบางเป็นทุกข์นำไปสู่การเสียชีวิตของเด็กสาวอย่างฮานะ เช่นเดียวกับที่เราอาจสูญเสียญาติมิตร เพื่อน บุคคลอันเป็นที่รักหรือใครสักคนให้กับความด้านชาไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจและยึดเอาตนเองเป็นที่ตั้งในการวัดประเมินคุณค่า บดขยี้ความมั่นใจคนอื่นแลกกับความสนุกสนานสะใจในวันใดวันหนึ่งอีก 

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ปัจจุบันถูกศึกษาและถึงกับระบุให้เป็นโรคหนึ่งเลยทีเดียว 

โรคขาดความเมตตา – โรคยอดฮิตของเด็กยุคไซเบอร์

พฤติกรรมบูลลี่เป็นอาการหนึ่งของ โรคขาดความเมตตา หรือ Compassion Deficit Disorder (CDD) เป็นคำที่อาจารย์ไดแอน เลวิน (Dianne Levin) ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการเด็กและศึกษาปัจจัยที่ส่งผลถึงพฤติกรรมต่อต้านเป็นภัยกับสังคมจากวีล็อคคอลเลจบอสตัน ใช้เรียกลักษณะอาการของเด็กในสังคมปัจจุบันที่มีภาวะขาดความเห็นอกเห็นใจ ไม่รู้สึกรู้สาหรือคำนึงถึงความรู้สึกและผลกระทบที่เกิดกับผู้อื่นเมื่อกระทำการใดๆลงไป ทั้งมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงหรือการข่มขู่บีบคั้นเพื่อให้ได้ตามต้องการ

หากเปิดสื่อต่างๆ ดูจะพบว่าเทรนด์การบูลลี่ทั้งร่างกายและจิตใจกำลังลุกลามอย่างยากจะหยุดยั้งในสังคมออนไลน์และออฟไลน์ รายงานล่าสุดจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน โดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขระบุว่าอัตราการกลั่นแกล้งในเยาวชนไทยปี 2561 สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก จากการสำรวจเด็กจำนวน 1,000 คนพบว่ามีเด็กเคยถูกบูลลี่ทั้งทางกายและใจจำนวนสูงถึง 92 เปอร์เซ็นต์ และในจำนวนนั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้าต้องเข้ารับการรักษาถึง 13 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลจาก thethaiger.com)

เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงบ้านเรา แต่เด็กทั่วโลกกำลังป่วยด้วยโรคนี้ โดยอาจเคยเป็นเหยื่อที่ถูกบูลลี่แล้วกลายมาเป็นผู้กระทำซะเอง 

อาจารย์เลวินมองว่าโรคขาดความเมตตาของคนในห้วงเวลานี้ปะทุขึ้นจากอิทธิพลของเทคโนโลยีและสื่อโซเชียลที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะการให้เด็กเข้าถึงสื่อพวกนี้เร็วเกินไปตั้งแต่อายุยังน้อยและสัดส่วนการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนจริงๆ น้อยเกินไป  

ซึ่งเธอสรุปไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ 

1. เด็กแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีและใกล้ชิดกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ยังเล็กมากขึ้น แท็บเล็ต มือถือและเกมส์ที่ดึงให้เด็กอยู่ติดกับหน้าจอนานๆ ฉกฉวยโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้พัฒนาการทางสังคมตามช่วงวัยและการรับ-ส่งอารมณ์ความรู้สึกกับผู้อื่น 

มีการลองเปรียบเทียบวิธีปลอบโยนเด็กเล็ก 2 แบบ แบบแรกให้พ่อแม่ปลอบโยนลูกเมื่อร้องโยเยด้วยการอุ้มและสบตาพูดคุย กับแบบที่สอง พ่อแม่กดโมบายของเล่นไฟกะพริบและส่งเสียงเพลงออกมาเมื่อเด็กร้อง เด็กที่ถูกเลี้ยงในแบบแรกจะได้รับประสบการณ์การรับ-ส่งอารมณ์ความรู้สึกกับมนุษย์จริงๆ อันเป็นก้าวแรกของการสร้างสัมพันธ์และพัฒนาด้านจิตใจ ในขณะที่แบบที่สองเด็กถูกเบี่ยงเบนความรู้สึกไปที่แสงสีเสียงจากของเล่น นอกจากจะไม่ได้สัมผัสความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นจากอ้อมกอดอันเป็นพื้นฐานแรกสุดของพัฒนาการด้านจิตใจอารมณ์และพฤติกรรมแล้ว ยังขาดการเข้าถึงอารมณ์ตัวเองและไม่รู้วิธีปฏิสัมพันธ์ด้วย 

2. โซเชียลมีเดียที่เปิดกว้างนำเสนอต้นแบบพฤติกรรมที่เด็กอาจยังไม่มีวิจารณญาณพอจะแยกแยะความเหมาะสม ภาพลามก การพนัน ความรุนแรงและยาเสพติดเข้าถึงได้โดยง่าย อีกทั้งแอปพลิเคชั่นยอดฮิตมากมายที่สร้างวัฒนธรรมการเลียนแบบ ขายความดึงดูดน่าสนใจเพื่อยอดผู้ติดตามและเรียกไลค์ ทั้งหมดนี้บ่มเพาะให้เด็กๆ มีแนวโน้มที่จะตัดสินคนอื่นอยู่ตลอดเวลา และการสื่อสารที่ฉาบฉวยบนโลกไซเบอร์ทำให้เขาเข้าถึงจิตใจคนอื่นน้อยลง 

3. ของเล่นที่วางตลาดในปัจจุบันขายภาพจำลองจากหน้าจอมากกว่าส่งเสริมทักษะทางสังคมและการแก้ปัญหา ความนิยมของการ์ตูนฮีโร่รวมพลัง เจ้าหญิงเกล็ดน้ำแข็งกำลังครองโลก แน่ละว่าของเล่นที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็ยกขบวนกันออกมาเพื่อให้เด็กๆ ได้ออกท่าทางเลียนแบบตัวการ์ตูนที่พวกเขาชื่นชอบ จนน่าเสียดายว่าการเล่นที่ฝึกกระบวนการแก้ปัญหา ฝึกทักษะการวางแผนและความร่วมมือร่วมใจกันกำลังได้รับความสนใจน้อยลง

4. รูปแบบสังคมที่ผู้ใหญ่ทำงานตลอดเวลาและเต็มไปด้วยความเครียดพึ่งพาหน้าจอให้เป็นเพื่อนลูก ผู้ปกครองบางคนเองก็เอาแต่ก้มดูหน้าจอกันเป็นส่วนมาก เด็กๆ จึงอยู่กับหน้าจอไอแพดที่เปิดเกมส์หรือการ์ตูนไว้เป็นเพื่อนตลอดเวลา ทักษะการสื่อสารด้านอารมณ์และการเข้าสังคมถดถอยไปจนถูกครอบงำด้วยสารซึ่งอาจไม่เหมาะสมที่ส่งมากับคอนเทนต์เหล่านั้นด้วย

5. พ่อแม่กำหนดตารางชีวิตให้เด็กเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาพรสวรรค์ เรียนพิเศษเสริมทักษะหรือแม้แต่ให้พวกเขาทำกิจกรรมสนุกๆ สักอย่าง ผู้ใหญ่ (ที่มีความพร้อม) ก็มักเป็นฝ่ายเลือกและจัดวางตารางกิจกรรมให้เด็กดำเนินตามที่จัดไว้เสมอๆ ข้อดีของการได้ทำกิจกรรมหลากหลายก็มีอยู่ แต่อีกด้านการกำหนดควบคุมกิจวัตรและตารางกิจกรรมให้หมดก็เท่ากับเด็กขาดโอกาสได้ค้นหา เลือกและเรียนรู้ที่จะวางแผนจัดการตัวเองอย่างไร อีกทั้งยังพลาดการแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดและการตัดสินใจของตนเองด้วยอีกทางหนึ่ง

ทำความเข้าใจกันใหม่ “อ่อนแอก็แพ้ไป” ไม่ใช่ทฤษฎีการอยู่รอดของมนุษย์

รองศาสตราจารย์เจนนิเฟอร์ โกเอทส์ (Jennifer Goetz) หัวหน้าภาคจิตวิทยามหาวิทยาลัยเซ็นเตอร์ อธิบายที่มาที่ไปของความเมตตา (Compassion) ไว้ในงานศึกษาของเธอว่า ความเมตตาคือแรงขับธรรมชาติด้านอารมณ์ที่มนุษย์แสดงรูปแบบต่างกัน มีสภาวะคล้ายคลึงกับความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ซึ่งเป็นการรู้สึกร่วมไปกับผู้ที่เดือดร้อนเป็นทุกข์แล้วแสดงความช่วยเหลือคลี่คลายความทุกข์ร้อนนั้น ซึ่งนี่เป็นคุณลักษณะจำเป็นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตร่วมกันของมนุษย์

ในหนังสือ Descent of Man, and Selection in Relation to Sex ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน บิดาแห่งชีววิทยาที่มากับทฤษฎีธรรมชาติคัดสรรก้องโลกก็ยังมีคำกล่าวว่า “สังคมใดที่สมาชิกต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สังคมนั้นจึงจะเจริญรุดหน้าและอยู่รอด” ซึ่งดาร์วินมองจากความเชื่อว่า ความเมตตาเป็นสิ่งจรรโลงสังคมและยกระดับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับทัศนคติ “คนที่แข็งแกร่งกว่าจึงจะอยู่รอด” ที่คนจำนวนมากอ้างเป็นหลักคัดสรรทางธรรมชาติของเขาซึ่งกล่าวถึงวิวัฒนาการทางสรีระและพันธุกรรมเพื่อปรับตัวอยู่รอดตามสภาพแวดล้อมไปในทางรับรองความชอบธรรมของการข่มเหงหรือเพิกเฉยที่จะช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าทางพละกำลัง สถานะและสติปัญญา

นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราต้องทบทวนคติแนว “อ่อนแอก็แพ้ไป” เสียใหม่ อาจเพราะเรากำลังถูกกระตุ้นให้แข่งขันกันตลอดเวลา ขนาดต้องแย่งกันเข้าโรงเรียนตั้งแต่ยังเล็ก และยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นเมื่อโซเชียลหยิบยื่นวัฒนธรรมบูชาความเพอร์เฟคใส่หัวเราทุกนาที เหล่านี้ผลักให้เราประเมินตัดสินว่าใครดีกว่ากัน ไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ต่างเริ่มรู้สึกเฉยๆ กับการศัลยกรรม ยอมเป็นหนี้เพื่อมีของที่ “ไม่มีไม่ได้แล้ว” และต้องดีพร้อมอยู่ตลอดเวลาให้สมกับที่โลกโซเชียลมอบบทบาทให้เราเป็นทั้งผู้มีอำนาจตัดสินและถูกตัดสิน และยิ่งดูเหมือนว่าพยายามดีพร้อมเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและถอยห่างจากความเมตตามากขึ้นเท่านั้น 

วัฒนธรรมการสื่อสารผ่านตัวหนังสือ ความเมตตาบนสื่อโซเชียล เรื่องจำเป็นที่ต้องสอน

ที่ผ่านมาเราไม่อาจบอกสิ่งที่คิด ปฏิเสธความผิด แก้ต่าง ก่นด่าฟ้าดินหรือต่อว่าต่อขานใครสักคนได้ง่ายๆ และเสรีอย่างที่โลกโซเชียลให้เราทำได้ในตอนนี้ เมื่อสื่อในมือมีช่องว่างให้เราเติมคอมเมนท์ Facebook ก็ถามเราทุกทีที่เปิดเข้าไปว่า What’s on your mind? มันจึงง่ายดายเหลือเกินกับการพิมพ์สิ่งที่ใจคิดลงไปโดยไม่ต้องสนว่ามันจะทำร้ายใครต่อใครในเมื่อเราไม่ได้เจอกันซึ่งหน้า บริบท Role Model ที่เด็กซึมซับและพัฒนาความเมตตาตามผู้ใหญ่ต้นแบบกำลังเปลี่ยนไป เด็กยุคนี้อาจไม่เคยสัมผัสลึกซึ้งกับความเมตตามากเท่ากับเห็นเป็นคอนเทนต์ผ่านตาในหน้าจอและเรียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเราน้อยลงจากวัฒนธรรมการสื่อสารผ่านตัวหนังสือ

ใน Three ways to teach kids to find compassion and empathy behind the screen บน The Washington Post เคที เฮอร์ลีย์ (Katie Hurley) ผู้เขียนเป็นนักจิตบำบัดเด็ก บอกเล่าวิธีที่เธอใช้ปลุกสำนึกเมตตาจิตในการใช้สื่อโซเชียลของลูกๆ ให้หันมาใส่ใจความรู้สึกที่ถูกสื่อผ่านตัวหนังสือ โดยสอนให้พวกเขาร่างสิ่งที่ตั้งใจจะโพสต์ลงโน้ตก่อนเสมอเพื่อฝึกให้ฉุกคิดใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนก่อนจะโพสต์สิ่งใดก็ตามที่จะคงอยู่ตลอดไป และเพื่อให้เขาเข้าใจว่าสารและทุกข้อความที่พิมพ์โต้ตอบผ่านแชทสร้างอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรบ้าง เธอจะลองอ่านออกเสียงบทสนทนาที่พวกลูกๆ เขียนโต้ตอบกับเพื่อนๆ ออกมาให้เขาฟังดังๆ ซึ่งบางประโยคอ่านแล้วตีความได้ต่างกัน บางทีเป็นความโกรธ ความกังวลหรือความอับอาย เฮอร์ลีย์เล่าว่า เวลาพวกเขารู้ตัวว่าข้อความนั้นสร้างความเจ็บปวดได้ เมื่ออ่านออกเสียงเด็กๆ จะใช้ความพยายามมากกว่าปกติ

สำคัญที่สุด การให้เด็กที่ยังอายุน้อยเล่นโทรศัพท์มือถือ แท็บเลตและสื่อโซเชียลด้วยตัวเองเร็วเกินไปยังเป็นเรื่องไม่แนะนำ และไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดผู้ใหญ่ยังต้องให้เวลาใกล้ชิดเอาใจใส่ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ต้องหมั่นสังเกตและติดตามการใช้สื่อโซเชียลของเขาได้ 

โดยไม่ลืมว่าอย่างไรแล้วแบบอย่างสำคัญที่เด็กๆ จะสัมผัสเข้าถึงและซึมซับความรักความเมตตาได้โดยตรงคือการมีผู้ใหญ่คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้าง ให้คำปรึกษาและรับฟังยามเขามีปัญหาอย่างเข้าอกเข้าใจ ที่สุดแล้วการปลูกฝังสิ่งสวยงามให้เบ่งบานขึ้นในใจเด็กๆ ได้แม้เล็กน้อยเท่าไรก็คงทำให้ผู้คนดีต่อกันขึ้นอีกนิด แล้วโลกก็คงจะน่าอยู่ขึ้นอีกหน่อย

อ้างอิง
Compassion Deficit Disorder
Three ways to teach kids to find compassion and empathy behind the screen.
How Can We Best Teach Kids Compassion in Education?

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)กลั่นแกล้ง(bully)Character worldCompassion Deficit Disorder (โรคขาดความเมตตา)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Character building
    สอนให้เด็กเห็นคุณค่าสิ่งที่มี ขอบคุณยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    HOPE อย่าหมดหวังในตัวเองนะวัยรุ่น

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    หาก Grit คือความเพียร แต่จะเพียรพยายามในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘Pieces of a Woman’ เศษเสี้ยวที่ปลิดปลิว เมื่อการคลอดลูกไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเธอ
Movie
6 February 2021

‘Pieces of a Woman’ เศษเสี้ยวที่ปลิดปลิว เมื่อการคลอดลูกไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเธอ

เรื่อง ประจวบ วังใจ

  • Pieces of a Woman หนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของ มาร์ธา (วาเนสซา เคอร์บี้) เธอสูญเสียลูกไปขณะทำคลอด ชีวิตหลังจากนี้ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีของเธอ คือ การเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดจากความทุกข์ เพื่อลุกขึ้นและก้าวเดินอีกครั้ง
  • หนังพาเราไปสำรวจ “ร่องรอย” ของความสูญเสีย ที่แสดงออกผ่านอาการ เฉยชา เศร้าหมอง เกรี้ยวกราด บึ้งตึง ฯลฯ สุดแท้แต่ละคนที่เกี่ยวข้องจะออกอาการแบบไหน
  • แต่ที่แน่ๆ การคลอดลูกของมาร์ธา ไม่ใช่สิ่งที่เป็น “ส่วนตัว” อีกต่อไป เพราะคนรอบข้าง สามี แม่ พี่สาว รวมถึงสังคมภายนอกอื่นๆ มองว่านี่คือเรื่องไม่ถูกต้อง เธอต้องเอาคืน
ภาพ Netflix
บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์

หญิงสาวท้องใกล้คลอดตัดสินใจแน่วแน่ ว่าท้องนี้จะขอคลอดลูกเองที่บ้าน แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังคาด จึงเป็นที่มาของโศกนาฏกรรม ทำให้ความโศกเศร้าเข้ามาเป็นเพื่อนสนิทของชีวิต ความสัมพันธ์กับสังคมและคนรอบข้างบิดเบี้ยวและบึ้งตึง ชีวิตหลังจากนี้ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีของเธอ คือการเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดจากความทุกข์ เพื่อลุกขึ้นและก้าวเดินอีกครั้ง

เรื่องราวของ Pieces of a Woman ว่ากันง่ายๆ แบบนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจของหนัง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ชวนถกเถียงและครุ่นคิด โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยความหมายของชีวิตและปฏิสัมพันธ์ ซึ่งหนังเปิดโจทย์ไว้ เพื่อให้คนดูปะทะสังสรรค์ทางความคิดกันอย่างเต็มที่

หนังเปิดเรื่องได้น่าประทับใจด้วยฉากการคลอดของ มาร์ธา (วาเนสซา เคอร์บี้) โดยมี ฌอน (ชีอา เลอเบิฟ) สามีของเธออยู่เคียงข้าง และมี เอวา (มอลลี พาร์คเกอร์) พยาบาลผดุงครรภ์มาช่วยทำคลอดให้ ฉากนี้กินเวลายาวนานถึง 23 นาที โดยกล้องตามติดตัวละครในฉากไปเรื่อยๆ เหมือน long take ที่กดดันคนดูสุดๆ เพราะลุ้นไปตัวละครในฉากตลอดเวลา จนมาพีคสุดในตอนท้ายของฉากนี้ คือเหมือนทุกอย่างจะคลี่คลายพร้อมกับเสียงของทารกที่ร้องออกมา แต่แล้วทุกอย่างกลับตาลปัตร ทารกตัวเขียวคล้ำ เสียงร้องหายไป ทุกคนที่ผ่อนคลายเมื่อวินาทีก่อนนั้น ต่างลนลานอีกครั้ง

และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งมาพร้อมคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาแทบจะทันที… ทำไมไม่ไปคลอดที่โรงพยาบาล ทำไมต้องเอาตัวเองและลูกไปเสี่ยงแบบนี้

มาร์ธา คือหนึ่งในจำนวน 1% ของผู้หญิงตั้งครรภ์ทั่วอเมริกาที่เลือกคลอดลูกที่บ้าน (Home Birth) ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของผู้หญิงเหล่านี้ที่จะคลอดแบบธรรมชาติโดยมีผู้ช่วยเหลือน้อยที่สุด แม้ในยามคับขัน ก็ยังยืนยันในสัญชาตญาณเดิมของตัวเอง ว่าทุกอย่างจะอยู่ในความควบคุมผ่านร่างกายและจิตใจของตัวเอง

อย่างกรณีของมาร์ธา เมื่อคลอดลำบาก ลูกไม่ยอมออกมาซักที ฌอนจึงบอกว่าไปโรงพยาบาลเถอะ มาร์ธาก็ยังหนักแน่นต่อไปว่า ‘ไม่’ พอเธอตอบแบบนี้ เชื่อเถอะคนดูไม่น้อยต้องสบถออกมา

เมื่อผ่านเหตุการณ์วิกฤต หนังก็พาเราไปสำรวจ ‘ร่องรอย’ ของความสูญเสีย ที่แสดงออกผ่านอาการ เฉยชา เศร้าหมอง เกรี้ยวกราด บึ้งตึง ฯลฯ สุดแท้แต่ละคนที่เกี่ยวข้องจะออกอาการแบบไหน แต่ที่แน่ๆ การคลอดลูกของมาร์ธา ไม่ใช่สิ่งที่เป็น ‘ส่วนตัว’ อีกต่อไป เพราะคนรอบข้าง สามี แม่ พี่สาว รวมถึงสังคมภายนอกอื่นๆ มองว่านี่คือเรื่องไม่ถูกต้อง เธอต้องเอาคืน

ว่ากันว่า ถ้าเรามีเรื่องทุกข์ใจ หาทางออกไม่เจอ ขอให้กลับบ้าน เพราะบ้านเหมือนกำแพงพิงอันแข็งแกร่ง ช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายลงได้เสมอ แต่สำหรับบ้านของมาร์ธา ซึ่งมี “เอลิซาเบธ” (เอลเลน เบอร์สตีน) ผู้เป็นแม่ยืนผงาดอยู่-นั้น อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะความกดดันถาโถมเข้าหามาร์ธาทุกครั้งที่เจอคนในครอบครัว 

ขณะที่ทุกคนเหมือนตะโกนใส่หน้า ให้เธอลากคอคนทำคลอดเข้าคุกแล้วฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายให้หนัก แต่ไม่มีใครเข้าใจในความสูญเสียที่มาร์ธาเผชิญ แม้กระทั่งฌอนเอง ก็ยังใช้วิธีการดิบๆ เดิมๆ โดยหวังว่าจะช่วยให้มาร์ธากลับไปเป็นเหมือนเก่า ซึ่งฉากนี้เป็นฉากยอดเยี่ยมอีกฉากหนึ่งของหนัง เมื่อฌอนขอมีอะไรกับมาร์ธา โดยฝ่ายหญิงอยากปฏิเสธ แต่ด้วยความเป็นเมียทำให้เธอต้องเออออไปงั้นๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะจิตใจที่ไม่ปกติ ความหมองเศร้าที่รุมเร้า ความเครียดที่ยังคงคุกรุ่น ทำให้การเมคเลิฟแทนที่จะราบรื่น กลับติดขัดไปหมด และนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในเวลาต่อมา

เมื่อคืนวันผ่านไป มาร์ธาอยู่กับตัวเองอย่างใคร่ครวญมากขึ้น และค้นพบบางอย่าง ว่าแท้จริงแล้ว การผูกติดชีวิตไว้บางชิ้นส่วนที่ขาดวิ่น ไม่เป็นผลดีต่อการก้าวเดินไปข้างหน้าเลย ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แม้จะผุกร่อนเพียงไหนก็ตาม เหมือนแอปเปิลที่เธอกัดกิน ไม่ว่าจะยับเยินด้วยรอยกัด หรือบูดเน่า เพราะทิ้งไว้นอกตู้เย็น แต่เมื่อเอาเมล็ดไปเพาะ ต้นใหม่ก็งอกขึ้นมา ดั่งชีวิตมนุษย์ ย่อมลุกขึ้นจากซากปรักหักพังของวันวานได้สักวัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหาเจอเร็วแค่ไหน

วาเนสซา เคอร์บี้ เป็นมาร์ธาได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะฉากคลอดลูก คนดูต้องลุ้นไปกับเธอจนตัวเกร็ง เพราะสมจริงอย่างมาก ทั้งๆ ที่เธอเอง ไม่เคยผ่านประสบการณ์การคลอดลูกมาก่อน โดยก่อนถ่ายทำ เคอร์บี้ตะลุยดูสารคดีและวิดีโอเกี่ยวกับการคลอดลูกมากมายหลายเรื่อง และไปนั่งดูคนกำลังคลอดจริงๆ ในห้องคลอดด้วย ขณะที่ ชีอา เลอเบิฟ ก็ยกระดับผลงานของตัวเองขึ้นไปอีกระดับ และดูเหมือนสลัดบท “แซม วิทวิคกี้” จาก Transformers ออกไปจากตัวได้เรียบร้อยแล้ว

Pieces of a Woman กำกับภาพยนตร์โดย คอร์แนล มันดรักโซ คนทำหนังฝีมือดีชาวฮังการี เคยคว้ารางวัล Un Certain Regard เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2014 จาก White God มาก่อน โชว์ฝีมือได้น่าทึ่ง เมื่อบวกกับบทภาพยนตร์ของ คาตา เวเบอร์ ภรรยาของเขาเอง ซึ่งจากการค้นข้อมูล พบว่าเธอเคยแท้งลูกมาแล้ว เหตุนี้บทหนังจึงน่าจะมีส่วนคล้ายประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิตของเธอ

หนังยังหาดูได้ทาง Netflix ครับ

Tags:

มายาคติการเป็นแม่ความสูญเสียปม(trauma)

Author:

illustrator

ประจวบ วังใจ

อดีตคนข่าวและคนเขียนหนังสือที่ตามติดประเด็นทางสังคม การศึกษาและศิลปวัฒนธรรมมาตลอด แต่ที่อินที่สุดคือการเขียนวิเคราะห์วิจารณ์หนัง ทั้งจากมุมมองของคนทำสื่อ คนรักหนัง และผู้ชายคนหนึ่ง

Related Posts

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Myth/Life/Crisis
    เราไม่จำเป็นต้องสูญเสียตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ : ผลจากการเลี้ยงดูที่ถูกปกป้อง (ควบคุม) อย่างสุดขีดและทางออก

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the trauma
    ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel