Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: December 2020

โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ เลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
Education trend
23 December 2020

โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ เลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

เรื่อง The Potential

โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ ทุกคนเป็นนักวิจัยและเลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง!

ที่นี่ เด็กๆ ทุกคนจะได้เรียนด้วยวิธี ‘โครงงานฐานวิจัย’ ตั้งแต่การคัดเลือกประเด็นที่ชอบ สนใจ เลือกขั้นตอนการหาความรู้ด้วยตัวเอง ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริง และจากปากเจ้าของเรื่องอย่างชาวบ้านหรือคนในพื้นที่

นอกจากการใช้ชุมชนเป็นฐาน ใช้การวิจัยเป็นฐาน ที่นี่ยังมีครูหลากหลายและใช้ชื่อว่า ‘ครูสามเส้า’ นั่นคือ ครูในโรงเรียน-ครูชุมชน-ครูพ่อแม่ ที่ยกระดับการเรียนรู้และการจัดการศึกษา ขยายกว้างออกไปนอกห้องเรียน

แปลว่าที่นี่ นอกจากเด็กทุกคนจะได้เลือกเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว คนในชุมชนไม่ว่าใคร ก็เป็นครูที่โรงเรียนนี้ได้…เช่นกัน

เรื่องราวในซีรีส์เดียวกัน

40 ปีของสุทธิ สายสุนีย์: ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูลที่เพียรทุบกำแพงโรงเรียน นำเด็กและครูไปเรียนกับชุมชน

วนิดา ศิริวัฒน์: ครูโรงเรียนอนุบาลสตูลที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

Tags:

Research Base Learning(RBL)สตูลสมพงษ์ หลีเคราะห์สุทธิ สายสุนีย์โรงเรียนอนุบาลสตูลproject based learning

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Unique Teacher
    40 ปีของสุทธิ สายสุนีย์: ผู้อำนวยการที่เพียรทุบกำแพงโรงเรียน นำเด็กและครูไปเรียนกับชุมชน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Character building
    “อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม

    เรื่องและภาพ The Potential

“โรค” จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (2): หอบหืด ประจำเดือนผิดปกติ โรคกลัวผู้หญิง / ผู้ชาย มาจากการถูกกักขังเสรีภาพในนามของความรัก
Early childhoodFamily Psychology
22 December 2020

“โรค” จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (2): หอบหืด ประจำเดือนผิดปกติ โรคกลัวผู้หญิง / ผู้ชาย มาจากการถูกกักขังเสรีภาพในนามของความรัก

เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ชวนดูสาเหตุอีกมุมหนึ่งที่อาจทำให้เกิดโรคหอบหืด ประจำเดือนมาไม่ปกติ โรคกลัวผู้ชาย และโรคกลัวผู้หญิง
  • ความรักและความเป็นห่วงลูกที่มักเกิดกับผู้ปกครอง จนกลายเป็นความกังวลที่ทำให้เผลอแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมบางอย่าง เช่น กลัวลูกออกไปข้างนอกแล้วจะเป็นอันตราย ก็กักให้ลูกอยู่แต่ในบ้านแทน พฤติกรรมเหล่านั้นอาจส่งผลให้ลูกเกิดอาการป่วย เช่น โรคหอบหืดที่มาจากความกลัว หรืออาการประจำเดือนผิดปกติเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างลูกและแม่

ตอนที่แล้ว (อ่าน “โรค”จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (1): อาหารไม่ย่อย ขี้กลัว ภูมิแพ้ เพราะพ่อแม่ห่วงหรือบ่นมากไป) ครูณา – อังคณา มาศรังสรรค์ และเม้ง – ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุยกันเรื่องอาการที่เกิดจาก ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ไปทั้งหมด 4 อาการ ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคผดผื่น ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ และอาหารไม่ย่อย ทั้งหมดนี้เป็นอาการที่เกิดจากผู้ปกครองกระทำบางอย่างผ่านการเลี้ยงดู หรือสัมพันธภาพของลูกกับผู้ปกครองมันไม่ดี หรือรักมากไปทำให้เกิดอาการเหล่านั้น 

ตอนนี้พวกเขาจะต่อกันอีก 4 อาการ ได้แก่ โรคหอบหืด ประจำเดือนมาไม่ปกติ โรคกลัวผู้ชาย และโรคกลัวผู้หญิง

บทความนี้ถอดความมาจาก Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ตอนที่ 7 โรคจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ 2 ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

รับฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่นี่

โรคหอบหืด

มีเคสหนึ่งที่ผมอยากยกมาเล่าจากหนังสือ ‘โรคแม่ทำ’ เคสของคุณเรโกะที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เด็กๆ รักษาเท่าไรก็ไม่หาย จนได้มารักษากับคุณหมอคิวโทกุ คนเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาก็พยายามหาสาเหตุอาการป่วย จนกระทั่งพบว่า ความสัมพันธ์ของคุณเรโกะกับแม่เนี่ยแหละที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด เพราะตอนเด็กๆ คุณเรโกะเคยถูกแม่ทิ้งไว้ที่บ้านตอนเด็กๆ ตื่นขึ้นมาแล้วแม่ไม่อยู่ ความกลัวในตอนนั้นก็กลายเป็นโรคหอบหืด วิธีแก้ของคุณหมอ คือ ให้คุณเรโกะพูดว่า ‘แม่นี่บ้าจริงๆ’ ลองนึกภาพผู้หญิงเรียบร้อย เชื่อฟังแม่ตลอด ต้องมาพูดประโยคนี้ แต่ประเด็นคือหลังจากพูดเสร็จคุณเรโกะก็ค่อยๆ หายจากโรคหอบหืดเลย

พอฟังเรื่องนี้ทำให้พี่นึกถึงช่วงที่พี่อยู่ในทีมให้คำปรึกษาปัญหาวัยรุ่น พี่เรียกอาการนี้ว่า อาการของโรคสายยู เคสแบบนี้เกิดขึ้นทั่วโลกเลยนะ ที่พ่อแม่รู้สึกกังวลเป็นห่วงลูกมากๆ แต่จัดการความรู้สึกตรงนั้นไม่เป็น ก็เลยแสดงออกมาเป็นการกักขังเสรีภาพลูกแทน ลองไปดูตามคอนโดต่างๆ เวลาเด็กเลิกเรียนกลับบ้าน ถ้าพ่อแม่ยังไม่กลับก็จะบอกให้พนักงานในคอนโดล็อกสายยูให้ลูกอยู่ในห้องไว้ 

ซึ่งอาการแบบนี้มันส่งผลทำให้เกิดโรคหลายอย่างเลยนะ อย่างอาการหอบหืดของคุณเรโกะก็เป็นอาการหนึ่ง เป็นความกลัวที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น แล้วความกลัวมันก็เกี่ยวข้องกับปอดกลายเป็นโรคหอบหืด หรือเด็กที่โดนทำโทษจับขังห้องน้ำ

วิธีทำโทษยอดฮิตเลยครับ

โห… เจอจนเราตกใจเลยว่าทำไมมีเด็กถูกจับขังในห้องน้ำเยอะขนาดนี้ แล้วที่พี่เรียกว่าโรคสายยู เพราะการที่พ่อแม่ไปใช้อำนาจล็อกขังลูกไว้แบบนั้น มันทำให้ลูกอยู่กับความรู้สึกที่… ร้องไห้เท่าไรก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกมา จนเด็กรู้สึกว่าร้องไห้ไป ร้องขอความรักไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาก็จะเลิกแสดงความทุกข์ ความเสียใจออกมา ท้ายที่สุดพอโตขึ้นก็จะใช้ชีวิตแบบสนุกสุดเหวี่ยง แต่เขาไม่ได้สนุกจริงๆ หรอก เป็นความสนุกเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ แล้วเกิดเป็นบุคลิกภาพบางอย่างที่มีความไม่ปกติอยู่ เพราะเขาไม่สามารถดีลกับตัวเอง สมมติเกิดความเครียดก็จะกลายเป็นซาตานคุ้มคลั่ง หรือเก็บเป็นความทุกข์ไว้ข้างใน 

เพราะฉะนั้น โรคที่เกิดจากอาการสายยูผลกระทบมันเยอะและสูงมากนะ อย่างของเรโกะก็เป็นความกลัวที่เขาอยู่คนเดียว ซึ่งถ้าดูสัมพันธภาพของแม่ที่มีต่อเรโกะพี่ก็นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งได้ คือในทาง Twelve Senses (ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์) เซนส์ที่สาม Sense of Movement การขับเคลื่อนตัวเองเพื่อไปอยู่กับโลกภายนอก ถ้าเด็กไม่ได้รับเสรีภาพที่จะได้เรียนรู้ชีวิตที่ดี เขาก็จะเสียสมดุลของเสรีภาพ และผลกระทบที่ตามมาก็จะไปแสดงตอนโต

ผลกระทบมี 2 แบบ คือ หนึ่ง – เด็กที่ถูกริดรอนเสรีภาพด้วยความรุนแรง เช่น เด็กทำตัวไม่โอเค ไม่เชื่อฟัง ก็ใช้วิธีลงโทษด้วยการตี พอเด็กเหล่านี้โตขึ้นชุดภาษาที่เขาใช้จะแหลมคม ภาษาก็คือ movement การเคลื่อนไหวอย่างหนึ่ง และที่เขามีชุดภาษาที่แหลมคมก็เพื่อกวาดคนที่อยู่รอบๆ ให้ออกไปไกลจากรัศมีของตัวเอง เพื่อต้องการเสรีภาพ 

และแบบที่สอง – คล้ายกับที่เรโกะเป็น การถูกริดรอนเสรีภาพในนามของความรัก ตัวพ่อแม่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่ใช้ความรักในการกักขังเสรีภาพ เช่น ‘ไม่ออกไปเล่นนะลูก เดี๋ยวไม่สบายลูก’ ‘ลูกอย่าทำอย่างนี้เลย แม่รักนะ’ ‘อยู่ในนี่นะลูก แม่รักหนูนะคะ อย่าดื้อนะ’ เชื่อไหมว่า พฤติกรรมพวกนี้ถ้ามันมากเกินไปจนกระทั่งไปริดรอนเสรีภาพของเด็กที่อยากออกไปข้างนอก อยากจะไปเล่นกับเพื่อนแต่แม่ก็บอกว่า ‘อย่าไปนะลูก แม่รัก’ พอเขาโตขึ้นชุดภาษาที่เขาใช้จะนุ่มๆ อ่อนโยน เหมือนที่เรโกะเป็นเลย ฟังเหมือนดูดีนะ แต่คนกลุ่มนี้จะไม่มีพลังชีวิต อยากได้อะไรก็บอกว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ’ ‘แล้วแต่คุณแม่เลยค่ะ’

ไม่กล้าพูดความต้องการตัวเองออกมา

ใช่ อย่างที่เรโกะเป็น แค่จะพูดว่า ‘แม่ ทำไมบ้าแบบนี้’ เขายังพูดไม่ได้เลย เพราะมันเป็นเสรีภาพที่ถูกริดรอนด้วยความรัก ภาษาของคนกลุ่มนี้จะไม่สามารถเรียก space ตัวเอง เรียกเสรีภาพตัวเองคืนมา มันจะอ่อนแรง เหมือนไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จะดันชีวิตตัวเองยังไงเพื่อให้มีพื้นที่ มักจะถูกเอาเปรียบ ถูกแกล้งง่าย คนก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกเขา 

เพราะเขาเองยังไม่เคยแสดงออกหรือไม่เคยบอกความรู้สึกตัวเอง

เหมือนเราให้นิยามความรักกับลูกผิด ‘ถ้ารักแม่ต้องเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง ถ้าไม่เชื่อฟังแม่แสดงว่าไม่รัก’ นี่คืออาการอย่างหนึ่งนะที่มาจาก ‘โรคแม่ทำ’ ไม่สามารถขับเคลื่อนตัวเองได้ ไม่สามารถเรียกร้องเสรีภาพ หรือดูแลพื้นที่ของตัวเอง คนเหล่านี้มักจะพึ่งพิงและอิงกับคนอื่น 

ดังนั้น วิธีที่คุณหมอใช้เพื่อรักษาอาการของคุณเรโกะ คือ การให้เขาย้อนกลับไปเพื่อแก้ไขเหตุการณ์บางอย่างในอดีต อย่างเวลาที่พี่รักษาเคส ความเจ็บป่วยของคนที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งความเจ็บป่วยที่รุนแรงมาก หรือพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยน พี่ก็จำเป็นต้องพาเขาย้อนกลับไปในอดีตนะ เพื่อให้คุณเข้าใจมันใหม่ แคะให้เจอจุด ถ้าแคะเจอจุดอย่างคุณหมอคิวโทกุก็จะคลิกเลย แค่พาเขากลับไปแล้วตะโกนพูดบางอย่างได้เนี่ย มันก็จะกระโดดมาอีกฝั่งหนึ่งเลยนะ ซึ่งบางคนอาจจะฟังแล้วแบบ มันจะเป็นไปได้ไง แต่มันเป็นไปจริงๆ เรื่องราวของจิตใจ

เหมือนไปเคลียร์เรื่องเก่าๆ ถ้าเป็นหนังไซไฟคือย้อนอดีตไปตรงนั้น

คล้ายแบบนั้นเลย คือ คุณกลับไปแก้บางอย่างที่เป็นต้นเหตุของโรคหอบหืด เพราะโรคหอบหืดมันเกิดจากจิตใจที่รู้สึกกับบางสิ่งบางอย่างแล้วฝังลงไป เพราะฉะนั้น เราก็ต้องหาต้นตอเพื่อที่จะให้ไปแก้ พอเขาเจอคลิกปุ๊บ เขาก็จะมีสาเหตุ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคนี้น้อยลงไปทันทีเลย หลังจากที่เขาผ่านกระบวนการนั้น

ประจำเดือนมาผิดปกติ

อาการประจำเดือนไม่มา ประจำเดือนผิดปกติ ผมคิดว่าผู้หญิงน่าจะเป็นกันเยอะ บางคนอาจจะมาเยอะไป แต่กับเคสนี้ในหนังสือ ‘โรคแม่ทำ’ คือไม่มาเลย เขาเป็นลูกคนเดียวครับ แม่เป็นซิงเกิลมัม ก็รักลูกมาก ทุ่มเททุกอย่างที่มีให้ลูก ทำให้แม่ก็ค่อนข้างเฮี้ยบมาก ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบที่แม่กำหนดไว้ กลับบ้านกินโมง ไปเรียนอะไร แล้วตัวลูกเกิดอาการประจำเดือนไม่มา ผมก็เป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่ามีเคสแบบนี้เยอะไหม หรือเคสที่เจอการเลี้ยงดูแบบนี้ แต่ผลกระทบออกมารูปแบบอื่น 

ถ้าจะให้สรุปภาพโดยรวมของอาการประจำเดือนผิดปกติ มันคือภาพทัศนคติต่อเพศแม่ ต่อความเป็นแม่ เวลาพี่เจอเคสที่เขามีปัญหาเรื่องประจำเดือน พี่ถามก่อนเลยว่าความสัมพันธภาพของเขากับแม่เป็นอย่างไร? เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน สมมติเวลาเราเกิดความรู้สึกบางอย่างต่อความเป็นแม่ อวัยวะที่เกี่ยวข้องคืออะไร? มดลูก เพราะเป็นอวัยวะแทนเพศแม่ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีความรู้สึกกลัวคนที่เป็นแม่ หรือสัมพันธภาพที่มีกับแม่เป็นลบมากๆ ทุกครั้งที่คิดหรือทุกครั้งที่มีประเด็นกัน ความรู้สึกเหล่านี้จะวิ่งไปที่อวัยวะส่วนนี้ ทำให้อวัยวะส่วนนี้ที่เขาเรียกว่า dysfunction ทำงานผิดปกติ หรือทำงานไม่ได้ดีพอ 

คนที่ส่วนใหญ่เป็นโรคเกี่ยวกับประจำเดือน เชื่อไหมว่าถ้าเราทำให้เขามีความเข้าใจบางอย่าง หรือแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ บางทีพี่ก็ต้องใช้โฮมีโอ (โฮมีโอพาธีย์ Homeopathy การแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง) หรือบางทีพี่ก็จะเดาได้ว่าต้องใช้ยาตัวไหนกับอาการแบบนี้ แล้วถ้าพี่ให้ยาบางอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องความเป็นแม่ ก็ต้องรีบทำงานกับเขาเรื่องจิตใจที่มีผลต่อแม่ พอทำได้เสร็จปุ๊บ เขาหายเลย

เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีประจำเดือนๆ ละประมาณหยดเดียวแล้วสีดำ แต่พอเขาทำงานเข้าใจปัญหาที่เกิด สิ่งที่เกิด คือ เดือนถัดมาเขาโทรมาพี่ด้วยความดีใจมากเลยที่มีประจำเดือนแล้ว และเป็นสีแดงด้วย แล้วก็มีหลายวันๆ เขาบอก แค่นี้ก็ดีใจที่สุดในชีวิตแล้ว

ไม่ต้องไปกินยาบำรุงอะไรเลย แต่ไปแก้ที่จิตใจ แก้ที่ความสัมพันธ์ 

ใช่ ความสัมพันธ์กับแม่ ณ ปัจจุบัน จริงๆ มันเป็นผลจากอดีต ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องให้เขาย้อนกลับไปทำความเข้าใจใหม่ เพราะในวัยเด็กเขาถูกสร้างโปรแกรมมาแบบนั้น แต่ว่าท้ายที่สุดเราก็สามารถช่วยเหลือเขาโดยการที่ทำให้เขาโปรแกรมบางอย่างในความรู้สึกใหม่ 

ในเส้นทางของความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นมันไม่ได้มีแต่แง่ลบหรอก มันมีแง่บวกด้วย แต่คนจะเก่งเรื่องจดจำสิ่งลบๆ  หรือเพราะความเป็นลบของมันรุนแรงถึงขนาดทำให้เรานั่งคิดซ้ำไปซ้ำมาวนไป เกิดเป็นความรู้สึกที่ซำ้รอย เราเลยต้องกลับไปแก้ที่ตรงนั้น 

เพราะฉะนั้น ถ้าเขาเข้าใจบางสิ่งในวัยเด็กมากขึ้น ประจำเดือนเขาก็จะกลับมาค่อนข้างเป็นปกติ แล้วบางทีคนที่มีประจำเดือนไม่ปกติ ก็จะมีแนวโน้มเยอะเหมือนกันนะที่ไม่อยากมีคู่

โรคกลัวผู้ชาย

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมขอต่อที่โรคนี้เลยครับ โรคกลัวผู้ชาย ครูณาเคยเล่าให้ผมฟังว่า สมัยครูณาเป็นวัยรุ่นก็มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ คบกันอยู่ดีๆ อยู่ๆ ก็เลิกกันเฉย โดยที่ไม่ได้ทะเลาะหรือขัดแย้งอะไรเลย

พี่ต้องย้อนกลับไปว่าสาเหตุที่พี่รู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘โรคพ่อทำ’ คือถ้าในวัยเด็ก ผู้ใหญ่ทำให้เด็กเข้าใจหรือรับรู้ความเป็นจริงของชีวิต ชีวิตเขาสถานการณ์เปลี่ยนเลยนะ แต่ตัวพี่ไม่ได้รับแบบนั้นไง พี่เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ทะเลาะกันแล้วพ่อก็ลงไม้ลงมือ ตัวพ่อเองไม่ได้มีอาชีพที่มั่นคง เล่นการพนัน ซึ่ง ณ วันนี้ที่พี่พูดถึงพ่อแบบนี้ มันเป็นเพราะว่าความทรงจำของพี่ที่มีต่อพ่อเป็นแบบนี้ แต่พอวันที่พี่เรียนรู้และได้มองย้อนกลับไป มันก็ยังมีด้านที่ดีอยู่ สายสัมพันธ์ระหว่างพี่กับพ่อมีทั้งบวกและลบ แต่พอพี่ไปตัดสินว่าพ่อเป็นแบบนี้ (คนไม่ดี) โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวนะ มันกลายเป็นว่า ในช่วงวัยเด็กจนโตพี่นิยามเพศชายในแบบแปลกๆ คือ เป็นคนที่ไม่ค่อยรับผิดชอบ หรือบางทีถ้าเขารู้สึกไม่โอเค เขาก็มีโอกาสที่จะทำร้ายเรา

เหมือนบันทึกไปแล้วว่าผู้ชายเป็นแบบนี้แหละ แบบพ่อของเรา

เด็กเขาก็รับภาพแบบที่เขาเห็น แล้วเขาไม่เคยมีโอกาสได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจความจริง แต่วันนี้พี่ได้เรียนกับตัวพี่เอง พอเรามองย้อนกลับไปตัวพี่ก็มีด้านหนึ่งที่ไม่โอเคเหมือนกัน คือ เราก็เลือกที่จะจำพ่อแบบนั้นด้วย แล้วก็ไม่รู้จักเรียนกับชีวิตเพื่อที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นพอพี่ไม่เข้าใจ พี่ก็นิยามไว้ในจิตใต้สำนึกแบบผิดๆ

สิ่งที่เกิดขึ้น

ตอนที่มีแฟนคนแรก เขาดีมาก! (เน้นเสียง) ไม่เคยทะเลาะกับคนนี้เลยนะ แถมพี่สาวเรานี่รักเขามาก แต่จู่ๆ วันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้ทำไมรู้สึกว่าอีตาคนนี้จะรักฉันจริงๆ ไหม? ชีวิตฉันจะโอเคไหมถ้าคบกับเขา? เพราะตอนพ่อแม่เรา ก่อนแต่งงานคนก็บอกรักกันมาก แต่ทำไมแต่งแล้วถึงมีชีวิตที่ตบตีกันขนาดนี้ 

แล้วแฟนเราเรียนวิศวะด้วยไง เขามีดื่มเหล้า เราก็คิดว่า โหย…เขากินเหล้า แล้วจะรับผิดชอบชีวิตฉันได้ไหมเนี่ย? แล้ววันนั้นเขามารับเราพอดี เจอหน้าปุ๊บพี่บอกเลิกเขาเลย เลิกขาดทันที ถ้าให้พี่ย้อนกลับไปมองตัวเองในวันนั้น พี่ก็รู้สึกว่ายัยผู้หญิงคนนี้มันก็กวนเหมือนกันนะ เพราะว่าไม่ได้ทำแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่เราทำแบบนี้เยอะมาก น่าจะประมาณ 4 ครั้ง บอกเลิกผู้ชายทุกคนที่คบโดยที่ไม่มีเหตุผล แล้วผู้ชายแต่ละคนที่เราคบก็ดีๆ ทั้งนั้น ทำให้บางครั้งพี่บอกเหตุผลที่อยากเลิกว่า ‘เขาดีเกินไป’ แต่ว่าไม่ใช่อะไรเลย ทุกวันนี้มองย้อนกลับไปมันคือตัวเราที่ตั้งแต่วัยเด็กไปจำภาพความเป็นเพศชาย เพศพ่อ ว่าเป็นแบบพ่อเรา 

ถ้าฟังถึงตรงนี้คุณผู้ฟังอาจจะพยายามเสิร์ชหน้า อังคณา มาศรังสรรค์ ว่าเฮ้ย..สวยขนาดไหน ทิ้งผู้ชายแบบนี้ได้ (หัวเราะ) แต่นั่นแหละครับจนมาถึงสามีปัจจุบันที่ครูณาเล่า คือ นิสัยใจคอดีหมดเลย ก็เหมือนแพทเทิร์นคนที่ครูณาเคยคบ

ใช่ แต่ละคนที่เราคบก็เป็นคนที่อ่อนโยน ดูแลเรานะ แล้วเขาก็ไม่ได้ไม่ดี แต่ลองคิดดูนะไอโรคที่เราคิดว่าเกิดจากพ่อทำด้วยเนี่ย ซึ่งจริงๆ มันก็มีผลส่วนหนึ่งแหละ แต่ตัวเราก็ไม่ได้ถูกฝึกให้คิดให้เข้าใจด้วย

หมายความว่าถ้าเราเจอคุณพ่อ แล้วเราได้เยียวยาความสัมพันธ์นั้นได้ อาการเหล่านี้มันก็อาจจะดีขึ้น

ใช่ เพราะว่าพอพี่เริ่มมีสัมพันธภาพที่ไม่ดีกับสามีพี่ คือตัวพี่ไม่ชอบผู้ชายที่ใช้ความรุนแรง เพราะฉะนั้นพี่จะได้แฟนที่อ่อนโยน กี่คนที่คบก็มาแนวนี้หมดเลย จนกระทั่งมาถึงคนที่เป็นสามี แต่ด้วยความที่พี่ไม่ชอบผู้ชายที่รุนแรง เวลาที่พี่ทะเลาะกับพี่หมู (สามีครูณา) นะ พี่สามารถใช้คำพูดแล้วก็บิลท์เขาจนกระทั่งเขาจะกลายเป็นคนรุนแรง เธอนึกถึงเรื่องแรงดึงดูดของเราได้ไหม เราเกลียดผู้ชายที่รุนแรง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น คือ เรานี่แหละที่จะไปสร้าง trigger ความรุนแรงในตัวผู้ชายที่อ่อนโยนได้ พี่ทำให้พี่หมูเกือบจะเป็นคนที่ใช้ความรุนแรง เพราะมีวันหนึ่งพี่ trigger เขาจนกระทั่งเขาเงื้อมือ แล้วพี่ยังนิสัยไม่ดี ยังคิดว่า เออ… ถ้าเธอทำฉันก็สมเหตุสมผลที่จะเลิก นี่คือ ‘โรคที่พ่อแม่ทำ’ นะ

ยิ่งตอกย้ำมายเซ็ตเราว่า เป็นอย่างนี้จริงๆ ผู้ชายมันเป็นอย่างนี้ทุกคน 

เอ้อ! น่ะเห็นไหม! ผู้ชายมันเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ตัวเรานี่แหละที่ไม่รู้จักฝึกคิดเอง เพราะฉะนั้นอย่างที่พี่พูดไปในอีพีที่แล้วเนอะว่า ถ้าวันนี้เราได้เรียนรู้แล้ว ไม่ว่าเราจะเกิดโรคพ่อแม่ทำมายังไง แต่จริงๆ พ่อแม่ก็ทำดีที่สุด ณ ตอนนั้น วันนี้ผู้ฟังเราเป็นพ่อแม่ที่สามารถตัดวงจรได้ เหมือนเราก็ถูกทำมาว่า เราก็ไม่ชอบคนที่รุนแรง แต่ท้ายที่สุดเราเห็นเลยว่า พฤติกรรมที่เกลียดผู้ชายที่รุนแรง เรานั่นแหละเป็นตัวสร้างความรุนแรงให้กับคนที่อยู่ด้วย แล้วพี่เจอเคสแบบนี้ เยอะ! มาก! (เน้นเสียง) เลยนะ ที่เกลียดความรุนแรงแต่ท้ายที่สุดเขาเลือกใช้วิธีนี้กับคนรักของเขา แล้วเขาก็ทำให้คนรักของเขากลายเป็นคนที่รุนแรงได้ 

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการคบคนนะครับ แต่บางทีเราก็เผลอแสดงออกแบบวิธีที่เราไม่ชอบ

ใช่ ถ้าเราไม่ชอบวิธีไหนก็ระวังๆ เพราะคุณน่ะอาจเผลอใช้วิธีนั้นแบบไม่รู้ตัว

ทีนี้โดยรวบรัด มีบางคนที่ยังกลับไปแก้ทัน ถอยหลังกลับไปเยียวยาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น แต่บางคนถอยหลังกลับไปไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราต้องแก้ที่ทัศนคติตัวเรา แต่ไม่มีคุณพ่ออยู่ให้พูดคุยปรับความเข้าใจ เราควรทำอย่างไรดีครับ?

ถ้าเราพบว่าตัวเรามีเกิดปัญหาในความสัมพันธ์แบบเดิมๆ ให้เรากลับมาตั้งหลักที่ตัวเองเลยว่า เรามีทัศนคติบางอย่างที่มาจากรากที่มันไม่โอเค ให้เราฝึกที่จะเข้าใจทัศนคตินั้น แล้วก็พยายามสร้างทัศนคติใหม่ให้กับชีวิตของเราเอง เพราะชีวิตเรากำหนดและเดินได้ด้วยทัศนคติของเรานี่แหละ 

ไม่ว่าเส้นทางชีวิตเราจะเดินมาแบบไหน เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่เกิดโรคจาก ‘โรคพ่อหรือแม่ทำ’ แต่วันนี้เรามีศักดิ์และสิทธิ์สูงมากเลยที่จะมีความสุขแล้วก็ประสบความสำเร็จ โดยการฝึกสร้างทัศนคติใหม่ให้ชีวิตของเรา 

ไม่ว่าพ่อแม่จะดูแลเราด้วยความรักมากไป หรือใช้ความรุนแรงกับเรา หรือการเลี้ยงดูของพ่อแม่มันทำให้เราตีความหมายของโลกใบนี้อีกแบบหนึ่ง ทั้งหมดมันเกิดจากการที่เราถูกสร้างมา แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ทัศนคติเป็นเรื่องที่ฝึกได้ ชีวิตที่มีความสุขและความสำเร็จ คือ ชีวิตที่ฝึกฝน ฝึกตนมาดี ความสุข ความสำเร็จไม่ได้มาได้เปล่าๆ 

โรคกลัวผู้หญิง

ผมอ่านเจอในหนังสือ ‘โรคแม่ทำ’ เขาบอกว่า ‘เด็กผู้ชายที่ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่ที่ดุมากๆ เมื่อโตเป็นหนุ่มมีแนวโน้มที่จะเป็นรักเพศเดียวกันได้ง่าย’ หมายถึงว่า การเลี่้ยงดูก็มีผลต่อการเลือกเพศวิถี (sexual orientation) ของเรา เจอแม่ดุๆ เข้าไป กลัว ไม่ชอบผู้หญิง

พี่รู้สึกว่าการรักเพศเดียวกันมันไม่ใช่ความผิดนะ และก็มีบางคนเต็มใจเลือกเส้นทางนี้ แต่กลับบางคนก็ถูกสร้างทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น มาจากการเลี้ยงดูของพ่อหรือแม่นี่แหละที่ทำให้เกลียดหรือไม่ชอบเพศตรงข้าม อย่างเคสโรคกลัวผู้หญิง บางทีก็เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ที่ไปสร้างความหมาย ‘เพศตรงข้าม’ ให้ลูกรู้สึกว่า รับมือยาก จัดการไม่ได้ หรือไม่ได้มีความน่ารัก

ถามว่าประสบการณ์เลี้ยงดูในวัยเด็กมีผลต่อการเลือกเพศวิถีไหม? ใช่ มีผลเยอะมากและไม่ใช่แค่เรื่องเพศเท่านั้น  เช่น วิถีชีวิต ความรัก การเลือกคู่ แต่เราก็ต้องไม่ไปมองว่าสิ่งนั้น (การรักเพศเดียวกัน) ผิด คือสุดท้ายแล้วทุกคนก็เลือกวิถีชีวิตตามโลกที่เขาสร้างมา มันก็คือโลกที่เขาเห็น เขาก็รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ดีกับเขา ทำให้เขาพบความรักที่แท้จริง เอาจริงๆ ความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่ดีมากๆ ก็เกิดจากเพศกับวัยที่ไม่มีขีดจำกัดเลย เราก็สามารถพบกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขแล้วก็ดีได้ เพียงแต่ถ้าเรารู้สึกว่าทุกข์หรือไม่แน่ใจ เราก็จะมีข้อมูลบางอย่างที่รู้สึกเอ๊ะกับชีวิต แล้วเราจะเยียวยายังไงดี เพราะสิ่งนี้เป็นแค่ข้อมูลเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราควรที่จะดูแลสิ่งเหล่านี้ยังไงบ้าง เข้าใจชีวิตหรือว่าเรียนรู้อะไรกับมัน เพราะชีวิตเราเรียนรู้ได้ 

ครบทั้ง 4 อาการที่เราอยากพูดในตอนนี้ครับ เดียวตอนต่อไปเราจะมาคุยกันต่อกับโรคที่เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ตอนที่ 3 เริ่มกันที่โรคซึมเศร้าว่ามันเกี่ยวข้องกับ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ยังไง รวมถึงโรคอยากเห็น ‘ลูกเก่ง’ มันจะทำร้ายลูก สร้างความทุกข์ให้เขายังไงบ้าง ฝากติดตาม ‘โรคพ่อแม่ทำ’ อีกสักตอนหนึ่งแล้วกันนะครับ ฟังเรื่องที่เราคุยกัน อาจจะช่วยเหลือเยียวยาความสัมพันธ์ หรือทำให้ใครบางคนมีชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

Tags:

ปม(trauma)โรคพ่อแม่ทำ

Author:

illustrator

อังคณา มาศรังสรรค์

กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

illustrator

ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Healing the trauma
    Overexplaining: แกะปมที่ซ่อนอยู่ในคำอธิบายอันท่วมท้นของใครบางคน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    ภาวะซึมเศร้า กับ โรคปั้นลูกให้เก่ง ผลลัพธ์ข้างเคียงที่เกิดจากความรักที่มากไปของผู้ปกครอง

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ที่ก้าวร้าวก็เพราะข้างในบอบช้ำ: ATLAS หลักสูตรที่ ‘ครู’ ใช้รักษาบาดเเผลในใจนักเรียน

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

    เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

สอนให้เด็กเห็นคุณค่าสิ่งที่มี ขอบคุณยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก
Character building
21 December 2020

สอนให้เด็กเห็นคุณค่าสิ่งที่มี ขอบคุณยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เด็กที่ถูกปลูกฝังคุณลักษณะการขอบคุณและซาบซึ้งใจกับสิ่งที่มีและได้รับ (Gratitude) จะรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนมี รักโรงเรียน ครอบครัว ชุมชนที่อยู่มากขึ้น มีความตระหนักถึงส่วนรวมมากกว่า รับผิดชอบและผลการเรียนดีกว่า ไปจนถึงสุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงกว่าเด็กกลุ่มที่ขาดคุณลักษณะนี้ ทั้งมีแนวโน้มจะเปิดรับและเห็นโอกาสสร้างความสุขให้กับตัวเองมากขึ้น
  • สภาวะซาบซึ้งใจ การมีนิสัยสำนึกรู้คุณสูง หรือกระทั่งการเอ่ยขอบคุณออกมาเป็นคำพูด สามารถเยียวยาบาดแผลทางใจที่เกิดจากอดีตอันเลวร้าย ลดอาการเครียดจากมลภาวะทางใจ ตลอดจนช่วยให้หลายคนโฟกัสไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจได้มากขึ้น
  • สำหรับผู้ปกครองและครู บทความนี้แนะนำการสร้างสภาพแวดล้อมในการติดตั้งคุณลักษณะข้อนี้ และออกแบบชั้นเรียนที่สอนเรื่อง ‘การขอบคุณและเห็นคุณค่า’

หากมองให้ดีเราจะพบว่าชีวิตหยิบยื่นสิ่งล้ำค่ามากมายให้เรา ผ่านผู้คน โอกาส ประสบการณ์ น้ำใจและความช่วยเหลือที่ถูกหยิบยื่นเมื่อเราเผชิญกับอุปสรรคปัญหา บางทีสิ่งที่ทำให้เราเป็นสุขและซาบซึ้งใจอาจเป็นแค่ช่วงเวลาดีๆ ที่สมาชิกในครอบครัวพยายามจัดสรรให้ทุกคนเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา การดูแลเอาใจใส่และปฏิบัติกับเราอย่างคนสำคัญจากคนรัก เพื่อนฝูงที่คอยให้ความเข้าใจและรับฟังเสมอมา 

Gratitude – การขอบคุณและซาบซึ้งใจกับสิ่งที่มีและได้รับเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ความผาสุก ใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกนี้คือใจที่คำนึงถึงความดีงามของผู้อื่น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนมีอยู่ และขอบคุณยินดีเมื่อได้รับ และความรู้สึกขอบคุณนี้นี่เองที่เป็นคุณลักษณะสำคัญช่วยยกระดับจิตใจผู้คนและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้น 

เด็กที่ถูกปลูกฝังคุณลักษณะข้อนี้จึงมีพื้นฐานทางจิตใจและอารมณ์อันอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจและพร้อมที่จะเติบโตไปในทิศทางที่ดีและมีความสุข

เพราะเรื่องราวดีๆ เริ่มต้นที่ความรู้สึกขอบคุณ

ในการศึกษาอิทธิพลของความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อเด็กวัยยังไม่ถึง 5 ขวบ ตีพิมพ์ใน Journal of Happiness Studies ปี 2019 พบว่า ความรู้สึกขอบคุณของหนูน้อยวัยนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับความสุข แม้แต่งานวิจัยซึ่งเขยิบมาโฟกัสเด็กช่วงอายุระหว่าง 11-19 ปี ก็ยังแสดงผลลัพธ์ด้านบวกว่า เด็กที่ถูกปลูกฝังคุณลักษณะนี้จะรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนมี รักโรงเรียน ครอบครัว ชุมชนที่อยู่มากขึ้น มีความตระหนักถึงส่วนรวมมากกว่า มีความรับผิดชอบและผลการเรียนดีกว่า ไปจนถึงสุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงกว่าเด็กกลุ่มที่ขาดคุณลักษณะนี้

นอกจากนี้ ยังมีงานศึกษาเชิงจิตวิทยาว่าด้วย Gratitude มากมายที่ชี้ว่า สภาวะอารมณ์ซาบซึ้งใจ คนที่มีลักษณะนิสัยสำนึกรู้คุณสูงหรือกระทั่งการเอ่ยขอบคุณออกมาเป็นคำพูด สามารถเยียวยาบาดแผลทางใจที่เกิดจากอดีตอันเลวร้าย ลดอาการเครียดจากมลภาวะทางใจ ตลอดจนช่วยให้หลายคนโฟกัสไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจได้มากขึ้น 

ทั้งนี้สาเหตุก็เป็นเพราะความรู้สึกขอบคุณ ซาบซึ้งในการเป็นผู้รับ ได้มองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ เป็นพลังงานเดียวกันกับการมองบวก (Positivity) เมื่อสมองถูกกำหนดให้สแกนหาสิ่งที่เป็นเรื่องราวดีๆ บ่อยครั้งเข้า ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะเปิดรับและเห็นโอกาสสร้างความสุขให้กับตัวเองมากขึ้น 

ซึ่งจากที่กล่าวมาคงจะเห็นแล้วว่า หากเราฝันอยากจะเห็นพวกเขาเติบโตไปเป็นบุคลากรที่มีสุขภาพจิตและอารมณ์ดี มีแนวโน้มที่จะเติบโตอยู่ร่วมกันในสังคมได้เป็นอย่างดีมีความสุข โรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกแห่งไม่ควรรอช้าในการจัดการเรียนรู้ที่สร้างเสริมคุณลักษณะนี้ให้เด็กควบคู่ไปกับการสอนเชิงวิชาการ และควรทำกันตั้งแต่เนิ่นๆ

ไคซา เวอริเนน (Kaisa Vuorinen) และ ลอตตา อูสซิทาโล (Lotta Uusitalo) สองอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญระบบการศึกษาจากประเทศฟินแลนด์ผู้เขียนคู่มือการจัดการเรียนรู้ Feel The Good: How to Guide Children and Adolescents to Find Their Strengths ซึ่งเน้นการเสริมสร้างคุณลักษณะสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตให้กับเด็กๆ ขยายความถึงบทบาทหน้าที่ของคุณครูในชั้นเรียนที่ไม่เพียงต้องสอนให้เด็กๆ รู้จักกาลเทศะเหมาะสมที่จะเอ่ย “ขอบคุณ” แต่จุดมุ่งหมายของการติดตั้งคุณลักษณะข้อนี้ยังกินพื้นที่ลึกซึ้งไปถึงการบ่มเพาะให้พวกเขา ..

  • เคารพรู้คุณต่อสิ่งที่เราได้รับจากการพยายามและเสียสละของผู้อื่น
  • มองเห็นและสัมผัสความสุขที่เกิดขึ้นรอบตัวหรือความงดงามที่ชีวิตหยิบยื่นให้
  • ตระหนักถึงคุณค่า มีหมุดหมายและใช้ชีวิตในทางดีงาม
  • ถักทอสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับคนสำคัญในชีวิต
  • ยินดีกับโอกาสที่ผ่านเข้ามา ส่งต่อพลังความรู้สึกขอบคุณเป็นบวกให้กับคนอื่น
  • จดจ่อยินดีกับสิ่งที่ตัวเองมีในปัจจุบัน ไม่หมกมุ่นถึงอดีตหรือคร่ำครวญในสิ่งที่ไม่มี
  • ยืดหยุ่นทนทานเมื่อถูกซัดด้วยปัญหาหรือพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค สามารถลุกกลับมาสู้ใหม่ได้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ยิ่งเห็นได้ชัดว่า Gratitude เป็นคาแรคเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ และเท่ากับเป็นขุมพลังชีวิตที่จะช่วยให้เด็กๆ ดำเนินชีวิตอย่างรู้จุดหมาย เข้าใจความหมายและตระหนักว่าความสุขที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นได้ไม่ยาก และในบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องออกตามหาที่ไหนไกล เพราะมันอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง 

มาช่วยกันออกแบบชั้นเรียนที่สร้างความรู้สึกขอบคุณให้กับเด็กๆ กันเถอะ

ใจความสำคัญหนึ่งที่งานศึกษาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กมักเน้นย้ำเสมอคือข้อเท็จจริงที่ว่า 

เด็กๆ ซึมซับเลียนแบบลักษณะและพฤติกรรมจาก Role Model ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือพ่อแม่ ดังนั้น ประสบการณ์ที่นักเรียนได้รับตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ในห้องเรียนจึงสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การปลูกฝังคุณลักษณะข้อนี้ให้อยู่ในกิจวัตรทุกวันของเด็กๆ ทำได้ไม่ยากและครูนี่เองที่จะเป็นแบบอย่างให้กับพวกเขา 

เอมี่ มอริน (Amy Morin) อาจารย์สอนวิชาจิตวิทยาประจำมหาวิทยาลัยนอร์ธอิสเทิร์นในบอสตัน ผู้เขียน How to Teach Children Gratitude เขียนแนะนำไว้ว่าให้ลองเริ่มจาก

  1. เอ่ย “ขอบคุณ” การกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับแสดงออกอย่างจริงใจให้นักเรียนเห็นสม่ำเสมอคือภาพตัวอย่างที่ทรงพลังและชัดเจนที่สุดในการสอนให้เขาเห็นและจดจำไปปฏิบัติตาม ขอบคุณเมื่อเด็กๆช่วยกันเก็บข้าวของหลังทำกิจกรรมในชั้นเรียนโดยไม่ต้องขอ ขอบคุณเจ้าของเวรทำความสะอาดที่เช็ดกระดานไว้สะอาดเรียบร้อย  หรือขอบคุณชั้นเรียนที่วันนี้ทุกคนตั้งใจเรียนกันอย่างเต็มที่ 
  2. เล่ามุมมองเหตุการณ์ที่รู้สึกขอบคุณในชั้นเรียน คุณครูอาจเริ่มต้นชั่วโมงโฮมรูมด้วยการเล่าแบ่งปันประสบการณ์กับนักเรียนพร้อมกับสอดแทรกมุมมองที่แสดงความขอบคุณลงไปด้วย เช่น เหตุการณ์ยางแบนขณะอยู่คนเดียวเมื่อวานทำให้ได้ลงมือเปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยตัวเองสำเร็จเป็นครั้งแรก จากที่คิดว่าทำไม่ได้ ก็รู้สึกว่าต้องขอบคุณสถานการณ์นี้ที่ทำให้ได้ลองอย่างสุดความสามารถและภูมิใจกับตัวเองในที่สุด 
  3. ตั้งคำถามที่ช่วยให้เด็กๆ เข้าถึงความรู้สึกขอบคุณ Gratitude มีอยู่ 4 ด้านด้วยกัน คุณครูผู้สอนจึงควรพิจารณาวางแผนให้การสอนครอบคลุม
    • การสังเกต – มองเห็นประโยชน์ของสิ่งต่างๆ รอบตัว  คุณค่าของโอกาสหรือความช่วยเหลือที่มีคนหยิบยื่นให้  
    • การคิด – พิจารณาที่มาที่ไปของการเป็นผู้ให้และผู้รับในทุกสถานการณ์ และใส่ใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมา 
    • ความรู้สึก – ซึมซับความรู้สึกเมื่อได้รับและส่งต่อพลังงานดีๆ
    • การกระทำ – ให้คำแนะนำและเป็นแบบอย่างวิธีแสดงออกความรู้สึกขอบคุณ 

วิธีที่ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการเรียนรู้อย่างได้ผล คือการตั้งคำถามที่ปลุกให้เด็กๆ ทบทวนคุณค่าและประโยชน์จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เขาพบเจอ

คำถามที่ชี้ให้เขาสังเกตเห็นความสำคัญหรือด้านดีงามของผู้อื่นและสิ่งต่างๆ 

“ลองคิดถึงสิ่งที่เราใช้อยู่ทุกวัน นักเรียนคิดว่าอุปกรณ์ใดบ้างที่ถ้าเราไม่มีมันในวันนี้ ชีวิตจะยากลำบากขึ้น”

“มีใครสังเกตเห็นบ้างว่าเมื่อเช้านี้มีเพื่อนเราคนหนึ่งซ่อมป้ายหน้าชั้นเรียนเราจนมันสวยงามเหมือนเดิม” 

“หลังการเล่นกิจกรรมในวันนี้ เราอยากเอ่ยขอบคุณใครบ้างและอยากขอบคุณเขาเรื่องอะไร”

คำถามที่กระตุ้นให้เขาคิดพร้อมกับรู้สึกขอบคุณ                   

“เหตุผลที่เพื่อนร่วมแรงร่วมใจกันซื้อของชิ้นนี้ให้เธอเพราะอะไร” 

“ลองมองในมุมกลับดูซิว่ากว่าจะได้รองเท้าคู่นี้มาคุณพ่อคุณแม่ต้องผ่านความลำบาก เหนื่อยยากยังไงบ้าง”

“โอกาสที่ได้รับครั้งนี้จะช่วยพัฒนาหนูด้านไหนบ้างและหนูวางแผนจะตอบแทนกับโอกาสในครั้งนี้อย่างไร”

คำถามที่ชวนให้ไตร่ตรองความรู้สึกเมื่อเป็นผู้รับ

“ตอนนั้นเธอรู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นเพื่อนๆ ช่วยปฐมพยาบาลสุดความสามารถ” 

“ตอนรับโทรศัพท์แล้วรู้ว่าเราได้โอกาสให้ไปลองทำงานนี้รู้สึกยังไงบ้าง”

“เวลาที่คนในครอบครัวอยู่เคียงข้างตลอดช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้น เรารู้สึกยังไง”

คำถามที่ชักชวนให้แสดงออกความขอบคุณ

“มีวิธีไหนบ้างที่นักเรียนจะแสดงให้เพื่อนรู้ว่าเราดีใจกับสิ่งที่เพื่อนทำให้”

“พวกหนูอยากตอบแทนรุ่นพี่ช่วยติวหนังสือให้อย่างเต็มที่ไหม เราจะตอบแทนเขาอย่างไรดี”

“ความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับจากการได้รับความช่วยเหลือครั้งนี้สามารถส่งต่อให้คนอื่นได้อย่างไรบ้าง” 

เพื่อให้การเสริมสร้าง Gratitude ในชั้นเรียนเป็นเรื่องสนุกและไม่จำเจ ขอชักชวนให้คุณครูลองนำตัวอย่างกิจกรรมน่าสนุกที่อาจารย์เวอริเนนและอูสซิทาโล แบ่งปันไว้ในหนังสือคู่มือการสอนที่เอ่ยไว้ข้างต้น ลองหยิบยกไปปรับใช้เป็นกิจกรรมในห้องเรียนกันดูนะคะ

  • Gratitude Discussion: 
    • นักเรียนคิดว่าความรู้สึกขอบคุณหมายความว่าอย่างไร และการขอบคุณให้ประโยชน์กับเราอะไรบ้าง
    • นักเรียนอยากขอบคุณใครบ้างในชีวิต ด้วยเรื่องอะไร หรือมีสิ่งไหนที่เรารู้สึกว่ามีพระคุณบางอย่างกับเรา
    • อธิบายว่าความรู้สึกขอบคุณช่วยให้เรามองโลกในแง่ดีได้อย่างไร ลองเล่าเหตุการณ์ตัวอย่างให้เพื่อนฟัง
    • การขอบคุณเป็นสิ่งที่แสดงออกได้ด้วยวิธีใดบ้าง ในสถานการณ์ใดบ้างที่การขอบคุณเป็นเรื่องยาก
  • Gratitude Diary: มอบหมายการบ้านให้นักเรียนเขียน “ไดอารีแห่งการขอบคุณ” โดยให้เขียนถึงสิ่งที่อยากขอบคุณอย่างน้อย 3 อย่างต่อวัน กำหนดส่งการบ้านชิ้นนี้ในระยะ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นให้ชั้นเรียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิด ความรู้สึกหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างการสังเกตและบันทึก
  • Gratitude Box: ตั้งขวดโหลใบโตในห้องเรียนและให้นักเรียนเขียนสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นลงไปวันละหนึ่งอย่าง ในแต่ละสัปดาห์ จะมีการหยิบสุ่มข้อความในขวดโหลออกมาอ่านในชั้นเรียนและช่วยกันคิดว่าเพราะเหตุใดจึงควรขอบคุณเหตุการณ์หรือสิ่งนั้นและมันสำคัญอย่างไร
  • Gratitude Letter: ให้นักเรียนเขียนจดหมายขอบคุณถึงผู้มีพระคุณ หรือคนที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เกิดขึ้นทางใดทางหนึ่ง อาจเป็นคนในครอบครัวหรือผู้ที่เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือ จดหมายฉบับนี้จะถูกส่งหรือเก็บไว้ก็ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน 
  • Gratitude Session: ช่วงโฮมรูปอาจจะหนึ่งครั้งในสัปดาห์จะเป็นช่วงที่คุณครูกล่าวขอบคุณสิ่งดีๆที่นักเรียนได้ทำในช่วงนั้นเช่น ช่วยดูแลแปลงผักของโรงเรียนเป็นอย่างดี ซ่อมกรอบรูปที่พังให้คืนสภาพดีดังเดิม หรืออาจใช้เป็นพื้นที่ให้นักเรียนเป็นฝ่ายขอบคุณคุณครูและเพื่อนในห้องด้วย 

หวังว่าข้างต้นจะเป็นแนวทางเล็กๆ น้อยๆที่คุณครูใช้เป็นไอเดียออกแบบกิจกรรม หรือแบบฝึกหัดให้เด็กๆได้พัฒนาคุณลักษณะด้าน Gratitude ให้เกิดขึ้น ซึ่งนอกจากความสนุกสนานในห้องเรียน ความดีงามของการรู้ซึ้งในคุณค่าก็คงเป็นอีกความตั้งใจหนึ่งที่ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนๆ คุณครูทุกคนคงรอคอยที่จะได้เห็นเมล็ดพันธ์ที่หว่านโปรยไว้เบ่งบานเติบใหญ่ขึ้นไม่มากก็น้อยในหัวใจเด็กๆทุกคน

อ้างอิง
How to Teach Children Gratitude
Vuorinen, L. U. (2019). Gratitude. In See the Good! How to guide children and adolescent to find their strengths (pp. 142-147). Helsinki: Positive Learning Ltd.

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)GritCharacter world

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Character building
    Compassion Deficit Disorder: ทำอย่างไรในยุคที่เด็กๆ (และเรา) ป่วยเป็นโรคขาดความเมตตา

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    HOPE อย่าหมดหวังในตัวเองนะวัยรุ่น

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    หาก Grit คือความเพียร แต่จะเพียรพยายามในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Life Long Learning
    คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

เพราะไม่ว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราก็ต้องการความรักและความสนใจจากพ่อแม่เหมือนกัน
Family Psychology
20 December 2020

เพราะไม่ว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราก็ต้องการความรักและความสนใจจากพ่อแม่เหมือนกัน

เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

พ่อแม่จะรู้ไหมนะ ถูกเปรียบเทียบกับใครก็ไม่เจ็บและอึดอัด เท่าการเปรียบเทียบเรากับ…พี่น้องของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นปมในใจของคนที่มีพี่น้องหลายคน

การถูกเปรียบเทียบกับใครอื่นก็ว่าเจ็บแล้ว แต่ยิ่งถูกเปรียบเทียบกับพี่น้องท้องเดียวกัน บ้านเดียวกัน มันให้ทั้งความรู้สึกดีไม่พอ ไม่(กล้าจะ)มั่นใจ น้อยใจ ขมขื่น จะอิจฉาหรือรู้สึกกับพี่น้องมากก็ไม่ได้เพราะนี่คือคนในครอบครัวตัวเอง ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่เจ็บช้ำที่สุด

แต่ที่ซับซ้อนไปกว่านั้น บางครอบครัวก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะเลือกใช้คำที่ถนอมน้ำใจลูกแต่ละคนมากที่สุด แต่เพราะอยู่ในบ้านที่มี ‘หลายคน’ ให้เปรียบเทียบ แม้ไม่ตั้งใจแต่บางจังหวะก็เผลอทิ่มแทงความรู้สึกของคนที่ ‘ทำแบบนั้นไม่ได้’ อยู่บ้างเหมือนกัน

การ์ตูนจาก PHAR ถอดความจากบทความหนึ่งในคอลัมน์ the untold stories คุณเม เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจ ตามใจนักจิตวิทยา ที่จะมาตบหลังตบไหล่ดูแลหัวใจวัยเด็กของใครหลายคน และชวนผู้ปกครองตั้งหลักด้วยว่า…

ลำดับการเกิดมีผลต่อบุคลิกภาพเป็นทุนเดิม เด็กแต่ละคนมักถูกผู้ปกครองคาดหวังและกำหนดบทบาทให้เป็น แต่…อยากให้ตั้งหลักให้มั่นไว้ว่า…ลูกแต่ละคน จะเป็นในแบบที่เค้าอยากเป็น และนี่คือ 5 ข้อเท็จจริงที่อยากให้ผู้ปกครองเข้าใจและยอมรับ

อ่านบทความได้ที่ ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

Tags:

The Untold Storiesปม(trauma)การเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    ภาวะซึมเศร้า กับ โรคปั้นลูกให้เก่ง ผลลัพธ์ข้างเคียงที่เกิดจากความรักที่มากไปของผู้ปกครอง

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ด้วยรัก ภาระ และบาดแผล จากการเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่ต้องทำตามความต้องการของสมาชิกหลายคน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

รัฐสวัสดิการในประเด็นการศึกษา: ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
Education trend
18 December 2020

รัฐสวัสดิการในประเด็นการศึกษา: ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • ชวนคุยเรื่อง รัฐสวัสดิการในประเด็นการศึกษา ตั้งแต่… ถ้าเรามีรัฐสวัสดิการ เราจะไม่ต้องเป็นหนี้เพราะการศึกษา ไม่ต้องส่งต่อมรดกความจน(หรือรวย) การศึกษาจะช่วยขยับฐานะทางสังคมได้จริง เราจะไม่ต้องขอทุนด้วยระบบพิสูจน์ความจน  เราจะได้โรงเรียนดีๆ ใกล้บ้าน และอื่นๆ
  • กับ ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาวิจัยด้านรัฐสวัสดิการ หนึ่งในผู้ขับเคลื่อนการนำนโยบายที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นรัฐสวัสดิการ

มันเป็นความคับข้องใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยิ่งโต ยิ่งทำงาน ก็ยิ่งพบกับความจริงที่ว่า …การศึกษาไม่ได้ช่วย หรือช่วยน้อยมากในการขยับฐานะทางสังคมของเรา

หรือ หลายคนเป็นอย่างนี้มั้ยว่า เมื่อทำงานจบ เราต้องทำงานหนัก ด้วยค่าแรงที่ต่ำเตี้ย เราอาจต้องส่งเงินกลับบ้านให้พ่อแม่ราว 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ที่เหลืออีกกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ใช้ไปกับค่าใช้จ่ายรายวันและรายเดือน อีก 30 เปอร์เซ็นต์พยายามกันไว้เป็นเงินเก็บ แต่หลายครั้งอุบัติเหตุในชีวิตทำให้ต้องหยิบเงินเก็บเหล่านั้นมาใช้ เช่น อุบัติเหตุที่เกิดกับคนใกล้ตัว คนในครอบครัวมีเรื่องต้องใช้เงินด่วน น้องเปิดเทอม/เข้ามหาวิทยาลัยทีเราก็ต้องขนเงินสดที่เก็บหอมรอมริบไว้ออกมาใช้ และอื่นๆ ที่ทำให้เงินเก็บของเราถูกชักเข้าชักออกไม่มีหยุด (อย่างที่ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอย่างที่หลายคนก่นประณามว่าคนรุ่นใหม่เป็นทาสทุนนิยม)

ไม่ได้บอกว่าการดูแลครอบครัวไม่ดี เพียงแต่มันทำให้เรามองไม่เห็นทางว่า เราจะใช้แรงกายที่มากและด้วยเวลายาวนานแค่ไหน ที่เราจะ ‘ขยับฐานะทางสังคม’ ได้

ทั้งหมดนี้ไม่นับว่า ถ้าการศึกษาจะขยับฐานะทางสังคม ส่งเราให้มีโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตได้มากขึ้น เราต้อง(แข่งขันพาตัวเอง) เข้าไปอยู่ในโรงเรียนที่ ‘มีคุณภาพ’ ซึ่งมีไม่เท่ากันทุกโรงเรียน และการทำสิ่งนั้นจำต้องมาจากครอบครัวที่มีเศรษฐฐานะดี

เชื่อว่าเรายังมีอีกหลาย ‘คำถาม’ ในชีวิต ที่พัวพันกับสมมติฐานเรื่องการศึกษา คุณภาพชีวิต การเงินที่มั่นคง และความสุขในชีวิตที่เพียงพอจะต่อสู้ดูแลจิตใจตัวเองไม่ให้พังทลาย

เฉพาะช่วงปีที่ผ่านมา เราได้ยินคำว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ หนาหูและคุ้นตามากขึ้นเรื่อยๆ และมันนำพาจินตนาการต่อชีวิตที่มีความสุข อย่างเข้าใจง่ายและตรงประเด็นที่สุด คือ เราจะได้เรียนหนังสือฟรีตราบเท่าที่เราใฝ่ใจอยากเรียน – ลำดับชั้นการศึกษา ปริญญาตรี โท เอก วิชาชีพ สายสามัญ และ ไม่ว่าสายวิชานั้นจะไม่ทำเงินในเชิงเศรษฐกิจ แต่เราก็จะได้เรียนโดยไม่ต้องกังวลว่าเรียนแล้วจะหางานทำไม่ได้ ไม่มีงานทำแล้วจะไม่มีเงินส่งให้พ่อแม่ ที่ไม่ต้องกังวลเพราะรัฐดูแลเราและครอบครัว และรายละเอียดอื่นๆ ที่รัฐสวัสดิการจะมอบให้เรา

The Potential ชวน ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาวิจัยด้านรัฐสวัสดิการ หนึ่งในผู้ขับเคลื่อนการนำนโยบายที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐสวัสดิการ คุยกันเรื่องรัฐสวัสดิการในมุมประเด็นการศึกษา

ที่เมื่อคุยกันจบแล้วเราได้ข้อสรุป (อย่างน้อยก็กับตัวเอง) มันแยกไม่ได้หรอกว่า นี่คือการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม แต่มันคือ ‘ชีวิต’

และข้อความที่ถอดจากบทสนทนาหลังจากนี้ อาจทำให้เรามีจินตนาการต่อ ‘ชีวิต’ ตัวเองเปลี่ยนไป

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

เริ่มต้นยังไงกันดี กับประเด็น ‘รัฐสวัสดิการ’

พอยท์หลักของ ‘รัฐสวัสดิ’ จริงๆ มันง่ายต่อการเข้าใจมาก คือ ‘เงินบาทแรกจนบาทสุดท้ายของประเทศถูกใช้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน’ พูดง่ายๆ คือมันไปอยู่กับเด็ก คนแก่ นักเรียน นักศึกษา พยาบาล หมอ สนามเด็กเล่น โรงละคร รถเมล์ รถไฟ นี่คือคอนเซปต์ของรัฐสวัสดิการ หรือก็คือการนิยามว่าคุณมองคนเท่ากันมั้ย เป็นมายเซ็ตที่ว่าด้วยคน

แต่ถ้าพูดถึงรัฐสวัสดิการในแง่การศึกษา มันไม่ใช่เรื่องการเรียนฟรี แต่หมายถึงชีวิตของคนตั้งแต่เกิดจนตายต้องได้รับการเติมเต็ม อย่างที่ได้แชร์ไปว่าถ้าคุณอยากให้คนประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเรื่องการศึกษาหรืออะไร คุณต้องให้คนล้มเหลวได้ ให้เขาค้นพบตัวเองได้ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณไม่ต้องกังวลว่าถ้าพ่อแม่คุณป่วย คุณจะเอาเงินที่ไหนมารักษา

อย่างผมเคยคุยกับนักศึกษาชาวเดนมาร์กคนนึง เขาบอกว่าตัวเขาเรียนประวัติศาสตร์ น้องชายเรียนหมอ เขาเรียนหนังสือฟรี มีเงินเดือนให้ประมาณหมื่นกว่าบาทถึงสองหมื่น

นี่คือสวัสดิการที่จะได้ทุกคนในฐานะสิทธิ ไม่ใช่ในฐานะ ‘ทุน’ ว่าเรียนเก่งหรือยากจนอะไร และแม้ว่าจะเป็นสาขาที่จบมาแล้วตกงาน สาขาที่เมื่อเรียนจบแล้วเขาอาจต้องไปทำงานเป็นพนักงานร้านกาแฟ แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวลเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาอยากเรียน ฉะนั้น พอมันมี social safety net (โครงข่ายรองรับทางสังคม) ตัวนี้ คุณก็สามารถไปเรียนประวัติศาสตร์ เรียนวรรณคดี เรียนวรรณกรรม เรียนอะไรได้โดยไม่ต้องคิดถึงการตอบสนองต่อมูลค่า

ยังรวมถึง พอเมื่อพ่อแม่แก่ เขาก็ไม่ต้องคิดว่าเขาต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เพราะมันเริ่มจากการที่พ่อแม่เขามีบำนาญ เขาก็เลือกเรียนในสาขาที่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขาสนใจได้ กระทั่งเขาก็ไม่ต้องคิดว่าถ้าเขาแต่งงานแล้วลูกเขาต้องเรียนนานาชาติ หรือเอกชนราคาแพง เพราะโรงเรียนที่ดีที่สุดอยู่ใกล้บ้าน เด็กที่เกิดมาทุกคน รัฐบาลเค้าแจกเงินค่าเลี้ยงดูบุตรให้ต่อเดือนประมาณ 5 – 6 พันบาท ซึ่งคอนเซปต์ง่ายๆ แบบนี้แหละที่ทำให้การศึกษามันเติมเต็มความต้องการของคนได้

ถ้าเรามีรัฐสวัสดิการ เราจะไม่ต้องเป็นหนี้เพราะการศึกษา

งั้นขอเริ่มที่ประเด็นแรกนะคะ ถ้าเรามีรัฐสวัสดิการทางการศึกษา เราจะไม่ต้องเป็นหนี้เพราะเราอยากเรียนหนังสือ คือเราเป็นคนหัวดี เราขอทุนได้ แต่ถ้าเราไม่ได้หัวดีมาก เราอาจต้องกู้ กยศ. และติดลบตั้งแต่วันแรกที่สตาร์ทงาน

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ผมคุยกับเพื่อนอาจารย์ที่ต่างจังหวัด ซึ่งเขาเล่าเหมือนเป็นเรื่องโจ๊กนะแต่ก็เป็นตลกร้ายมากเลย เขาบอกว่าเมื่อสิบปีที่แล้วชาวบ้านที่แถวบ้านมีการลงทุนอันนึง คือการขายที่แล้วก็นำเงินไปลงทุนกันแต่เป็นการลงทุนที่ผิดพลาด แล้วตอนนี้เงินก็หมด ที่ทางก็หมด ผมถามว่ามันคือการลุงทุนอะไร เขาบอกว่าคือการขายที่แล้วส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย แล้วไม่ใช่ว่าลูกไม่รักดีแล้วเรียนไม่จบนะ คือลูกก็รักดีและก็เรียนจบ แต่ก็จบมาแล้วเท่านั้น หมดค่าเรียนไปประมาณสี่ห้าแสน ซึ่งส่วนหนึ่งจบก็ต้องใช้หนี้กยศ. ด้วย และส่วนหนึ่งก็ต้องหางานประจำทำแล้วก็อยู่ไกลออกไป

อย่างที่ถาม ถ้าเป็นรัฐสวัสดิการแล้วจะทำให้เรื่องหนี้มันหายไปได้มั้ย อันนี้ชัดเจนมากเลย ซึ่งเราอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยนะ แต่หนี้กยศ. ที่คุณต้องใช้ 15 ปีมันค้ำอยู่บนหัว มันทำให้คนไม่สามารถไปทำอะไรได้จริงๆ อย่างที่เคยมีข่าวสาวกู้กยศ. แล้วจะโดนยึดบ้าน ไม่สามารถใช้หนี้ 17,000 บาทได้ แล้วประชากรส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งก็คือชาวพันทิป (หัวเราะ) ก็จะด่าว่า เอ้ย…ทำไมไม่บริหาร เงินแค่หมื่นเดียวทำไมหาไม่ได้ ไม่มีวินัย คุณกู้มาก็ต้องใช้คืน นี่คือภาระของคนรุ่นหลังอะไรต่างๆ อีก …เราไม่รู้หรอกว่าเงินหนึ่งหมื่นสำหรับบางคนในบางช่วงชีวิต มันสำคัญมากขนาดที่คุณไม่รู้ว่าจะหามาจากไหน ขนาดฟ้องยึดบ้านก็ยอม ทำไมเราไม่ตั้งคำถามว่า ‘ทำไมเขาต้องกู้ ทำไมเรื่องเหล่านี้ไม่เป็นสิทธิ?’  

ผมลองมาคำนวณง่ายๆ ว่า เรามีคนระดับการศึกษาหลังม.ปลาย  ตั้งแต่ปริญญาตรีถึงเอก นับรวมหมดเลยจะมีประมาณสองล้านคน อยู่ประมาณสองล้านคนทั่วประเทศ ถ้าลองใช้ระบบค่าใช้จ่ายรายหัวแบบที่กยศ. เคยคำนวณ หรือเป็นแบบที่เราเคยใช้สำเร็จอย่างระบบ 30 บาท งบการเรียนของคนๆ นึงจะใช้งบประมาณ 100,000 บาท คือค่าเทอมสองหมื่น ปีหนึ่งก็ตกสี่หมื่น บวกค่ากินอยู่เดือนนึงประมาณสี่ห้าพัน คิดแบบนี้ก็ประมาณคนละแสน สองล้านคนก็คือสองแสนล้านบาทต่อปี

ซึ่งงบประมาณประเทศนี้อยู่ที่ 3.3 ล้านล้านบาทต่อปี คุณใช้แค่สองแสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ ก็พลิกโฉมการศึกษาได้เลย ทำให้ทุกคนได้เรียนมหาวิทยาลัยฟรีได้ ซึ่งนี่ไม่ได้ใช้เงินเยอะเลย ใช้เท่ากับกระทรวงกลาโหม โอเค…ไม่ต้องยกงบกระทรวงกลาโหมก็ได้เพราะประเทศนี้งบกลาง มีงบอะไรต่างๆ มากมาย แต่ผมแค่อยากชี้ว่ามันเป็นไปได้

ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยการเป็นหนี้ ชีวิตมันเป็นอีกแบบหนึ่งเลย ซึ่งนี่ก็เหมือนเรื่องดราม่านะ ผมเล่าหลายครั้งแต่ก็อยากย้ำอีก ผมเคยเซ็นผ่อนผันให้นักศึกษาที่เค้าไม่สามารถจ่ายค่าเทอมได้ ผ่อนผันมาจนจะมิดเทอม ผมถามว่าถ้าไม่มีก็ลองกู้กยศ. มั้ย เขาบอกว่าเขาก็อยากกู้ แต่พอเขาไปบอกพ่อเขา พ่อก็บอกว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้กู้ เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นคนขายประกัน เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อมีรายได้เท่าไร การจะหาเงินสองหมื่นมาเป็นค่าเทอมมันเป็นไปไม่ได้หรอก จะเอาเงินสองหมื่นมาจากไหน เขาบอกผมว่านี่คือประโยคที่พ่อบอกเขา “มึงจำคำกูไว้นะ มึงเกิดมาเป็นลูกคนขายประกัน ถ้าชีวิตมึงต้องเริ่มต้นตอนอายุ 22 ด้วยการเป็นหนี้สามแสนบาท ชีวิตมึงทั้งชีวิต ก็เป็นได้แค่คนขายประกัน” ตอนจบ พ่อเขาก็ไปกดบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดอะไรสักอย่างมาจ่าย เหมือนโฆษณาบัตรกดเงินสดอะ ‘ชีวิตได้ไปต่อ’

คือถ้าเรามองด้วยสายตาแบบเศรษฐศาสตร์ เฮ้ย พ่อโคตรโง่เลย หนี้กยศ. มันมีดอกเบี้ยแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่หนี้บัตรเครดิตมีดอกเบี้ย 28 เปอร์เซ็นต์ ทำไมพ่อทำแบบนี้ แต่พ่อเขาบอกว่า ‘ความจนทั้งหมดให้มันจบที่พ่อ ถ้าจะมีหนี้ ก็ให้มันตายที่พ่อ แล้วเอ็งจะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่’ คืออย่าเริ่มต้นด้วยการมีหนี้กยศ. น่าเศร้านะ แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ แค่สองแสนล้านบาทต่อปี ผมว่ามันเล็กน้อยมากเลยกับการที่คนๆ นึงจะสามารถเริ่มต้นชีวิตของเขาได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องเงินเลย

เหมือนเป็นการส่งต่อมรดกความจน

จริงๆ มันมีตัวเลขที่ค่อนข้างชัดของธนาคารโลกเรื่องการเลื่อนลำดับชั้นระหว่างเจนของคน ซึ่งค่อนข้างละเอียดและมีข้อมูลของประเทศไทยด้วย คือเทียบกับคนที่เกิดในทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2523 – 2533) คนที่เกิดในช่วงเวลานี้ ฐานะของเขาเทียบกับพ่อแม่เรื่องทรัพย์สินต่างๆ มันเป็นยังไง มันมีดัชนีนึงที่ธนาคารทำคือ ‘ดัชนีอภิสิทธิ์’ คือโอกาสที่ทรัพย์สินของพ่อแม่จะถูกส่งให้ลูกมีกี่เปอร์เซ็นต์ ทรัพย์สินที่ว่านี้รวมถึงหนี้สิน รวมถึงความจน คอนเนกชันต่างๆ ซึ่งของไทยอยู่ค่อนข้างสูงคือ 40 เปอร์เซ็นต์ คือถ้าพ่อแม่มีเงินร้อยล้าน โอกาสที่ลูกมีเงินโดยเฉลี่ย 40 ล้านโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย เช่นกัน ถ้าพ่อมีหนี้หนึ่งล้าน ลูกจะได้หนี้มาสี่แสนบาทโดยอัตโนมัติโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งคนรุ่นใหม่ไทยจะเจอภาวะแบบนี้เยอะมาก

แต่ประเทศพวกนี้ น่าสนใจมากคือ โอกาสของการส่งต่อทรัพย์สินในนอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ อยู่ประมาณ 19 – 20 เปอร์เซ็นต์ คือน้อยกว่าไทยมากกว่าครึ่ง นั่นหมายความว่าความจนของพ่อแม่มีโอกาสส่งให้ลูกประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือความรวยของพ่อแม่ก็มีโอกาสส่งให้ลูกเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ จากสิ่งที่พ่อแม่เคยได้รับ เพราะคุณจะได้รับสวัสดิการจากรัฐที่มันใกล้เคียงกัน ไม่แตกต่างกัน ผมเลยมองว่ารัฐสวัสดิการสำคัญเพราะทำให้การเลือกเกิดไม่ได้เป็นโมฆะ อันนี้สำคัญมากเลยคือ ทุกวันนี้เราบอกว่าคนเลือกเกิดมาไม่ได้ คนรวยก็บอกว่าฉันเลือกเกิดไม่ได้ ฉันรวยประมาณนี้แล้วจะให้สิ่งเหล่านี้เป็นโมฆะเหรอ? แต่เรื่องที่ทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นโมฆะได้คือเรื่องสวัสดิการนี่เอง

จริงๆ แล้วสำนักข่าวบีบีซีเคยทำสกู๊ปว่า ถ้าคุณเกิดในไทยแล้วมีเงิน 100 ล้านบาท กับ การเป็นจีเนียส (บุคคลอัจฉริยะ) อะไรทำให้คุณประสบความสำเร็จมากกว่า คำตอบคือมีเงิน 100 ล้านบาท แต่ถ้ามีรัฐสวัสดิการ ก็ทำให้อย่างน้อยที่สุดเรื่องการเลือกเกิดไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นแรงงานอพยพ คุณเป็นเศรษฐี คุณเป็นข้าราชการ เรื่องเหล่านี้เป็นโมฆะ มันจะไม่ใช่การ set zero อะไรหรอก แต่อย่างน้อยก็ครึ่งนึง ซึ่งผมมองว่าโอกาสของคนรุ่นใหม่จะตามความฝันได้มากขึ้น ไม่ถูกล็อกถูกขังด้วยชาติกำเนิด มันก็ทำให้คนมีโอกาสมากขึ้น  

‘การศึกษาจะช่วยขยับฐานะ’ จึงไม่ใช่ความจริงสำหรับเราเท่าไร

นักศึกษาผมทำโปรเจกต์จบประเด็นคล้ายๆ แบบที่คุณถาม คือถ้าการศึกษาคือการเลื่อนลำดับชั้นจริง ทุกคนพยายามดิ้นรนเพื่อจะเลื่อนมัน แล้วทำเป็นสมการออกมาว่า ถ้าเราเอามหาวิทยาลัยชั้นนำออกจากสมการเศรษฐกิจการเมืองไทย เอาออกไปหมดเลยนะ ถ้าสมมติฐานว่าการศึกษาจะทำให้คนเลื่อนลำดับชั้นได้จริง แปลว่าถ้าเอามหาวิทยาลัยชั้นนำออกไปจากสมการหาร โครงสร้างชนชั้นนำไทยต้องวุ่นวายปั่นป่วน แต่ปรากฎว่าเมื่อลบออก โครงสร้างชนชั้นนำไทยเหมือนเดิมเลย มันเลยยืนยันว่าถ้าคุณเป็นชนชั้นนำ/ชนชนกลาง คุณก็จะได้เรียนมหาวิทยาลัยชนชั้นกลาง/ชนชั้นนำ และได้เรียนในคณะที่ทำเงินได้ในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่จบมาแล้วมีงานทำ

สรุปแล้วคือ มหาวิทยาลัยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเลื่อนลำดับชั้นอะไรเลย มันเป็นเพียงแค่น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์อันทำให้ความเหลื่อมล้ำอยู่ต่อ คือคนที่ได้รับโอกาสก็ได้รับโอกาสมากขึ้นๆ ต่อไป ฉะนั้นการดิ้นรนของคนจนขึ้นมาข้างบนจึงเป็นภาพส่วนน้อยมาก และจริงๆ ไม่ใช่แค่ที่ไทย ในอเมริกาหรือประเทศทุนนิยมทั่วไปก็มีลักษณะแบบนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

จริงๆ มีทฤษฎีรัฐสวัสดิการอันนึงที่เรียกว่า W-curve บอกว่าในระบบทุนนิยม เราทำงานช่วงแรก เราจะรู้สึกว่าเราลืมตาอ้าปากได้ ความจนจะน้อยลง พอมีครอบครัวเราก็กลับมาจนเหมือนเดิม พอชีวิตจะดีขึ้นเมื่อลูกโต หรือช่วงที่เราอายุประมาณ 55 ปี ลูก เรียนจบหมดแล้วความจนก็น้อยลง แต่พออายุ 60 เราก็กลับมาจนเหมือนเดิม ต้องอยู่ด้วยเงินเก็บที่เรามี ซึ่งผมเคยทำเซอร์เวย์เรื่องนี้นะแล้วได้คุยกับคนที่เงินเดือนสัก 70,000 บาท อายุ 40 – 45 ถามเขาว่าเงินพอไหม? เขาบอกว่าก็เดือนชนเดือนนะ มีลูกสอง มีพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงอีกสองคน ดูแลพ่อตาแม่ยายอีก กลายเป็นว่า 70,000 บาท เลี้ยงดูอยู่ 5 – 6 ชีวิต เขาบอกว่าแค่ไม่เป็นหนี้ก็ถือว่าดีแล้วในแต่ละเดือน

พอยต์หลักที่ผมอยากแชร์คือ เวลาที่เรามองรายได้ของปัจเจกชนหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของครอบครัวเขาด้วย ถ้าเกิดว่าพ่อแม่ไม่มีภาระ พ่อแม่สามารถทำงานได้ หรืออยู่ในครอบครัวที่มี passive income มีที่ดินหรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกก็จะสามารถวิ่งตามความฝันได้ ข้อจำกัดในชีวิตอะไรก็จะน้อยลง

ในการขยับชนชั้น การศึกษาคือเรื่องรองแต่คอนเนกชันสิแน่จริง

จริงๆ มันแทบจะเป็นดีเอ็นเอโดยกำเนิดเลย ถ้าคุณเกิดมาอยู่ในครอบครัวนี้ มีเครือข่ายนี้ คุณก็ได้รับคอนเนกชันแบบนี้ และจริงๆ เราก็ทราบอยู่แล้วว่าคอนเนกชันมันเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณเลื่อนลำดับชั้นหรือประสบความสำเร็จได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีคอนเนกชัน

ผมเคยทำสำรวจแรงงานเหมาค่าแรง ในโรงงานจะมีพนักงานรายเดือน พนักงานรายวัน แล้วก็พนักงานแบบเหมาซึ่งเหมาผ่านบริษัทเอาท์ซอร์ส ผมสัมภาษณ์ว่า เขาคิดว่าลูกหลานเขามีโอกาสมาทำงานที่เขาอยู่ตรงนี้ เป็นพนักงานเหมาค่าแรงกี่เปอร์เซ็นต์ ก็ปรากฏว่าเขาประเมินออกมา 60 เปอร์เซ็นต์ เขาบอกว่าเพราะมันเป็นคอนเนกชันเดียวที่เขามีในชีวิต คือเจ้าของบริษัท sub contract เขารู้จักคนที่จะฝากเข้าทำงานที่ไหนได้บ้าง ก็ฝากเข้าทำงานเป็นพนักงานเหมาค่าแรงที่ไม่มีสัญญาจ้าง ไม่มีอะไร ก็ทำแบบนี้ไปจนกระทั่งตัวเองทำงานไม่ไหว ผมมองว่าเรื่องการขึ้นลำดับชั้นในประเทศที่ไร้สวัสดิการ มันเป็นเรื่องโกหก เป็นนิยาย เป็น Cinderella story ถึงต่อให้อยากมีเส้นสายกับคนใหญ่โตจริงๆ ก็ต้องมีคอนเนกชันต่างๆ ที่จะพาคุณเข้าไป คุณจะไปทำงานกับเจ้าสัวแล้วบังเอิญได้ฟังเรื่องหุ้นทุกวันเหมือนในนิยายฮอลลีวูด คุณก็ต้องมีคอนเนกชันซึ่ง มันก็ไม่ใช่เรื่องสำหรับทุกคนอยู่ดี อะไรแบบนี้ มันก็เป็นอีกพอยต์นึง

ถ้าเรามีรัฐสวัสดิการ เราจะไม่ต้องขอทุนการศึกษาด้วยระบบ ‘พิสูจน์ความจน’

เคยอ่านบทสัมภาษณ์เก่าของอาจารย์ เล่าว่าจุดที่ทำให้รู้สึกมากๆ กับเรื่องรัฐสวัสดิการ คือการขอทุนที่ต้องพิสูจน์ความจนของน้องสาว

เรียกว่าชิ้นนั้นเป็นบทสัมภาษณ์แรกๆ ของผมเมื่อ 11 ปีก่อนเลยนะ (ยิ้ม) ตอนนั้นผมอายุประมาณ 25 ก็เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ผมต้องรับผิดชอบครอบครัว เพราะพ่อผมอายุเยอะและเป็นข้าราชการบำนาญ ตอนนั้นได้บำนาญตอนเกษียณที่ดูเหมือนว่าเยอะ ก็คือเดือนละสองหมื่น แต่พอเวลาผ่านไป สองหมื่นที่ต้องเลี้ยงลูกสามคนและไม่มีรายได้ทางอื่น มันก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างหนักเหมือนกัน พอผมเรียนจบ ผมก็ต้องพยายามหางานเสริมเพราะตอนนั้นเริ่มเรียนปริญญาเอก หนักมาก ถึงแม้จะได้ทุนเดือนละ 8,000 บาท เป็นเรตในสิบปีก่อนนะครับซึ่งบางคนก็ว่าเยอะ บางคนก็ว่าน้อย เหมือนกับเงินเดือนข้าราชการ แต่มันก็ไม่พอ ช่วงปี 51 – 52 ถ้าเทียบกับภาระที่เราต้องรับผิดชอบ ก็หางานทำเพิ่มภายใต้เงื่อนไขต่างๆ

ตอนนั้นน้องสาวผมเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ก็ต้องพยายามส่งเสียน้องอย่างน้อยที่สุดคือค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่ผมคิดว่ามันมีส่วนหนึ่งที่น่าเศร้าคือ ที่จุฬาฯ ทุนเยอะถ้าเทียบกับหลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แต่กระบวนตอนนั้น คือ คุณต้องไปพิสูจน์ความจนเพื่อให้ได้รับ น้องก็มาเล่าให้ฟังว่าต้องทำอะไรบ้าง เขาบอกว่าต้องถ่ายรูปภาพบ้านมุมที่จนที่สุด ถ้าเขาเห็นบ้านเราเป็นบ้านเดี่ยว เขาอาจจะไม่แฮปปี้ที่จะให้ทุนก็ได้

ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ผมรู้สึกว่ามันทำลายความเป็นมนุษย์มากเลย ที่ผมรู้สึกไม่ดีก็เพราะเราคาดหวังว่าน้องเราควรมีชีวิตที่ดี ได้รับการเคารพอย่างสมศักดิ์ศรี เพราะเขาก็เป็นคนที่เติบโตในภาพของผู้หญิงรุ่นใหม่ เจนใหม่ เป็นผู้หญิงที่มีความคาดหวังในชีวิตที่ต่างไปจากผู้หญิงเจนก่อนๆ แต่ทุกเทอมเขาต้องมาเล่าบรรยากาศการ declare (ประกาศ) ความจนให้เราฟัง

ซึ่งสำหรับคนทั่วไปก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรหรอก เพราะนี่เป็นกระบวนการที่เราทำมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นระบบที่ดีนัก หนึ่ง – มันแก้ไขความเหลื่อมล้ำอะไรไม่ได้ สอง – มันทำลายความเป็นมนุษย์มาก หรือแม้ในปัจจุบันปี 2020 วิธีการสัมภาษณ์ทุน เขายังเอาเด็กมานั่งเรียงกัน 10 คนแล้วให้ทุกคนประจานความจนของตัวเอง พอประจานครบ เขาจะมีคำถามว่า ‘เมื่อฟังเคสของเพื่อนครบแล้ว ใครคิดว่าตัวเองไม่น่าสงสารเท่าเพื่อน ถอนตัวได้นะ’ ซึ่ง… มันแย่ใช่มั้ย แต่นี่คือมายเซ็ตที่ฝังรากในสังคมไทย บางคนบอกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ยอมๆ ทนๆ ไป แต่มันอยู่ในความคิดของผมตลอดเวลาที่เราพูดเรื่องนี้

ถามว่าประสบการณ์ช่วงเวลานั้นของผมมันเป็นเรื่องโศกเศร้าเสียใจร้องไห้อะไรมั้ย? มันก็ไม่ขนาดนั้น แค่รู้สึกเจ็บๆ นิดๆ แค่นั้นเอง แต่นี่แหละคือกระบวนการที่ระบบทุนนิยมมันทำงานกับเรา ให้มันเป็นความเจ็บที่เราทนได้ ความเจ็บที่เรารู้สึกว่าประนีประนอมกับมันได้ แล้วหวังให้มันผ่านไปหรือหวังให้มันไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เรา

แต่การขอทุนมันทำงานกับความคิดเราไปแล้วว่า การขอทุนเป็นเรื่องของเด็กที่เรียนเก่ง ต้องขวนขวาย (แทบตาย) เพื่อจะได้เรียน ยิ่งถ้าได้ทุนจากรัฐ ได้ทุนเพราะครูคนนี้เป็นคนชี้แนะหรืออนุมัติให้เราได้ทุน ลึกๆ เราจะรู้สึกว่าเป็นหนี้บุณคุณ เพราะเขา ‘ให้’ ทุนเราเรียน เป็นระบบอุปถัมภ์ในอีกแบบนึง

ตอนที่ผมได้ทุน หมายถึงในส่วนของผมนะ ผมก็ไม่ได้ conform อะไรกับเรื่องบุญคุณ คือคิดว่าเป็นสิทธิที่เราพึงได้ แต่ถ้าชวนมองในมุมใหญ่มันก็เป็นแบบนี้ และยิ่งเป็นมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด มันก็ยิ่ง conform กับระบบอุปภัมถ์มากๆ ว่า ครูคนนี้คือคนที่สัมภาษณ์ฉันนะ ครูคนนี้คือคนที่เอาทุนมาบอก อาจารย์คนนี้สัมภาษณ์ทำให้ฉันได้อยู่หอพักมหาวิทยาลัย มันมีคอนเซปต์ของการอุปภัมถ์แบบนี้ต่อไป และจริงๆ ตรงนี้ก็น่าสนใจในมูฟเมนต์ของขบวนการคนรุ่นใหม่ที่ออกมา ผมว่าด้านนึงคือการต้านกับแนวคิดอุปภัมถ์จอมปลอมที่มีอยู่ในสังคมไทย ว่ามันไม่ได้แก้ไขปัญหาต่างๆ ในประเทศนี้เลย

‘ถ้ารัฐสวัสดิการดี เราจะได้โรงเรียนที่ดีใกล้บ้าน’

ประเด็นต่อไปคือ ‘ถ้ารัฐสวัสดิการดี เราจะได้โรงเรียนที่ดีใกล้บ้าน’

สักช่วงสองปี ตอนที่ผมไปสอนที่นอร์เวย์ มหาวิทยาลัยออสโล ได้คุยกับอาจารย์คนนึงอายุประมาณ 40 ต้นๆ มีลูกสาววัย 12 – 13 ปี แล้วผมก็ถามประเด็นรัฐสวัสดิการกับการศึกษาว่า ถ้าพูดถึงระบบการศึกษาบ้านเขาจะให้เท่ากันทุกคน ไม่ว่าเด็กจะเป็นแบบไหนก็จะได้รับการทรีตแบบเดียวกัน ได้รับ material (ปัจจัย) แบบเดียวกัน ได้รับสวัสดิการแบบเดียวกันและอยู่ใกล้บ้าน

material ที่ว่า เช่นอะไรบ้าง

จริงๆ material ไม่ได้เยอะและซับซ้อน เพียงแค่โรงเรียนมีสนามให้วิ่ง มีเวลาเรียนที่น้อย มีครูที่ใส่ใจ ผมให้เทียบกับโรงเรียนอินเตอร์ที่นักเรียนต่อห้องมีสักสิบกว่าคน อะไรแบบนี้ ผมก็ถามเขาต่อว่าแล้วระบบแบบนี้มันเวิร์กจริงเหรอ แล้วเราก็คิดแบบคนเอเชียอะเนอะว่าหากเราให้เด็กทุกคนเท่ากัน แล้วถ้ามีเด็กอัจฉริยะโผล่ขึ้นมา ถ้ามีเด็ก gifted เด็กช้างเผือกที่จะเป็นไอน์ สไตน์ หรือมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เป็นนู่นเป็นนี่ โรงเรียนที่จัดสวัสดิการที่เท่ากันและปฏิบัติต่อทุกคนเท่ากัน ไม่มีสอบ… คือสอบก็ยังไม่มีเลยอะ แล้วคุณจะหาเด็ก gifted ต่างๆ เจอได้ยังไง?

เขาขำแล้วบอกว่า คุณรู้มั้ย…พ่อแม่ทุกคนก็คิดว่าลูกตัวเองเป็นเด็กอัจฉริยะทุกคนนั่นแหละ เอางี้ ถ้าคุณอยากให้เด็กสามารถพัฒนาศักยภาพตัวเองได้ ง่ายที่สุดเลยคือให้เด็กได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะงานวิจัยก็ยืนยันว่าคนที่จะค้นพบศักยภาพได้ดีที่สุดคือพ่อแม่ ดังนั้นสิ่งที่นอร์เวย์ทำคือ เรียนให้น้อย ไม่มีการบ้าน แล้วให้พ่อแม่มีเวลาให้กับลูก พ่อแม่จะมีเวลาให้ลูก ง่ายมาก ก็คือการทำให้เงินเดือนเยอะ ค่าแรงขั้นต่ำสูง มีวันลามาก ชั่วโมงการทำงานวันละ 6 ชั่วโมงพอ

ถ้าผมจำไม่ผิด ที่นอร์เวย์ พ่อแม่แต่ละคนสามารถเก็บวันลาได้จนลูกอายุ 9 ขวบประมาณ 400 วันต่อการลาของพ่อและแม่ (จนกว่าลูกอายุ 9 ขวบ) แล้วคุณอาจจะลาประมาณ 300 วันหรือสิบเดือนทีเดียวก็ได้ แล้วก็เก็บไว้อีกปีละ 10 วันเพื่อคุณพาลูกไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้จนลูกอายุ 9 ขวบ

นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาเดินทาง ไม่ต้องคิดถึงการสละเวลาวนรถจอดส่งลูกเข้าเรียนตอนเช้า แล้วก็ทำให้รถติดสะสมยาว 2-3 กิโลเมตร มันก็ทำให้คุณภาพชีวิตดี เด็กพัฒนาได้

นี่คือด้านนึงที่ผมอยากชี้ให้เห็นว่า โรงเรียนที่มีคุณภาพอยู่ใกล้บ้าน ทำให้เด็กสามารถพัฒนาศักยภาพตัวเองได้ดี ขณะเดียวกันก็ทำให้เด็กมีเวลาค้นหาตัวเอง ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ เราผ่านไปที่สาทร เราเห็นป้ายโฆษณาใช่ไหมที่มันขึ้นว่า ‘ซื้ออนาคตให้ลูก ซื้อคอนโดเริ่มต้น 5 ล้านบาทอยู่ตรงข้ามโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน’ อะไรแบบนี้ ซึ่งมันเป็นการผลิตซ้ำความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นๆ

นิยามคำว่า ‘คุณภาพ’

มันมีการพยายามก็อปโมเดลการศึกษาฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน เข้ามาในไทยเยอะมากเลย แต่ผมคิดว่าที่ไทยทำไม่สำเร็จ ด้านหนึ่งคือกุญแจในคำว่า ‘คุณภาพ’ ของเขาคือวาไรตี้ คือความหลากหลายของคนที่อยู่ในชั้นเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญมากสำหรับการศึกษา เพราะมันทำให้คุณจินตนาการถึงโลกที่แท้จริงได้ นึกถึงลูกประธานาธิบดีกับลูกผู้อพยพชาวซีเรีย ลูกซีอีโอ ลูกเจ้าของร้านขายของชำเรียนในชั้นเรียนเดียวกัน มันทำให้เขาแชร์จินตนาการ แชร์ความคิดได้ นี่แหละคือคำตอบว่าทำไมรัฐสวัสดิการในประเทศพวกนี้ยังคงอยู่ ทำไมมันถึงไม่หายไป

เพราะว่าวันนึงลูกของซีอีโอกลายเป็นประธานาธิบดีในประเทศที่ยังมีคนจนคนรวย แต่พอคนๆ นี้เขามองกลับมาที่สวัสดิการพวกนี้ก็จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาเคยใช้ เค้าอยู่ในระบบนี้ เขาเป็นส่วนหนึ่งกับมัน และเขายังอยากทำให้มันดีขึ้น เขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นเอเลี่ยน มันแปลกแยกเลย แต่เราลองนึกสิว่าถ้าชนชั้นนำไทยต่อไปได้เป็นสส. เป็นนายก เป็นเจ้าของบริษัท เวลาเขามองกลับมาที่โรงเรียนวัด เขาจะรู้สึกยังไง

หลักใหญ่ของคำว่าคุณภาพ คือ การศึกษาไม่ได้เรียนเพื่อสร้างคนไปทำงานอย่างเดียว มันไม่ใช่เลย ผมคิดว่ามันเป็นส่วนที่เพิ่งถูกงอกมาทีหลังด้วยซ้ำ คุณต้องหาความหมายของชีวิตตัวเอง หาความหมายของสังคมได้ก่อน เรื่องงานน่ะ ทุกคนต้องทำอยู่แล้วแหละกับการอยู่ในระบบนี้ แต่ว่าพอไปมองเรื่องคุณภาพว่าคือการที่คุณได้คะแนนวิทย์-คณิตสูงเพื่อไปอยู่ในองค์กรบรรษัทข้ามชาติต่อไป

คุณภาพอีกด้านนึงคือ ความแตกต่างด้านคุณภาพโรงเรียนในฟินแลนด์ ถ้าให้ผมเทียบนะ เหมือนจากเตรียมอุดมฯ ถึง โรงเรียนอบต. ในอุทัยธานี หรือระหว่างโรงเรียนก. กับ ข. จะต่างกันไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ของไทย โรงเรียนก. กับ โรงเรียน ข. สามารถต่างกันได้ 35 เปอร์เซ็นต์ ตัวนี้แหละเลยเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อปัญหาอะไรต่างๆ ที่เราพูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ คุณภาพมนุษย์

ความแตกต่าง 5 เปอร์เซ็นต์ กับ 35 เปอร์เซ็นต์ อะไรที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำที่นั่นมันห่างกันน้อย?

ผมคิดว่ามาจากประเด็นเรื่องความเป็นประชาธิปไตย คือเรื่องพวกนี้มันก็ได้มาด้วยการต่อสู้เนอะ ฟินแลนด์เคยมีนัดหยุดงานครั้งใหญ่ 600,000 คนในช่วงทศวรรษ 60 สวีเดนเองก็เคยนัดประท้วงหยุดงานทั้งประเทศ (general strike) พอประท้วงแล้วทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นสิทธิ ทีนี้เรื่องการบริหารจัดการสวัสดิการใหญ่ๆ ทั้งหมดที่เป็นหมวด ‘การให้บริการ’ ซึ่งจัดการโดย ‘ท้องถิ่น’ แล้วส่วนท้องถิ่นของเขาก็มีความเป็นประชาธิปไตยมากๆ มีอำนาจมาก เช่น เคยมีประชาชนมาฟ้องเทศบาลของเขาว่า ‘นโยบายนี้เป็นนโยบายที่ล้มเหลวเพราะขาดทุน’ ศาลสวีเดนตัดสินว่านโยบายท้องถิ่นขาดทุนไม่เป็นไร ขาดเท่าไรเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้อง fund เงินใส่เข้าไป ตัวเลขลบเท่าไรต้องใส่เข้าไป เพราะนี่คือเจตจำนงของประชาชน 

พอเรามีท้องถิ่นที่รับผิดชอบ หรือ accountability ต่อคนมากๆ มันก็ชัดว่าคนต้องการโรงเรียน คนต้องการโรงพยาบาล คนไม่ได้ต้องการวงเวียนแต่ต้องการรถเมล์ที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้เลยทำให้สวัสดิการมันสตาร์ทขึ้นมาในระดับท้องถิ่น พอสวัสดิการในระดับท้องถิ่นดี คนก็ไม่ต้องย้ายออก ถ้าเรามีโรงเรียนคุณภาพระดับโรงเรียนประจำจังหวัดของไทยแต่มีอยู่ทุกตำบลล่ะ? คนก็ไม่ต้องย้ายออกไปไหน แล้วรัฐไม่ต้องคิดถึงเรื่องกำไรขาดทุน มายเซ็ตสำคัญของไทยที่มันแย่ต่อการจัดทำนโยบายสาธารณะคือเรื่องกำไรขาดทุน

เรื่องนี้นะ…ขนส่งสาธารณะนี่ไม่ต้องพูดถึง ประเทศกลุ่มนอร์ดิก คือแม้แต่ในเยอรมันนี่ก็ขาดทุนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ตามเทศบาลชุมชนต่างๆ ลงทุน 100 ล้าน โยนทิ้งเลย 70 ล้าน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ การศึกษาก็เช่นเดียวกัน คุณไม่ต้องคิดหรอกว่าโรงเรียนอ.บ.ต. โรงเรียนเทศบาลจะขาดทุนรึเปล่า คุณทำให้มันดี คนก็อยู่ พอคนอยู่ เรียนไปกระทั่งจบมัธยม คนก็ทำงานอยู่ที่นี่ แต่ของไทย ตั้งแต่ม.1 เลยที่คุณต้องหอบผ้าหอบผ่อน เดินทางไกล คุณไม่รู้สึกว่าที่บ้านมีอะไรคอยคุณอยู่

ผมสอนนักศึกษาที่ มธ.ศูนย์ลำปาง ผมถามว่ามีคนลำปางกี่คนในห้อง ปรากฎว่ามี 2 คนจาก 20 คน ประมาณนี้ ผมถามว่าเรียนจบแล้วแล้วคุณจะทำงานที่ลำปางมั้ย เขาบอกว่าไม่มีงานอะไรที่รองรับเขาได้ เรื่องนี้ก็มีทฤษฎีหนึ่งของนักเศรษฐศาสตร์สวีเดนเรื่อง ‘การสะสมความเป็นเหตุเป็นผล’ (cumulative causation) คือพอคุณลงทุนในสวัสดิการเยอะ คนก็จะอยู่ในชุมชนของคุณเยอะ พออยู่ในชุมชนคุณเยอะ คุณก็มีสตาร์ทอัพ มีธุรกิจมากขึ้นๆ ฉะนั้นเงินภาษีก็กลับมา fund ตัวระบบสวัสดิการต่อเนื่องต่อไป

คิดว่าเป็นไปไม่ได้

มันคงเป็นไปไม่ได้ถ้าเรามองผ่านมายเซ็ต ณ ปัจจุบันของเรา เพราะเราคุ้นกับสวัสดิการ โอเค…ถ้าคุณไม่เก่ง คุณก็ต้องจนเพื่อให้คุณได้รับสวัสดิการ (เช่น ทุนเรียน) แต่จริงๆ ย้อนไปตอนเกิด ‘30 บาท รักษาทุกโรค’ ตอนนั้นไม่คิดว่าจะมี จะเป็นไปได้ว่าประเทศจะมีเงินปีละแสนล้านมาใช้จ่ายกับเรื่องนี้ คือหลังจากคุณหมอสงวน (นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์) ได้ไปเสนอเรื่องนี้กับทุกพรรคการเมือง แต่พรรคที่เซย์เยสคือพรรคไทยรักไทย พอชนะเลือกตั้ง ก็ถามหมอสงวนว่านโยบายนี้ต้องใช้เวลากี่ปีเพราะต้องรื้อระบบราชการใหม่หมด หมอสงวนก็บอกว่าน่าจะสองปี แต่สองปีในทางการเมืองนี้มันนาน ไม่มีใครคอยนโยบายได้สองปีหรอก ซึ่งอันนี้ก็สำคัญมาก ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยเลยคิกออฟที่ 6 จังหวัด แล้วพอ 6 จังหวัดทำได้ จังหวัดอื่นก็แย่งกันทำ สุดท้ายมันก็เกิดทั้งประเทศในเวลาแค่ 6 เดือน ตรงนี้ผมคิดว่ามันน่าสนใจ มันขึ้นอยู่กับความคิดเรื่องความเป็นไปได้

คนรุ่นใหม่ที่เขาสนใจเรื่องการเมืองท้องถิ่น เช่น จังหวัดเล็กๆ อย่างปราจีนบุรี เขาบอกว่าถ้าทำขนส่งสาธารณะ เฉพาะแค่รถเมล์ที่ดีและมีคุณภาพ จะต้องใช้ปีละ 200 ล้านบาท เขาบอกว่าเขาไปคุยกับผู้ใหญ่มากมายในจังหวัดและทุกคนก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่พอเขาเอางบมาตีให้ดู พบว่าปราจีนบุรีซ่อมถนนปีละ 200 ล้าน แล้วถ้าคุณเลิกซ่อมถนนสักปี มาทำขนส่งสาธารณะล่ะ?

คนเถียงกันบ่อยว่า ประเทศที่มีรัฐสวัสดิการทำได้เพราะเค้าเสียภาษีแพง

นี่เป็นคำถามที่คนชอบถามผมเหมือนกัน คือ ‘ถ้างบเรามีจำกัด เราต้องเอาอะไรก่อน?’ เราจะเห็นว่าเวลาพูดถึงคอนเซปต์นี้มันต้องไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่การศึกษาอย่างเดียว แต่คือเรื่องการจัดสรรงบประมาณทั้งหมด เป็นสิ่งที่เราทำได้ ไม่ได้เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ได้เพ้อฝันอะไรเลย 

ผมเพิ่งอ่านหนังสือของ Joseph E. Stiglitz เล่ม People, Power, and Profits: Progressive Capitalism for an Age of Discontent ข้อหนึ่งแกบอกว่าสหรัฐอเมริกามักอ้างว่าไม่มีเงิน ในการจัดการศึกษาฟรี  และการรักษาพยาบาลแก่ทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ตลกมาก เพราะอเมริการวยที่สุดในโลก ประเทศที่จนกว่าอเมริกาหลายเท่าทำไมทำได้?

ถ้ามีรัฐสวัสดิการ คนจะขี้เกียจ ไม่อยากทำงาน 

แม้แต่ในประเทศกลุ่มนอร์ดิกนะ เงินเดือนที่ให้ก็ไม่ได้เยอะมากขนาดที่ว่าคุณจะไม่ต้องทำงาน โอเค…เขามีประกันการว่างงานให้หนึ่งปีให้โดยได้เงิน 80 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนสุดท้าย เช่น คุณเคยได้เงินเดือน 100,000 คุณก็ได้เงิน 80,000 ปีนึงไปฟรีๆ ซึ่งถ้าเราคิดแบบคนไทยก็อาจบอกว่า เดี๋ยวไอนี่มันต้องไม่ทำงานละ แต่ปรากฏว่ามัน shift ทำให้คนทำงานได้เยอะขึ้น

คอนเซปต์ของเดนมาร์กคือ flexible + security เพราะระบบเศรษฐกิจจะไปต่อได้ต้องมีความสร้างสรรค์ เช่นผมทำงานมาสิบปี ผมเบื่อ แต่ถ้าอยู่ประเทศไทยผมจะทำอะไรได้ ผมจะเปลี่ยนอาชีพตอน 30 กลางๆ มันก็ลำบากแล้ว แต่ของประเทศพวกนี้ พอว่างงาน คุณก็ไปเทกคอร์สมหา’ลัย ได้ฟรี ผมอาจจะออกไปแล้วเรียนการเขียนบท เรียนการกำกับ พอครบปีนึง ผมมีสกิลไปเริ่มทำงานโดยที่ผมไม่รู้สึกว่าเสียอะไร แล้วสิ่งที่ประเทศนี้ได้จากผมคืออะไร? ก็ได้เสียอาจารย์ที่หมดไฟไปคนนึงแล้วได้ผู้กำกับที่มีไฟมาแทน นี่คือฐานความคิดของเค้า แต่มันก็มาจากสิทธิที่ว่ามนุษย์ควรมีสิทธิได้เลือก

เริ่มงานใหม่และได้พักโดยไม่ต้องมีค่าเสียโอกาส

ผมว่าประเทศเหล่านี้มีเซนส์ของการเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยสูงมาก ความแตกต่างของรายได้แต่ละอาชีพมันน้อย ถ้าพวกนอร์ดิก รายได้หลังหักภาษีต่อเดือนจะประมาณ 100,000 – 150,000 บาทต่อเดือน และทุกอาชีพจะประมาณนี้ ไม่ต่ำไปกว่านี้ ยกเว้นคนที่ทำพาร์ทไทม์ซึ่งได้ประมาณ 6 – 7 หมื่นบาทต่อเดือน พอมันไม่แตกต่างกันมันเลยทำให้คนเลือกอาชีพได้ สิ่งสำคัญคือมันมีรัฐสวัสดิการที่ให้ยืนพื้นอยู่แล้ว เลยไม่ทำให้รู้สึกว่าอาชีพเหล่านี้มีพริวิลเลจ เลยทำให้การเลือกอาชีพเป็นเซนส์การเลือกด้วย passion ของเขา และสำคัญมากคือคุณไม่ต้องทำอาชีพนี้ไปทั้งชีวิตก็ได้ นี่คือเรื่องใหญ่มาก

และรวมกับการสร้างโครงสร้างการเมืองท้องถิ่นที่เข้มแข็งอันทำให้คุณกลับบ้านได้

ผมว่าอันนี้สำคัญ ทุกวันนี้กรุงเทพฯ นอกจากได้งบประมาณเยอะที่สุด มูลค่าทางเศรษฐกิจเยอะที่สุด กรุงเทพฯ ยังดูดคนที่มีศักยภาพเข้ามาทำงาน แทนที่คนเหล่านี้จะได้อยู่สิงห์บุรี อุทัยธานี ลำปาง กาญจนบุรี จังหวัดต่างๆ ที่เขาอยากอยู่ แต่คนกลุ่มนี้ก็ต้องมาอยู่กรุงเทพฯ เพราะมันมีงานและสวัสดิการต่างๆ ถ้างาน เงิน และสวัสดิการอยู่ที่จังหวัดพวกนี้ มันก็จะทำให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจอีกแบบขึ้นมา

สุดท้ายค่ะ อาจารย์อยากฝากอะไร

อยากบอกว่าเรื่องรัฐสวัสดิการไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นเรื่องที่คนสามารถพูดและเรียกร้องได้ ประเทศที่เกิดรัฐสวัสดิการได้ก็เพราะคนธรรมดาพูด ไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่นักธุรกิจ หรือ influencer พูด แต่เป็นเพราะคนธรรมดาสามารถพูดเรื่องนี้ได้ว่ามันควรเกิดขึ้น ก็กลับมาที่เบสิคเรื่องฟรีและชีวิตโดยรวมของเราที่ต้องปลอดภัย อย่างที่เคยพูดแหละว่า การทำให้เด็กค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองได้ คือการทำให้พ่อแม่ต้องมีเวลา แปลว่าการลงทุนกับพ่อแม่ก็สำคัญไม่แพ้กับการลงทุนของเด็กและสวัสดิการหลายอย่าง

Tags:

ประชาธิปไตยการเลือกตั้งความเหลื่อมล้ำมหาวิทยาลัยรัฐสวัสดิการษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Social Issues
    ‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย : คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด
How to get along with teenager
16 December 2020

เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • “ถ้าเด็กที่มีธาตุลมอยู่ในตัวเองเยอะ รูปของเขามักจะเบา เพราะเขาขาดกลุ่มสีที่หนักแน่น ซึ่งกลุ่มสีที่หนักแน่นของเขาคือ ธาตุดิน เช่น น้ำเงิน น้ำตาล ส่วนธาตุไฟ คือเหลืองอุ่นๆ ส้ม หรือสีแดง อุปนิสัยร่าเริง คือธาตุลม สีเหมือนลมเลย เช่น สีเขียวอ่อน สีเหลืองเบาๆ แบบนี้เป็นต้น สีมันเผยธาตุของเขาเอง เราจึงต้องชวนให้เขามีในธาตุที่ไม่มีให้มากขึ้น เพื่อปรับสมดุลในตัวเอง”
  • เมื่อการใช้สีในงานศิลปะไม่ได้บ่งบอกแค่สภาวะอารมณ์ของวัยรุ่น แต่ยังสะท้อนอุปนิสัยของแต่ละธาตุ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจโลกหลากสีหลายเฉดของวัยรุ่นมากขึ้น และช่วยประคับประคองเขาไปสู่การค้นพบพลังสร้างสรรค์ได้อย่างสมดุล
  • เข้าใจวัยรุ่นผ่านวงล้อแห่งศิลปะและสีสันกับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัดแห่ง ๗ Arts Inner Place
ภาพ จรรสมณท์ ทองระอา  

เข้มไปก็ไม่ดี อ่อนไปก็ใจบาง การใช้สีในงานศิลปะไม่ได้บ่งบอกแค่สภาวะอารมณ์ของวัยรุ่น แต่ยังสะท้อนอุปนิสัยของแต่ละธาตุ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจโลกหลากสีหลายเฉดของวัยรุ่นมากขึ้น และช่วยประคับประคองเขาไปสู่การค้นพบพลังสร้างสรรค์ได้อย่างสมดุล

ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี

The Potential Podcast รายการ ‘ในโลกวัยรุ่น’ อีพีที่ 2 โจ้ – กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential ผู้ดำเนินรายการ ชวนครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัดแห่ง ๗ Arts Inner Place สนทนาถึงพลังของสีสันที่จะช่วยให้วัยรุ่นค้นพบเส้นทางของตนเอง ในชื่อตอน ‘สีสันของวัยรุ่น’ เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี

ศิลปะ และสี จะทำให้เราเข้าใจวัยรุ่นได้อย่างไร ชวนติดตามบทสนทนาต่อไปนี้

หรือรับฟังทางพอดแคสต์ได้ที่ 

บทความนี้ถอดความมาจากรายการพอดแคสต์ ‘ในโลกวัยรุ่น’ ตอนที่ 2 สีสันของวัยรุ่น เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี ดำเนินรายการโดย กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

ตอนนี้พี่มอสทำอะไรอยู่บ้าง?

ปัจจุบันเป็นนักศิลปะบำบัด มีสตูดิโออยู่ที่เชียงดาว ชื่อว่า ๗ Arts Inner Place เป็นสตูดิโอศิลปะด้านใน ทำงานเกี่ยวกับการใช้ศิลปะบำบัด และมีการอบรมที่ใช้ศิลปะหลากหลายแขนง มีทั้งหมด 7 แขนง และอีกงานหนึ่ง คือ ทำงานโครงการศิลปะด้านใน เกี่ยวกับการพัฒนาคุณครูปฐมวัยผ่านกระบวนการสุนทรียภาพ 

ไม่ใช่แค่ศิลปะในเชิงของสี หรือจิตรกรรมเท่านั้น แต่มีอีกหลากหลายแขนง?

ครับ เราสามารถใช้ความหลากหลายของศิลปะ อย่างเช่น สถาปัตยกรรม การรู้สึกถึงสถานที่ว่าสถานที่นี้ให้พลังงานกับเราอย่างไร ประติมากรรม จิตรกรรม ดนตรี ภาษาที่หมายถึงบทกวี การละคร การเคลื่อนไหว และศิลปะแห่งชีวิต เรียกว่า Social Art ซึ่งไม่ใช่คำใหม่ แต่อยากให้เป็นสังคมที่มีความหมายของศิลปะ หรือสังคมแห่งศิลปะ

เราอยู่ในพอดแคสรายการในโลกวัยรุ่น คำถามแรก อยากทราบว่าพี่มอสในช่วงวัยรุ่นเป็นอย่างไร และกว่าจะมาเป็นจิตรกร เจอตัวเองได้อย่างไร?

ในช่วงมัธยมต้น หลังเลิกเรียนได้เข้าไปหาคุณอัศศิริ ธรรมโชติ อยู่บ่อยๆ ท่านเป็นนักเขียนเรื่องสั้น และบรรณาธิการสยามรัฐในเวลานั้น ไปจนกองบรรณาธิการจำได้ แล้วเราได้บอกกับตัวเองว่าจะเป็นนักเขียน ก็เริ่มจากติดตามผลงานของคุณอัศศิริ ธรรมโชติ ซึ่งมาจากการเริ่มอ่านหนังสือรางวัลซีไรต์ เริ่มเขียนหนังสือ และหลังจากนั้นก็เริ่มอ่านหนังสือที่ยากขึ้น จำได้ว่าตอนนั้นอ่านหนังสือเรื่องหนึ่งของคุณอัศศิริ ชื่อว่า ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง และมีงานเขียนคลาสสิกเล่มหนึ่ง เหมือนทะเลมีเจ้าของ พูดถึงชาวประมงมีชีวิต นั่นคือจุดเริ่มต้นของงานศิลปะผ่านการเขียน

แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่มาทำงานด้านศิลปะ?

จากการได้ไปเป็นลูกศิษย์ครูเป้ สีน้ำ ในสมัยก่อน ครูเป้สอนเด็ก เราเป็นคนเก็บของ เตรียมอุปกรณ์ให้ครู ก็ได้ไปนั่งรอครูสอน จนรู้สึกว่ามันเสียเวลา เลยเอากระดาษมาลองวาดรูปดู เนื่องจากเราอยู่ตรงนั้นก็พอจะซึมซับจากครูได้บ้าง แต่จุดที่เปลี่ยนจริงๆ คือ การแสดงงานในช่วงมหา’ลัยปี 3 ที่ได้จัดแสดงงานของตัวเอง มีทั้งกวีและภาพวาด ซึ่งรู้สึกว่าตัวเองมีความกล้าหาญข้างในลึกๆ แต่ก็มีความกลัวด้วยนะ ขอบคุณเพื่อนๆ ขอบคุณคนที่เข้ามาดู มันทำให้เรามีความมั่นใจว่ามันมีเส้นทางนี้อยู่ในชีวิตเรา

หลังจากนั้นก็ได้ก้าวเข้ามาสู่คนที่ชอบศิลปะ และจังหวะที่มีการปฏิรูปการศึกษาเมื่อ 20 ปีก่อน ครั้งนั้นก็มีการศึกษาแบบหนึ่งที่ให้คุณค่าของศิลปะเยอะมาก เป็นการศึกษาในแนวมนุษยปรัชญา หรือวอลดอร์ฟ (Waldorf) หลายๆ คนคงรู้จัก นั่นเป็นจุดที่สำคัญเลย ทำให้เรารู้สึกว่าเมื่อเรียนจบปริญญาตรีแล้วเราอยากไปเรียนด้านนี้ ทั้งที่ๆ เราไม่รู้จักประเทศเยอรมนีเลย แต่ในใจคิดว่าเราจะได้ไป น่าแปลกที่เราก็ได้ไปจริงๆ

เหมือนมีเสียงเรียกร้องภายใน เราจะได้เป็นในสิ่งนั้น ถือว่าเป็นวัยรุ่นที่โชคดีที่หาตัวเองเจอ

หลายคนบอกว่าผมโชคดีที่ค้นหาตัวเองเจอเร็ว ซึ่งมันก็เร็วจริง เพราะว่าตอนจบมหา’ลัยปีที่ 4 ก็ออกหนังสือเล่มแรก ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นคนแรกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกคือ ในความโชคดีก็จะมีพลังบวกของคนรอบๆ ข้างด้วยที่หนุนให้เราลงมือทำ เช่น พลังบวกของเพื่อน ของผู้ใหญ่ที่สนับสนุน เราจะต้องขอบคุณที่มีคนช่วยผลักดันที่ทำให้เรากล้าไปเรื่อยๆ

น่าสนใจมาก ชีวิตวัยรุ่นต้องการสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เราสามารถที่จะกล้าลอง กล้าลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครู ที่เป็นแรงผลักดันให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้

สิ่งที่สำคัญ คือ การที่เราเจออุปสรรค แม้ว่าเหมือนเราจะมีหนทางที่ถูกปูมาและชัดเจน แต่จริงๆ แล้วมันไม่เรียบ ซึ่งช่วงนั้นเรายังเด็กมาก และเป็นความท้าทายมากว่า เวลาเรามีปัญหา เราจะก้าวผ่านมันยังไง เราจะเดินต่อ ถอยหลังกลับ หรือจะเลิก นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เริ่มต้นชีวิตของเราจริงๆ เพราะชีวิตมันไม่ได้ราบเรียบ คำนี้มันลอยขึ้นมาเลย เช่น ตอนที่ไปเยอรมนี แต่เข้าประเทศไม่ได้ เพราะเราไปเรียนโรงเรียนที่เป็นทางเลือก เราโดนปฏิเสธวีซ่า และสถานทูตงงว่าเราจะไปไหน เพราะเราไปเรียนโรงเรียนที่ไม่ได้รับรองจากมหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายทางรัฐบาลเข้าใจ ที่เล่ามาเพราะต้องการปูให้เห็นว่าความกล้าอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องก้าวข้ามอุปสรรคไปให้ได้ด้วย

ชีวิตการเป็นวัยรุ่นที่เจอในสิ่งที่ใช่ จนพัฒนามาเป็นวิชาชีพไม่ได้ง่าย ตอนนี้เราอยากรู้จักวัยรุ่นผ่านโลกแห่งสีสัน ในฐานะที่พี่มอสเป็นจิตรกร ถ้าเปรียบวัยรุ่นกับสี วัยรุ่นเปรียบได้กับสีอะไร ?

ในวัยต่างๆ ตามแนวคิดของมนุษยปรัชญา มักจะเชื่อมโยงกับสี ย้อนกลับไปสมัยเรียนมัธยม ก็จะเป็นสีโทนน้ำเงิน เทอร์ควอยซ์ หรือว่าติดม่วง เพราะสีเหล่านี้เป็นสีที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องพลังของความคิด แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กจะเป็นสีโทนอุ่น แต่ถ้าวัยที่เข้าสู่ช่วงใช้ความคิด ตรรกะ เหตุผล จะเป็นสีโทนเย็น เพราะฉะนั้นถ้าเราเปรียบเทียบว่าวัยรุ่นหัวร้อน อาจจะไม่ใช่ ขึ้นอยู่ว่ากำลังเปรียบกับอะไร

ถ้าพูดถึงวัยรุ่น เราจะพูดถึงภาพใหญ่ แต่วันนี้จะชวนคุยภาพเล็กลงมาว่า เด็กวัยอนุบาล ประถมศึกษา และก้าวเข้าสู่วัยรุ่น มันมีเหตุปัจจัยอะไร หรือจุดเปลี่ยนอะไร และยังมีเรื่องอุปนิสัยหรือพื้นอารมณ์ (Temperament) เทียบกับธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่บ่งบอกว่าวัยรุ่นแต่ละคนเป็นอย่างไร เช่น 

ถ้าพูดถึงดิน (Earth) ก็จะมีความสัมพันธ์กับคำว่า มั่นคง ธาตุดินถ้ามีพอดีๆ ก็จะมีความหนักแน่น แต่ถ้ามีมากเกินไปจะให้อุปนิสัยของความเศร้าในด้านจิตวิญญาณ ธาตุน้ำ น้ำคือการไหลเรื่อยๆ ถ้ามีสูงเกินไปก็จะมีความเฉื่อยชา ธาตุลม เปรียบได้กับความร่าเริง ไม่อยู่กับที่ ธาตุไฟ ข้อเด่นคือจะมีความทะเยอทะยาน แต่ถ้ามีมากเกินไปก็จะเป็นในเรื่องของอารมณ์ที่รุนแรง ซึ่งธาตุทั้ง 4 ก็มีความเป็นสีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่

วัยรุ่นอยู่ในช่วงอายุเท่าไร ?

ตามหลักการเปลี่ยนแปลงทั่วไปก็จะ 0 – 7 ปี และ 7 – 14 ปี จะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น การเปลี่ยนผ่านที่เป็นสัญญาณชัดเจนเลยก็จะเป็นในเรื่องของร่างกายที่เติบโตขึ้น เสียงที่เปลี่ยน การแสดงออกทางร่างกาย เราจะเห็นความชัดเจนตรงนี้ออกมา

ทั้ง 4 ธาตุที่พูดถึงเชื่อมโยงกับวัยรุ่นอย่างไร ?

ในช่วงเด็กเล็กอาจยังไม่ชัดที่จะสามารถบอกอุปนิสัยได้ จะเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงประถมศึกษา และชัดเจนมากในช่วงวัยรุ่น แต่เราไม่ได้พูดว่าเด็กคนนี้เป็นธาตุนี้เท่านั้น มันจะมีความสัมพันธ์กันอยู่ 2 อุปนิสัยในตัวของเด็กคนนั้น ทำให้เราเห็นว่าวัยรุ่นแต่ละคนมีความแตกต่างกัน 

จะมี 2 อุปนิสัยที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วงวัยรุ่น ซึ่งก็จะมี 1 อุปนิสัยที่เด่นและชัดเจนมาก 80 เปอร์เซ็นต์ เช่น เด็กที่เฉื่อยชา เด็กที่เก็บตัว เด็กที่มีไฟ หรือเด็กที่ร่าเริง เพื่อที่จะเห็นภาพว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งมีรากฐานมาจากอุปนิสัยที่สร้างมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเห็นถึงลักษณะการทำงานในชั้นเรียน เช่น การทำงานศิลปะ เราอาจจะสังเกตเด็กตอนที่เขาทำศิลปะว่าเขามีอาการหรือท่าทีอย่างไร เช่น ถ้าเขามีอุปนิสัยของธาตุไฟ เขาจะทำงานศิลปะอย่างเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการจุ่มสี การปัดแปรง แต่รายละเอียดยังตกหล่น โทนสีที่ใช้จะติดสีส้ม หรือสีแดง เพราะมีความร้อน และความแรงในตัวของเขา เพราะฉะนั้น ในภาพวาดจึงมีความสัมพันธ์กับอุปนิสัยของเด็กคนนึงได้อย่างน่าสนใจ

แปลว่าเราจะรู้จักวัยรุ่นคนหนึ่งได้จากภาพของเขาเลย ซึ่งจะมองได้หลากสีหลายเฉดและหลากหลายธาตุด้วย

ใช่ครับ เราอาจสังเกตว่าลูกๆ ชอบใช้สีอะไร แล้วเวลาลูกชอบใช้สีอะไร มันสามารถอนุมานไปได้ในมุมของธาตุ หรืออื่นๆ ซึ่งในขณะเดียวกัน การที่เด็กบางคนวาดภาพดูมีน้ำหนักมาก แต่เด็กอีกคนดูเบา เช่น ประสบการณ์ของผมคือมีรุ่นพี่บอกว่าให้วาดรูปเข้มๆ หน่อย แต่จริงๆ

การวาดภาพไม่ได้เปลี่ยนได้ด้วยคำพูดเพียงหนึ่งคำ เพราะว่าน้ำหนักในภาพวาดมันมาจากธาตุ เด็กที่มีอุปนิสัยร่าเริง รูปของเขาจะลอยได้ตลอดจากตัวของเขา หรือลักษณะจิตวิญญาณของเขาที่ไม่ได้อยู่ในร่างตลอดเวลา คือภาวะใจลอย

เราสามารถเห็นพัฒนาการวัยรุ่นผ่านรูปได้ 2 แบบ ใช่ไหมครับ?

วันนี้เราชวนมองในอุปนิสัย เช่น ถ้าเด็กที่มีธาตุลมอยู่ในตัวเองเยอะ รูปของเขามักจะเบา เพราะเขาขาดกลุ่มสีที่หนักแน่น ซึ่งกลุ่มสีที่หนักแน่นของเขาคือ ธาตุดิน เช่น น้ำเงิน น้ำตาล ส่วนธาตุไฟ คือเหลืองอุ่นๆ ส้ม หรือสีแดง อุปนิสัยร่าเริง คือธาตุลม สีเหมือนลมเลย เช่น สีเขียวอ่อน สีเหลืองเบาๆ แบบนี้เป็นต้น สีมันเผยธาตุของเขาเอง เราจึงต้องชวนให้เขามีในธาตุที่ไม่มีให้มากขึ้น เพื่อปรับสมดุลในตัวเอง

ที่พี่มอสได้ทำงานกับวัยรุ่นที่เข้ามาที่สตูดิโอ บอกได้ไหมว่าเทรนด์สีของวัยรุ่นไทยเป็นสีอะไร?

เรามีข้อสังเกตว่าเด็กไทยจะมีแบบใจลอยและเปลี่ยนบ่อย คือทุกๆ สิบถึงสิบห้านาที สิ่งที่ตั้งใจทำจะถูกเปลี่ยน เขาไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ไม่ใช่แค่กับวัยรุ่นอย่างเดียว โดยส่วนใหญ่อุปนิสัยของคนไทยจะเป็นลมกับน้ำ คือ ไม่ได้หนักแน่นมากกับรากฐานที่กำลังทำอยู่

แล้วมันส่งผลกับชีวิตของเขาอย่างไร?

คิดว่าสิ่งที่ชัดเจนก็คือ ลักษณะของการไม่ได้ทำอะไรที่จริงจัง หรือไม่ได้ทำจนเข้าเนื้อ

ถ้าเราบอกว่าวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการค้นหาตัวตน ค้นหาความชอบของตัวเอง แล้วการที่วัยรุ่นมีธาตุลมเยอะ เปลี่ยนบ่อย ทำอะไรไม่เสร็จ มันจะส่งผลให้วัยรุ่นหาตัวเองลำบากหรือเปล่า ?

สามารถเชื่อมโยงไปแบบนั้นได้ แต่ในฐานะที่เราเป็นครู พ่อแม่ หรือนักบำบัด สิ่งที่จะช่วยให้เด็กๆ ของท่านผ่านสถานการณ์นี้ไปได้คือ ให้เขาทำจนกว่ามันจะสำเร็จในระดับหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยให้พื้นที่ออกไปทำสิ่งใหม่ เราไม่ได้โอนอ่อนผ่อนตาม ถ้าเราเปิดโอกาสให้เขาเปลี่ยน เขาจะปักหมุดไม่ได้สักครั้ง แต่เราควรปรับวิธีการ เช่น ให้เขาทำสำเร็จก่อนในสิ่งที่อาจจะไม่ได้ชอบนัก แต่เขาจะได้ทำอะไรต่อเนื่องอย่างอื่นด้วย สิ่งนี้ก็จะทำให้เด็กที่หลุดออกจากตัวเองตลอด ได้กลับมาลองทำมัน และเมื่อได้ลองทำมันมากขึ้น เขาจะได้รู้จักมันมากกว่าที่จะตัดสินก่อนว่าไม่ชอบแล้วและเปลี่ยนมัน

วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังเปลี่ยนผ่าน มีกระบวนการทางศิลปะอะไรบ้างที่ช่วยประคองให้วัยรุ่นได้นำประสบการณ์มาใช้กับตัวเองอย่างจริงจัง ?

ในกระบวนการของศิลปะถือเป็นบททดสอบเล็กๆ ทางด้านจิตใจ ไม่มีภาพไหนที่ดูแล้วราบรื่น มันจะมีอุปสรรคของมันเอง เช่น อุปสรรคในการวาดเหมือนไม่เหมือน หรือเป็นปัญหาที่บางทีเขาไม่สามารถแก้เองได้ เช่น วาดรูปสัตว์แล้วเขาไม่สามารถทำรูปทรงนั้นให้ใกล้เคียงกับภาพสัตว์ที่มีในใจ เพราะฉะนั้น นักบำบัดต้องเข้าไปช่วยแนะนำว่าลองเปลี่ยนตรงนั้นดู ตรงนี้ดู แล้วให้เขาทำต่อ การทำในลักษณะนี้จะช่วยให้เด็กได้ไปต่อมากกว่าล้มเลิก

เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความมั่นคงจะทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงไปด้วย สำหรับลักษณะของเด็กที่ล้มเลิกเร็ว ยกตัวอย่างถ้าในบ้านมีจังหวะที่ชัดเจน เปรียบเสมือนมีหลักที่ชัดเจน เช่น วันนี้เราจะทำอะไรก่อนหลัง ซึ่งเป็นหลักที่สำคัญตั้งแต่เด็กเล็ก แล้วพอเขามีจังหวะที่ชัดเจน ก็จะกลายเป็นเด็กที่มีหลักชัดเจน ซึ่งมันดีกว่าไม่มีหลักอะไรเลย

เพราะฉะนั้นในรูปแบบของศิลปะที่พูดถึง เราพูดถึงกระบวนการในการวาดรูป มันจะต้องมีขั้นตอน มีลำดับ ไม่ใช่เรื่องของการด้นสดเสมอไป เช่น ปัญหาคือการวาดสัตว์ เด็กนึกไม่ออกว่าจะวาดยังไง แต่ความจริงสัตว์มาจากรูปทรงเป็นหลัก และมันมีเทคนิค เพราะฉะนั้นเราช่วยให้เขาเห็นกระบวนการทำงาน จะช่วยให้เขาวาดรูปสัตว์ได้ และการปั้นก็เป็นเรื่องเดียวกัน เริ่มจากหัวก่อน มันคือคำอธิบายของกระบวนการทำงานศิลปะ ซึ่งจะทำให้เด็กมีขั้นตอน และอยู่กับตัวเองมากขึ้น ทั้งหมดนี้เราพูดถึงอุปนิสัยด้านบวก แต่บางครั้งอุปนิสัยของเรามี 2 ด้าน เวลาเราบอกพ่อแม่ เราจะบอกว่า ให้มองในสิ่งที่เด็กมีก่อน และพอเขาขาดอะไรไป เราจะรู้ว่าเขามีบางอย่างด้วย เพื่อเป็นกำลังใจให้พ่อแม่

ถ้าเราอยากรู้จักวัยรุ่นในมุมมองปัญหาที่เราเห็น จะเทียบได้กับสีอะไร ?

ทุกสีมีความดีหมด เพียงแต่จะมีโทนอ่อนหรือเข้ม แน่นอนที่สุดคือสีที่เข้มจัดจะไม่ให้ประโยชน์กับเด็ก เช่น สีน้ำเงินเข้มจะให้ความหนักเกินไป หรือสีส้มเข้มจะให้ความดุดันเกินไป มันมีทั้ง 2 ขั้ว ขั้วที่ Passive มากๆ หนักมากๆ จนทำให้เขาเข้าสู่สภาวะที่บอบบาง ไม่ว่าจะเป็นน้ำเงิน หรือม่วง แต่ขั้วสีที่อุ่นและหนัก นั่นคือเด็กอาจจะมีปัญหา เพราะฉะนั้น เราสามารถเปรียบได้กับทุกสี แต่สีนั้นควรจะมีความสัมพันธ์กับคำว่าโปร่งใสและโปร่งแสง เช่น เราพยายามให้เด็กคนหนึ่งไม่ตึงเครียด หายใจเข้า และหายใจออกได้ ดังนั้น ความสมดุลในเชิงการศึกษา คือการที่การศึกษาให้พลังของศิลปะที่สมดุลในช่วงวัยรุ่นจะเป็นประโยชน์มาก ซึ่งตอนนี้ค้นพบว่าในชั้นมัธยม วิชาศิลปะขาดหายไปเยอะมาก เพราะไปเรียนวิชาอื่นๆ

น่าตั้งข้อสังเกตว่าวิชาที่สามารถประคับคองจิตใจของเด็กได้ และให้เด็กได้มีโอกาสหายใจเข้าและหายใจออก คือวิชาศิลปะ เป็นเหมือน Transitional การเปลี่ยนผ่านอย่างมีสุนทรียะในตัวของพวกเขา แต่พอเป็นวิชาศิลปะในช่วงมัธยม มันกลายเป็นเรื่องทฤษฎีต่างๆ แต่จริงๆ ความสำคัญของศิลปะในระดับ ป.5 ป.6 หรือ ม.1 ไม่ว่าจะเป็นในงานฝีมือ งานไม้ งานแกะสลัก งานกวีต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลย เพราะฉะนั้น อยากชวนให้พ่อแม่เข้าใจหรือเห็นความสำคัญของศิลปะ ว่าเราไม่สามารถตัดวิชาศิลปะ เพราะเป็นวิชาของเด็กเล็ก และในวัยรุ่นจุดเปลี่ยนผ่านของเขาจะเยอะมาก ตอนนี้เราคงเห็นศักยภาพของเด็กๆ ว่าเขามีพลังในหลายแง่มุม ซึ่งในพลังต่างๆ นั้น ถ้าเราสามารถให้โลกของศิลปะประคับประคองจิตใจเด็กไป เขาจะไปสู่พลังที่สร้างสรรค์ นี่คือหัวใจของศิลปะที่จะพาไปถึง

ในวัยรุ่นที่มีพลังสร้างสรรค์ พี่มอสจะไม่พยายามให้เป็นสีใดสีหนึ่ง แต่เป็นสีที่หลากหลายและสมดุล

โดยภาพรวมๆ เราจะเปรียบให้เห็นว่าเขา Active เปลี่ยนผ่านและเคลื่อนไหวอยู่เสมอ คือสีโทนอุ่น เขาจะอยู่ในโหมดนั้น แต่ถ้ามองภาพเล็ก จะมีเด็กบางคนเป็นข้อยกเว้น

ในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่ จะช่วยประคับประคองหรือหล่อเลี้ยงวัยรุ่นอย่างไรให้เขาได้ใช้พลังสร้างสรรค์ให้เกิดความสมดุลที่สุด

ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ผู้ใหญ่มีบทบาทสำคัญ เช่น ช่วง 7 ปีแรก หรือ 14 ปีต่อมา การวางบทบาทที่ลงตัวจะช่วยทำให้เด็กยังคงยึดถือเป็นแบบอย่างตามมา เช่น การที่เขาได้เห็นครูคนหนึ่งในชั้นเรียนแล้วได้นำไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง แสดงว่าครูคนนี้เป็นหัวใจของเด็ก สิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือความงามของผู้ใหญ่ที่จะประทับเข้าไป เรามักบอกอย่างหนึ่งว่า เราไม่ได้สอนศิลปะกับเด็ก แต่เราจะให้ศิลปะเป็นความงามที่ประทับอยู่ในตัวผู้ใหญ่และเด็กเห็น นี่ต่างหากคือสิ่งที่เด็กจะจดจำ

คือการนำความงามเข้าสู่วัยรุ่น โดยที่ตัวเราสร้างสรรค์ความงามนี้ขึ้นมาประทับที่ตัวเรา แล้วความงามจะเข้าสู่ตัววัยรุ่นได้เอง

ใช่ ผมเชื่อว่าสิ่งนี้มันสำคัญกว่าการที่เราบอกว่าให้เธอทำศิลปะอย่างนี้สิ หรือว่าไปทำอย่างนี้สิ น้ำหนักไม่มากเท่ากับที่สิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้างเป็นแบบอย่างที่ดีในแต่ละช่วงวัย ถ้าเป็นเด็กเล็กก็จะต้องการการโอบอุ้มอีกแบบหนึ่ง

Tags:

วัยรุ่นการเติบโตการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ศิลปะบำบัดครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจีในโลกวัยรุ่น

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Movie
    Didi: แค่ใครสักคนที่เข้าใจ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่พร้อมรับฟัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด กับ ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • How to get along with teenager
    การยอมรับ คำชื่นชม และค้นพบความคลั่งไคล้ของตัวเอง: 3 พลังที่ควรได้รับเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่น

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    Growing up with HIV: ชีวิตไม่แพ้ของ ‘เพลงพิณ’ มายเซ็ตที่เปลี่ยนการตีตราเป็นความเติบโต

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Unique Teacher
    ไม่ต้องระบายสีในช่องว่างและอย่าเขียนตามเส้นประ ‘ครูมอส’ อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

ความรุนแรงในวัยอนุบาล : ได้รับแล้วประทับในกาย ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่เซฟทับประสบการณ์เก่า : นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล
Early childhood
16 December 2020

ความรุนแรงในวัยอนุบาล : ได้รับแล้วประทับในกาย ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่เซฟทับประสบการณ์เก่า : นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • คุยกับคุณหมอปอง – นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล อุปนายกสมาคมการแพทย์มนุษยปรัชญาไทย คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัดและพัฒนาการเด็กในมุมมองการแพทย์มนุษยปรัชญากันต่อว่า หากเด็กคนหนึ่งต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักการ กระทบกับพัฒนาการ หรือเจอความรุนแรง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และวิธีเยียวยาเด็กจะเป็นอย่างไร
  • “เรามีเคสแบบนี้ที่ต้องรักษาตอนเป็นผู้ใหญ่เยอะ แต่รักษาได้ไหม ข่าวดีคือได้ แต่การรักษามันยากมาก เราต้องทุ่มเทสรรพกำลังให้คนหนึ่งคนที่มีบาดแผล ทั้งนักศิลปะบำบัดที่ต้องทำงานต่อเนื่อง 2 – 3 เดือน หมอที่ต้องมาซักประวัติหาตัวยาหรือวิตามินบำบัดเพื่อทำให้ร่างกายเขาดีขึ้น เราต้องทุ่มทรัพยากรเยอะมากจนกว่าเขาจะเบาบางและเข้าสู่สมดุลใหม่ แน่นอนว่านี่คือปลายทาง”

หลังจากบทความแรก (อ่านได้ที่นี่) ที่เราชวนคุยกับคุณหมอปอง – นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล อุปนายกสมาคมการแพทย์มนุษยปรัชญาไทย ว่าตามแพทย์แนวมนุษยปรัชญาเด็กวัยอนุบาลพัฒนาการของเขาเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องเติมให้กับเด็กวัยนี้ และสภาพแวดล้อมที่ควรจัดให้เขา

บทความที่ 2 เราจะคุยกันต่อว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักการ ,มีการเลี้ยงดูที่กระทบกับพัฒนาการเขา หรือเจอความรุนแรง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวเด็ก และวิธีเยียวยาเด็กจะเป็นอย่างไร

ถ้าเด็กคนหนึ่งไปโรงเรียนแล้วเจอกับสิ่งแวดล้อม หรือคุณครูที่ตั้งเป้าหมายไม่สอดคล้องกับพัฒนาการเขา หรือใช้ความรุนแรงกับเขา เช่น ตี ผลัก หรือทำโทษโดยไม่ให้ดื่มน้ำ การกระทำพวกนี้มันจะส่งผลยังไงกับเด็กอนุบาล

มันเป็นความเสียหายทางร่างกายและจิตใจที่คงต้องมาดูอีกทีเมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้น ส่วนตัวผมที่พบครอบครัวที่มีปัญหาเยอะ เช่น พ่อแม่อาจไม่พร้อม หรือมีการกระทำรุนแรงต่อเนื่องยาวนาน เรามีเคสแบบนี้ที่ต้องรักษาตอนเป็นผู้ใหญ่เยอะ แต่รักษาได้ไหม ข่าวดีคือได้ แต่การรักษามันยากมาก เราต้องทุ่มเทสรรพกำลังให้คนหนึ่งคนที่มีบาดแผล ทั้งนักศิลปะบำบัดที่ต้องทำงานต่อเนื่อง 2 – 3 เดือน หมอที่ต้องมาซักประวัติหาตัวยาหรือวิตามินบำบัดเพื่อทำให้ร่างกายเขาดีขึ้น เราต้องทุ่มทรัพยากรเยอะมากจนกว่าอาการของเขาจะเบาบางและเข้าสู่สมดุลใหม่ แน่นอนว่านี่คือปลายทาง

ถ้าเราเจอคนที่บาดเจ็บ 1 คนเราใช้เวลาเป็นปีกว่าจะกู้เขาคืนมา แล้วถ้าหลายโรงเรียนทั้งประเทศไทยมีคนเจ็บป่วยจากเหตุเหล่านี้เยอะมากๆ ล่ะ เรารักษากันไม่ทัน มันเลยเป็นวิกฤตที่จำเป็นต้องมาคุยกันว่า เราต้องตั้งมุมมองของระบบการศึกษาใหม่ให้มันสอดคล้องกับพัฒนาการจริงๆ ไหม

แค่เราตั้งเป้าหมายของการศึกษาให้สอดคล้องกับพัฒนาการ ปัญหาที่เรารู้สึกว่าเคยเป็นก็หายไปเยอะแล้วนะ มันสำคัญกว่าการนำหลักสูตรที่เขียนอย่างสวยหรูมาใช้ ผมถึงบอกว่าโรงเรียนที่ดีที่สุดมันไม่มีหรอก แต่มันมีคุณครูที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคนหนึ่งถ้าเราหาให้เจอ การคัดเลือกครู การอบรมครู การพัฒนาศักยภาพครูที่จะสามารถจัดการเด็กเคสยากได้ต่างหาก อาจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าหลักสูตรเองด้วยซ้ำ

ผลกระทบที่เกิดกับเด็กทางกาย หรือทางใจ จะเกิดเป็นผลเฉพาะระยะสั้นๆ ในช่วงหนึ่ง หรือฝังจำเป็นระยะยาว

คนเรามีผัสสะในการรับรู้โลกต่างกัน การศึกษา คือการใส่ input ถ้าใครเรียนคอมพิวเตอร์อาจบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของ machine learning คือ information หรือ data ที่ใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ให้มันเรียนแล้วก็สร้างให้มันเป็นอัลกอริทึมหรือโปรแกรม เด็กก็มี input แต่ input ของเด็กในมุมมองมนุษยปรัชญามี 12 ทาง เรียกว่าผัสสะหรือเซนส์ 12 เซนส์ คนเรามีเซนส์ไม่เหมือนกัน เด็กบางคนมีแนวโน้มที่แค่ฟังก็เข้าใจแล้ว ถ้าเอาเด็กกลุ่มนี้ไปนั่งเรียนแล้วครูพูดให้ฟังเขาก็ทำออกมาได้ดี เรียกว่าเป็น auditory learner ก็เป็นผัสสะหรือเซนส์ที่เด่นในด้านการฟัง

แต่เด็กบางคนนั่งฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ ปวดหัวมึนงง เหม่อลอย แหย่เพื่อนเพราะผัสสะในการฟังของเขาไม่โดดเด่น เขาอาจจะโดดเด่นที่การมองภาพเป็นอินโฟกราฟิก ถ้าวาดรูปให้ดูจะเข้าใจเลย เราเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็น visual learner สายตาเขาจะดี มองเห็นละเอียด เพราะฉะนั้นการศึกษาก็จะต้องมีแบบฝึกหัดที่ให้เขาได้เรียนผ่านผัสสะเหล่านี้

ขณะเดียวกัน บางคนฟังไม่รู้เรื่อง สายตาไม่ดี ต้องเคลื่อนไหว คนที่ผมจะยกตัวอย่างคือเอดิสัน เขาไม่ใช่เด็กโง่นะแต่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะอยู่ไม่นิ่ง ต้องไปจุดไฟเผาโรงนาเพราะอยากรู้ว่าสิ่งนี้มันไหม้ได้ ต้องมีการทดลองลงมือปฏิบัติการเขาจึงจะเข้าใจ เด็กกลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มที่น่าสงสารที่สุดเพราะถ้าการศึกษาไม่เข้าใจ และมีแต่การศึกษาแบบนั่งเรียนเป็นบล็อคอยู่ในห้อง เด็กกลุ่มนี้ผลการเรียนก็จะไม่ดี ทำตัวเป็นปัญหา ถ้าคุณครูไม่เข้าใจ ไม่ปรับ ก็ต้องมาลงโทษ กลับไปที่กระบวนการใช้ความรุนแรง แต่ถ้าเราเข้าใจเขาสักนิดหนึ่ง เราก็ต้องปรับ input ใหม่ เช่น เรียนชีววิทยา ให้เขาไปปลูกต้นไม้ดูว่ามีหนอนกี่ตัว ก็จะเป็นวิธีที่เขาจะเข้าใจ แต่ครูต้องมีศักยภาพสูงมากนะที่จะบอกว่า อ๋อ เด็กเซนส์แบบนี้ควรให้เขาทำอะไร เพื่อจะเรียนรู้ในหัวข้อเดียวกัน ที่เราเรียกว่า children center

บางคนถูกตีก็อาจไม่ได้จำมันเพราะเขาไม่ใช่คนเซนซิทีฟ แต่เด็กบางคนมีความไวต่อการสัมผัสมาก เช่น บางคนเวลาขึ้นรถเขาจะบอกพ่อเลยว่า วันนี้เอารถอะไรไป เอาฮอนด้าไปได้ไหมเพราะเบาะมันเป็นผ้า มันนุ่ม โตโยต้าเป็นเบาะหนังไม่ชอบ สัมผัสเขาไว ถ้าเด็กคนนี้โดนจับแรงๆ บางทีเขาอาจจำฝังใจ เวลาโดนตีหรือโดนบีบแรงเท่ากันแต่เด็กคนที่ไม่ได้ไวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ก็อาจจะไม่เป็นปม (trauma) สำหรับเขา

ฉะนั้น คำถามที่ว่าหากเกิดความรุนแรงกับเด็กแล้วต้องรักษาหรือเปล่า? บางทีก็ต้องผ่านการประเมินของผู้เชี่ยวชาญว่าเขาจำมันไหม? ประสบการณ์นี้มีผลต่อการรับรู้ของเขาอย่างไร และติดตามระยะกลาง ระยะยาวว่ามีการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมหรือความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นไหม ถ้ามีเราก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ support และช่วยเหลือ แต่ถ้าเด็กจำไม่ได้ลืมไปแล้วก็โชคดีไป แต่เราไม่ได้หวังว่าจะอาศัยแค่โชคดีอย่างเดียวเพื่อรอดพ้นจากกระบวนการเหล่านี้ถูกไหม?

เวลาที่เด็กมาทำการบำบัด สัญญาณอะไรที่เราจะได้เห็นจากเด็กคนนี้ ที่บอกว่าเขาต้องการการดูแล

วิธีที่เราปฏิสัมพันธ์กับโลกมีหลายแบบ วิธีหนึ่งที่เราคุ้นชินกันและใช้เพื่อทำความเข้าใจผู้ร่วมสนทนา คือ วัจนภาษา แต่วัจนภาษาแสดงออกได้แค่ 30 – 40 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่เราอยากสื่อสาร เช่น ผมจะยืมรถพิธีกร ‘รถสวยเนาะ ขอยืมหน่อยสิ’ คนตอบตอบว่า ก็เอาไปสิ (คุณหมอยกมือขึ้นกอดอก หน้าบึ้ง) เห็นคนทำถ้าอย่างนี้เราจะเอาไหม เราก็จะเกรงใจ

คนไข้หลายๆ คนไม่รู้ว่าตัวเองไม่สมดุล (imbalance) หรือรู้สึกอะไร เช่น เขาบอกว่าเขาไม่โกรธ แต่พอให้ทำศิลปะแล้วเขาขยำแรงๆ ใช้พู่กันขีดจนกระดาษลอกออกมา ตรงนี้มันเป็นข้อมูลที่เรียกว่าอวัจนภาษา ซึ่งในเชิงการบำบัดตรงนี้ (ใช้ศิลปะ) เราจะได้เห็นข้อมูลอีก 70 เปอร์เซ็นต์ เวลาบำบัดหมอจะให้เด็กทำกิจกรรมก่อน แล้วนักบำบัดค่อยมาประชุมในทีมกันว่าเราเห็นอะไรจากเคสนี้บ้าง เมื่อทำงานด้วยกันต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง ก็จะเห็นภาพรวมคนคนนี้ ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มันมีจุดที่เราอยากช่วยเขา

แปลว่าในกรณีที่เด็กได้รับความรุนแรง ก็ขึ้นกับว่าเด็กจะจำเหตุการณ์นั้นได้หรือไม่ ถ้าเด็กจำไม่ได้แปลว่าเรื่องนั้นก็ไม่ได้อยู่ในเมมโมรี่ของเขา เขาไม่ได้รับผลกระทบอะไร?

ความจำเป็นเรื่องส่วนน้อยนะ อย่างเคสหนูที่ดมกลิ่นอบเชย ก่อนฉีดวัคซีนจนมันจดจำกลิ่นได้ สร้างเป็นเงื่อนไขคล้ายการทดลองสุนัขของ Pavlov หลังจากนั้นพอมันได้กลิ่นอบเชยอีก แม้ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ร่างกายก็จะตอบสนองด้วยการมีภูมิต้านทานและเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นประหนึ่งว่าถูกฉีดวัคซีนจริงๆ หนูมันก็ไม่ได้จำว่ากลิ่นอบเชยมาแล้วเม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขึ้น หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวมันมีเม็ดเลือดขาว ผมขอใช้คำว่าสิ่งนี้ (สิ่งที่เกิดกับเด็ก) มีความหมายหรือ meaningful ต่อตัวเขาไหม ขอเล่าตัวอย่างให้ฟังอีกอันหนึ่ง สมมติผมถามว่า 3 วันที่แล้วมื้อกลางวันกินอะไร? นึกไม่ออกใช่ไหม? แค่ 3 วันเองนะ บางคนก็นึกไม่ออกแล้ว แต่ถ้าผมถามใหม่ว่าตอนแฟนคนแรกบอกเลิกเราวันนั้นกินอะไร บางคนบอกว่าวันนั้นข้าวเค็มมาก น้ำตามันหยดลงไป แกงเขียวหวานนั้นจะจำไปชั่วชีวิต

เขาบอกว่าสมองส่วนที่เป็นความทรงจำระยะยาว (Long-term memory) ของเรา เป็นส่วนที่ต้องทำงานผ่านฮิปโปแคมปัสและระบบลิมบิก หมายความว่าระบบนี้เป็นระบบที่มีอารมณ์ร่วมด้วย ประสบการณ์ไหนที่เรารู้สึกอินมากๆ 10 ปีแล้วเรายังไม่ลืมเลย จำรายละเอียด ทุกอย่างฉายมาเหมือนกรอเทปกลับกี่ทีก็เห็นภาพนั้น แต่ถ้าเราไม่ได้มีอารมณ์ร่วมอะไร 3 วันก็ลืมแล้ว

ปัญหาคือคำว่า meaningful ตรงนี้มัน meaningful กับเด็กหรือเปล่า ถ้าคุณมีลูก 3 คน อยากกอดเขาให้ยุติธรรม เราก็ตั้งนาฬิกาจับเวลา 5 นาทีกอดเขาแต่ละคนเอาไว้ เด็กคนหนึ่งบอกว่าอยากให้กอดต่อ แต่เด็กอีกคนถามเมื่อไหร่จะปล่อยสักทีอยากไปเล่น เพราะฉะนั้นการรับรู้ตรงนี้มันผ่านเซนส์หรือผัสสะ เราก็ต้องดูว่าสิ่งที่ถูกกระทบบางทีเด็กอาจไม่ได้คิดอะไร แล้วบอกว่าผมก็ซนจริงๆ แหละ ในฐานะของหมอหรือนักบำบัดก็อาจรู้สึกเบาใจนิดหนึ่ง แต่ถ้าเขาบอกว่าผมไม่อยากไปโรงเรียนเลย ไม่ไปได้ไหม หรือพอถามถึงก็ไม่บอกอะไร เราจะรู้แล้วว่าผลกระทบ (impact) เรื่องนี้มันเยอะ แต่ต้องอาศัยการประเมินและการปฏิสัมพันธ์กันสักระยะหนึ่งถึงจะเริ่มเห็นภาพว่าเขาติดอยู่ในเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า และติดมากหรือน้อย ต้องมีการปฏิสัมพันธ์และประเมินโดยคนที่ถูกเทรนมาโดยเฉพาะว่าเรื่องนี้เขาติดใจนะ ถึงไม่บอกออกมามันก็ยังติดอยู่นะ แค่เดินเข้าประตูโรงเรียนยังสะดุ้งโหยง พอถึงหน้าชั้นก็เกาะไม่ยอมไป ปฏิกิริยาแบบนี้มันต้องมีอะไรบางอย่างที่เราต้องช่วยเขาให้ก้าวข้ามผ่าน

ถ้าประสบการณ์ได้รับความรุนแรงนั้นๆ มีความหมาย (meaningful) กับเด็ก เซนส์หรือผัสสะการรับรู้ของเด็กจะถูกกระทบไหม?

ต้องบอกว่ากระทบอยู่ ก็ต้องเป็นวิจารณญาณของคุณพ่อคุณแม่แต่ละบ้านเหมือนกันว่า นโยบายของโรงเรียนสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ให้เราได้หรือเปล่า แต่ในมุมมองของผม คือ พ่อแม่เป็นผู้ทรงสิทธิ์ที่จะสร้างช่วงเวลา 0 – 7 ปีให้เด็กรู้สึกว่าโลกนี้ปลอดภัย ถ้าโรงเรียนตอบโจทย์ไม่ได้พ่อแม่ก็อาจต้องคิดพิจารณาว่าหลักสูตรนี้ โรงเรียนนี้ อาจไม่ได้เหมาะกับลูกเรา เราต้องมีความเด็ดขาดตรงนั้น

แต่ถ้าเราคิดว่าไม่มีคำตอบที่แน่ชัด… แม้ไม่ถึงการถูกกระทำแบบรุนแรง ถ้าเราเอาเด็กไปอยู่โรงเรียนดังหลักสูตรดีมากแต่บังเอิญปีนี้ครูประจำชั้นไม่เหมือนปีก่อนๆ แล้วมันไม่ใช่.. ลูกเรารู้สึกเป็นทุกข์ (struggle) มากเลย ซึ่งอาจไม่ใช่ความผิดคุณครูเลย แต่เด็กยังไม่ได้เจอครูคนนั้นที่ใช่สำหรับเขา ที่จะเปลี่ยนโลกให้เขารู้สึกว่าโลกนี้มันดี

เราอาจจำเป็นต้องหาโรงเรียนให้มันเล็กลงหรือโรงเรียนที่ครูทำให้เด็กรู้สึกว่าการไปโรงเรียนมันคืออีกวันที่ช่างแสนดีเหลือเกิน นี่คือประเด็นที่ผมคิดว่าสำคัญกว่า

ถ้าเด็กผ่านเหตุการณ์รุนแรงแต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้พาเข้าสู่กระบวนการบำบัด จะส่งผลอย่างไรตอนที่เด็กโตขึ้น

มีความเป็นไปได้ แต่จะเกิดขึ้นทุกเคสและเด่นชัดขนาดไหนมีความแตกต่างกันในรายบุคคลด้วยเหมือนกัน เพราะต่อให้เป็นเด็กห้องเดียวกัน เจอครูคนเดียวกัน การรับรู้ต่อการถูกกระทำก็ไม่เหมือนกัน

เราก็ได้แต่ภาวนาว่าถ้าโรงเรียนให้ความสำคัญกับคุณภาพของครู การพัฒนาครู มากกว่าการจะบอกว่าหลักสูตรของฉันมีอะไร มันน่าจะช่วยสกรีนและทำให้เรื่องเหล่านี้ดีขึ้น… ซึ่งจริงๆ เรื่องพวกนี้มันไม่ควรเกิด แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วเราจะบำบัดยังไง ก็เป็นเรื่องที่เราต้องมาคุยกันว่า ถึงเวลาหรือยังที่เราจะให้ความสำคัญกับคุณภาพของครู และการคัดเลือกพัฒนาครูให้มีศักยภาพที่เหมาะกับการดูแลเด็ก เพราะเรากำลังพูดถึงสร้างอนาคตของมนุษยชาติเลยนะ

หลักการของมนุษยปรัชญา ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กต้องเป็นอย่างไร

ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กก็เป็นเหมือนแม่พิมพ์ของเด็กคนนั้น แล้วแม่พิมพ์ที่ว่านี้ไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไรเด็กจะก๊อปปี้โดยไม่รู้ตัว เราอาจเห็นเด็กที่ทำท่าทางบางอย่างเช่น เต๊ะท่าเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้วางใต้คาง หรือเท้าสะเอว ถ้าลองไปดูจะพบว่าต้องมีใครสักคนในบ้านที่ชอบทำท่านั้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว เด็กเขาก็จะเลียนแบบแบบก๊อปปี้มาเลยเป๊ะๆ

ยิ่งครูเป็นผู้ใหญ่มีความเมตตาอบอุ่นมากเท่าไร ก็ยิ่งสื่อให้เด็กรู้สึกได้ว่าโลกนี้มันดี นั่นก็จะเป็นส่วนช่วยอย่างมากที่จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาแล้วพร้อมที่สู้กับโลกที่มันโหดร้าย เพราะทุกวันนี้โลกมันก็โหดร้ายพออยู่แล้ว แต่การได้มีวัยหนึ่งที่ได้เจอครูที่ทำให้เด็กรู้สึกว่าโลกนี้มันดี มันก็เป็นภูมิต้านทานที่ดีสำหรับเขาต่อไป

แปลว่าถ้าเด็กเจอกับผู้ใหญ่ที่สร้างโลกที่ดีให้กับเขา เด็กก็จะแข็งแรง แต่กลับกันถ้าเด็กไปเจอผู้ใหญ่ที่สร้างโลกไม่ปลอดภัย ใช้ความรุนแรงกับเขา เขาก็อาจกลายเป็นคนที่ใช้ความรุนแรง

แน่นอนครับ จะว่าไปผมเจอเคสแบบนี้แทบทุกวัน เจอเคสที่บ้านหนึ่งทำรุนแรงกับลูก แล้วพอไปถามพ่อแม่ที่ทำรุนแรงกับลูก เขาก็เสียใจร้องไห้ แต่เขาก็บอกว่าเขาห้ามตัวเองไม่ได้เพราะตอนเด็กๆ เขาก็ถูกปู่ย่าเลี้ยงมาแบบนั้น ผมบอกเขาว่า ใช่ คุณได้รับการกระทำมาเราเห็นใจ แต่คุณกำลังส่งต่อกรรมนี้ให้รุ่นลูก… ซึ่งคุณเลือกได้นะว่าคุณจะส่งมันต่อไป หรือจะหยุดมันไว้ตรงนี้ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ คุณมีอิสระที่จะเลือกทำรุ่นลูกของเราให้ดีขึ้น

ทำไมเรื่องธรรมชาติของเด็ก เรื่องพัฒนาการเด็ก จึงยังไม่ถูกเข้าใจ แม้แต่คุณครู

เพราะเราหลงลืม ด้วยความที่หลักสูตรเราไปตั้งเป้าหมายว่าเด็กจะต้องสอบให้ได้ ต้องอ่านหนังสือได้เร็ว เพราะเราตั้งเป้าผิด ครูก็เลยมีแต่ศักยภาพในการสร้างให้เด็กทำสอบได้ แต่ศักยภาพที่จะมองว่าทำอย่างไรให้เด็กคนหนึ่งมีประสบการณ์ชีวิตที่ดีมันถูกหลงลืมไป แต่เดิมระบบการศึกษาของเรามีนะ ถ้าลองไปดูครูรุ่นก่อนๆ หลักสูตรเรียบง่ายมาก แต่คุณครูมีวิธีที่จะเชื้อเชิญให้เด็กได้มีประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีทุกรูปแบบ อย่างครูอุ้ย อภิสิรี จรัลชวนะเพท ท่านก็จะมีภูมิปัญญาแบบหนึ่งที่จะถ่ายทอดให้เด็ก

อีกประเด็นก็คือบางทีครูก็อยากทำนะ ผมพบว่าตอนนี้คุณครูหลายๆ โรงเรียน ตอนเริ่มต้นตั้งโรงเรียนใหม่ ผมเห็นโรงเรียนที่พยายามเสนอหลักสูตรที่ไม่ใช่การเร่งเรียน แต่ก็อย่าลืมว่าโรงเรียนก็ถูกกดดันโดยผู้ปกครอง บางโรงเรียนเริ่มต้นสวยงามมากเลย แต่สุดท้ายทานแรงกดดันไม่ไหว เจอพ่อแม่ถามว่า ‘ทำไมลูกฉันยังเรียนไม่ได้’ ‘ทำไมลูกฉันยังอ่านหนังสือไม่ออก’ ถ้าเราไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ของทั้งพ่อแม่และครูในมุมมองชีวิตที่มันถูกต้องเราก็จะเห็นโรงเรียนที่ต้องเปลี่ยนหลักสูตรเพื่อไปเร่งเรียนด้วยเหมือนกัน ตรงนี้ผมเห็นใจทุกฝ่าย แต่ว่าถ้าเรามีสื่อที่ดี มีการอบรมโดยคนที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง และค่อยๆ สร้างครูคุณภาพเหล่านั้นขึ้นมา ผมคิดว่ามันจะช่วยให้เรามีทางออกที่ดีขึ้น

ในทางมนุษยปรัชญา สภาพแวดล้อม หรือระบบนิเวศแบบไหน ที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งอยากเรียนรู้

สำคัญที่สุดคือครูกับพ่อแม่ การที่เราอยากทำให้เขาอยากเรียนเป็นคนละเรื่องกับการที่เราจะสอนเขานะ ถ้าเรายึดติดกับการต้องการให้ลูกจำหรือเรียนรู้ได้เร็ว แน่นอนวิธีที่ง่ายและเป็นสูตรสำเร็จคือ เราให้เขาท่อง บอกมันทุกคำตอบ ขณะเดียวกันเราจะพบว่าเด็กที่ผ่านกระบวนการเหล่านี้เป็นเวลา 18 ปี กว่าจะ o-net a-net กว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเข้าไปเรียนได้ เขาเรียนจนอิ่มแล้ว พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เป็นยังไงครับ ไม่เอาแล้วฉันไม่เรียนแล้ว ไฟในการเรียนมันหมดแล้ว ถ้าในมนุษยปรัชญาคุณครูที่เก่ง คือ คุณครูที่สอนให้เด็กตั้งคำถาม

ผมยกตัวอย่างลูกตัวเอง มาวันหนึ่งเจ้าลูกชายกลับมาจากโรงเรียนอนุบาลก็ผมถามว่า คุณพ่อรู้ไหมครับเจ้าจำปีคืออะไร ผมถามคืออะไรเหรอ ลูกก็บอกว่าถ้าคุณพ่อไม่รู้ก็จะเฉลยให้ นี่ไงการบินไทย ที่หางเครื่องบินไงเจ้าจำปี ผมรู้สึกว่านี่เป็นการพูดคุยของเด็กๆ ที่เขาจำมา เราอยากให้เขาเรียนรู้มากขึ้นผมก็เลยถามต่อว่า แล้วรูปที่เป็นเจ้าจำปีมาจากไหน เขาก็งง เฉลยหน่อยๆ ผมบอกไม่เฉลย ลองไปหาดู รู้เรื่องเจ้าจำปีมาจากเพื่อนก็ไปถามเพื่อนดู ถ้าเป็นบ้านที่ให้ลูกเข้าเน็ตก็อาจจะกูเกิ้ลเอาก็ได้

เขาถามผมอยู่สามวัน ผมไม่ตอบ แต่ขับรถมองหาสิ่งที่คิดว่าเป็นตัวอย่างได้ สามวันไม่เจอ เขาก็ถามผมแบบไม่เบื่อเลยนะ จนวันหนึ่งผมจอดรถให้เขาลงไปดูข้างทาง ลูกลงไปดูกอดอกรัก เขาก็ร้องว่าโอ้โหเหมือนเจ้าจำปีเลยพ่อ ถามว่ากระบวนการเหล่านี้ เขาเรียนช้าไปไหม ถ้าเราบอกเขา เขาก็รู้ไปตั้งแต่สามวันที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ในวิธีการแบบนี้ คือเขาจะรู้สึกว่าข้างทางมันยังมีอะไรที่น่าสนใจมากๆ เลยนะ ถ้าเรามัวแต่ไปค้นดูในกูเกิ้ล เราก็อาจได้คำตอบ แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ได้มันมีอยู่แม้แต่ข้างทาง ขนาดเดินผ่านข้างทางมันก็มีอะไรให้เราเรียนได้ ถ้าเราสามารถรักษาความรู้สึกอยากเรียน อยากได้คำตอบด้วยตัวเอง ตรงนี้ต่างหากที่จะทำให้เขาไม่หน่ายที่จะตั้งคำถามและเรียนรู้ไปตลอดชีวิต

เรามีหน้าที่ที่จะสร้าง wow experience ให้กับเด็กมากกว่าที่จะไปบอกคำตอบให้เขา ก่อนที่จะบอกคำตอบอะไรเขาจะต้องมีประสบการณ์ที่มันจริงสำหรับเขา และในประสบการณ์นั้นมันทำให้ได้คำตอบ คำตอบเป็นแค่ผลพลอยได้แต่การได้รู้สึกว่าฉันต้องว้าวฉันจึงจะพอใจกับคำตอบนั้น มันก็จะแก้ปัญหาว่าทำไมเด็กเดี๋ยวนี้เถียงคำไม่ตกฟาก เพราะเขาถูกเทรนมาตลอดว่า อยากรู้ ค้นกูเกิ้ล วันหนึ่งเขาโตแล้ว พอเขาจะเถียงเรา เขาบอกคุณพ่อไม่ต้องมาเถียงหรอกผมค้นกูเกิ้ลมาหมดแล้ว 1 2 3 4 นี่เพราะเราไม่ได้ลิงค์การเรียนรู้กับประสบการณ์ที่ดี มันจึงเถียงกันมากขึ้นๆ ทุกคนก็เถียงมีเหตุผลหมด

เราสอนให้เขามีเหตุผลแต่เราไม่ได้สอนกระบวนการเรียนรู้ (learning processes) เราไม่ได้สอนให้เขาดื่มด่ำและมีความกระหายที่จะหาความจริง เรื่องนี้มันจะไปเด่นชัดตอนที่เขาเข้าสู่วัย 14 – 21 ปี ที่บอกว่าความดี ความงาม และความจริง คืออะไร ถ้าเราใส่สิ่งนี้เข้าไปในประสบการณ์ต่างๆ เราจะเห็นว่าหลักสูตรของเด็กทางยุโรป ทางเยอรมันนี่เน้นมาก นั่นจึงทำให้คุณภาพคนของเขาในระยะยาวคือเป็นกลุ่มชนชาติที่สร้างสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมอะไรต่างๆ ตลอดเวลาโดยไม่ได้พอใจว่ามันมีอยู่แล้ว

เด็กจะสามารถเยียวยาบาดแผลหรือว่าก้าวข้ามไปเพื่อเรียนรู้ self esteem ตัวตนบางอย่างด้วยตัวเอง โดยที่ไม่มีครูหรือพ่อแม่คอยช่วยโอบอุ้มเขาได้ไหม?

ใช่ครับ สตอรี่ของเราไม่ได้จบที่อายุ 21 ปี แล้วทุกคนเป็นตัวของตัวเอง แต่อุดมคติสูงที่สุดของการศึกษาในแนวมนุษยปรัชญาคือ self learning การเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น เราทำได้แค่สร้างต้นทุนบางอย่าง เราไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้เก่งเลขหรือไม่เก่งเลข ถ้าเราสอนเขาว่าเธอต้องทำโจทย์เลขด้วยสูตรนี้เท่านั้น เด็กคนนี้เก่งยังไงก็ไม่เกินครู แต่ถ้าเราบอกว่าหนูลองดูซิว่าโจทย์นี้มีวิธีแก้อย่างอื่นด้วยหรือเปล่า ไม่แน่เขาอาจจะเก่งกว่าเราเป็น 10 เท่าเลยก็ได้ ตราบใดที่เด็กคนนั้นมี self learning แล้วก้าวข้ามผ่านตัวเองไปได้เราจะเจอศักยภาพที่เหนือกว่าครูเองด้วยซ้ำ

ประเด็นที่สอง ถ้าเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณหรือปัญญาญาณ เมื่อไรก็ตามเราไม่ทำให้เขาหยุดค้นหาความเป็นจริงของชีวิต ถึงอายุ 28 เราจะมีคำถามที่เรียกว่าเป็น existential (อัตถิภาวนิยม) อันหนึ่งขึ้นมาว่าเราคือใครและคำถามนี้มันจะถามเราเด่นชัดทุก 7 ปีเมื่ออายุ 35 ปี 42 ปี ถ้าเราใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่เคยตั้งคำถามว่าเราคือใคร เราจะอยู่ในเซฟโซนตลอดเวลาและไม่ได้พัฒนา แต่เมื่อไรเราบอกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันไม่ใช่ เราต้องดีกว่านี้สิ การเจริญเติบโตทางปัญญาหรือการแสวงหาจิตวิญญาณผ่านกระบวนการสุนทรียะสนทนา (dialogue) ต่างๆ มันเกิดจากคำถามเหล่านี้ทั้งนั้น ตรงนี้ต่างหากที่เราต้องการจะให้คงอยู่ในตัวของเขาแม้ว่าเขาจะเติบโตไปแล้ว

ถ้าเป็นเด็กที่ผ่านความรุนแรง เขาจะสามารถเกิด self learning ได้ไหม

มันก็จะเป็น painful learning แต่ถ้าคนคนนั้น learning ได้ ผมมักจะบอกคนไข้หลายๆ คนที่ก้าวข้าม ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างยากลำบาก ไม่แน่นะ การที่เราเกิดมาแล้วต้องเจอเหตุแบบนี้ มันมีคำพูดที่ว่ามันไม่มีอะไรบังเอิญหรอก ถ้าคนเหล่านี้ข้ามตัวเองได้เมื่อไหร่แล้วไปเป็นนักบำบัด (healer) เขาจะไปเป็นนักบำบัดที่เก่งที่สุด เพราะเมื่อคุณไปเป็นนักบำบัดสายอะไรก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่จะต้องทำให้ได้คือคุณรักษาตัวเองให้ได้ก่อน เพราะถ้าคุณก้าวข้ามหล่มลึกในใจได้ พลังใจของคุณก็จะมีกำลังขนาดนั้นคุณไปรักษาใครก็ได้ มันไม่ใช่การสอนเทคนิคว่าบำบัดอะไร แต่สิ่งเหล่านี้คือ core value ของคนเป็นนักบำบัดโดยแท้จริง เพราะฉะนั้นคำถามที่เราอาจจะตั้งเล่นๆ ชวนให้คนที่กำลังเผชิญ trauma คิดก็คือ “ชีวิตมันอาจจะกำลังสอนอะไรคุณก็ได้ เมื่อไรคุณก้าวข้ามผ่านไปแล้วมองกลับมา คุณจะพบว่าเราขอบคุณเหตุการณ์นี้จังเลยที่ทำให้เรามีความสามารถในการบำบัดและเยียวยาคนอื่นได้ด้วยซ้ำ”

การเลือกโรงเรียนอนุบาล ผู้ปกครองควรพิจารณาจากปัจจัยอะไรบ้าง?

ดูครูก่อนเลยครับ พ่อแม่อาจต้องมีเกณฑ์ว่าครูคนนี้อบอุ่นพอหรือเปล่า แต่ผมยอมรับว่ามันเป็นเรื่องยากจริงๆ ถ้าไม่ได้อยู่ในวงทำงานแบบเรา อาจประเมินจากโรงเรียนหลักสูตรอิสราเอล โรงเรียนหลักสูตร 2 ภาษา มันเป็นข้อตัดสินที่มันไม่ได้เกี่ยวเลยกับสิ่งที่เราต้องการ แต่ว่าถ้าเราพอจะดูออก เราอาจจะต้องมองว่าคุณครูประจำชั้นที่จะดูลูกเราเป็นยังไง ถ้ามีโอกาสและโรงเรียนเปิดโอกาสลองเข้าไปดู เราจะเห็นจริต เห็นวิธีที่เขาให้คุณค่าบางอย่างและอาจจะต้องมีการรีเช็ค ถ้าไปแค่วัน open day ก็อาจจะเห็นแค่ 1 ครั้ง แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราไปที่โรงเรียนอยู่เรื่อยๆ เราอาจจะเริ่มเห็นภาพว่าเวลาครูดีลกับเด็กเขามีเทคนิควิธีการแบบไหน นี่อาจเป็นเรื่องสำคัญกว่าการดูที่หลักสูตร

ต่อให้เป็นเพิงซอมซ่อนะ ถ้าเด็กได้เจอครูคนนั้น ทุกอย่างในโลกนี้มันดีหมด แต่ถ้าไม่เจอครูคนนั้นต่อให้ตึกอาคารมันสวย ห้องทดลองเรียบกริ๊บ มันก็อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดก็ได้

ทิ้งท้าย วิธีที่จะช่วยปลดล็อค ทำให้การเลี้ยงลูกหรือเด็กเป็นไปตามพัฒนาการของเขา

ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญที่สุดอยู่ที่พ่อแม่ที่รู้ว่า เราต้องการให้ลูกของเรามีประสบการณ์ของความดีงามของโลกนี้อย่างไร ถ้าความดีงามของพ่อแม่ คือลูกอ่านได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดถึงเรื่องอื่น แต่ถ้าความดีงามของโลกนี้สำหรับเด็กคนหนึ่ง คือ การได้พบเจอครูที่เข้าใจเขาและเปลี่ยนทัศนะของเขาจากเดิมที่มีลิมิตให้ก้าวข้ามตัวเองสู่การเติบโตและการเรียนรู้ที่ดีขึ้น

ถ้าเราตั้งเป้าตรงนั้นได้ถูกต้อง… ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีสื่อ ข้อมูลที่จะสืบเสาะหาจนได้ แต่เราจะต้องมีมุมมอง (viewpoint) ที่ดีก่อน พ่อและแม่ที่คิดตรงกันก่อนว่าเราต้องการให้ลูกได้เจอโลกแบบไหน

Tags:

ในโลกอนุบาลปฐมวัยนพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุลการกระตุ้นในวัยเด็ก(early childhood stimulation)

Author:

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Early childhood
    ต้องใส่ปุ๋ยให้ถูกช่วงวัยและเวลา คือภาพรวมที่สำคัญของการศึกษาและการดูแลเด็ก: นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning TheoryEarly childhood
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Parent, Child, Adult คุณสวมบทบาทไหนระหว่าง ‘คุยเรื่องการเมือง’
Social Issues
14 December 2020

Parent, Child, Adult คุณสวมบทบาทไหนระหว่าง ‘คุยเรื่องการเมือง’

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transactional analysis คือทฤษฎีที่เสนอว่า เวลาคนสื่อสารกันนั้นจะใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘Ego state’ เหมือนเป็น ‘ตำแหน่ง’ หรือ ‘บทบาท’ ของตนและอีกฝ่ายในการสนทนา ซึ่ง Ego state มีอยู่ 3 แบบ มาดูแต่ละแบบ และตัวอย่างคำพูดในบทสนทนาให้เห็นภาพกันครับ คือ Parent, Child และ Adult
  • พงศ์มนัส จะพาไปดูว่าระหว่างการสื่อสาร หากแต่ละคนไม่ได้ใช้บทบาท Adult หรือ วางตัวเองว่าเป็น Adult แต่จริงๆ แล้วเป็น Parent หรือ Child ผลที่เกิดจะเป็นอย่างไร
  • “เรื่องการเมืองนั้น จริงๆ แล้วผมเชื่อว่าหลายๆ คนเวลาเถียงกันต่างก็พยายามทำตัวเป็น Adult ที่แย้งด้วยเหตุผล คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะรับฟังหรือแย้งกลับมาด้วยเหตุผลแบบ Adult เช่นกันจริงไหมครับ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นตรงที่บทบาทที่เราคิดว่าเราแสดงออก กับบทบาทที่อีกฝ่ายรับรู้นั้น มันอาจไม่ตรงกัน”

หากช่วงนี้ไม่พูดถึงเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเลยคงไม่ได้ เพราะการเมืองไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ใหญ่อีกต่อไป การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน แม้แต่เด็กวัยเรียนก็เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นและจุดยืนทางการเมืองมากขึ้น ผมคงไม่ชวนคุยเรื่องทฤษฎีทางการเมืองในวันนี้ แต่ขอพูดถึงปัญหาที่หลายๆ คนกำลังลำบากใจอยู่ คือมีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับคนรัก พ่อแม่ หรือคนใกล้ชิด และพอคุยกันทีไรก็บานปลายเป็น ‘ดราม่า’ ใหญ่โต 

เคยไหมครับที่อัดอั้นตันใจเหลือเกินเพราะเรามั่นใจในความคิดและเหตุผลของเรา และอยากจะให้อีกฝ่ายซึ่งเป็นคนที่เรารักหรือสนิทใกล้ชิด เข้าใจจุดยืนของเราเช่นกัน เราก็เลยพยายามอธิบาย ยกทั้งเหตุผล และหลักฐานมาอธิบายและโน้มน้าว แต่พูดให้ตายสุดท้ายเหมือนกับว่าสิ่งที่เราพูดไปนั้นอีกฝ่ายไม่ฟังด้วยซ้ำ โตๆ กันแล้วทำไมถึงใช้เหตุผลคุยกันไม่ได้ มันน่าคับข้องใจเสียจริง 

การสื่อสารนั้นเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน แต่การแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนอีกฝ่ายมันเปลี่ยนยาก ดังนั้นเรามาหาเทคนิคที่เริ่มจากตัวเรากันดีกว่าครับ บทความนี้จะมาพูดถึงวิธีการแก้ไข ‘จุดอ่อน’ เรื่องหนึ่งที่คนมักละเลยตอนถกเถียง หรือจูงใจคนอื่นให้เห็นด้วยกับเหตุผลของเรา ซึ่งจุดอ่อนนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ให้พูดให้ตาย เหตุผลดีแค่ไหน สุดท้ายก็ไร้ค่าเพราะอีกฝ่ายไม่สนใจเนื้อหาของสิ่งที่เราพูดเลย 

โดยจุดอ่อนที่ว่าก็คือ คนเรามักจะคิดแต่เรื่องเนื้อหา เหตุผล หรือหลักฐานที่หนักแน่น เพื่อที่ล้มล้างเหตุผลหรือหลักฐานของอีกฝ่าย แต่มักจะลืมนึกถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ ‘เนื้อหา’ ที่สำคัญไม่แพ้กัน และอาจจะสำคัญยิ่งกว่าด้วยซ้ำ สิ่งที่ว่าคือเรื่องของการวาง ‘ตำแหน่ง’ ของตัวเองและคู่สนทนา และการวางตำแหน่งดังกล่าวนี้แหละครับ เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้การสื่อสารนั้นเกิดปัญหา คุยกันไปก็ไม่เข้าใจ แล้วตำแหน่งที่ว่าคืออะไร มาดูกันครับ

นักจิตวิทยาชาวแคนาดาชื่ออีริค เบิร์น (Eric Berne) เสนอทฤษฎีเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิต เชื่อว่ามันเกิดจากการสื่อสารที่ไม่ลงตัว โดยเขาตั้งชื่อทฤษฎีว่า Transactional analysis ซึ่งเขาเสนอว่าเวลาคนสื่อสารกันนั้น คนเราจะใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘Ego state’ เหมือนเป็น ‘ตำแหน่ง’ หรือ ‘บทบาท’ ของตนและอีกฝ่ายในการสนทนา ซึ่ง Ego state มีอยู่ 3 แบบ มาดูแต่ละแบบ และตัวอย่างคำพูดในบทสนทนาให้เห็นภาพกันครับ

แบบแรกเรียกว่า ‘Parent’ หรือการสวมตำแหน่งของพ่อแม่ เป็นบทบาทที่เลียนแบบสิ่งที่พ่อแม่ทำกับตนในอดีต อย่างการคอยห่วงใย ปรารถนาดี โอบอุ้มค้ำจุน เช่น ‘ไม่ต้องเสียใจนะ เดี๋ยวหาใหม่ก็ได้’ หรือการใช้อำนาจสั่งและบังคับ หรือตำหนิติเตียน เช่น ‘ทำไมคิดได้แค่นี้ เรียนแล้วไม่ใช่หรือ’

แบบต่อมาเรียกว่า ‘Child’ การสวมตำแหน่งของเด็กหรือของลูก ใช้บทบาทในอดีตตอนยังเป็นเด็กเล็กที่ตอบสนองด้วยอารมณ์และความต้องการอย่างใสซื่อ เช่น ‘ขี้เกียจทำงานแล้ว อยากไปเที่ยว’ รวมถึงการใช้อารมณ์ต่อต้านการถูกบังคับ ‘ไม่พูดด้วยแล้ว น่ารำคาญ’ หรือทำตามอย่างว่าง่าย ‘ตามที่เธอพูดก็ได้’

แบบสุดท้ายเรียกว่า ‘Adult’ การสวมตำแหน่งของผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นแบบที่พัฒนามาทีหลังสุด โดยไม่ใช้แต่อารมณ์เหมือนเด็กเล็ก และหรือวางตนว่าสูงกว่าเพื่อค้ำจุนหรือบังคับแบบพ่อแม่ แต่เป็นการสื่อสารที่เน้นการใช้เหตุผล เสนอข้อมูล หลักฐานในปัจจุบันให้อีกฝ่ายรับฟังและเข้าใจ เช่น ‘ถ้าเทียบกับขนาดสินค้า ก็ถือว่าไม่แพงนะ’ 

ในการสื่อสารของมนุษย์เรา ผู้พูดจะแสดงออกว่าสวมบทบาทไหนและคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับในฐานะบทบาทที่ตนคาดหวัง เช่น ถ้าตอนนั้นเราต้องการสั่งให้ใครเชื่อฟัง เราจะสวมบทบาท Parent ที่ต้องการบังคับ และอยากให้อีกฝ่ายให้เป็น Child ที่ต้องยอมตามและตอบมาแบบ Child กลับไป Parent ตามเส้นทางเดิมที่ส่งไป เช่น ผู้พูดใช้ Parent ไป Child ‘เชื่อกันหน่อยสิ ฉันทำมากี่รอบแล้ว’ และอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วย Child ไป Parent ‘ได้ ๆ ทำตามที่เธอพูดเลยนะ’ หรือถ้าเราอยากดื้อทำตามอารมณ์ เราจะสวมบทบาท Child และต้องการ Parent ที่ใจดี คอยห่วงว่าเราเป็นอะไร 

เช่น ผู้พูดใช้ Child ไป Parent ‘ไม่อร่อย ไม่กินแล้ว’ แล้วอีกฝ่ายตอบกลับในเส้นทางเดิม Parent ไป Child ‘อิ่มหรือเปล่า รอกินขนมแล้วกัน’ หรือถ้าเราต้องการคุยกับอีกฝ่ายด้วยเหตุผล หลักฐาน ข้อมูล เราจะเลือกเป็น Adult ที่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็น Adult ที่รับฟังเหตุผลชองเรา และโต้แย้งเราด้วยเหตุผลเช่นกัน เป็นการใช้เส้นทาง Adult ไป Adult ทั้งคู่ เช่น ‘ร้านนี้คนเยอะ ไปร้านอื่นเถอะ เดี๋ยวไปไม่ทัน’ และอีกฝ่ายตอบว่า ‘เขาบอกว่ารออีก 15 นาที น่าจะยังทันอยู่นะ’ การสื่อสารที่ผู้ฟังตอบกลับมาตามบทบาทที่ผู้พูดคาดหวัง จะเป็นการสื่อสารที่ ‘เติมเต็ม’ บทบาทของกันและกัน คุยกันเข้าใจ และการสื่อสารจะมีประสิทธิภาพ

แต่ถ้าอีกฝ่ายกลับไม่ทำตามบทบาทที่ผู้พูดคาดหวัง และกลับตอบมาในเส้นทางอื่นแทน เช่น ผู้พูดเลือกใช้เส้นทาง Adult และคาดหวังว่าจะอีกฝ่ายจะเป็น Adult ตอบ ‘ออกจากบ้านก่อน 6 โมงดีไหม แถวนี้รถติด’ แต่เมื่ออีกฝ่ายได้ฟัง กลับตอบโดยใช้เส้นทางผิดจากที่ผู้พูดคาดหวัง ใช้ Parent มาบังคับให้ Child ทำตาม ‘บอกว่า 7 โมงทัน ก็เชื่อกันได้ไหม!’ หรือใช้ Child ที่ใช้อารมณ์ต่อต้าน Parent ‘ไม่ไปแล้ว ตื่นไม่ทันหรอก’

มาดูอีกตัวอย่างกันครับ ฝ่ายพูดเลือกใช้เส้นทาง Parent แสดงความหวังดี ‘เดี๋ยวฉันทำแทนให้นะ เธองานเยอะ’ ที่หวังว่าจะได้รับการตอบรับแบบ Child ที่เชื่อฟัง แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาแบบ Parent ที่บังคับ Child ‘ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งกับงานของฉัน’ ตัวอย่างเหล่านี้เรียกว่า ‘Crossed transaction’ คือเส้นทางที่ฝ่ายพูดคาดหวัง กับสิ่งที่อีกฝ่ายตอบมันไม่ตรงกัน การสื่อสารแบบนี้ไม่มีประสิทธิภาพ อาจจะทำให้ไม่เข้าใจกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง

เบิร์นเสนอว่าการสื่อสารที่ดีมีประสิทธิภาพนั้นควรจะเป็นแบบ Adult ไปยัง Adult เพราะมันสร้างทัศนคติที่เท่าเทียมกับอีกฝ่าย ฉันมีเหตุผลและเธอก็มีเหตุผล เอื้อให้อีกฝ่ายใช้ Adult ไปยัง Adult กลับมา เล่นตามบทบาทได้ง่ายกว่าการวางตำแหน่งผู้พูดว่าฉันเหนือกว่าแบบ Parent หรือการใช้อารมณ์แบบ Child จริงอยู่ว่าถ้าฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมาในแบบที่เติมเต็มพอดี บทสนทนาก็จะยังดำเนินไปได้ไม่ว่าผู้พูดจะใช้บทบาทใด แต่ในโลกความเป็นจริง การใช้วางตนว่าเหนือกว่าอีกฝั่ง หรือการใช้อารมณ์มักจะทำให้อีกฝ่ายต่อต้าน ไม่รับฟังเนื้อหา สนใจแต่อารมณ์ เลยไม่ทำตามบทบาทที่ผู้พูดคาดหวังและเกิด Crossed transaction

ย้อนกลับมาที่ปัญหาของเรากัน เรื่องการเมืองนั้น จริงๆ แล้วผมเชื่อว่าหลายๆ คนเวลาเถียงกัน พยายามทำตัวเป็น Adult ที่แย้งด้วยเหตุผล คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะรับฟังหรือแย้งกลับมาด้วยเหตุผลแบบ Adult เช่นกันจริงไหมครับ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นตรงที่บทบาทที่เราคิดว่าเราแสดงออก กับบทบาทที่อีกฝ่ายรับรู้นั้น มันอาจไม่ตรงกัน 

เวลาคนเราสนทนา เรามักให้ความสำคัญกับเนื้อหาเป็นหลัก เช่น เราอยากจะบอกอีกฝ่ายว่า เขาเข้าใจผิด หากไม่เชื่อเรา ก็ลองอ่านดูจากเนื้อหาในหนังสือก็ได้ แต่จะเป็นอย่างไรหากเราพูดออกไปว่า ‘ไหนไปอ่านดีๆ ซิ! หนังสือเขียนว่ายังไง’ ด้วยเสียงแข็งๆ หน้าบึ้งๆ แม้เราจะพยายามใช้เหตุผลแบบ Adult แต่ฝ่ายตรงข้ามอาจจะรู้สึกว่าเขากำลังถูกข่มให้เชื่อฟังเหมือนเราเป็น Parent พูดกับ Child แทน และคนเราเถียงกันมีหรือครับที่เขาจะอยากเป็น ‘เด็กเชื่อฟัง’ กับเรา เราข่มเขามาเขาย่อมไม่พอใจ จากตัวอย่าง อีกฝ่ายอาจจะไม่คิดจะดูหนังสือตามที่ผู้พูดบอกด้วยซ้ำ เพราะอารมณ์ขึ้นคิดว่ากำลังถูกมองว่าด้อยกว่า

มนุษย์เราเวลาสื่อสารกัน เราไม่ได้รับฟังแค่เนื้อหา จากตัวอย่างเราคงเห็นว่าการเลือกใช้คำก็สำคัญ และมนุษย์เรายังให้ประเมินสิ่งนอกเนื้อหาหรือภาษากาย เช่น ท่าทาง สีหน้า น้ำเสียง ควบคู่กันไปด้วย การวางตำแหน่งที่คุมแต่เนื้อหาเลยอาจจะถูกรับรู้คนละแบบหากมันไม่ตรงกับภาษากาย ดังนั้นหากเราอยากจะให้เขาตอบกลับมาแบบ Adult กับ Adult เราก็ต้องระมัดระวัง อย่าชักสีหน้าดุ เชิดหน้าใส่ หรือเลือกคำเชิงตำหนิ จนดูเป็น Parent ที่จะบังคับให้เขาเชื่อ หรืออย่าแสดงแต่อารมณ์โกรธ ทำเสียงดังโวยวายเป็น Child ที่กำลังดื้อแบบไม่สนใจเหตุผล เพราะถ้าทำแบบนี้ต่อให้คำพูดเรามีเหตุมีผลมากแค่ไหน แต่ภาษากายมันไม่เอื้อกับการสื่อสารแบบ Adult เขาเลยตอบสนองด้วยเส้นทางอื่นที่ไม่ใช่ Adult สื่อสารกับ Adult เพราะเราไม่ได้สื่อให้เขาเห็นว่าเราใช้เส้นทางนั้นกับเขาแต่แรก

ที่สำคัญคือบทบาทนั้นไม่จำเป็นต้องเล่นตามบทบาทในชีวิตจริงนะครับ คนเป็นพ่อแม่หรืออายุมากกว่าไม่จำเป็นต้องสวมบท Parent หรือคนเป็นลูกหรืออายุน้อยกว่าก็ไม่จำเป็นต้องสวมบท Child แต่อย่างใด หากต้องการคุยด้วยเหตุด้วยผลใครๆ ก็สวมบท Adult ได้ อย่างตอนถกเรื่องการเมือง ใครจะอายุเท่าไร ผมว่าเราคุยกันแบบ Adult กับ Adult น่าจะดีกว่าจริงไหมครับ มาจับเข่าคุยกันด้วยเหตุผลดีกว่า 

แต่อย่างที่บอกครับ เวลาเราพูดเราหลงลืมถึงเรื่องภาษากายและการเลือกใช้คำไป ทำให้หลายๆ คนสวมบท Parent ไปโดยไม่รู้ตัว แสดงออกว่าข่มอีกฝั่งด้วยอายุ ประสบการณ์ ความรู้ หรือการศึกษาที่มากกว่า ซึ่งมันคงยากที่อีกฝ่ายจะยอมเป็น Child สนองบทบาท เมื่อการสื่อสารไม่สอดคล้อง เนื้อหาก็เลยส่งไปไม่ถึง 

คำถามคือ ถ้าเถียงกันแล้วอีกฝ่ายกลับวางบทบาท Adult เสียเอง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายข่มเราก่อน หรือเอาแต่ใช้อารมณ์ แล้วเราควรจะทำอย่างไร หากดูทฤษฎีแล้ว การตอบกลับให้สมกับบทบาทที่เขาคาดหวัง เช่น หากข่มมาเราก็หงอกลับ ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี มันก็เป็นทางที่คุยกันได้รู้เรื่องนะครับ แต่แบบนั้นเราคงเป็นฝ่ายรู้สึกแย่เสียเอง เพราะถ้าเราไม่คิดว่าเราเองก็มีเหตุผล เราคงไม่มาเถียงกันแต่แรก การตอบกลับไปแบบ Adult ถึง Adult แม้ว่าจะ Crossed transaction แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีคือได้เริ่มจากการปรับที่ตัวเราเองก่อน จากนั้นมาพยายามแสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า เรามองเขาอย่างเท่าเทียม เพื่อเอื้อในการปรับเส้นทางสนทนาให้กลับมาเป็น Adult กับ Adult กัน ไม่ใช่แค่การเมือง ตอนเถียงกันเรื่องไหน เราก็เลือกเป็น Adult ได้นะครับ

โชคดีที่นักจิตวิทยาหลายๆ ท่าน ก็มีเทคนิคการสื่อสารที่ดี ที่เอื้อต่อความสร้างความรู้สึกว่าเราแสดงออกว่าอีกฝ่ายก็เท่าเทียมกับเรามาให้ลองใช้ เทคนิคแรกนั้นอาจจะดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ ทำยาก คือเราต้องเป็นฝ่ายแสดงออกว่ารับฟังเขาก่อน เพราะถ้าเราไม่ฟังเขาแต่แรก เขาก็คงไม่คิดจะฟังเราเช่นกัน ไม่ว่าเหตุผลของเราจะดีแค่ไหนก็ตาม เทคนิคต่อมาคือหลังจากฟังเขาแล้ว หากมีประเด็นไหนที่เราคิดว่ามันเข้าท่า อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นประเด็นหลักในการโต้เถียงก็จริง แต่เราเห็นด้วยในประเด็นนี้ เราก็ควรจะบอกให้เขารู้ ว่าเรื่องนี้เราเห็นด้วย เรื่องนี้เขาพูดถูก การทำแบบนี้ทำให้เขารู้ว่าเราฟังเขาอยู่ และยอมรับในตัวเขาด้วยและในเหตุผลของเขาเช่นกัน ไม่ใช่คิดจะมาเถียงแบบ “ฉันถูกเท่านั้น” พอถึงคราวที่เราเป็นฝ่ายพูด อีกฝ่ายก็มีแนวโน้มจะฟังเรามากขึ้น 

จริงอยู่ที่ต่อให้เราและเขาวางตัวเป็น Adult แล้ว อาจจะถกกันไม่ลงตัวอยู่ดีว่าใครที่คิดถูกกันแน่ แต่อย่างน้อยน่าจะทุเลาไม่ให้ ‘ดราม่า’ นั้นบานปลายไปใหญ่โต และหลังจากเถียงกันแล้วก็น่าจะยังมองหน้ากันติด บ้านยังไม่แตกเพราะผิดใจกัน ไว้มีโอกาสหน้า ใครมีข้อมูลที่หนักแน่นเพิ่ม ก็ค่อยมาคุยกันใหม่ดีๆ กันต่อน่าจะดีกว่า ยอมรับและคุยกันด้วยเหตุผลแล้วการเถียงเรื่องใด ๆ จะไม่ลงเอยแต่ดราม่าแบบเดิมครับ

อ้างอิง
Managing conversations when you disagree politically
Berne, E. (1964). Games People Play: The Psychology of Human Relationships. (1st ed.). New York NY: Ballantine Books. 
Burns. D. D. (2010). Feeling good together: The secret to making troubled relationships work. London: Ebury Digital.
Hollins Martin, C. J. (2011). Transactional analysis: A method of analysing communication. British Journal of Midwifery, 19(9), 587-593.

Tags:

ประชาธิปไตยการฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ทำให้วิถีประชาธิปไตยอยู่ในโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    ‘ครูสอญอ’ ครูสังคมศาสตร์ที่อยากแชร์วิธีจัดห้องเรียนประชาธิปไตย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Movie
    Captain Fantastic : เลี้ยงลูกเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พร้อมรับความจริงไม่ต้องปรุงแต่ง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    ‘เราอาจไม่มีวันเข้าใจกันได้ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เกลียดพ่ออย่างที่เคยนึก’ เขียนถึงพ่อในวันที่เราตะโกนใส่หน้ากัน

    เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (2)
21st Century skills
14 December 2020

Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (2)

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • คุยกันต่อกับนพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ในประเด็น Learning Analytic ระบบการวิเคราะห์สไตล์ผู้เรียน ตอนสุดท้าย
  • เจาะลึกตั้งแต่วิธีการคิด นำแผนการสอนของครูไปวิเคราะห์ผ่าน Machine learning ว่าเด็กจะได้ทักษะอะไรบ้างจากการเรียนนี้ สร้างระบบ classroom management ระบบการเรียนรู้ในห้องเรียน
  • นอกจากนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการศึกษา ติดตั้งทักษะให้นักเรียน สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ระบบการศึกษาไทยต้องมี ‘ความไว้วางใจ’ ให้ผู้เรียน เพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ได้บนความกลัว การเรียนรู้มันต้องลอง แล้วมันต้องผิดมากกว่าถูก

“สิ่งที่เราเชื่อคือ ทุกคนมี learning style ของตัวเอง ทุกคนมีวิธีการเรียนรู้ที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวแน่ๆ หน้าที่ของเรา คือ จัดองค์ประกอบในการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาเป็น

“(…)แต่ข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะคือ มันต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราเข้าใจ learning style ของแต่ละคน เราจะใช้เวลาน้อยมากเพื่อพัฒนาทักษะนั้น เช่น ถ้าเราอยากเป็นนักกอล์ฟ เราก็ซื้อไม้กอล์ฟ ซื้อลูกกอล์ฟมาตีกับกำแพง ซึ่งเราอาจใช้เวลา 5 ปีแต่อาจไม่ไปถึงไหน แต่ถ้าเรามีโค้ชที่มาสะท้อน มายืนมองเรา เราอาจลดเวลาเหลือ 2 ปี นี่เลยเป็นที่มาว่า หากเราสามารถสะท้อนกลับวิธีการเรียนรู้หรือ learning style ที่เฉพาะตัวของเด็กได้ ทำให้เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง น่าจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างและร่นระยะเวลาของเด็กได้

“กระบวนการสำคัญ คือ การสะท้อนให้เห็น นี่จึงเป็นที่มาที่ของการเอาเทคโนโลยีมาวิเคราะห์และสะท้อนรูปแบบการเรียนรู้เฉพาะของแต่ละคนให้ได้”

นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์

คือคำของนายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี – สฤษดิ์วงศ์ ผู้ซึ่งหากเราเสิร์ชชื่อของเขาในเสิร์ชเอนจิ้นจะพบประวัติการทำงานหลากหลายและข้ามสายไปมา ตั้งแต่… นายแพทย์, บอร์ดบริหารทีมแพทย์เครือโรงพยาบาลกรุงเทพกลุ่มภาคตะวันออก และกรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำระบบข้อมูล (ไอที) ให้กับโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็ก, ก่อตั้งบริษัท สุขสาธารณะ จำกัด กิจการเพื่อสังคมที่ทำตั้งแต่การไปตะลุยท้องนาเพื่อให้เห็นชีวิตและวงจรการทำนา พัฒนาพันธุ์ข้าวลงลึกระดับยีน จนถึงคลินิกองค์รวมผสานตั้งแต่แพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพร และอาหารออร์แกนิก

ไม่เท่านั้น ก่อนจะเข้ามาลุยงานการศึกษาเต็มตัวด้วยตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิสดศรีฯ นายแพทย์ก้องเกียรติยังสร้างโรงเรียนกาละพัฒน์ ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อยืนยันว่า เด็กทุกคนไม่ได้มีปัญหาด้านการเรียนรู้ เพียงแต่ ‘เสื้อโหลไซส์เดียว’ ที่ตัดมาให้ทุกคนใส่ ไม่สามารถใช้ได้กับเรื่องการพัฒนาคน เรื่องการศึกษา ที่มีความเฉพาะเป็นของตัวเอง

อันที่จริงในมุม ‘การเรียนรู้’ เราคงนั่งคุยกับนายแพทย์ก้องเกียรติได้เป็นวันไม่มีจบเพราะเขาเป็นคนประเภทที่…มองอะไรก็เป็นเรื่องการเรียนรู้ได้ แต่ไฮไลต์ (เด็ด) ที่เราอยากนำเสนอและประกาศให้ทุกคนรู้ (ว่าสิ่งนี้มันมีอยู่จริง!) คือเรื่อง Learning Analytic – ระบบ หรือ การวิเคราะห์การเรียนรู้เฉพาะตัว (Learning Style) เทคโนโลยีช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่า แผนการสอนที่ออกแบบมานั้น กำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ได้จริง ทดลองใช้งานจริงแล้ว และยังได้รางวัลในชุมชนการศึกษาใหญ่อย่าง British Educational Research Association สาขา Best EdTech Paper ในปี 2019 มาด้วย!

ตั้งต้นกันที่ระบบ Learning Analytic ก็จริงอยู่ แต่ตลอดบทความชวนอ่านชีวิต ความคิด การทำงานในประเด็น ‘การเรียนรู้’ ที่นายแพทย์ก้องเกียรติให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘การถ่ายทอดทักษะ’ ซึ่งสำหรับเขามันเป็นเรื่องยาก ใช้เวลา และต้องเข้าใจกระบวนการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและด้วยตัวเอง (มากๆ) ก่อนที่จะส่งต่อทักษะนั้นให้กับผู้เรียนต่อไป

จริงอยู่ที่เราอยู่ในยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับ ‘ทักษะ’ เพราะเรารู้กันแล้วว่า มันไม่สำคัญว่าเราเรียนอะไร แต่เราทำอะไรได้กับสิ่งที่เรารู้ ซึ่ง ‘ทักษะ’ นี่แหละที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา adapt และ adopt (ตามคำของนายแพทย์ก้องเกียรติ) นำความรู้ในเนื้อตัวไปทำงานในโลกยุคโควิด-19 ที่ทำลาย ‘ความมั่นคง’ แบบเดิมๆ ทิ้งไปสิ้น

ถ้าทักษะนี้สำคัญจริง ชวนกันมาคุยกันจริงจังอีกทีว่าคืออะไร โรงเรียนได้สร้างทักษะเหล่านี้หรือไม่ และเทคโนโลยีอะไรที่จะมาช่วยครูทำงานเรื่องนี้

โดยบทความจะขอแบ่งเป็น 2 ชิ้น ชิ้นแรกว่าด้วยเหตุผลที่ทำให้คุณหมอสนใจ ‘ทักษะ’ ที่มาจากประสบการณ์เรียนรู้ของตัวเขาเอง (อ่านได้ที่นี่) และชิ้นที่ 2 ว่ากันเรื่อง Learning Analytics ว่าคืออะไร ทำอย่างไร และจะช่วยเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายคนได้จริงอย่างไร

… อย่ารอช้า อ่านกันค่ะ 🙂

ระบบ Data Analytic

ระบบ Data Analytic ทำงานยังไง ตั้งใจเอาไว้แก้ปัญหาอะไร

กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียน ขั้นตอนคือ ครูจะพัฒนาแผนการสอน แล้วแผนการสอนก็นำไปสู่การเรียนการสอน เมื่อสอนแล้วมีการบ้าน มีโครงงาน เด็กก็จะส่งการบ้านหรือโครงงานนั้นกลับมา คำถามที่เราอยากรู้คือ ตกลงแผนการสอนนี้พร้อมจะถ่ายทอดทักษะรึเปล่า?

ทีนี้ในกระบวนปกติจะมีศึกษานิเทศที่เก่งและเข้าใจมาอ่านแผนการสอน แต่อย่าลืมว่าในโรงเรียน ครูสร้างแผนการสอนมาเป็นหลักร้อยชิ้น อ่านกันไม่ไหวและบางทีก็ไม่ได้เกิดผลอะไรออกมา แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่เราสามารถเอา AI หรือ Machine learning ไปเรียนรู้ว่าเอกสารที่ผลิตออกมานั้นตกลงมันสะท้อนทักษะอะไร ซึ่งที่มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์เองก็มีต้นทุนเรื่องพวกนี้อยู่ คือเคยมีงานที่ทำวิเคราะห์เนื้อหาโดยใช้ machine learning กับทางอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอยู่ แต่ไม่ได้ทำเฉพาะเจาะจงเรื่องการศึกษา

ผมเลยเอาเครื่องมือนี้มาตั้งหลักโดยหาผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจเรื่องทักษะในศตวรรษที่ 21 มาอ่านเอกสารแผนการสอน จากนั้นก็ป้ายประโยค และบอกว่า ในประโยคนี้เขาเห็นอะไร เช่น เห็นทักษะการเรียนรู้ เห็น critical thinking (การคิดอย่างมีวิจารณญาณ) แล้วเราก็ใช้วิธีให้คนหลายๆ คนทำเพื่อหาความเห็นร่วมว่าในเอกสารนี้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามันปรากฎทักษะนี้รึเปล่า ประโยคนี้ใช่หรือไม่ใช่เพื่อเป็นการสอน machine จากนั้น machine ก็จะเริ่มทดว่าข้อความแบบนี้ พารากราฟแบบนี้ โครงสร้างประโยคแบบนี้ สะท้อนทักษะอะไรขึ้นมา จากนั้นเราก็พัฒนา machine ตัวนี้ให้มีความสามารถแม่นยำขึ้นในระดับหนึ่ง จากนั้นเราเอาเอกสารทั้งหมดที่มีโยนใส่ไปในเครื่อง แล้วมันก็จะจัดการกลั่นกรองว่า มันพบทักษะอะไรบ้าง ซึ่งการใช้เทคโนโลยีแบบนี้ มันร่นระยะเวลา มันขยายผลได้ แปลว่าทุกโรงเรียนที่เขียนแผนการสอนสามารถส่งเข้ามาในระบบแล้วสะท้อนกลับว่า แผนการสอนวิชา PBL ของป.1 มีทักษะอะไรปรากฎอยู่บ้าง

ครั้งแรกที่เราทำ เราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันได้ผลมั้ย เราก็เอาแผนการสอนของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีความสามารถในการพัฒนาทักษะเด็กมาเข้าระบบ แล้วเราก็วิเคราะห์และสะท้อนออกมา สิ่งที่เราเห็นคือ นักเรียนชั้นป.1 มีทักษะแทบทุกอย่างเยอะมาก แล้วเราก็ไปพบทักษะเหล่านี้อีกทีในชั้นป.6 แต่ในชั้นป.3 ป.4 กลับมีทักษะแบบนี้น้อยมาก ก็ให้ย้อนกลับไปถามครูว่าปรากฏการณ์นี้แปลว่าอะไร? ครูเขาก็ตื่นเต้นมาก เพราะครูไม่เคยเห็นภาพสะท้อนนี้มาก่อน ที่เขาบอกคือ ใช่… เด็กป.1 ได้เรียนกับครูที่เก่ง ครูก็จะจัดหนักที่ชั้นนี้ ส่วนป.3 – ป.4 จะเป็นพื้นที่ให้ครูใหม่เข้ามามาทำงาน แล้วพอป.6 ต้องส่งออกนักเรียน ก็ไปแข็งขันกันเร่งสอนอีกที

แต่สิ่งที่เราพบคือ critical thinking ไม่สามารถทำได้ตอนป.1 เพราะสมองยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น น้ำหนักที่ให้และที่ใช้มันทำให้เกิดการเสียโอกาส พอครูเห็นแบบนี้ก็จูนใหม่ จัดใหม่ ใส่เครื่องใหม่ อะ…ลดทักษะนี้ลง เอาทักษะนี้ขึ้น ซึ่งมันทำให้สะดวกมากขึ้น เขาก็เห็นว่า อ๋อ…การเขียนโครงสร้างแบบนี้ทำให้เห็นทักษะแบบนี้ได้ เขาก็จะเริ่มเรียนรู้ ครูก็สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ภายในโรงเรียน

หลังจากนั้นเราพัฒนาต่อ คือทำระบบ classroom management ระบบการเรียนรู้ในห้องเรียน คือเมื่อสักครู่เราทำแผนการสอนอย่างเดียว แต่ตอนนี้เราอยากเก็บผลลัพธ์ของการเรียนรู้บ้าง เราก็อยากเอาสองอย่างนี้มาเจอกัน และใช้ซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า class start โดย ดร.จันทวรรณ ปิยะวัฒน์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เราไปร่วมมือกับเขาและขอเอามาใช้ในโรงเรียน ก็ทำให้เราเห็นผลลัพธ์ในฝั่งนักเรียนมากขึ้น

ทีนี้ในแผนการสอนมันจะมีสื่อการสอนต่างๆ (learning material) ที่จะถูกผูกกับแผนการสอน ซึ่งพอประเมินจะทำให้เริ่มเห็นว่า learning recourses หรือสื่อการสอนนี้เชื่อมโยงบางอย่างมีผลต่อผลลัพธ์ ต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าเราเก็บข้อมูลนี้ได้มากขึ้นๆ เราก็อาจได้รูปแบบความสัมพันธ์หรือแพทเทิร์นที่เอาไปใช้ในที่ต่างๆ ได้

แม้ว่าผมจะเป็นครูที่อยู่ไกลโพ้นบนภูเขา ไม่มีศึกษานิเทศ ผมเป็นครูอยู่คนเดียว ก็สามารถดึงแผนการสอน ดึงสื่อการสอนที่สอดคล้องกับนักเรียนของผมไปใช้ได้ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แล้วผมได้ฟีดแบกทันที เพราะฉะนั้น ก็แปลว่าผมมีศึกษานิเทศที่เก่งอยู่ในคลาวน์ แล้วก็ช่วยได้ทุกคน นี่คือเส้นทางที่พวกเราอยากให้มันเกิดขึ้นภายใต้การใช้เทคโนโลยีมาขยายผล

สิ่งที่เราพูดมาทั้งหมดนี้เรียกว่า Learning analytic หรือการวิเคราะห์การเรียนรู้ของคน Learning analytic จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า ขั้นแรก – เห็นก่อนว่ามันเกิดปรากฎการณ์อะไร พอเห็นบ่อยขึ้นเราก็จะเริ่มรู้หรือทำนายได้ว่า เออ…ถ้ามีสิ่งนี้ เดี๋ยวสิ่งนี้อาจจะเกิด พอใส่ intervention หรือกระบวนการบางอย่างเข้าไป ผลลัพธ์ก็จะเปลี่ยนจนสุดท้ายเรามั่นใจแล้วว่า เฮ้ย…อย่างนี้ใช้ได้ เช่น แผนการสอนนี้ สื่อการสอนนี้ เหมาะสำหรับเด็กที่มีคำศัพท์น้อย ตอนเข้ามาเรียนมีคำศัพท์แค่ 50 คำ แต่พอมาดูอันนี้ มาทำเส้นทางนี้ เห็นการพัฒนาทำให้เขาไปต่อได้

มันดูเป็นสิ่งใหม่ แปลว่าไม่เคยมีใครทำหรือจินตนาการว่ามันทำได้มาก่อน คุณหมอเริ่มต้นอธิบายสิ่งนี้ให้ทีมงานฟังเพื่อให้เห็นภาพและลุยไปด้วยกันได้ยังไง

ปีแรกๆ ต้องบอกเลยว่าไม่มีใครเข้าใจว่าผมจะทำอะไร เพราะมันใหม่มาก ไปรีวิวในต่างประเทศก็พบว่า Learning analytic เป็นเรื่องใหม่ในโลกเหมือนกัน เราก็เลยทดสอบตัวเราเองว่าความคิดของเราถูกมั้ย เลยเขียนเป็นงานวิชาการนำเสนอที่เนเธอร์แลนด์ เวที Learning Analytic Conference ปกติในงานประชุมวิชาการ ถ้างานเราดี ขั้นต่ำที่สุดเราจะได้เป็นโปสเตอร์ ถ้าดีกว่านั้นก็จะได้ขึ้นพรีเซนต์ ตอนนั้นเราก็เสนอเป็นโปสเตอร์ก่อนเพราะเราเชื่อว่าเราเป็นเศษธุลีเรื่องการศึกษา ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ปรากฎเราได้ขึ้นโพเดียมพรีเซนส์ ตอนพรีเซนส์คนซักถามกันเยอะแยะ แต่พอกลับมาเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังก็เกิดคำถามว่า ‘ฟลุกรึเปล่า’

เราก็คุยกับทีมใหม่ งั้นคราวนี้เราจะเอาเข้างานประชุมวิชาการจริงๆ ของทางการศึกษาเลย นั่นคือ งานประชุมวิชาการประจำปีของ British Educational Research Association หรือสมาคมด้านการศึกษาของประเทศอังกฤษ เราก็ submit ไป กะว่าเป็นนำเสนอแบบโปสเตอร์ก็ดีใจน้ำตาคลอเบ้าแล้ว เพราะการประชุมที่มีคนเข้าร่วมสามพันกว่าคน ครูทั้งในอังกฤษและทั่วโลกก็ต่างชิงพื้นที่นี้กัน แต่พอส่งไปเขารีวิวกลับมาว่า งานของคุณดีมาก คะแนนสูง เราอยากให้คุณพรีเซนต์ เราก็เลยได้สลอตพรีเซนต์มา พอพรีเซนต์เสร็จปุ๊บ เราได้รางวัลชนะเลิศด้าน Best EdTech (Best EdTech Paper 2019)  ได้รางวัลจากเขามา 30 เหรียญ (หัวเราะ) ได้คูปองอะแมซอนมาแบ่งกัน แต่จริงๆ แล้วเราแค่อยากแค่รู้ว่าสิ่งที่เราทำ มัน valid หรือมีน้ำหนักพอมั้ย เราไม่อยากเดินผิดทาง ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ใหม่มากทั้งในในและต่างประเทศ เราเริ่มเห็นโอกาส ใช่ เราทำสิ่งนี้ ก็เลยพยายามเคลื่อนงานต่อ พยายามหาข้อมูลจากหลากหลายแหล่งเข้ามาประมวลร่วมกัน

Learning analytics นี้ เหมือนเป็นตัวช่วยของครู ช่วนให้เห็นฟีดแบกการสอนของตัวเองจริงๆ และรู้ว่าจะพัฒนาอย่างไร

ผมคิดว่าครูทุกคนมีเจตนาดีที่อยากให้เด็กประสบความสำเร็จ ผมไม่คิดว่ามีครูคนไหนที่แบบว่า “สุดยอดมาก เธอตกอีกแล้ว เธอต้องซ้ำชั้น ชั้นชนะแล้ว” แต่ปัญหาของครูคือ ครูไม่มีข้อมูลมากพอที่จะมาช่วยทำงาน ผมเปรียบเทียบกับหมอ ผมมีหูฟัง มือคลำ ตรวจถูกบ้างผิดบ้าง รักษาได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลังจากนั้นเราเริ่มมีผลเลือด ผลเอ็กซ์เรย์ มีชุดข้อมูลเยอะมากในการที่ผมจะบอกได้ว่าคนไข้คนนี้เป็นอะไร แต่คุณครูแทบไม่มีเลย ข้อมูลของนักเรียนปีที่แล้วส่งมาก็เห็นแต่คะแนนหรือบันทึก ซึ่งเยอะมาก ไม่สามารถที่จะวิเคราะห์หรือเข้าใจได้

เราอยากให้ครูมีแว่นชาวเซย่าอะครับ (การ์ตูน Dragon ball) ที่พอมองเด็กปุ๊บก็รู้เลยว่าระดับพลังเขามีขนาดไหน ‘วิชานี้ระดับพลังตกแล้ว ฉันต้องเสริมมัน’ นั่นคือภาพที่ผมคิดว่าครูจะมันส์มากเลยอะ งั้นถ้าเรามีชุดข้อมูลที่มากพอแล้วครูเห็นฟีดแบกได้ทัน ใส่อันนี้-เด็กไม่เกิด ใส่อันนี้-เด็กเกิด โอเค ฉันเริ่มรู้ละ

ภาพนึงที่คิดไว้ว่าถ้ามันเกิดได้มันจะสนุกมาก คือ วันนี้ผมสอนวิชาประวัติศาสตร์ ผมเห็นเด็กในห้องผมมีอยู่สามกลุ่ม ที่มี learning style ต่างกัน บางคนชอบดูหนัง สนุก อีกพวกชอบอ่าน อีกพวกชอบค้นคว้า เพราะฉะนั้นสามกลุ่ม ภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน อยู่คนละแบบกันเลย คือถ้าเราทำอย่างนี้ได้ ครูจะประสบความสำเร็จในการสร้างการเรียนรู้ เพราะมันไม่มีทางเดียวที่ทำแล้วเหมาะกับทุกคนได้หมด

แต่หลักสูตรเอื้อให้ทำแบบนี้ได้ไหม

(แบมือสองข้าง สื่อสารอย่างไม่มีเสียงว่า ‘นั่นไง’) สิ่งเดียวที่ผมเรียนรู้จากฟินแลนด์ หลังจากเสียเงินไปตั้งเยอะตั้งแยะผมได้ประโยคเดียวกลับมา ‘ความไว้วางใจ’ การศึกษาฟินแลนด์ประสบความสำเร็จเพราะ ‘ความไว้วางใจ’ ผมเข้าไปห้องเรียนเคมีห้องนึงชั้นระดับมัธยม มีเด็กผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่หลังห้อง ถักนิตติ้ง ถามว่าถ้าเป็นโรงเรียนไทย จะเกิดอะไรขึ้น? แต่ครูฟินแลนด์ไม่ว่าอะไร สอนต่อไป แล้วก็ทวนสอบด้วยการตั้งคำถาม เธอวางนิตติ้ง ยกมือตอบ ตอบเสร็จ เธอถักนิตติ้งต่อ

คือผมทนไม่ได้ก็ไปถามครูว่า เฮ้ย ยอมได้ไงให้ใครคนนึงนั่งทำอะไรในห้อง เขาถามผมว่า แล้วคุณกังวลอะไร? ถ้าเป้าหมายของเขาคือเขาได้เรียนรู้ เขาจะอยู่ยังไงก็เรื่องของเขา ตอนนั้นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ เมื่อไรที่ไว้วางใจ เราจะได้ความรับผิดชอบกลับมา เด็กคนนี้ไม่ได้ถูกบังคับ คุณอยากถักนิตติ้งก็ถักไป แต่เขารับผิดชอบ

ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่บ้านเราขาด ความไว้วางใจ เรามีแต่ความกลัว แต่เราไม่สามารถเรียนรู้ได้บนความกลัว เราสนใจการเรียนรู้ครับ การเรียนรู้มันต้องลอง แล้วมันต้องผิดมากกว่าถูก

ตอนผมทำโรงเรียน ผมอ่านหลักสูตรของกระทรวงศึกษาซึ่งเขียนหลักสูตรไว้ดีมาก ไม่ได้เป็นของที่แย่หรือจับต้องไม่ได้เลย แต่ปัญหาคือการแปลหลักสูตรออกมาเป็นการสอน และนั่นคือสิ่งที่ท้าทายเรามาก เพราะคนที่แปลหลักสูตรออกมาเป็นแผนการสอนจนไปถึงกิจกรรมในการสอน ต้องอาศัยทักษะเยอะมาก แปลว่าในความเป็นจริงแล้ว ทำได้ ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอะไร ขอแต่ต้องไว้ใจเขา เพราะไม่อย่างนั้นก็จะเกิดแผนการสอนโดยการไล่ก๊อบปี้เพื่อนมา และเราจะทำแผนการสอนเพียงเพราะศึกษานิเทศจังหวัดจะมาตรวจ

กระบวนการทำงานที่เราอยากให้เห็นคือ ทำแผนการสอนบนเป้าหมายที่ตัวนนักเรียน ออกแบบแผนการสอนใหม่ ครูต้องอ่านนักเรียนให้ออก แต่อย่างที่ผมบอกครับว่า ครูเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนมาจะเหมาะรึเปล่า ถ้ามันมีเครื่องวัด แลป หรือหรือเครื่องเอกซ์เรย์คอยช่วยครู น่าจะทำให้เกิดประโยชน์ได้ 

ตอนนี้ได้ทดลองทำที่โรงเรียนไหนบ้างแล้ว

เริ่มทำที่โรงเรียนอนุบาลสตูลก่อน แล้วจะขยายไปที่โรงเรียนในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต่างๆ ทำในพื้นที่ที่เรียกว่าเป็นหน่วยนำที่กล้าเปลี่ยนแปลงการศึกษา เราอยากให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันใช่ เพื่อให้เห็นแพทเทิร์น รูปแบบ แล้วทางโรงเรียนเขาก็ตื่นเต้นที่เขาได้เห็นผลตรงนี้ออกมา คิดว่าหลังจากนี้คงจะมีข้อมูลพวกนี้ออกไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็พยายามสร้างวงนักวิจัยทางด้านการศึกษาที่มาจากหลากหลายความเชี่ยวชาญขึ้นมา ตั้งแต่ครู ผู้บริหารโรงเรียน พยาบาล แพทย์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา Data Science แล้วเราก็จัดสิ่งที่เรียกว่า social lab ขึ้นมา

ต้องบอกว่าข้อจำกัดทางงานวิจัยด้านการศึกษา คือมักทำโดยนักการศึกษา แต่สิ่งที่เราคือมันไม่งอก มันไม่งาม เราเลยไปดึงนักเศรษฐศาสตร์ data science ไปดึงคนหลายคนหลายเหล่ามารุมกัน มาสกรัม (scrum) กันว่า เออ…ถ้าเราเอาความรู้หลากหลายมาช่วยกันแก้ปัญหาการศึกษา เราจะทำได้ยังไง ตอนนี้เราสร้างวงนักวิจัยระดับ 30 – 40 คนขึ้นมาเพื่อจะหาวิธีการ หาโจทย์วิจัยเพื่อช่วยกันหาโจทย์เหล่านี้

Social Lab หรือห้องวิจัยทางการศึกษาที่ว่านี้ ศึกษาอะไรบ้าง

ประเด็นคือ learning style ไม่ได้เป็นปัจจัย (factor) เดียวในการเรียนรู้ แต่มีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เรื่องเศรษฐฐานะ เช่น เราไปวิเคราะห์ข้อมูลที่จังหวัดหนึ่งมา ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นคนออกแบบการเรียนการสอน เราก็คาดหวังผลการเรียนการสอนจะเหมือนกันทุกแห่ง ทีนี้โรงเรียนหนึ่งมีคะแนนภาษาอังกฤษต่ำโดดเด่นออกมาโรงเรียนเดียว ทั้งที่โรงเรียนอื่นซึ่งมีเศรษฐฐานะพอๆ กัน เราก็ไปในพื้นที่เพื่อไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าเขาจัดตารางสอนภาษาอังกฤษวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันที่มีตลาดนัดแล้วเด็กกลุ่มนี้ต้องไปช่วยพ่อแม่ขายของที่ตลาดนัดเลยต้องขาดเรียนวันนี้ แปลว่าการหาความสามารถในการเรียนรู้หรือรูปแบบในการเรียนรู้แค่เฉพาะข้อมูลในห้องไม่พอ มีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่กระทบการเรียนรู้ของเด็ก ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวก็มีผล ความยากจนมีผล ความรู้ของคนที่เลี้ยงเด็กมีผล พวกนี้เป็นปัจจัยสะสมทั้งหมด ฮาร์วาร์ดตีพิมพ์ชัดเจนมากว่าเด็กที่มีปัจจัยเสี่ยงสะสมแบบนี้ เขาจะมีการพัฒนาการเรียนรู้น้อยกว่าคนปกติถึง 100 เปอร์เซ็นต์ หรือเท่าตัวเลย เขาไม่ได้โง่นะครับ เขาไม่ได้เป็นเด็กปัญญาอ่อน แต่ปัจจัยพวกนี้มีผลกระทบต่อการเรียนรู้

13 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่ฐานะไม่ดีแล้วต้องออกไปจากโรงเรียนในวันที่ต้องไปช่วยพ่อแม่ทำงาน ซึ่งเรามีรายวิชาการงานและอาชีพ แต่เด็กพวกนี้ไม่สามารถออกไปช่วยพ่อแม่ 5 ชั่วโมงแล้วเอามาเทียบเท่ากับการเรียนการงานวิชาอาชีพได้ การศึกษาเราไม่เอื้อขนาดนั้นเลย

ต่างประเทศมีการสะสมชั่วโมงเก็บทักษะนอกเวลาแบบนี้มั้ย  

ที่ต่างประเทศมีการทำงานหนักมากเพื่อทำให้ทักษะสามารถถูกเก็บเป็นระบบได้ เราเรียกว่า Open Badges เป็นองค์กรสาธารณะกุศลนะครับ โดย Mozilla บริษัทที่ทำเว็บบราวซ์เซอร์แล้วได้รับการสนับสนุนจากพริสซิลลา ชาน ภรรยาของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

Open Badges ไม่ได้มองว่า คุณทำงานร้านสะดวกซื้อมาสามปี ไม่ได้สนใจว่าคุณทำอะไร แต่จะดูว่าคุณทำงานที่ร้านสะดวกซื้อนี้ คุณได้ทักษะอะไรมา แล้วแปลกิจกรรมเหล่านั้น หรือ translate activity คุณไปเป็นทักษะ

ผมให้นึกถึงลูกเสือ ที่เวลาเราไปเข้าค่ายก็จะได้ตรามาติดที่เสื้อเต็มไปหมดว่าเราทำอะไรได้บ้าง แต่เวลาเราไปสมัครงาน เราเอาไปสมัครได้มั้ย? ที่เขาทำคือให้เด็กที่ไปทำงานนอกเวลา ไปหารายได้แล้วสามารถถูกสะสมและแปลมาว่า ที่คุณไปทำมา คุณมีทักษะอะไร และถือไปสมัครงานได้

ในอดีตเวลาเราไปสมัครงาน อันแรกที่เราเตรียมไปคืออะไร ใบเกรด ใบปริญญา? แปลว่านั่นคือการบอกว่าผมรู้อะไรมา สอง เขาจะถามว่าคุณเคยทำงานอะไรมาบ้าง คุณทำอะไรเป็น แต่ถ้าผมถามใหม่ ถ้าผมให้ทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อนเลย คุณจะสามารถ adapt และ adopt รับโจทย์ใหม่และปรับตัวเองให้เข้ากับงานใหม่ ได้รึเปล่า?

เราไม่เคยถูกฝึกให้ตอบคำถามนี้มาก่อน

ใช่ครับ เพราะเราอยู่บนความกลัว เราไม่สามารถบอกได้ว่าผมมีความสามารถในการเรียนรู้  แต่ปัจจุบันนี้ โควิดเป็นตัวบอกเลยว่าเราต้องการคนแบบนี้เยอะมาก เพราะสิ่งที่รู้มาตลอดชีวิตใช้ไม่ได้ ทำยังไงเราถึงให้เด็กของเราถือใบสมัครไปองค์กรใหญ่ๆ แล้วบอกว่า “ผมมีทักษะที่ adapt และ adopt ได้ คุณไม่ต้องไปดูปริญญาผม” นี่คือสิ่งที่พวกเราอยากไปให้ถึง เราอยากจะแปลทักษะพวกนี้ให้อยู่ในรูปแบบที่จับต้องได้และเทียบเคียงจนไปถึงการหาอาชีพให้ได้ นั่นคือการเสมอภาคทางสังคม

เรากำลังพูดถึงเทคโนโลยีในการศึกษา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเหลื่อมล้ำทำให้คนเข้าถึงเทคโนโลยีไม่เท่ากัน

ผมคิดว่ามันมีสองส่วน หนึ่ง โครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ทุกคนเข้าถึง นี่เป็นหน้าที่รัฐที่ต้องจัดการให้ได้ ตัวที่เป็นอุปสรรคมากคือกระบวนการจัดการของรัฐ แต่ในทางเทคนิค ทุกพื้นที่ในประเทศไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ทุกพื้นที่เลยนะ ไม่ว่าด้วยวิธีใดวิธีนึง แย่ที่สุดคือดาวเทียม ฉะนั้นในทางเทคนิคเข้าถึงได้ แต่ปัญหาที่เราพบคือกลไกบางอย่างมันไม่โปร่งใสชัดเจนเพียงพอ สุดท้ายมันไม่เกิดผลลัพธ์นี้ขึ้นมา ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องเกินกว่าพวกเราแก้ไขและต้องให้ทางรัฐจัดการ

ทีนี้ถ้าเราทิ้งโครงสร้างไป ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นหรือเอาปัจจุบันนี่แหละ ผมเชื่อว่าทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และอยู่ในสภาพที่ใช้ได้ด้วย ไม่ได้แย่มาก แต่ปัญหาที่สำคัญคือ ใครเป็นคนจัดการการเรียนรู้ให้กับเด็ก? เบื้องหลังของโซเชียลมีเดียต่างๆ ใช้ AI เยอะมากนะครับในการจัดสรรเวลาที่ทำให้คนอยู่ในหน้าจอ เราแทบไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งเราหมดเวลาไปกับหน้าจอที่พูดเรื่องเหล่านี้ยังไง เราดูยูทูปจบเรื่องนึงมันเอาเรื่องถัดไปมาให้เราดู ถ้าเราไม่ดู กดคลิกข้าม มันจะทดทันทีว่าเรื่องนี้เราไม่ดู จนสุดท้ายมันรู้ว่าถ้าจะทำให้คุณอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มันจะเลือกอะไรให้คุณ

ฟังดูแล้วดูคล้ายๆ กับสิ่งที่มูลนิธิทำ นั่นคือการวิเคราะห์ หรือ analyze การเรียนรู้ เหมือนที่โซเชียลมีเดียกำลังวิเคราะห์รูปแบบและพฤติกรรมการเล่นโซเชียลของเรา

ใช่ครับ วิธีคิดก็คล้ายๆ กัน ในเทคนิคมันมีคำว่า learning experience ซึ่งก็เหมือนกับ user experience ข้อมูลพวกนี้จะถูกเก็บแล้วเอามาวิเคราะห์ เราดูยูทูปเรื่องอะไรบ้างนั่นแปลว่าคุณสนใจเรื่องอะไร ซึ่งพวกนี้ถ้าเราเก็บข้อมูลมาได้และวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มันจะสร้างปรากฏการณ์การเรียนรู้ได้และช่วยคนได้เยอะ มันคือยุคของข้อมูลน่ะครับ คำถามคือ เราจะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ไหม ถ้าเก็บได้เราก็จะเกิดประโยชน์

ถ้าให้ถอดบทเรียนตัวเอง คิดว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้คุณหมอเป็นนักเรียนรู้ ข้ามศาสตร์ข้ามสายไปมา และหยิบเอาเทคโนโลยีไปใช้ในวงการนั้นๆ เสมอ

อย่างแรก – ผมรู้สึกปลอดภัย ผมไม่กังวลที่จะทำ เพราะเราดูแล้วว่าเราน่าจะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ ผมสร้างพื้นที่ปลอดภัยในตัวเองน่ะเลยไม่กังวล สอง – ผมอยากสเกล ผมอยากทำให้มันได้ผล เครื่องมือเดียวที่ผมมีคือเทคโนโลยี เทคโนโลยีถูกออกแบบมาเพื่อสเกล เพื่อให้มันขยายผลได้ นั่นคือความหมายของเทคโนโลยี ไม่งั้นผมก็เป็นแฮนด์คราฟ ผมนั่งทำของกุ๊กกิ๊กๆ แล้วผมได้ถ้วยใบนึง แต่พอเป็นเทคโนโลยี มันสามารถมีร้อย พัน ล้าน ถ้วย (เน้นทีละคำ) ได้ เทคโนโลยีจะเป็นคีย์ให้ผมสเกลได้รวดเร็ว ผมคิดว่าสองอย่างนี้เป็นหลักเป็นเฟรมในการทำงาน

ที่เหลือคือความรู้และมุมมอง เวลาผมจะทำงาน ผมใช้คำว่า ‘ดม’ ผมจะไปนั่งดม ไปนั่ง (แช่เสียง) นั่งโง่ๆ อยู่ทั้งวัน อย่างตอนที่ผมสนใจเรื่องการศึกษา ผมก็ไปนั่งที่ลำปลายมาศพัฒนาทั้งวัน ไปนั่งอยู่นั่น ใครคุยก็คุย ไม่ว่างก็ไม่คุย ใครไปไหนผมก็เดินตามไป พอเราได้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมโดยที่เราไม่มีความรู้หรืออคติอะไรเลย เราจะเห็นอะไรเยอะมาก เราจะสังเกตนู่นนี่นั่น เราจะเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งเหล่านี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้และทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันคือวิธีการทำงานอย่างหนึ่ง บางทีเวลาเจอโจทย์ยากๆ ผมก็เดินเข้าไปในโรงเรียน ไปมอง ไปดู ไปเห็น ไม่กี่ชั่วโมงก็เริ่มเห็นแล้ว เมื่อเกิดสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งนี้ เด็กทะเลาะกัน ดูปฏิกิริยาของเด็ก เขาจัดการกันยังไง ครูเข้ามายังไง ครูเข้ามาแล้วมีท่าทียังไง ประเด็นคือเราขาดคนนั่งสังเกตและนั่งเฝ้าดูจักรวาลก่อนมีคำตอบ แต่เรามักจะมีคำตอบจากประสบการณ์เสมอ แล้วพอเราเห็นสิ่งเหล่า เราก็ตามไปหาความรู้มายืนยันว่าปรากฎการณ์นี้อธิบายด้วยความรู้ยังไง ความสนุกคือเราต้องท้าทายความรู้นั้นด้วยนะ ทำไมเราต้องเชื่อสิ่งที่เขาบอก เราบอกอีกแบบได้หรือเปล่า นี่เป็นวิธีที่ผมใช้ทำงานมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทำโรงเรียน ทำระบบโรงพยาบาล ทำเรื่องข้าว ก็จะใช้กรอบแบบนี้ในการทำงาน

อะไรคือนวัตกรรมการศึกษาของยุคนี้

การเรียนรู้นอกระบบ โควิดทำให้อนาคตวิ่งเข้ามาหาเราเร็วมากขึ้น ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะไม่ต้องการการศึกษาในระบบ ไม่ใช่เพราะมันไม่ดี แต่เป็นเพราะมันไม่ตอบโจทย์อนาคตเราได้ เราแทบต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ของคนทำงาน สมัยก่อนเราบอกว่าคุณต้องเก่งอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ชีวิตหลังโควิดคือ จากเดิมที่คุณเป็นกัปตันเครื่องบินแต่ตอนนี้คุณอาจต้องทำหมูกรอบทอดด้วย แล้วถ้าทำแล้วคุณต้องทำให้ดีด้วย เพราะว่าก็จะมีคนทำหมูกรอบทอดไร้น้ำมันเต็มไปหมด งั้นผมคิดว่าคนที่ต้องการในอนาคตคือคนที่ adapt กับ adopt ได้ ซึ่งคนที่จะ adapt และ adopt ได้คือคนที่มาจาก informal learning เท่านั้น แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ คนที่จะเห็น คนที่จะมอง คนที่หาโอกาสเจอ คือคนที่จะนิ่งๆ และเฝ้ามอง ช่างสังเกต ต้องมี curiosity หรือความอยากรู้ ซึ่งอันนี้เป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้เราไปต่อได้ แต่ถ้าทุกคนอยากทำแล้วแค่นั่งเปิดยูทูป ซึ่งเป็นการเปิดยูทูปที่คนดูล้านคน นั่นแปลว่าจะมีอีกล้านคนที่จะทำวิธีนี้ แล้วไม่มีทางเป็นนวัตกรรมได้ ก็เป็นเรื่องที่สนุกนะครับ ชีวิตหลังจากนี้ซึ่งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 

Tags:

21st Century skillsGeneration of Innovatorนพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์Learning Analyticระบบการศึกษา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

จิตติมา หลักบุญ

ช่างภาพที่ชอบถ่ายภาพทุก category ชอบทำกับข้าวและรักปลาร้าเป็นชีวิตจิตใจ

Related Posts

  • 21st Century skills
    Generation of Innovators : กล้าที่จะสร้างนวัตกรรม ทักษะคนรุ่นใหม่ในยุค Disruption

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    Learning Analytic: วิธีวาร์ปไปแก้ปัญหาการศึกษาด้วยเทคโนโลยี

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (1)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Modern Family: ความโมเดิร์นที่หมายถึง ‘ยอมรับความเปลี่ยนแปลง’ ว่ามันจะเกิดขึ้นเสมอ เกิดขึ้นตลอดไป
Dear ParentsMovie
11 December 2020

Modern Family: ความโมเดิร์นที่หมายถึง ‘ยอมรับความเปลี่ยนแปลง’ ว่ามันจะเกิดขึ้นเสมอ เกิดขึ้นตลอดไป

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • “เราคิดว่าถ้าย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซีรีส์เรื่องนี้มันคงโมเดิร์นจริงๆ สิ่งที่ทำให้เราสนใจในซีรีส์ก็คือความทันสมัยในเรื่องต่างๆ ของครอบครัวนี่แหละ สมาชิกในครอบครัวบางคนอาจจะมีความอนุรักษ์นิยมอยู่ในตัวบ้างก็จริง แต่เค้าก็พยายามเปิดใจรับกับสิ่งอื่นๆ ที่มันเกิดขึ้นมาในครอบครัว ไม่ได้ปิดกั้นแนวคิดใหม่ หรืออะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามภาพจำเดิมๆ เช่น การแต่งงานใหม่ในวัย 60 หรือ การมีครอบครัวแบบที่ไม่จำเป็นต้องเป็นประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก และลูกก็ไม่ได้จำเป็นจะต้องสืบทอดกันด้วยสายเลือดด้วยซ้ำ”
  • “เราไม่ได้เติบโตมากับครอบครัวใหญ่และไม่เคยได้รับการถูกปลูกฝังให้พูดคุยอารมณ์ความรู้สึกของกันและกันกับครอบครัว ส่วนใหญ่เวลาเราแสดงออกอารมณ์ออกไปจะถูกแม่บอกให้เงียบ แม่ จะถามว่าทำไมเราถึงขี้แง พูดแค่นี้ทำไมต้องร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ เหมือนแค่อยากต่อว่าและให้เราหยุดร้องซะที ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นเราก็ไม่เคยหาคำตอบว่าทำไม เอาแต่คิดว่าเราไม่ดีที่เป็นแบบนี้เพราะแม่ว่าเรา แม่ไม่ชอบให้เราเป็นแบบนี้ จนมาถึงตอนนี้ที่เราโตขึ้น เพื่อนๆ ไม่ได้มาตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงร้องไห้ง่าย ไม่ได้มาบอกให้เราหยุดร้องไห้ การที่เราร้องไห้ง่ายกว่าคนอื่น มันไม่ได้ทำให้เราแย่กว่าคนอื่น”

Tags:

การไม่ถูกชื่นชมการฟังและตั้งคำถามซีรีส์พิมพ์พาพ์LGBTQ+

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.2 การชื่นชมเด็ก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Grace and Frankie: หย่าร้างในวัย 70 การมูฟออนที่ทำให้พบตัวเองอีกครั้งในเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิม

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    Queer eye: รายการที่บอกให้เห็นคุณค่าตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่มี และเราสมควรได้รับความรักเช่นกัน

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Never Have I Ever แม้ไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของแม่ แต่ยังอยากได้ยิน ‘แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ’

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel