Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2020

Cultural ecology (2) : เล่นละครใส่กัน เถียงกัน เคารพกัน จนกลายเป็นฉันที่เข้าใจตัวเองและผู้อื่น
Creative learning
10 December 2020

Cultural ecology (2) : เล่นละครใส่กัน เถียงกัน เคารพกัน จนกลายเป็นฉันที่เข้าใจตัวเองและผู้อื่น

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ละครจะใช้เพื่อพัฒนาคนได้อย่างไร คุยกันต่อกับครูอุ๋ย – ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง
  • Creative drama (วิชาละครสร้างสรรค์) เป็นการเล่นละครที่ออกแบบกิจกรรมให้เด็กได้เล่น เช่น ออกกำลังร่างกาย ร้องเพลง เล่าเรื่อง แสดง เป็นต้น ทั้งหมดนี้เพื่อพัฒนาเด็กให้มีทักษะของการสื่อสารและมีสมาธิในการทำงาน เกิด critical mind (สำนึกในการวิพากษ์) วิพากษ์วิจารณ์เป็น
  • ครูอุ๋ยไม่ได้ใช้ละครเพื่อพัฒนาเด็กอย่างเดียว แต่ขยายขอบเขตลงไปพื้นที่ต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพคนในชุมชน ซึ่งหลักการสำคัญของการทำละครเพื่อพัฒนาคน คือ การออกแบบกระบวนการที่ไม่ใช่แค่เล่นละคร ป้อนข้อมูลให้ผู้ชม แต่ต้องทำละครให้ผู้ชมสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ พร้อมกับทำความเข้าใจบริบท วิถีชีวิตของคนในพื้นที่
อ่านตอนที่ 1 Cultural Ecology(1): เครื่องมือทางศิลปะที่จับมือชุมชน เสนอศิลปะดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ สร้างคนลูกผสมที่มี critical mind

เราเปิดบทสนทนากันด้วยลักษณะของผู้คนที่ทำงานอารักขาและพัฒนาวัฒนธรรมที่ประกอบไปด้วย guardian ผู้ปกป้อง สองเป็นผู้สร้างพื้นที่ แพลตฟอร์มให้คนมาเล่นละคร หรือเป็นผู้เชื่อมโยงให้คนทำงานวัฒนธรรมหลากหลายแบบเข้ามาเจอกัน ซึ่งคนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญมหาศาลใดๆ เลย

ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง หรือครูอุ๋ย คือผู้หญิงใส่แว่นยิ้มหวานและโปรดปรานการละครมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ทำงานจิปาถะร้อยแปดพันอย่างข้างหลังเวทีจนไปเรียนต่อปริญญาโทด้านศึกษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ก็ยังไปเรียนวิชาการละคร คิดคอร์สเอง ออกแบบแผนการสอนเอง ฝึกละครให้เด็กจิ๋วและม้วนต้วนอยู่ในศิลปะชนิดนี้เป็นเวลา 2 ซัมเมอร์

ครูอุ๋ย – ศาสตราจารย์พรรัตน์ ดำรุง

“ตอนเรียนที่อักษรฯ จุฬาฯ ได้มีโอกาสเรียนวิชาหุ่น ละครสำหรับเยาวชนทุกอย่างกับครูแอ๋ว รศ.อรชุมา ยุทธวงศ์ แล้วครูแอ๋วมีการนำละครให้เด็กกำพร้า เด็กพิการซ้ำซ้อนไปเล่นนู่นนี่ รวมทั้งยังมีรายการหุ่นหรรษาที่ออกทางช่อง 4 บางขุนพรหม ครูเลยได้ทำหลายอย่าง ทั้งเขียนบท ทำหุ่น ออกแบบฉาก

“ตอนไปเรียนการศึกษาที่เมืองนอก เราก็ต้องทำงานในห้องสมุด มีเงินจำกัด ภาควิชาละครของที่นี่จะเป็นภาคที่เล็กมาก มีอาจารย์คนเดียว แล้วเขาก็สอนให้ทำ ไม่ได้สอนทฤษฎีอะไร เขาให้เราอยู่กับ production เลย เราก็พยายามมาก ช่วงนั้นต้องไปดูงานละครเด็กที่ซีแอตเทิล นิวยอร์ก หรืออิลลินอยส์ที่เป็นเมืองใหญ่ๆ ตอนแรกเป็นนโยบายสำคัญของพ่อเลยที่ให้เรียนบริหารการศึกษา แต่ครูเรียนไปร้องไห้ไป พอโทรไปปรึกษาครูแอ๋ว ครูแอ๋วก็บอกว่าเธอควรจะสนใจวิชาละครเพราะเธอมีความสุขทุกครั้งที่อยู่หลังโรงละคร”

ครูอุ๋ยจึงระหกระเหินกับงานละครมาโดยตลอดทั้งในฉากชีวิตและฉากอาชีพ เป็นเบื้องหลังที่ช่วยผลักดันนักสร้างสรรค์การละครหลายรูปแบบ และเป็นนักวิชาการการละครที่ยังไม่หยุดเรียนรู้และพร้อมร่วมสมัยไปด้วยกันกับเด็กๆ จะบนเวทีหรือนอกเวที หรือในทุ่งนาก็สู้หมดใจ

เราพูดกันถึงเรื่องรูปแบบของละครที่คนนอกวงการอาจจะไม่คุ้นเคย เช่น Creative drama (วิชาละครสร้างสรรค์), Theatre for education (ละครเพื่อการศึกษา), Theatre of the oppress (ละครของผู้ถูกกดขี่) ซึ่งอธิบายรวมๆ ได้ว่าเป็นละครเพื่อการพัฒนา เนื้อหาทะลักออกมานอกเวทีเพื่อสร้างความคิดเชิงวิพากษ์ สื่อสารความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพื่อให้คนในชุมชนมองเห็นกันมากขึ้น จนนำไปสู่การศึกษาเรื่องนิเวศวิทยาทางวัฒนธรรม (cultural ecology) อย่างจริงจังในวัยทั้งก่อนและหลังเกษียณ

สิ่งที่ครูอุ๋ยหวังว่าจะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือ The avengers เชื้อสาย ศิลปะวัฒนธรรมทั้งหลายที่จะสืบทอดการละครและศิลปะแขนงต่างๆ ไปสู่ชุมชนและโลกพื้นถิ่น จะปั่นการละครเข้ากับชีวิตและยกระดับความเปราะบางทางวัฒนธรรมอย่างไรให้แข็งแรง เล่นละครอย่างไรให้คนในชุมชนพัฒนาอย่างชื่นใจทั้งภายในและภายนอก

Creative drama ในยุคก่อนเป็นอย่างไร

ถ้าเรามองย้อนกลับไป 40 ปีที่แล้ว เมืองไทยยังไม่มี creative drama ชัดเจน ที่เห็นคือมีการเล่านิทานในรายการโทรทัศน์ขาวดำ หรือละครหุ่นมือ ฉะนั้นละครหรือกิจกรรมที่ใช้ในโรงเรียนสำหรับเด็กยังไม่มีใครทำเลย Creative drama เป็นการเล่นละครที่ออกแบบกิจกรรมเพื่อที่จะให้เด็กได้เล่นมากกว่าเพราะการเล่นก็ถือว่าเป็นการเรียน เช่น ออกกำลังร่างกาย ร้องเพลง เล่าเรื่อง แล้วก็แสดง ทั้งหมดนี้เพื่อให้เด็กมีทักษะของการสื่อสารและมีสมาธิในการทำงาน เป็นกระบวนการที่สามารถปรับได้ตามอายุของเด็ก ในเมืองไทยก็มีหลักสูตรนี้ แต่คุณครูอาจจะนำไปใช้ยากเพราะเรามีเส้นของศิลปะที่ไม่ได้เน้นความคิดสร้างสรรค์แต่เน้นศิลปะประเพณี ให้รำตาม ร้องตาม เด็กไทยเราเน้นเชื่อฟัง ถ้าเสียงดังเรามีจุ๊ๆ แต่จริงๆ แล้วมันมีวิธีการทำให้เด็กมีวินัย เป็นข้อตกลงร่วมกันโดยที่ครูไม่ต้องดุ ดังนั้นถึงครูจะเรียน Creative drama ไป แต่เขาจะควบคุมชั้นเรียนยากเพราะเสียงดังกวนคนอื่น

Creative drama มีแกนหรือวิธีการสอนอย่างไร

การเรียน Creative drama จะจบลงด้วยการ dramatization (การแสดงนาฏการ การเล่นเป็นละคร) การ dramatization ในโรงเรียนที่อเมริกา เขาจะหาหนังสือเด็กดีๆ มาอ่านให้เด็กฟัง วันนี้อ่านสองหน้า สามหน้า พออ่านไปแล้วก็ถามเด็กว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างนะ ใครอยากลองเล่นตัวละครตัวไหน ในแต่ละวันเด็กๆ จะสลับกันสวมบทบาท (เล่นตัวละครคนกันตลอด) ทุกคนได้เล่น บทบาทต่างๆ เป็นพระเอกบ้าง ต้นไม้บ้าง เป็นลมบ้าง ดังนั้นเด็กทุกคนก็จะมีความเข้าใจว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้จบได้อย่างไร  แล้วสุดท้ายก็มาถกเถียงกันว่าบทไหนที่เราเชื่อมากที่สุด แต่จะไม่พูดว่าคนไหนเล่นดีที่สุด

เราต้องทำให้เด็กมี critical mind (สำนึกในการวิพากษ์) วิพากษ์วิจารณ์เป็น ส่วนมากเด็กๆ ก็จะโหวตว่าชอบใครมากที่สุดในบทนี้ เพราะอะไร ทำไม เพื่อนบางคนมาเล่นเป็นตัวละครนี้แล้วเล่นดี ทำให้เกิด ecology ที่ทุกคนแบ่งปันกัน ถกเถียง แสดงทัศนะ ดังนั้นกิจกรรมละครเด็กที่มีลักษณะแบบนี้จะทำให้ทุกคนมีส่วนได้พูด–ได้ฟัง แล้วมองเห็นคนอื่น ขณะที่เขาอาจจะไม่ได้แสดงอะไรเลย แต่เขาก็อิน มีวินัยกับบทที่เป็นก้อนหินมากจนทุกคนอาจจะบอกว่าชอบก้อนหินก้อนนี้มากก็ได้ ซึ่ง Creative drama ของโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาเขาใช้เพื่อพัฒนาคน

ละครเพื่อการพัฒนาคนที่ว่ามีการออกแบบมาเพื่อกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ หรือไปไกลจากความเป็นละครเด็กบ้างไหม

มี Theatre for Education ที่เป็น Political theatre (ละครทางการเมือง เราเรียกว่า การละครสะท้อนสังคม) เราสามารถพบเจอได้ที่ประเทศอินเดีย หรือแอฟริกา ที่เขาใช้ละครและ art form (รูปแบบทางศิลปะ) พื้นถิ่นเป็นสื่อสำหรับสื่อสารเรื่องสิทธิมนุษยชน เช่น การทำละครในประเด็นยาเสพติดกับชุมชนเพื่อบำบัดหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเยาวชนในพื้นที่ อย่างคณะละครมะขามป้อมในไทยก็ใช้ละครเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และถกเถียงประเด็นที่สำคัญๆ

หรือที่ชัดเจนเลยจะมี Theatre of The Oppressed ซึ่งใน 30 ปีนี้ฮิตกันมาก เป็นการทำละครเพื่อสื่อสาร รับฟังผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่ทำร้ายจิตใจ กิจกรรมส่วนใหญ่ เป็นการแบ่งปันเรื่องราว ด้วยการสร้างภาพนิ่ง เพื่อสื่อสารความทุกข์ ทดลองสลับบทบาทเพื่อนำเสนอความทุกข์ ให้เกิดการรับรู้ ผู้ที่มีอำนาจกดขี่ทดลองอยู่ในบทบาท และเงื่อนไขของผู้ถูกกระทำบ้างเพื่อเป็นการเรียนรู้ เข้าใจ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เอาไปใช้กับผู้บริหารในองค์กรที่ทำงานกับบุคคลากรจำนวนมาก ให้เขาอยู่ในวิถีของผู้ถูกกระทำบ้าง ฝึกเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือความขัดแย้งภายในครอบครัว ระหว่างแม่ – ลูก ลองสวมบทเป็นแม่ ที่เกรี้ยวกราดกับลูก แล้วดูซิว่า ลูก หรือคนที่สวมบทบาทเป็นลูกจะโต้ตอบอย่างไร แล้วหยุดการแสดง ขอให้ผู้ชมลองคิด ลองแบ่งปันความคิดมาเล่นมาสวมบทบาท มาใช้ชีวิตตัวละคร เป็นการมีส่วนร่วมที่มากกว่าการตบมือ ตะโกน แต่เป็น ผู้แสดง เพราะว่าฉันเคยมีประสบการณ์และความทรงจำในเหตุการณ์ลักษณะนี้ อยากให้ทุกคนเห็นว่ามันมีทางอื่นที่จะแก้ไข ละครเหล่านี้จึงถูกนำไปใช้ในหลายมิติ ในการพัฒนา เปลี่ยนแปลงชุมชน ให้เกิดความเข้าใจ รับฟัง และร่วมมือกันมากขึ้น และเป็นละครที่ทะลักออกมานอกโรงละครจนได้

ครูก็เลยเรียนรู้ศาสตร์ละครในหลายแบบ ทั้งละครเด็ก และนำละครมาทำเพื่อการศึกษา พัฒนาชุมชน

มีละครแบบหลังสุด ที่เรียกว่า Applied theatre ละครประยุกต์ซึ่งเกิดประมาณปี 1990 คือการรวบรวมการละครที่อยู่นอกโรงละคร เป็นการสร้างงานเพื่อให้เกิด การเรียนรู้ การสื่อสารข้อมูล การรับฟังปัญหา และหาหนทางแก้ไข ละครประยุกต์ เป็นแพลตฟอร์มที่จะนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่าง กิจกรรมละครมีเป้าหมายเพื่อการสื่อสาร และสร้างงานในแนวการพัฒนา เปลี่ยนแปลงสังคม มีการใช้ละคร หลายรูปแบบมาเล่า มาแบ่งปันเพื่อให้ชุมชนมองเห็น ข้อขัดแย้งและหาหนทางแก้ไข เวลาที่ออกไปทำละครในพื้นที่ที่ชุมชน เราจะไม่ค่อยมีผู้กำกับเท่าไหร่ แต่ใช้คำว่า facilitator แทน บ้านเราเรียก กระบวนกร ซึ่งจะต้องเป็นผู้วางแผน ค้นคว้าเรื่องราวให้สัมพันธ์กับวิถีชุมชน พยายามปรับ ตั้งคำถาม มีตัวละครที่เป็นแบบ Joker เป็นโต้โผที่จุ้นจ้านในขณะที่คนอื่นกำลังเล่นละครกันอยู่ สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นองค์ความรู้ที่มองเห็นได้ จับต้องได้ แล้วมันเป็นละครที่ไม่ได้เข้าสู่สาย entertainment หรือสายอาร์ต แต่เข้าสู่สังคม มีลักษณะเป็นละครเพื่อการศึกษากับการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต แล้วมันก็จะเปิดพื้นที่ใหม่ซึ่งรวมศิลปะ สังคม และมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน

ครูเตรียมละครแบบไหนไปเล่นกับชุมชน

เวลาไปลงพื้นที่ชุมชน ถ้าเราจะเล่นละครที่มีเนื้อหาเรื่องสุขภาพฟัน แต่เด็กมีสุขภาพฟันดีมาก เด็กไม่กินลูกอม อาบน้ำในลำธารก็ไม่มีสบู่ ดังนั้นถ้าครูเตรียมเรื่องรักษาสุขภาพฟันไปในแบบของครู มันจะใช้ไม่ได้เลย ตายแล้ว เสร็จกัน ทำไงล่ะ? เลยคิดว่าเราคงต้องทำเรื่องทางวัฒนธรรม เราต้องทำเรื่องที่เป็นคุณค่าที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กกรุงเทพฯ หรือเด็กที่เป็นผู้ชมเราจะนำไปใช้ได้ ดังนั้นถ้าเราลงพื้นที่ที่อีสานคราวต่อไป เราจึงลองทำเรื่องพญาคันคากรบพญาแถน ซึ่งเป็นเบสจากเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านของภาคอีสาน หรือภาคเหนือ

งานวิจัยชิ้นแรกของครูก็เบสมาจาก เรื่องที่เป็นความเดือดร้อนของชุมชน การใช้ดนตรีอีสานที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คนเล่นเป็นเด็กภาคกลาง เด็กอีสานเป็นนักดนตรี มาแจมกัน ด้วยความที่เราไม่รู้จักอีสาน เราเลยไปทัวร์ตั้งแต่อุดรฯ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด จึงเป็นก้าวแรกที่ทำให้มาสนใจวัฒนธรรมว่า เราจะเล่าเรื่องวัฒนธรรมยังไงให้คนที่เป็นผู้ชมของเราสนุกไปกับเราด้วย

เราก็โฟกัสไปที่ความทรงจำของเขาที่อยู่ในชุมชนคืออะไร มีอะไรบ้าง

แล้วเราในฐานะที่เป็นคนนอก เราก็เอาเรื่องอีสานมาดูเลย เรื่องไหนบ้างที่กินใจ เช่น เรื่องทำให้คนอีสานสะเทือนที่สุด ก็คือเรื่องน้ำ เรื่องความแห้งแล้ง ความขาดแคลน การต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ละครเรื่องพญาคันคากกับพญาแถนเป็นคอนเซ็บของเรื่องนี้ทั้งหมด ชุมชนอินกับเรา ไม่ใช่แค่เฉพาะเด็กอย่างเดียว เพราะถึงแม้เราจะโฟกัสที่เด็ก แต่เวลาที่เราไปเล่นในหมู่บ้าน มันไม่ใช่เด็กเท่านั้น มีทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายายมาดูด้วย

กระแสตอบรับจากชุมชนเป็นอย่างไรบ้าง

เราเป็นคนกรุงฯ เนอะ เราเล่นแค่ชั่วโมงน้อยๆ ซึ่งปู่ย่าตายายจะท้วงเลย ว่าเฮ้ย จบแล้วเหรอ เขาอยากดูสักสามชั่วโมง ซึ่งในศาสตร์ทางสากลของเราบอกว่าเล่นละครแค่ 45 นาทีก็พอแล้ว แต่ลุงกับป้าไม่ยอมกลับ เขาก็จะพูดคุย เล่นสนุก ซึ่งเป็นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมของเขา ในฐานะคนเล่นเราก็ต้องรู้ว่าอย่างน้อยเตรียมสักสองชั่วโมงกว่าไปเลยถ้าเราจะเล่นกับชุมชน จัดกิจกรรมนู่นนี่ก่อนจะเริ่มเรื่อง เพราะนั่นเป็นวัฒนธรรมของเขา เป็นความทรงจำของเขา

แล้วเราเล่นกับความทรงจำของเขาอย่างไรบ้าง

เราต้องรู้จักว่าในความทรงจำของผู้ชมเราคุ้นกับอะไร มีระเบียบวิธีคิดแบบไหน หรือถ้าเป็นสมัยก่อน คือ ต้องไม่เล่นในเวลาที่มีละครเรื่องดาวพระศุกร์ ขึ้นอยู่กับว่าเราไปที่ไหน โทรทัศน์เข้าหรือยัง ถ้าเข้าแล้วเราต้องหลีกเลี่ยงที่จะเล่นละครในช่วงเวลาที่มีละครดาวพระศุกร์ (หัวเราะ)

ละครที่เราให้เขาเล่น บางทีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นละครพื้นบ้าน?

เป็นละครพื้นบ้านที่มีรากมาจากเขาแต่ตีความใหม่ หรือแม้กระทั่งมีผสม critical mind ที่จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่าง เช่น เรื่องละครเรื่องพญาคันคากกับพญาแถน พญาแถนผู้ถืออำนาจใหญ่แกล้งโลกมนุษย์โดยไม่ส่งฝนให้ตกตามกาลเวลายาวนาน แต่คนที่เอาชนะพญาแถนได้คือ พญาคันคากที่ตัวเป็นปุ่มป่ำ และ สัตว์เล็กๆ พวกผึ้ง แมลง ขึ้นไปต่อยตาพญาแถนทำให้พญาแถนพ่ายแพ้ เพราะฉะนั้นนี่คือการ deconstruct (รื้อสร้าง) นิทานเก่า แต่เน้นที่การรวมพลังของสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย เป็นการวิพากษ์ผู้มีอำนาจด้วยละครพื้นบ้าน ถ้าเรามีอำนาจแล้วจะไม่ใส่ใจคนตัวเล็กตัวน้อยไม่ได้ ในฐานะที่เราเข้าใจระบบความคิดแบบตะวันตก เราสามารถที่จะนำประเด็นนี้มาใช้เพื่อเล่าเรื่องโบราณได้ แม้จะเป็นการตีความที่แตกต่างกันจากที่เคยมีมาก็ตาม นี่เป็นวิธีของคนสมัยใหม่ซึ่งเป็นคนที่อยู่ข้างนอกวัฒนธรรม เราจะใส่การวิพากษ์เข้าไปได้อย่างไรเพื่อให้สิ่งนี้ชัด แล้วให้คนดูรับรู้ได้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นหน้าที่ของละคร

ซึ่งคนในชุมชนไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจว่านี่คือการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจก็ได้?

เขารู้อยู่แล้ว เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาถูกเก็บกดไว้ เขารู้อยู่แก่ใจ เพราะนี่คือความทรงจำหรือประสบการณ์ชีวิตของผู้ชม ป้าๆ คนอีสานเหล่านี้เขาเห็นเลยว่าผู้มีอำนาจทำอะไรไว้บ้าง แต่เรื่องเล่าเราผ่านศิลปะ มันเป็นละคร เราใช้หุ่นเงา เช่น หุ่นเงาที่เป็นพญาแถนเราใช้หุ่นเงาที่เป็นดวงตาใหญ่ๆ มองลงมา ผู้ชมเงียบเลยนะ เพราะนั่นคือความนามธรรมที่เป็นอำนาจที่จ้องลงมาที่ตัวเขา ฉะนั้น critical mind ที่อยู่ในละครมันทะลุจิตใจของผู้คนได้

ถึงแม้เราจะมีธงบางอย่างที่จะสื่อสารจากละครเรื่องนี้ แต่ทำอย่างไรให้มันไม่เป็นการสืบทอดวาทกรรมคนดี หรือสร้างการคิดแบบปลายเปิด

นี่เป็นเทคนิค ถ้าเราเล่าไปเรื่อยๆ แล้วสรุปแบบที่ละครส่วนใหญ่สรุปว่าอย่าทำแบบนี้เลยนะ นี่คือสิ่งที่เด็กๆ ต้องทำนะเพราะนี่คือคนที่คิดดี ทำดี อย่าทำตัวแบบนี้นะเพราะมันเลว เด็กก็มีแนวโน้มที่จะทำเลว

อย่างครูนี่ก็เป็นคนที่ครูหลายท่านก็จะเกลียดนะ เพราะครูบอกว่าถ้าประโยคแบบนี้ในตอนจบของการเล่นละครมันเวิร์ค มันจะไม่มีเด็กร้ายๆ หรอก ถ้าสิ่งนี้เวิร์ค ประเทศนี้ดีกว่านี้อีกประมาณห้าพันเท่า ดังนั้นเราไม่ควรสรุป อย่างละครตะวันตกจะมีวิธีคิดว่าละครเรื่องนี้มีสาระอะไร ในวิถีของศิลปะการละคร ต้องมองว่าเรื่องนี้ใครเป็นตัวหลัก ตัวหลักนี้ทำอะไรบ้าง มีอุปสรรคอะไรบ้าง และเมื่อตอนจบ ตัวละครหลักตัวนี้เปลี่ยนแปลงหรือค้นพบอะไรบ้าง

ในเมืองไทยเองก็รู้คอนเซ็ปต์นี้ แต่พอมาทำละครเอง เช่น ถ้าจะทำละครเรื่องสมเด็จพระนเรศวร ทุกคนจะเล่าตามเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าจะตั้งคำถามอะไรกับท่าน ทุกคนจะต้องมีความจงรักภักดีต่อท่าน ซึ่งโอเค เป็นละครรูปแบบหนึ่ง แต่มันจะต้องมีละครอีกหลายรูปแบบที่ไม่ใช่ละครเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน แต่เป็นละครที่เข้าใจเด็ก เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ควบคู่กันกับในโรงเรียนที่จะบอกว่าเราควรจะมาดูแลกันนะ ไม่ควรจะมาบูลลี่ใส่กัน เราควรจะมีละครที่พูดว่าถ้าเด็กคนนี้จะมีเพศวิถีที่แตกต่าง มีวิธีการที่จะเอาเด็กที่มีความคิดต่างมาเล่าเรื่องและเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเองไหม มีละครอีกหลายอย่างที่ไม่ใช่ละครประวัติศาสตร์หรือมุ่งสู่ความดีงาม เรายังมีละครที่เด็กๆ เขียนเองซึ่งมีคุณค่าเพราะเป็นการแสดงความรู้สึกของเขา

แต่พออยู่ในบริบทไทยที่มีกรอบของศาสนา เพศ วาทกรรมทางวัฒนธรรมที่มีเพดานของการวิพากษ์บางอย่างอยู่ แต่เราก็ไม่พูดเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเด็กก็ต้องอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เราต้องสอนอย่างไร

ก็หาหัวใจของตัวละครให้ได้ ด้วยจินตนาการล้วนๆ เช่นละครประวัติศาสตร์ ลองคิดว่าถ้าเป็นเราอยู่ในสถานการณ์นั้น เราต้องเป็นอย่างท่าน เราจะเจออะไรบ้าง การเล่าก็จะเปลี่ยนไปเลยนะ แล้วเราจะเริ่มเข้าใจว่าเราจะต้องแก้ปัญหายังไงแทนที่จะบอกเล่าไปเรื่อยๆ เพราะบ้านเราคุ้นกับภาพสวยงาม สวยเป๊ะ ท่ารำเป๊ะ เสื้อผ้าเป๊ะ ผมเป๊ะ น้อยมากที่พูดเรื่องจิตใจมนุษย์หรือความทุกข์ใจและปัญหาที่ต้องเผชิญ เหมือนกับว่าเราไม่มี

การเชื่อมต่อทุกคนเข้าด้วยกันมันไม่น่าจะยากเพราะมันเป็นประสบการณ์ร่วม หาตัวนี้ให้เจอแล้วลองคิดว่าถ้าเราอยู่ในสถานการณ์นั้น เราจะจัดการกับมันอย่างไร มันคือวิธีการทำความเข้าใจตัวละครที่ทำให้ผู้คนแชร์ความรู้สึกนึกคิดได้ เพราะในความเป๊ะ เว่อร์วังอลังการ สวยเบ็ดเสร็จ มันมีความไม่สวย มีความทุกข์ มีความถูกกดทับและมีความพร่องอยู่ ดังนั้นถ้าเราได้แชร์สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้คนรู้สึกว่ามันมีสิ่งอื่นในชีวิตนอกจากความสวยงาม ความดี

แล้วจะส่งผ่านคุณค่าเหล่านี้ไปสู่ผู้คนอย่างไร  

เช่น เรื่องรามเกียรติ์ในเวอร์ชันของคนไทลื้อ ซึ่งในเมืองไทย ตัวเอกจะเป็นทศกัณฐ์ คือตัวละครที่เกิดมาแล้วมี 10 หัว ถูกขับออกไปจากชุมชนแล้วก็กลับมาแก้แค้น ตัวละครทศกัณฐ์ก็จะเลวขึ้นเรื่อยๆ ละโมบมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุด แต่เรื่องเหล่านี้ไม่จับใจเด็กเลย วิธีการเล่าก็คือถ้ามีเด็กไทลื้อในปัจจุบันถูกบูลลี่และถูกดูดเข้าไปในละครเรื่องนี้ ตัวละครตัวนี้ก็มาช่วยให้มีโอกาสทุกอย่าง ขอให้ทำตัวเลว และสนุกสนานกับสิ่งที่เลว และเด็กคนนี้ต้องตัดสินใจสู้กับผู้ร้ายด้วยตัวเอง เอาชนะมัน แล้วก็มีสติ นั่นคือวิธีการเล่าแบบละคร คือมีคอนเซ็ปต์ มีการเผชิญหน้า มีการหลงไป และคิดได้ เราเอาหัวใจของเรื่องเดิมมา ดังนั้นเด็กเล็กมาดูจะรู้สึกว่าภูมิใจในความเป็นไทลื้อจัง เราจะต้องไม่ยอมแพ้ต่อการถูกบูลลี่นะ แต่เราไม่ได้สอนแค่เรื่องบูลลี่เท่านั้น เราเน้นให้ทุกคนเอาชนะใจตน เหมือนกับที่บรรพชนของไทลื้อเล่าไว้ในตำนาน

จะทำเป็นละครที่เล่นกันเองก็ได้ หรือทำซีนหนึ่งเพื่อให้เกิดการพูดคุยปัญหาเรื่องนี้ เช่น ถ้ามีเด็กหญิง เด็กชายติดอยู่ในห้องๆ หนึ่งออกไม่ได้แล้วฝนมันตก เธอจะทำอย่างไรกับเด็กผู้หญิงคนนี้ แล้วก็ไม่ต้องเล่นต่อ จบ มาคุยกันหน่อย เราจะได้พบเจอความคิดเห็นหลากหลายจากเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย สิ่งที่สำคัญคือการฟังกัน ดังนั้นในวันที่มีโควิด – 19 กิจกรรมเหล่านี้สามารถพูดกันได้ในโรงเรียน เราจะเห็นว่าเด็กมีความคิดแตกต่างกัน เขาอาจจะไม่ได้เรียนจากคุณครูว่าเราต้องให้เกียรติคนนั้นคนนี้ เพราะในชีวิตจริงที่มีถุงยางอนามัยขายในเซเว่น สังคมมัน beyond กฎระเบียบของโรงเรียนจำนวนหนึ่ง เราก็ต้องยอมรับตรงนั้น ครูเองก็ต้องมองเห็นว่าเขาอาจจะไม่ได้อยากฟังครูหรอก เขาอาจจะอยากฟังเพื่อนเขาก็ได้

แนวความคิดที่จะนำไปสู่การพัฒนาละครและการศึกษาร่วมกันในชุมชนต้องเป็นแบบไหน

ครูมีคุณครูหมอลำที่แต่งเรื่อง แต่ลูกศิษย์ไม่อยากเล่าเรื่องโบราณ อยากเล่าแต่เรื่องการตีความสังคมที่เฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเด็กเท่านั้น แต่ครูหมอลำท่านไม่ยอม บอกว่าหัวใจของมันคือส่วนนี้ เราก็ต้องเติมลงไป เพราะอย่าลืมว่าถ้าเราไปเล่นละครให้ชุมชนดู เราจะมาเล่าบางเรื่องไม่ได้เพราะนั่นคือความทรงจำร่วมกันของชุมชน ดังนั้นการทำกิจกรรมมันต้องมีแพลตฟอร์มให้ฟากเก่าและใหม่ได้พูดคุยและแสดงความเห็น สร้างงานมาแล้วลองเทสต์ดู ผู้ชมก็จะตอบเรา ซึ่งนี่เป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่จะสร้างระบบนิเวศน์ที่ดี เพราะทุกคนก็จะบอกว่าขอแสดงความเห็น ขอแจมนิดหนึ่ง แต่ถ้ามันกระทบกันอย่างแรงเราก็ไม่ต้องกลัวมัน ครูเห็นคนไทยชอบปกป้องว่าอันนี้ไม่ได้ขยับไม่ได้ ถ้าเราเปิดเป็นวิถีธรรมชาติ มันก็จะเป็นการฝึกฝนการถกเถียงโดยธรรมชาติด้วยเช่นกัน

ถ้าเราต่างคนสามารถนับถือกัน สร้างผลงานให้แข็งแรง มีตัวตนชัดเจนได้เมื่อไหร่ ก็จะไม่ใช้อำนาจเพื่อที่จะบอกว่าฉันมีความรู้บางอย่างของฉัน ฉันไปเมืองนอกมา ฉันรู้มากกว่าเธอ เราจะถ่อมตน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องภูมิใจในการเป็นตัวของเราเองด้วย

Tags:

การแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)พรรัตน์ ดำรุงCultural ecology

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Creative learning
    Cultural Ecology(1): เครื่องมือทางศิลปะที่จับมือชุมชน เสนอศิลปะดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ สร้างคนลูกผสมที่มี critical mind

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Unique Teacher
    “จะนำวิชาละครไปพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ยังไง” โจทย์ครั้งใหม่ที่ครูเฟียต ดังกมล ณ ป้อมเพชร กำลังทดลองเพื่อหาคำตอบ

    เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Voice of New Gen
    ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Everyone can be an Educator
    “รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

พาเยือนถิ่นลาวโซ่ง บ้านโคกคา ราชบุรี จุดเริ่มต้นจาก “ความอยากรู้” ที่ฉุดยังไงก็ไม่อยู่
Creative learning
9 December 2020

พาเยือนถิ่นลาวโซ่ง บ้านโคกคา ราชบุรี จุดเริ่มต้นจาก “ความอยากรู้” ที่ฉุดยังไงก็ไม่อยู่

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • เมื่อเยาวชนรวมตัวกันสืบค้น เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมไทยทรงดำของชุมชน ตำบลดอนคา อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี
  • เด็กจะพาไปรู้จักพิธีกรรมของชาวไทยทรงดำ บ้านเรือนไทยทรงดำ การทำสำรับอาหาร เครื่องแต่งกาย และภาษา ซึ่งนอกจากได้ข้อมูลแล้ว กระบวนการศึกษาค้นคว้านี้ยังทำให้พวกเขาได้ฝึกประสบการณ์จากการไปเก็บข้อมูลกับผู้รู้ในชุมชน และทำงานร่วมกับทีมให้สำเร็จตามเป้าหมาย
  • ชวนอ่าน Project-based learning จากเรื่องวัฒนธรรมไทยทรงดำกันค่ะ

ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ หลายคนอาจมองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องวิชาการ โบราณ คร่ำครึและน่าเบื่อ หลายครั้งตัวฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่หลายต่อหลายครั้งอีกเช่นกันที่การได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทำให้ต้องรู้สึกทึ่ง และตาลุกวาวไปกับเรื่องเล่า ความหมาย และวิธีคิดที่แฝงอยู่เบื้องหลัง

เช่นเดียวกับการได้ยินเรื่องเล่าของ ‘ลาวโซ่ง บ้านโคกคา’ ผ่านคำบอกเล่าของคนรุ่นใหม่ในครั้งนี้ ที่เมื่อสืบสายความสัมพันธ์แล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับลาวโซ่งเลยแม้แต่น้อย

กลุ่มเยาวชนจากโครงการกระบวนการเรียนรู้วัฒนธรรมไทยทรงดำ ตำบลดอนคา อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี

อะไรเป็นเหตุผลให้พวกเขาสนใจสืบค้นและเรียนรู้วัฒนธรรมของลาวโซ่ง วันนี้ The Potential จะพาไปทำความรู้จักกับ โครงการกระบวนการเรียนรู้วัฒนธรรมไทยทรงดำของเด็กเยาวชนและคนในชุมชน ตำบลดอนคา อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ผ่านคำบอกเล่าของ ส้ม – นริศรา พลับวังกล่ำ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ และ แนน – ศศิธร เกิดเพิ่ม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม ตัวแทนกลุ่มแกนนำเยาวชน ที่ลุกขึ้นมาสืบค้น เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมไทยทรงดำของชุมชน

ชื่อที่บ่งบอกรากเหง้า ค่านิยม และตัวตน

“จุดเด่นของทีมเรา คือ เราเริ่มจากความไม่รู้แต่อยากรู้ เลยจำเป็นต้องหาความรู้ เราจึงมารวมความคิดกันว่าจะเริ่มจากตรงไหน จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้รู้เรื่องนี้” ส้มและแนน เริ่มต้นเล่าถึงสิ่งที่จุดประกายพวกเธอ

ทั้ง 2 คน ไม่ใช่ลาวโซ่ง และ ไม่ได้มีเชื้อสายเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์เป็นการส่วนตัว แต่อาศัยอยู่ในชุมชน ที่คนในชุมชนถึงร้อยละ 80 เป็นชาวไทยทรงดํา และเพราะเป็นเด็กกิจกรรมและมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนตำบลดอนคา จึงเรียกได้ว่าเป็นคนแอคทีฟ ไม่ชอบอยู่นิ่ง อยากทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและสังคมอยู่เสมอ

“ตอนแรกพวกเราเลือกทำเรื่องผักตบชวา เพราะเห็นว่าหมู่ที่ 1 บ้านลำพญาผักตบชวาเยอะ ปัญหาคือถ้าเราทำเรื่องผักตบชวา แต่ตัวเราเองไม่ซื้อผลิตภัณฑ์จากผักตบชวาใช้อยู่แล้ว ถ้าเราชวนมาทำ คนที่ซื้อเขาจะซื้อของเราไหม หนูได้คำแนะนำมาจากอาธเนศ (ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการ Active Citizen สมุทรสงครามและราชบุรี) ว่าที่หมู่บ้านเราเป็นไทยทรงดำ เราเลยอยากรู้เรื่องนี้มากกว่า” แนน กล่าว

“พวกเราสนใจอยากรู้ว่าลาวโซ่งเขามีพิธีกรรมอะไรบ้าง ทานอาหารแบบไหน เครื่องแต่งกาย และภาษา ส่วนตัวที่อยากรู้เพราะหนูไม่ใช่คนลาวโซ่ง น้องผู้ชายอีกในทีมเป็นคนลาวโซ่ง น้องเองก็รู้เรื่องลาวโซ่งไม่เยอะ แต่เขาฟังภาษาลาวโซ่งออกบ้าง” ส้ม ขยายความถึงเป้าหมาย และเหตุผลที่ทำโครงการ

จะเรียก ‘ลาวโซ่ง‘ หรือ ‘ไทยทรงดำ‘ หรือ ‘ไทยดำ‘ อย่างไหนก็ไม่ผิด เพราะหมายถึงชาติพันธุ์เดียวกัน แต่รู้หรือไม่ว่าชื่อเรียกที่แตกต่างกันนี้สะท้อนถึงเส้นทางอพยพ และวิถีชีวิตของลาวโซ่ง หรือ ไทยทรงดำได้

ทีมเยาวชนแกนนำโครงการ รวมถึงพี่เลี้ยงโครงการ มีทั้งคนที่มีเชื้อสายลาวโซ่ง และคนที่ไม่มีเชื้อสายลาวโซ่ง ส้มและแนน เล่าถึงกระบวนการทำโครงการว่า มีการประชุมวางแผนงานและแบ่งหน้าที่สมาชิกในทีม เพื่อลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้รู้ในชุมชน ประเด็นที่สนใจมีทั้งเรื่องพิธีกรรม การทำสำรับอาหาร เครื่องแต่งกาย และภาษา

“พวกเราสนใจอยากรู้ว่าลาวโซ่งเขามีพิธีกรรมอะไรบ้าง ทานอาหารแบบไหน เครื่องแต่งกาย และภาษา ส่วนตัวที่อยากรู้เพราะหนูไม่ใช่คนลาวโซ่ง น้องผู้ชายอีกในทีมเป็นคนลาวโซ่ง น้องเองก็รู้เรื่องลาวโซ่งไม่เยอะ แต่เขาฟังภาษาลาวโซ่งออกบ้าง” ส้ม ขยายความถึงเป้าหมาย และเหตุผลที่ทำโครงการ ก่อนเล่าต่อว่า

พวกเขายกตัวอย่างข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น เช่น พระบริหารเทพธานี (2480) กล่าวไว้ในหนังสือ พงศาวดารชาติไทย ตอนหนึ่งว่า “ผู้ไทยดําที่เรียกกันแถวเมืองเพชรบุรีและราชบุรีลาวโซ่ง คําว่า “โซ่ง” หมายถึง กางเกง ดังนั้นผู้ไทยดํา ก็คือลาวโซ่งดํา เพราะชอบนุ่งกางเกงสีดํา”

ซึ่งคำว่า ‘โซ่ง’ หลายแหล่งกล่าวว่ามีที่มาจากคำว่า ‘ส้วง’ ในภาษาลาว เครื่องแต่งกายไทยทรงดำ ผ้าที่ใช้มักทอด้วยฝ้าย แล้วนำมาย้อมคราม หรือนำมาหมักด้วยโคลน เครื่องแต่งกายไทยทรงดำมีทั้ง เสื้อก้อม เสื้อฮี ผ้าซิ่นลายแตงโม และผ้าเปียว

บ้านเรือนไทยทรงดำมีหลังคาทรงสูง เป็นทรงกระดองเต่า ยกพื้น มุงด้วยหญ้าคา ฝาบ้านเป็นไม้ฟาก มีปลายจั่วเรียกว่า ‘ขอกุด’ เป็นสัญลักษณ์ มีประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย

เรื่องหนึ่งที่กลุ่มเยาวชนสนใจ คือ แต่ละบ้านจะมี ‘ห้องกะล้อห่อง’ ไว้สำหรับให้ผีบรรพบุรุษมาอยู่อาศัย เมื่อมีคนในบ้านเสียชีวิต จะอันเชิญดวงวิญญาณมาอยู่ในกะล้อห่อง โดยนำกระดูกมาเก็บไว้ พร้อมทั้งเขียนชื่อลงในสมุดรายชื่อคนตาย เมื่อครบระยะเวลาหนึ่งเจ้าบ้านจะทำพิธีเสนเรือน หรือการเลี้ยงผี โดยจะเชิญญาติพี่น้องทั้งหมดในตระกูลมาร่วมกันเลี้ยงผีบรรพบุรุษร่วมกัน

ส้ม บอกว่า การสื่อสารระหว่างกลุ่มเยาวชนกับผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนซึ่งต้องใช้ภาษาลาวโซ่ง เป็นอุปสรรคในการทำงานอย่างหนึ่ง เพราะเยาวชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษา หรือแม้บางคนมีเชื้อสายลาวโซ่ง ก็ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว โชคยังดีที่พี่นุ้ย (พี่เลี้ยงโครงการ) คอยเป็นผู้ช่วยประสานงาน และแปลภาษาให้ เนื่องจากสามารถพูดภาษาไทยทรงดำได้

“กว่าที่เราจะมาทำงานนี้มีปัญหาเยอะมาก บางคนในทีมไม่ให้ความร่วมมือแต่เราเข้าใจเพราะว่าเขาไม่ว่าง เราเลยพยายามหาเวลาว่างให้ตรงกันมากที่สุด มันยากตรงที่เราต้องการลงลึกถึงเรื่องต่างๆ เพราะเราไม่ใช่คนลาวโซ่ง ยากจนคิดว่าเราไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะเรื่องภาษาพูด เพราะเราสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง อาหารการกินเราก็กินกับเขาไม่ได้ อาหารของเขาในอดีตกับปัจจุบันไม่เหมือนกัน อาหารในพิธีกรรมไม่เหมือนอาหารสมัยนี้เลย

แต่หนูอยากรู้อยากศึกษา เพราะอย่างไรตัวเราก็ยังต้องอยู่กับชุมชน แล้วชุมชนอยู่มานานมาก วัฒนธรรมอยู่มานานเท่าไรแล้ว ขนาดตอน ป.2 หนูยังเคยเรียนรำไทยทรงดำในงานวันเด็ก เรื่องทรงผมของไทยทรงดำแต่ละระดับชั้นแต่ละคนก็แตกต่างกัน งานศพต้องรวบผมไว้แต่ไม่สูง หนูคิดว่าวัฒนธรรมต้องอยู่กับลูกหลาน ถ้าไม่มีคนแก่วัฒนธรรมยังคงต้องอยู่เพราะว่าลูกหลานจะต้องสืบต่อมา” ส้ม กล่าว

พาเยือนถิ่นลาวโซ่ง (ไทยทรงดำ) บ้านโคกคา

กว่าจะได้ข้อมูลแต่ละอย่างเพื่อนำมารวบรวมไว้ศึกษาและส่งต่อ กลุ่มแกนนำเยาวชนต้องจัดสรรเวลาเรียน เวลาสำหรับรับผิดชอบงานในบทบาทอื่น รวมทั้งงานโครงการ ส้มและแนน ยอมรับว่า หลายครั้งรู้สึกเหนื่อยและท้อ แต่ไม่อยากปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เพราะอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

“หลังจากที่เราแบ่งหน้าที่และประชุมก็ลงเก็บข้อมูล แบ่งเป็นหมู่บ้านว่าหมู่บ้านไหน จะเรียนรู้เรื่องอะไร ทำไปตามเรื่องที่เขารู้ เตรียมคำถามไป หนูทำเรื่องการเรียนรู้การทำสำรับอาหารของชาวลาวโซ่ง ออกแบบโดยหมวดหมู่เป็นอาหารที่กินในชีวิตประจำวัน อาหารในพิธีงานแต่งงาน พิธีงานศพ พิธีงานเสนเรือน พิธีงานมงคล หนูเป็นคนพูดและเป็นคนถาม ส่วนน้องจะทำหน้าที่จดเวลาที่ผู้ใหญ่พูด 

เช่น ถามว่าอาหารชนิดนี้กินในพิธีได้ไหม อาหารในงานศพสามารถกินในชีวิตประจำวันได้ไหม ผู้รู้จะให้คำแนะนำมา แบ่งว่าอันไหนกินได้หรือกินไม่ได้ หลังจากที่ได้ข้อมูลมาพวกเรานำมาสรุปบทเรียน นั่งคุยกับเพื่อนในทีม แบ่งข้อมูลแยกตามหมวดหมู่ ยกตัวเช่น เราก็ได้เรียนรู้ เช่น พิธีงานศพของชาวลาวโซ่ง ถ้าเกิดมีคนในบ้านแต่งงานจะต้องเว้นระยะไปประมาณ 30-60 วันถึงจะจัดพิธีได้” ส้ม อธิบาย

จะว่าไปไทยทรงดำ มีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยมายาวนาน ไทยทรงดํา หรือ ลาวโซ่ง มีผิวขาวคล้ายคนจีน ในปัจจุบันลูกหลานลาวโซ่งหรือไทยทรงดําอยู่อาศัยในจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม และสุพรรณบุรี ได้ใช้ชีวิตกลมกลืนเป็นชาวไทยทั่วไป ชาวไทยทรงดําเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตั้งแต่บริเวณมลฑลกวางสียูนาน ตังเกี๋ย ลุ่มแม่น้ำดําและแม่น้ำแดง จนถึงแคว้นสิบสองจุไทในเวียดนามตอนเหนือ และได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยกรุงธนบุรี

ตำบลดอนคา อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี แต่เดิมมีลักษณะพื้นที่เป็นเนินสูง จึงถูกเรียกว่า “โคก” ประกอบกับแต่เดิมเป็นป่าหญ้าคาขึ้นเต็มไปหมด จึงเรียกกันว่า “โคกคา” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “ดอนคา” ซึ่งมีความหมายเดียวกัน จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน กล่าวว่า ชาวไทยทรงดำอาศัยอยู่ใน 5 หมู่บ้านหลัก ๆ ได้แก่ บ้านหน้าโพ บ้านดอนพรม บ้านดอนคา บ้านตากแดด และบ้านตาลตอ พื้นที่แห่งนี้มีประวัติชุมชนมาร่วม 170 ปี บรรพบุรุษย้ายมาจากจังหวัดเพชรบุรี ราวปี 2440 และมีบางส่วนเดินทางต่อไปนครสวรรค์และพิษณุโลก

ส่วนคำว่า ‘ลาว‘ ที่นำหน้านั้น ส่วนหนึ่งเป็นค่านิยมการเรียกคนที่อพยพถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยสมัยก่อน ที่สอดคล้องกับเส้นทางอพยพ

ม.ศรีบุษรา (2530) ได้กล่าวว่า ไทยทรงดํา หรือ ไทยดํา มีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศจีนตอนกลางซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของชนเผ่าไท ต่อมาคนไทได้อพยพลงมาทางใต้ ไทดําได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งที่บริเวณแม่น้ำอูซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลบรรจบกับแม่น้ำโขงที่หลวงพระบางในแคว้นสิบสองจุไท ซึ่งมีเมืองแถงหรือปัจจุบัน คือ เมืองเดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนามเป็นเมืองหลวง และเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือ บริเวณนี้อยู่ตอนเหนือของราชอาณาจักรลาวใกล้เขตแดนเวียดนามเหนือ นอกจากเมืองแถงแล้วบริเวณที่ไทดําอาศัยอยู่ อีกหลายเมืองรวมทั้งหมดเป็น 12 เมือง จึงเรียกว่า ‘เมืองสิบสองผู้ไท’ หรือ ‘สิบสองเจ้าไท’ และต่อมาเรียกว่า ‘สิบสองจุไท’

เมื่ออาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอํานาจลงในตอนต้นสมัยอยุธยา แคว้นสิบสองจุไทได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคที่ติดต่อกับพม่าซึ่งจีนเรียกว่า ‘แคว้นสิบสองปันนา’ หรือ ‘ไทลื้อ’ และภาคที่ติดต่อกับจีนชาวญวนเรียกว่า ‘แคว้นสิบสองจุไท’

“ตอนนี้พวกเราลงลึกไปที่เรื่องพิธีกรรม การแต่งกายและอาหาร เหลือเรื่องภาษาเป็นข้อมูลที่อยากได้มากที่สุด เพราะวัยรุ่นที่เป็นคนไทยทรงดำเขาไม่พูดภาษานี้กันแล้ว พี่ที่หนูรู้จักเป็นคนไทยทรงดำแต่เขาก็ไม่พูด ไม่มีใครสืบสานไม่มีใครนำไปใช้ปฏิบัติต่อ ภาษาเลยหายไป” ส้มและแนน สะท้อนความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า

“เวลาที่เราได้ฟังภาษาลาวโซ่งจะเป็นภาษาที่สวยงาม ยิ่งเวลาเขาพูดเร็วๆ หนูชอบ มันจะไม่เหมือนเราพูด สำเนียงเขาไพเราะ ในหนังสือที่มีภาษาลาวโซ่งจะไม่ตรงกับเวลาที่เขาพูดเพราะมันถูกดัดแปลงเปลี่ยนไป หนูชอบเครื่องแต่งกาย มีความเป็นเอกลักษณ์ของไทยทรงดำ หนูไม่เคยแต่งชุดไทยทรงดำมาก่อน ชุดในแต่ละพิธีกรรมจะไม่เหมือนกันเลย” แนน เล่า

รู้เขารู้เรา การเรียนรู้สู่การรู้จักและพัฒนาตัวเอง

จากเป้าหมายที่ต้องการศึกษาเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมไทยทรงดำของชุมชน สิ่งที่ได้มากกว่านั้น คือ การได้เรียนรู้เพื่อรู้จักและพัฒนาตัวเอง ทั้งสองคนช่วยกันสะท้อนความเปลี่ยนแปลง ทั้งมุมมองความคิดที่มีกับตัวเองและสังคมว่า

“หนูได้ข้อมูล ได้รอยยิ้มจากชาวบ้าน แต่ก่อนจากที่เป็นคนไม่กล้าพูดแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้ให้หนูจับไมค์เป็นชั่วโมงก็พูดได้ หนูได้ฝึกความกล้าแสดงออก จากคนที่ไม่เคยพูดพอได้พูดและเห็นรอยยิ้มทำให้รู้สึกดีเหมือนว่าเราทำสำเร็จแล้ว รู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นงานออกมา”

“โครงการนี้ทำให้หนูมองเห็นศักยภาพในตัวเองมากขึ้น ยิ่งหนูเรียนรัฐประศาสนศาสตน์ หนูอยากลงลึกกับชุมชนมากขึ้น เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ไม่ได้อยากเรียนรู้เลย เก็บตัวอยู่ในบ้านอยู่แต่ในห้อง บางทีกินข้าวออกไปนอกบ้านบ้างแล้วก็รีบกลับเข้าห้อง ซื้อข้าวมากินที่อยู่ในห้องไม่ไปไหน ไม่ค่อยสนใจอะไรที่เกี่ยวกับชุมชนสักเท่าไหร่” ส้ม กล่าว

ส่วนแนน ย้ำว่า การเปิดรับโอกาสในครั้งนี้ไม่ทำให้เธอผิดหวังหรือรู้สึกเสียเวลา

“เมื่อก่อนพวกหนูไม่สนใจเรื่องชุมชน วัฒนธรรมหรือเอกลักษณ์พวกนี้เลย อยู่บ้านนอนเล่นแต่โทรศัพท์ แต่เดี๋ยวนี้หนูรู้สึกว่าเราควรมีความรับผิดชอบ เราต้องรับผิดชอบงานนี้ เราควรรู้ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่เร่ร่อนเหมือนเมื่อก่อน หนูเรียนรู้การใช้ชีวิต เราได้ไปเจอคนอื่นๆ เราเห็นวิถีชีวิตของคนอื่นว่าเขาใช้ชีวิตอย่างไร คนอื่นเขาสนใจเรื่องราวของเราแบบที่เราสนใจเรื่องของเขาไหม หนูได้เพื่อนใหม่เยอะมาก ได้เห็นรอยยิ้มจากการทำกิจกรรม กิจกรรมนี้เปิดโอกาสกับหนูมากๆ เหมือนเป็นโอกาสที่เข้ามาหา ซึ่งบางคนอาจไม่ได้รับโอกาสอย่างเรา เราต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด” แนน กล่าว

เอาเข้าจริง เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ ไม่ใช่เรื่องวิชาการ โบราณ คร่ำครึหรือน่าเบื่อ เสมอไป หากมี ‘ความอยากรู้‘ นำทาง เพราะตลอดเส้นทางการสืบค้นจะพาเราไปพบเรื่องราวแปลกใหม่ ที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นอีกมากมาย ที่อาจทำให้เราอยากค้นหา ลงลึก จนหยุดตัวเองไม่ได้

เราไม่จำเป็นต้องสนใจทุกเรื่อง แต่แค่เริ่มต้นจากเรื่องที่เราสนใจ ง่ายๆ แค่นั้นเอง…

โครงการกระบวนการเรียนรู้วัฒนธรรมไทยทรงดำของเด็กเยาวชนและคนในชุมชน ตำบลดอนคา อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก” ดำเนินการโดย ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สมุทรสงคราม สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

active citizenproject based learningชาติพันธุ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    “ป่าไร่เหนือ” แม่ระมาด เมื่อคนรุ่นใหม่หยิบวิถีดั้งเดิมมาตั้งรับโลกที่เปลี่ยนไป

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้
Creative learning
9 December 2020

สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • ที่บ้านโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ชาวบ้านชาติพันธุ์กวยใช้พิธีกรรม ‘นางออ’ ซึ่งเป็นการเชิญ ‘ผีปู่ย่าตายาย’ หรือ ‘ผีบรรพบุรุษ’ มาเข้าร่างทรงเพื่อดูแลรักษาอาการป่วยของลูกหลาน โดยเชื่อว่า หากได้ไปพบแพทย์แผนปัจจุบันแล้วรักษาเท่าไรก็ไม่หาย พิธีกรรมดั้งเดิมนี้จะช่วยบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้
  • แม้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เด็กๆ เข้าใจว่าการทำพิธีกรรมเป็นความเชื่อทางจิตใจ ทำให้สบายใจขึ้น มีกำลังใจขึ้นหลังจากรักษากับหมอแผนปัจจุบันมาแล้วไม่หาย แต่เยาวชนบ้านโพธิ์กระสังข์ก็ยังเห็นพิธีกรรมนี้ดำเนินอยู่ จึงสนใจศึกษาที่มาของพิธีกรรมนี้ ขั้นตอน และสิ่งที่ต้องใช้ในพิธีกรรม
  • ในฐานะลูกหลานชาวกวย เด็กๆ สนใจสืบทอดพิธีกรรมนางออ และส่งต่อทักษะการบรรเลงดนตรีในพิธี อันเป็นอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ ต่อไป

“แต่แล่นแตแล่นแต่ แล่นแตแล่นแต่ แล่นแตแล่นแต…”

เสียงแคนก้องดังกังวาล ท่วงทำนองจังหวะช้าเร็วเคล้าคลอไปกับการร่ายรำของผู้ที่มาร่วมงาน ส่วนใหญ่เป็นคนเฒ่าคนแก่ชายหญิงที่ล้อมวงกันตั้งแต่หัวค่ำยันรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง งานนี้ไม่ใช่งานรื่นเริงแต่เป็นเสียงบรรเลงดนตรีในงานพิธีกรรมที่ชาวกวยบ้านโพธิ์กระสังข์ จ.ศรีสะเกษ ยังเชื่อและศรัทธาว่า หากได้ไปพบแพทย์แผนปัจจุบันแล้วรักษาเท่าไรก็ไม่หาย พิธีกรรมดั้งเดิมนี้จะช่วยบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้

กรณีคนในครอบครัวป่วยแบบไม่รู้สาเหตุ เช่น ปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย ไปพบแพทย์แผนปัจจุบันแล้วไม่พบสาเหตุ หรือได้ยามาทานแล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น คราที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาอาการป่วยให้ทุเลาเบาบางลงได้ การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทำพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ชาวบ้านเชื่อกันว่าพิธีกรรม ‘นางออ’ เป็นการเชิญ ‘ผีปู่ย่าตายาย’ หรือ ‘ผีบรรพบุรุษ’ มาเข้าร่างทรงเพื่อดูแลรักษาอาการป่วยของลูกหลาน บ้านไหนมีงาน ชาวบ้านบ้านใกล้เรือนเคียงต่างพร้อมเพรียงกันมาช่วยตระเตรียมปะรำพิธีและข้าวปลาอาหาร

กลุ่มเยาวชนบ้านโพธิ์กระสังข์

ตามความเชื่อ ปะรำพิธีต้องมุงด้วยทางมะพร้าวให้ปลายชี้ไปทางทิศตะวันตกทุกก้าน เรียกว่า ‘โตบ’ ส่วน ‘ตูมซอม’ หรือข้าวต้มห่อเป็นสำรับสำคัญที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมและแจกจ่ายให้ผู้ที่มาร่วมพิธี นอกจากนี้ ยังมีของไหว้อีกหลายสำรับถูกจัดเตรียมไว้บูชาพระแม่ธรณี เจ้าที่เจ้าทาง อัญเชิญแม่ครู วางไว้เป็นเครื่องเซ่นไหว้พญาแถนกลางปะรำพิธี และสำหรับบูชาครูก่อนเริ่มบรรเลงดนตรีไปตลอดงาน รวมถึงนางรำ ที่จะรำอัญเชิญผีปู่ยาตายายจะมีขันประจำตัวและมีข้าวสารในขันในการประกอบพิธีกรรม

แตะมือส่งต่อถ้อยทำนองดนตรีจากรุ่นสู่รุ่น

โครงการกอนเจาเยาวชนสืบสานตำนานเสียงพิธีกรรมนางออชาติพันธุ์กวย ตำบลโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นโครงการที่สามที่กลุ่มเด็กและเยาวชนบ้านโพธิ์กระสังข์ลงมือทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ ‘กอนเจา’ เป็นภาษากวย แปลว่า ลูกหลาน ความหมายของโครงการจึงสื่อถึงการรวมตัวกันของกลุ่มเด็กเยาวชนที่เป็นลูกหลานชาติพันธุ์กวยในท้องถิ่นอีสานใต้ที่ลุกขึ้นมาสืบสานพิธีกรรมนางออซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน กลุ่มเยาวชนรุ่นแรกริเริ่ม ‘โครงการสืบสานสะเนง สะเองกวย’ ราวปี 2559 เชื่อมโยงมาสู่ ‘โครงการสะเองสืบสาน จัดกระบวนการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้สู่รุ่นน้องนอกห้องเรียน’ รุ่นที่สอง ในปี 2560

โครงการในสองรุ่นแรกเน้นไปที่การสืบสานพิธีกรรมสะเอง ซึ่งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อเดียวกันกับพิธีกรรมนางออเรื่องการรักษาโรค สิ่งที่น่าสนใจสำหรับพวกเขา คือ การบรรเลงดนตรีพื้นบ้านในพิธีกรรมและขั้นตอนการจัดปะรำพิธี การมาเยือนชุมชนโพธิ์กระสังข์ในครั้งนี้ ฟลุ๊ค – วสิษฐ์พล โพธิ์กระสังข์ แกนนำเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการมาตั้งแต่รุ่นแรก เจี๊ยบ – ศดานันท์ วันเพ็ญ, กุ๊งกิ๊ง – สุพัตรา ทองแสง และ คิม – ธนกฤต แก้วลอย กลุ่มแกนนำเยาวชนรุ่นสาม ได้มานั่งล้อมวงคุยกับ The Potential ถึงเรื่องราวดนตรี ความสนุกและความเชื่อของพวกเขา

“ต่อให้ในโรงเรียนไม่มีการสอนเรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาติพันธุ์กวย ไม่มีบทเรียนเกี่ยวกับพิธีกรรมการละเล่นของเรา แต่อย่างน้อยถ้ารักษาพิธีกรรมไว้เราก็ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหมู่บ้านให้ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง” ฟลุ๊ค กล่าว

แม้ความเชื่อความศรัทธาในพิธีกรรมยังคงอยู่ในชุมชน แต่ก็ถูกสั่นคลอนตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เห็นได้จากคนที่ยังคงมีความเชื่อและศรัทธาน้อยคนนักที่จะสนใจเข้ามาเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไปของพิธีกรรม หรือบางคนมองว่าเป็นเรื่องงมงายจึงไม่ได้ให้ความสนใจ องค์ความรู้และภูมิปัญญาเหล่านี้จึงขาดคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบทอด แต่ยังคงอยู่กับคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน แต่ความทรงจำก็กำลังค่อยๆ เลือนหายไป และสังขารที่ถดถอยไปตามกาลเวลา 

ย้อนกลับไปราว 4 ปีก่อน แกนนำเยาวชนกลุ่มแรกรวมตัวกันขอเป็นศิษย์กับผู้เฒ่าผู้แก่เพื่อเรียนรู้การบรรเลงดนตรีในพิธีสะเอง ความเชี่ยวชาญจากการฝึกฝนส่งผลให้กลุ่มเยาวชนได้มีส่วนร่วมบรรเลงในงานพิธีกรรมจริง และเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน แถมยังได้ค่าตอบแทนจากการได้เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีที่บรรเลงในงานพิธี กลายเป็นรายได้เสริมที่สร้างความภูมิใจให้กับพวกเขา แกนนำเยาวชนรุ่นแรกทั้งหมด 7 คน จึงนำทักษะความรู้ที่ตนได้ฝึกฝนไปถ่ายทอดแบบตัวต่อตัว ให้เยาวชนรุ่นน้องในโรงเรียนผ่านชมรมดนตรี และขยายเวลาฝึกซ้อมเชื่อมโยงกับชั่วโมงลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ยิ่งรุ่นน้องเล่นดนตรีได้เก่งขึ้นเท่าไร ความชำนาญในการเล่นดนตรีของรุ่นพี่ก็มีมากขึ้นเท่านั้น

“เมื่อก่อนผมเห็นในหมู่บ้านมีการจัดงานพิธี ก็ไปดูไปร่วมเฉยๆ จนครูแอ๊ดมาชวนว่าอยากฝึกด้วยกันมั้ยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำโครงการครั้งนี้ ผมเห็นน่าสนใจเลยเข้ามาฝึกเล่นดู ก่อนทำโครงการผมได้เล่นไปสองงานแล้ว ครูแอ๊ดเห็นว่าเล่นดนตรีเป็นแล้วเลยชวนเข้ามาร่วมโครงการ” เจี๊ยบ กล่าว

ครูแอ๊ด – สิบเอกวินัย โพธิสาร ที่เจี๊ยบเอ่ยถึง เป็นพี่เลี้ยงชุมชนของโครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษและเป็นครูโรงเรียนบ้านโพธิ์กระสังข์ เล่าถึงที่มาแห่งความลี้ลับของพิธีกรรมดั้งเดิมว่าเป็นเรื่องของ ‘การแก้บน’ ผู้ป่วยหรือครอบครัวมักเดินเข้าหา ‘หมอธรรม’ ‘แม่ครู’ หรือ ‘ร่างทรง’ ผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทน (ล่าม) สื่อสารกับผีบรรพบุรุษ เพื่อขอคำปรึกษา เสี่ยงทาย หรือบนบานสานกล่าวต่อบรรพบุรุษและเทวดาประจำตัว (พะยาแถน) ให้ปกปักรักษาและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บของลูกหลาน หากอาการเจ็บป่วยมลายหายไปแล้ว เมื่อนั้นจะแก้บนให้ด้วยการจัดพิธีกรรมนางออหรือสะเอง

สืบสายบรรพบุรุษ

หากมองตามสภาพความเป็นไปทางสังคม ผู้คนมักยึดเหนี่ยวกับความเชื่อ แม้เวลาผ่านไปความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมนางออและสะเองน่าจะยังคงอยู่ แต่การสืบทอดเรื่องการจัดพิธีกรรมและการบรรเลงดนตรีของชุมชนโพธิ์กระสังข์คงหายไปหากเด็กเยาวชนรุ่นหลังไม่สนใจเรียนรู้ ครูแอ๊ด บอกว่า ถ้าคนในชุมชนบรรเลงดนตรีเองไม่ได้ จัดประรำพิธีไม่เป็น หากต้องมีพิธีกรรมชุมชนก็คงต้องจ้างวงดนตรีและแม่ครูจากนอกชุมชนมาช่วยจัดพิธีแทน เป้าหมายของโครงการกอนเจาเยาวชนสืบสานตำนานเสียงพิธีกรรมนางออชาติพันธุ์กวย จึงขยายผลจากการสืบสานพิธีกรรมสะเองในรุ่นก่อนๆ มาสู่การสืบสานพิธีกรรมนางออ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้ดนตรีพื้นบ้านผ่านพิธีกรรมทั้งสองอย่างควบคู่กันไป ให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นทัพหน้าในการสืบทอดและส่งต่อทักษะการบรรเลงดนตรี รวมทั้งองค์ความรู้ด้านการจัดพิธีกรรมนางออของชาติพันธุ์กวย

พิธีกรรมนางออและสะเองแตกต่างกันอย่างไร?

เป็นคำถามที่ถูกถามขึ้นมาบ่อยครั้งทั้งจากบุคคลภายนอกหรือแม้แต่จากคนในชุมชนเอง เจี๊ยบ เล่าว่า พิธีกรรมนางออและสะเองสืบทอดผ่านเชื้อสายบรรพบุรุษ หากบรรพบุรุษสืบเชื้อสายนางออก็ต้องแก้บนด้วยการจัดพิธีกรรมนางออ แต่หากบรรบุรุษสืบเชื้อสายสะเองก็ต้องแก้บนด้วยการจัดพิธีกรรมสะเอง แต่เพราะพิธีกรรมดั้งเดิมเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจ บางครอบครัวไม่เคยเอ่ยถึง ความรู้ความเข้าใจจึงไม่ได้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นการยากต่อการเสาะหาที่มาที่ไปการสืบสายบรรพบุรุษ

“เราเติบโตมาก็เห็นพิธีกรรมมาตลอด บ้านนี้ไม่สบายก็จัดพิธีกรรม บ้านโน้นไม่สบายก็จัดพิธีกรรม แต่คนรุ่นปัจจุบันไม่ได้สนใจทำความเข้าใจที่มาที่ไป บางบ้านอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบรรบุรุษของตัวเองสืบเชื้อสายสะเองหรือนางออ แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ พอเจ็บไข้มารักษาไม่หาย ก็สามารถให้แม่หมอเสี่ยงทายดูให้ได้ คนที่สามารถเป็นแม่หมอหรือแม่ครูก็ต้องเป็นคนที่สืบเชื้อสายนางออหรือสะเองมา” เจี๊ยบ กล่าว

กลุ่มแกนนำเยาวชน อธิบายถึงการบรรเลงดนตรีพื้นบ้านประกอบพิธีกรรมว่า การเล่นสะเองใช้เครื่องดนตรีประเภทตีและเป่า ได้แก่ ปี่แม่มด ฆ้อง และโทน ส่วนพิธีกรรมนางออใช้เครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ได้แก่ แคน ทำนองเพลงที่บรรเลงแต่ละท้องถิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่ซ้ำกัน ท่วงทำนองของบทเพลงที่เล่นกันในบ้านโพธิ์กระสังข์จึงแตกต่างจากชาติพันธุ์กวยชุมชนอื่น พวกเขาใช้วิธีบันทึกภาพวิดีโอขณะที่ตาพรมมาเป่าแคนและถ่ายทอดวิชาความรู้ ไว้นำกลับไปฝึกซ้อมภายหลัง ส่วนใหญ่รวมตัวกันฝึกซ้อมตอนแดดร่มลมตกที่บ้านครูแอ๊ด

“แคนสอนและเรียนยากมากเพราะไม่มีโน้ตให้อ่าน ต้องฝึกฝน ใช้วิชาครูพักลักจำเอาเอง” เจี๊ยบ กล่าว

“เด็กๆ ในกลุ่มเล่นเครื่องดนตรีสะเองกันได้หมดแล้ว ตอนนี้เลยหันมาเรียนเป่าแคนเพิ่มเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญพอส่งต่อความรู้แก่เด็กรุ่นต่อไปได้ เยาวชนบางคนในกลุ่มมีพรสวรรค์ ยกตัวอย่าง แม็ค (จักรกฤษ จิตรโสม) ฝึกฝนไม่นานก็เป่าแคนได้คล่อง เชื่อว่าเป็นเพราะตัวเขาเองสืบเชื้อสายครูนางออมา รุ่นพี่จะค่อยๆ สอนน้องเป่าปี่ในพิธีกรรมสะเองก่อน แล้วค่อยสอนเป่าแคน ถ้าเป่าปี่ได้แคนก็จะตามมาได้ไม่ยาก ส่วนผู้หญิงจะเข้ามาฝึกฝนการกำกับจังหวะและการจัดเครื่องไหว้ครู” ครูแอ๊ด ขยายความ

นอกจากการบรรเลงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ‘ผ้าซิ่น’ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบในงานพิธีที่สะท้อนอัตลักษณ์ชาติพันธุ์กวย ผ้าซิ่นที่จะนำมาใช้ในงานพิธีกรรมเพื่อให้ร่างทรงสวมใส่นั้นควรเป็นผ้าซิ่นต่อครบองค์ประกอบ 4 ชิ้น ได้แก่ หนึ่ง ตัวซิ่น เป็นผ้าไหมโซดละเว – ผ้าไหมทอลายหางกระรอก หรือ ผ้าโฮล – ผ้าไหมมัดหมี่ลายโบราณ สอง ตีนซิ่นมัดหมี่ การต่อเชิงซิ่นด้านล่างหรือ เรียกว่า บูลล์บูลล์ สาม แถบยกมุก เรียกว่า เสลิก และ สี่ หัวซิ่นยกขิดลายดอกหมาก เรียดว่า ปลอฉิจ์

กลุ่มแกนนำเยาวชน เล่าว่า หากผ้าซิ่นที่ตระเตรียมไว้ไม่ประณีตดีพอ มีความเป็นไปได้ที่ร่างทรงจะไม่รับผ้าซิ่นไปนุ่งขณะทำพิธี ผ้าซิ่นจึงคล้ายเป็นเครื่องบรรณาการ และเป็นสื่อที่เป็นตัวแทนถึงการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ 

ตัวตนและคุณค่าที่ค้นพบในตัวเอง

เมื่อถึงวันงานชาวบ้านจัดเตรียมพิธีกรรม คุณตาพรมมา โพธิ์กระสังข์ (ขณะนี้เสียชีวิตแล้ว) จะโทรนัดแนะให้เด็กๆ มาช่วยยกเครื่องเสียงจากบ้านไปติดตั้งที่บ้านเจ้าภาพ ถึงช่วงเย็นสมาชิกทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน เด็กและเยาวชนแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าไปสังเกตการณ์ จดบันทึก ถ่ายภาพ และบันทึกวิดีโอ กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่ได้รับเชิญให้เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีที่บรรเลงในวันงาน เจี๊ยบ อธิบายว่า ในส่วนของการจัดเตรียมปะรำพิธี เจ้าภาพหรือเจ้าบ้านที่เป็นผู้บนบานไว้จะเป็นแม่งานหลักในการตระเตรียมข้าวของ การแก้บนสามารถระบุได้ว่าถ้าอาการหายดีแล้วจะแก้บนทันที หรือจะแก้บนในเดือนไหน ส่วนใหญ่คนในชุมชนมักนิยมแก้บนเดือนสาม (ตามปฏิทินจันทรคติไทย ราวกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนมีนาคม) เพราะมีความเชื่อว่าเป็นเดือนที่ดี ดังนั้นจำนวนครั้งหรือโอกาสที่กลุ่มเยาวชนจะได้เรียนรู้จากพิธีกรรมจริง ขึ้นอยู่กับว่าเดือนนั้นมีคนป่วยในชุมชนที่ต้องจัดพิธีกรรมแก้บนมากน้อยแค่ไหน บางเดือนมีมากกว่า 10 ครั้ง บางเดือนก็แทบไม่มีเลย

“เรื่องของความเชื่อเป็นเรื่องแล้วแต่บุคคล ผมเชื่อเพราะเห็นคนที่มีอาการป่วยรักษาอาการให้หายไปได้แล้วมาทำพิธีกรรมหลายคน ผมว่ามันเป็นความเชื่อทางจิตใจ ทำให้สบายใจขึ้น มีกำลังใจขึ้นหลังจากรักษากับหมอแผนปัจจุบันมาแล้วไม่หาย” เจี๊ยบ เล่า

เจี๊ยบเล่าย้อนความทรงจำ ครั้งที่ได้ออกงานบรรเลงดนตรีครั้งแรก หลังจากฝึกฝนฝีมือมาได้เพียง 1 เดือนว่าตื่นเต้นมาก “จะทำได้ไหม ทำผิดแล้วจะโดนว่าหรือเปล่า” เป็นความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวของเจี๊ยบ แต่ตอนนี้เขามีความมั่นใจมากขึ้น และกำลังพยายามฝึกเล่นเครื่องดนตรีให้ได้ทุกชิ้น โดยเฉพาะแคนที่เป็นเครื่องดนตรีฉายเดี่ยวในพิธีกรรมนางออ

เจี๊ยบ บอกว่า การฝึกฝนเล่นเครื่องดนตรีไม่มีการจำกัดว่าต้องเล่นเฉพาะเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นหนึ่ง หากใครใคร่ฝึกฝนก็ขึ้นอยู่กับความสนใจและความพยายามของแต่ละคน เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีความยากง่ายแตกต่างกันไป แค่เครื่องตีอย่างโทนที่ดูแล้วไม่น่ามีความซับซ้อน ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องเรียนรู้ไม่ใช่แค่จังหวะ แต่มีทั้งตำแหน่งการวางมือบนหน้าโทน ส่วนของมือที่ใช้สัมผัส และความแรงที่ใช้ในการตี

“ปี่เป็นตัวนำวงในการเล่นสะเนงสะเอง ถ้าคนเป่าปี่ในวงหายไป แล้วไม่มีคนเล่นแทนได้ วงก็ล่มทั้งหมด ตอนนี้ผมฝึกเป่าปี่อยู่ด้วยยังเล่นไม่ได้เลย เล่นได้คล่องแค่ฆ้องกับโทน อย่างโทนต้องรู้น้ำหนักที่ใช้ตี การทำมือให้โทนเปลี่ยนเสียง การตีตรงกลาง ด้านข้าง ตีแรง ตีเบา ให้ออกมาเป็นเสียงทุ้ม เสียงแหลม”

แม้คนในชุมชนหันไปพึ่งพาแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยทางกายมากขึ้น เจี๊ยบก็ยังอยากให้อนุรักษ์สืบต่อพิธีกรรมความเชื่อทั้งนางออและสะเองไว้เป็นคุณค่าทางใจ ไม่จำเป็นต้องตัดอย่างใดอย่างหนึ่งทิ้งไปแต่เชื่อมโยงทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน 

“คิมเล่นเป็นก่อนผมนะครับ ผมเห็นคิมฝึกตีถังสีอยู่ในโรงเรียน ผมก็สงสัย สนใจว่าเขาทำได้ยังไง เพื่อนอีกคนนึงก็ตีเป็น อีกคนก็ตีเป็น ตอนนั้นผมยังรู้สึกน้อยใจว่าเพื่อนเล่นได้ ทำไมผมเล่นไม่ได้ ผมลองฝึกตีเองก็เล่นไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจมาฝึกเพราะอยากรู้ว่าตียังไง เล่นยังไง

เวลาผมชวนคนอื่น ผมก็บอกตรงไปตรงมาเลยว่า มาเล่นสะเอง นางออกันไหม สนุกนะ เล่นถึงค่ำได้พ่อแม่ไม่ว่า โม้ให้เขาฟังเยอะๆ เลยว่าเราทำแล้วได้เงินด้วยนะ ไม่ได้อยู่เฉยๆ ขอเงินพ่อแม่ไปวันๆ หรือเราจับกลุ่มคนที่เล่นเป็น ไปตีให้เขาเห็น เขาก็จะสนใจเข้ามาถามเองว่า ตียังไงสอนหน่อย อยากเข้ามาร่วมด้วย เพราะไม่อยากน้อยหน้าคนอื่นๆ อีกทางหนึ่งเราก็ชักนำผู้ใหญ่ในหมู่บ้านให้เข้ามาเล่นด้วย ดึงคนเฒ่าคนแก่ให้มาเล่นกับเด็ก ถ้าเจ็บป่วยไข้ไม่สบายก็ให้ลองมารักษาดูได้ ดึงปัจจุบันกับอดีตให้มาอยู่ด้วยกัน” เจี๊ยบ เล่า

“ตัวเราเองได้เข้ามาเรียนรู้ว่าชาติพันธุ์ของเรามีพิธีกรรมแบบนี้อยู่ จากที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจที่มาที่ไป พอรู้แล้วก็อยากชักชวนเพื่อนคนอื่นๆ มาเรียนรู้ด้วย” กุ๊งกิ๊ง กล่าวเสริม

สิ่งที่แกนนำเด็กและเยาวชนบ้านโพธิ์กระสังข์พากเพียรทำต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น วันนี้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเมื่อมีเด็กเยาวชนสนใจเข้ามาร่วมฝึกฝนการบรรเลงดนตรีอย่างต่อเนื่อง กระบวนการเรียนรู้เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้รวมตัวกันทำกิจกรรมที่เสริมสร้างการเรียนรู้ ทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน รวมถึงการเห็นคุณค่าและศักยภาพของตัวเอง กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดเป็นข้อห้ามหรือข้อบังคับให้พวกเขาต้องหยุดเล่นเกมหรือหยุดทำสิ่งอื่นที่พวกเขาอยากทำ แต่ให้หันมาใช้เวลาว่างทำอย่างอื่นบ้าง แทนการใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือจนห่างเหินจากความสัมพันธ์ทางสังคม

“ตั้งแต่เข้ามาเล่นดนตรีแล้วมาทำโครงการ ตัวผมเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก จากที่เก็บตัว ชอบอยู่คนเดียว อยู่แต่ในบ้านไม่เล่นกับเพื่อน พอได้ออกมาเล่นดนตรีรู้สึกไม่ติดบ้าน เมื่อก่อนอยู่บ้านก็ไม่มีใครสนใจ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ตอนนี้เห็นคุณค่าในตัวเอง เราสำคัญกับคนอื่น ได้บรรเลงดนตรีให้คนอื่นฟัง ผมว่าผมเปลี่ยนจากอีกคนเป็นอีกคนนึงเลย

ผมรู้สึกภูมิใจ เพราะความรู้ความสามารถที่มี ผมได้นำไปถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ในโรงเรียน มีทั้งคนที่สนใจและไม่สนใจ แต่ผมก็ได้ฝึก ได้ทำ ได้จับ เครื่องดนตรีที่เราเล่นกัน บางอย่างไม่มีพูดถึงในบทเรียน แต่เป็นเครื่องดนตรีของเราเอง ชาติพันธุ์ของเราเอง” เจี๊ยบ กล่าว

การจัดพิธีกรรมนางออ รายละเอียดการวางเครื่องยกครูมีเครื่องเซ่นไหว้ไม่เยอะเท่าพิธีกรรมสะเอง เครื่องเซ่นไหว้หลักในถาดขันครูนางออ ประกอบด้วย ข้าวสาร กรวยดอกไม้ และเครื่องหอม ส่วนปะรำพิธีนางออมีการเครื่องประดับตกแต่งดอกจำปา ข้าวต้มสามเหลี่ยม กล้วย และดอกไม้หมก ห้อยระย้าไว้ รวมถึงการวางดอกมะพร้าวไว้ที่เสากลางของพิธีซึ่งในการจัดปะรำพิธีกรรมสะเองไม่มีการตกแต่งด้วยสิ่งเหล่านี้
โครงการกอนเจาเยาวชนสืบสานตำนานเสียงพิธีกรรมนางออชาติพันธุ์กวย ตำบลโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ” ดำเนินการโดย ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.ศรีสะเกษ สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

วินัย โพธิสารศิลปะการแสดงชาติพันธุ์active citizenproject based learningศรีสะเกษ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    “ป่าไร่เหนือ” แม่ระมาด เมื่อคนรุ่นใหม่หยิบวิถีดั้งเดิมมาตั้งรับโลกที่เปลี่ยนไป

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    SODLAWAY SILK แบรนด์ผ้าไหมที่ทอลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

ปันจักสีลัต ศิลปะและการต่อสู้ ที่ใช้ทั้งกาย จิต และปัญญาประสานเป็นหนึ่งเดียว
Creative learning
9 December 2020

ปันจักสีลัต ศิลปะและการต่อสู้ ที่ใช้ทั้งกาย จิต และปัญญาประสานเป็นหนึ่งเดียว

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ‘ปันจักสีลัต‘ ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นด้านการป้องกันตัวที่มีมาอย่างยาวนานของชาวมลายู และสำหรับที่สตูลปันจักสีลัตหนึ่งเดียวที่ยังมีอยู่ อยู่ที่ชุมชนบ้านทุ่ง และชุมชนบ้านทุ่งพัฒนา ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล
  • จะเป็นอย่างไรเมื่อวัยรุ่นชาย-หญิงในชุมชนลุกขึ้นมาเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ปันจักสีลัต กับภารกิจสืบค้นประวัติความเป็นมา ฝึกซ้อมการร่ายรำรวมถึงดนตรีที่ใช้ประกอบระหว่างการแสดง สื่อสารความรู้เรื่องปันจักสีลัต รวมถึงการหารุ่นน้องมาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ร่ายรำ
  • นับว่าเป็น Project-based learning ที่อุ่นหนาฝาคั่ง เพราะเต็มไปด้วยคุณครูและพี่เลี้ยงในชุมชน รวมถึงผู้ปกครองคอยสนับสนุน ชวนติดตามค่ะ
ภาพ เยาวชนกลุ่มปันจักสีลัต

กระทืบเท้า ตบมือ ตบขาดังฉาดๆ ข่มขวัญคู่ต่อสู้ สลับกับการขู่สำทับดูชั้นเชิง ขณะที่ดนตรีประโคมเร่งเร้าจังหวะ ผู้ชมใจเต้นรัวไปกับการแสดงต่อสู้ตรงหน้า ผู้ที่อยู่บนเวทีต้องอาศัยสมาธิ ชิงไหวชิงพริบ แก้เกมให้ได้ เพราะเวทีนี้ไม่มีการพักยก ไม่มีการให้น้ำ ไม่มีพี่เลี้ยงคอยกำกับ หากฝ่ายใดสามารถทำให้อีกฝ่ายล้มลงได้โดยที่ตนเองไม่ล้ม ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ชนะ

เรากำลังพูดถึง ‘ปันจักสีลัต‘ ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นด้านการป้องกันตัวที่มีมาอย่างยาวนานของคนชาวมลายู ในแถบประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน รวมถึงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา นอกจากนี้ ยังเป็นกีฬาประจำชาติของประเทศบรูไนดารุสซาลาม และถูกบรรจุเป็นกีฬาแข่งขันชิงแชมป์ทั้งในระดับนานาชาติและระดับโลก

แม้ในแวดวงการกีฬาปันจักสีลัต เป็นกีฬาที่ไม่ได้รับการเอ่ยถึงเท่าใดนัก ยังไม่ต้องพูดถึงนอกแวดวงการกีฬาที่หลายคนอาจนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าปันจักสีลัตคืออะไร นี่เป็นสาเหตุให้กลุ่มเยาวชนใน ชุมชนบ้านทุ่ง และชุมชนบ้านทุ่งพัฒนา ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล (เคยเป็นหมู่บ้านเดียวกันมาก่อน แต่ถูกแบ่งออกเนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้น) จับมือกันทำ โครงการสร้างการเรียนรู้วัฒนธรรมปันจักสีลัตชุมชนบ้านทุ่ง ในรูปแบบสื่อโซเชียล

พลังกาย พลังจิต และพลังปัญญา ที่อยู่ในการแสดง

จีนา – จุฑาภรณ์ อุดรเสถียน อายุ 17 ปี, วา – วาซิม ติงหวัง อายุ 15 ปี และ มา – ปิยานุช ชายเหตุ อายุ 17 ปี ตัวแทนเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า ปันจักสีลัตเป็นศิลปะพื้นบ้านของหมู่บ้าน หนึ่งเดียวในจังหวัดสตูล โครงการของพวกเขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์เสียทีเดียว เพราะกลุ่มแกนนำรุ่นพี่เคยศึกษาและเก็บข้อมูลปันจักสีลัตบางส่วนไว้ จากการทำ โครงการแนวทางการสร้างการเรียนรู้ด้านคนตรีปันจักสิลัตของชุมชนบ้านทุ่ง ครั้งก่อน สำหรับโครงการต่อเนื่องในปีที่สองมีเป้าหมายเพื่อเรียนรู้และสืบสานวัฒนธรรมปันจักสีลัต รวมทั้งเผยแพร่เรื่องราวปันจักสีลัตให้คนรุ่นใหม่ในชุมชน รวมถึงคนภายนอกได้รับรู้ นำช่องทางการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียที่ทันสมัยเข้ามาเป็นตัวช่วย

หากยังนึกภาพไม่ออกว่าปันจักสีลัตเป็นอย่างไร มาทำความรู้จักปันจักสีลัตกันสักหน่อย

ปันจักสีลัต เรียกสั้นๆ ว่า “สิละ” หรือ “ซีละ” เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างหนึ่งของไทยมุสลิม มีลักษณะคล้ายคลึงกับคาราเต้ กังฟู หรือมวยไทย มุสลิมทางภาคใต้เรียกการต่อสู้แบบสิละอีกอย่างหนึ่งว่า “ดีกา” หรือ “บือดีกา” เป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม ด้วยเผยแพร่ไปในหลากหลายพื้นที่ ปันจักสีลัตจึงมีชื่อเรียกมากมาย รวมถึง “อังชัน” และ “ฆายง”  ส่วนคำว่า “ปันจักสีลัต” (Pencak Silat) ที่เป็นชื่อเรียกสากล มีที่มาจากอินโดนีเซีย  คำว่า “ปันจัก” หมายถึงการป้องกันตัว ส่วน “สีลัต” หมายถึงศิลปะ เมื่อนำสองคำมารวมกันจึงได้ความหมายว่า “ศิลปะการป้องกันตัว”

มีระเบียบกฎเกณฑ์ในการประดิษฐ์ท่าต่อสู้ เป็นการจัดระเบียบการเคลื่อนไหวร่างกายให้มีจังหวะท่วงทีในเชิงรุกและเชิงรับอย่างว่องไว เรียงร้อยท่าทางอันเกิดจากกระบวนความคิดฉับพลันในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า โดยใช้พลังปัญญาที่สุขุมเยือกเย็น ซึ่งมีผลพวงมาจากจิตสมาธิอันแน่วแน่  การต่อสู้สิละจึงเกิดจากการรวมพลัง 3 ฐานเข้าด้วยกันคือ พลังกาย พลังจิต และพลังปัญญา ที่แสดงให้เห็นความอ่อนโยน พลิ้วไหว ขณะเดียวกันก็ทรงพลังและมีอานุภาพในการป้องกันตัวและทำลายคู่ต่อสู้สูง

“คนที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนเลย พอมาฝึกซ้อมจะรู้สึกยาก เพราะต้องใช้ความอดทนสูงมากๆ ต้องอาศัยการฝึกฝน จดจำ และมีสมาธิ” จีนา กล่าว

โครงการปันจักสีลัตของกลุ่มเยาวชนดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นที่รู้จักของคนในชุมชน ช่วงปีที่ผ่านมากลุ่มปันจักสีลัตเยาวชนก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น พวกเขาได้รับคำเชิญให้ร่วมแสดงตามงานต่างๆ เช่น งานแต่งงาน บางงานได้ค่าจ้าง บางงานก็อาสาไปแสดงเพื่อเป็นโอกาสเผยแพร่ความรู้ และบางงานก็ติดสอยห้อยตามผู้ใหญ่ออกไปทำการแสดง สร้างความภาคภูมิใจให้กับกลุ่มเยาวชนอยู่ไม่น้อย

“ปันจักสีลัตเป็นศิลปะพื้นบ้านในหมู่บ้านของเรา หนึ่งเดียวในจังหวัดสตูล พวกเราควรรักษาเอาไว้ เวลาคนพูดถึงว่าปันจักสีลัตมีที่ไหนบ้าง มันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้บอกว่ามีที่บ้านทุ่ง หมู่บ้านของเราที่เดียว” จีนา กล่าว

สืบสาน สืบต่อ ให้เป็นรูปธรรม

งานหลักสำหรับโครงการในครั้งนี้อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ข้อมูล ด้วยคลิปวิดีโอเจ๋งๆ ภาพกิจกรรมน่าสนุก ภาพบรรยากาศสวยๆ ที่พ่วงมากับสาระความรู้เกี่ยวกับปันจักสีลัตบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงการหารุ่นน้องมาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ร่ายรำ การบอกเล่าประวัติความเป็นมาของปันจักสีลัตประกอบการร่ายรำบนเวที และสิ่งที่กลุ่มเยาวชนได้พัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ คือ ลานซ้อมปันจักสีลัตชุมชนบ้านทุ่ง

“เราทำเป็นลานสี่เหลี่ยม แล้วมีสี่เหลี่ยมใหญ่อยู่ตรงกลาง ทำจากทราย ก่อปูนขึ้นนิดหน่อย เอาไว้ให้นักดนตรีนั่ง” วาซิม กล่าว “แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราซ้อมอยู่ที่ลานจอดรถ เวลาซ้อมอาจมีหกล้มกันบ้าง เลยอยากให้มีสนามฝึกซ้อมเป็นทราย จะได้ไม่ได้รับบาดเจ็บ”

“หนูเคยเรียนปันจักสีลัตมาก่อนตอนช่วงอยู่ชั้น ป. 4 หรือ ป.5 ตอนนั้นหนูกับเพื่อนสนิทอีกคนสนใจ เลยชวนเขามาลองรำ ดูว่าเราจะทำได้ไหม แล้วก็ทำได้เลยทำไปเรื่อยๆ ตั้งแต่มีโครงการของบ้านทุ่ง ในหมู่ 13 หนูเป็นนักรำหญิงรุ่นแรก พอขึ้น ม.1 ต้องไปเรียนต่างจังหวัด ก็เลยห่างหายจากปันจักสีลัต ไปประมาณ 3 ปี ครั้งนี้ได้ก็กลับมารำอีก หนูดีใจมากที่มีโครงการเรียนรู้ปันจักสีลัตขึ้นมาในชุมชน”

จีนา กล่าวต่อว่า “ครูที่สอนพวกเราอายุมากแล้ว พอเราได้เรียนรู้หนูคิดว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วยส่งต่อให้รุ่นน้องได้เรียนรู้ด้วย ส่วนตัวหนูอินกับการซ้อม การแสดงและการทำโครงการนี้มากๆ หนูอยากทำโครงการมาตั้งแต่ปีแรกแล้ว แต่ติดที่เรียนอยู่ต่างจังหวัด พอมีโครงการปีที่ 2  หนูอยู่ชั้น ม.4 แล้วได้กลับมาบ้าน วาซิมกับมา ชวนให้เข้ามาทำโครงการนี้ หนูตอบตกลงทันที”

เสาร์ อาทิตย์ ตอนเย็นๆ เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มเยาวชนมักนัดหมายกันซ้อมรำปันจักสีลัต การแสดงเต็มรูปแบบมีดนตรีประกอบสร้างสีสันและเพิ่มมนต์ขลัง เครื่องดนตรีสีลัต ประกอบด้วยกลองยาว 1 ใบ กลองเล็ก 1 ใบ ฆ้อง 1 คู่ และปี่ยาว 1 เลา เมื่อนักสีลัตขึ้นบนสังเวียนแล้ว ดนตรีจะประโคมเรียกความสนใจคนดู โดยเฉพาะเสียงปี่ที่เร้าอารมณ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ามวยไทย

ความอดทน ความขยัน ความมีวินัย และไหวพริบ เป็นคุณสมบัติที่กลุ่มเยาวชนย้ำว่าจำเป็นสำหรับนักสีลัต

จีนา เล่าว่า การแสดงสีลัตแบบรำเดี่ยวจะเป็นการรำไหว้ครู การรำสีลัตที่พวกเขาฝึกฝนเป็นศิลปะการต่อสู้แบบสวยงามที่ต้องรำเป็นคู่ เมื่อคู่ต่อสู้รุกเข้ามา อีกฝ่ายต้องแก้ไขให้ทันเวลา แม้จะมีแบบแผนท่ารำไว้ให้ฝึกฝน ผลัดกันเป็นฝ่ายรุกและตั้งรับ แต่สิ่งที่ท้าทาย คือ การจดจำท่ารำให้ถูกต้อง แต่ละคู่จึงจำเป็นต้องจับคู่ซ้อมท่าทางการรำให้เข้าจังหวะและพร้อมเพรียงกัน

“แรกๆ ฝึกรำพื้นฐานไปก่อนค่ะ รำไหว้ครู ฝึกซ้อมกับเพื่อนที่คู่กัน ฝึกไปเรื่อยๆ พอเริ่มได้ก็เริ่มฝึกซ้อมท่าต่อสู้ ซ้อมจนไม่เกิดข้อผิดพลาด ถ้าตั้งใจประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถออกงานได้ ช่วงทำโครงการมีปัญหาเรื่องเวลาที่ไม่ตรงกัน เพื่อนมาได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีครูไม่ว่าง ถ้าคู่ซ้อมเราไม่มา เราก็ซ้อมกับเพื่อนผู้ชายไปก่อน แต่ถ้าได้ซ้อมกับคู่ของเราก็จะจับจังหวะกันได้ดีกว่า” จีนา กล่าว

เผยแพร่ สื่อสาร สร้างการรับรู้

‘เทศกาลยอนหอยหลอด‘ งานประจำปีขององค์การบริหารส่วนตำบลละงู เป็นอีกหนึ่งเวทีที่กลุ่มเยาวชนได้นำปันจักสีลัตออกไปอวดโฉม จีนา บอกว่า เธอซ้อมหนักทั้งวัน ตั้งแต่เช้า พักเที่ยง แล้วกลับมาซ้อมต่อ เป็นเวลาประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนวันงาน เพราะอยากร่ายรำออกมาให้สวยงามที่สุด

ด้านวาซิม เล่าถึงบรรยากาศการออกงานครั้งแรกของตัวเองว่า “การแสดงในวันนั้นมีทั้งคู่ผู้ชายและคู่ผู้หญิง ลำดับแรก คือ การนำเสนอข้อมูล ผมออกไปเล่าประวัติปันจักสีลัต ความเป็นมาของปันจักสีลัต แล้วก็ต่อด้วยการรำไหว้ครู พอรำไหว้ครูเสร็จก็เป็นการต่อสู้ แล้วก็จบด้วยการกล่าวขอบคุณ และฝากผู้ชมให้ติดตามเพจรวมพลเยาวชนคนรักปันจักสีลัต

ในส่วนการรำปันจักสีลัตเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ติดตรงที่เล่าประวัติ ผมลืมเนื้อ ลืมบท เพราะตื่นเต้น พูดไม่ออก แต่ผมคิดว่าเราออกงานแรก เราก็ได้ความกล้าแสดงออกขึ้นมามากขึ้น เพราะได้ลองทำแล้วครั้งต่อไปเราก็พยายามทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม จำสคริปของตัวเองได้ดีกว่าครั้งแรก”

ด้านจีนา กล่าวเสริมขึ้นถึงเรื่องการถอดบทเรียนหลังการแสดงแต่ละครั้งว่า “กับเพื่อนที่รำด้วยกันเรามีการพูดคุยกันว่างานนี้เราผิดช่วงไหนบ้าง เราจะแก้ไขอย่างไรก็มาฝึกซ้อมให้ดีกว่าเดิม”

แฟนเพจ “รวมพลเยาวชนคนรักปันจักสีลัต” และ ช่องยูทูป “รวมพลเยาวชนคนรักษ์ปันจักสีลัต CHANNEL” เป็นช่องทางที่กลุ่มเยาวชนตั้งใจถ่ายทอดเรื่องราวปันจักสีลัตผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ติดตามซึ่งเป็นเพื่อนวัยเดียวกันได้เป็นอย่างดี

“ทุกครั้งที่ไปออกงานเราจะประกาศในเฟสบุ๊ก โพสต์ขอบคุณ อัดคลิปวิดีโอมาตัดต่อลงยูทูป คลิปที่ไปแสดงในงานแต่งงานที่คนมาดูคลิปกว่า 400 ครั้ง  ลงทุกงาน อัพเดทกิจกรรมเวลาซ้อมก็ลงเพจด้วย” วาซิม กล่าว

“เหมือนมีคนรู้จักเรามากขึ้น โดยเฉพาะรุ่นเดียวกันและรุ่นน้องที่สนิท ที่ติดตามข้อมูที่พวกเรานำเสนอในเฟสบุ๊ก คนในโรงเรียนจะทักว่าแสดงสีลัตเหรอ ทำโครงการอะไร เกี่ยวกับอะไร อยากทำด้วย มีมาถามเยอะอยู่เหมือนกัน เขาเห็นที่พวกเราโพสต์ เขาก็ติดตาม ช่วยเชียร์ หนูก็บอกว่าเป็นโครงการของมูลนิธิสยามกัมมาจล ทำเกี่ยวกับจุดเด่นของหมู่บ้าน ถ้าสนใจมาซ้อมก็มาได้ เข้ามาเรียนกันได้กับหนูกับเพื่อนๆ ได้” จีนา กล่าว

แม้พวกเขาบอกว่าไม่อยากคาดหวังมากกับอนาคต เนื่องจากแต่ละคนต่างกำลังทะยอยออกไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยนอกชุมชน แต่หลังสถานการณ์โควิด – 19 คลี่คลาย กลุ่มเยาวชนเริ่มหาเวลากลับมารวมตัวฝึกซ้อมกันอีกครั้ง ถือว่าเป็นการจุดไฟไม่ให้มอด สิ่งที่พอเป็นความหวัง คือ รุ่นน้องที่สนใจเข้ามาร่วมกิจกรรมฝึกซ้อม ทำให้กลุ่มเยาวชนมีกำลังใจที่จะเรียนรู้และสืบสานวัฒนธรรมปันจักสีลัตชุมชนบ้านทุ่งต่อไป

กีฬาปันจักสีลัตในปัจจุบัน

เดิมจัดให้มีการแข่งขัน 2 ประเภท ทั้งในการแข่งขันชิงแชมป์นานาชาติและการแข่งขันชิงแชมป์โลก คือ ประเภทการต่อสู้จริง และการแสดงศิลปะการต่อสู้ (เป็นการแสดง) แต่การแข่งขันปันจักสีลัตในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 13-18 มีการแข่งขันเพียงประเภทเดียว คือ ประเภทการต่อสู้

ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยแยกการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. การต่อสู้ (Tanding) 2. ประเภทเดี่ยวปันจักลีลา (Tunggal) 3. ประเภทคู่ปันจักลีลา (Ganda) และ 4. ประเภททีมปันจักลีลา (Rega) เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในการแข่งขันปันจักสีลัตชิงแชมป์โลก ปี 1997 ณ ประเทศมาเลเซีย และการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 19 ประเทศอินโดนีเซีย จนถึงปัจจุบัน
กติกาในการต่อสู้มีข้อห้ามบางส่วน ดังนี้
1. ห้ามใช้นิ้วแทงตา
2. ห้ามบีบคอ
3. ห้ามชกต่อยแบบมวย
4. ห้ามใช้เข่าแบบมวยไทย
5. ห้ามเตะหรือตัดล่าง
6. ห้ามใช้ศอก ทั้งศอกสั้นและศอกยาว
โครงการสร้างการเรียนรู้วัฒนธรรมปันจักสีลัตชุมชนบ้านทุ่ง ในรูปแบบสื่อโซเชียล เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการกลไกชุมชนสู่การพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล” ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยหริภุญชัย สนับสนุนโดย สำนักส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

active citizenproject based learningกีฬาสตูล

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    “นาข้าวอัลฮัม” โรงเรียนรู้ของเยาวชนที่ตำบลเกตรี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Character building
    “อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร

    เรื่องและภาพ The Potential

“ป่าไร่เหนือ” แม่ระมาด เมื่อคนรุ่นใหม่หยิบวิถีดั้งเดิมมาตั้งรับโลกที่เปลี่ยนไป
Creative learning
9 December 2020

“ป่าไร่เหนือ” แม่ระมาด เมื่อคนรุ่นใหม่หยิบวิถีดั้งเดิมมาตั้งรับโลกที่เปลี่ยนไป

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • ดอยก่อหล่าโจ ทิวไผ่งาม ต้นเดปอทุ ฯลฯ คือสิ่งที่มีบ้านป่าไร่เหนือ ตำบลพระธาตุ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
  • แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ แต่วิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านที่ส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอก็ยังคงต้องอยู่ต่อ เพื่อรักษาสิ่งนี้ พร้อมๆ กับวิ่งตามความเปลี่ยนแปลงของโลก เยาวชนแห่งบ้านป่าไร่เหนือจึงรวมตัวกันทำโครงการออกแบบกิจกรรมด้านภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนปกาเกอะญอบ้านป่าไร่เหนือ
  • เกิดเป็น ‘ลานวัฒนธรรม’ พื้นที่ศูนย์กลางชุมชนและเป็นที่จัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักกับวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ

แม้อยู่ในชุมชนห่างไกลที่คนนอกมองว่ามีความสงบ อยู่สบาย ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การเข้ามาของเทคโนโลยีทำให้คนปกาเกอะญอต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงไม่ต่างจากผู้คนทั่วทุกมุมโลก ความรวดเร็วแห่งความเปลี่ยนแปลงที่พุ่งชนและเกิดขึ้นฉับพลันนี้ทำให้หลายคนตั้งตัวไม่ทัน เกิดความสับสนในการเลือกรับและปฏิเสธความยั่วยวนใหม่ๆ ที่ดึงความสนใจไปจากค่านิยม ประเพณีวัฒนธรรม และภูมิปัญญาที่มีอยู่เดิม หลายอย่างเข้ามากระทบให้สิ่งที่มีอยู่นั้นต้องปรับเปลี่ยนไปตามกระแส

เทคโนโลยีมีประโยชน์มากมายหากรู้เท่าทัน เมื่อวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนได้รับผลกระทบจากการพัฒนา โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ให้ความสนใจและเข้าถึงเทคโนโลยีได้ไวและรวดเร็วกว่าผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องผิดที่พวกเขาจะเปิดรับความทันสมัย แต่สิ่งที่ ณัฐ – อภิชัย มันตาธรรม วัย 17 ปี, โยนา – ขจรศักดิ์ ตระกูลำนาสุข วัย 18 ปี และแกนนำเด็กและเยาวชนคนอื่นๆ ในบ้านป่าไร่เหนือ ตำบลพระธาตุ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตากกำลังทำ คือ การสร้างความสนใจและการรับรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญา ประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิม ไม่ใช่แค่เพื่อให้เกิดการสืบทอดต่อ แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างวิถีชีวิตจริงในท้องถิ่นที่ยังต้องดำเนินต่อไป กับความเปลี่ยนแปลงจากภายนอกที่โหมกระหน่ำ ทางเดียวที่จะรอดได้ คือ ต้องการรู้เท่าทันเพื่อไม่ให้เดินหลงทาง

ของดีที่ป่าไร่เหนือ

บ้านป่าไร่เหนือ ตำบลพระธาตุ อำเภอแม่ระมาด อยู่ไม่ไกลนักจากอำเภอแม่สอด คิดเป็นระยะทางราว 30 กิโลเมตร ณัฐ โยนา และแกนนำหลักรวม 5 คน รวมพลเด็กและเยาวชนชุมชนบ้านป่าไร่เหนือได้กว่า 15 คน สลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาร่วมเรียนรู้และทำกิจกรรมใน โครงการออกแบบกิจกรรมด้านภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนปกาเกอะญอบ้านป่าไร่เหนือ

ภาพความสนุกสนาน รอยยิ้มของเด็กๆ และผู้ใหญ่ในชุมชนที่ได้มาใช้เวลา ‘ลอง เล่น เรียนรู้’ ร่วมกันแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสน่ห์ของภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นปกาเกอะญอดึงดูดพวกเขาให้ก่อร่างสร้าง “ลานวัฒนธรรม” จนเป็นรูปเป็นร่าง กลายเป็นศูนย์กลางที่เป็นศูนย์รวมของชุมชนและเป็นที่จัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยว

เริ่มแรกพื้นที่รกร้างในหมู่บ้านที่ปล่อยให้พืชพรรณไม้ขึ้นตามธรรมชาติโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์มานาน ถูกปรับเป็นพื้นที่ใช้สอยเมื่อบ้านป่าไร่เหนือเปิดรับการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์อย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน ปี 2560 ภูมิประเทศแถบนี้มีธรรมชาติอันทรงเสน่ห์ ‘ดอยก่อหล่าโจ’ เป็นภูเขาลูกใหญ่ตั้งสูงตระหง่านเหนือหมู่บ้าน สามารถเดินป่าทะลุไปล่องแก่งในแม่น้ำแม่ระเมาได้

“ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมในหมู่บ้านมีหลากหลาย แต่กระจัดกระจายตามจุดต่างๆ ในชุมชน ลานวัฒนธรรมจึงทำหน้าที่รวบรวมทุกอย่างมาไว้ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมหมู่บ้านได้เห็นภาพวิถีชีวิตของคนที่นี่ อีกทางหนึ่งก็เพื่อสร้างพื้นที่ที่เป็นศูนย์รวมของเด็กและเยาวชน ผู้รู้ และผู้ใหญ่ในชุมชนได้เข้ามาแลกเปลี่ยนกัน” ณัฐ เล่า

ชาวบ้านป่าไร่เหนือช่วยกันดูแลอนุรักษ์ป่าชุมชน ซึ่งเป็นผืนป่าต้นน้ำไว้เป็นอย่างดี บนศรัทธาและความเชื่อในธรรมชาติ ทำให้ผืนป่าแถบนี้ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก เส้นทางเดินเท้าไปยังป่าชุมชนมีสะพานสานทำจากไม้ไผ่ ให้เดินข้ามห้วยเล็กห้วยน้อยซึ่งเป็นงานฝีมือที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์แห่งวิถีและภูมิปัญญาชาวปกาเกอะญอ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ทิวไผ่งาม’ ทางเดินที่มีต้นไผ่โค้งงอเข้าหากันจาก 2 ด้านดูคล้ายเป็นซุ้มอุโมงค์ต้นไม้ มีแสงแดดรำไรส่องเข้ามา

เนื้อแท้วิถีปกาเกอะญอนั้น ผูกพันและเกื้อกูลกับธรรมชาติจึงเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมนักเมื่อชาวเขามักถูกใส่ร้ายจากการนำเสนอข่าวและข้อมูลจากสื่อมวลชนโดยปราศจากความเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่อง “ชาวเขาทำลายป่า” “ชาวเขาทำไร่เลื่อนลอย” ที่กลายเป็นความรับรู้ของคนในสังคม จนมาถึงตอนนี้กลายเป็น “ชาวเขาเผาป่า” ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 แต่อย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่าแม้แต่วาทกรรมผิดพลาดก็ยังเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

วิถีชีวิต เรื่องเล่า รากเหง้าเคล้าภูมิปัญญา

เมื่อความก้าวหน้าแทรกซึมเข้ามา เช่น เทคโนโลยี มือถือ อินเทอร์เน็ต ที่ดึงดูดความสนใจให้เด็กและเยาวชนสนใจโลกภายนอกมากขึ้น ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่จึงค่อยๆ หมดความสำคัญ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจ หรือเรียกได้ว่าอยู่นอกสายตาของเด็กและเยาวชนในพื้นที่

ยังดีที่การเปิดชุมชนเป็นหมู่บ้านนวัตวิถีให้คนนอกและนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมเทำให้คนในชุมชนตื่นตัวหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของตนเอง ยิ่งเมื่อเด็กและเยาวชนลุกขึ้นมาทำโครงการออกแบบกิจกรรมด้านภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นฯ ยิ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างผู้คนต่างวัย เป็นการลดช่องว่างระหว่างวัย นำมาซึ่งความแน่นแฟ้นและความเข้มแข็งของชุมชนที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

“พวกเราได้รับการสนุบสนุนจากผู้ใหญ่ในชุมชน เพราะเขาอยากให้เราลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และหมู่บ้านของเรา” ณัฐ กล่าว

แกนนำเยาวชนเก็บข้อมูลทุนวัฒนธรรมชุมชนแบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะการละเล่น ศิลปหัตถกรรม อาหาร และภูมิปัญญาในการสร้างบ้าน

พวกเขาสืบเสาะจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ทำให้รู้ที่มาที่ไปของชุมชน ซึ่งย้อนกลับไปราว 150 กว่าปีก่อน โยนา เล่าว่า “พือหม่อตา” ผู้ก่อตั้งชุมชน ย้ายชุมชนจากหมู่บ้านปลอเด๊ะอุ๊ (ต้นน้ำแม่น้ำแม่จะเรา) อพยพเข้ามายังพื้นที่ในปัจจุบันแล้วได้รับชื่อจากทางการว่า “บ้านป่าไร่เหนือ” ส่วนชาวบ้านยังคงเรียกชุมชนของตัวเองว่า “หม่อตา” ตามภาษากะเหรี่ยง

รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2482-2488 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นใช้เส้นทางผ่านบ้านป่าไร่เหนือเดินทัพไปยังพม่า เป็นที่มาของชื่อถนน “สงครามโลก” ที่ใช้สัญจรไปมา แล้วขนานนามถ้ำซึ่งใช้เป็นคลังอาวุธ เก็บปืน มีดดาบและเสื้อเกราะจำนวนมากว่า “ถ้ำซามูไร” น่าเสียดายที่ภายหลังเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามได้ระเบิดปิดปากถ้ำไว้อย่างดีทำให้เข้าไปสำรวจในถ้ำไม่ได้ แต่บริเวณนั้นก็ถือเป็นร่องรอยทางประวัติแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ

แล้วจะมีสักกี่ที่ที่ยังคงรักษาต้นไม้อายุเกือบร้อยปีไว้ ‘ต้นเดปอทุ’ เป็นต้นไม้สัญลักษณ์แห่งการเกิดของหมู่บ้าน แต่เดิมชาวปกาเกอะญอนำรกหรือสายสะดือของทารกแรกคลอดมาแขวนฝากไว้บนต้นไม้ คล้ายเป็นการฝากชีวิตและแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ

นี่เป็นส่วนหนึ่งของชุดข้อมูลประวัติศาสตร์บ้านป่าไร่เหนือที่คนรุ่นใหม่ ลูกหลานของคนในชุมชนช่วยกันศึกษารวบรวมไว้

ส่วนการละเล่นที่กลุ่มเยาวชนช่วยกันรื้อฟื้นให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ได้แก่ การเล่นทอยลูกสะบ้า (ข่ามอแก) แข่งยิงลูกสะบ้า การแข่งปีนเสาน้ำมัน ขาหยั่ง (เคาะจิ๊) ปืนไม้ไผ่ (เสะหนะวะโพ) ศิลปะการแสดง เช่น การรำดาบ (แหง่แซ) ระบำก๋วยน้อย ที่มีท่ารำสะท้อนวิถีทำไร่ของคนปกาเกอะญอ ดัดแปลงท่าทางให้มีความอ่อนช้อยรำประกอบกับอุปกรณ์ที่ใช้ทำนาทำไร่ เช่น กระจาด ตะกร้า และสวิง เป็นต้น รำกระทบไม้ไผ่ (จิ๊กลิ๊) รำกระทุ้งไม้ไผ่ (โถะฆี) ซึ่งเดิมเป็นการรำฉลองหลังหยอดข้าวไร่เสร็จเรียบร้อย

“พวกผมโตมากับการเห็นและยังได้เล่นการละเล่นพวกนี้อยู่ แต่เป็นช่วงปลายๆ ที่การละเล่นเหล่านี้เริ่มหายไป มีให้เห็นเฉพาะตามเทศกาลของหมู่บ้าน เช่น วันคริสมาสต์และปีใหม่” โยนา กล่าว

“ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ เด็กว่างก็เข้าห้องคอม ดูโทรศัพท์ ขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวเล่น สมัยก่อนเวลาว่างเด็กในชุมชนอย่างพวกเรานี้แหละ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มวิ่งเล่นไล่จับกันบ้าง เล่นลูกข่าง ปืนไม้ไผ่ ขาหยั่ง” ณัฐ กล่าว

ยุคสมัยเปลี่ยนไป การละเล่นและสิ่งที่เด็กและเยาวชนสนใจย่อมเปลี่ยนแปลงตามได้ ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องปกติ จากการเล่นหมากเก็บ ขาหยั่ง แข่งทอยลูกสะบ้า เปลี่ยนมาเป็นเล่นเกม ดูคลิปวิดีโอจากมือถือ พฤติกรรมมนุษย์ปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง แต่ณัฐและโยนาบอกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ว่าสร้างพฤติกรรมที่น่ากังวลกับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นกับน้องๆ ตั้งแต่วัยประถมศึกษา

“เด็กไม่ค่อยสนใจกันและกัน ไม่เข้าสังคมในกลุ่มเพื่อนฝูง หมกหมุ่นกับเกมจนไม่สนใจเพื่อน ไม่สนใจการเรียน สอบตก มีแนวโน้มทำให้อาจเรียนไม่จบ พวกเราเห็นความเปลี่ยนแปลงกับเด็กๆ รุ่นหลังด้วยตาตัวเอง จึงคิดว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา” ณัฐ กล่าว

เมื่อถามถึงความต่างระหว่างการเล่นเกมผ่านหน้าจอมือกับการละเล่นพื้นบ้าน ณัฐและโยนา บอกว่า สิ่งที่ได้รับจากการละเล่น ไม่ใช่แค่ “การได้เล่น” แต่เป็นการ “ฝึกปฏิบัติ” ทักษะบางอย่างในการใช้ชีวิตที่การเล่นเกมบนมือถือให้ไม่ได้

“การละเล่นหลายอย่าง เราได้ทดลองทำ หาอุปกรณ์มาประกอบ เจอเพื่อนเห็นหน้ากันจริงๆ เวลาเล่นด้วยกันก็ยิ้มให้กัน สนุกไปด้วยกัน” ณัฐ กล่าว

“ถ้าจะเล่นปืนไม้ไผ่ ก็ต้องไปตัดไม้ไผ่มา เราได้รู้วิธีใช้มีด วิธีสังเกตไม้ไผ่จากต้นว่าต้องมีลักษณะอย่างไรถึงตัดมาใช้ได้ วิธีตัดไม้ไผ่เฉียง 45 องศา ถ้าตัดไม่เป็น ปล้องไม้ไผ่ก็จะแตก ตอนทำก็ได้ฝึกสมาธิ หรือช่วงทำนาทำไร่ เวลามัดข้าวรวมกันเราไม่ได้ใช้เชือกฟาง แต่ใช้ตอกซึ่งต้องเหลาไม้ไผ่ออกมา เรียกว่า จับตอก เด็กเดี๋ยวนี้จับตอกไม่ค่อยเป็นแล้ว รุ่นพวกผมยังพอทำได้อยู่” โยนา อธิบาย “ส่วนตัวผมชอบการแสดงรำดาบมากที่สุด เพราะดูน่าตื่นตาตื่นใจ ได้มาเรียนรู้วิธีการรำหลังจากเข้ามาทำโครงการ ขนาดพ่อผมเองยังรำไม่เป็นเลย การให้ผู้เฒ่าผู้แก่มารื้อฟื้นมาสอนเด็กๆ อย่างเราได้ ต้องใช้ความอดทนทั้ง 2 ฝ่าย เพราะคนสอนก็อายุเยอะแล้ว สอนได้ท่าสองท่าต้องพักก่อน คนเรียนก็ต้องตั้งใจจดจำ ฝึกซ้อมตามจังหวะให้คล่อง”

จากการละเล่นมาสู่ชีวิตจริง ทีแรกเราอาจยังนึกภาพไม่ออกว่าการได้ลองทำ ลองตัดไม้ไผ่มาทำของเล่นจะมีประโยชน์อะไร ในความเป็นจริงการประดิษฐ์อุปกรณ์การละเล่น นอกจากมีความสนุกสนานเป็นเครื่องดึงดูดใจแล้ว สิ่งที่ได้ติดตัวไปคือทักษะชีวิต

บ้านเรือนของชาวปกาเกอะญอมีไม้ไผ่เป็นองค์ประกอบ ผุพังตามกาลเวลา เรื่องการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือน อย่างการทำฝ้าเพดาน การทำเสาบ้าน ฯลฯ จำเป็นต้องรู้วิธีคัดเลือกไม้ไผ่ การจับ ดัด ตัดไม้ไผ่อย่างเชี่ยวชาญ ไปจนถึงวิธีการประกอบสานขึ้นรูป แล้วคลี่ออกมาเป็นแผ่นก่อนนำไปใช้งาน ณัฐและโยนาเห็นตรงกันว่า แม้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีเข้ามามากมาย ทักษะการใช้ชีวิตเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปากเกอะญอรุ่นใหม่ยังจำเป็นต้องเรียนรู้เพราะเป็นเรื่องสำคัญและมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต

“ผู้ใหญ่ชอบพูดว่าถ้าจับตอกไม่เป็น ฝานไม้ไผ่ยังไม่เป็น ยังมีครอบครัว มีเมียไม่ได้” โยนา กล่าวยิ้มๆ แล้วอธิบายต่อว่า “ต้องใช้ไม้ไผ่ระดับกลางๆ ถ้าแก่เกินไปจะแข็งและหักง่าย เลือกต้นที่ยังเพิ่งโตสีไม่เข้มจนเกินไป ใบไม่เยอะ เวลาทำจะฝานเนื้อไผ่ตรงกลางออกมาใช้ได้ง่าย”

“หากเข้ามาเยี่ยมชมชุมชน ตอนนี้เรามีบ้านภูมิปัญญา เป็นบ้านตัวอย่างที่แสดงให้เห็นรูปแบบบ้านและการจัดวางบ้านสมัยดั้งเดิมอยู่ด้วย มีเด็กและเยาวชนในชุมชนเป็นคนให้ความรู้และพาเที่ยวชมชุมชน” ณัฐ กล่าว

คำว่า ผักสวนครัวรั้วกินได้ เป็นวลีที่ลืมไปได้เลย เมื่อมาอยู่ใกล้ธรรมชาติในบ้านป่าไร่เหนือ เพราะที่นี่พืชผักมีแทบทุกที่ ส่วนใหญ่ชาวบ้านหาผัก หาปลากันที่ริมห้วยริมคลอง

“ตรงลานวัฒนธรรมเรามีที่ตำข้าวไว้ให้ลองตำ ชาวบ้านจะทำอาหารท้องถิ่นมาต้อนรับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มที่เข้ามา”

ด้านศิลปะหัตถกรรม สตรีปกาเกอะญอทอผ้าโดยใช้ “กี่เอว” โยกตัวเป็นจังหวะ การโยกตัวของผู้ทอเป็นตัวกำหนดฝีทอของเส้นใยแต่ละเส้น ตามธรรมเนียมดั้งเดิมผู้หญิงแต่ละบ้านทอผ้าไว้ใช้งานในครัวเรือน ต่างคนต่างทอเมื่อว่างเว้นจากการทำไร่ทำนา แม่ถ่ายทอดวิชาส่งต่อให้ลูก แต่เมื่อมีเสื้อผ้าแฟชั่นสมัยใหม่เข้ามาให้จับจ่ายใช้สอยได้ง่าย คนรุ่นใหม่ในชุมชนจึงสนใจการทอผ้าน้อยลง ในทางตรงข้ามคนภายนอกกลับมองผ้าทอปกาเกอะญอเป็นเรื่องแฟชั่นและให้คุณค่ากับงานหัตถกรรมพื้นถิ่น ความย้อนแย้งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการรวมกลุ่มทอผ้าในชุมชนอย่างจริงจัง สามารถผลิตเป็นสินค้าสร้างรายได้ จนทำให้คนรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจและเห็นคุณค่าหัตถกรรมดั้งเดิมอีกครั้ง

ณัฐ บอกว่า สีแดงเป็นสีพื้นดั้งเดิมของเสื้อผู้ชาย ส่วนผู้หญิงสวมชุดตัวยาวทรงกระบอกคล้ายชุดเดรส เด็กหญิงและคนโสดที่ไม่แต่งงานสวมชุดสีขาว เมื่อแต่งงานแล้วจะใส่เสื้อสีดำ นุ่งซิ่นแดง เรียกว่า “หนี่คิ” โดยห้ามไม่ให้กลับไปใส่ชุดสีขาวอีก

“แม่ผมยังทอผ้าทุกวัน ตอนนี้นอกจากสีแดงแล้วยังมีสีอื่นที่ทำขึ้นมาเพื่อความสวยงามและให้มีความหลากหลายมากขึ้น”

ณัฐกับโยนาบอกว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการพวกเขาไม่มีได้เข้ามาเมืองแม่สอดบ่อยนัก ปีหนึ่งไม่เกิน 2 ครั้ง แต่โครงการเปิดประสบการณ์และทำให้พวกเขามีโอกาสได้ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ชาติพันธุ์นอกพื้นที่ รวมถึงกลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ จากพื้นที่อื่นๆ ในจังหวัดตาก

“ผมคิดว่าทักษะการเข้าสังคมเป็นเรื่องสำคัญ พวกผมก็เล่นเกม ไม่ใช่ไม่เล่นแต่ไม่ถึงขนาดหมกหมุ่น รู้จักโทรศัพท์มือถือก็ตอนเรียนชั้น ม.3 หรือ ม.4 แล้ว ประมาณ 2-3 ปีก่อน แรกๆ จำได้ว่าเล่นจากมือถือโนเกีย เล่นแล้วก็สนุกดี แต่เราควรเปิดหูเปิดตารับรู้สิ่งใกล้ตัวและสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย ตอนนี้มีเด็กและเยาวชนมาสนใจมาทำกิจกรรม ทำโครงการด้วยกันมากขึ้น ถ้าน้องๆ ได้เห็นและสัมผัสบรรยากาศเหมือนอย่างที่พวกผมได้เห็นและสัมผัส เขาจะเข้าสังคมได้ดี ใช้ชีวิตได้และ เอาตัวรอดได้” ณัฐ กล่าว

โครงการออกแบบกิจกรรมด้านภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นของคนปกาเกอะญอบ้านป่าไร่เหนือ เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองผ่านการพัฒนาศักยภาพการวิจัยให้แก่เยาวชนชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดตาก” ดำเนินการโดย วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรโรฒ จังหวัดตาก สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

active citizenproject based learningชาติพันธุ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    พาเยือนถิ่นลาวโซ่ง บ้านโคกคา ราชบุรี จุดเริ่มต้นจาก “ความอยากรู้” ที่ฉุดยังไงก็ไม่อยู่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

นิทานพื้นบ้าน ร่องรอยความทรงจำในโลกปัจจุบันที่พาไปรู้จักอดีต
Creative learning
9 December 2020

นิทานพื้นบ้าน ร่องรอยความทรงจำในโลกปัจจุบันที่พาไปรู้จักอดีต

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • นิทานพื้นบ้านของชาวม้งมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง สืบทอดจากการเล่าขานต่อๆ กันมาผ่านความทรงจำ ผู้ใหญ่มักเล่าให้เด็กๆ ฟังก่อนนอน มีความสนุกสนานที่สอดแทรกข้อคิดและคติความเชื่อ แถมนิทานยังเป็นบทบันทึกเรื่องราวและวิถีชีวิตของผู้คนที่สะท้อนให้เห็นการดำรงชีวิต กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน การประกอบอาชีพ รวมถึงวัฒนธรรมและค่านิยมของชาติพันธุ์
  • โครงการนิทานพื้นบ้านม้ง บ้านป่าหวาย ตำบลคิรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เกิดขึ้นจากการที่นิสิตชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งเป็นชาวม้งกลับไปที่หมู่บ้าน รวบรวมนิทานพื้นบ้าน ตำนาน และเรื่องเล่าในชุมชนมาผลิตเป็นสื่อการเรียนรู้

นิทานพื้นบ้านที่ทำให้รู้จักเรื่องราวใกล้ตัวที่หลายคนมองข้ามไป เปลี่ยนความไม่สนใจเป็นความภาคภูมิในความเป็นตัวของตัวเอง

จำได้ว่าสมัยเด็กๆ ฉันชอบไปนอนค้างบ้านย่า นึกย้อนกลับไปก็พอเดาสาเหตุได้ว่า ความรู้สึกชอบหรือความอุ่นใจที่ได้ไปบ้านย่ามาจากการที่ย่ามักเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเสมอ ย่ามักมีนิทานเรื่องใหม่ๆ มาเล่าให้ฟัง หรือหลายเรื่องฟังแล้วฟังซ้ำก็ยังรู้สึกสนุก ฟังจบบ้างไม่จบบ้างหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่ที่รู้คือตั้งแต่เด็กมาจนถึงตอนนี้ฉันสนิทกับย่ามาก

ทำไมเด็กถึงชอบฟังนิทาน แล้วทำไมต้องเล่านิทานให้เด็กฟัง?

เด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 7 ขวบอยู่ในช่วงวัยที่จินตนาการทำงานอย่างเต็มที่ อย่างที่ผู้ใหญ่มักบอกว่าเด็กวัยนี้ยังไม่รู้ประสา ยังไม่เข้าใจเหตุผลหรือเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว นิทานจึงเป็นเสมือนโลกใบใหม่อีกใบหนึ่งให้พวกเขา เรื่องราวที่ถูกสอดแทรก ตัวละครที่อยู่ในเรื่องเล่าสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็กๆ มีงานวิจัยระบุว่า การเล่านิทานก่อนนอนช่วยเสริมสร้างสายใยรักระหว่างคนในครอบครัวและช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก พวกเขาได้รู้จักสัตว์ สิ่งมีชีวิต ธรรมชาติ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครจากเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอด บางเรื่องให้แง่คิด คติเตือนใจ ให้คุณค่าเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม การตัดสิน การเอาตัวรอด การผจญภัย หรือแม้แต่อุปสรรคต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการคิด ความเชื่อมโยงและสร้างการเรียนรู้ในสมองของพวกเขา

เด็กจึงชอบฟังนิทานเพราะนอกจากสร้างความสนุกสนานแล้ว โลกของนิทานเป็นโลกที่อนุญาตให้พวกเขาจินตนาการได้ไม่รู้จบ เด็กที่ได้ฟังนิทานเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกันอาจจินตนาการไม่เหมือนกันเลยก็ได้ นอกจากนี้ การเล่านิทานยังช่วยให้เด็กได้ทำความรู้จักกับคำศัพท์ ใหม่ๆ ได้เห็นและจดจำตัวอักษรแม้ไม่รู้ความหมาย รู้จักประโยคและการสื่อความ เป็นการปูพื้นฐานทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียนให้กับเด็กซึ่งช่วยกระตุ้นเซลล์สมองเพื่อการพัฒนาขั้นต่อไป

เรื่องใกล้ตัวและไม่ไกลใจ 

นิทานพื้นบ้านม้งมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง สืบทอดจากการเล่าขานต่อๆ กันมาผ่านความทรงจำ เผยแพร่ปากต่อปากจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง นิทานเรื่องเดียวกันอาจมีเนื้อเรื่องเหมือนหรือต่างกันขึ้นอยู่กับผู้ถ่ายทอด อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของนิทานพื้นบ้านม้งที่ผู้ใหญ่มักเล่าให้เด็กๆ ฟังก่อนนอน คือ ความสนุกสนานที่สอดแทรกข้อคิดและคติความเชื่อ นิทานเหล่านี้จึงเป็นบทบันทึกเรื่องราวและวิถีชีวิตของผู้คนที่สะท้อนให้เห็นการดำรงชีวิต กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน การประกอบอาชีพ รวมถึงวัฒนธรรมและค่านิยมของชาติพันธุ์

กลุ่มเยาวชนบ้านม้ง บ้านป่าหวาย

แม้จุดเริ่มต้นของ โครงการนิทานพื้นบ้านม้ง บ้านป่าหวาย ตำบลคิรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เกิดขึ้นจากการที่นิสิตชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จังหวัดตาก ต้องเก็บชั่วโมงอาสาเพื่อสะสมหน่วยการเรียน แต่ความสนุกและสิ่งที่ได้ค้นพบระหว่างทางทำให้ มาย – อรณี แซ่ว้าน หนึ่งในแกนนำเยาวชน “กลุ่มเยาวชนบ้านม้ง บ้านป่าหวาย” ลืมเรื่องการนับชั่วโมงอาสาไปโดยปริยาย

บ้านม้งป่าหวาย เป็นชุมชนชาติพันธุ์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากอำเภอแม่สอด ชาวบ้านตั้งรกรากที่นี่มาราว 60 ปี ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 900 คน ทำการเกษตรเป็นอาชีพหลัก เช่น ปลูกข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลังและมันอาลู มายชวนน้องสาวแท้ๆ ฉู – สาวินี แซ่ว้าน และเพื่อนๆ น้องๆ ในชุมชนอีกจำนวนหนึ่งมาทำโครงการด้วยกัน กลายเป็นกลุ่มเยาวชนบ้านม้งที่มีแกนนำทำงานแข็งขันอยู่ประมาณ 7 คน เอาเข้าจริงพวกเขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน เคยได้ยินพ่อแม่เล่านิทานให้ฟังอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยจดจำ มายและฉูจึงขอให้พ่อและปู่ รวมถึงผู้ใหญ่และคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน ช่วยเล่านิทานพื้นบ้านให้ฟัง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เล่าแล้วนอนฟังเฉยๆ เหมือนที่ผ่านมา

ไปบ้านผู้รู้ พูดคุยสอบถามถึงเรื่องนิทานพื้นบ้าน ให้ผู้รู้เล่านิทานให้ฟัง จดและบันทึกเสียง แล้วหาแนวทางออกแบบสื่อนิทานจากอินเทอร์เน็ต เป็นขั้นตอนการทำงานที่เรียบง่าย แต่ทำให้พวกเขารู้จักและเข้าถึงความเป็นชาติพันธุ์ม้งของตัวเองมากขึ้น พวกเขาได้เรียนรู้รากเหง้าของชุมชนและชาติพันธุ์ผ่านนิทาน

“สมัยยังเด็กมากๆ พ่อเคยเล่านิทานให้ฟังบ่อยๆ ตั้งแต่มีไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้านก็ไม่ค่อยได้ฟังนิทานอีก เพราะทุกคนหันไปดูทีวี ตอนนี้ก็หันมาสนใจมือถือ ดูยูทูป (Youtube) เด็กไม่อยากฟังนิทานที่พ่อแม่เล่าอีก พ่อแม่ก็เลยไม่ได้เล่านิทานให้ลูกหลานฟังบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน” มาย เล่า

“หนูเป็นลูกคนเล็ก พ่อชอบเล่านิทานให้ฟัง ตอนนี้มีหลาน หลานนอนกับพ่อ พ่อก็เล่านิทานให้หลานฟังอยู่บ้าง” ฉู กล่าวถึงนิทานพื้นบ้านที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชาวม้ง แต่ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาให้มีบทบาทโดดเด่นในการพัฒนาเด็กและเยาวชน

กลุ่มเยาวชนบ้านม้งรวบรวมนิทานพื้นบ้าน ตำนาน และเรื่องเล่าในชุมชนบ้านป่าหวายได้ 20 เรื่อง หลังจากเก็บข้อมูลได้มากพอจึงคัดเลือกนิทานพื้นบ้าน 3 เรื่อง มาผลิตเป็นสื่อการเรียนรู้ แม้พวกเขาใช้ภาษาม้งสื่อสารกันในชุมชนเป็นปกติ แต่กระบวนการสืบค้นทำให้พวกเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ภาษาม้งเพิ่มขึ้น บางคำเป็นคำศัพท์ที่ไม่เคยใช้และไม่รู้ความหมายมาก่อน นอกจากนี้ กระบวนการทำงานเชิงวิจัยทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะการเขียนเรื่องเล่า และการวางภาพประกอบนิทานแต่ละฉาก หนึ่งในนั้น คือเรื่อง “ซึกะ” ที่ทั้งมายและฉูบอกว่าเป็นเรื่องที่พวกเขาชอบมากที่สุด

หนังสือ “Hmomg History of a People” โดย คีช ควินซี (Keith Quincy) ตั้งข้อสันนิษฐานถึงรกรากดั้งเดิมของชนเผ่าม้งว่า เดิมชนเผ่าม้งตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศจีน ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวตะวันตกกลุ่มแรกซึ่งเป็นมิชชันนารีคาทอลิกได้เข้ามารู้จักและติดต่อกับชาวม้ง ตามความเข้าใจของชาวจีน กล่าวว่า ม้งเป็นชนเผ่าโบราณที่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเหลือง และเป็นศัตรูกลุ่มแรกๆ ของชาวจีน ด้วยเหตุนี้เรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับม้งในสังคมจีนจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของสงครามและการต่อสู้

ในช่วงเริ่มต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 จำนวนประชากรม้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นจากไม่กี่พันคนมาเป็นหกหมื่นคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตภูเขาสูงทางเหนือของประเทศเวียดนามและลาว บางส่วนอพยพจากยูนานผ่านพรมแดนพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของไทย ข้อสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์ที่ว่านี้สอดคล้องกับเรื่องเล่าในนิทานเรื่องซึกะที่มายและฉูกล่าวถึง

ซึกะเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวม้งมักประดับไว้หน้าบ้าน มีลักษณะคล้ายธงชาติ มายเล่าว่า นิทานเรื่องซึกะเล่าถึงประวัติของวีรบุรุษชาติพันธุ์ม้งในสมัยทำสงครามกับจีน ซึเป็นผู้มีวิชาการต่อสู้เป็นเลิศ เป็นกองหน้านำทัพทำสงครามต่อสู้กับจีนจนได้รับชัยชนะอยู่เสมอ แต่อยู่มาวันหนึ่งซึได้หายตัวไปและไม่มีใครพบเห็นเขาอีก การหายไปของซึทำให้ชาวม้งหวาดกลัว เพราะขาดผู้กล้าคอยปกป้องชาวบ้านและชุมชนจากการถูกคุกคาม จึงนำเสื้อของซึแขวนไว้ตรงหน้ารั้วบ้านเพื่อหลอกตาข้าศึกให้เชื่อว่าซึยังมีชีวิตอยู่

นานเข้าเสื้อของซึก็เปื่อยขาดไปตามกาลเวลา ชาวบ้านจึงทำกระดาษให้มีลักษณะคล้ายเสื้อของซึขึ้นเป็นสัญลักษณ์มาติดไว้แทน สิ่งนี้จึงกลายเป็นตัวแทนความเชื่อของชาวม้งที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกปลอดภัยและความเคารพในบรรพบุรุษ ที่ช่วยปกป้องคุ้มครองให้ตนอยู่เย็นเป็นสุข มาย บอกว่า ช่วงปีใหม่ม้งของทุกปี ทุกบ้านจะทำพิธีกรรมหน้าซึกะบ้านของตัวเองเพื่อแสดงความเคารพ

“เราเห็นซึกะอยู่ที่บ้าน เห็นอยู่ทุกวัน แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไรกันแน่ หรือมีที่มาที่ไปอย่างไร พอมาทำโครงการถึงได้รู้เรื่องเล่านี้ ได้เข้าใจว่าทำไมคนม้งถึงต้องไปทำพิธีหน้าซึกะ” มาย เล่า

“เรื่องซึกะทำให้เห็นว่าบรรพบุรุษสมัยก่อนรู้จักพลิกแพลง จะเรียกว่าเป็นความภูมิใจก็ไม่เชิง แต่ในใจคิดว่าคนม้งสมัยก่อนก็คิดได้เหมือนกันนะ มีความคิดประยุกต์เปลี่ยนจากเสื้อมาเป็นกระดาษ กล้าที่จะเปลี่ยน” ฉู กล่าว

นอกจากเรื่องซึกะแล้ว มาย กล่าวว่า นิทานพื้นบ้านม้งเรื่องอื่นๆ มักบอกเล่าถึงความเป็นมาของสัตว์ชนิดต่างๆ เพราะวิถีชาวม้งอาศัยอยู่กับป่ากับธรรมชาติ บ้างบอกเล่าถึงความเชื่อที่กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่เก่าก่อน ถึงแม้การฟังนิทานจะให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ยุคนี้หากจะให้เด็กมานั่งนอนฟังผู้ใหญ่เล่านิทานธรรมดาคงไม่มีเด็กคนไหนนิ่งสนใจอยู่ได้นาน กลุ่มเยาวชนบ้านม้งจึงทำสื่อนิทานให้มีลูกเล่น เพิ่มเติมความตื่นเต้นและทำให้นิทานพื้นบ้านมีความน่าสนใจ นอกจากแบบที่เป็นนิทานรูปภาพประกอบเรื่องเล่าแล้ว ยังออกแบบนิทานให้จับต้องและเล่นได้ บางรูปแบบต้องหาทางแก้ปัญหา พลิกแพลง กลับหน้าหลังเพื่อพาไปยังเรื่องเล่าถัดไป ยกตัวอย่างเช่น ลูกเต๋านิทานและนิทานหกเหลี่ยม ที่ดึงดูดความสนใจของเด็กได้เป็นอย่างดี

สื่อนิทานสานสัมพันธ์

“ว้าววว!!” “โอ้!!” คำอุทานสั้นๆ ที่เปรียบได้กับฟีดแบ็คเชิงบวกจากเด็กๆ ในโรงเรียนบ้านป่าดงใหม่ สาขาบ้านป่าหวาย โรงเรียนประจำชุมชนเพียงแห่งเดียวที่เพิ่งเปิดมาได้เพียง 1 ปี

กลุ่มเยาวชนได้ทดลองนำสื่อนิทานไปนำเสนอให้กับเด็กๆ ในโรงเรียน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “สื่อที่แปลกใหม่” กับ “นิทานพื้นบ้าน” ทำงานเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ข้อมูลจากครูที่บอกว่าเด็กสมาธิสั้น ไม่สนใจฟังซึ่งที่ครูพูด คุยหรือชวนกันเล่นในห้องเรียน แต่ภาพที่เกิดขึ้นเด็กๆ ในห้องเรียนมีสมาธิ สนใจและฟังเรื่องเล่าอย่างตั้งใจ ไม่วอกแวกไปทำอย่างอื่น 

มาย บอกว่า ตัวเธอเองหลงใหลการวาดภาพ โดยเฉพาะการวาดภาพเหมือน เธอไม่ได้เรียนจากใครที่ไหนเป็นพิเศษแต่หัดครูพักลักจำเอาจากคลิปสอนวาดภาพในอินเทอร์เน็ต ความถนัดของเธอทำให้การวาดภาพประกอบนิทานกลายเป็นเรื่องง่ายและน่าสนุก ส่วนแกนนำเยาวชนคนอื่นๆ ก็จะแบ่งงานกันทำตามความสมัครใจและความถนัด ช่วงไหนมีงานเร่งงานด่วนใครทำอะไรได้ก็ช่วยกันทำ

“เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับน้องๆ และเพื่อชุมชนของเรา ใช้ความสามารถที่มีทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และถ่ายทอดส่งต่อให้น้องๆ ทำต่อได้” มาย กล่าว

ส่วน ฉู เล่าว่า “ความสุข” จากประสบการณ์ที่ได้ไปพบปะน้องๆ นักเรียนในโรงเรียนทำให้เธอเห็นความฝันของตัวเองชัดเจนขึ้น

“ตอนนี้ความฝันอีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกอยากทำ คือ อยากเป็นครู จากเดิมเลือกเรียนสายวิทย์คณิตเพราะอยากเป็นพยาบาลหรือเภสัชกร แต่พอได้เข้าไปเล่านิทานให้เด็กๆ ในโรงเรียนฟังสองครั้ง เวลาทำงานกับน้องๆ พูดคุยกันแล้วเขาให้ความสนใจ เข้าใจสิ่งที่เราสื่อสาร ทำให้รู้สึกอยากทำแบบนั้นอีก มีความสุขที่ได้ทำ เลยกลับมาคิดว่านี่น่าจะเป็นความฝันอีกอย่างหนึ่งของเรา” ฉู กล่าว

ปัจจุบัน สื่อนิทานทั้งหมดกลุ่มเยาวชนบ้านม้ง บ้านป่าหวาย มอบไว้ให้ทางโรงเรียนได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป เรื่องเล่านิทานพื้นบ้านเหล่านี้นอกจากสร้างความสนุกสนานแล้ว ยังถักทอสายใยความเป็นชาติพันธุ์ม้งให้คงอยู่ในการรับรู้ของเด็กเยาวชนรุ่นต่อไป ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคาดเดายากเหลือเกินในสังคมภายนอก

“ตอนนี้เราอนุรักษ์ เก็บรักษานิทานพื้นบ้านไว้ในรูปแบบหนังสือและสื่อการเรียนรู้ แต่การนำไปเผยแพร่ต่อ การทำให้ชุมชนทั้งหมดหรือคนภายนอกสนใจยังเป็นเรื่องที่ต้องคิดหาวิธีการต่อไป แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนเกิดขึ้นกับพวกเราเองที่เป็นทีมทำงาน พวกเราได้พัฒนาตัวเองโดยเฉพาะเรื่องความมั่นใจจากการได้ออกไปพูดออกไปนำเสนอ จากการได้แสดงความคิดเห็นในเวทีอบรมหลายๆ ครั้งและจากกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ในโครงการ” มาย กล่าวทิ้งท้าย

โครงการนิทานพื้นบ้านม้ง บ้านป่าหวาย ตำบลคิรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองผ่านการพัฒนาศักยภาพการวิจัยให้แก่เยาวชนชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดตาก” ดำเนินการโดย วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรโรฒ จังหวัดตาก สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

“อยากให้เยาวชนเหล่านี้เรียนรู้จากการอยู่ร่วมกันในวัฒนธรรมที่หลากหลาย ให้ยอมรับตัวเอง ยอมรับคนอื่น เคารพตัวเอง เคารพคนอื่น และมีความภูมิใจในตัวเอง มีความมั่นใจที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไม่เขินอาย” เป็นความคาดหวังของ อาจารย์ชิ-สุวิชาน พัฒนาไพวัลย์ หัวหน้าโครงการเสริมสร้างความเป็นพลเมืองผ่านการพัฒนาศักยภาพการวิจัยให้แก่เยาวชนชาติพันธุ์ในพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดตาก

Tags:

ประวัติศาสตร์active citizenproject based learningนิทาน

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ลูกปัดโบราณท่าชนะอายุกว่าพันปี “คุณค่า” ที่ถูกขุดและค้นพบอีกครั้งจาก “นักโบราณคดีรุ่นเยาว์”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์
Creative learning
9 December 2020

เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • ‘เรือพลี้ด’ เรือที่มีรูปทรงแหลมสีฉูดฉาดที่มีความโฉบเฉี่ยว เหมาะกับสภาพพื้นที่ซึ่งไม่ใช่แค่การออกทะเลกว้าง แต่ต้องลัดเลาะไปตามคลองสายย่อยเพื่อจับสัตว์น้ำและทำประมง ที่อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง 
  • แว้นบอย และเพื่อนเยาวชนที่อำเภอหาดสำราญทำโครงการ ‘เรือพลี้ด เรือเร็วแห่งสายน้ำ’ เพื่อทำเรือพลี้ดจำลอง สืบค้นประวัติของเรือพลี้ดในชุมชน ลองไปเป็นลูกมือช่างเรือช่วยประกอบเรือ รวมทั้งเรียนรู้การประดิษฐ์เรือพลี้ดจำลองจากผู้รู้ในชุมชน เพื่อหวังจำหน่ายเป็นของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นช่องทางสร้างงานสร้างอาชีพได้อีกทางหนึ่ง
  • “แว้นรถ ไร้สาระ พูดจาหยาบตาย อยู่ไปวันๆ” คิว เล่าถึงสิ่งที่มักได้ยินเข้าหูจากผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ เพราะพวกเขาเป็นตัวจี๊ดประจำชุมชน เขาบอกว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ทำให้สะทกสะท้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากพัฒนาตัวเอง ชวนติดตามเรื่องราวของแว้นบอยและผองเพื่อนที่อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง กันค่ะ

การแข่งขัน ‘เรือพลี้ด’ กลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์งานเทศกาลประจำปี อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง บริเวณนี้เป็นพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลอันดามัน ชาวประมงท้องถิ่นประยุกต์ ดัดแปลงเรือพลี้ดจากรูปทรงดั้งเดิมที่ยังมีความหนา ต้านลม ไม่มีสีสัน มาเป็นรูปทรงแหลมสีฉูดฉาดที่มีความโฉบเฉี่ยว เพื่อให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ซึ่งไม่ใช่แค่การออกทะเลกว้าง แต่ต้องลัดเลาะไปตามคลองสายย่อยเพื่อจับสัตว์น้ำและทำประมง นี่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิปัญญาที่มักถูกเอ่ยถึง “การเรียนรู้ ลงมือทำ ปรับและประยุกต์ ผ่านกาลเวลา” ปัจจุบัน ชาวบ้านยังใช้เรือพลี้ดเพื่อการท่องเที่ยวชุมชน ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเรือชมป่าโกงกาง เรียนรู้วิถีชีวิตของสัตว์น้ำและชาวเล

บ้านทุ่งกอ ตำบลบ้าหวี เขตอำเภอหาดสำราญ เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของจังหวัดตรัง และเป็นพื้นที่ติดชายฝั่งแห่งหนึ่งที่จัดให้มีการแข่งขันเรือพลี้ดประจำปี เรือพลี้ดจึงเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนบ้านทุ่งกออย่างแยกไม่ออก หากมองจากแผนที่ทางอากาศ คลองบ้านทุ่งกอหลายสายลัดเลาะ คดโค้งไปมาเชื่อมต่อกับทะเลอันดามัน เรียกรวมๆ กันว่า ‘ลุ่มน้ำปะเหลียน’ แหล่งอนุรักษ์ป่าชายเลนผืนใหญ่ที่ยังอุดมสมบูรณ์บนเนื้อที่ประมาณ 4,200 ไร่  การเดินทางมาที่นี่สามารถใช้เส้นทางตรัง – ปะเหลียน มุ่งหน้าจากเมืองตรังไปทางทิศใต้เป็นระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร

บอย – อภิสิทธิ์ ยอมใหญ่ เยาวชนบ้านทุ่งกอ เล่าว่า ‘ทุ่งกอ’ มีที่มาจากชื่อ ‘ต้นกอ’ ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นในหมู่บ้าน ทางเข้ามาทุ่งกอเรียกว่า ‘ช่องกอ’ เนื่องจากเคยเป็นบริเวณที่มีต้นกอมากที่สุด ปัจจุบันยังมีต้นกออายุเกือบ 100 ปีเหลืออีก 1 ต้น ไว้เป็นร่องรอยการคงอยู่ของธรรมชาติที่มาตั้งถิ่นฐานก่อนมนุษย์ 

เรือพลี้ด…เรือเร็วแห่งสายน้ำ

ประวัติของชุมชนเล่าต่อกันมาว่า แต่เดิมการทำประมงในคลองแถบนี้ใช้เรือขุด* แล้วเปลี่ยนมาเป็นเรือหัวโทง** กระทั่งปรับเปลี่ยนความนิยมมาใช้เรือพลี้ดเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว เนื่องจากลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของเรือซึ่งมีขนาดลำเล็ก ท้องแบนตื้น สามารถเข้าไปทำประมงในคลองหรือสายน้ำเล็กๆ สายย่อยที่แยกไปตามป่าชายเลนซึ่งต้องอาศัยเรือที่มีความคล่องตัวได้ ส่วนที่มาของชื่อเรียกว่า ‘เรือพลี้ด’ สันนิษฐานว่ามาจากภาษาท้องถิ่นภาคใต้

พลี้ด เป็นคำกริยาหมายถึง ลื่นไหลไปอย่างรวดเร็ว หรือ พลัดหกล้มโดยไม่รู้ตัว เทียบเคียงได้กับคำว่า ปรี๊ด ในภาษากลางที่อธิบายถึงลักษณะการพุ่งไปอย่างรวดเร็วก็ได้

ขนาดที่เล็กและเพรียวลมทำให้เรือพลี้ดวิ่งฉิวกว่าเรือแบบไหนๆ จุดเด่นเรื่อง “ความว่องไว” นำมาสู่การแข่งขันเรือพลี้ดของผู้คนละแวกนี้ในช่วงราว 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งเพื่อเป็นประเพณี เพื่อความสนุกสนานและส่งเสริมการท่องเที่ยว ว่ากันว่าจากสถิติความเร็วสูงสุดของเรือพลี้ดที่บันทึกได้อยู่ที่ 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว สำหรับบ้านทุ่งกอ ความปราดเปรียวและสมรรถนะที่คล่องตัวเหมาะกับภูมิประเทศทางทะเลส่งผลให้เรือพลี้ดได้รับความนิยมมากกว่าเรือหัวโทงและเรือหางยาว นอกจากนี้ต้นทุนที่ใช้ต่อเรือยังน้อยกว่าเรือประเภทอื่นทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก

บอยหนึ่งในกลุ่มแกนนำเยาวชนที่ทำโครงการ ‘เรือพลี้ด เรือเร็วแห่งสายน้ำ’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายเยาวชนเพื่อเรียนรู้ท้องถิ่นจังหวัดตรัง อธิบายว่า เรือพลี้ดสำหรับคนภายนอกอาจเป็นเพียงพาหนะที่ใช้เดินทาง แต่สำหรับเยาวชนบ้านทุ่งกอ เรือพลี้ดเป็นเครื่องมือทำมาหากินของครอบครัวและของคนในชุมชน ปัจจุบันคนบ้านทุ่งกอไม่ใช้เรือขุดในชีวิตประจำวันแล้ว ในชุมชนมีเรือหัวโทงเหลืออยู่เพียง 2 ลำ ส่วนเรือพลี้ดมีอยู่ประมาณ 40 กว่าลำ ทว่ามีช่างทำเรือพลี้ดในชุมชนเหลืออยู่เพียง 5 คนเท่านั้น 

เมื่อได้รู้ข้อมูลเหล่านี้จากการสืบค้นด้วยตนเอง พวกเขาจึงเห็นความสำคัญและเห็นคุณค่าของเรือพลี้ดที่เป็นของใกล้ตัวมากขึ้น 

เรือพลี้ดหนึ่งลำใช้งานได้ประมาณ 7 ปีซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร กลุ่มแกนนำเยาวชนได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเรือพลี้ดจากการสอบถามผู้รู้เกี่ยวกับพัฒนาการการต่อเรือของชุมชน จนได้รู้ว่ามีการส่งต่อวิชาความรู้ผ่านรุ่นสู่รุ่น อาศัยการซึมซับประสบการณ์จากการเป็นลูกมือและฝึกฝนฝีมือแบบครูพักลักจำ แต่ภูมิปัญญาการทำเรือพลี้ดขาดการถูกส่งต่อ 

คิว – อนิรุจน์ สัญยี อีกหนึ่งสมาชิกของทีมแกนนำเยาวชน กล่าวเสริมว่า เรือพลี้ดเป็นของเล่นของพวกเขามาตั้งแต่จำความได้ เมื่อโตขึ้นก็กลายเป็นเครื่องมือทำมาหาเลี้ยงชีพ เรือพลี้ดจึงไม่ใช่แค่คนรู้จักแต่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่ผูกพันกันมานานและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา 

ด้วยเหตุนี้กลุ่มเยาวชนจึงสนใจสืบค้นประวัติของเรือพลี้ดในชุมชน ลองไปเป็นลูกมือช่างเรือช่วยประกอบเรือ รวมทั้งเรียนรู้การประดิษฐ์เรือพลี้ดจำลองจากผู้รู้ในชุมชน เพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นช่องทางสร้างงานสร้างอาชีพได้อีกทางหนึ่ง

แสบซ่ามหาประลัย สู่การประกอบร่างสร้างตัวตนใหม่ที่ใช่กว่าเก่า

“ลึกๆ ผมก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่มาขับรถเสียงดัง” บอย ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“แว้นรถ ไร้สาระ พูดจาหยาบตาย อยู่ไปวันๆ” คิว เล่าถึงสิ่งที่มักได้ยินเข้าหูจากผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ เพราะพวกเขาเป็นตัวจี๊ดประจำชุมชน เขาบอกว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ทำให้สะทกสะท้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากพัฒนาตัวเอง

ลูกจ้างงานรับเหมาก่อสร้างเป็นงานประจำของบอยกับคิว แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นเป็นเวลาทำงานของพวกเขา หยุดทำงานเฉพาะวันศุกร์ เพื่อนสมาชิกคนอื่นในทีม เช่น ปาล์ม – สุธิพงศ์ ยอมใหญ่ และ ร่อเฉด กาเส็มสะ ก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ปัญหาอย่างหนึ่งในการทำงานของพวกเขา คือ เรื่องเวลาว่างที่ไม่ตรงกัน แต่เพราะ ‘ความเร็ว’ เป็นเรื่องที่พวกเขาสนใจ เรือพลี้ดจึงดึงดูดใจแกนนำเยาวชนกลุ่มนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

“เรื่องแต่งมอเตอร์ไซค์และปรับแต่งท่อให้มีเสียงดัง ผมเห็นตัวอย่างมาจากรุ่นพี่ข้างบ้าน คิดว่าเท่ดีเลยสั่งซื้อของมาลองแต่งรถของตัวเองบ้าง พอแต่งแล้วก็ต้องเอารถออกไปขี่ ผมก็รู้ว่าส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นแต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะเวลาได้ขี่เข้ากลุ่มกันยิ่งสนุก ตอนนี้ผมก็ยังชอบแต่งรถอยู่แต่แต่งเพื่อความสวยงามอย่างเดียวแล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องท่อรถ โครงการมีส่วนทำให้ผมคิดได้เพราะได้หันเหไปทำอย่างอื่น บวกกับอายุมากขึ้นด้วย ช่วงที่ทำโครงการผมกับคิวลางานเฉลี่ยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง โชคดีที่หัวหน้างานเป็นพี่ชายเลยไม่มีปัญหา จะว่าไปก็เป็นความชอบส่วนตัว ผมชอบเรือพลี้ดอยู่แล้ว ผมสามารถนั่งทำสิ่งที่ชอบได้ทั้งวันเพราะมีความสุข” บอย ในวัย 21 ปีกล่าวอย่างจริงจัง

บอย เล่าว่า ปัจจุบันการต่อเรือพลี้ดพัฒนารูปแบบไปตามยุคสมัยเพื่อประโยชน์ใช้สอย ช่างต่อเรือและคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเรียนรู้เรื่องการต่อเรือจึงต้องพัฒนาทักษะการต่อเรืออย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อพลิกแพลงให้เหมาะสมกับความต้องการและวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น ยกตัวอย่างเช่น การคิดแบบเรือถูกปรับปรุงให้มีรูปทรงที่ทำให้ขับขี่ด้วยความเร็วได้มากขึ้น มีความสวยงามและมีสีสัน ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ค่อยๆ เกิดขึ้นตามประสิทธิภาพของเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยให้การต่อเรือสะดวกขึ้น ด้วยเหตุนี้ช่างต่อเรือในชุมชนแต่ละเจเนอเรชันต้องหาความรู้เรื่องการต่อเรือจากพื้นที่อื่นนอกชุมชนมาผนวกกับประสบการณ์การใช้เรือลำเดิม

เรือพลี้ดที่ใช้งานจริงมักมีขนาดใกล้เคียงกัน ความยาวของเรือมีตั้งแต่ 3 – 6 เมตร ส่วนใหญ่แล้วลำเล็กๆ มักไว้สำหรับแข่งขัน ส่วนลำใหญ่ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อทำประมง  ไม้ที่ใช้ทำเรือพลี้ดใช้ไม้ท้องถิ่น ที่เป็นไม้เนื้อเบา ทนน้ำ แต่ไม่อมน้ำ และไม่แตกง่าย ได้แก่ ไม้ทัง เทียม และพะยอม สำหรับการทำโครงการครั้งนี้องค์ประกอบต่างๆ ของเรือพลี้ดถูกนำมาย่อส่วน แล้วประดิดประดอยขึ้นเป็นเรือพลี้ดจำลอง กลุ่มแกนนำเยาวชน บอกว่า พวกเขาใช้วิธีศึกษาจากต้นแบบที่รุ่นพี่ (เสรี ลู่เด็นบุตร อายุ 35 ปี) มีอยู่ แล้วค่อยๆ ปรับปรุง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง รวมทั้งหาความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต ส่วนประกอบสำคัญของเรือพลี้ดจำลองมี 5 ส่วน ได้แก่ กระดานข้าง กระดานปูหัวเรือ กงเรือ (ไม้รูปโค้งใช้เป็นโครงเรือ หรือไม้ท่อนหน้าทำเป็นรูปโค้งติดตามขวางตลอดลำเรือ) กันสาดน้ำ และกันชน หรือที่ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า ‘ลูกกล้วย’ คิดค่าอุปกรณ์บวกค่าแรงแล้ว ขายลำละ 400 – 500 บาท แต่ละส่วนใช้วิธีแบ่งงานกันทำแยกออกไปแล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกัน

“ผมเห็นตัวอย่างเรือพลี้ดจำลองจากเพจในอินเทอร์เน็ต ทำออกมาสวยกว่าที่เราทำ ก็คิดกับตัวเองว่าเราจะทำให้สวยออกมาแบบนั้นได้ไหม ก็ลองทำลำใหม่ขึ้นมา พอทำได้คล่องแล้ว เรือพลี้ดจำลองลำนึงใช้เวลาทำประมาณ 2 วัน พวกผมทำออกมาได้ 5 ลำแล้ว ตอนดูผู้ใหญ่ทำเหมือนไม่ยาก แต่พอได้มาลงมือทำเอง ถึงได้รู้ว่าไม่ง่ายอย่างที่คิด ต่อไปทำลำใหม่ขึ้นมาก็จะทำให้ดีกว่าลำเดิม” บอย กล่าว 

อย่างไรก็ตาม ความยากหรืออุปสรรคไม่ได้ทำให้พวกเขาท้อแท้แต่กลับทำให้อยากฝึกฝนและศึกษาเรื่องการทำเรือพลี้ดจำลองเพิ่มเติมให้เข้มข้นมากขึ้น

“ผมรู้สึกว่าออกแบบเอง ทำเอง เอามาเล่นเอง ทำให้ภูมิใจและมีความสุข” บอย กล่าว

สำหรับการท่องเที่ยวชุมชน บ้านทุ่งกอมีทริปเชิงอนุรักษ์นั่งเรือพลี้ดชมทัศนียภาพและวิถีชีวิตชาวเล บอย เล่าว่า ‘หินลูกช้าง’ แนวก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนโขลงช้างกำลังเล่นน้ำอยู่ จำนวน 6 สายๆ ละ 8 – 10 เชือกเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของที่นี่ จากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณี พบว่า หินเหล่านี้อยู่ในช่วงยุคครีเทเชียส ถึงยุคจูราสสิก มีอายุประมาณ 66 – 140 ล้านปี เป็นภูเขาหินทรายที่มีการแตกหักภายในจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีเส้นทางธรรมชาติอุโมงค์ป่าโกงกางที่โค้งเข้าหากันเป็นระยะทางยาวถึง 5 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำและชมวิถีประมงพื้นบ้าน เช่น การเก็บสาหร่ายขนนก ผักพื้นบ้าน บริเวณคลองเกาะกลาง และการเก็บ ‘เคย’  วัตถุดิบที่นำมาใช้ทำกะปิ 

“จะสนุกหรือไม่สนุก ผมว่าต้องมาลองนั่งดู เวลาใครไปใครมาแล้วผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา ผมรู้สึกดีใจที่เขามีความสุขที่ได้มาเห็นธรรมชาติและชุมชนของผม และรู้สึกภูมิใจ” บอย กล่าว

“มันเป็นไปได้ยังไง?” คิว เอ่ยถึงความคิดที่แว้บขึ้นมา เมื่อได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงพวกเขาด้วยทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นเพราะพวกเขาหันมาเอาจริงเอาจังกับการเรียนรู้และการทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์เสียงดังรบกวนชาวบ้านไปวันๆ อย่างแต่ก่อน

กลุ่มแกนนำเยาวชนคาดการณ์ว่าผู้คนทั้งในชุมชนและชุมชนข้างเคียงน่าจะมีความต้องการใช้เรือพลี้ดมากขึ้น เนื่องจากราคายางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักทางภาคใต้มีราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนหันมาประกอบอาชีพประมงเพิ่มขึ้น แม้ขาดรายได้จากทางอื่นแต่ความสมบูรณ์ของป่าชายเลนบ้านทุ่งกอยังเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงปากท้องของคนท้องถิ่น รวมถึงการใช้เรือพลี้ดเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บอย บอกว่า การต่อเรือพลี้ดเพื่อใช้งาน และการทำโมเดลเรือพลี้ดจำลองเป็นของที่ระลึกจึงเป็นโอกาสทางอาชีพที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อคนท้องถิ่นในอนาคต

“ผมรักชุมชนมากขึ้น มีความสุขขึ้นจากผลตอบรับของผู้ใหญ่ ผมรักความเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์ในชุมชนนี้ และเพื่อนๆ ที่ทำงานอยู่ร่วมกันทุกคน” บอย กล่าวทิ้งท้าย

เรือขุด* เป็นเรือยุคแรกที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นพาหนะในการสัญจรทางน้ำ โดยใช้ต้นไม้ทั้งต้นที่มีขนาดใหญ่และลอยน้ำได้มาขุดเป็นลำเรือ

เรือหัวโทง** เป็นเรือประมงแบบท้องถิ่นภาคใต้ของประเทศไทย นิยมใช้ในแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน มีลักษณะเป็นเรือขนาดเล็กหัวเรือสูงงอนขึ้นไปบรรจบกับส่วนหัวที่ยื่นสูงขึ้นมา ตรงท้ายเรือมีลักษณะเป็นรูปลิ่ม ความยาวตั้งแต่ 7 เมตรขึ้นไป นิยมติดเครื่องท้ายเรือเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง
โครงการ ‘เรือพลี้ด เรือเร็วแห่งสายน้ำ’ เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายเยาวชนเพื่อเรียนรู้ท้องถิ่นจังหวัดตรัง” ดำเนินการโดย ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.ตรัง สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

active citizenproject based learningประวัติศาสตร์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ทอดน่องท่องบ้านแหลมสน ชมโบราณสถาน ย้อนรอยเมืองสิงหนคร

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ลูกปัดโบราณท่าชนะอายุกว่าพันปี “คุณค่า” ที่ถูกขุดและค้นพบอีกครั้งจาก “นักโบราณคดีรุ่นเยาว์”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    นิทานพื้นบ้าน ร่องรอยความทรงจำในโลกปัจจุบันที่พาไปรู้จักอดีต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

โอลสคูลไทลื้อ ภาชนะตักน้ำงานคราฟต์ที่เรียกว่า “น้ำถุ้ง”
Creative learning
9 December 2020

โอลสคูลไทลื้อ ภาชนะตักน้ำงานคราฟต์ที่เรียกว่า “น้ำถุ้ง”

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • น้ำถุ้ง (น้ำ-ทุ่ง) ภาชนะที่มีลักษณะคล้ายฝาชีวางหงาย ส่วนก้นเป็นรูปมนแหลม ทำมาจากไม้ไผ่ที่สานกัน เป็นภูมิปัญญาของชาวไทลื้อที่ทำภาชนะไว้ใช้ตักน้ำจากบ่อ ปัจจุบันในประเทศไทยเหลือเพียงที่แห่งเดียวที่ยังคงทำน้ำถุ้งใช้กันอยู่ คือ ที่บ้านป่าเปา ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน
  • เพราะเป็นภูมิปัญญาที่น่าอัศจรรย์ และบ่งบอกถึงรากเหง้าความเป็นชาวไทลื้อ มินนี่ – ปณันธิตา พือวัน อายุ 17 ปี และ อิงค์ฟ้า อันนพพร อายุ 17 ปี สองสาวเชื้อสายไทลื้อแห่งบ้านธิ จึงรวมตัวกันทำ โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ้นน้ำถุ้งไทลื้อ เพื่อรักษาภูมิปัญญานี้ให้ยังต่อไป
  • จากจุดตั้งต้นที่ต้องการรักษาภูมิปัญญาให้ยังคงอยู่ต่อไป แต่สิ่งที่มินนี่ อิงค์ฟ้า รวมถึงคนอื่นๆ ในชุมชนได้รับ คือ การย้อนกลับไปรู้จักกับบรรบุรุษ รวมถึงรากเหง้าความเป็นชาวไทลื้อ

‘งานคราฟต์ (Craft)’ ที่มี ‘คุณค่า‘ เป็นงานฝีมือที่มากกว่าแค่การมีทักษะ แต่เกิดจากกระบวนการสร้างชิ้นงานที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละท้องถิ่นข้ามกาลเวลา เรียกว่า ‘ภูมิปัญญา’ ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น การหยิบจับเอาทรัพยากรใกล้ตัวมาผ่านกระบวนการแปรรูป เปลี่ยนสภาพด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด 

อยากชวนลองปิดตาลงช้าๆ แล้วจินตนาการถึงงานจักรสานสักชิ้นที่ชอบ คิดดูว่าคนสมัยก่อนออกแบบ เลือกใช้วัสดุ สรรหาวิธีแปรรูป ตากแดด ขัด ฟอก ย้อม สาน ถัก ทอ แล้วประดิษฐ์ขึ้นมา โดยส่วนใหญ่เพื่อใช้งานในครัวเรือน แต่เริ่มมานั้นยังไม่มีคำว่า ‘แฟชั่น’ ไม่มี ‘ฟาสต์แฟชั่น’ ติดไซเรนที่เป็นกระแสยั่วยวนให้ผู้บริโภคต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายหรือเครื่องใช้ทุกฤดูกาล หรือแม้กระทั่งทุกอาทิตย์ ชิ้นงานหัตถกรรมจึงค่อยๆ ถูกรังสรรค์ ใช้เวลาที่ว่างเว้นจากการทำไร่ทำนา เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงสะท้อนความงามและความประณีตออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

หากพูดให้เล่นใหญ่ไฟกะพริบสักหน่อย งานคราฟต์หรืองานทำมือแต่ละชิ้น คือ จิตวิญญาณของคนทำ เป็นคุณค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่โลกอุตสาหกรรมเต็มไปด้วยของโหลสำเร็จรูปแบบเดียวกันซ้ำๆ แถมยังสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต งานคราฟต์จึงมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ และเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนมองเห็นคุณค่าของเรื่องราวที่แฝงอยู่ในชิ้นงาน

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนรุ่นใหม่ในหลายพื้นที่หันมาอนุรักษ์และฟื้นฟูภูมิปัญญาดั้งเดิมในท้องถิ่นของตัวเอง ครั้งนี้ The Potential จะพาไปทำความรู้จักกับ “น้ำถุ้ง” งานหัตถกรรมไทลื้อ แห่งเดียวในประเทศไทยที่ ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน 

มีน้ำถุ้งอยู่ตรงไหน มีคนไทลื้ออยู่ตรงนั้น

‘น้ำถุ้ง’ ออกเสียง ‘น้ำ-ทุ่ง’ เป็นภาชนะที่ใช้ตักน้ำจากบ่อเพื่อนำมาอุปโภคบริโภค และทำการเกษตร สานด้วยไม้ไผ่ทาด้วยขี้ย้า (ชัน) เพื่ออุดรอยรั่ว เป็นภูมิปัญญาด้านการจักสานไทลื้อที่สืบทอดต่อกันมา ปัจจุบันมีเพียง บ้านป่าเปา ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน แห่งเดียวเท่านั้นในประเทศไทย ที่ยังมีการสานน้ำถุ้งในชุมชน นอกจากการรวมกลุ่มน้ำถุ้งเฮือนป่าเปาของกลุ่มแม่บ้าน หมู่ 2 ก็มีผู้รู้ดั้งเดิมในชุมชนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่เพียง 2 ครอบครัวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

น้ำถุ้ง

มินนี่ – ปณันธิตา พือวัน อายุ 17 ปี และ อิงค์ฟ้า อันนพพร อายุ 17 ปี สองสาวเชื้อสายไทลื้อแห่งบ้านธิ บอกว่า ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้แม้แต่คนในชุมชนเองยังเลิกใช้น้ำถุ้ง จากภาชนะที่ใช้ตักน้ำเพื่อนำมาอุปโภคบริโภคกลับกลายเป็นของประดับตกแต่ง ของที่ระลึก หรือใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น เป็นกระถางปลูกต้นไม้ เป็นตะกร้า เป็นต้น 

มินนี่และอิงค์ฟ้า เป็นตัวแทนกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ที่ลุกขึ้นมาอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีน้ำถุ้งให้คงอยู่ในชุมชน พวกเขารวมกลุ่มพาตัวเองเข้าไปสืบค้นข้อมูลและเรียนรู้การทำน้ำถุ้งจากผู้รู้ ประสานความร่วมมือกับผู้นำทั้ง 20 หมู่บ้านในตำบลบ้านธิ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความมหัศจรรย์ของน้ำถุ้ง เพื่อให้คนในชุมชนกลับมาเห็นคุณค่า และทำให้คนภายนอกเกิดความสนใจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ้นน้ำถุ้งไทลื้อ ที่พวกเขาเป็นคนตั้งโจทย์เอง

อย่างที่บอกว่างานหัตถกรรมดั้งเดิมนั้นแฝงไว้ด้วยภูมิปัญญาที่น่าอัศจรรย์ หากจะใช้ภาชนะสักชิ้น ตักน้ำขึ้นจากบ่อ ออกแรงสาวแล้วสาวอีกจนกว่าจะพอใช้ จะทำอย่างไรให้การสาวน้ำแต่ละครั้งได้น้ำกลับขึ้นมาเต็มภาชนะ เพื่อให้การตักน้ำครั้งนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด 

น้ำถุ้งมีลักษณะคล้ายฝาชีวางหงาย มีส่วนก้นเป็นรูปมนแหลม มือจับเป็นไม้ไขว้กันไว้สำหรับผูกเชือกสาวน้ำขึ้นจากบ่อ ความมนแหลมบริเวณก้นน้ำถุ้งช่วยให้น้ำถุ้งโคลงตัวคว่ำลงเมื่อสัมผัสผิวน้ำในบ่อ จึงทำให้ตักน้ำได้เต็มทุกครั้งเมื่อดึงเชือกกลับขึ้นมา นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ชาญฉลาดยิ่ง

“น้ำถุ้งเป็นภูมิปัญญาของคนไทลื้อมาแต่ดั้งเดิม เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่ามีน้ำถุ้งอยู่ตรงไหน มีคนไทลื้ออยู่ตรงนั้น” อิงฟ้า เอ่ยขึ้น

ก่อนจะมาเป็น โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ้นน้ำถุ้งไทลื้อ มินนี่ บอกว่า กลุ่มเยาวชนในชุมชนเคยรวมตัวกันทำโครงการเรียนรู้รากเหง้าเฝ้ารักษ์วัฒนธรรมไทลื้อมาก่อน แม้รุ่นพี่ในทีมไม่สามารถทำโครงการต่อได้ เนื่องจากออกไปเรียนนอกชุมชน แต่เพราะความสนุกสนานและการเรียนรู้จากการลงมือทำโครงการในปีแรก ทำให้มินนี่ติดใจอยากทำโครงการต่อในปีที่สอง จึงตั้งใจรวบรวมสมาชิกใหม่แล้วชักชวนอิงค์ฟ้าเข้ามาร่วมทีม 

“เห็นศักยภาพในตัวอิงค์ฟ้าว่าเขาเข้ามาช่วยโครงการได้ อิงค์ฟ้าเป็นประธาน สภาเด็กและเยาวชนซึ่งเราเคยทำงานด้วยกัน ตอนโครงการปีแรกเขาก็มาช่วยจัดบูธ พูดนำเสนอในงานมหกรรมเยาวชน ลำพูน ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ของโครงการ เขาเป็นคนพูดเก่งและนำเสนอได้ยอดเยี่ยมมาก คิดว่าชวนอิงฟ้าเข้ามาดีกว่า ให้เข้ามาเต็มตัวเลยในปีที่สอง” มินนี่ กล่าว

“หนูชอบงานด้านการพัฒนาชุมชนอยู่แล้ว เคยทำโครงการสภาเด็กและเยาวชนของอำเภอบ้านธิ และทำโครงการเกี่ยวกับปลูกสำนึกรักวัฒนธรรมไทลื้อท้องถิ่น อยากพัฒนาตนเองด้วยว่าเราสามารถทำอะไรเกี่ยวกับชุมชนได้บ้าง เลยเข้ามาร่วมกับเพื่อน” อิงค์ฟ้า กล่าวเสริม

ตำบลบ้านธิ มีทั้งหมด 20 หมู่บ้าน ผู้คนแถบนี้ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายไทลื้อที่ยังคงใช้ภาษาพูดของตัวเองในชีวิตประจำวัน หากสืบประวัติย้อนไป “ไทลื้อ” หรือ “ไตลื้อ” มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแถบสิบสองปันนา ทางตอนใต้ของจีน นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีประวัติการเคลื่อนย้ายและกระจายตัวไปในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ การอพยพครั้งสำคัญของชาวไทลื้อสู่ล้านนาเป็นการกวาดต้อนผู้คนจากสิบสองปันนา เมืองเชียงตุง เมืองยอง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 เพื่อช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง หรือที่เรียกว่า “ยุคเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง” จึงมีกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อกระจายตัวอยู่ในเขตจังหวัดแพร่ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน ลำปาง พะเยา และลำพูน และภาคเหนือของประเทศลาวในปัจจุบัน

“ที่บ้านธิมีแหล่งเศรษฐกิจ มีความเจริญใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น แจ่มฟ้าชอปปิ้งมอลล์ สมัยนี้คนหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ได้สะดวกหลากหลายมากขึ้น ยิ่งทำให้คนในชุมชนไม่สนใจและไม่รู้จักน้ำถุ้ง พวกเราคิดว่าจะทำอย่างไรดี ถึงจะสานต่อภูมิปัญญาการทำน้ำถุ้งไม่ให้สูญหายไปจากหมู่บ้านไทลื้อบ้านธิ อยากดึงเยาวชนเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน” อิงค์ฟ้า กล่าวถึงจุดประสงค์ของโครงการ

งานคราฟต์จากการประกอบกันของธรรมชาติ

น้ำถุ้งทำมาจากไม้ไผ่และไม้ซางที่หาได้ทั่วไปในท้องถิ่น นำมาเหลาเป็นซี่เล็กๆ บางๆ แล้วก่อขึ้นให้เรียงตัวเป็นรูปทรงไม่บิดเบี้ยว เมื่อสานจนเข้ารูปสวยดีแล้ว แต่เดิมใช้ขี้ย้าหรือชันทาเคลือบเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อไม่ให้ภาชนะรั่วและเก็บน้ำได้ดี ซึ่งกว่าจะได้ขี้ย้ามาทาเคลือบภาชนะ ต้องนำมาบดจนละเอียดแล้วเอาไปต้มกับน้ำมันก๊าด อิงค์ฟ้า บอกว่า ขั้นตอนนี้เป็นกรรมวิธีที่กลิ่นฉุนเกินใจจะอดทน

“ตอนทำไปก็มีบ่นแซวๆ กันบ้างว่าไม่ทำแล้วนะ เพราะมันยาก แต่ใจจริงรู้สึกว่าเราต้องทำให้สำเร็จ เป็นการผลักดันตัวเอง เพราะเป็นการทำงานกับกลุ่มด้วย ถ้าเราท้อไปหนึ่งคนเพื่อนอีกคนก็จะท้อเหมือนกัน ต้องสร้างกำลังใจให้ฮึกเหิม” อิงค์ฟ้า เล่าบรรยากาศการทำงาน ก่อนเอ่ยถึงความประทับจากการเก็บข้อมูลว่า “ขี้ย้าหาได้จากโพรงต้นไม้ในป่า มีแมลงมาสร้างรังไว้ มี 2 ชนิด อย่างแรก คือ ขี้ย้าช่อ ลักษณะเรียกตัวกันมีสีสวยและมีความเงา ชนิดที่สองคือ ขี้ยาแบบกลมเหมือนหินก้อนใหญ่ผิวขรุขระ สีคล้ำและดำกว่า ได้ยินผู้รู้เล่าแบบนี้ เราถึงกับอึ้งไปเลยว่า แมลงตัวเล็กๆ ทำขี้ย้าเป็นก้อนใหญ่ๆ ได้ยังไง” 

“พวกเราลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลจากแม้อุ้ยเงินขาและพ่ออุ้ยสมสองสามีภรรยา ไปเก็บข้อมูลอยู่หลายครั้ง แต่ใช้เวลาวันเดียวลองสานน้ำถุ้ง เพื่อวัดศักยภาพของตัวเอง ทำออกมาเป็นรูบ้าง เบี้ยวบ้าง เพราะไม่มีฝีมือในด้านนี้เลย” มินนี่ กล่าว

ขี้ย้า มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘ชันโรง’ ทางภาคเหนือเรียก ขี้ตังนี ขี้ตัวนี หรือ ขี้ย้าแดง ภาคใต้เรียก แมลงอุง ทางอีสานเรียก แมลงขี้สูด ส่วนภาคตะวันออกเรียก ตัวตุ้งติ้ง แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคน บอกว่า ปัจจุบันขี้ย้าหายากขึ้น เนื่องจากระบบนิเวศน์ถูกทำลายจนเสียสมดุล เป็นข้อมูลอีกมุมหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในชุมชน ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คน

“เราจัดเวทีนำเสนอโครงการให้คนในตำบลรับรู้ ส่วนนี้เราประสานไปทางผู้นำชุมชน ทั้งพ่อหลวงแม่หลวง 20 หมู่บ้าน ให้ช่วยกระจายข่าวโครงการ ว่าเรากำลังทำโครงการสืบสานภูมิปัญญาน้ำถุ้ง ชวนมาร่วมรับฟังข้อมูลด้วยกัน เพราะเยาวชนเองไม่สามารถเข้าถึงแต่ละบ้านได้โดยตรง พวกเราเข้าไปนำเสนอว่าโครงการของเราสนุกอย่างไรและน่าสนใจตรงไหน ชี้ให้เห็นว่าการทำน้ำถุ้งในแต่ละครั้งได้ประโยชน์อะไรบ้าง ใครสนใจไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มาเข้าร่วมเรียนรู้กับเราได้” มินนี่ เล่าถึงขั้นตอนการทำงาน

“ก่อนวันนำเสนอโครงการกับชุมชนพวกเรามีกังวลเหมือนกันว่าจะมีใครมาไหม แต่มีผู้ใหญ่มาร่วมประชุมมากกว่า 20 คน เกินเป้าที่วางไว้และได้ผลตอบรับดีมาก ได้รับคำชมเชยว่า เด็กๆ ที่มาทำโครงการนี้เจ๋งดีนะ เพราะเด็กสมัยนี้ไม่ได้คิดแบบนี้กันแล้ว” อิงค์ฟ้า กล่าวเสริม

ข้อมูลต่างๆ ที่กลุ่มเยาวชนเก็บรวมรวมจากการสืบค้นและสอบถามผู้รู้ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาเก่าแก่ของบ้านธิ สถานที่สำคัญและสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี การแต่งกาย อาหาร และที่ขาดไม่ได้ คือ เรื่องน้ำถุ้ง ถูกบรรจุไว้ในหนังสือเล่มเล็ก แจกจ่ายและวางไว้ในห้องสมุดของชุมชน เพื่อเผยแพร่เรื่องราวสะท้อนรากเหง้าชาวไทลื้อบ้านธิ ให้คนในชุมชนและบุคคลภายนอกได้รับรู้ 

“พวกเราใช้เวลาเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ 1 เดือน พอถึงเวลาทำสื่อก็เอามาเรียบเรียงกันเท่าที่ทำได้ คิดว่าถ้ามีแค่เรื่องน้ำถุ้งอย่างเดียว คงไม่น่าอ่านจึงได้เสริมเรื่องอื่นเข้ามาด้วย เราอยากเผยแพร่ข้อมูลออกไปให้กว้างขึ้น คิดว่าถ้าหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามาสนับสนุน นำข้อมูลไปลงในเว็บไซต์จะเป็นเรื่องที่ดีมาก” อิงค์ฟ้า กล่าว

โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ้นน้ำถุ้งไทลื้อ ได้เข้ามาจุดประกายให้คนไทลื้อบ้านธิ ทั้ง 20 หมู่บ้าน เห็นคุณค่าเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเอง และสร้างความครึกครื้นตื่นตัวให้คนในชุมชนหันมาสนใจน้ำถุ้ง เครื่องใช้ประจำบ้านที่เคยมีอยู่ทุกบ้านอีกครั้ง แม้ยังไม่สามารถดึงเด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมโครงการได้อย่างที่คิด จึงยังส่งต่อฝีมืองานสานน้ำถุ้งไปยังคนรุ่นใหม่ไม่ได้ แต่แรงสนับสนุนและความร่วมมือของผู้นำและผู้ใหญ่ในชุมชน เป็นสิ่งที่เติมใจให้ทั้งมินนี่และอิงค์ฟ้าอยากทำสิ่งที่ประโยชน์เพื่อชุมชนต่อไป 

“ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทลื้อ เพราะว่าคนไทลื้อมีรากเหง้า มีเรื่องราวที่น่าสนใจเยอะแยะ พอได้มาทำตรงนี้ก็ดีใจ” มินนี่ กล่าวถึงความรู้สึกหลังได้มีส่วนร่วมทำโครงการชุมชนมาแล้วสองครั้ง 

“รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าเราสามารถทำกิจกรรมดีๆ ให้กับชุมชน กลับมาฟื้นฟู สืบสานภูมิปัญญาการทำน้ำถุ้ง และช่วยการสร้างกำลังใจให้กับพ่ออุ้ยแม่อุ้ยที่ยังสานน้ำถุ้ง ให้มีความสุขในการทำต่อไป” อิงค์ฟ้า กล่าด้วยรอยยิ้ม

โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ้นน้ำถุ้งไทลื้อ เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการปลุกสานึก สร้างพลัง เสริมศักยภาพ เยาวชนเมืองลำพูน” ดำเนินการโดย สถาบันวิจัยหริภุญชัย สนับสนุนโดย สำนักส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

active citizenproject based learningชาติพันธุ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    “ป่าไร่เหนือ” แม่ระมาด เมื่อคนรุ่นใหม่หยิบวิถีดั้งเดิมมาตั้งรับโลกที่เปลี่ยนไป

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ
Creative learning
9 December 2020

ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • เยาวชน อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี รวมตัวกันทำโครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญามโนราห์บ้านปากลัด สร้างศูนย์เรียนรู้เพื่อเปิดพื้นที่ให้วัยรุ่นเข้ามาเรียนรำ เล่นดนตรี และประดิษฐ์ชุดมโนราห์ ไปพร้อมๆ กับเดินหน้าออกไปเรียนรู้กับครูภูมิปัญญาในชุมชน
  • เยาวชนที่เข้ามาเรียนรู้จากหลากครอบครัวและโรงเรียน บ้างชอบมโนราห์ บ้างยังเรียนอยู่ บ้างอยากพัฒนาตัวเอง
  • เป็นตัวอย่างการทำโครงการที่เด็กๆ เรียนรู้ผ่านประเด็นวัฒนธรรม ซึ่งกระบวนการทำโครงการนั้นนอกจากได้ฝึกรำมโนราห์ และเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับมโนราห์ ยังได้พัฒนาทักษะของตนเองอีกด้วย

หากตัวอักษรมีเสียงเชื่อว่าเสียงบรรเลง ‘มโนราห์’ หรือ ‘โนรา’ ที่ดังเป็นจังหวะฮึกเหิมและมีท่วงทำนองกระฉับกระเฉงเร้าใจนี้คงสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้แน่ๆ ศิลปะการแสดงชนิดนี้เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่นิยมแพร่หลายทางภาคใต้ของไทย

ท่าทางการร่ายรำโนราสง่างามทรงพลังแต่ไม่ทิ้งความอ่อนช้อย ทั้งการวางลำตัวที่ต้อง ‘หน้าเชิด อกแอ่น’ การตั้งวงที่ต้องกางแขนให้ได้ฉาก 90 องศา การดัดนิ้วมือให้โค้งงอ ว่ากันว่าตอนดัดนิ้วถ้านิ้วมือหักลงมาได้ถึงข้อมือจะดีมาก การดัดให้แขนหมุนได้ขณะที่ข้อมือยังตั้งตรง การลงฉากหรือการย่อตัวที่ต้องได้เหลี่ยมเพื่อแสดงถึงรากฐานที่แข็งแรงและมั่นคง เหมือนโขนพระ ยักษ์ ลิง ในการแสดงโขน ขณะรำผู้รำปรับโครงสร้างร่างกายให้ส่วนก้นงอนเล็กน้อยเพื่อให้ช่วงสะเอวแอ่นแลดูสวยงามตามแบบฉบับการรำโนรา นอกจากนี้โนรายังมีจุดเด่นเรื่องเครื่องทรงและเครื่องแต่งกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยชุด ‘เครื่องลูกปัด’ สีฉูดฉาดหลากสี ลายข้าวหลามตัดและลายดอกพิกุล เป็นงานฝีมือที่มีความละเอียดและประณีต ‘เทริด’ (อ่านว่า เซิด) เครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่ ลักษณะเป็นมงกุฎอย่างเตี้ย มีกรอบหน้าและมีด้ายมงคลประกอบ

ข้อสันนิษฐานถึงที่มาที่ไปของศิลปะพื้นบ้านมโนราห์มีหลากหลายความเชื่อ บ้างว่าได้รับอิทธิพลจากการร่ายรำของอินเดียโบราณที่เรียกว่า ‘ยาตรา’ หรือ ‘ชาตรา’ ที่เข้ามาทางแหลมมลายูสมัยอาณาจักรศรีวิชัย สังเกตได้จากเครื่องดนตรีประกอบ 5 ชนิด ที่เรียกว่า ‘เบญจสังคีต’ ได้แก่ โหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง และปี่ใน แบบเดียวกับที่ใช้บรรเลงโนรา หรือที่สมัยก่อนเรียกว่า ‘การแสดงชาตรี’

ไม่รู้เหมือนกันว่าคนรุ่นใหม่ปัจจุบันรู้จักมโนราห์ไหมหรือมองมโนราห์อย่างไร จะบอกว่าเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการแสดงดั้งเดิมที่ไม่ทันสมัยและน่าเบื่อหรือเปล่า แต่สำหรับเด็กเยาวชนกลุ่มมโนราห์บ้านปากลัด การละเล่นมโนราห์ดึงดูดเด็กเยาวชนในพื้นที่อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพื้นที่ใกล้เคียงให้มารวมกลุ่มเรียนรู้ ทั้งรำ ร้อง เล่น และประดิดประดอย จนได้ขึ้นเวทีแสดงจริง เริ่มต้นจากกลุ่มแกนนำที่มีเพียง 8 คน ตอนนี้มีสมาชิกสมัครเข้ามาอย่างเป็นทางการแล้วถึง 400 คน

  • เค – วิชญะ เดชอรุณ
  • บอม – ภัทศรุท ประเสริฐ

เค – วิชญะ เดชอรุณ วัย 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฏร์ธานี บอกว่า คนสมัครเข้ามามีถึง 400 คนจริงๆ เพราะเขารับหน้าที่เป็นเลขาโครงการที่ต้องทำแฟ้มประวัติสมาชิก เป็นคนออกแบบใบสมัคร สอบถามชื่อนามสกุล ที่อยู่ แผนที่บ้าน เบอร์โทรติดต่อ หรือแม้แต่โรคประจำตัวของเด็กและเยาวชนทุกคนที่สมัครเข้ามา เพื่อไม่ให้มีใครตกหล่นจากโครงการ และเพราะมีผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้เป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ต้องขยายพื้นที่ศูนย์การเรียนรู้ออกไปถึง 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ที่ 1 ศูนย์ปากลัด อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้พื้นที่บริเวณสวนปาล์มของครอบครัว บอม – ภัทศรุท ประเสริฐ อายุ 18 ปี หัวหน้าทีมแกนนำเยาวชนเป็นพื้นที่ศูนย์ฯ ศูนย์ที่ 2 วัดศรีพนมพลาราม อำเภอท่าชน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ติดเขตจังหวัดชุมพร และศูนย์ที่ 3 สำนักสงฆ์เกาะเวียงทอง อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการที่กำลังพูดถึงอยู่นี้มีชื่อว่า “โครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญามโนราห์บ้านปากลัด”

มโนราห์ไม่ใช่แค่การร่ายรำ

“เป้าหมายชีวิตของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน การเดินทางในชีวิตของผมได้เรียนได้ทำงานประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว บ้านผมเป็นมโนราห์สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ผมอยากกลับมาต่อยอดความเป็นศิลปะของปู่ย่าตายายไม่ให้หายไป” เป็นคำพูดของ ชานนท์ ปรีชาชาญ เด็กหนุ่มวัย 30 ปี ที่รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงโครงการให้ กลุ่มเยาวชนมโนราห์บ้านปากลัด

ชานนท์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิทยาศาสตร์ (วท.บ) เดิมรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัด (OR) และช่วยดูแลเคสให้กับแพทย์ในโรงพยาบาล จะว่าแปลกก็ได้จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิง ชานนท์ลาออกจากงานประจำตามสายงานที่ได้ร่ำเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย ออกมาทำธุรกิจส่วนตัวเปิดคณะมโนราห์เป็นของตัวเองชื่อคณะพี่เสือรามจันทร์ น้องสิงห์ศิลป์ชัย จนได้ชื่อว่าเป็นครูภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านมโนราห์คนหนึ่ง ลองนึกดูว่ากว่าจะศึกษาเล่าเรียนจนจบมาใช้เวลาไม่น้อย แต่ชานนท์บอกว่า มโนราห์อยู่ในตัวตนของเขามาตั้งแต่เกิด การตัดสินใจของเขาไม่ได้มีใครคนไหนในครอบครัวบังคับ

“บ้านผมเป็นมโนราห์สองฝ่ายทั้งฝ่ายคุณพ่อและคุณแม่ ฝ่ายคุณพ่อเป็นมโนราห์ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดนครศรีธรรมราช หรือที่เรียกว่ามโนราห์วันเฒ่าเมืองนคร ท่านมีศักดิ์เป็นคุณทวดของผม ทางสายของคุณแม่เป็นมโนราห์นาคไกรนรากับมโนราห์อาวร ชัยชาญ หรือบัณฑิตา ถ้านับกันในทางมโนราห์บ้านผมเรียกว่าเลือดบริสุทธิ์ เป็นเลือดมโนราห์ทั้ง 8 ตระกูล เพราะคุณทวดทั้ง 8 คนเป็นมโนราห์ทั้งหมด รุ่นคุณแม่ผมรับราชการครูจบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์นครศรีธรรมราช ท่านอยู่กับเรื่องศิลปวัฒนธรรมแบบนี้อยู่แล้ว เมื่อก่อนคุณแม่เปิดศูนย์การเรียนทำกิจกรรมสอนมโนราห์ในโรงเรียนขนาดเล็ก อำเภอบางขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อว่าโรงเรียนเจริญรัชต์ภาคย์ซึ่งเคยมีชื่อเสียง ผมเห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอด”

หากบอกว่ามโนราห์เป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับคนทางใต้คงไม่ผิด แต่น้อยคนนักที่จะรับรู้ที่มาที่ไปเว้นแต่ครอบครัวที่มีความเกี่ยวข้องกับโนราทางสายเลือดที่ยังคงไว้ซึ่งความศรัทธา มโนราห์ในแถบลุ่มน้ำตาปีหรือแถบอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ฯ ซึ่งติดเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช มีศิลปะการร่ายรําไม่เหมือนกับการรำมโนราห์แถบสุราษฎร์ธานีตอนบนและไม่เหมือนกับการรำแถบนครศรีธรรมราชตอนล่างรวมถึงพัทลุง แต่มีอัตลักษณ์ดั้งเดิมตามแบบบรรพบุรุษ จุดเด่นเหล่านี้ทำให้เด็กเยาวชนสนใจอยากค้นหาความรู้ ที่สำคัญมโนราห์ไม่ใช่เรื่องของการรำเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการบรรเลงดนตรี การเย็บปักชุดเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ เช่น การทำเทริด ทำหน้าพราน การร้อยลูกปัดเป็นเครื่องทรงส่วนต่างๆ เช่น ปิ้งคอ บ่า รอบอก หางหงส์ ปีกเหน่งและหน้าผ้า รวมถึงขั้นตอนการประกอบพิธีกรรม

ศิลปวัฒนธรรมที่หลายคนอาจมองเห็นแค่การร้องรำหรือเป็นแค่การแสดง แต่ครูชานนท์ บอกว่า นอกจากเรื่องการสืบทอดภูมิปัญญาด้านศิลปะวัฒนธรรมแล้ว สุนทรียภาพและมนต์เสน่ห์ของโนรายังเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเชิงลบให้เด็กเยาวชนในชุมชนได้ การให้ความเคารพต่อบรรพบุรุษ พ่อแม่และครูบาอาจารย์เป็นแก่นแท้อย่างหนึ่งของมโนราห์ บทกลอนและคำร้อง ล้วนสอดแทรกคำสอน คุณธรรมจริยธรรมและคติธรรมที่ช่วยขัดเกลาจิตใจแก่ทั้งผู้ชมและผู้เรียนรู้การแสดงเอง

กระจายฐานที่มั่น จากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นสาม

การวางระบบการเรียนรู้ในศูนย์ให้มีการส่งต่อความรู้จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องและให้เด็กเยาวชนออกไปเรียนรู้กับครูภูมิปัญญาคนอื่นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกของครูชานนท์

“ผมไม่ได้คาดหวังว่าเด็กๆ จะต้องเป็นมโนราห์หรือว่าเขาจะต้องเป็นนักแสดงที่โดดเด่น แต่เป้าหมายการเปิดศูนย์มโนราห์ของผมคือการส่งต่อภูมิปัญญา ในวันที่ไม่มีครูแล้วรุ่นพี่ที่สามารถสอนรุ่นน้อง แล้วรุ่นน้องไปสอนรุ่นต่อไปได้ ดึงเด็กๆ ให้หันเหจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ให้โทษ”

บอม – ภัทศรุท ประเสริฐ อายุ 18 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา เป็นตัวตั้งตัวตีอยากทำโครงการนี้ ตอนนั้นบอมยังเรียนอยู่โรงเรียนเวียงสระ เมื่อรู้ข่าวจึงชักชวนครูชานนท์ให้มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงประจำโครงการ

“ตอนแรก ๆ ผมไม่สนใจ ไปเที่ยวงานวัดได้เห็นมโนราห์คณะหนึ่งทำการแสดง ผมเริ่มรู้สึกชอบเพราะเป็นการแสดงที่สร้างบรรรยากาศสนุกไม่เครียด มีมุกตลกและสาระไปพร้อมกัน เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนผมเคยให้เรียนรำมโนราห์ เว้นช่วงไป 10 กว่าปีมานี้มโนราห์หายไปจากชุมชน ผมอยากให้มโนราห์กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เพราะบรรพบุรุษผมรำมโนราห์ คุณทวดก็รำมโนราห์ได้แต่หลังจากนั้นมาไม่มีคนสืบต่อ” บอม เล่า

สำหรับกระบวนการเรียนรู้ บอม เล่าว่า การฝึกฝนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยตามความสนใจหลักของผู้เรียน ได้แก่ กลุ่มรำ กลุ่มดนตรี และกลุ่มงานประดิษฐ์ เมื่อเรียนรู้ในสิ่งที่อยากรู้จนหนำใจแล้ว พวกเขาสามารถสลับสับเปลี่ยนไปฝึกฝนทักษะในกลุ่มอื่นควบคู่ไปด้วยในเวลาว่าง จากที่วางเป้าหมายรับสมัครเด็กเยาวชนในพื้นที่บ้านปากลัดและชุมชนใกล้เคียงแค่ 20 คน หลังรวมกลุ่มเรียนรู้พวกเขานำภาพบรรยากาศการทำกิจกรรมเผยแพร่ลงเฟสบุคทำจนได้รับการเผยแพร่ไปในวงกว้าง รวมถึงการบอกต่อปากต่อปาก ถึงตอนนี้กลุ่มเยาวชนมโนราห์บ้านปากลัดขยายตัวจนมีสมาชิกเพิ่มถึง 400 คน กระจายออกไปยัง 3 พื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางของเด็กเยาวชนที่อยู่ห่างไกลออกไป

ครูชานนท์ เล่าถึงแนวคิดที่ต้องขยายศูนย์จาก 1 แห่งเป็น 3 แห่งว่า “เด็กๆ มาจากหลายครอบครัวหลายโรงเรียน หลายอำเภอ ผมเห็นใจเด็กที่เดินทางมาทุกวันเสาร์ จากพื้นที่ไกล ๆ ระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร เช่น อำเภอท่าชนะกับอำเภอเวียงสระตั้งอยู่เหนือสุดและใต้สุดของสุราษฎร์ธานี เด็กต้องนั่งรถไฟมาเรียนรู้ หรือพ่อแม่เด็กขับรถกระบะมากันเป็นกลุ่มนั่งหลังรถตากแดดมา ผมเลยขยายพื้นที่การเรียนรู้เพิ่มแล้วเดินทางไปหาเด็กเอง เพราะมีความปลอดภัยในการเดินทางมากกว่า”

“ศูนย์ทำกิจกรรมทั้ง 3 กลุ่มย่อยพร้อมกันในหนึ่งวัน กลุ่มรำฝึกฝนท่ารำ กลุ่มเครื่องดนตรีฝึกฝนการบรรเลง ซ้อมเดี่ยวบ้างซ้อมกลุ่มบ้างตามความเหมาะสม ส่วนกลุ่มประดิษฐ์เน้นการเย็บปักถักร้อยชุดมโนราห์ด้วยลูกปัดซึ่งมีความละเอียดอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรเป็นหลัก ทุกคนจะได้เรียนพื้นฐานความเป็นวงมโนราห์ด้วยกันเพราะทุกส่วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การเรียนรู้ในแต่ละครั้งมีครูชานนท์และรุ่นพี่มาช่วยสอน ผมรับหน้าที่ดูภาพรวม ดูความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของแต่ละกลุ่ม” บอม อธิบาย

ไม่เพียงแค่การฝึกฝนร่วมกันภายในศูนย์เท่านั้น ครูชานนท์ยังรับบทบาทเป็นตัวเชื่อมแนะนำให้เด็กรู้จักกับครูภูมิปัญญาที่ยังมีชีวิตอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรราชและจังหวัดพัทลุง เช่น มโนราห์ชาตรี พระเเสงศิลป์ มโนราห์อำนาจศิลป์ มโนราห์สุรินทร์ เชื้อบ้านเกาะ มโนราห์อรอุมา ศ. มณฑาศิลป์ มโนราห์สมทรง เทพทองศิลป์ และมโนราห์สุวิทย์ หอมกลิ่น ส่วนเด็กๆ เป็นแนวหน้าพูดคุยซักถามสิ่งที่ตนเองสงสัย อยากรู้ และต้องการหาคำตอบ

“ทุกครั้งที่ผมไปแสดงผมจะหาเวลาพาเด็กกลุ่มนี้เข้าไปเรียนรู้ในชุมชนต่างๆ ด้วย เน้นให้เขาพัฒนาความรู้ไม่ใช่มาถึงก็เรียนรำอย่างเดียว ฝึกให้เขารู้จักการซักถามผู้ใหญ่ ตั้งโจทย์กันมาก่อนไปสัมภาษณ์ แล้วก็ให้กลุ่มคัดเลือกคำถามเหลือ 10 เรื่อง จาก 100 เรื่อง เอาเฉพาะคำถามสำคัญ ผมเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าเด็กมีความคิดเหนือจากสิ่งที่เราคาดหวังไว้ด้วยซ้ำ บางอย่างถึงทำได้ไม่ดีเท่ากับที่เราทำก็ไม่เป็นไร แต่เขาแก้ไขสถานการณ์ได้ แก้ไขสิ่งที่ทำผิด รู้จักวางแผน กล้าคิดกล้าพูดมากขึ้น

การทำงานในกลุ่มมีการตกลงตั้งแต่แรกว่าหลังจากเสร็จกิจกรรมทุกครั้ง เมื่อน้องๆ กลับบ้านไปหมดแล้ว กลุ่มแกนนำจะมานั่งประชุม เขียนสรุปทุกครั้งว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง ผลลัพธ์ที่ได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ไหม ถ้าไม่ได้เขาจะแก้ไขอย่างไร แนะนำให้ลองวิธีการใหม่ ลองใช้เครื่องมือใหม่ ผมมองว่านอกจากเป้าหมายที่เขาต้องการเดินไปให้ถึงตามแผน เหนือสิ่งอื่นใดคือการลองผิดลองถูกที่ทำให้เขาเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง” ครูชานนท์ กล่าว

คุณค่าของมโนราห์ – สืบสาน ต่อยอด ส่งต่อ

“ครอบครัวผมพ่อแม่เล่นการพนัน ผมอยากหลีกเลี่ยงจากตรงนั้น ผมอยากเข้ามาปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองใหม่ ไม่อยากไปอยู่กับการพนันแล้วเพราะอยากมีอนาคตที่ดี เมื่อเข้ามาอยู่ในโครงการผมประสบความสำเร็จ หลีกเลี่ยงจากการพนันได้ อนาคตผมอยากป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษแและอยากมีอาชีพมโนราห์ควบคู่ไปด้วย” เค เลขาของกลุ่มกล่าวอย่างมุ่งมั่น

ปัญหาเรื่องการพนัน ยาเสพติด และการทะเลาะวิวาท เป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับชุมชนปากลัด แต่มโนราห์หันเหความสนใจทำให้เกิดการรวมกลุ่มอย่างจริงจังและเหนียวแน่นของเด็กและเยาวชนที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ชีวิตเลือกได้และมีทางเลือกเสมอ”

“ตั้งแต่ทำโครงการมาปัญหาเรื่องการพนันและเด็กยากไร้น้อยลง บางบ้านไม่ให้ความสำคัญเรื่องการเรียนของลูก ทางศูนย์ช่วยกันระดมทุนเพื่อไปช่วยเหลือเด็กตามบ้าน ส่วนเรื่องการพนันเราได้ดึงเด็กกลุ่มเสี่ยงออกมาจากวงพนันตรงนั้น ให้พวกเขามาร่วมเรียนรู้และทำกิจกรรมกับเรา หลังจากนั้นพอเขาเริ่มพัฒนาทักษะของตัวเองได้ดี เราชวนเขาไปออกงานกับคณะมโนราห์บ้านปากลัด เพื่อสร้างรายได้ให้ตัวเอง เขาจะได้มีเงินออมกลับไปให้ครอบครัว เวลาที่ผมไปแสดงมโนราห์ ผมใช้วิธีหมุนเวียนเด็ก ให้เด็กไปครั้งละประมาณ 14 – 20 คน สลับกันไป รายได้ของพวกเขาต่อการแสดงหนึ่งครั้งประมาณ 200 – 400 บาท ในหนึ่งเดือนพวกเขาจะได้ไปประมาณ 2 – 5 งาน ขึ้นอยู่กับเวลาว่างของเด็กและการจ้างงานของผู้ว่าจ้าง ช่วงเทศกาลงานเยอะมาก เด็กมีรายได้ตรงนี้เกือบทุกวัน ผมให้ผู้ปกครองทำสมุดบัญชี ทุกครั้งที่ได้เงินให้นำเงินไปฝากและนำสมุดบัญชีมาให้ผมดู เด็กมีเงินออมหลักพันถึงหลักหมื่น งานส่วนใหญ่ที่ผมชวนเด็ก ๆ ไปจะไม่ให้กระทบกับเรื่องการเรียนของพวกเขา” ครูชานนท์ กล่าว

ชีวิตจริงของเด็กอยากทำอะไรมากมาย นอกจากการไปโรงเรียนหรือการเรียนหนังสือให้เก่ง ครูชานนนท์จึงไม่เคยปิดกั้นการเรียนรู้ ตัวละครเอกในการเล่นมโนราห์ของที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างสูงโปร่งหรือต้องหน้าตาดี จะสูง ต่ำ ดำ ขาว หรือรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ร่วมกันได้ เพราะศิลปะการแสดงมีสรรพคุณช่วยพัฒนาศักยภาพและบุคลิกภาพของผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้

บอม บอกว่า การเข้ามาเรียนรู้ในโครงการสอนให้ยอมรับความต่างและไม่ตัดสินคนอื่นจากภายนอก

“เด็กบางคนร่างใหญ่หรือตัวใหญ่ เราให้เขาลองดู พัฒนาไปเรื่อย ๆ เริ่มจากท่าง่ายก่อน ที่อื่นอาจไม่รับเด็กกลุ่มนี้ แต่ครูชานนท์เปิดโอกาสให้เข้ามา ไม่ได้ให้มาเป็นแค่ตัวตลกในการแสดง แต่เป็นตัวหลัก จากที่เขาไม่เคยมีโอกาส เขาได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมาซึ่งเขาก็ทำได้ พอมีงานรำได้แต่งหน้าทำผมแต่งตัวสวยๆ ทุกคนก็ดูดีเหมือนกัน” บอม บอกเล่าจากประสบการณ์

“คุณค่าที่เกิดขึ้น คือ เด็กเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้น จากแต่ก่อนผู้ใหญ่อาจมองว่าเด็กไม่สามารถทำอะไรได้ พอศูนย์การเรียนรู้เกิดเป็นรูปธรรม ผู้ใหญ่เห็นว่าเด็กทำงานได้ ประสานงานกับผู้ใหญ่ได้ เช่น ครอบครัวของเด็กในศูนย์คนหนึ่งคุณพ่อเสีย คุณแม่เป็นมะเร็ง น้อง ๆ ในศูนย์ช่วยกันประสาน พม. (กระทรวงการพัฒนาสังคมและสวัสดิการมนุษย์) มาให้ความช่วยเหลือ ทำให้เกิดการยอมรับของคนในชุมชน น้องที่สมาธิสั้น (LD) มาฝึกกับเรา ผู้ปกครองบอกว่าลูกของเขาเปลี่ยนไป จากเด็กที่ใช้อารมณ์กับพ่อแม่ ใช้อารมณ์กับครู กลับพูดจาอ่อนน้อมขึ้น” ครูชานนท์ กล่าว

มโนราห์เป็นสื่อกลางทำให้เด็กเยาวชนได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและทำให้พวกเขามองเห็นคุณค่าและศักยภาพในตัวเอง เค บอกว่า ผลการเรียนของเขาดีขึ้นจากเดิมมาก จากเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2 กว่า หลังเข้าร่วมโครงการผลการเรียนของเขาดีขึ้นถึงระดับ 3.50 แต่ที่ดีกว่านั้นคือการมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

“ก่อนร่วมโครงการ ผมอยู่วงพนันกับพ่อแม่ทั้งคืนได้นอนตอนเช้า เรียนไม่รู้เรื่องเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ อยู่ในครอบครัวแต่ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น ตรงนั้นคือจุดต่ำสุดแล้วในชีวิตผม ตอนนี้สภาพจิตใจผมดีขึ้น ในโครงการมีพี่ๆ น้องๆ ที่สามารถปรึกษาได้ อยู่ร่วมกันแล้วมีความสุข ผมว่าผมมีชีวิตที่สดใสกว่าเดิม เรื่องมโนราห์เป็นสิ่งที่เกินคำบรรยาย ผมรู้สึกตื้นตันมากตอนได้รำ เคยคิดว่ามาอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างไร ทีแรกคิดแค่ว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีอยู่เสมอ เราต้องลองทำต้องรับไว้ วัฒนธรรมไทยแขนงนี้เป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม ทั้งดนตรีและท่ารำที่แตกต่างจากวัฒนธรรมอื่น มีอัตลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ผมอยากรักษาและส่งต่อศิลปะการแสดงนี้ให้รุ่นน้องต่อไป” เค กล่าวทิ้งท้าย

ครูชานนท์ กล่าวว่า มโนราห์มีความเชื่อเรื่องการนับถือครูโนราและบรรพบุรุษ เรียกว่า ‘ครูหมอโนรา’ หรือเรียกว่า ‘ครูหมอตายาย’ คนทางภาคใต้ส่วนใหญ่มีตายายเป็นโนรา สมัยก่อนคนที่มีความสามารถ เป็นที่เคารพ เป็นคนดี คนเก่ง ต้องสามารถรำโนราได้ ครูหมอโนราจึงถือเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่หลายองค์ เช่น แม่ศรีคงคาหรือแม่ศรีมาลา พ่อเทพสิงหร ขุนพราน ยาพราน พรานบุญ (หน้าทอง) พรานทิพ พรานเทพ พ่อขุนศรัทธา หลวงสุทธิ์ นายแสน หลวงคงวังเวน พระยาโถมน้ำ พระยาลุยไฟ พระยาสายฟ้าฟาด พระยามือเหล็ก พระยามือไฟ และตาหลวงคง เป็นต้น

ครูชานนท์เน้นย้ำเสมอว่า มโนราห์เป็นศิลปวัฒนธรรมที่อยู่คู่ความเชื่อ ดังนั้น ไม่ควรเอาความเชื่ออย่างเดียวมาเป็นบรรทัดฐาน หรือมาชี้นำจนทำให้เกิดความหวาดกลัว

“การที่เรามาทำเรื่องมโนราห์ เรามารักษาภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษซึ่งเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่ง มโนราห์แบ่งออกเป็นมโนราห์พิธีกรรมกับมโนราห์รำหรือเพื่อความบันเทิง สำหรับการร่ายรำแบบพิธีกรรมโรงครูในพิธีกรรมจะมีการเข้าทรงผีบรรพบุรุษ ผมสอนเด็กว่าการทรงเป็นกุศโลบายที่ต้องการให้ผู้สืบทอดหรือลูกหลานระลึกถึงคุณของบรรพบุรุษ ไม่ใช่เรื่องผีสางเพราะถ้าไม่มีบรรพบุรุษก็ไม่มีเรา” ครูชานนท์ กล่าว

เครื่องดนตรีเบญจสังคีตสำหรับบรรเลงมโนราห์ ประกอบด้วย

ทับโนรา (โทนคู่) มีเสียงต่างกันเล็กน้อย โดยมีคนตีเพียงคนเดียว เครื่องตีมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมจังหวะ และเป็นตัวนำในการเปลี่ยนจังหวะทำนอง ว่ากันว่าผู้ตีทับที่ดีต้องรู้เชิงของผู้รำ เพราะการเปลี่ยนจังหวะ เปลี่ยนตามจังหวะการรำของผู้รำ ไม่ใช่ผู้รำเปลี่ยนลีลาตามดนตรี ผู้ที่ทำหน้าที่ตีทับจึงต้องนั่งมองเห็นผู้รำตลอดเวลา

กลองทัดขนาดเล็ก (โตกว่ากลองหนังตะลุงเล็กน้อย) ทำหน้าที่เสริมเน้นจังหวะและล้อเสียงทับ

ปี่ เป็นเครื่องเป่าเพียงชิ้นเดียวในวง ปี่มีเพียง 7 รู แต่สามารถกำหนดเสียงได้ถึง 21 เสียง

โหม่ง (ฆ้องคู่) มีเสียงต่างกัน เสียงแหลมเรียกว่า “เสียงโหม้ง” ส่วนเสียงทุ้มเรียกว่า “เสียงโหม่ง”

ฉิ่ง เป็นเครื่องดนตรีเสริมแต่งเน้นจังหวะ การตีฉิ่งมโนราห์แตกต่างจากการกำกับจังหวะของดนตรีไทย

แกระ (กรับ) มีทั้งกรับอันเดียวที่ใช้ตีกระทบกับรางโหม่ง หรือกรับคู่ และมีที่ร้อยเป็นพวง
โครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญามโนราห์บ้านปากลัดเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนบนฐานความรู้สู่การขับเคลื่อนงาน Active Citizen จังหวัดสุราษฎร์ธานี” ดำเนินการโดย ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สุราษฎร์ธานี สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

Tags:

active citizenproject based learningศิลปะการแสดงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชุมชน : เด็กๆ สงสัย คิดค้น และเขียนด้วยตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

“โรค”จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (1): อาหารไม่ย่อย ขี้กลัว ภูมิแพ้ เพราะพ่อแม่ห่วงหรือบ่นมากไป
Early childhoodFamily Psychology
9 December 2020

“โรค”จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (1): อาหารไม่ย่อย ขี้กลัว ภูมิแพ้ เพราะพ่อแม่ห่วงหรือบ่นมากไป

เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อโรคทางกายบางโรคไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคภายนอก แต่มาจากเชื้อโรคที่อยู่ในใจของเรา ซึ่งรับมาผ่านการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง
  • โรคพ่อแม่ทำตอนที่ 6 จะยกเคสโรคทางกายที่เกิดจาก ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ได้แก่โรคภูมิแพ้ การขับถ่าย และระบบทางเดินอาหาร

การพูดคุยในตอนนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ ‘โรคแม่ทำ’ ของสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน เขียนโดยนายแพทย์คิวโทกุ (ศ.นพ.ชิเงโมริ คิวโทกุ) เขาเล่าว่า มีเคสคนญี่ปุ่นป่วยด้วย ‘โรคพ่อแม่ทำ’ จำนวนมาก ในหนังสือคุณหมอบอกไว้ชัดเจนว่า โรคเหล่านี้เป็นเหมือนโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย อาจเพราะหาสาเหตุการป่วยไม่ได้แม้ว่ายุคนี้เรามีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมสำหรับช่วยในการรักษาเยอะมาก แต่โรคเรื้อรังเหล่านี้กลับรักษาไม่หาย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โรคที่เด็กยุคนี้เป็นกันเยอะอย่างโรคภูมิแพ้ เด็กเป็นหวัดง่ายขึ้น วิธีแก้แม่ก็ไม่รู้ ไปหาหมอๆ ก็เพิ่มยาไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นดื้อยา ส่งผลพวงต่อเนื่องเยอะแยะไปหมด

ซีรีส์ ‘โรคที่เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่’ เราจะมาขยายให้เห็นภาพและเข้าใจมากขึ้นว่า ‘โรคพ่อแม่ทำ’ แสดงออกเป็นอาการทางกายและทางใจอย่างไรบ้าง ผ่านการยกเคสโรคต่างๆ เพราะบางทีตัวเราเองอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า โรคที่เราเป็นอยู่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคข้างนอก แต่เป็นเชื้อโรคที่อยู่ในใจเรา เป็นผลจากการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง หรือคุณครู โดยตอนที่ 1 เราจะเริ่มกันที่โรคภูมิแพ้ การขับถ่าย และระบบทางเดินอาหาร

บทความนี้ถอดความมาจาก Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ตอนที่ 6 ความรักทำร้ายลูก 1 ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

รับฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่นี่

โรคภูมิแพ้

เคสแรกที่หนังสือยกมา เป็นเคสเด็กชายคุนิโอะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ผมขอเล่าโดยรวบรัดนะครับ เขาเป็นเด็กที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัดง่าย รักษาเท่าไรก็ไม่หาย จนแม่พาไปรักษากับคุณหมอคิวโทกุ วิธีรักษาง่ายมาก คุณหมอให้เด็กรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล อยู่ห่างจากแม่ แล้วอาการเด็กดันดีขึ้น ฟังดูเจ็บปวดนะเด็กชายคุนิโอะหายจากโรคภูมิแพ้เพราะอยู่ห่างจากแม่ เพราะเขาได้มีโอกาสเล่นกับเด็กตามปกติ ได้เรียกความมั่นใจบางอย่างกลับมา 

ทีนี้ก็เลยอยากจะชวนครูณาคุยว่า ในเมืองไทยก็มีคนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เยอะนะ ทัวร์อาจจะลงถ้าเราจะบอกว่าโรคอย่างนี้บางทีมันก็ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แล้วบางทีหมอเองก็รักษาไม่ได้ อยากให้ครูณาช่วยเล่าเคสที่ครูณาเคยเจอว่า เด็กที่เกิดมาแล้วป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ เป็นไซนัส เกิดจากการเลี้ยงดูแบบไหน?

ก่อนจะเข้าเรื่อง พี่เป็นห่วงความรู้สึกของพ่อแม่ที่กำลังฟังอยู่ คือเราไม่ได้พูดประเด็นนี้เพื่อให้พ่อแม่ฟังแล้วรู้สึกผิด รู้สึกแย่กับตัวเองนะ เพราะพี่ก็เป็นคนหนึ่งที่วาดภาพฝันว่าอยากให้ลูกของเราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ พี่ก็เคยมีการจัดการลูกคนแรกที่ผิด แต่พี่อาจโชคดีตรงที่พอถึงวันที่เราเริ่มรู้สึกว่าลูกเราทุกข์ พี่ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองทันที กลายเป็นว่าพอเราเรียนรู้มากขึ้น ข้อมูลที่เราได้รับมันทำให้พี่รู้สึกว่าพี่ต้องตื่น เหมือนเราใช้ชีวิตโดยที่เราไม่รู้ แล้วความไม่รู้ของเรามันก็ทำให้ชีวิตยากมากขึ้น 

พี่เรียนลงลึกถึงเรื่องจิตวิญญาณมนุษย์ จนพี่เข้าใจว่า เฮ้ย… ด้วยสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูแบบไหนที่จะทำให้เด็กเติบโตมาอย่างแข็งแรง แล้วความแข็งแรงทางด้านจิตวิญญาณมันดีอย่างไร พี่ก็พบว่าความเจ็บป่วยของร่างกายมนุษย์ 80 – 90 เปอร์เซ็นต์มันเกิดจากจิตใจ ส่วนที่เป็นความเจ็บป่วยจริงๆ คือมาจากอุบัติเหตุ เพราะมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น อาการเจ็บป่วยทางกายหลายโรค หรือโรคเรื้อรัง 90 เปอร์เซ็นต์ คือ มาจากจิตใจ 

วันนี้พี่อยากให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ว่า ถ้ามันเกิดเรื่องแบบนี้กับลูกของเราไปแล้ว พี่อยากให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเลยว่าเราโชคดีที่วันนี้เราได้รู้จักองค์ความรู้นี้แล้ว อาจจะลองฟังเพื่อไปพิจารณาแล้วหาความรู้เพิ่มเติม เพราะว่าฟังแค่ 2 – 3 ตอน คงทำให้คุณพ่อคุณแม่แก้ไขปัญหาทั้งหมดไม่ได้ ลองหาความรู้เพิ่มเติม ทำความเข้าใจในเชิงของ spiritual หรือจิตวิญญาณจริงๆ เราจะแก้ไขปัญหาของลูกได้ แล้วมันทำให้เรามีพลังชีวิตสูงมากด้วยนะ ทั้งเราและลูกเราก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแรงแบบสุดๆ เพราะเมื่อก่อนตัวพี่เป็นคนที่เครียดแล้วเราก็ไม่ค่อยเข้าใจชีวิต พี่จะป่วยทุกเดือน แต่พอเราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ตัวเราก็แข็งแรงขึ้น

เพราะฉะนั้น พี่ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ฟังแล้วรู้สึกว่า แย่จัง แต่เป็นฟังแล้วรีบลุกขึ้นมาตั้งหลักหาความรู้ แล้วจัดการให้ดี ซึ่งตรงนี้เราก็จะกลับมาที่คำถามของเม้ง เรื่องโรคทางลมหายใจ อาการหอบหืด 

โรคฮิตที่เราเห็นคนเป็นกันง่ายขึ้น คือ โรคภูมิแพ้ บางคนอาจจะโทษว่าเป็นเพราะอากาศ แต่จริงๆ อากาศอาจจะเป็นสาเหตุแค่ส่วนหนึ่งถูกไหมครับ?

โรคภูมิแพ้แบ่งเป็น 2 แบบคือ ภูมิแพ้ทางกายกับภูมิแพ้ทางใจ เม้งอยากเริ่มโรคภูมิแพ้ทางกายหรือทางใจก่อนล่ะ? 

เอาทางกายก่อนละกันครับ ถึงจะเกิดทางกายแต่ว่าก็มีสาเหตุมาจากจิตใจใช่ไหมครับ? ผมอยากเสริมที่ครูณาพูดไปเมื่อสักครู่ว่า อยากให้พ่อแม่ฟังแล้วคิดว่าโชคดีมากกว่า เพราะบางโรคไปหาหมอรักษา กินยาเท่าไรก็ไม่หาย อาจจะเพราะมันไม่ใช่สาเหตุจริงๆ ซึ่งถ้ารู้วิธีแก้อาจจะง่ายกว่านั้น

พี่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตว่า ถ้าเราพาลูกไปรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน ลูกโดนเพิ่มปริมาณยาแต่ไม่หายสักที จริงๆ มันควรจะเป็นการรักษาที่ลูกต้องหายแล้วถูกไหม? แต่ถ้าไม่ แสดงว่าเรารักษาไม่ตรงสาเหตุ ถ้าเราเจอสาเหตุแปลว่าเราโชคดี อย่าไปรู้สึกว่า โอ้โห…เราแย่จัง แต่ให้รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดในอดีตเกิดจากความไม่รู้ และตัวเราก็ทำดีที่สุดแล้ว แต่วันนี้เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยความรู้

ที่เม้งบอกว่า เป็นโรคทางกายแต่สาเหตุมาจากจิตใจ พวกโรคทางลมหายใจ หรือโรคหอบหืด เม้งเคยได้ยินคำว่าปอดแหกไหมล่ะ? อาการมันเกิดจากอะไร

ความกลัวไหมครับ?

ใช่ โรคทางลมหายใจโดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากจิตใจ มักจะเกิดกับเด็กในวัยเล็กๆ มาจากการเลี้ยงดูของคุณแม่ แต่คุณพ่อก็มีผลที่ทำให้เกิดอาการของคุณแม่เนอะ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณพ่อฟังอยู่ก็ต้องเข้าใจว่า คุณพ่อก็มีส่วนสำคัญมากๆ ในการดูแลจิตใจของคุณแม่ 

โรคนี้เกิดจากความวิตกกังวลและความกลัวที่สูงมาก ส่งผลทำให้ปอดไม่แข็งแรง เด็กที่เป็นโรคพวกนี้ก็จะมีคุณแม่ที่บางทีเน้นเรื่องความสะอาด มีความระมัดระวัง มีความวิตกกังวล กลัวนู่นกลัวนี่สูงเต็มไปหมด พอเด็กเริ่มสะสมความกลัวหรือความวิตกกังวลที่มาจากแม่ หรือคนที่เลี้ยงเขา ก็ส่งผลต่อระบบทางลมหายใจของเขา ทำให้เขาหายใจยาก สิ่งที่เกิดขึ้น คือ พอเขาเกิดอาการ แม่ก็ยิ่งกลัว ทำให้ยิ่งจัดการละเอียดเข้มงวดขึ้น กลายเป็นบ่มเพาะปลูกฝังให้เด็กรู้สึกว่า เขาคือคนที่อ่อนแอ เขาคือคนที่แพ้นู่นแพ้นี่แพ้นั่น ยิ่งถ้าเขาคิดแบบนี้ อาการแพ้ของเขาจะรุนแรงมากขึ้น 

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เกิดจากคนที่รู้สึกถึงความวิตกกังวล กลัวความสกปรก กลัวที่จะรับนู่นรับนี่ แต่ความเป็นจริงแล้วเชื้อโรคมันอยู่ในธรรมชาติ และจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายเรา เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทานบางอย่างให้กับลูกนะ

พี่ขอยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ แต่ก่อนสิงคโปร์สภาพบ้านเมืองเขาจะเต็มไปด้วยคอนกรีต แต่มายุคหลังๆ ต้นไม้เยอะขึ้น เพราะเขาประกาศว่าจะทำให้สิงค์โปรเป็นประเทศสวนสาธารณะใหญ่ที่สุดในโลก สาเหตุอีกอย่าง คือประมาณ 20 ปีที่แล้วสิงค์โปรมีเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปากจำนวนมาก แล้วป่วยทีหนึ่งทำเด็กตายได้เลยนะ ถือเป็นโรคร้ายแรง สิงคโปร์เขาก็เริ่มสังเกตว่า เอ๊ะ! แล้วทำไมคนบางประเทศเป็นแล้วโรคนี้ถึงไม่ร้ายแรง เขาก็ค้นพบว่า เด็กประเทศเขาอยู่แต่กับคอนกรีต ไม่เคยได้จับดินจับทราย หรือจับอะไรที่เป็นธรรมชาติ ทำให้ไม่มีภูมิต้านทานข้างใน ดังนั้น พอเจออะไรที่เป็นเชื้อโรคก็ทำให้มือลอก และยิ่งไม่มีภูมิต้านทานก็กลายเป็นเชื้อโรคลุกลามได้เร็ว 

พอรู้ว่า นี่คือสาเหตุที่ทำให้เด็กของเขาตายด้วยโรคมือเท้าปาก ขณะที่เด็กไทยบ้านเรานั่งลอกมือเล่นๆ ก็ไม่เป็นไร ทำให้รู้เลยว่าถ้าเกิดโรคนี้กับเด็กไทยคนไหน แปลว่าเด็กคนนั้นอาจถูกเลี้ยงดูด้วยความสะอาดมากเกินไป 

เพราะเด็กเขาเป็น Indoor Generation ไม่ได้ออกไปไหน

ใช่ ไม่ได้เล่นทรายที่ทะเล ไม่ได้เล่นสนามหญ้าเลย พอทำงานวิจัยรู้สาเหตุปุ๊บ สิงคโปร์ก็จัดการรื้อคอนกรีต สร้างสภาพแวดล้อมใหม่ โรคนี้ก็ค่อยๆ หายไป

เพราะฉะนั้น เวลาที่วิตกกังวลแล้วเราไปมุ่งแก้ปัญหาเรื่องความสะอาดมากเกินไป เช่น เด็กยิ่งป่วยยิ่งต้องสะอาด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราบ่มเพาะความอ่อนแอให้เด็ก จนกระทั่งเด็กมีบุคลิกภาพบางอย่าง เช่น จะเรียนว่ายน้ำ แต่ลูกเล่นไม่ได้ ได้แต่นั่งหงอยดูคนอื่น บุคลิกภาพนี้มันกลายเป็นความอ่อนแอที่คนจะรู้สึกว่า ไอนี่มันป่วยบ่อย ไอนี่มันไม่มีแรง คือยิ่งคิดแบบนี้เขาก็ยิ่งเป็นๆๆ หนักกว่าเดิม

เหมือนเคสเด็กชายคุนิโอะ ที่พอแม่ไปห้ามเขาทำนู่นทำนี่ เขายิ่งรู้สึกว่าอ่อนแอ ความมั่นใจหายไป 

ใช่ มันคือ Sense of Touch เด็กเกิดมาเขายังไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ เด็กจะคิดว่าตัวเองกับโลกใบนี้คืออะไรผ่านการสัมผัส ซึ่งถ้าตอนท้องแม่มีความรู้สึกที่ดี ลูกก็จะเกิดมาด้วยความมั่นคง แต่ถ้าแม่เต็มไปด้วยความกลัว พอลูกเกิดมา แม่ก็เลี้ยงดูเขาโดยที่เต็มไปด้วยความกลัว เด็กรับพลังงานความกลัวของแม่ผ่านการสัมผัส (touch) ทำให้เขามองว่าโลกใบนี้น่ากลัว และฉันต้องระมัดระวังอะไรเยอะมากในการอยู่บนโลกใบนี้ แล้วมันกลายเป็นพลังงานในชีวิตของเขานะ หรือถ้าเด็กบางคนถูกเลี้ยงดูด้วยความรุนแรง ถูกตี ทุกการสัมผัสมีแต่ความรุนแรง เด็กคนนี้ก็จะมีแนวโน้มสูงมาก เกือบ 100% โตมาเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง 

เพราะฉะนั้นสัมผัสแรกที่ลูกได้รับจากแม่ ถ้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล พอเขาเกิดมามันเหมือนไม่มีพลังชีวิต รู้สึกว่าอะไรก็ตามในโลกใบนี้ที่เข้าไปสู่ฉัน มันต้องทำให้ฉันเจ็บปวด เมื่อเด็กมีความรู้สึกข้างในตัวเองแบบนี้ มันก็บ่มเพาะความรู้สึกนี้ออกมาเป็นโรค

แล้ววิธีแก้ภูมิแพ้ที่เกิดจากสาเหตุแบบนี้เราต้องทำอย่างไร ต้องเพิ่มความมั่นใจให้เขาไหมครับ?

ใช่ เคยมีคุณแม่คนหนึ่งปรึกษาพี่ว่าลูกเป็นภูมิแพ้ ตอนนี้ต้องเรียนว่ายน้ำ แต่ไม่อยากให้ลูกลงว่ายเลย เราก็บอกว่า ถ้าแบบนี้เขาก็จะกลายเป็นภูมิแพ้ที่นั่งอยู่ริมสระดูเพื่อนว่ายน้ำ ทำไมเราไม่ลองเปลี่ยนวิธีคิดกับลูกใหม่ แทนที่จะเอาอาการป่วยของลูกเป็นตัวตั้ง แต่เป็น ‘ลูกฉันจะต้องเป็นเด็กที่แข็งแรง’ ‘ลูกฉันจะต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้’ ‘ลูกฉันจะได้เล่นอย่างสนุกสนานบนโลกใบนี้’ ‘ลูกฉันไม่ใช่เด็กเปราะบาง’ ‘ลูกฉันเป็นเด็กที่แข็งแรง แล้วฝึกให้เด็กกลับมาสังเกตตัวเอง’ 

เช่น เวลาให้ลูกกินอะไร คุณแม่อย่าเป็นคนไปบอกว่า ‘ลูกกินอันนี้ไม่ได้ ลูกกินแล้วจะเป็นอย่างนี้’ ให้ลูกเป็นคนรู้สึกและบอกเอง แต่ไม่ต้องถึงขั้นให้ลูกลองอะไรที่มันร้ายแรงมากๆ นะ เอาที่มันทั่วๆ ไป เรากำลังฝึกให้เขาสังเกตตัวเอง กินแล้วรู้สึกยังไง ถ้ารู้สึกไม่ดีก็บอกแม่ ฝึกจัดการตัวเอง โดยที่แม่ไม่ต้องเข้าไปจัดการห้าม 

จริงๆ เด็กช่วง 0 – 7 ขวบ เรามักพูดกันบ่อยๆ ว่า เป็นช่วงที่เด็กควรจะกลับมารู้สึกกับตัวเอง ‘กินแล้วไม่ดีเลยแม่ ไม่ชอบ’ อย่าไปบอกลูกว่า ‘กิน อันนี้มันดี มันมีประโยชน์ อันนี้ไม่มีประโยชน์ไม่ต้องกิน’ เพราะการที่เราเลี้ยงลูกแบบนี้ แปลว่าเราไม่เคยให้ลูกฟังความรู้สึกตัวเองเลย

เหมือนพ่อแม่ไม่ได้ปล่อยให้ลูกได้ลอง แต่เราไปเป็นคนจัดการแทน

ใช่ เราใช้ความคิดของเราในการเลี้ยงดูเขา สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เขาต้องฟังเสียงเราตลอด เขาไม่เคยฟังเสียงความรู้สึกของตัวเอง 

พี่เลยบอกกับคุณแม่ท่านนั้นว่า ลองให้ลูกเล่นน้ำ ปล่อยให้เขาสังเกตตัวเองว่าถ้าไม่ไหวก็ขึ้นมา ส่วนตัวเราก็อยู่กับความรู้สึกที่ปฏิบัติต่อลูกว่า ลูกแข็งแรง ลูกอยู่กับสังคมได้ อันนี้แม่ต้องเยียวยาตัวเองเลยนะ เยียวยาความวิตกกังวล ความเปราะบางในวัยเด็กของเขา เพราะในตอนแรกของรายการที่เราเคยคุยกันว่า คุณแม่เองก็เกิด ‘โรคแม่ทำ’ มาตั้งแต่รุ่นคุณย่าคุณยาย ส่งผลต่อตัวคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ส่งผลต่อลูกอีกที ดังนั้น การที่เราจะเข้าใจและตัดวงจรพวกนี้ได้ แม่ต้องฝึกที่จะเรียนรู้และหลุดจากความวิตกกังวลให้ได้ จะไปปฏิบัติธรรม หรือเรียนทางด้าน Spiritual ทำความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณก็ได้ 

ไปฝึกจิต เข้าสายธรรมะแม่บางคนอาจจะไม่ถนัด อาจต้องใช้วิธีค่อยๆ ขยับถอยออกมาทีละนิดๆ ถ้าตัวเรายังกลัวอยู่ก็ค่อยๆ ถอยออกมา แสดงว่าความกลัวของแม่ถือเป็นเชื้อภูมิแพ้ให้ลูก

ใช่ ถือเป็นเชื้อโรคชั้นดีเลย เพราะเรากลัวมากไป อย่างพี่เลี้ยงลูกคนแรกนี่ก็ Sterile (ฆ่าเชื้อ) ของทุกอย่างเลยนะ

ทุกวันนี้ผมยังงงว่า เราต้องซื้ออุปกรณ์เลี้ยงลูกเยอะขนาดนี้เลยเหรอ แล้วของทุกชิ้นต้องสะอาดมาก ต้องใช้สำลีเช็ดทุกอย่าง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็ไม่เป็นกันนะ แต่ด้วยความเป็นพ่อแม่ อะไรดีที่สุดเพื่อลูกเราก็จัดไป

ใช่ พอพูดถึงจุดนี้พี่ก็จะพาเข้าไปสู่ภูมิแพ้ทางกายเลย อย่างเช่น โรคทางผิวหนังต่างๆ พวกผดผื่น 

จริงๆ เราไม่ได้เริ่มรักลูกตอนที่เขาคลอดออกมาหรอก แต่เรารักเขาตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่วันแรกที่เรารู้เรื่องเขา แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนหวังให้ลูกได้แต่สิ่งดีๆ อะไรที่ดีที่สุดเพื่อลูกเราก็จัดให้ทันที แม้กระทั่งวันเกิดลูก ก็ไปเปิดปฏิทินดูฤกษ์ วันนี้วันดีเหมาะกับลูก แต่วันนั้นแม่อาจยังไม่ได้ปวดท้องคลอด ยอมผ่าคลอดแทน มันจะส่งผลอะไรกับเด็กไหมครับ?

คนที่เบ่งคลอด เขาจะเจ็บแค่ช่วงที่คลอดนั่นแหละ หลังจากนั้นแป๊บเเดียวเขาก็เดินปร๋อละ แต่คนที่ผ่าคลอด… ตัวพี่เองสมัยก่อนก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้หรอกว่า การผ่าคลอดมันใช้เวลาฟื้นฟูนาน เจ็บปวดเป็นปีๆ นะ เวลาพี่จามพี่จะเจ็บแผลชนิดที่น้ำตาไหลเป็นปี เดินได้ยาก แล้วการกระทำอย่างที่เราบอกว่าเรา ‘เลือกฤกษ์’ 

ให้ชีวิตลูกเฮงๆ แล้วมันไม่ดีกับลูกยังไงครับ

เอาเป็นว่าพี่อยากจะจบด้วยประโยคที่ว่า ฤกษ์ที่ดีที่สุด คือ การกระทำของเรา ความเฮงที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับลูกและชีวิตเรา คือการกระทำของเรา 

การผ่าคลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาทดลอง เก็บประวัติ จนกระทั่งทางยุโรปเริ่มพยายามเอาวิธีคลอดทางธรรมชาติกลับคืนสู่วิถีชีวิตเรา เม้งลองนึกถึงดักแด้ที่ห้อยอยู่ตรงต้นไม้ รอวันที่จะเป็นผีเสื้อ ตัวดักแด้เมื่อถึงเวลาจะกลายเป็นผีเสื้อแล้ว มันจะค่อยๆ เริ่มดิ้นและพยายามฉีกเปลือกที่หุ้มอยู่ออกมาด้วยการสยายปีกของมัน ทีนี้ถ้าตัวมันเป็นผีเสื้อที่ไม่แข็งแรงพอ พอฉีกไปสักพักมันก็จะเหนื่อย นั่นแสดงว่าแกยังไม่แข็งแรงพอ ออกมาไม่ได้ เกิดรูตรงเปลือกที่หุ้มมันอยู่ ลมก็จะพัดเข้ามาโดนตัวมันทำให้ปีกแห้งและแข็งแรงขึ้น เมื่อมันแข็งแรงมากพอ ปีกของมันจะสยายปีกตัดดักแด้ให้ขาด นั่นคือความพร้อมทางธรรมชาติ 

แต่เราที่เห็นดักแด้ต้องดิ้นรนออกจากเปลือก ไอการที่เราไปช่วยฉีกแบบนี้มันไม่ดียังไงเหรอครับ?

เพราะพอเราไปฉีกให้ ลมยังไม่ได้เข้าไปทำให้ปีกมันแห้งและแข็งแรง มันก็จะออกมาเป็นผีเสื้อที่พิการ คือ ไม่แข็งแรง บินยาก เพราะฉะนั้นทารกที่อยู่ในถุงน้ำคร่ำ ช่วงสภาวะที่เด็กจะต้องขับเคลื่อนตัวเอง เพื่อทะลุถุงน้ำคร่ำออกมาทางช่องคลอดเนี่ย มันควรเกิดจากความพร้อมของเด็กที่เขาพัฒนาผิวกายของตัวเองเต็มที่แล้วเมื่อตอนอยู่ในถุงน้ำคร่ำ การที่เขาต้องแทรกตัวผ่านช่องคลอดออกมา ระบบผิวหนังของเขาในทางธรรมชาติจะถูกกระตุ้น เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมที่จะออกสู่โลกภายนอก เป็นกลไกตามธรรมชาติว่า ถ้าเด็กยังไม่พร้อม เขาก็ไม่มาเคาะประตูหรอก

แต่พี่ไม่ได้พูดรวมไปทุกเคส เพราะอย่างบางเคสเด็กก็มีความเสี่ยงจริงต้องผ่าคลอดออกมา แต่กลายเป็นว่าที่เคสผ่าคลอดเยอะมากกว่าปกติ มาจากเราเลือกผ่าเพราะฤกษ์ แต่เด็กยังไม่มีความพร้อม พอไม่ได้ผ่านกระบวนการกระตุ้นตัวเองขณะออกจากช่องคลอด ไม่ได้มีการกระตุ้นผิวหนังด้วยนะ แล้วมันมีผลต่อแม่ด้วยนะที่จะส่งสัญญาณไปว่า เด็กกำลังจะออกมา เตรียมผลิตน้ำนมไว้เลย 

มีงานวิจัยที่บอกว่า ทันทีที่เด็กคลอดออกมา ลมหายใจเฮือกแรกนั่นคือนาทีทอง เพราะเด็กจะสูดเอาเชื้อโรคทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ตัวเข้าไป ไปปลุกระบบภูมิต้านทานในร่างกาย จงลุก จงเตรียมพร้อมที่จะอยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบนี้ๆ เพราะฉะนั้นภูมิต้านทานจะถูกสร้างในขณะที่เด็กหายใจในเฮือกแรก 15 นาทีแรก เป็นช่วงนาทีทองที่เด็กควรอยู่กับธรรมชาติจริงๆ องค์ความรู้นี้ถึงขั้นทำให้อาชีพหมอตำแยกลับมาใหม่นะ เขาต้องการให้เด็กคลอดที่บ้านด้วยซ้ำ เพราะที่บ้านเป็นที่ๆ เด็กจะเติบโต เพราะฉะนั้นนาทีแรกสูดเอาเชื้อโรคในบ้านเข้าไปให้หมด แล้วสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาเสีย แล้วเด็กก็มีแนวโน้มแข็งแรง และได้ปรับตัว

เด็กที่ผ่าคลอด ถ้าเราลองไปเก็บประวัติดู มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคผิวหนังตอนช่วงวัยรุ่นสูงมาก ถ้าสมมติว่าพี่มีเคสมาปรึกษาเรื่องจิตใจของลูก แล้วพาลไปบ่นเรื่องโรคผิวหนังพุพองง่าย พี่ก็จะถามเป็นอันดับแรกเลยว่า ‘ผ่าคลอดหรือเปล่า?’ ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดผ่าคลอด แม้กระทั่งลูกพี่เอง เพราะตอนนั้นพี่ก็ไม่มีความรู้ ช่วงวัยรุ่นลูกก็มีปัญหานี้ เพียงแต่พอพี่รู้เรื่องนี้มากขึ้นเราก็ปรับตัวใหม่ ลูกพี่ก็เลยเป็นโรคผิวหนังระยะสั้นๆ ตอนนี้เขาโอเค แต่ถ้าเราไม่เข้าใจแล้วปฏิบัติไม่ถูก เราใช้ยากดอาการ ใช้สเตอรอยด์ กลายเป็นโรคถูกตัดตอนที่จะเยียวยาตัวเอง เพราะฉะนั้นอาหารก็จะเป็นหนักขึ้นๆ เพราะเด็กไม่ได้เยียวยาด้วยตัวเอง

บางคนก็จะถามว่าแล้วเขาต้องแก้ยังไง? เราก็ต้องเข้าใจวิธีการดูแลเด็กตามธรรมชาติก่อน ซึ่งโดยส่วนใหญ่พอพ่อแม่เห็นว่าลูกเป็นโรคผิวหนัง พ่อแม่จะยิ่งกันลูกออกจากธรรมชาติ

ตัวเป็นเม็ดๆ หมดละ ใส่เสื้อแขนยาวๆ เลย

เราควรให้เขากลับคืนสู่ธรรมชาติให้เยอะขึ้น เพราะธรรมชาติมันมีกลไกในการดูแลและเยียวยา เชื่อไหมว่าการให้เด็กวิ่งเท้าเปล่าบนสนามหญ้าช่วยได้เยอะมาก บางทีพี่ทำค่ายเราปล่อยให้เด็กไปเดินสนามหญ้า โอ้โห…เด็กเหยียบหญ้าแล้วตกใจ เหมือนเกิดมาไม่เคยเหยียบแบบนี้ พอเราให้เขาอยู่ตรงนั้นเยอะๆ กลายเป็นว่าเขาเริ่มรู้สึกดี แข็งแรงขึ้น ไม่ได้แข็งแรงแค่กายนะ เขาแข็งแรงใจด้วย แล้วเขารู้สึกกลมกลืนกับธรรมชาติมากขึ้น

กลับมาที่เรื่องสิงคโปร์ เขาเปลี่ยนเยอะมากนะ พี่เพิ่งไปสิงคโปร์ปีที่แล้ว ได้ไปพิพิธภัณฑ์ของเขา เขาถึงขั้นมีนโยบายว่า เด็กเล็กๆ 1 คน จะต้องมีต้นไม้ 1 ต้น แล้วเวลาที่ปลูก คุณก็จะดูแลมันจนกระทั่งโต ต้นไม้ก็จะเป็นประชากรคนหนึ่งในสิงคโปร์ 

เด็กเป็นคนปลูกต้นไม้ให้ประเทศ

ใช่ เขาจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประเทศและเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลธรรมชาติ ซึ่งตรงนี้คือการกลับมาเยียวยาอาการที่เกิดจาก ‘โรคพ่อแม่ทำ’ เป็นวงจรที่ใหญ่มากเลยนะในสิงคโปร์ แต่พอเขาเปลี่ยนปุ๊บ เด็กกลับมารัก มาดูแลต้นไม้ เราก็จะไม่ค่อยเห็นข่าวเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก การปล่อยให้เด็กได้เผชิญธรรมชาติทีละเล็กทีละน้อยด้วยความวางใจ ความเชื่อใจ เพราะมนุษย์ก็เป็นธรรมชาติเนอะ ดังนั้น เราก็ต้องเชื่อใจให้ธรรมชาติดูแล 

แล้วการที่เด็กได้อยู่กับธรรมชาติเยอะๆ ไม่ใช่ว่าธรรมชาติดูแลเขาอย่างเดียว เด็กก็เป็นคนที่ดูแลโลกใบนี้ด้วยนะ ดูแลสิ่งแวดล้อม สนใจเรื่องโลกร้อน ชอบอยู่กับธรรมชาติ ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ใช่แค่โรคผิวหนังหรือหอบหืด แต่เป็นความสำคัญในระดับจิตใจ 

อย่างเคสเด็กจะว่ายน้ำ แต่แม่บอกว่า ‘ไม่ได้ๆ พอว่ายน้ำลูกจะเป็นไซนัส ลูกจะหายใจลำบาก’ พอเปลี่ยนลองค่อยๆ ให้เขาอยู่กับน้ำได้สังเกตตัวเอง ปรากฏว่าพอเขาลงน้ำได้ เขารู้สึกสนุก ก็ไปโปรแกรมชีวิตใหม่ว่า น้ำกับเขาเป็นมิตรกัน และการเล่นน้ำทำให้เขามีความสุข ทำให้เขาแข็งแรง โรคก็ค่อยๆ หายไป

เป็นหวัด ตัวเย็น น้ำมูกไหล มันไหลมาจากหัวใจเรานะ

ใช่ จริงๆ มันก็คือ ปอดนี่แหละที่เป็นตัวที่ทำให้เขาไม่แข็งแรง เพราะว่าปอด คือ จุดที่สะสมความรู้สึกของความวิตกกังวลแล้วก็ความกลัว เราถึงได้ยินคำว่าปอดแหกไง

ฉี่รดที่นอน (ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้)

มีอาการประเภทหนึ่งที่เด็กๆ มักจะเป็นกัน คือ การฉี่รดที่นอน อาการนี้มาจากพ่อแม่เคยไปทำอะไรกับเขาไหมครับ?

ช่วงที่ลูก 2 – 3 ขวบ ถ้าพ่อแม่มีสัมพันธภาพที่ดีกับลูก จะรู้เลยว่าช่วงนี้ลูกเริ่มจะปรับตัว เริ่มเรียนรู้ที่จะบอกว่าปวดฉี่ ปวดอึได้ละ แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ควบคุมการขับถ่ายของตัวเองไม่ได้ ก็มีแนวโน้มว่าเขาเกิดความรู้สึกตื่นกลัว ตกใจกับความรุนแรงบางอย่างที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก

สมมติถ้าผมฉี่รดที่นอนตอนอายุ 8 – 9 ขวบบ่อยๆ นี่ต้องสังเกตละ

ถ้าเกิด 7 ขวบแล้วยังฉี่รดที่นอน ต้องดูสาเหตุก่อนนะ สมมติถ้ามันนานๆ เกิดที อาจจะเพราะวันนั้นเด็กฝันว่าฝนตก ก็เลยปวดฉี่ เพราะเราก็เคยเป็นกันถูกไหม ตอนเด็กๆ ฝันว่าไปเข้าห้องน้ำปุ๊บ เราฉี่จริงเลย (หัวเราะ) แต่ถ้าเด็กคนไหนที่เกิดทุกอาทิตย์ ทุกวัน แสดงว่าผิดปกติละ ต้องย้อนถอยกลับไปดูช่วงที่เขาแบเบาะหรืออายุต่ำกว่า 3 ขวบ เขาเจอความรุนแรงจากพ่อแม่ที่ทะเลาะกันเป็นประจำ แล้วทำให้ระบบขับถ่ายของเขาไม่ค่อยดีเท่าไร 

ถ้าจะให้พ่อแม่กลับไปถอนความรุนแรงคงไม่ได้ แต่เราสามารถเติมความรู้สึกดีกับชีวิตให้กับลูกได้นะ ให้ความมั่นคงกับเขา ค่อยๆ ฝึกเขาให้มีกล้ามเนื้อในการขับถ่ายที่แข็งแรง ถ้าในชีวิตประจำวันลองให้เขาฝึกที่จะกลั้นให้เป็นบ้าง ถ้าเราจะพูดถึงอาการของเรื่องขับถ่าย ให้ถอยกลับไปดูเหอะ เด็กที่ขับถ่ายรดที่นอนโดยส่วนใหญ่เจอฉากที่พ่อแม่ใช้ความรุนแรงกันตั้งแต่ตอนที่เขาเล็กเกินไป อารมณ์แบบนี้มันส่งผลถึงระบบขับถ่าย

ไม่เจริญอาหาร อาหารไม่ย่อย เพราะความเครียด

พอพูดถึงระบบขับถ่าย ก็จะมีอาการที่ลำไส้ พวกอาหารไม่ย่อย สาเหตุมาจากอะไรครับ?

ความเครียด ใน Twelve Senses (ปรัชญาการเติบโตทางจิตวิญญาณของมนุษย์) มันจะมี Sense of Taste เซนส์เกี่ยวกับรสชาติอาหาร เมื่อก่อนลูกพี่เป็นคนไม่เจริญอาหาร บางทีกินๆ อยู่ก็อาเจียน แล้วพี่ไม่รู้เลยนะว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้ลูกเครียด เพราะเวลานั่งกินอาหาร พี่จะชอบบ่น ทำให้เวลาอยู่ที่โต๊ะอาหารเราสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเครียด ชอบบอกกับลูกให้กินอันนี้ มีประโยชน์ อันนี้ไม่มีประโยชน์ลูก อันนี้กินเข้าไปลูก เรากำลังสร้าง ‘โรคแม่ทำ’ ให้กับลูก

มาจากความหวังดีของเรา อยากให้เขากินดีๆ

แต่พลังงานของเรามันไม่โอเค เพราะฉะนั้นมันทำให้เขาไม่เจริญอาหาร เกิดเป็นความเครียดที่อยู่กับระบบย่อยอาหาร พวกเราที่โตๆ แล้วก็เป็นเหมือนกัน ลองสังเกตใครที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ส่วนมากก็เป็นคนที่มีความเครียดสูง

หมายถึงว่าวัยเด็กเขาอาจมีอาการอาเจียนบ่อย หรือไม่เจริญอาหาร 

ใช่ ไม่อยากกินอาหารเพราะความเครียด พอพี่รู้เรื่องนี้ปุ๊บเราเปลี่ยนตัวเองทันที ถ้าเป็นแต่ก่อนพอสามีหยิบขนมมา พี่จะเริ่มบ่นๆ พี่ก็เปลี่ยนตัวเอง เราตัดสินใจว่าต่อไปนี้ชีวิตบนโต๊ะอาหารของพี่กับครอบครัว เราจะมีความสุข พี่จะเลิกบังคับลูกให้กินอะไร พี่จะใช้วิธีกินอาหารให้อร่อย คุยกับสามีให้สนุก แล้วกินผักกินอะไรไม่ต้องห่วงเลย พอเรากินไปเดี๋ยวลูกก็กินตามเราเอง ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมีความสุข สนุก แล้วเขาจะเจริญอาหารเอง

ต้องบอกคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่า พลังงานในขณะกินอาหารสำคัญมาก มากกว่าสารอาหารที่ลูกกินเข้าไปอีก เพราะฉะนั้น ถ้าลูกเรามีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ไม่เจริญอาหาร ตัวเล็ก นั่นคือความเครียด อย่าสร้างความเครียดบนโต๊ะอาหาร ให้สร้างความสุข ความสนุก ยิ่งสนุก ยิ่งกินอร่อย การปลูกฝังระเบียบวินัยกับเด็กเล็กเนี่ยไว้ทำตอนที่เขาโต เพราะวิถีชีวิตที่เขาอยู่กับเรา ถ้าเราเป็นคนที่มีระเบียบวินัยกับโต๊ะอาหาร เขาจะเรียนรู้ที่จะเป็นเอง ไม่ต้องรีบจัดการเขาตอนที่ยังเด็ก เพราะว่าเขายังไม่มีทักษะนี้ แต่สิ่งที่เราควรจะใส่ให้กับเขาคือ จงมีความสุขกับการกินอาหาร สิ่งนี้สำคัญมาก

หลานผมบางทีถูกบังคับให้กิน ก็จะกินๆ ไป แล้วก็ไปกินนอกมื้อเสียเยอะ กลายเป็นกินบนโต๊ะอาหารไม่อร่อย

ใช่ บางทีแอบไปกินกับคนอื่น หรือไปมีความสุขในขณะที่กินกับคนอื่น ก็เลยกินกับเราไม่อร่อย

เพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร แม่ใส่เครื่องปรุงที่ทำให้เขารู้สึกกินไม่ได้

ใช่ นั่นแหละสำคัญมากๆ

โอเคครับ พอจะครบถ้วนที่ครูณากับผมอยากพูดในตอนนี้ละ ยังมีอีกหลายอาการที่มาจากการเลี้ยงดู ส่งผลติดตัวเราจนถึงทุกวันนี้ เดี๋ยวเราไปฟังกันต่ออีพีหน้า สำหรับอีพีนี้สวัสดีครับ

Tags:

โรคพ่อแม่ทำปฐมวัยการเลี้ยงลูกความกลัว (Fear)

Author:

illustrator

อังคณา มาศรังสรรค์

กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

illustrator

ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.2 แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับลูกปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Character building
    ประชาธิปไตย Vs. เผด็จการ เมื่อการเลี้ยงดูสามารถสร้างคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.1 ชวนสำรวจว่าเรากำลังเป็นพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์อยู่หรือเปล่า?

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ไม่ว่าจะมีนิสัยที่เป็นภัยหรือไม่ เราทุกคนต่างก็เป็นที่รักได้ : Things No One Taught Us About Love
  • ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel