Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: September 2020

‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
Early childhood
30 September 2020

‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • ตามหลักมนุษย์ปรัชญา ทุกอุปนิสัยของมนุษย์ประกอบขึ้นจาก ‘ธาตุ’ หรือ ‘element’ ในธรรมชาติ ได้แก่ ดิน (earth) น้ำ (water) ลม (air) และ ไฟ (fire) แต่ละธาตุสื่อสารถึงอุปนิสัยต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์
  • ในโลกอนุบาลตอนที่ 3 ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท ชวนรู้จัก ‘ธาตุ’ ในวัยเด็กอนุบาล เพื่อทำให้ผู้ปกครอง หรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเด็กเข้าใจเรื่องดังกล่าว ช่วยให้พวกเขาสามารถคิดวิธีสร้างสมดุลและพัฒนาเด็กในด้านต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความไม่เหมือนกันที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กแต่ละคน
  • “บางครั้งเราจะด่วนบอกว่า ‘ไม่ได้หรอก ให้ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องจัดการดัดนิสัยเขา’ ตัดไฟแต่ต้นลม มีคำพูดแนวนี้เยอะ เราเชื่อมั่นแน่นอนว่าเด็กจะเป็นอย่างนี้จนโต ถ้าเราเปิดกว้างสักนิด ลองมองก่อนว่า นี่คือลักษณะดิน น้ำ ลม ไฟ เข้าใจสภาวะที่เขาเป็นตอนนี้ก่อน”

The Potential Podcast รายการ ‘ในโลกอนุบาล’ รายการที่จะชวนคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง แม่ครู และครูที่ต้องทำงานกับเด็กวัยอนุบาลทุกคน พูดคุยกันว่า ธรรมชาติของวัยนี้ต้องการอะไรบ้าง 

โดยใน 4 เทปแรก เราเชิญ ‘ครูอุ้ย’ อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวอลดอร์ฟ ผู้อำนวยการอนุบาลบ้านรัก ผู้เป็นแม่ครู และคุณครูของครูอนุบาลของใครอีกหลายท่าน มาคุยกันว่า ในการจัดการศึกษาแนวมานุษยปรัชญา จัดการเรียนรู้ให้เด็กๆ วัยอนุบาลอย่างไร 

โดยในซีรีส์นี้วางแผนไว้ว่าจะพูดถึงหัวใจ 4 เรื่องหลัก นั่นคือ 

  1. ธรรมชาติวัยอนุบาล 
  2. หลัก 3R (Rhythm จังหวะ, Repetition การทำซ้ำ และ Reverence การเคารพ) ในการดูแลเด็กช่วงอนุบาล
  3. ธาตุของเด็กที่แตกต่าง เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
  4. 4 senses อุปกรณ์ในการเรียนรู้โลกของวัยอนุบาล 

สำหรับเทปที่สาม ซึ่งเรียบเรียงภาษาให้เหมาะแก่การอ่านชิ้นนี้ ว่าด้วยเรื่อง “ธาตุของเด็กที่แตกต่าง” จะเป็นอย่างไร เชิญอ่านกันได้เลย 🙂 

รับฟังเป็นเสียง คลิก: ในโลกอนุบาล ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

คุยเรื่องธาตุของเด็ก เริ่มต้นจากอะไรดี 

ธาตุตามธรรมชาติ ที่เราเคยรู้ๆ กันก็จะมี ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปที่ไหนๆ จะมีคำพูดเกี่ยวกับเรื่องธาตุต่างๆ ประกอบกันในโลกนี้ เราเองก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ โลกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา ดูแล้วอธิบายไม่ได้ยากเลย แต่พอมามองดูเด็ก อาจจะรู้สึกไม่ค่อยคุ้นว่าเด็กแต่ละคนที่พูดถึงตามธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เราจะมองเห็นสิ่งนี้ในตัวเด็กยังไง เพราะจริงๆ ในเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งปฐมวัย ธาตุเขาก็ไม่ได้เด่นชัด แต่เสมือนว่าธาตุทั้งสี่จะรวมอยู่ในตัวเด็กทุกคน แต่พอเป็นผู้ใหญ่สิ ชัดกว่า เช่น “หูย โมโหอย่างกับไฟแหนะ” “โอ้ คนนี้ไปไหนก็เข้ากับคนได้เหมือนน้ำเลยนะ” อันนี้คือผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็ก เขาจะรวมๆ วันนี้ลูกฉันเป็นไฟ พรุ่งนี้จะเป็นลม มะรืนนี้เป็นน้ำ 

ตรงนี้อยากให้คนเลี้ยงเด็ก ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่หรือแม่ครูที่ดูแลเด็กๆ แค่รับรู้ว่าทุกๆ คนในโลกนี้มีสี่ธาตุที่เราควรจะสังเกต โดยเฉพาะเด็ก ขอให้สังเกตแค่สภาวะตามธาตุของเขาว่า อ๋อ… สภาวะตรงนี้คืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ อย่าเพิ่งสรุป การเรียนรู้ธาตุ เรียนรู้เพื่อให้เราอย่าเพิ่งสรุป เพราะว่าถ้าเราสรุปแล้ว เราอาจมองว่าเด็กคนนั้นจะต้องเป็นธาตุนี้ตลอดไปหรือเปล่า ให้แค่มองพื้นๆ ว่า เขาอาจจะมีธาตุนั้นอยู่ 

งั้นเรามาเริ่มกันทีละธาตุนะคะ ธาตุไฟค่ะ 

ธาตุที่เห็นชัดที่สุดคือ ธาตุไฟ เอาลักษณะของไฟก่อนแล้วกัน เราอย่าเพิ่งมองว่าเป็นเด็กอายุเท่าไหร่ อย่าเพิ่งไปแตะที่ตรงนั้น มองว่าการเป็นสภาวะของธาตุไฟเขามีลักษณะยังไง

เวลาเรามองไฟลุกโชน เรามองดูลักษณะของคนๆ นั้น เขาก็โชนจริงๆ “พรึ่บ” ขึ้นมา คนๆ นี้อาจจะเป็นคนริเริ่มอะไรง่าย บางครั้งเราต้องการไอเดียดีๆ คนที่เป็นไฟเขาจะช่วยเราได้ แต่เขาอาจช่วยเราไม่ได้ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ต้องการประนีประนอม เขาอาจไม่ประนีประนอม เพราะความเป็นไฟของเขามันลุกพรึ่บ ไฟเป็นเปลวพุ่ง (ทำท่าประกอบ) ก็จะมีลักษณะให้เห็นเลยว่า อืม… บอกไม่ถูกว่าจะใช้คำว่าขี้โมโหได้ไหม แต่บอกได้ว่าอะไรก็ตาม ถ้ามาจุดกระตุ้นปั๊บ เขาจะแรง ตัวเขาเองและคนที่อยู่รอบข้างอาจพลอยไม่ดีไปด้วย แต่โดยรวมไฟเป็นผู้ริเริ่ม ไฟดีที่ไม่ขี้โมโหก็เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ถูกไหม 

การเป็นธาตุไฟก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีเสมอไป 

อาจมีทั้งสองอย่าง และเราต้องการคนแบบนี้ในบางเรื่อง เพราะเขาเป็นต้วกระตุ้นที่ดี “ทำเลยสิ! ทำเลย ฉันว่าตอนนี้ต้องทำเลยนะ” อันนี้คือธาตุไฟ ซึ่งเขาก็ริเริ่มทำได้ด้วย แต่เขาอาจทำแล้วให้คนอื่นทำต่อ นี่คือคนธาตุไฟ

ทีนี้พอเรามองเด็ก หรือตอนเราเป็นเด็กเราก็จะมีเพื่อนแบบนี้ หรือเราเป็นซะเอง (หัวเราะ) เวลาไปที่ทำงานเราก็จะต้องอาศัยเพื่อนร่วมงานที่เป็นแบบนี้ เป็นคนริเริ่มแต่ทำแปปๆ ก็จะ… “อ้าว ไปซะละ” ทิ้งงานให้คนอื่นทำซะแล้ว แต่ให้เข้าใจว่าลักษณะแบบนี้เขาเรียกว่า ไฟ ลักษณะของคนที่มีธาตุไฟ 

ธาตุน้ำ 

ถ้ามีธาตุไฟ ธาตุที่ช่วยกันได้ก็คือ ธาตุน้ำ ธาตุนี้ไปไหนก็ไปได้ เขาจะเข้าได้ไปหมด กินที่ไหนก็กินได้ นอนที่ไหนก็นอนได้ เป็นคนที่ไม่ว่าอะไร “ยังไงก็ได้” แต่ความ “ยังไงก็ได้” ของเขา ข้างในน่ะเป็นน้ำนะ คือซึมไปได้ทุกที่ น้ำตรงไหนเสียก็เอาน้ำดีไปเจือได้หมด แต่การจะทำอะไรให้แข็งแรงขึ้นมาหรือทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จก็จะยากหน่อย ถ้าองค์กรไหนมีน้ำเยอะ แล้วใครจะเป็นคนริเริ่มล่ะ? แต่ถ้าเป็นเด็กในห้องเรียน เด็กที่มีธาตุน้ำเยอะ ครูก็สบายหน่อย 

การช่วยเด็กที่มีธาตุน้ำให้เขาประสบความสำเร็จ ก็ต้องช่วยกระตุ้นเขาให้เดินงาน เพราะว่าเขา “ยังไงก็ได้” ไง ได้หมด ก็ดีนะ แต่ถ้าคุณครูรู้เอาไว้ว่าเขามีส่วนความเป็นธาตุน้ำเยอะ งานของเขามันจะใช้เวลา หรือเขาอาจจะ “พอใจเท่านี้” เนื่องจากเขา “ยังไงก็ได้”  เราต้องช่วยเขาให้มันสำเร็จ ซึ่งบางคนก็ได้รับการช่วยเหลือไม่เหมือนกันหรอก เพราะแต่ละคนโดยพื้นฐานที่เป็นธาตุน้ำแล้ว ก็ยังมีเหตุและปัจจัยในแต่ละบุคคลอีก 

ธาตุลม 

เรามองเห็นอะไรบ้างที่อยู่ในอากาศ อยู่ในลมซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต? ก็คืออะไรที่บินได้ใช่ไหม ครูบาอาจารย์ของเราก็จะบอกว่า ลองสังเกตดูสิว่าเขาเหมือนผีเสื้อนะ คือเขาจะบินไปรอบๆ ดอกไม้ บินทีอะไรก็สวยหมด แต่เขาก็จะบินไปดอกนั้นดอกนี้น่ะสิ บินไปก็เกาะตุ๊บ ไปอีกที่นึงก็เกาะตุ๊บ เท่ากับว่าลักษณะของเด็กที่เป็นธาตุลมเขาก็ไปทั่ว บินไปได้ทั่ว สิ่งที่ดีคือเขาจะสร้างความเบิกบานให้กับกลุ่มนั้น องค์กรนั้น หรือว่าห้องเรียนนั้น เขาจะบินไปสร้างความรื่นรมย์ไป ชีวิตนี้ก็มีความสุขสนุกไปหมด

เปรียบเด็กเวลาอยู่ในห้อง เขาก็จะไปทำความรู้จักกับเพื่อนคนนู้นคนนี้?

เขาเรียกว่า “เจ๊าะแจ๊ะ” ไหม? (ยิ้ม) ถ้าองค์กรไหนมีเพื่อนร่วมงานแบบนี้ สังเกตเลยว่าถ้าคนนี้เดินเข้ามานะ เสียงหัวเราะจะมาเลย แต่ถ้าถามว่าจะให้ริเริ่มอะไรหรือทำงานให้สำเร็จ คนอื่นก็ต้องช่วยเขาหน่อย โอ๊ย… นั่งสักที บินจังเลย แต่เราพูดไม่ได้ไง แต่สังเกตได้ว่าถ้าคนนี้มาแล้วจะเป็นแบบนี้ นี่เป็นลักษณะของลม 

ทีนี้ถ้าเรามองดูในเด็ก เด็กทั่วไป เด็กเล็กๆ เขาก็บินอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เด็กๆ ก็ไปทั่วเหมือนกัน ยิ้มหวานให้คนนั้นคนนี้ไปทั่ว อย่างนั้นเราจะบอกได้ยังไงว่าเด็กคนนี้เป็นธาตุลม? ก็ยังบอกไม่ได้ไง ถึงได้บอกว่าอย่างเพิ่งสรุป แต่ให้มองดูลักษณะความรื่นรมย์ ดีซะอีกนะที่เขาจะรื่นเริงและเบิกบาน แต่ถ้าเด็กคนไหนมาอนุบาลแล้วซึม โมโห อันนี้เราก็หนักใจหน่อย ต้องช่วยเขาเยอะหน่อย แต่เด็กที่สบายๆ แบบนี้เราก็รู้สึกว่าดีจังเลย ยินดีกับพ่อแม่เขาด้วยที่ลูกเขาเป็นเด็กที่เบิกบาน อันนี้คือลักษณะของลม 

ธาตุดิน 

สุดท้าย ธาตุดิน เราลองดูมวลของดินเป็นไงคะ? แน่น ถ้าลองจับดินจะรู้สึกว่าแน่น ดินอยู่กับพื้น หนักแน่น เขาอยู่กับที่ ส่วนที่ดีก็คือว่า “ฝากของไว้หน่อยนะลูก” ไม่หายไปไหน แต่ถ้าฝากของกับน้องที่เป็นลมล่ะ? ไม่รู้ไปไหนแล้ว หาไม่เจอ เขาอาจจะไปทักทายคนอื่นในขณะที่ของยังอยู่ แต่ถ้าฝากของกับเด็กที่เป็นดิน เขาจะยังนั่งอยู่กับของนั้น เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไร เขานั่งได้ อยู่ได้ ที่ดีส่วนหนึ่งคือเขาจะทำงานเรื่อยๆ ซ้ำๆ แล้วก็อยู่กับที่ เป็นคนที่เรากลับมากี่ครั้งเขาก็ยังอยู่ ณ ที่ตรงนั้น 

ถามว่าจะมีความสุขหรือทุกข์หรือเปล่า? เราก็บอกไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งที่เราเห็นชัดเลยคือนิ่งและแน่น อันนี้เป็นเรื่องดี บางครั้งเราต้องการคนแบบนี้ในองค์กร หรือเพื่อนสักคนที่เราต้องการใครที่อยู่กับที่ ไม่วิ่งวุ่นวายหวือหวาไปมามาก หันกลับมาทีไรก็ยังเจออยู่ เราก็อุ่นใจ สบายใจอะเนอะ 

แต่เราก็ต้องช่วยเขามากหน่อย ให้เขาเคลื่อนไหวขึ้นอีกนิดนึง หรือบางทีเขาอาจจะชอบใจละ ฉันจะอยู่กับที่ ฉันไม่เดือดร้อนอะไร ทำไมเธอจะมาเดือดร้อนแทนฉันล่ะ? แต่ว่าชีวิตคนเรามันก็อยู่กับที่ไม่ได้เนอะ ก็ต้องช่วยคนเหล่านี้ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง 

ฉะนั้นรู้ไว้ว่า ไม่ต้องสรุปว่าอะไรดีหรือไม่ดี แค่รู้ตามสภาวะของธาตุที่แท้จริง ถ้าเรารู้แล้วไม่ต้องสรุป ให้รู้เป็นสภาวะไปว่านี่เป็นสภาวะตามธรรมชาติ ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ 

เราเข้าใจเรื่องธาตุไปทำไม 

เอามาประกอบเข้ากับการมองเด็กเพื่อทำให้เราเข้าใจเด็ก แค่เข้าใจแต่ไม่ต้องไปตัดสินเขานะ เพราะเราเรียนรู้เรื่องนี้เพื่อที่จะไม่ต้องสรุป ณ ตอนนี้ เด็กยังเปลี่ยนแปลงได้ เด็กยังโตได้ เช่น มองที่ดินนะ ดินที่แข็งแน่นเมื่อเจอน้ำ ต้นไม้ก็โตได้ เดินอันนี้เปลี่ยนแปลงแล้ว น้ำถ้าเจอลมก็กระเพื่อม ฉะนั้นเขาไม่ได้เป็นน้ำตลอดไป ถ้าลมถ้าเจอไฟ ไฟก็วูบไปวูบมา แค่มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างตามสภาวะนี้ ถ้ามีอะไรที่เข้าหากันแล้วเปลี่ยนแปลงได้ เด็กคนนึงถ้าให้เราต้องมอง ถ้าให้เราต้องสังเกต 

แต่จะมีอย่างนี้ค่ะ ถ้าเราย้อนกลับไปทำความเข้าใจเรื่องพัฒนาการเด็กแรกเกิดถึง 7 ขวบ เด็กยังอยู่ในวัยที่ต้องพึ่งผู้ใหญ่มาก เหมือนกับอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร ฉะนั้นเขาเติบโตภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นอย่างไรก็จะสะท้อนออกมาเสมือนเป็นอย่างนั้น

เรียกว่าสภาวะหรือว่าธาตุที่เราคุยกัน ส่วนหนึ่งก็มาจากการเลี้ยงดู?

ต้องดูตามอายุด้วยนะ ครูอุ้ยเคยเจอเด็กคนหนึ่ง ต้องบอกว่าเวลาเขามา เขาจะน่ารักมากเลย จ๋าจ้ะมาเลย มาอนุบาลทีเขาจะมีถุงสองถุงซึ่งคืออาหารที่คุณแม่เขาซื้อตามทางก่อนที่จะมาถึงอนุบาลตอนเช้านั่นแหละ มาถึงปั๊บเขาจะไล่แจกทุกคนตั้งแต่หน้าบ้านกระทั่งถึงห้องเขาเลย “ทานไหมๆๆ” ใจดีมากเลย พอมาถึงปุ๊บครูก็เออออว่า “ทานเลยๆ” แล้วเขาก็จะมา “ไม่ทานเหรอๆ อร่อยมากเลยนะ” ยิ้มแย้มแจ่มใสมาก เชื้อเชิญ เป็นเด็กที่อารมณ์ดีมากเลย 

แต่พอมีสักนิดนึง ปิ๊ง! ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ เธอก็อาจจะโมโห อาจจะทุบโต๊ะ เกรี้ยวกราดขึ้นมา ครูก็ “โอ…  ภาพหวานๆ เมื่อกี้ ถ้าเธอไม่พอใจอะไรขึ้นมาสักแปปนึง เธอก็จะเปลี่ยนไปได้เลยนะ” แล้วครูก็จะบอกว่า “อะ ไม่เป็นไร ลุกขึ้นก่อนอย่าเพิ่งทาน ไปดับโมโหตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ถ้ายังหยุดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่อย่าเพิ่งทานนะ” เขาก็จะแบบ (ทำท่ากระฟัดกระเฟียดประกอบ) ออกแอคชั่นทุบนั่นทุบนี่ แต่ไม่ได้อันตรายหรอกนะ แต่โวยวายหน้านิ่วคิ้วขมวดไปสักแปปนึง เราก็ “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวคงหาย” 

พอตอนหลังเฉลย ที่บ้านจะมีลักษณะของคนในบ้านที่เป็นแบบนี้ ถ้าเขาเห็น มันก็ต้องมีบ้างที่เขาคงจะมีอะไรติดค้างอยู่ข้างในแล้วแสดงออกมาเหมือนกับเป็นภาพสะท้อน แต่เขาตอนขยับไปเรียนประถม เราก็ไม่เห็นภาพนั้นแล้วนะ เขาก็ไม่ใช่คนที่เป็นอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนั้น เขาไม่ต้องมาตีอกชกหัวนั่นนี่ เพราะว่ามันไม่ใช่เขา หมายความว่าเราจะสรุปตั้งแต่ตอนเล็กๆ ไม่ได้ว่าเขาเป็นไฟ เอาแค่ที่เห็นคือ เธอก็เป็นน้ำ แต่เธอก็ยังเป็นไฟอยู่ 

ฉะนั้นเมื่อไม่มีข้อสรุปอันนี้ ก็เลยต้องหาสาเหตุ จริงๆ ถ้าเด็กเขายังเติบโตภายใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร เติบโตใต้ร่มเงาของพวกเรา บางครั้งสิ่งที่แสดงออกอาจไม่ใช่ตัวเขา แต่อาจเป็นบางส่วนที่เป็นตัวตนของผู้ใหญ่ก็ได้ เลยอย่าเพิ่งสรุปว่านั่นคือตัวเขา ให้แค่เข้าใจเขาว่า อะ… ตอนนี้เธอเป็นไฟ เดี๋ยวมานั่งตากพัดลมก่อนนะ ให้ลมพัดก่อน หายเหงื่อออกแล้วค่อยไปเล่น ไม่เห็นเป็นอะไร

ซึ่งบางครั้งเราจะเผลอตัดสินเนอะ และก็คิดว่าต้องตัดไฟแต่ต้นลม 

ก็เป็นอะไรที่แม่ครูอนุบาลทั้งหลายต้องทำความเข้าใจกับเด็กๆ อย่าเพิ่งคิดว่านี่เป็นนิสัยของลูก บางครั้งเราจะด่วนบอกว่า “ไม่ได้หรอก ให้เขาทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอก เราจะต้องจัดการ จะต้องดัดนิสัยเขา” ต้องตัดไฟแต่ต้นลม โห… มีคำพูดแนวนี้เยอะเลยว่า เราเชื่อมั่นแน่นอนเลยว่าเขาจะเป็นอย่างนี้จนโต ซึ่งถ้าเราเปิดกว้างสักนิด แล้วลองมองก่อนว่า อันนี้คือลักษณะดิน น้ำ ลม ไฟ ทำความเข้าใจกับสภาวะที่เขาเป็นตอนนี้ก่อน แล้วลองดูผู้ใหญ่รอบๆ ว่าจริงๆ แล้วตัวเขาได้อะไรมา แล้วสิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวเขาจริงๆ มันจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นชัดเจน อย่างน้อยถ้าเราเห็นได้ชัด คือประมาณวัยประถมขึ้นไป ลักษณะแบบนี้ก็จะชัดขึ้นๆ 

แล้วก็ถ้าเกิดเรารู้ชัดแล้วว่าเด็กเป็นน้ำ ดิน ลม ไฟ เป็นอะไรได้แล้ว แต่ยังไงคนเราก็ต้องโตต่อไป ถูกไหม? อย่างน้อยคนเราต้องโตแล้วผ่านวัยรุ่น ยิ่งพอเจอช่วงวัยรุ่นแล้ว จะบอกได้เลยว่าอารมณ์คุณเธอจะหวือหวามาก พวกเราก็ผ่านอะไรแบบนั้นมาแล้ว ฉะนั้นการเป็นวัยรุ่น ถ้ามองประกอบกับการรู้เรื่องสภาวะตามธาตุ จะทำให้เราเข้าใจเด็กในวัยรุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะคุณครูประถม ครูประถมจะมีกิจกรรม มีเกมอะไรเยอะแยะเลยที่น่ารักๆ 

กิจกรรมที่ว่า เช่นอะไรคะ 

ย้อนกลับไปที่วัยประถมใหม่ ถ้าเด็กนั่งใกล้กัน ไฟกับไฟ จะเกิดอะไรขึ้น ไหม้! คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนี้ว่าอย่างนั้น ถ้าเป็นเพื่อนๆ นะ ก็รำคาญกันอะ แต่ครูก็จะจับให้สองคนนี้นั่งใกล้กัน ถ้าเธอเป็นอย่างนี้แล้วเพื่อนเธอเป็นอย่างนี้เหมือนเธอ เขาจะรู้ว่า “โอ๊ย!” (ทำเสียงแบบหงุดหงิด รำคาญ) “ไม่ชอบ! รำคาญ!” แต่ครูก็จะแอบยิ้มนิดหน่อยว่า คิดใจใจ นั่นล่ะ เธอก็หัดดูตัวเองนะ แต่จะไม่พูดไปนะ ให้เขาเรียนรู้ว่า นี่ไง ถ้าเธอมีลักษณะเหมือนไฟแล้วนั่งกับคนที่เป็นไฟด้วยกัน อีกหน่อยก็จะเบื่อกันไปเอง จะรู้ตัวเอง แล้วก็จะลดลง เพราะฉะนั้นเขาก็จะจัดให้คนคล้ายๆ กันอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อที่จะมองกันและกัน อาจมีอะไรที่กระตุ้นตัวเองขึ้นมาว่า “ไม่ชอบเลยแบบนี้” ถ้าไม่ชอบแล้วยังไงล่ะ ก็ต้องเปลี่ยน

ทีนี้เราจะมาบอกให้ใครเปลี่ยนใครนี่เป็นเรื่องยาก นอกจากการเรียนรู้ในตัวของบุคคลคนนั้นจะทำให้ตัวเองเปลี่ยน แต่ครูช่วยเหลือจัดสิ่งแวดล้อมข้างนอก ช่วยเหลือเรื่องการทำความเข้าใจระหว่างทีมครูด้วยกัน แล้วก็คุณพ่อคุณแม่ที่บ้านว่าจะช่วยเด็กคนนี้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นการช่วยเหลือของคนที่อยู่รอบๆ แล้วก็ทำการศึกษาเด็กคนนี้ด้วยกัน

เรียกว่าเราเข้าใจเรื่องธาตุ เพื่อช่วยสนับสนุนการเรียนรู้เขาได้ 

ได้สิ เพราะว่าจริงๆ เป้าหมายของเด็กคือการเรียนรู้ เด็กในอายุของเขา เขาต้องเรียนรู้โลก แต่ด้วยสภาวะของเขามันอาจจะมีอุปสรรคบ้าง ถ้าแม่ครูอนุบาลรู้แล้วว่าสภาวะตอนนี้เราต้องช่วยแก้ไข จริงๆ แล้วเด็กคนนี้เป็นเด็กที่เย็นนะ แต่เวลาเขาโมโหร้ายเราจะช่วยเขายังไง เพราะบางทีเขาอาจจะเปลี่ยนแปลง อาจจะไม่ใช่ตัวเขาจริงๆ เพราะเขาเป็นน้ำเย็น เป็นอะไรที่น่ารักจะตายไป เราก็ต้องช่วยเขาก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนั้น ไม่อย่างงั้นเขาก็ไปต่อไม่ได้ ถ้าเรามองสิ่งนี้แล้วทำความเข้าใจเด็ก เราก็ช่วยเขาได้ เขาอาจจะติดเรื่อง “โอ๊ย..งานไม่เสร็จอ่า มันเขียนไม่เป็น” นึกออกไหม “ก็พอใจแค่นี้อะ” พวกนี้น้ำเยอะ (หัวเราะ) แล้วผู้ใหญ่จะช่วยยังไงล่ะ เราก็มาดูว่า หนูต้องการอะไรอีกลูก ไหนดูซิ มาช่วยกัน มาดูว่าอะไรคืออุปสรรคที่เราจะต้องพาเขาก้าวข้ามผ่าน ถ้าเรามัวแต่ต่อว่าเขา ชี้ปัญหาให้เขา แล้วเขาจะเข้าใจตัวเองได้ยังไง 

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยอภิสิรี จรัลชวนะเพทการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ในโลกอนุบาล

Author:

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning TheoryEarly childhood
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ: คุณภาพการศึกษาที่คนศรีสะเกษออกแบบเอง
Education trend
30 September 2020

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ: คุณภาพการศึกษาที่คนศรีสะเกษออกแบบเอง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • TEP FORUM SISAKET งานสัมนาวิชาการระดับจังหวัด ที่คนในแวดวงการศึกษาและภาคีเครือข่ายการเรียนรู้ในจังหวัด ตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากการปฏิบัติการทั้งในส่วนนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนนำร่อง และการจัดการเรียนรู้แนวทางการจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ และอื่นๆ ที่จะเชื่อมโยงกับโรงเรียนในการจัดการเรียนรู้
  • โรงเรียนนำร่อง 118 แห่งที่เป็นแกนนำในการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอน การปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้เป็นการจัดการเรียนรู้เชิงลึก (Active Learning ) ผ่าน 7 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ที่มีผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรม (Mentor) เป็นผู้ออกแบบวางแผนพัฒนาและติดตามให้คำปรึกษา (Coach) ในระดับโรงเรียนและห้องเรียน โดยแต่ละโรงเรียนจะเลือกนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ตรงกับบริบทของตนเอง

“ประเทศไทยจะไม่สามารถขับเคลื่อนอย่างเต็มศักยภาพได้ หากเราไม่ต่อยอด พัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย ผมเห็นความหวังในวันนี้ ถึงแม้จะเป็นช่วง 1-2 ปีที่เราได้ทำงานในพื้นที่นวัตกรรม แต่เป็น 1-2 ปี ที่เป็นประโยชน์ในการวางรากฐานให้กระทรวงศึกษาธิการ (…)

“เราต้องเอาโอกาสเหล่านี้ หรือเรื่องต่างๆ ที่อยู่ใน พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษามาผลักดันแล้วใช้ให้เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำในกระทรวงศึกษาธิการ ต้องปลดล็อกกฏระเบียบต่างๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถขับเคลื่อนการศึกษาได้(ให้)เป็นอิสรภาพตามระบบพื้นที่ของจังหวัดของโรงเรียนนั้นๆ หากเราทำอย่างนั้นได้ เรามีผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีความเข้าใจในการที่เราอยากขับเคลื่อนในบริบทของโรงเรียนเราเอง มีคุณครูที่มีความเข้าใจและพร้อมจะปรับเปลี่ยนการพัฒนาตัวเองให้ทันกับศตวรรษที่ 21 มีนักเรียนที่มีความตื่นตัวในการเตรียมความพร้อม เป็นนักเรียนที่พร้อมเปิดรับในสิ่งที่เหมาะสมกับการเดินไปข้างหน้า ผมรับรองเลยครับว่า ถ้าเรากล้าปลดล็อก กล้าเดินไปในสิ่งที่เราอาจไม่คุ้นเคย โดยมีความตั้งใจที่ดีเหมือนจังหวัดศรีสะเกษที่กำลังทำอยู่ในพื้นที่นวัตกรรม ผมรับรองว่าประเทศไทยจะสามารถพัฒนาการศึกษาให้เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศได้”

ณัฏ​ฐ​พล​ ที​ป​สุวรรณ

คือคำกล่าวของณัฏ​ฐ​พล​ ที​ป​สุวรรณ​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ บนเวที “TEP FORUM SISAKET: พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยพลังคนศรีสะเกษ” เมื่อวันที่ 25 กันยายน​ 2563 ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ 

TEP FORUM SISAKET คืองานสัมนาวิชาการระดับจังหวัด ที่คนในแวดวงการศึกษา และภาคีเครือข่ายการเรียนรู้ในจังหวัด ตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากการปฏิบัติการทั้งในส่วนนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนนำร่อง และการจัดการเรียนรู้แนวทางการจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ และอื่นๆ ที่จะเชื่อมโยงกับโรงเรียนในการจัดการเรียนรู้ได้ จากการเปิดพื้นที่นำร่อง กระจายอำนาจและให้อิสระแก่หน่วยงานทางการศึกษาและสถานศึกษานำร่องปฏิรูปการศึกษาที่คนในพื้นที่เป็นผู้ออกแบบเอง จากการขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาในโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา*

จังหวัดศรีสะเกษ เป็น 1 ใน 8 จังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เริ่มจากกลุ่มคนมีใจภาคการศึกษา ภาคเอกชน ภาคสังคม องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ผู้บริหารโรงเรียนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเห็นพ้องต้องกันว่า การจัดการศึกษาของประเทศและของจังหวัดศรีสะเกษถึงเวลา “ต้องเปลี่ยน” และได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานโดยมีหมุดหมายสำคัญ เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียน พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้คนศรีสะเกษได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายการจัดการศึกษาจังหวัดมาเป็นเวลากว่า 2 ปี

โดยงาน TEP FORUM SISAKET จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน คือ 25-26 กันยายน ที่ผ่านมานั้น เป็นความร่วมมือของจังหวัดศรีสะเกษ และภาคีในพื้นที่ ประกอบ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หอการค้าศรีสะเกษ และองค์กรภาคีภายนอก อาทิ มูลนิธิสยามกัมมาจล สถาบันอาศรมศิลป์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และภาคีการศึกษาไทย (TEP)

ในส่วนของผู้เข้าร่วมเรียนรู้นั้น ประกอบด้วย ผู้บริหารและครูจากโรงเรียนนำร่อง จำนวน 118 โรงเรียน ภาคีการเรียนรู้ในจังหวัด นักศึกษาคณะคุรุศาสตร์ สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ แล้ว ยังได้เชิญ ภาคีการเรียนรู้ร่วมเรียนรู้สำหรับกลุ่มเป้าหมายมูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) รวมทั้งผู้แทนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล และจังหวัดระยอง มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อีกด้วย

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ ที่เคลื่อนโดย ‘ฐานทุน’ คืออะไร? 

เสนีย์ เรืองฤทธิ์ราวี

เสนีย์ เรืองฤทธิ์ราวี ผู้อำนวยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 อธิบายว่า ก่อนที่จะเริ่มออกแบบการปฏิรูปการศึกษา ทีมงานได้ทำประชาพิจารณ์จากคนในพื้นที่หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมในพื้นที่ว่าต้องการเห็นคนศรีสะเกษมีคุณลักษณะอย่างไร มีทักษะและมีอาชีพแบบไหน และจังหวัดมีฐานทุนอะไรที่เกื้อหนุนหรือเป็นโอกาสให้คนได้เรียนรู้ ต่อยอดพัฒนาตัวเอง และพัฒนาจังหวัดได้ ซึ่งในที่สุดก็ได้นำข้อมูลมาร่วมกันจัดทำเป็นกรอบหลักสูตรการศึกษาของจังหวัดศรีสะเกษ ในชื่อ SISAKET ASTECS มาจากตัวย่อคือ 

  • ORGANIC AGRICULTURE เกษตรอินทรีย์ก้าวหน้า
  • WORLD CLASS SPORT กีฬาก้าวไกล
  • CREATIVE TOURISM ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์
  • INNOVATIVE ENTREPRENEUR นวัตกรประกอบการ
  • CULTURE DIVERSITY ร่ำรวยวัฒนธรรม
  • SISAKET SPIRIT จิตวิญญาณศรีสะเกษ

โดยทุกตัวย่ออักษรภาษาอังกฤษ คือ เป็นคุณลักษณะ และทักษะอาชีพของคนศรีสะเกษ ซึ่งมาจากฐานทุน และศักยภาพของจังหวัด ซึ่งจะเป็นเสมือนตัวกำกับทิศทางในการพัฒนาคนศรีสะเกษเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งกรอบหลักสูตรนี้ทางจังหวัดจะได้ประกาศให้โรงเรียนนำไปประกอบการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ เชื่อมลงไปสู่การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมี ทักษะ ความรู้ เจตคติ และสมรรถนะ ให้กับนักเรียนในโรงเรียน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป

“ตอนที่สอบถามความเห็น ปรากฎว่าหลายฝ่ายบอกว่านักเรียนเรามีคุณลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ฝ่ายธุรกิจหรือกลุ่มคนทำงานต้องการ ถ้าอย่างนั้นเขาต้องการคนแบบไหน? เราก็เก็บข้อมูล ทำงานเชิงวิจัย สัมภาษณ์ความคิดเห็น ทำโฟกัสกรุ๊ปกลุ่ม แล้วพิจารณาจากฐานทุนที่ศรีสะเกษมี เรามีเรื่องเกษตรกรรม เราถูกประกาศให้เป็นสปอร์ตซิตี้ หรือฐานทุนทางวัฒนธรรมจังหวัดซึ่งเรามีคน 4 เผ่า คือส่วย ลาว เขมร เยอ เรามีการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงเกษตรกรรม จากฐานทุนทั้ง 5 อย่าง ก็นำมากำหนดเป็นทิศทางเมืองศรีสะเกษและกำหนดเป็นสมรรถนะที่คนศรีสะเกษควรมี แต่จะทำยังไงให้ไปถึงตรงนั้น นั่นก็คือ การสร้างกรอบหลักสูตร” 

7 นวัตกรรมจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนนำร่อง

ในโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษามีโรงเรียนนำร่องจำนวน 118 แห่ง ที่เป็นแกนนำในการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอน โดยการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้เป็นการจัดการเรียนรู้เชิงลึก (Active Learning ) ผ่าน 7 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ที่มีผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรม (Mentor) เป็นผู้ออกแบบวางแผนพัฒนาและติดตามให้คำปรึกษา (Coach) ในระดับโรงเรียนและห้องเรียน โดยแต่ละโรงเรียนจะเลือกนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ตรงกับบริบทของตนเอง ดังนี้

  1. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงระบบ ใช้จิตศึกษา การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) และการสร้างชุมชนการเรียนรู้ของครู (Professional Learning Community) เพื่อพัฒนาผู้เรียน
  2. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน  (Brain-based Learning : BBL)
  3. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistic Education) จัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทั้ง 3 ด้าน คือ Head (การพัฒนาความรู้ที่จำเป็น) Heart (การพัฒนาคุณค่าภายใน) Hand (การพัฒนาทักษะที่สำคัญ)
  4. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพาะพันธุ์ปัญญา (Research Based Learning) การเรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน
  5. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด (Development of Learning Design of Teachers using  Lesson Study and Open Approach)
  6. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ มอนเตสซอรี (Montessori) สำหรับระดับอนุบาล
  7. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ การสอนแบบโครงการ (Project Approach) ใช้โจทย์จากชีวิตจริงของผู้เรียนเป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้

โดยแต่ละนวัตกรรมจะมีเมนเทอร์มาเป็นที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยงให้กับโรงเรียนในการจัดการเรียนรู้ในแต่ละแนวทางเพื่อพัฒนาเด็กให้มีสมรรถนะดังที่คาดหวังได้ ตัวอย่างเช่น โรงเรียนบ้านอีหนา (รัฐประชานุกูล) จ.ศรีสะเกษ ได้เลือกนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน  (Brain-based Learning : BBL) มาพัฒนาทักษะการอ่าน เขียน คิด โดยใช้กุญแจ 5 ดอกคือ 1) สนาม ฺฺBBL เพื่อเพิ่มสารแห่งความสุขให้สมอง เพื่อให้สมองจดจำและเรียนรู้ได้ดีมากขึ้น 2) ห้องเรียนกระตุ้นสมอง เป็นการจัดห้องเรียนให้สอดคล้องกับการทำงานของสมอง เพื่อให้เด็กมีวินัย รู้จักบทบาทหน้าที่ และสามารถทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ได้ 3) กระบวนการเรียนรู้ BBL ซึ่งมีการบริหารสมอง (Brain gym /Brain break) ให้เด็กอยากเรียน เห็นความหมายของสิ่งที่เรียนรู้ โดยครูจะนำเสนอความรู้ให้เด็กเห็นภาพ เปิดโอกาสให้เด็กลงมือฝึกปฏิบัติ พร้อมทั้งสรุปความรู้ด้วยตนเอง และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวันได้ 4) หนังสือและใบงาน ต้องทำให้เด็กเห็น Pattern และประเด็นสำคัญของสิ่งที่กำลังเรียนรู้ 5) สื่อและนวัตกรรมที่กระตุ้นสมอง ช่วยให้เด็กสนใจและเข้าใจสิ่งที่เรียนรู้ได้เร็วขึ้น ในหนึ่งปีที่บริหารพาโรงเรียนพลิกโฉมการจัดการเรียนรู้ นำสู่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ดังนี้ ครู เข้าใจศาสตร์สมอง เข้าใจพัฒนาการของเด็ก จนเกิดแรงบันดาลในใจและเห็นความหมายของการเป็นครู ทำให้เกิดพยายามเขียนแผนการสอนและจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ทำให้เด็กๆ อยากมาโรงเรียนและตั้งใจเรียน สามารถแก้ปัญหาการอ่านออก เขียนได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์

ด้านโรงเรียนบ้านปะทาย อ.กัณทรลักษณ์ โรงเรียนนำร่องนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงระบบ ด้วยนวัตกรรมจิตศึกษา PBL (Problem Based Learning) และ PLC (Professional Learning มาแก้ปัญหาพฤติกรรมผู้เรียนที่ไม่สนใจเรียนรู้ หนีเรียน ขาดเรียน นายสมศักดิ์ ประสาร ผู้บริหารโรงเรียนกล่าวว่า “… เมื่อ 8 ปี ที่แล้วผมเห็นว่า การจัดการเรียนรู้แบบเดิมไม่ตอบโจทย์ความต้องการ และพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ จึงแสวงหานวัตกรรมมาปรับเปลี่ยน ซึ่งได้ไปเรียนรู้กับโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาแล้วเห็นว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาปัญญาภายในด้วยจิตศึกษา และจิตวิทยาเชิงบวก กับการเรียนรู้แบบหน่วยบูรณาการโดยใช้ปัญญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะ น่าจะตอบโจทย์ เรากลับมาเปลี่ยนทั้งระบบทันที ครูเปลี่ยน สร้างความไว้วางใจ ให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข ผลทุกวันนี้พิสูจน์ได้ เด็กเราอ่านออกเขียนได้ เด็กทำโครงการได้ สรุปความรู้ได้ กล้าแสดงออก ผลโอเน็ตก็ค่อยๆ ขยับในระดับที่เราพอใจ ได้รับการยอมรับ เป็นวิทยากร ทำหน้าที่เป็นศูนย์ขยายผล (Node) ได้ช่วยโรงเรียนเครือข่ายทำตามแบบเราได้ บทเรียนสำคัญของผม คือ การจะทำให้โรงเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ผู้บริหาร และครูต้องช่วยกัน”

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา การร่วมมือของคนในและนอกพื้นที่ 

หัวใจหนึ่งของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในจังหวัดนำร่องต่างๆ คือการมีส่วนร่วมและออกแบบการศึกษา ที่มีทั้งคนในและนอกวงการ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และกำหนดการเดินทางจากคนหลายกลุ่มอาชีพ 

ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงบทบาทของมูลนิธิในการสนับสนุนการทำงาน ว่าเข้าไปร่วมงานในฐานะ ‘มือที่สาม’ หรือ ‘ช่างเชื่อม’ เนื่องจากว่าพื้นที่นวัตกรรมคือการทำสิ่งใหม่ ปฏิรูปการศึกษาในพื้นที่นำร่อง เมื่อไม่เคยทำมาก่อน ย่อมต้องการคนที่เข้าไปประสานงาน ชวนแต่ละภาคส่วนมาคุยเพื่อหาและพัฒนานวัตกรรม 3 อย่างคือ นวัตกรรมการจัดการศึกษาในโรงเรียน นวัตกรรมเชิงนโยบาย และนวัตกรรมการจัดการที่มาจากหน่วยปฏิบัติงาน (ครู ผู้บริหารในพื้นที่) รวมถึงการเป็นตัวกลางในการมองหาภาคีเครือข่ายและชักชวนให้ร่วมวงร่วมลุยงาน เช่น เชื่อมภาคเอกชนและหน่วยงานฝ่ายกำหนดนโยบายต่างๆ ให้มาเจอกัน และเชื่อมการทำงานของพื้นที่ระดับจังหวัดให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกันอย่างเห็นหน้าเห็นหลังกันด้วย 

“ในการทำงานข้ามสาย จำเป็นต้องมีคนทำงานประสาน ทั้งนวัตกรรมการจัดการศึกษา ไปอุดช่องว่างที่เคยประสานกันไม่สนิท รวมทั้งเข้าไปช่วยเปิดประตูหัวใจคนทำงานด้วย” ปิยาภรณ์กล่าว และว่า การเปิดประตูหัวใจก็คือไปชวนคนทำงานดูว่าที่เคยทำมามันดีแล้วยังไง จะพัฒนาต่อยังไง ทำงานมานานๆ แล้วหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า แล้วจะปลุกไฟปลุกใจคนทำงานอย่างไร รวมถึงการทำงานด้านองค์ความรู้ ชวนคนทำงานด้านการศึกษามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ในวงการวิชาการให้อัปเดตอยู่เสมอ 

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ

ขณะที่รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ และประธาน YEC Sisaket (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) เล่าว่า ในฐานะภาคเอกชนหรือธุรกิจ ที่นอกจากจะเป็นปลายทางของการศึกษา ที่คนจบออกไปทำงาน รัฐวิทย์ ย้ำว่าเขายังเป็นประชาชนคนรุ่นใหม่ที่เกิด เติบโต เล่าเรียน และทำธุรกิจที่นี่ ย่อมเห็นว่าปัญหา ความท้าทาย และการพัฒนาควรเป็นไปในทิศทางไหน การเข้ามาของภาคธุรกิจสำคัญและจำเป็นในแง่การได้มุมมองที่หลากหลาย โดยเฉพาะเรากำลังอยู่ในยุค disruption ที่ต้องการทักษะคนทำงานรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาย้ำว่า ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมเพราะเราประเมินเทรนด์การขับเคลื่อนด้านอาชีพของโลกด้วย 

“การที่ภาคธุรกิจได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องการศึกษา มันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ผมอยากเสนอว่าถ้าเราหวังอยากเห็นความแตกต่างมากกว่านี้ ขับเคลื่อนไปได้เร็วกว่านี้ เราต้องมีองค์ประกอบของคณะกรรมการภาคเอกชนเพิ่มเข้าไป จากที่ผมสัมผัส คนร่วมกำหนดนโยบายส่วนใหญ่เป็นข้าราชการซึ่งเป็นคนที่อยู่ในภาคการศึกษาอยู่แล้ว ซึ่งผมเชื่อว่าเขามีความชำนาญและเข้าใจปัญหา เพียงแต่ผมคิดว่าการทำนวัตกรรม การผลักดันให้เกิดสิ่งใหม่ๆ มันต้องมีความคิดนอกกรอบและหลากหลาย ต่างไปจากสนามการศึกษาด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาอุตสาหกรรม สภาวัฒนธรรมและอีกหลายที่”

ปราณี ระงับภัย

นอกจากนี้ ยังมีภาคประชาสังคมที่เข้ามาเป็นเครือข่าย คือ ปราณี ระงับภัย จากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ที่ดำเนินโครงการ Active Citizen สร้างพื้นที่การเรียนรู้ให้เยาวชนในศรีสะเกษทำโครงการเพื่อชุมชน (Project based learning) ในพื้นที่ที่เยาวชนอาศัยเพื่อเป้าหมายคือพัฒนาสมรรถนะของเด็กเองให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 เช่น เยาวชนที่ศึกษาเรื่องผ้าโซดละเวของชาติพันธุ์กวย เยาวชนที่ศึกษาเรื่องป่าชุมชน เยาวชนที่ศึกษาเรื่องสมุนไพรในชุมชน กระจายอยู่ในชุมชนเกือบทุกอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ โดยเธอและทีมงานทำหน้าที่เป็นโค้ชตลอดกระบวนการเรียนรู้ที่เด็กทำโครงการ ตั้งแต่คิดประเด็นที่อยากทำโครงการ พัฒนาโครงการ ดำเนินโครงการ จนถึงขั้นการสื่อสารผลการทำโครงการในชุมชน ทำให้เธอมีทั้งองค์ความรู้ในการโคชเยาวชน มีเครือข่ายผู้รู้กระจายอยู่ในชุมชนต่างๆ และมีพื้นที่ตัวอย่างที่เยาวชนทำโครงการที่สามารถเปิดให้โรงเรียนไปใช้หรือเรียนรู้ในพื้นที่เหล่านี้ได้ ซึ่งเธอได้ขึ้นเวทีร่วมแชร์บทบาทของเธอในพื้นที่นวัตกรรมว่า… 

การทำงานของกลุ่มโครงการจะใช้งานวิจัยชุมชนเป็นฐาน โดยให้เด็กเลือกทำโครงการที่ตัวเองสนใจผ่านโจทย์ชุมชน หน้าที่ของโหนดอย่างเธอคือการเสริมทัพ สนับสนุนการเรียนรู้ด้วยบทบาทโค้ช (ป้อนคำถามให้คิดและสนับสนุนอำนวยการเรียนรู้ตามแต่ที่เด็กต้องการ) นอกจากนี้ยังมี ‘ชาวบ้าน’ เป็นผู้ให้ความรู้ของเด็กๆ เป็นหลักในโครงการด้วย และแม้ว่าจะทำงานนอกห้องเรียนโดยปฏิบัติการบนฐานชุมชนเป็นหลัก แต่ก็สามารถจับมือกับโรงเรียนทำงานร่วมกันได้

ปราณีย้ำว่าโครงการนี้ทำงานกับเด็กที่ไม่จำกัดว่าจะอยู่ในโรงเรียนหรือไม่อยู่ในโรงเรียนก็ตาม เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องมีโอกาสเรียนรู้เท่ากัน

การเคลื่อนตัวเพื่อจับมือกันของหลายฝ่ายทั้งคนในศรีสะเกษและทีมสนับสนุนจากภายนอกเพื่อช่วยกันยกระดับคุณภาพโรงเรียน คุณภาพการจัดการเรียนการสอน และสร้างเซนส์ความเป็นเจ้าของในการออกแบบและจัดการศึกษาว่าเป็นของพื้นที่ เหล่านี้ แน่นอนว่าไม่ง่าย แต่ในวันนี้เมื่อได้มาเห็นทั้งระดับนโยบายในพื้นที่ ผู้บริหาร คุณครู และเครือข่ายในจังหวัดร่วมมือกันแข็งขัน รวมถึงตัวอย่างการจัดการศึกษาที่พัฒนาอย่างมาก และเป็นการศึกษาที่มีหลักชัยชัดเจนว่าจะพาเด็กไปถึงจุดไหน ให้มีสมรรถนะอะไร ก็ทำให้เห็นว่าการปฏิรูปการศึกษานั้นเป็นไปได้

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือพื้นที่ปฏิรูปการบริหารและการจัดการการศึกษาขึ้นเพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมการศึกษา นำร่องกระจายอำนาจและให้อิสระแก่หน่วยงานทางการศึกษาและสถานศึกษานำร่อง ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ ลดความเลื่อมล้ำ รวมทั้งมีการขยายผลนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนและวิธีการปฏิบัติที่ดีไปใช้ในสถานศึกษาอื่น
โดยพื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)
ดาวน์โหลดเอกสาร พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ได้ที่: http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/056/T_0102.PDF

Tags:

ศรีสะเกษพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาปิยาภรณ์ มัณฑะจิตรTEP ForumTDRI

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    SISAKET ASTECS: กรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ หมุดหมายการสร้างเมืองและคนศรีสะเกษในระยะ 10 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    ‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Unique Teacher
    จากครูไหวใจร้ายกลายเป็นครูเอ๋ใจเย็น: การเปลี่ยนผ่านของอดีตครูเจ้าระเบียบ เน้นท่องจำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Unique Teacher
    ยอดรัก ธรรมกิจ: สอนแบบเดียวกับวิถีที่เด็กใช้ชีวิต อยากเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

Nexplore กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ทุกคนคิดแบบ Superhero Thinking ปลดปล่อยไอเดียบ้าๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม
Voice of New Gen
29 September 2020

Nexplore กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ทุกคนคิดแบบ Superhero Thinking ปลดปล่อยไอเดียบ้าๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Nexplore คือกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อสร้าง community ชวนและช่วยคนรุ่นใหม่คิดนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาสังคม ผ่านการออกแบบชุดประสบการณ์ ด้วยเครื่องมือ Design Thinking
  • เริ่มตั้งแต่เข้าใจประเด็นทางสังคม บริบทการขับเคลื่อน คุยกับนวัตกรเพื่อสังคม จากนั้นจึงพัฒนาโจทย์และนวัตกรรมฉบับจำลอง (Prototype) ตามความสนใจของตัวเองโดยจะมีเมนเทอร์ช่วยให้คำแนะนำ
  • “กระบวนการในค่าย เราเลือก Design thinking เป็นอย่างแรกเลยเพราะเป็นกรอบความคิดที่ให้เราได้คิดทั้งมุมแคบและกว้าง เห็นภาพสังคมในจุดที่เล็กและใหญ่ที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงของปัญหาสังคมในแต่ละจุดได้ และอย่างที่สอง มันเป็นการใช้ทุกฐานของร่างกายในการทำที่เราเรียกว่า heart head hand หนึ่งสมอง สองมือ หนึ่งหัวใจในการลงมือทำตลอดกระบวนการ” จี๋–ชลิสา แก้วหล้า ตัวแทนสมาชิก Nexplore

อีกหนึ่งอาชีพใหม่ของคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ และอยากหยิบมาเล่าในตีม Generation of Innovator วันนี้คือ การเป็นกลุ่มเพื่อน ตัวกลาง หรือ community ที่ชวนและช่วยกลุ่มคนรุ่นใหม่คิดนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาสังคมโดยใช้กระบวนการ Design Thinking – ทั้งหมดนี้พวกเขารวมตัวกันในนาม Nexplore

Nexplore ที่ตั้งใจหมายความว่า explore to connect ออกไปทดลองเพื่อเชื่อมโยงถึงกัน

จากซ้ายไปขวา จิ๊บ-ชญานิษฐ์ แก้วหล้า, เพ่ยเพ่ย-ฐิติวรดา ทิมขำ, ปลา-นฤมล ทิพย์รักษ์, จี๋–ชลิสา แก้วหล้า และ เบสท์-ชาลิสา อินทิสาร

Nexplore คือการรวมตัวกันของ 3 ศิษย์เก่าที่เคยเข้าร่วมโปรแกรม The Exploring Social Innovation (ESI) ที่จัดโดย VIA Program โปรแกรมที่ชวนนักศึกษาจากหลากมหาวิทยาลัยและนักวิชาการรุ่นใหม่ทั่วเอเชีย ไปดูงานด้านนวัตกรรมเพื่อสังคม (Social Innovation) สังคมในซานฟรานซิสโก และ ซิลิคอล วัลเลย์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งการไปเรียนรู้งานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่นั่นได้สร้างแรงบันดาลใจให้ทั้งสามคนเป็นอย่างมาก

ไม่ใช่แค่เข้าใจว่าปัญหาสังคมคืออะไร แต่กระบวนการอะไรที่จะทำให้คนซึ่งมีไอเดีย มีไฟฝัน มีกำลัง ได้มารวมกลุ่มกันและดึงศักยภาพตัวเองออกมาใช้งานได้ – นี่คือไอเดียตั้งต้นที่เอิร์ท-วีระวัชร์ มงคลโชติ, โบว์-พรพรรณ​ ตั้งมั่น​จิต​ธรรม​ และ จี๋–ชลิสา แก้วหล้า อยากทำ โดยเฉพาะการใช้วิธีการแบบนวัตกรเข้ามาผลักดันประเด็น

ปัจจุบัน Nexplore ได้ค่อยๆ ขยายตัวมีทีมงานเพิ่มเติมอีกหลายคน ในหลากหลายคนนั้น ที่มาคุยกับ The Potential วันนี้คือ เบสท์-ชาลิสา อินทิสาร, จิ๊บ-ชญานิษฐ์ แก้วหล้า, เพ่ยเพ่ย-ฐิติวรดา ทิมขำ และ ปลา-นฤมล ทิพย์รักษ์

ความน่าสนใจของกลุ่มและที่ The Potential อยากบอกเล่าวันนี้ คือ สิ่งที่ Nexplore เรียกว่า ‘การออกแบบประสบการณ์’ ผ่านเครื่องมือ Design Thinking ซึ่งเห็นว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมคนรุ่นใหม่

จี๋–ชลิสา แก้วหล้า

‘การออกแบบประสบการณ์’ เครื่องมือที่จะพาคนเข้าใจประเด็นทางสังคมอย่างลึกซึ้งและเปี่ยมความคิดสร้างสรรค์

เพราะความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของทั้ง 3 คน โดยเฉพาะจี๋ หญิงสาวอายุ 23 ปีที่มาคุยกับเราวันนี้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเรื่องการออกแบบการเรียนรู้ของคน และ การเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคมโดยเฉพาะ ด้วยดีกรีปริญญาตรีจากคณะ School of Global Studies and Social Entrepreneurship ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์และการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม และปัจจุบันจี๋ทำงานด้านการบริหารนวัตกรรมเรียนรู้ และ การโปรเจคการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี ให้กับศูนย์การเรียนรู้ดิจิทัล (Digital Learning Center) ภายใต้ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย

การทำงานของ Nexplore ในปีแรกออกแบบให้คล้ายกับโปรแกรม The Exploring Social Innovation Program โดยชักชวนผู้ที่สนใจอยากขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมด้วยวิธีคิดแบบนวัตกร พวกเขาก็ได้ใช้เรื่องการออกแบบชุดประสบการณ์เข้ามาในขั้นตอนนี้

จี๋อธิบายว่า โปรแกรมออกแบบให้ผู้เข้าเห็นภาพการขับเคลื่อนสังคม เช่น พาไปดู‘ร้านขยะศูนย์บาท’ เปลี่ยนขยะเป็นเงิน ชวนให้เข้าใจการสร้าง Social Innovation (นวัตกรรมเพื่อสังคม) ผ่านการคุยกับนวัตกรเพื่อสังคม อย่าง คุณพิ-พิริยะ กุลกาญจนาชีวิน จาก Glow Story ช่วยคนเล่าเรื่องเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง และ คุณต้อง-กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร จาก SCB 10x พร้อมพาไปคุยกับโครงการธุรกิจเพื่อสังคมอย่าง Fashion Revolution – เครือข่ายที่ต้องการสร้างความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มาจากอุตสาหกรรมแฟชั่น และ insKru – พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน และสุดท้ายจะเปิดให้ผู้เข้าร่วมได้พัฒนาโจทย์และนวัตกรรมฉบับจำลอง (Prototype) ตามความสนใจของตัวเองโดยจะมีเมนเทอร์ช่วยให้คำแนะนำ

“กระบวนการในค่าย เราเลือก Design thinking เป็นอย่างแรกเลยเพราะเป็นกรอบความคิดที่ให้เราได้คิดทั้งมุมแคบและกว้าง เห็นภาพสังคมในจุดที่เล็กและใหญ่ที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงของปัญหาสังคมในแต่ละจุดได้ และอย่างที่สอง มันเป็นการใช้ทุกฐานของร่างกายในการทำที่เราเรียกว่า heart head hand หนึ่งสมอง สองมือ หนึ่งหัวใจในการลงมือทำตลอดกระบวนการ”

จี๋อธิบาย 5 ขั้นตอนของการทำ Design Thinking ว่า…

  • Empathy การเข้าใจปัญหา ลงไปเก็บข้อมูลกับ user หรือผู้ใช้ว่ารู้สึกต่อปัญหานี้อย่างไร ต้องเข้าใจผู้ใช้มากขนาดที่ว่าเราสามารถตอบคำถามแทน user ได้เลย
  • Define สรุปประเด็นสำคัญของปัญหาว่าจากข้อมูลทั้งหมด เราอยากจะแก้ไขหรือบทสรุปสำคัญของปัญหาคืออะไร ในปัญหานี้มีรูปแบบความสัมพันธ์ ความเชื่อมโยง อะไรบ้าง 
  • Ideate การระดมความคิดว่าจะแก้ปัญหา (Solution)ดังกล่าวอย่างไร และเพื่อตอบคำถามในขั้น Define
  • Prototype การสร้างแบบจำลองหรือการสร้างต้นแบบเพื่อให้เกิดการจำลองเพื่อวิพากษ์และนำมาซึ่ง process ของการพัฒนาทางแก้ไขปัญหา
  • Test การทดลอง ทำให้ได้พัฒนากระบวนการแก้ปัญหาของเราให้ดียิ่งขึ้น และเป็นการปรับปรุงพร้อมรับความเห็นจากผู้ใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณธ์ต่อไป

โดยเฉพาะในขั้นตอนการ Define เพื่อสรุปปัญหา ทีมจะให้ตั้งคำถาม ‘How might we question’ หรือจะทำอย่างไรดีให้ … และเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกอะไร?

ทำไมต้อง How might we question? ทำไมต้องทำความเข้าใจ? – เราถาม

ปลา หนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่เข้าไปร่วมงานในฐานะผู้ช่วยให้คำปรึกษากับ insKru แง่รูปแบบการ Co-Creation อีกหนึ่งการทำงานของทีม อธิบายว่า “วิธีการทำงานแบบนี้ การออกแบบประสบการณ์ผ่านกระบวนเหล่านี้ มันเป็นการเปลี่ยนคนนอกให้เป็นคนในนะ ตอนแรกเรามองประเด็นการศึกษาจากมุมคนนอก เพราะเรามีชุดประสบการณ์กับระบบการศึกษาในฐานะนักเรียนมาตลอด สิบยี่สิบปี ก็จะรู้สึกว่าทำไมครูไม่ทำแบบนี้ไม่ทำแบบนั้น แต่พอเป็นคนใน ได้รับฟังปัญหาของครู ก็จะเห็นว่ามีอะไรหลายอย่างกดดันกดทับไว้อยู่ ครูเองไม่ได้อยากทำแบบนั้นหรอกแต่ต้องทำ เลยกลายเป็นว่าเราเห็นปัญหาชัดขึ้น เข้าใจขึ้น และด้วยกระบวนการจะช่วยให้เราหาวิธีที่ไม่ทำลายกันขนาดนั้น เราคิดว่าอันนี้เป็นมุมที่ดีของวิธีคิดแบบนวัตกร”

ปลา-นฤมล ทิพย์รักษ์

Superhero Thinking : ปลดปล่อยไอเดียบ้าๆ เพื่อมองหานวัตกรรม

“นอกจากนี้สิ่งที่ Nexplore จะผลักดันอยู่ตลอดเวลาคือการคิดแบบ Superhero Thinking ซึ่งจะทำให้เห็นกรอบความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา (Solution) ทั้ง 4 แบบคือ หนึ่ง – Practical Idea ไอเดียที่เป็นไปได้ สอง – Innovative Ideas ไอเดียที่แปลกใหม่ มีเซนส์เป็นนวัตกรรม สาม – Moonshot Ideas ไอเดียที่มีความเป็นไปได้อยู่บ้างแต่ยาก ต้องใช้ต้นทุน เช่น เวลา พลังงาน เหมือนส่งคนไปดวงจันทร์ และ สี่ – Superhero Ideas ไอเดียที่เป็นไปไม่ได้ ขัดแย้งกับวิถีผู้คน (Social Norm) ถือว่าเป็น Impossible Mission” จี๋กล่าว และยกตัวอย่างไอเดียของ เฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดที่ถือเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ว่า…

“ตอนเฮนรี ฟอร์ด คิดรถยนต์ ซึ่งคนในสมัยนั้นยังใช้ม้าในการเดินทาง เขาไม่ได้คิดโดยตั้งต้นว่าจะทำอย่างไรให้ม้าวิ่งเร็วกว่าเดิม แต่คิดว่าทำอย่างไรให้คนเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเดิม เหมือนกับคำพูดที่ว่า If I had asked people what they wanted, they would have said faster horses.” ซึ่งนี่ถือเป็นวิธีคิดแบบ Superhero Thinking ที่เธอมองว่า ไอเดียบ้าๆ อย่าง Superhero Ideas นี่แหละนี่เป็นหัวใจของการเกิดนวัตกรรม ซึ่งควรเปิดพื้นที่ให้คนกล้าคิดคล้าฝันถึงไอเดียเช่นนี้

ขณะที่ ปลา สมาชิก Nexplore ที่ปัจจุบันเข้าไปร่วมงานในฐานะที่ปรึกษาของ insKru เสริมว่า “เวลาเราทำงานสร้างสรรค์ พอทำไปสักพักจะเริ่มมีกรอบชุดความคิดในการทำงานแบบที่จะไม่ยอมปล่อยไอเดียที่ดูเป็นไปไม่ได้ออกมาเลย เพราะมันรู้ตั้งแต่ในหัวว่าเป็นไปไม่ได้ แต่พอมาทำแบบนี้ มาคิดแบบ Superhero Thinking ที่ทำให้ได้ crazy idea หรือปล่อยไอเดียบ้าๆ ออกมา มันมันส์เหมือนกันนะ พอปล่อยออกไปแล้วมันนำไปสู่ความคิดว่า เฮ้ย จริงๆ มันก็น่าจะทำได้เหมือนกันนะเพียงแต่ก่อนหน้านี้เหมือนเราจะไม่ปล่อยมันเลย เพราะเราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้”

อีกก้าวของ Nexplore การเป็นเพื่อนผู้ให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจเพื่อสังคม

อีกหนึ่งงานที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ (และได้แอบเล่าไปบ้างแล้ว) คือการเข้าไปเป็น ที่ปรึกษาให้กับกลุ่มธุรกิจเพื่อสังคม (Consultant Service) ที่จี๋และเพื่อนอธิบายว่า ไม่ใช่แค่การให้คำปรึกษาแต่เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาธุรกิจอย่างที่เรียกว่าการ Co-create โดยกลุ่มที่ร่วมงานด้วยกันแล้วคือ กลุ่ม Fashion Revolution – เครือข่ายที่ต้องการสร้างความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มาจากอุตสาหกรรมแฟชั่น และ insKru – พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน

“ที่เข้าไป Co-creation กับสองกลุ่มนี้ได้ก็เพราะตอนจัดค่ายปีที่แล้วเราเชิญ 2 กลุ่มนี้มาเป็นวิทยากร คุยไปคุยมา พี่เอิร์ทเลยชวนร่วมงานกันด้วยเลย” จี๋เล่า

เบสท์-ชาลิสา อินทิสาร และ เพ่ยเพ่ย-ฐิติวรดา ทิมขำ

เบสท์และเพ่ยเพ่ย ในฐานะผู้รับผิดชอบงาน Co-creation กับ Fashion Revolution เล่าว่า งานนี้เรียกว่าลุยงานร่วมกันทุกอย่างตั้งแต่ การเก็บข้อมูลกับ user ค้นหาข้อมูล ทดลองว่าสิ่งที่คิดนั้นใช้จริงๆ หรือเปล่า เมื่อจัดงานใหญ่ประจำปีอย่างงาน clothes swap หรืองานที่ให้คนเอาเสื้อผ้ามาแลกกันแทนที่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ ก็ต้องลงไปเก็บข้อมูลอีกรอบ ซึ่งทั้งคู่เล่าว่าบทบาทนี้สนุกและเปิดโอกาสให้พวกเธอได้ทดลองทำงานหลายอย่างที่ไม่อาจได้ทำในพื้นที่อื่นๆ

“การทำงานที่นี่ อะไรๆ ก็เป็นไปได้หมดเลย เพ่ยไม่ได้จบแฟชั่นมาแต่มีแพชชันเรื่องนี้ เราก็ลงมือได้เต็มที่ คิดอะไรออกมาก็เป็นไปได้หมด ทุกคนก็เปิดโอกาสให้ลองทำ” เพ่ยเล่า

“มันเป็นพื้นที่ที่ทำให้เบสท์เห็นว่าจริงๆ แล้วมันมีทรัพยากร มีโอกาส มีคนเยอะแยะมากที่ทำงานด้านสังคมอยู่ ทำให้เห็นเครือข่ายคนทำงานและ connection อย่างงาน clothes swap ก็มีองค์กรที่เสนอจะให้ใช้ Blockchain กับอีเวนต์ในอนาคตเพื่อ มา track และเก็บข้อมูลเสื้อผ้า พื้นที่แบบนี้ เบสท์ว่ามันจำเป็นมากสำหรับการทำงานเครือข่ายคนรุ่นใหม่” เบสท์กล่าว

ก่อนจากกันไป เราถามทีม Nexplore ว่าในฐานะคนรุ่นใหม่ที่ทำงานด้านนวัตกรรม พื้นที่แบบไหนที่จะสร้างนวัตกรรมได้ และคิดว่าคนกลุ่มนี้ต้องมีทักษะอะไรบ้าง 

“พื้นที่ที่ไม่มีการจำกัดกรอบความคิดด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีข้อจำกัดหรือกฏเกณฑ์มาจำกัดวิธีว่ามีวิธีใดวิธีหนึ่งเป็นวิธีที่ ‘ถูกต้อง’ หรือสิ่งที่ควรทำในการแก้ไขปัญหา เพราะการละทิ้งกรอบความเป็นไปได้เดิมๆ และเปิดใจให้กับจิตนาการใหม่ๆ จะทำให้นวัตกรกล้าคิด กล้าแชร์ไอเดีย กล้าทำในสิ่งที่ disruptive นำมาสู่นวัตกรรมที่มีผลกระทบสูง” จิ๊บตอบคำถามแรก 

จี๋สำทับคำตอบของคำถามที่สองว่า “Superhero Thinking คือต้องเป็นคนที่คิดอะไรนอกกรอบความเป็นไปได้เดิมๆ จะช่วยทำให้นวัตกรรมนั้นมันส่งผลกระทบเชิงกว้าง และเป็นประโยชน์ต่อผู้คน ทัศนคติที่ไม่มองว่าการแก้ปัญหาคือเรื่องยากเกิดเอื้อม และ การลองผิดลองถูกเป็นเรื่องสำคัญ”

““ที่น่าสนใจคือ คนรุ่นใหม่ทุกวันนี้จี๋คิดว่าเรามีเซนส์ของความสงสัยใคร่รู้ (sense of curiosity) มากขึ้น เรากล้าที่จะสงสัยและลงมือค้นหาคำตอบให้กับเรื่องที่คนในสมัยก่อนคิดว่าไม่ควรถาม ซึ่งจี๋คิดว่ามันสำคัญมากที่จะทำให้คนในสังคมช่วยกันจินตนาการถึงภาพสังคมในอุดมคติ ว่าในความเป็นจริงแล้วสังคมจะที่ดีขึ้นกว่านี้มันควรจะเป็นยังไงกันนะ” จี๋กล่าวปิดท้าย

Tags:

ประเด็นทางสังคมNexploreชลิสา แก้วหล้านวัตกรdesign thinkingGeneration of Innovator

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Voice of New Gen
    4 เคล็ดลับสู่การเริ่มต้นเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยี : ฤทัยมาตา ขวัญเกตุ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์มณฑลี เนื้อทอง

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ‘เราจะก้าวสู่จุดที่เด็กทำวิจัยกับนักวิจัยเพื่อส่งของขึ้นอวกาศอย่างเป็นเรื่องปกติ’ ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

40 ปีของสุทธิ สายสุนีย์: ผู้อำนวยการที่เพียรทุบกำแพงโรงเรียน นำเด็กและครูไปเรียนกับชุมชน
Unique Teacher
29 September 2020

40 ปีของสุทธิ สายสุนีย์: ผู้อำนวยการที่เพียรทุบกำแพงโรงเรียน นำเด็กและครูไปเรียนกับชุมชน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • คุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล สุทธิ สายสุนีย์ ผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันวิธีการเรียนรู้ที่สร้างเด็กให้มีวิธีคิดผ่านการเรียนด้วยโครงงานฐานวิจัย การเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน โดยชาวบ้านเป็นครูของนักเรียน และ การดึงผู้ปกครองเข้ามาทำงานในภาคการศึกษาคู่ขนานไปกับคนในเครื่องแบบครู
  • “วันแรกที่มาทำงานที่นี่ สิ่งแรกที่คิดว่าต้องทำคือ ทุบกำแพงโรงเรียน ไม่ใช่กำแพงที่เป็นอิฐปูน แต่ต้องการเปลี่ยนความคิดว่าการจัดการศึกษากับเด็กๆ เป็นหน้าที่ทุกคน ไม่ผูกขาดว่าหน้าที่ผู้ปกครองจะหมดลงเมื่อมาส่งลูกที่ประตูโรงเรียนตอน 7 โมงเช้าแล้วหลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของคุณครู เราไม่แบ่งหน้าที่กันที่หน้าประตูโรงเรียน เพราะเชื่อว่าการจัดการเรียนรู้ไม่ใช่แค่ 5-6 ชั่วโมงในโรงเรียน ทั้งผู้ปกครองและครูต้องเข้าใจร่วมกัน เราคงไม่มีกำแพงขวางกั้นระหว่างผู้ปกครองกับคุณครู”

ในวงการศึกษา น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ …สุทธิ สายสุนีย์

ประการแรก – เพราะเขาคือผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล อนุบาลและโรงเรียนประถมขนาดใหญ่ประจำจังหวัดสตูล ประการต่อมา – สุทธิคือ นักการศึกษา ผู้ที่ทำให้นิยามของการเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัย การเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนโดยชาวบ้านเป็นครูของนักเรียน เป็นจริงในภาคปฏิบัติและสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษา รวมถึงการดึงผู้ปกครองเข้ามาทำงานในภาคการศึกษาคู่ขนานไปกับคนในเครื่องแบบครู

พูดให้ถึงที่สุด เขาและทีมงานคือเบื้องหลังการผลักดันวิธีการเรียนรู้ที่สร้างเด็กให้มีวิธีคิดแบบนักวิจัย และกระจายออกไปยังโรงเรียนใกล้เคียง โดยล่าสุดในปี 2562 โรงเรียนอนุบาลสตูลกลายเป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา*

อันที่จริงโมเดลการศึกษาโดยใช้ชุมชนเป็นฐานไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ท่ามกลางโครงสร้างการศึกษาที่ให้ (มัด) เด็กอยู่ในห้องเรียน จินตนาการและทดลองความคิดในหัวมากกว่าออกไปปฏิบัติการจริง (ซึ่งเราต่างรู้ว่ามันไม่เวิร์ก นี่ไม่ใช่การเรียนรู้ที่จะเข้าใจฝังลึกจนเก็บไปพลิกแพลงใช้งานได้) การเรียนรู้ที่ว่านี้ …เป็นไปได้ยาก

แต่เพราะเชื่อ เพราะอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพราะอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดนโยบายการจัดการเรียนรู้ของครูได้ ทำให้ตลอด 40 ปีบนเส้นทางการศึกษา ตั้งแต่เป็นครู ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ และการดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน สุทธิหมั่น ‘ทุบกำแพง’ – นี่คือคำที่เขาใช้เรียกวิธีคิดการทำงานของตัวเอง – ชวนเด็กลงไปเรียนรู้กับทรัพยากรจริงใกล้ตัว ซึ่งพื้นที่จังหวัดสตูลมีครบตั้งแต่ ภูเขา ทะเล ป่า ความหลากหลายทางชาติพันธ์ุอย่างชุมชนมุสลิม ไทยพุทธ หรือกลุ่มชาติพันธ์ุที่อาศัยในป่า

ในวาระเกษียณอายุราชการ The Potential ล็อกคิว (ที่แสนจะหายาก) ชวนสุทธินั่งคุยสบายๆ ทบทวนเส้นทางอาชีพของเขาตลอด 40 ปีบนถนนสายการศึกษา เขาเริ่มต้นจากอะไร บ่มเพาะตัวเองและเรียนรู้การเป็นครูมาแบบไหน อะไรที่ทำให้เขาเชื่อมั่นถึงการเรียนรู้แบบนี้และผลักดันมาตลอดอายุการทำงานของตัวเอง 

และนี่คือ 40 ปี ของคนในแวดวงการศึกษาที่เราควรถอดบทเรียน… 

สุทธิในวัยหนุ่ม การเริ่มต้นอาชีพครูที่คลุกคลีกับวิถีชุมชน

อันที่จริงสุทธิไม่ได้ตั้งใจเป็นครูตั้งแต่แรก เขาเพียงอยากมีอาชีพที่ได้อยู่ที่บ้านเพื่อดูแลคุณพ่อ อาชีพครูจึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เพราะสามารถบรรจุเป็นข้าราชการกลับไปทำงานที่บ้านเกิด และเพราะชีวิตวัยเด็กผูกพันกับอาชีพนี้เนื่องจากบ้านเกิดอยู่ติดกับโรงเรียน โรงเรียนจึงไม่ใช่สถานที่เคร่งเครียดแต่เหมือนเป็นสถานที่คุ้นเคยในความทรงจำ เป็นสถานที่หนึ่งที่พี่ป้าน้าอาเข้าไปทำงานในนั้น เมื่อจบ มศ.3 (เทียบเท่าชั้นม.4) จึงสมัครเรียนต่อหลักสูตรประกาศนียบัตรครูทันที

“ตอนเป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู ใจมันมาแล้วนะ เพราะโรงเรียนคือสิ่งที่เราใกล้ชิดมาตั้งแต่เด็ก เป็นอะไรที่เราสัมผัสได้ ตอนเรียนเลยมีภาพความผูกพันของครูกับชีวิตตัวเอง พอตั้งใจจะเป็นครูแล้ว ก็มุ่งมั่นและพยายามหาประสบการณ์เพื่อจะเป็นครูที่ดีให้ได้  

“สิ่งหนึ่งที่เราตั้งใจคือ มีไม่กี่อาชีพนะที่จะได้ใช้เวลาในช่วงสำคัญของชีวิตเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่น ได้เปลี่ยนชีวิตเเละสร้างจิตวิญญาณให้คน สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอนาคตของชาติได้”

หลังจบหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครูที่หาดใหญ่ สุทธิในวัย 20 บรรจุเป็นครูทันที ณ โรงเรียนท่าแพ จังหวัดสตูล – พื้นที่ที่จะกลายเป็นหน้างานตลอด 40 ปีในอายุราชการ – ประจำวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต (สปช.) ป.5 และ ป.6 แม้จะผิดจากความตั้งใจที่อยากทำงานที่บ้านไปมากโข แต่ด้วยความตั้งใจจริง เขาไม่ลังเลที่จะเริ่มอาชีพที่นี่

“โรงเรียนที่ไปอยู่เป็นโรงเรียนชนบทและนักเรียนนับถือศาสนาอิสลาม 100 เปอร์เซ็น มันเลยเป็นประสบการณ์ใหม่ของเราเหมือนกันนะ เรามาจากต่างจังหวัดแล้วไปอยู่ในโรงเรียนที่ค่อนข้างห่างไกล ไป-กลับลำบากหน่อยคือต้องนั่งเรือ หรือถ้าใช้รถก็จะใช้เวลานาน แต่อย่างหนึ่งที่เราสัมผัสได้ก็คือความเป็นชุมชนที่มีความเอื้ออาทรดูแลกันอย่างใกล้ชิด

“เราเป็นครูน้องใหม่ซึ่งเป็นผู้ชาย แล้วบ้านพักก็มีแค่หลังเดียวซึ่งมีคุณครูผู้หญิงอยู่กัน 5 คน เข้าไปก็ไม่มีที่อยู่ ครูใหญ่เลยไปกั้นไม้ฝากระดานในห้องเรียนซีกหนึ่งมาเป็นห้องพักครูให้เรา แม้จะลำบากใจเรื่องที่พักแต่มีข้อดีเรื่องอื่น บางครั้งเพื่อนๆ ที่อยู่ในชุมชนก็มานอนเป็นเพื่อน แบ่งปันอาหารการกิน แล้วโรงเรียนอยู่ในชุมชนชายฝั่งทะเล หากุ้งหาปูได้ก็มาแบ่งปันกัน มันเป็นความผูกพันระหว่างเรา ชุมชน และคนในพื้นที่อย่างเนื้อเดียวกัน 12 ปีที่อยู่ที่นั่นเลยเรียกว่าบ่มเพาะตัวเราเยอะมากเรื่องการทำงานชุมชนและการจัดการศึกษา”

ใน 12 ปีของการเป็นครู มีหนึ่งเหตุการณ์น่ารักที่ทำให้เห็นตัวตนของสุทธิและความเป็นครูสมัยก่อน คือครั้งหนึ่งเขาถึงกับต้องฉีดวัคซีนให้เด็กน้อยคนหนึ่งในชั้นเรียนเพราะเด็กคนนั้นวิ่งหนีออกจากห้องครั้งอนามัยมาฉีดวัคซีนที่โรงเรียน

“เป็นภาพจำเลยนะ จำได้ว่าครั้งหนึ่งสถานีอนามัยเขามาฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักเด็ก มีเด็กผู้ชายป.3 คนหนึ่ง เขากลัว ไม่กล้าฉีด แล้วหนีไปเลย เรามองว่าถ้าเขาไม่ได้รับวัคซีนมันอันตรายนะ เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าฉีดยังไง ทาเเอลกอฮอล์ยังไง วางเข็มกี่องศา เขาคงคิดว่าคุณครูคนนี้ถามอะไรมากมาย

“พอเขากลับมาเราก็ถามเขาว่าหายไปไหนมา ก็ชวนเขาคุยน่ะนะ ถามเขาว่าการไม่ได้รับวัคซีนมันส่งผลต่อลูกยังไงบ้าง แต่คุยยังไงเขาก็ยังไม่ยอมไปฉีดที่อนามัย เลยบอกว่าถ้างั้นเดี๋ยวครูฉีดให้เองดูแล้ว พูดวันนี้มันอาจฟังดูสุ่มเสี่ยงที่เราทำเกินหน้าที่นะ แต่ตอนนั้นก็กลัวว่าอุปสรรคความกลัวของเขาจะทำให้เขาไม่ได้รับวัคซีน และตอนนั้นเราก็สนิทกับพ่อแม่เขาด้วยก็เลยสื่อสารได้ ตอนนี้ศิษย์เก่าคนนี้เขาเป็นปลัดอบต. อยู่ 3 จังหวัด เวลากลับมาบ้านคุยกัน เขายังบอกเราตลอดว่า ผมจำได้แม่นเลยว่าผมโดนคุณครูฉีดยา (หัวเราะ)”

สุทธิในบทบาทใหม่ ค่อยๆ เริ่มจากผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ สู่ ผู้อำนวยการ  

12 ปีเต็มของการเป็นครู แม้จะรักในอาชีพและสิ่งที่ทำ สุทธิเห็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างและการทำงานเป็นครูอยู่ไม่น้อย ขณะนั้นเขาคิดว่าการทำงานในห้องกับนักเรียนนั้นดีก็จริงอยู่ แต่หากอยากให้การทำงานของตัวเองส่งผลกระทบในวงกว้างและทำกับคนจำนวนมากขึ้น การขึ้นไปทำงานฝ่ายบริหารและประสานงานคือคำตอบ ประจวบเหมาะกับมีประกาศรับสมัครผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ในปีนั้น เขาปรึกษากับครอบครัวถึงความฝันและวิธีคิดของตัวเอง ประเมินข้อดีและเสีย ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเขาที่ต้องสละ แต่หมายถึงสมาชิกในครอบครัวที่ต้องสละร่วมไปด้วยกัน

“วงล้อชีวิตคนเรา มันจะมีวงครอบครัว วงงาน เเละวงสังคม การบริหารสามวงนี้ให้สมดุลมันก็ยากอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเราตัดสินใจทำงานในตำเเหน่งที่ต้องรับผิดชอบเยอะขึ้น วงครอบครัวจะเล็กลง วงงานและสังคมโตขึ้นผกผันกัน เราเลยต้องคุยกับครอบครัวด้วย ซึ่งเขาโอเค ก็เลยตัดสินใจไปสอบ

“ตอนนั้นเรามองว่าเป็นความท้าทายใหม่ของเรานะ ที่ความรับผิดชอบจะตกอยู่ที่เราทั้งหมด”

สุทธิก้าวเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนบ้านทุ่งนุ้ยมิตรภาพ (โรงเรียนขยายโอกาส) อยู่ 2 ปี และสอบติดเป็นอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนบ้านวังสายทอง อ.ละมุง ในปี 2536

“ก่อนรับตำเเหน่ง เราขี่มอเตอร์ไซค์กับแฟนไปแอบดูโรงเรียนก่อน โรงเรียนกับบ้านห่างกัน 50 กิโล ตอนนั้นยังไม่รู้เลยนะว่าโรงเรียนอยู่ที่ไหน ถนนก็ยังไม่ได้ลาดยางทั้งหมด ขี่ไปแวะถามชาวบ้านไป ไปถึงก็ไปดูโรงเรียน ไปเช็คสถิติ ไปดูข้อมูลโรงเรียน พบว่าที่นี่เป็นโรงเรียนที่คนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นคนไทยพุทธที่อพยพมาจากจังหวัดพัทลุง และพื้นที่นี้อยู่ใกล้กับเทือกเขาบรรทัด มีความหลายทางชาติพันธุ์ กลุ่มมานิก็อยู่ที่นี่ ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก ไปโรงเรียนตอนเช้าจะได้ยินเสียงชะนีเพราะโรงเรียนใกล้ป่า ด้วยความเป็นชุมชนอพยพมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเครือญาติกัน การปฏิสัมพันธ์ของคนในชุมชนเลยเข้มเเข็งมาก ร่วมไม้ร่วมมือเต็มที่ในทุกกิจกรรม ชุมชนพร้อมที่จะมาดูเเลโรงเรียนในทุกเรื่อง”

ที่น่าสนใจคือเวลานั้นกระทรวงมหาดไทยเปิดประกวดหมู่บ้านตัวอย่าง สุทธิซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนขณะนั้น ตัดสินใจเข้าไปช่วยงานชุมชนแข่งประกวดเสียเลย

“ที่ตัดสินใจเข้าไปช่วยทั้งที่ไม่ใช่งานของโรงเรียน เพราะเชื่อว่าโรงเรียนไม่ใช่เเค่สอนหรือออกเเบบการเรียนรู้ให้กับเด็กอย่างเดียว แต่ในฐานะผู้บริหาร เราต้องเชื่อมโยงงานของเรากับภาคีต่างๆ เรารู้ว่าเบื้องหลังการประกวดหมู่บ้านตัวอย่างคือการสร้างมิติความสัมพันธ์เเละการยกระดับทางความคิดชาวบ้าน อันนี้เเหละ เราถือโอกาสใช้บทบาทโรงเรียนดึงศักยภาพเเละการมีส่วนร่วมของชาวบ้านชึ้นมา ถ้าเราเปิดประเด็นเรื่องเเบบนี้ได้ เรื่องอื่นๆ ก็ตามมา เพราะเราเป็นกลุ่มเดียวกันกับภาคประชาสังคมในชุมชนที่นั่นเเล้ว”

ผู้อำนวยการที่เริ่มใส่หมวกอีกใบในนาม ‘นักวิจัย’ ณ โรงเรียนบ้านตะโละใส ใช้ชุมชน และคนในชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน

ทำงานที่โรงเรียนวังสายทองได้ 8 ปีก็ย้ายมาลุยงานที่โรงเรียนบ้านตะโละใส ในปี 2544 ที่นี่เองที่สุทธิได้ตอกเสาเข็มการเรียนรู้โดยใช้วิจัยชุมชนสำเร็จ กลายเป็นฐานทำงานทั้งความรู้และเครือข่ายที่แข็งแรงจนถึงวันนี้

“ก่อนหน้าย้ายมาที่ตะโละใส เราเห็นกระบวนการจัดการชุมชนที่มีความชัดเจนมาพอสมควรแล้ว พอมาที่นี่ น่าจะราวปี 46 ที่เราได้เจอกับโหนด (ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น) จาก สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) เขาทำชุมชนวิจัยชาวบ้านกับกลุ่มเเม่บ้าน คืองานวิจัยเรื่องขนมพื้นบ้านของกลุ่มเเม่บ้านมุสลิม สิ่งที่เขาอยากหาให้เจอไม่ใช่แค่ว่าทำขนมยังไง แต่คือประวัติศาสตร์ชุมชน ศาสนา ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับขนม ขนมเเต่ละชนิดมีคติธรรมหรือมีอะไรที่อยู่เบื้องหลังขนม ทำไมงานมงคลสมรสหรืองานบุญต้องมีขนมนี้ มันมีเรื่องเล่านะไม่ใช่เเค่ขนมที่เอามากินอย่างเดียว และความตั้งใจของกลุ่มข้อหนึ่งคือ เขาอยากฟื้นฟูความรู้เรื่องนี้เข้าไปอยู่ในหลักสูตรการศึกษา

“ประจวบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ออกมาไม่นาน ตอนอ่านเราดีใจ โดนใจมาก โดยเฉพาะหมวดที่ 4[1] ในการจัดการเรียนรู้ของเด็ก โรงเรียนต้องพัฒนาเด็กตามศักยภาพ การจัดการศึกษาต้องเกิดได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกคนคือภาคีที่จะมาร่วมกันจัดการศึกษาเเบบไหนก็ได้

“สองอย่างนี้ เราเลยเริ่มเห็นช่องทาง คือกฏหมายเเม่ก็ประกาศชัดเจน หลักสูตรเริ่มคลี่คลาย และพื้นที่เองก็มีเรื่องราวอยู่ เลยเกิดเป็นไอเดียที่จะเอางานวิจัยที่ชาวบ้านทำอยู่มาเป็นหลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งมีพื้นที่ บุคคล เเละกิจกรรม แล้วเราก็ร่วมงานกับทีมวิจัยและโหนด ร่วมสร้างหลักสูตรสถานศึกษา กำหนดให้ 30 เปอร์เซ็นต์เป็นหลักสูตรท้องถิ่น”

ไอเดียหลักขณะนั้นคือ ให้เด็กๆ ลงไปเรียนกับชุมชน เรียนกับชาวบ้านที่ทำวิจัยเหล่านี้ แต่ช่วงแรกๆ ครูยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มหลักสูตรชุมชนได้อย่างไร สุทธิซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนคิดวิธีการที่ดูเหมือนจะไม่มีใครทำมาก่อน นั่นคือ ประกาศหยุดการเรียนการสอนปกติเป็นเวลา 2 อาทิตย์! แล้วสร้างค่ายการเรียนรู้ท้องถิ่นด้วยฐาน 6 ฐาน เช่น ฐานประวัติศาสตร์ ฐานการทำขนม ฐานประเพณีวัฒนธรรม ให้ครูมาเขียนแผนกิจกรรมว่าในฐานๆ หนึ่ง ต้องให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการทำข้อมูล ครูเรียนรู้ร่วมกับเด็กด้วยการพาลงไปเก็บข้อมูลชุมชน คุยกับชาวบ้าน หรือบางฐานเขาต้องได้ลงมือทำ และวันปิด เราจะจัดเวทีให้เด็กๆ ทุกคนได้ขึ้นไปนำเสนอบนเวที

“สุดท้ายที่เราจัดเวทีให้เด็กนำเสนอข้อมูล เราเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมานั่งฟัง ทั้งครู ทั้งผู้ปกครอง ทั้งเจ้าหน้าที่ อบจ. อบต. หมออนามัย คนที่อยู่รอบบริเวณโรงเรียน คนที่เด็กไปเก็บข้อมูล เราเชิญมานั่งฟังหมด ที่มองว่าเป็นจุดคลิกคือ 

“การเสนอของเด็กสะท้อนตัวตนของเขาเอง การนำเสนอข้อมูลหมู่บ้าน เรื่องเล่าหนึ่งที่ยังเป็นความทรงจำคือ เด็กขึ้นเล่าว่าบ้านตะโละใสมีความเป็นมายังไง คำนี้เพี้ยนมาจากภาษามลายูว่าอะไร แต่ครูที่อยู่ที่นั่นยังไม่รู้เลยว่าบ้านตัวเองมีประวัติอย่างนี้

“อีกเรื่องที่ประทับใจมาก เล่าทุกเวทีเลยคือ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เด็กไปถาม ท่านเคยเป็นนักการภารโรงที่โรงเรียนนั้น  หลังเกษียณราชการไปก็ไม่เคยได้เหยียบย่ำกลับเข้ามาในโรงเรียนอีก ท่านพูดทั้งน้ำตาว่าได้มีโอกาสเข้ามาโรงเรียนอีกครั้งก็เพราะลูกหลานไปหาที่บ้าน ไปถามข้อมูลประวัติชุมชนหมู่บ้านกับเค้า วันนั้นเด็กๆ ก็เชิญท่านให้ไปฟังการนำเสนอของเด็กๆ มาแล้วดีใจ ปลื้มใจ ประทับใจที่ลูกหลานเอาเรื่องราวอดีตมาถ่ายทอดได้ แกก็พูดทั้งน้ำตานะ”

เหมือนได้รับคำยืนยันว่าวิธีการเรียนรู้กับชุมชนโดยครูไม่ได้เป็นผู้สอนแค่คนเดียวแบบนี้ มีความหมายและคุณค่าไม่เฉพาะกับผู้เรียนแต่รวมถึงเจ้าของความรู้อย่างชาวบ้านด้วย สุทธิ โหนด และทีมนักวิจัยจึงทำงานต่อเพื่อขยายวิธีการเรียนรู้แบบนี้ต่อไปยังโรงเรียนข้างเคียงอื่นๆ

แต่เพื่อยกระดับการเรียนรู้และเพื่อสร้างแกนให้ชัด สุทธิได้ทำวิจัยร่วมกับโหนดจาก สกว. พัฒนาโครงงานฐานวิจัย 10 ขั้นตอน ในช่วงปี 2548-2549 และผ่านการคัดเลือกให้เป็นรางวัลงานวิจัยดีเด่นในปี 2551[2] ด้วย

เครื่องบินที่พยายามหารันเวย์ลง กับ ความพยายามทุบกำแพงโรงเรียนที่เริ่มสำเร็จจริงในวัย 60 ปี  

ประเมินจากคนนอก การผลักงานเรื่องการเรียนรู้บนฐานชุมชนตลอดมาของเขาดูจะประสบความสำเร็จแล้วที่โรงเรียนบ้านตะโละใส แต่ลึกๆ ยังเชื่อว่าคงจะดีกว่านี้หากได้ผลักการเรียนรู้เช่นนี้ไปในหลักสูตรการศึกษาใหญ่ เมื่อถึงวาระเปลี่ยนย้ายโรงเรียน เขาได้รับความไว้ใจให้เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล ซึ่งถือเป็นโรงเรียนชั้นอนุบาลและประถมศึกษาประจำจังหวัด และในวันแรกที่รับตำแหน่ง สุทธิถือความท้าทายนั้นเดินเข้าโรงเรียนด้วย

“ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ภาพฝันของผู้ปกครองคือต้องการให้ลูกๆ ที่จบจากที่นี่เป็นคนเก่ง สอบแข่งขันเพื่อไปต่อโรงเรียนที่มีชื่อเสียงชั้นนำในภาคใต้ แล้วเด็กที่นี่มาจากทุกอำเภอของสตูลนะ บางคนบ้านกับโรงเรียนห่างกัน 70 กิโลก็มี เขาพยายามขนาดนั้นเพื่อที่จะเรียนที่นี่ก็ด้วยหวังสิ่งนี้

“2 ปีแรกของที่นี่ เราเหมือนเครื่องบินที่ไม่มีสนามจะลง ไม่รู้จะเอางานที่เราเคยทำมาลงตรงไหน” เพราะไม่สามารถสานต่อความฝันความเชื่อตัวเองได้

“มีวันหนึ่ง คุณครูมาคุยให้ฟังว่า ‘เนี่ย ผอ. เด็กเรากินอาหารกลางวันเหลือเยอะมาก เททิ้งเยอะ ทานไม่หมด’ หลังจากนั้นเราก็เดินไปคุยกับเด็กๆ พบว่าเขาไม่รู้จักต้นข้าวนะ ไม่รู้ว่าหน้าตารูปร่างมันเป็นแบบไหน อะ… เราก็กระตุกคิดละ ไปลองหยอดกับครูว่า ‘ที่นาใกล้ๆ โรงเรียนนี่พอจะมีมั้ยนะ’ ปรากฎว่ามี ไม่ไกลจากโรงเรียน ในหัวไม่มีอะไร ตอนนั้นแค่ต้องการดึงเด็กออกนอกห้องเรียน ไปทำนา”

เรียกว่ามองอะไรก็กลายเป็นการศึกษาและโครงงานฐานวิจัยได้ หลังจากนั้นสุทธิเริ่มชักชวนครูออกแบบกระบวนการพาเด็กๆ ไปทำนาและเริ่มถอดบทเรียนว่าการเรียนแบบนี้เวิร์กหรือไม่อย่างไร โชคดีที่ในเวลานั้นโรงเรียนอนุบาลสตูลได้รับคัดเลือกเข้าโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล สิ่งที่ได้คือ ชั่วโมงเรียนเพิ่ม 5 ชั่วโมง เพื่อเรียนวิชาที่เรียกว่า Independent Study (IS) วาระนี้จึงกลายเป็นประเด็นอย่างที่สุทธิกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า…

“กลายเป็นรันเวย์ให้เราเอางานวิจัย 10 ขั้นตอนมาลง ได้ในปี 53”

แต่แน่นอนว่าทางเดินไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ (อีกแล้ว) เพราะนี่คือโรงเรียนใหญ่ที่ทุกคนคาดหวังความสำเร็จทางวิชาการและมีภาพจำถึงการเรียนรู้ในห้องเรียนแบบเดิม รวมทั้งบุคลากรครูยังเชี่ยวชาญการสอนในแบบที่เคยทำกันมา แม้เชื่อว่าการเรียนอย่างโครงงานฐานวิจัยจะมีผลดี แต่ครูที่สอนแบบเดิมมาสิบยี่สิบปี แม้ตั้งใจแต่จะให้เปลี่ยนในข้ามคืนคงเป็นเรื่องยาก

“เราเริ่มจากครู 12 ราศี 4 แกนนำ”

สุทธิประเมินแล้วว่าหากเริ่มใช้วิธีเดิมอย่างที่ตะโละใสคือ ปิดการเรียน 2 อาทิตย์แล้วให้ครูเปลี่ยนทีเดียว ไม่มีทางทำได้ แรงกดดันจะมหาศาลแน่ๆ สิ่งที่ทำคือ ชวนครู 12 แกนนำที่อยากเปลี่ยนแปลงร่วมด้วย …ไปกินข้าวริมทะเล ณ ชุมชนบ่อ 7 ลูก!

“บอกครูแกนนำ 12 คนว่าไปเที่ยวกัน 2 วัน 1 คืน ไปกินอาหารทะเลกันนะ ไปรีแลกซ์กัน บรรยากาศชายทะเลที่สงบ ก็หารถไปกันเองนี่แหละ แต่เราก็เตรียมกับทีมงานวิจัยเดิมของเราไว้ทางนู้นแล้วแหละแต่ไม่บอกครู ถึงที่นั่นเราก็เอาคลิปวิดีโอของตะโละใสขึ้นจอ คุยกับครู แล้วตั้งคำถามว่าอยากเห็นเด็กเป็นแบบนี้มั้ย อย่างน้อยครูก็พยักหน้าแล้วล่ะว่าเป็นงานที่ท้าทายและอยากให้เด็กลองดู แล้วเราก็ได้วิธีการมา

“ช่วงปีนั้น คุณครูเค้าทำงานกันหนักมากนะ ครูหนึ่งคนรับผิดชอบสามห้องเรียนในการขึ้นโจทย์วิจัย ซึ่งแต่ละห้องจะมีโจทย์ไม่เหมือนกัน แปลว่าครู 12 คนนี้ทำงานกับเด็กทั้ง 36 ห้อง ส่วนครูคนอื่นก็เป็นบัดดี้ร่วมเรียนรู้กันไป แล้วเราถอดบทเรียนกันทุกวัน ครูกลุ่มนี้กลับบ้านไม่ต่ำกว่าสองทุ่ม พาครูไปเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียน ส่วนฟีดแบกของผู้ปกครองช่วงแรกก็ยังกังวลว่าการพาเด็กลงไปพื้นที่นี่มันยังไงนะ หลายคนไม่โอเค ไม่เห็นด้วย ถามเราว่าแล้วลูกจะติวกันช่วงไหน ยังไง โอเน็ตจะต่ำมั้ย สอบเข้าโรงเรียนได้มั้ย? ก็บอกว่าคงไม่ทิ้งและเราจะพยายามดูแลเรื่องนี้นะ แต่พอผ่านปีแรกไป เราดีใจนะ ทุกคนยินดีที่จะร่วมเดินทางไปกับเราต่อ ผู้ปกครอง ครูทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมเรียนรู้ผ่านงานนี้”

จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่โรงเรียนอนุบาลสตูลก็ค่อยๆ พัฒนาหลักสูตรโครงงานฐานวิจัยจนแข็งแรง ตัวอย่างงานวิจัยที่มีชื่อเสียงคือ “โครงงานศึกษาการตามรอยฟอสซิลในอำเภอเมืองสตูล เพื่อร่วมกับชุมชนพัฒนาเป็นแหล่งการเรียนรู้ในจังหวัดสตูล” โดยกลุ่มนักเรียนป.4 ที่เริ่มทำโครงงานและพบซากฟอสซิลมากมายในพื้นที่อำเภอเมือง เช่น ฟอสซิลหอยสองฝา ไครนอยด์ (พลับพลึงทะเล)

ปัจจุบันโรงเรียนอนุบาลสตูลได้รับการยอมรับในเชิงการจัดการเรียนรู้ ครูและนักวิจัยที่ร่วมทำงานกันมาเริ่มกลายเป็นโค้ชช่วยส่งต่อวิธีคิดและการทำงานเช่นนี้ให้กับโรงเรียนหลายจังหวัดในประเทศไทย โรงเรียนอนุบาลสตูลเองก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา

ทั้งหมดนี้พูดไม่ได้ว่ามาจากการทำงานของสุทธิเพียงคนเดียว เพราะเขาเองก็พูดอยู่เสมอว่าความสำเร็จในวันนี้ต้องยกเครดิตให้กับเหล่าทีมงาน ตั้งแต่การเป็นครูที่โรงเรียนท่าแพ การเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนบ้านทุ่งนุ้ยมิตรภาพ กระทั่งการเป็นอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนบ้านวังสายทอง และโดยเฉพาะการเป็นผู้อำนวยการที่โรงเรียนบ้านตะโละใส ได้ทำงานร่วมกับโหนด ชาวบ้าน และอาจารย์ พัฒนางานวิจัยที่เป็นกระดูกสันหลังและเป็นความภาคภูมิใจ เรื่อยมาถึงการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล ที่เรียกว่าเป็นเมืองหลวงของสตูล และผลักดันหลักสูตรชุมชนนี้สำเร็จในระบบไปขั้นหนึ่ง

“วันแรกที่มาทำงานที่นี่ สิ่งแรกที่คิดว่าต้องทำคือ ทุบกำแพงโรงเรียน ไม่ใช่กำแพงที่เป็นอิฐปูน แต่ต้องการเปลี่ยนความคิดว่าการจัดการศึกษากับเด็กๆ เป็นหน้าที่ทุกคน ไม่ผูกขาดว่าหน้าที่ผู้ปกครองจะหมดลงเมื่อมาส่งลูกที่ประตูโรงเรียนตอน 7 โมงเช้าแล้วหลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของคุณครู เราไม่แบ่งหน้าที่กันที่หน้าประตูโรงเรียน เพราะเชื่อว่าการจัดการเรียนรู้ไม่ใช่แค่ 5-6 ชั่วโมงในโรงเรียน ทั้งผู้ปกครองและครูต้องเข้าใจร่วมกัน เราคงไม่มีกำแพงขวางกั้นระหว่างผู้ปกครองกับคุณครู”

รู้สึกอย่างไรกับการเดินทางตลอด 40 ปีบนถนนสายการศึกษาของตัวเอง?  – เราถาม

“สี่สิบปีที่เคลื่อนมาดูเหมือนยาว แต่สัมผัสจริงๆ แล้วไม่ยาวนะ ไม่ไกล ถามว่าวันนี้สำเร็จตามเป้ามั้ย? ก็คิดว่าเราทำงานสำเร็จทุกวันเราไม่ได้หวังเป้าอะไรมากมายแต่คิดว่าเราให้กำลังใจตัวเองว่าเราทำงานกับเด็กทุกวัน วันนี้ได้คุยกับเด็กคนนี้ ได้คุยกับผู้ปกครองคนนี้ ได้คุยกับครูคนนี้ มันมีอะไรระหว่างทางที่เราสัมผัสได้ว่าถึงความงอกงามในหลายมิติ มันเป็นกำลังใจซึ่งเราไม่ต้องป่าวประกาศ แต่สัมผัสได้ว่าที่เราทุ่มเท ที่เคยคิดว่าวงครอบครัวเราจะเล็กลง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นนะ เรามีสมาชิกมากขึ้น”

ครั้งหนึ่งระหว่างคุยกัน เราถามเขาว่า การทำงานตลอด 40 ปีอย่างต่อเนื่องอย่างไม่เคยวอกแวกไปเดินเส้นทางอื่นเลย มันเป็นอย่างไรนะ? เราเองที่เพิ่งทำงานมาสี่ห้าปี ไม่เคยจินตนาการชีวิตแบบนั้นได้ สุทธิเพียงตอบอย่างธรรมดาว่า

“ผอ.ไม่เคยคิดเลยนะ ไม่เหนื่อย ทำไปเรื่อยๆ คิดแค่ว่างานที่ทำมันมีประโยชน์”

สูตรการทำงานของคุณครูใหญ่ใจดีของเด็กๆ ของนักขับเคลื่อนการศึกษาที่มั่นคงและทำจริง ของนักคิดและนักบริหารที่ดึงความสามารถในตัวคนขึ้นมาใช้งานเก่ง ของนักวิจัยที่เคลื่อนงานชุมชนอย่างไม่ลดละ ในชื่อ สุทธิ สายสุนีย์ อาจเรียบง่ายแค่นี้

‘ทำไปเรื่อยๆ ทำสิ่งที่มีประโยชน์’

 เรื่อยๆ แต่ไม่หยุด ผ่านไปไม่นานก็แค่ 40 ปีเอง 

*พื้นที่นวัตกรรม โครงการนำร่องแห่งการปฏิรูปการศึกษา ที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน เป็นอิสระ บริหารจัดการตัวเอง เป็นการร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายและชุมชน ร่วมกันออกแบบการศึกษาเพื่อทำให้ความหลากหลายของการศึกษาปรากฏตัว
พื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)
อ้างอิง
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
การจัดการศึกษาบูรณาการระหว่างนักเรียนกับชุมชนของโรงเรียนบ้านตะโละใส ต.ปากน้ำ อ.ละงูจ.สตูล
มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่

Tags:

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาสตูลสุทธิ สายสุนีย์โรงเรียนอนุบาลสตูล

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Creative learning
    การออกแบบการสอนที่ให้เด็กทำสิ่งสำคัญ คือ การ ‘ฝัน’ และพิสูจน์สิ่งที่ฝันให้ได้ก่อน: อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ เลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learningLearning Theory
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    สมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล: คุณภาพการศึกษาที่สร้างโดยคนใน

    เรื่องและภาพ The Potential

เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้
Relationship
28 September 2020

เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ทฤษฎีเกม (Game theory) ว่าด้วยเรื่องการตัดสินใจของมนุษย์ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง ระหว่างตนและฝ่ายอื่นๆ การตัดสินใจนั้นจะส่งผลให้มีฝ่ายแพ้ ชนะ หรือเสมอ ขึ้นกับว่าใครได้ผลประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากน้อยกว่ากัน และผลลัพธ์ของเกมไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอีกฝ่ายด้วย
  • ความขัดแย้งระหว่างคู่รักเปรียบเสมือนเกมชนิดหนึ่ง ‘เกมของความรัก’ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องตอบสนองต่อความขัดแย้ง เช่น จะเถียงต่อหรือจะหยุด จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะตามใจเขาหรือตามใจตัวเอง และผลลัพธ์ว่าจะ ‘ชนะ’ หรือไม่มันขึ้นกับทั้งตัวเราและอีกฝ่ายว่าตัดสินใจอย่างไร
  • บางคนมักเล่นเกมของความรักด้วยการเป็นฝ่ายโอนอ่อน และยอมอย่างเดียวเพราะคิดว่าจะเอาใจอีกฝ่าย การยอมไม่ทำให้เกิดผลเสียที่ร้ายแรงที่สุดก็จริง แต่ในการเล่นเกมซ้ำหลายรอบในระยะยาวอาจเป็นปัญหาได้

การหาคนรักที่ว่ายากแล้ว การรักษาความรักให้ยืนนานยิ่งยากกว่ามาก เพราะชีวิตรักไม่ใช่ละครหรือนิยายที่คบหรือแต่งงานกันแล้วคือเรื่องอวสาน จากนั้นก็รักกันไปตลอดกาล คู่รักในชีวิตจริงถึงจะรักกันแค่ไหน แต่ลิ้นกับฟันย่อมกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา คู่ไหนที่นานๆ ทะเลาะกันทีเป็นสีสัน หรือคู่ที่ถึงทะเลาะก็หาทางเคลียร์ปัญหากันได้ถือว่าโชคดีมากครับ เพราะมีอีกหลายคู่ที่ทะเลาะกันได้แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ ทะเลาะกันแทบทุกวัน และบางคู่เถียงกันข้ามวันเรื่องก็ยังไม่จบ มีแฟนหรือแต่งงานแล้วทั้งทีแทนที่จะสุข ต้องกลับมาอมทุกข์ทุกวันเพราะทะเลาะกับคนรัก 

น่าแปลกไหมครับ ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็รักกัน ต่างก็ให้ความสำคัญแก่กันและกัน แล้วทำไมมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล ถึงจัดการกับความขัดแย้งระหว่างตนกับคนรัก หนึ่งในคนที่น่าจะมีเมตตา กรุณา มุทิตา กับตนที่สุดคนหนึ่งไม่ได้ บางคู่ถึงขั้นอุเบกขาคือ ทำใจปล่อยวางด้วยการเลิก ในเมื่อเข้ากันไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่องก็เลิกรากันดีกว่า

วันนี้ผมเลยอยากจะชวนคู่รักมาแก้ปัญหาด้วยการมองความขัดแย้งกันหรือการทะเลาะกันของคู่รักว่าเป็น ‘เกม’ แบบหนึ่ง ผมขอเรียกเกมนี้ว่า ‘เกมของความรัก‘ แต่ทำไมผมถึงอยากให้ท่านมองแบบนั้น ก่อนอื่นผมขอแนะนำ ‘ทฤษฎีเกม’ ให้ท่านรู้จักกันก่อนนะครับ

ทฤษฎีเกม (Game theory) เป็นทฤษฎีที่วงการสังคมศาสตร์ (ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่ต่างๆ) หลากหลายสาขาตั้งแต่เศรษฐกิจ การเมือง จิตวิทยา ฯลฯ ให้ความสนใจในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยทฤษฎีนี้ว่าด้วยเรื่องของการตัดสินใจของมนุษย์ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง ระหว่างตนและฝ่ายอื่นๆ การตัดสินใจนั้นจะส่งผลให้มีฝ่ายแพ้ ชนะ หรือเสมอ ขึ้นกับว่าใครได้ผลประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากน้อยกว่ากัน และผลลัพธ์ของเกมไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอีกฝ่ายด้วย จริงๆ แล้วหากมองให้ง่ายๆ ก็คล้ายๆ กับเกมทั่วไปแหละครับ ลองนึกถึงเกม ‘เป่ายิ้งฉุบ’ เกมนี้มีทั้งผลแพ้ ชนะ และเสมอ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ผลด้วยการเลือกของตัวเราฝ่ายเดียวว่าจะออกค้อน กรรไกร หรือกระดาษ แต่ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายตรงข้ามด้วยว่าออกอะไร 

การทะเลาะกันของคู่รักจะมองว่าเป็นเกมแบบหนึ่งในทฤษฎีเกมก็ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องตอบสนองต่อความขัดแย้ง เช่น จะเถียงต่อหรือจะหยุด จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะตามใจเขาหรือตามใจตัวเอง และผลลัพธ์ว่าจะ ‘ชนะ’ หรือไม่มันขึ้นกับทั้งตัวเราและอีกฝ่ายว่าตัดสินใจอย่างไร เป้าหมายหนึ่งของทฤษฎีเกมคือทำนายว่าคนมักจะตอบสนองอย่างไรกับเกมรูปแบบต่างๆ และการตอบสนองแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับเกมในแต่ละประเภท การตอบสนองแบบใดที่มีโอกาสจะได้ผลประโยชน์สูงสุด หรือเป็นผู้ชนะของเกม แต่ก่อนจะตอบคำถามว่า แล้ว ‘เกมของความรัก’ จะเล่นอย่างไรให้ชนะ เรามาดูเกมอื่นๆ กันก่อนดีกว่าครับ เพื่อให้เห็นตัวอย่างวิธีวิเคราะห์สถานการณ์ในรูปแบบของเกมกัน

เกมยอดนิยมที่มักใช้เป็นตัวอย่างของทฤษฎีเกมชื่อว่า ‘Prisoner’s Dilemma’ ซึ่งจำลองสถานการณ์ที่ผู้ต้องสงสัย 2 คนถูกตำรวจสอบปากคำแยกกัน ตำรวจพยายามเอาผิดทั้งคู่ให้ได้ เกมนี้ถ้าทั้งคู่ต่างสารภาพว่าทำผิด โทษติดคุกปกติคือ 5 ปี แต่ถ้าเกิดปากแข็งทั้งคู่ ตำรวจก็เอาผิดไม่ได้ ไม่ต้องติดคุก ฟังแล้วการไม่สารภาพย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจริงไหมครับ แต่เกมมันไม่ง่ายแบบนั้น ทั้งคู่ถูกสอบปากคำแยกกัน และไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายตอบอะไรไป และทั้งคู่ได้รับการเกลี้ยกล่อมจากตำรวจว่าถ้าตนยอมสารภาพ และหากอีกฝ่ายไม่สารภาพ ถึงแม้จะเท่ากับมีความผิดทั้งคู่ แต่ฝ่ายสารภาพจะถูกลดโทษให้เหลือแค่ 6 เดือนเนื่องจากให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แต่อีกฝ่ายที่ไม่สารภาพจะถือว่าให้การเท็จ และต้องเพิ่มโทษเป็น 10 ปี 

หากต้องการชนะ หรือไม่ติดคุก ผู้เล่นต้องเชื่อใจว่าอีกฝ่ายว่าจะไม่สารภาพเหมือนกัน ซึ่งจะได้ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของเกมนี้คือรอดทั้งคู่ แต่การเงียบไว้มันก็มีความเสี่ยงที่จะพบกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคืออีกฝ่ายหักหลังสารภาพ กลายเป็นติดคุก 10 ปีแทน ดังนั้น แม้ว่าการสารภาพได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเท่า แต่ก็ดูเสี่ยงน้อยกว่าคือติดแค่ 6 เดือน หรืออย่างมากก็ 5 ปี 

มาดูกันอีกสักเกม เกมนี้ชื่อ ‘Chicken’ เป็นเกมแข่งความใจเด็ดรูปแบบหนึ่ง โดยแต่ละฝ่ายจะซิ่งรถด้วยความเร็วสูงตรงไปที่หน้าผา ใครเบรกก่อนก็ถือว่าใจเสาะและแพ้ไป ถ้าเบรกทีหลังก็ถือว่าใจเด็ดกว่าและเป็นผู้ชนะ ประเด็นคือควรจะเบรกตอนไหนถ้าอยากเป็นผู้ชนะ หากผู้เล่นเกมทั้งคู่คิดตรงกันว่าต้องชนะให้ได้ ไม่มีใครเบรก ผลสุดท้ายคือตกหน้าผาตายทั้งคู่ ถึงจะเบรกพอดีตรงขอบหน้าผาก็ไม่การันตีว่าจะชนะนะครับ ถ้าอีกฝ่ายล้อหน้าวิ่งบนอากาศไปแล้วแต่ถ้าโชคดีล้อหลังยังรั้งไว้ได้ไม่ตก เราก็แพ้อยู่ดี ดังนั้น สถานการณ์ที่ปลอดภัยและน่าจะรับได้ของทั้งคู่คือการเบรกพร้อมกัน ผลคือเสมอกันไป ไม่แพ้เรื่องใจเด็ดแถมไม่ตายฟรีด้วย แต่แบบนั้นไม่ถือว่าได้รางวัลใหญ่สุดในเกม คือเป็นฝ่ายชนะ

สังเกตว่าเกม Prisoner’s Dilemma ถ้าจะชนะด้วยผลประโยชน์ต่อคนที่สูงที่สุด ต้องชนะทั้งคู่เท่านั้น ส่วนการเลือกทางเลือกอื่นมีแต่การเสียประโยชน์ เสียมากหรือเสียน้อยก็แค่นั้น ส่วน Chicken ถ้าจะชนะด้วยผลประโยชน์ต่อคนที่สูงที่สุด ชนะได้แค่คนเดียว แต่การชนะก็เป็นเรื่องเสี่ยงมาก และทางเลือกอื่นอย่างการเสมอเป็นผลที่ยังยอมรับได้ เกมยังมีอีกมากมายหลายรูปแบบและลักษณะของทางเลือกที่มีต่อผลลัพธ์แพ้ชนะก็แตกต่างกันออกไป บางเกมไม่มีวิธีชนะเลยด้วยซ้ำ ผลลัพธ์ที่ทำได้ดีที่สุดคือเสมอ เช่น สงครามนิวเคลียร์ ประเทศไหนเริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน ก็จะโดนนิวเคลียร์จากประเทศอื่นๆ ตอบโต้และสุดท้ายโลกก็วินาศหมด ถือว่าแพ้ทุกฝ่าย ดังนั้น เกมนี้ทำได้แค่นิ่ง ไม่ยิง และเสมอกัน 

ว่าแล้วเราก็มาตอบคำถามที่ทิ้งกันไว้ว่าเราจะชนะ ‘เกมของความรัก’ อย่างไร ยกตัวอย่างคู่รักที่ทะเลาะกันเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน เถียงกันเท่าไรก็ไม่ลงตัวสักที หลายครั้งความโกรธ ความหงุดหงิด ความคับข้องใจ ทำให้คู่รักที่เหมือนผู้เล่นเกมเผลอคิดไปว่า ถ้าตนเถียงชนะอีกฝ่าย เกมนี้ตนคือผู้ชนะ แต่จริงๆ แล้วการชนะในเกมนี้คำตอบคือมันขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายด้วยครับ ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม เถียงต่อ เกมนี้ก็ไม่จบ และเป็นผลลัพธ์แบบแย่ที่สุดคือไม่มีผู้ชนะเลย บางท่านอาจจะคิดว่าถ้าแบบนั้นก็ต้องเถียงให้ชนะสิ คำถามคือแล้วการเถียงชนะมันคือผลประโยชน์ที่ท่านต้องการจริงๆ หรือเปล่า… 

ตอนท่านกำลังเถียงกับแฟนฉอดๆ ท่านอาจจะต้องคิดดีๆ ว่าท่านกำลัง ‘เล่นเกมแบบไหน’ และเกมนี้ ‘ผลประโยชน์สูงสุดนั้นคืออะไร’ ท่านต้องการผลประโยชน์ที่เหนือกว่าในแง่ของการ ‘เถียงชนะ’ จริง ๆ หรือเปล่าครับ ซึ่งการเลือกให้ได้ผลลัพธ์นี้อาจแลกมาด้วยความเสี่ยงคือ แฟนท่านก็ไม่ยอม ส่งผลให้ทะเลาะกันยืดเยื้อต่อไป ซึ่งถ้าเลือกเถียงต่อ ท่านยอมรับการแพ้ทั้งคู่แบบนี้ไหม แต่ถ้าท่านยอมโอนอ่อน ยอมอีกฝ่ายบ้าง เช่น ยอมรับความคิดว่าอีกฝ่ายก็มีส่วนถูก อีกฝ่ายอาจจะพอใจและยืนกรานความคิดของตน ซึ่งท่านคงไม่พอใจนัก แต่อย่างน้อยเรื่องก็น่าจะจบแน่ๆ แถมถ้าอีกฝ่ายพอเห็นท่านโอนอ่อน เขาก็อาจจะโอนอ่อนยอมรับฟังท่านบ้างก็ได้ ท่านอาจจะไม่ชนะเป็นการส่วนตัว แต่เกมของความรักนี้ ท่านและคนรักชนะทั้งคู่ เพราะจบเรื่องได้ด้วยดี

อย่างไรก็ตามการยอมอีกฝ่ายนั้น ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกเกม ท่านเคยมีปัญหากับแฟนไหมครับว่า ‘มื้อนี้กินอะไรดี’ เกมนี้ถ้าคิดเหมือนกันคือ ฉันจะกินแต่สิ่งที่อยากกินเท่านั้น ก็ต่างคนต่างแยกไปกินร้านที่ตัวเองอยาก แต่แบบนั้นไม่น่าจะใช่คำตอบของการไปกินข้าวด้วยกันของคนรักจริงไหมครับ แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยอมทั้งคู่ ผลลัพธ์ของเกมก็กลับไม่ดีตาม เพราะตกอยู่ในภาวะตัดสินใจไม่ได้ กลายเป็นเกี่ยงกันเลือก เกมนี้ต้องมีฝ่ายหนึ่งยอมตามอีกฝ่าย และอีกฝ่ายยืนกรานความคิดของตน ถึงคนหนึ่งไม่ได้ไปกินร้านที่ตัวเองอยากกิน ดูเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์ แต่อย่างน้อยที่สุดผลประโยชน์ที่ได้รับคือได้ไปกินข้าวแฟน แถมแฟนก็อารมณ์ดีได้กินของที่ชอบ ทางเลือกนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุด ชนะทั้งคู่ แต่ได้ผลประโยชน์ไม่เท่ากัน แต่ก็ดีกว่าการแยกร้านกิน หรือเกี่ยงกันเลือกไม่จบเสียที

เกมในชีวิตนั้นยากกว่าเกมสมมติตรงที่ว่าเราไม่ได้ทะเลาะกันแค่ครั้งเดียว สิ่งหนึ่งที่ต้องเอามาคำนวณในทฤษฎีเกมคือ จะเกิดเกมต่อไปอีกหรือไม่ ต่อให้เล่นเกมเดียวกันวิธีการตัดสินใจของการเล่นแบบครั้งเดียวจบ อาจไม่เหมือนเกมที่ต้องเล่นซ้ำหลายรอบ อย่าง Prisoner’s Dilemma ถ้าให้เล่นรอบเดียวคงยากเหมือนกันว่าจะตอบอะไร แต่ถ้ารู้ว่าต้องเล่นเกมเดิมกับคนเดิมอีกหลายๆ ครั้ง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการยอมเชื่อใจอีกฝ่ายแต่แรก เพราะถ้าครั้งแรกปากแข็งทั้งคู่ นอกจากจะได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือไม่ติดคุกทั้งคู่แล้ว ยังทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจ และทำให้เกมในรอบต่อๆ ไปง่ายขึ้น ชนะแบบง่ายๆ ไปด้วยกัน 

เกมของความรัก ไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวหรอกครับ ยกเว้นว่าครั้งแรกที่ทะเลาะกันก็เลิกกันเสียแล้ว ดังนั้น ถ้าหากอยากให้รักยืนนาน เราต้องมองถึงเกมต่อๆ ไปในอนาคตด้วย หากท่านทะเลาะกับแฟน ท่านไม่เคยยอมแฟนสักครั้ง แฟนก็อาจจะไม่พอใจสะสมขึ้นเรื่อยๆ และเหลืออดไม่ยอมท่านในสักวัน ท่านต้องดูด้วยว่าถ้าท่านชนะครั้งนี้ ครั้งต่อไปมันจะเป็นผลประโยชน์กับท่านและชีวิตรักของท่านอย่างไร เกมที่ท่านชนะรอบนี้ อาจจะส่งผลให้ท่านต้องแพ้ หรือเกิดผลร้ายสูงสุดแทนในรอบหน้า งานวิจัยพบว่าในเกมของความรัก บุคคลหากรู้ว่าคู่รักจะยอมเสียสละให้ตนก่อนแน่นอน เขาก็พร้อมและยินดีที่จะเป็นฝ่ายเสียสละบ้างเช่นกัน ดังนั้น ถ้าท่านเคยอ่อนข้อมาก่อน ครั้งต่อไปอีกฝ่ายก็อาจจะอ่อนข้อให้ท่านเช่นกัน วันนี้ฉันยอมกินสุกี้กับเธอ แต่อาทิตย์หน้าเธอต้องมากินพิซซ่ากับฉัน

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ บางคนมักเล่นเกมของความรักด้วยการเป็นฝ่ายโอนอ่อน และยอมอย่างเดียวเพราะคิดว่าจะเอาใจอีกฝ่าย ทุกอย่างคงราบรื่นกว่า ถ้าหากเราย้อนกลับไปดูสถานการณ์ตัวอย่าง การยอม ไม่ทำให้เกิดผลเสียที่ร้ายแรงที่สุดก็จริง แต่ในการเล่นเกมซ้ำหลายรอบในระยะยาวอาจเป็นปัญหาได้ ท่านเคยเห็นคู่รักที่คนโกรธคือคนที่ถูกตามใจไหมครับ โกรธเพราะอีกฝ่ายไม่เคยเสนอความต้องการหรือจุดยืนของตัวเองเลย จะกินอะไรก็ตามใจเธอหมด ทะเลาะกันก็ฉันผิดเอง จะผิดถูกไม่รู้รีบขอโทษก่อนทุกครั้ง แต่ทั้งๆ ที่ยอมขนาดนี้ พอผ่านไปนานๆ อีกฝ่ายกลับไม่พอใจเสียอย่างนั้น 

งานวิจัยพบว่าความสัมพันธ์ที่ราบรื่นนั้น แต่ละฝ่ายต้องเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ การเป็นผู้ให้อย่างเดียวเหมือนจะดูดีเพราะดูเหมือนว่าเป็นผู้เสียสละยอมตามใจอีกฝ่าย แต่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเห็นแก่ตัว ไม่เคยเสียสละ ไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่าย เป็นคนรักที่ไม่ดี รู้สึกว่าตนไม่เท่าเทียมอีกฝ่าย สร้างความทุกข์และไม่พอใจให้กับฝ่ายที่รับการเสียสละ ดังนั้น การยอมเป็นผู้รับก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่แน่นอนครับการเป็นผู้รับอย่างเดียวก็ย่อมไม่ดีแน่นอน เพราะอีกฝ่ายจะรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบ การเป็นผู้รับบ้าง ผู้เสียสละบ้างจะทำให้ความสัมพันธ์ยืนนานกว่า ความรักที่ดีคือคู่รักต้องรู้สึกว่าเกมนี้ ฉันและเธอเท่าเทียม หรือถ้าไม่เท่าเกมนี้ แต่ภาพรวมโดยเฉลี่ยแล้วการเป็นผู้รับและผู้ให้อยู่ในระดับที่เท่าเทียม หรือใกล้เคียงกัน

ในชีวิตรักจะมีเรื่องราวที่เราต้องขัดแย้งกับคนรัก ให้เราเล่น ‘เกม’ กันหลายต่อหลายครั้ง และแต่ละครั้งเกมอาจจะเป็นเกมคนละแบบ ดังนั้น ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้ง สิ่งสำคัญที่สุด ตั้งสติแล้วมองให้ออกว่า นี่คือ ‘เกมแบบไหน’ และคิดให้ดีว่า ‘ผลประโยชน์สูงสุด’ ที่ท่านต้องการคืออะไร เลือกทางที่มีโอกาสได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราหรือทั้งคู่ แต่ถ้าสังเกตให้ดีสุดท้ายทางที่ต้องหาคือผลประโยชน์สูงสุดของทั้งคู่ในทุกเกมแหละครับ มันไม่มีเกมของความรักเกมไหนหรอกครับ ที่มีคนชนะแค่คนเดียวแล้ว รู้สึกดี สะใจ พอใจอยู่ฝ่ายเดียว เพราะใครจะอยากให้คนที่เรารักต้องมาทุกข์ เสียใจ ยังแอบโกรธ หรือคับข้องใจ ถ้าใครต้องการแบบนี้ ถึงจะดูเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ยากที่จะเรียกว่า ‘เกมของคนที่รักกันอยู่’

เกมของความรักชนะคนเดียวไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ชนะทั้งคู่ ก็แพ้ทั้งคู่

อ้างอิง
Game theory
Gleason, M. E., Iida, M., Bolger, N., & Shrout, P. E. (2003). Daily supportive equity in close relationships. Personality and Social Psychology Bulletin, 29(8), 1036-1045.
Kogan, A., Impett, E. A., Oveis, C., Hui, B., Gordon, A. M., & Keltner, D. (2010). When giving feels good: The intrinsic benefits of sacrifice in romantic relationships for the communally motivated. Psychological Science, 21(12), 1918-1924.
Van Lange, P. A., Agnew, C. R., Harinck, F., & Steemers, G. E. (1997). From game theory to real life: How social value orientation affects willingness to sacrifice in ongoing close relationships. Journal of Personality and Social Psychology, 73(6), 1330.
Wolf, S. T., Insko, C. A., Kirchner, J. L., & Wildschut, T. (2008). Interindividual-intergroup discontinuity in the domain of correspondent outcomes: the roles of relativistic concern, perceived categorization, and the doctrine of mutual assured destruction. Journal of personality and social psychology, 94(3), 479.

Tags:

จิตวิทยาความสัมพันธ์ความรักความขัดแย้ง

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Asexual ชีวิตที่อยู่นอกกรอบเรื่องรักใคร่

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

แยกความรักออกจากการทำร้ายร่างกาย: คุยกับ เบส-SHero เรื่องการก้าวออกจากความรุนแรงในครอบครัว  
Social Issues
25 September 2020

แยกความรักออกจากการทำร้ายร่างกาย: คุยกับ เบส-SHero เรื่องการก้าวออกจากความรุนแรงในครอบครัว 

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • ชวนเข้าใจประเด็นความรุนแรงในครอบครัวกับเบส – บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ทนายความและผู้ก่อตั้งกลุ่ม SHero พื้นที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายกับเคสความรุนแรงทุกรูปแบบ
  • คุยกันตั้งแต่ทำไมผู้ถูกกระทำถึงใช้เวลาสักพักค่อยก้าวเดินออกมาจากความสัมพันธ์ กระบวนการยุติธรรมที่ส่วนหนึ่งมองบนฐานการสมานฉันท์และการรักษาครอบครัวเป็นหลัก และหากจะดำเนินการก้าวออกจากความรุนแรง จากจุดเริ่มต้นถึงตอนจบ เราทำอะไรได้บ้าง
  • “ปัญหาหลักของกระบวนการยุติธรรมไทย คือแทนที่จะทำงานแบบ survivor-centered approach ให้ผู้ถูกกระทำเป็นศูนย์กลางของการออกแบบการช่วยเหลือ แต่เขาดันไปให้ครอบครัวเฉยเลยว่า ‘คุณต้องรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้’ ” 

ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า

คือคำแนะนำบทบาทหน้าที่สามีภรรยาและสมาชิกในครอบครัวไทยที่อยู่คู่สังคมมาอย่างช้านาน เรามักถูกสอนว่า ไม่ว่าครอบครัวจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นให้เก็บไว้ในบ้าน อย่าได้ไปเล่าให้คนอื่นฟังเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็กลายเป็นกำแพงกั้นไม่ให้คนอื่นเข้าไปช่วยเหลือหรือแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อช่วยประเมินสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสมจริงขึ้น 

สำหรับเราคิดว่า ใช่ เพียงส่วนหนึ่งที่เรื่องในครอบครัวสมาชิกควรจัดการกันเอง แต่บางสิ่งเราก็ไม่สามารถตีกรอบมันว่าเป็นแค่เรื่องภายในบ้าน เช่นความรุนแรงในครอบครัว ถ้าเราเห็นสามีกำลังตบภรรยา หรือพ่อแม่ใช้ถ้อยคำรุนแรงกับลูก เราจะสามารถมองว่าเป็นเรื่องครอบครัวได้ไหม? — ทั้งที่เหมือนจะตอบง่ายเพราะเรากำลังเจอความรุนแรงต่อหน้า (คนตรงหน้าอาจตายเลยด้วยซ้ำถ้าเราไม่เข้าไปช่วย) แต่นี่แทบจะกลายเป็นคำถามท้าทายหลายยุคหลายสมัยไม่เฉพาะแต่สังคมไทยเลยทีเดียว

เบส – บุษยาภา ศรีสมพงษ์

เพื่อให้เข้าใจประเด็นนี้มากขึ้น เราชวนเบส – บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ทนายความและผู้ก่อตั้งกลุ่ม SHero มาคุยกัน เพราะเคยตกอยู่ในสถานะผู้ถูกกระทำ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจสร้าง SHero กลุ่มที่ให้คำปรึกษาทางกฏหมายกับเคสความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะความรุนแรงในครอบครัว 

“ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เรารู้เลยว่า ถึงเราจะมีคาแรกเตอร์ดูเป็นคนเข้มเเข็ง มีความรู้ทางกฏหมาย มีทุกอย่างอยู่ในมือ แต่กว่าเราจะตัดสินใจเดินออกมาจากจุดนั้นมันยากมากนะ เราเข้าใจผู้ถูกกระทำเลย”

บทสนทนาต่อไปนี้จะทำให้เราเข้าใจประเด็นความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น ตั้งแต่บริบทความรุนแรงในครอบครัว กระบวนการทางกฏหมาย มุมจิตวิทยาเพื่อเข้าใจสภาวะของผู้ถูกกระทำและผู้กระทำ

หมายเหตุ: บทความต่อจากนี้จะใช้คำว่า ‘เคส’ หรือ ผู้ถูกกระทำ แทนคำว่า ‘เหยื่อ’ ที่มาจากคำว่า victim เพราะไม่ต้องการซ้ำเติมภาพการเป็น ‘เหยื่อ’ ที่อยู่ในที่ต่ำกว่า ไร้ทางสู้ อ่อนแรงอ่อนแอกว่า โดยปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ เลือกใช้คำว่า survivor เพื่อให้เห็นภาพของผู้ที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้วและออกมาบอกเล่าเรื่องราวหรือบ้างดำเนินคดีกลับด้วยความมั่นคง ปกป้องสิทธิของตัวเอง อย่างปราศจากความกลัวและไม่รู้สึกว่าตัวเองมีมลทิน 
หมายเหตุ2: เราได้สรุปขั้นตอนการดำเนินงานในการดำเนินคดีอย่างรวบรัดไว้ท้ายบทความ แต่อยากชวนอ่านบทความฉบับเต็มเพื่อให้เห็นขั้นตอน กระบวนการ ประสบการณ์จากคนทำงาน และเรื่องราวของบุคคลจริง เพื่อทำความเข้าใจต่อประเด็นดังกล่าวร่วมกัน 

คนที่เข้ามาปรึกษา รูปแบบเคสเป็นแบบไหนบ้าง? และจุดไหนที่ทำให้เขาตัดสินใจมาหาเรา

เคสความรุนแรงในครอบครัวจะมีหลายแบบ ตามโมเดล Stage of Change (ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม)* ตั้งแต่อยู่ในภาวะที่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกกระทำ เพราะรู้สึกว่า ‘คงเป็นเรื่องปกติแหละที่แฟนกับเราจะตีกัน’ คือตัวเคสจะยังมีความโทษตัวเองอยู่ระดับหนึ่ง เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับ abuser (ผู้กระทำ) มานาน ถูก abuser บอกตลอดเวลาว่า ‘เพราะคุณ คุณเป็นคนผิด’ ความภูมิใจในตัวเองลดลง กลายเป็นความเบลอๆ ชินชากับสิ่งๆ นี้

บางคนอยู่ในภาวะที่รู้ว่าสิ่งนี้มันผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นว่าควรทำอะไรต่อ ทำให้บางคนเข้ามาปรึกษาเราเฉยๆ หรือบางทีถึงขั้นเตรียมทุกอย่างแล้วนะ แต่ตัดสินใจไม่เดินหน้าต่อแล้วกลับไปอยู่เหมือนเดิมแทน หรือเข้ามาปรึกษาเราช่วงที่เลิกกับแฟนพอดี จึงหนีไปอยู่ที่อื่นและไม่ไปแจ้งความหรือดำเนินคดี ตัวผู้กระทำก็ลอยนวลหรืออาจกลับมาทำร้ายเขาอีกเราก็ไม่รู้

คนที่เข้ามาปรึกษาเราส่วนใหญ่จะถูกกระทำมาสักพักละ บางคนโดนเป็นปีๆ น้อยมากที่โดนครั้งแรกแล้วมาหาเราเลย หรือบางคนเป็นคนรู้จักเรา แล้วเห็นงานที่เราทำใน facebook ก็โทรมาถามว่าเขาเจอแบบนี้มันใช่หรือเปล่า

ถ้าเขาอยู่กับสิ่งๆ นี้มาเป็นปีๆ อะไรเป็นจุดที่ทำให้เขาเกิดอาการ ‘เอ๊ะ’ ว่าสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่มันไม่ปกติ ไม่ถูกต้อง 

เราว่าคนส่วนใหญ่เกิดอาการ ‘เอ๊ะ’ เพราะเห็นคนอื่นพูด  อย่างเช่นเห็นคนในโซเชียลพูดถึงประเด็นนี้ แต่ถ้าคนที่อยู่ในครอบครัวหรือในสังคมที่มองว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องปกติ มันจะทำให้เขาไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวการตีตรากลับมา เลยเลือกที่จะเก็บไว้แทน มีบางคนไปปรึกษาเพื่อนแล้วโดนถามกลับว่า ‘แล้วแกไปทำอะไรเขาล่ะ?’ แทนที่เพื่อนจะตอบมาเลยว่า ‘ไม่ได้นะ เขาไม่ควรมาตีแก’

เคยถามบางคนนะว่าทำไมถึงมาหาเรา เขาตอบว่าที่กล้าเข้ามาเพราะรู้ว่าเราจะไม่ตัดสินเขา มีหลายคนที่บอกว่า ‘รู้ไหมเบสเป็นคนแรกที่เขากล้าเล่าให้ฟังขนาดนี้’ เราก็แบบ ‘อ้าว แล้วเพื่อนล่ะ ครอบครัวล่ะ?’ 

บางทีนอกจากให้คำปรึกษา เราต้องช่วยเคสหาว่าใครคือ support system (คนที่สามารถช่วยเหลือ ดูแล สนับสนุน) ที่ใกล้ตัวเขาบ้าง เพราะตัวเราอยู่ไกล ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาเราไปช่วยเขาทันทีไม่ได้ กลายเป็นว่าบางคนแทบจะไม่มีเลย เล่าให้เพื่อนฟังก็ไม่เข้าใจ แถมไปโทษไปซ้ำเติมเขาอีก หรือพ่อแม่ก็บอกแต่ว่าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่าไปขึ้นโรงขึ้นศาล

ความเห็นหนึ่งที่เรามักจะเจอเวลามีเหตุการณ์แบบนี้ คือ ทำไมไม่เลิก? โดนเขาทำขนาดนี้ทำไมยังทนอยู่อีก

เพราะมีเรื่องความรักมาเกี่ยวข้องด้วย ผู้ถูกกระทำหลายๆ คนเขาจะมีความหวังว่าเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น ตัวเขาก็โกรธก็เจ็บเวลาถูกทำร้าย แต่เขาก็จะมีความคิดว่าตัวเขาสามารถเปลี่ยนให้ abuser กลับมาเป็นคนเดิมได้ กลับมาเป็นคนที่เขารัก เกิดเป็นวงจรระดับหนึ่งที่… โอเค เราทำร้ายกัน – กลับมาดีกัน (honeymoon) – สงบ – กลับมาโกรธกันอีก วนอยู่อย่างนี้

อย่างตอนเรื่องของเรา เราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะไม่อยากให้คนอื่นมาบอกให้เราเลิกกับเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิด เเต่เราก็ลองคุยกับเขาตั้งเงื่อนไขกันว่าถ้าทำแบบนี้อีกจะเลิกเเล้ว เเต่สุดท้ายก็ใจอ่อนอยู่ดี 

จุดที่ทำให้เราตัดสินใจเดินออกมา คือ การกระทำของเขามันเริ่มรุนเเรงขึ้น จนเรารู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรามันหายไป เราล้มไปกองกับพื้นเเต่เขาไม่สงสารเราเลย ตอนนั้นตัดสินใจวิ่งหนีออกมา ไปหาห้องพักรายวันอยู่ ความรู้สึกเราคือเบลอๆ รู้แค่ว่าต้องไปหาพื้นที่ปลอดภัยอยู่ แต่พอมานึกย้อนไปก็งงนะ ทั้งที่สภาพเราตอนนั้นเสื้อผ้าขาดวิ่น เลือดไหลเต็มตัวไปหมด แต่ไม่มีใครพาเราไปแจ้งความเลย

เพราะฉะนั้นก่อนที่เคสจะกล้าออกมา speak up กล้าที่จะขอความช่วยเหลือ ก็คือการตระหนักว่าเหตุการณ์แบบนี้มันไม่ถูกต้อง ต่อให้คุณนอกใจเขาหรือเขาโกรธคุณ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายคุณ 

เมื่อเขาตัดสินใจเข้ามาปรึกษาเรา หน้าที่ของเบส ของทนาย หลังจากนั้นคืออะไร?

เบสจะเริ่มตั้งแต่ให้เขาประเมินว่าตัวเองอยู่ขั้นไหนในของ stage of change เพื่อดูว่าใจเขาอยากเดินไปทางไหน จากนั้นอธิบายให้เขาเข้าใจว่าสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่มันคืออะไร อธิบายข้อมูลทางกฎหมายและทางเลือกที่เรามีให้เขาฟัง  

พอคุยกันไปสักพักมันก็มีเรื่องจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเวลาเราทำงานกับเคสไปเรื่อยๆ เขาจะมีช่วงที่รู้สึกว่า ‘ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก’ ‘วันนี้ไม่มีแรงเลย’ เราก็ต้องช่วยให้กำลังใจเขาด้วย เราจะบอกเคสเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเจอไม่ใช่ความผิดเขานะ ถ้าอยากเดินต่อก็มีคนพร้อมช่วย หรือถ้าไม่ไหวอยากหยุดก็ไม่เป็นไร เพราะเราเข้าใจระบบกระบวนการยุติธรรมของไทย มันเหนื่อยมาก

อย่างตอนที่เบสยังทำงานที่แม่สอด เราต้องเตรียมตัวเลยนะว่าตำรวจที่เราจะไปเจอเป็นใคร จริงๆ ตามกฎหมายมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของทนายหรือ caseworker (นักสังคมสงเคราะห์) ที่ต้องไปเคลียร์กับตำรวจ แต่เพื่อลดความยากของงาน เราก็ต้องเตรียมไปเลยว่าเราควรไปหาเจ้าหน้าที่คนไหนดีที่จะดึงให้เขามาช่วยเคสเรา หรือตำรวจคนไหนที่พอมีแววจะเข้าอกเข้าใจเคสเราก็ไปดึงให้เขามาช่วย 

ถึงแม้เราจะให้ข้อมูลทุกอย่างกับเคส ทุ่มเทเต็มที่ แต่สุดท้ายเคสจะเป็นคนตัดสินใจเอง เราจะให้เวลาเขากลับไปคิดว่าหลังจากฟังข้อมูลแล้วอยากเดินต่อหรือไม่ แต่ในขณะที่เขากำลังคิดก็ต้องให้เขาดูเรื่อง safety plan (การวางแผนความปลอดภัย) ถ้ากลับไปอยู่ที่เดิมยังปลอดภัยไหม หรือระหว่างที่ตัดสินใจสามารถไปอยู่กับใครได้บ้าง 

ก็มีบางคนโทรมาคุยกับเราไม่กี่วันก็พร้อมไปศาลเลย หรือบางคนดำเนินกระบวนการไปแล้ว แต่ยอมแพ้กลับไปจุดเริ่มต้นใหม่ก็มี 

ถ้าเคสที่มาปรึกษา เขาตัดสินใจเดินต่อ เส้นทางต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร?

ก่อนอื่นเราจะให้เขาดูว่าสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ของจังหวัดเขาอยู่ที่ไหน เบอร์ติดต่ออะไร เพราะทุกจังหวัดจะต้องมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ประจำอยู่ มีหน้าที่ตามกฎหมาย คือ จัดการเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องจดทะเบียนสมรสเท่านั้นนะถึงจะเข้าสู่กระบวนการนี้ได้ ต่อให้เป็นแฟนกันเฉยๆ ก็ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเหมือนกัน

จากนั้นเราจะให้เคสไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายและบันทึกข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ทางคดี เท่าที่เรารู้ทุกโรงพยาบาลรัฐจะต้องมีศูนย์พึ่งได้ หรือ OSCC (One Stop Crisis Center) มีหน้าที่ดูแลเคสแบบนี้โดยเฉพาะ ถ้าโรงพยาบาลที่ระบบ OSCC มันฟังก์ชัน โดยปกติเขาจะมีหมอมาเช็คร่างกายเราว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ให้ไปคุยกับนักสังคมสงเคราะห์เพื่อเช็คสภาพจิตใจ พอเก็บข้อมูลเสร็จ ถ้าเคสต้องการดำเนินคดีกับผู้กระทำ OSCC ก็จะส่งข้อมูลทั้งหมดประสานงานไปที่ตำรวจในพื้นที่ต่อ ทีมอพม.ก็เข้ามา จากนั้นเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

ทีนี้ปัญหาหลักของกระบวนการยุติธรรมไทย คือ แทนที่จะทำงานแบบ survivor-centered approach ให้ผู้ถูกกระทำเป็นศูนย์กลางของการออกแบบการช่วยเหลือ แต่เขาดันไปให้ครอบครัวเฉยเลย ว่า ‘คุณต้องรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้’

แล้วตัวพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 กฎหมายที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็โดนวิจารณ์ตั้งแต่ออกมาใหม่ๆ ว่า ไม่ค่อยมีความชัดเจนในกฎหมาย พยายามใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (restorative justice) ทำให้พอหน้างานจริงเจ้าหน้าที่พยายามผลักให้เคสเลือกวิธีไกล่เกลี่ย  

แล้ววิธีการไกล่เกลี่ยมันส่งผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน?

เคสเลือกที่จะไกล่เกลี่ยก็ได้ แต่การไกล่เกลี่ยนั้นต้องเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจเอง โดยปราศจากการกดดันจากเจ้าหน้าที่ (manipulate) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหน้างานจริง คือ เคสยอมไกล่เกลี่ยเพราะถูกกดดันว่านี้เป็นทางออกเดียวที่เขามี สุดท้ายเคสต้องกลับไปอยู่จุดเดิม บางคนเดินกลับไป (วงจรเดิม) เร็วเกินยังไม่ได้วางแผนความปลอดภัย กลายเป็นเกิดปัญหาซ้ำๆ เคสโดนกระทำซ้ำจนตายไปเลยก็มี เราเห็นเคสแบบนี้บ่อยมาก 

เราพยายามหาข้อเท็จจริงนะ ลองไปคุยกับตำรวจว่าทำไมไม่ค่อยเข้าไปดูแลเวลามีเคสแบบนี้ เขาก็บอกว่า ‘ไม่มีงบครับ ค่าน้ำมันรถก็ไม่มี’ ทำให้ส่วนใหญ่เขาเลยเลือกวิธีไกล่เกลี่ย เพื่อรีบปิดเคสให้จบ ก็มีตำรวจบางคนที่อยากทำงานนี้ แต่ด้วยความที่ตัวเขาก็มีงานล้นมือ ทำงานไม่เสร็จก็โดนนายด่า แถมไม่มีงบประมาณในการทำงาน ทุกอย่างเข้าตัวเองหมด

แต่ตัวเราก็ต้องยืนยันสิทธิ์ของเคสว่า คุณมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะไม่ไกล่เกลี่ย ถึงเจ้าหน้าที่จะพยายามให้เคสไกล่เกลี่ย หรือถ้าอยากไกล่เกลี่ยจริงๆ เราอยากให้ไปไกล่เกลี่ยที่ชั้นศาลเพราะจะปลอดภัยที่สุด ถ้าไกล่เกลี่ยกับตำรวจหรือ อพม. ที่เขาก็ไม่ได้มีกระบวนการชัดเจนรัดกุม บางทีไกล่เกลี่ยกันปากเปล่า กลับบ้านแล้วเกิดเหตุขึ้นมาอีกก็คือไม่มีหลักฐานอะไรมารับรอง 

ที่บอกว่าหลายคนพอเข้าสู่กระบวนการสุดท้ายก็ยอมแพ้ไม่ดำเนินการต่อ อยากให้ขยายความเพิ่มเติมว่ามันเป็นเพราะอะไร

ส่วนใหญ่เจอแรงกดดัน ทั้งจากตัวผู้กระทำที่คอยตามเช็คว่าอยู่ที่ไหน ตามขู่ หรือมุมครอบครัว เพื่อนที่ดูจะเป็น support system ของผู้เสียหาย แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่เคสเลือก มีเคสที่ไปอยู่กับเพื่อนแล้วเจอเพื่อนบอกว่า ‘น่าสงสารแกนะ แต่เขาก็เป็นคนดี แกไปทำอะไรเขารึเปล่า?’ คำถามบางอย่างมันก็เป็นคำถามที่ไม่ได้มองจากมุมของเคส แต่มองจากมุมคนทั่วไปที่คิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ 

หรือมุมสังคม คนแถวบ้านหรือผู้ใหญ่บ้าน เคยเจอเคสที่เราขอให้คนข้างบ้านช่วยเป็นพยานได้ไหม เขาตอบว่า ‘ไม่ไป ไม่อยากยุ่งเรื่องผัวเมียชาวบ้าน’ เราพยายามทำความเข้าใจกับเขาว่า ‘แค่ให้เคสได้รับการคุ้มครองนะคะ ไม่ได้เหรอ?’ เขาก็ยังยืนยันไม่ช่วย

ถ้าบางคนรู้สึกท้อ คนรอบข้างก็ไม่สนับสนุน สุดท้ายเหนื่อยก็ตัดสินใจยอมแพ้ ย้ายบ้านหนีแทนแล้วกัน เราเคารพการตัดสินใจของเคสเสมอ ถ้าเขาไม่อยากเดินเรื่องต่อไม่เป็นไร แต่เราจะบอกเขาตลอดว่าถ้าอยากกลับมาเรายังแสตนบายอยู่ตรงนี้นะ ขอให้มั่นใจว่าคุณยังใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขก็พอ 

พอเป็นแบบนี้ ตั้งแต่มายเซ็ตที่ให้ผู้ถูกกระทำคิดถึงความเป็นครอบครัวให้มาก ความไม่เข้าใจสถานการณ์และอาจตั้งคำถามกลับว่า ‘เธอไปทำอะไรเขาถึงโดนแบบนี้’ ซ้ำด้วยกระบวนการยุติธรรมที่เน้นการสมานฉันท์ เหล่านี้เลยทำให้ผู้ถูกกระทำทนไม่ไหว ตัดสินใจจบปัญหาด้วยความรุนแรงแทน

ใช่ อย่างที่บอกว่ากระบวนการยุติธรรมไทยพยายามใช้กระบวนการสมานฉันท์ในการจัดการเคสแบบนี้ ซึ่งเราเห็นด้วยกับตัวกระบวนการนะ แต่เห็นด้วยเฉพาะในเคสของผู้ที่มีปัญหายาเสพติดหรือกับเด็ก เพราะเรารู้สึกว่าพวกเขามีโอกาสเข้าโปรแกรมบำบัดเยียวยาแล้วสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้

แต่ถ้าจะเอากระบวนการสมานฉันท์มาใช้กับเคสความรุนแรงในครอบครัว แล้วใช้ไม่ถูกต้องหรือใช้โดยที่เครื่องมือเราไม่ได้พร้อมขนาดนั้น กลายเป็นว่าเราผลักเหยื่อหรือผู้เสียหายให้กลับเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมอีก นอกจากนี้ยังมีเคสที่ผู้เสียหายพยายามแจ้งความแต่โดนจับให้ไกล่เกลี่ย กลับไปอยู่เหมือนเดิมแล้วก็ถูกกระทำซ้ำๆ สุดท้ายเกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายสามีกลับ จนถึงขั้นเสียชีวิต ศาลไม่ย้อนไปดูเลยนะว่าคนๆ นี้โดนอะไรมา ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนี้ เขาดูแค่ปัจจุบัน ว่า อ๋อ คนนี้ฆ่าสามี ติดคุก จบ ถ้าคุณบอกว่าต้องการใช้กระบวนการสมานฉันท์จริงๆ ทำไมมันถึงไม่เคยถูกเอามาใช้กับผู้หญิงที่ถูกกระทำ ทำไมผู้หญิงที่ถูกกระทำจนทำร้ายสามีกลับ กลับไม่มีสิทธิ์ได้รับการเยียวยา แต่พอเป็นสามีปุ๊บได้รับการเยียวยาเฉยเลย 

แล้วหลักการไกล่เกลี่ยที่ควรเป็นนั้น เป็นอย่างไร

จริงๆ แล้วมาตรการไกล่เกลี่ยตามกระบวนการศูนย์พึ่งได้สมานฉันท์ ยังมีการดีเบตกันมาถึงทุกวันนี้ ที่ต่างประเทศก็มีวิธีการหลายแบบ หลักๆ คือมีผู้ไกล่เกลี่ยเชี่ยวชาญเป็นตัวกลางระหว่างผู้ถูกกระทำกับผู้กระทำ ทั้งนี้ สิ่งที่ GBV specialist (Gender Based Violence Specialist ผู้ที่ทำงานดูแลเรื่องความปลอดภัย การป้องกันและคุ้มครองเคสความรุนแรงบนพื้นฐานเพศและเพศสภาวะ (sexual and gender based violence) ในพื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่สงคราม พื้นที่ที่มีอุทกภัย พื้นที่ชายแดน) ย้ำเสมอคือ การจะไกล่เกลี่ยนั้นต้องมาจากการตัดสินใจของเคสเอง และต้องให้เขามีเสียงในทุกๆ การตัดสินใจ

เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไม่ได้เอากฎหมายอาญามากำหนดโทษ ฉะนั้น มันจะมีทางออกหลายโมเดล เช่น ให้ไกล่เกลี่ยแล้วจบ หรือไกล่เกลี่ยเสร็จแล้วให้ผู้กระทำผิดรับทัณฑ์บนต้องเข้าโปรแกรมบำบัดเยียวยา เป็นต้น

ส่วนที่ไทยแต่ก่อนเราจะมีโปรแกรมบำบัดผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว เราพยายามหาข้อมูลนะว่าไอ้โปรแกรมนี้มันสำเร็จแค่ไหน รับฟังเสียงของ survivor แค่ไหน พอไปสำรวจก็ไม่มีข้อมูลที่บอกว่าสำเร็จจริงๆ แล้วส่วนใหญ่คนที่เข้าไปในโปรแกรมพวกนี้ เขาจะแสร้งว่าสำนึกผิด พยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อที่จะได้เป็นอิสระออกมา

คือสุดท้ายต่อให้เอากระบวนการสมานฉันท์มาใช้ แต่ถ้าคนใช้เป็นคนที่อยู่ในระบบที่มองว่าผู้ชายโมโหแฟนเป็นเรื่องธรรมชาติ หรือโทษว่าผู้หญิงทำตัวไม่เหมาะสมผู้ชายถึงต้องแสดงออกแบบนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์ 

บริบทความเป็นครอบครัวก็จะไม่ได้มีแค่สามี – ภรรยา แต่ยังมีลูกด้วย ถ้าเป็นเคสลูกที่โดนพ่อแม่ทำร้าย เขาสามารถเข้าสู่กระบวนการแบบเดียวกันได้ไหม

ตามกฎหมายไทยลูกไม่สามารถแจ้งความพ่อแม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กถูกกระทำแล้วจะถูกทิ้งไม่สนใจนะ เพราะมันมีพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 คุ้มครองคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ทุกจังหวัดจะมีคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่ต้องคอยดูแลเคสแบบนี้ 

ถ้าเป็นเคสที่พ่อแม่เป็นอันตรายต่อลูก เจ้าหน้าที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมา มีหมอ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น นักสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ เพื่อประชุมว่าจะจัดการเคสนี้ยังไง ไม่ได้ถึงขนาดต้องเอาพ่อแม่เข้าคุกเท่านั้น อาจประเมินว่า ขั้นแรกเด็กควรแยกไปอยู่ที่บ้านพักเด็ก หรือจัดหาที่ๆ ปลอดภัยให้ ถ้าเด็กคนนั้นต้องไปโรงเรียนจะสามารถไปได้ไหม พ่อแม่มีภาวะคุกคามเด็กหรือไม่ ส่วนฝั่งพ่อแม่ก็จะมาดูว่าต้องจัดการอะไร ปัญหาที่ทำให้เขาแสดงออกแบบนี้ ให้ไปคุยกับนักจิตวิทยา ก็มีเคสที่ทำงานจนรู้สึกว่าปลอดภัยแล้วเด็กสามารถกลับไปอยู่กับพ่อแม่เหมือนเดิมได้ หรือถ้าเป็นเคสที่ผู้ถูกกระทำเป็นแม่และเด็ก เจ้าหน้าที่เขาจะแยกเลยว่าดูแลแม่แบบไหน ดูแลลูกแบบไหน 

แต่ส่วนใหญ่คนมักจัดลำดับความช่วยเหลือไปที่ผู้เสียหายผู้ใหญ่เป็นหลัก ครอบครัวเป็นศูนย์กลางในการออกแบบความช่วยเหลือ โดยลืมว่าเด็กก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน ถ้าสุดท้ายแม่ตัดสินใจกลับไปอยู่กับพ่อเหมือนเดิม โดยที่ลูกไม่ต้องการ มันก็เละ แล้วการที่แม่กลับไปก็เพราะความผูกพันและความรักที่เขามี รวมถึงการเป็นผู้หญิงที่โดนสังคมหล่อหลอมว่า ‘ต้องมีหน้าที่ปกป้องครอบครัวไว้ก่อน’

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเคสที่ถูกทำร้ายร่างกาย มีบาดแผลเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี แต่ถ้าเป็นเคสที่เจอความรุนแรงจากการใช้คำพูด ไม่มีบาดแผลเป็นเครื่องยืนยัน แบบนี้ดำเนินการได้มั้ย 

ถ้าตามตัวบทกฏหมายการทำร้ายทางจิตใจก็นับว่าเป็นความรุนเเรงอย่างหนึ่ง เเต่ข้อท้าทายคือเจ้าหน้าที่จะทำงานยังไง เพราะเคสไม่มีบาดแผล ไม่มีสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้เห็น บางเคสเขาจะไปพบจิตเเพทย์เพื่อให้แพทย์รับรองว่าการกระทำนั้นส่งผลกระทบต่อเขาจริงๆ สามารถเป็นหลักฐานทางคดีได้อย่างหนึ่ง 

การเลือกเดินเส้นทางที่จะต่อสู้เพื่อออกจากความรุนแรงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพื่อให้กำลังใจคนที่อาจจะอยู่ในช่วงกำลังตัดสินใจว่าฉันควรเลือกไปทางนี้หรือไม่ เราอยากรู้ว่า สุดท้ายปลายทางบนถนนการฟ้องร้อง สิ่งที่รอเคสอยู่คืออะไร?

ขึ้นอยู่กับ end goal (เป้าหมายสุดท้าย) ของเเต่ละคน บางคนอยากให้มีคำพิพากษา มีคำสั่งคุ้มครองจากศาล เพื่อทำให้เขารู้สึกว่า ‘ฉันได้รับการคุ้มครอง’ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกเขาสามารถเรียกร้องสิทธิ์ได้ และตัวผู้กระทำจะไม่กล้ามาทำอะไรเขาอีก หรือบางคนกลัวมากก็อยากให้จบแบบจับผู้กระทำติดคุกไปเลย 

ที่เราชอบใช้คำว่า survivor centered approach เพราะเราให้สิทธิ์เคสเป็นคนตัดสินใจเสมอ อะไรที่เขาไหว ทางเลือกไหนที่เขารับได้ เราไม่เคยไปบอกเคสว่าต้องเเจ้งตำรวจๆ เเต่เราจะบอกว่าคุณมีสิทธิอะไร 1-2-3-4 

ส่วนการตัดสินของศาลก็จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจศาล ถ้าเป็นเคสผู้กระทำที่ไม่เคยมีประวัติการทำผิดมาก่อน อาจให้รอลงอาญา เพื่อดูพฤติกรรมว่าถ้าเขาทำผิดอีก เขาจะต้องเข้าคุกทันที หรือเคสที่ผู้กระทำเป็นคนที่กระทำผิดบ่อยมาก เคยมีเคสมาก่อนหน้านี้ หรือมีคดีอื่นๆ พ่วงมาด้วย ศาลก็อาจตัดสินให้จำคุก 

เราไม่ได้สนับสนุนให้เป็นโทษจำคุกเสมอไปนะ เรารู้สึกว่าในเมื่อกฏหมายมันมีมาตรการบำบัด มีมาตรการให้ดูเเล ส่วนตัวเราคิดว่าควรเอามาตรการพวกนั้นมาใช้ให้มันมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่เเน่ใจว่ามาตรการบำบัดของประเทศไทยมันเข้มเเข็งเเค่ไหน เพราะว่าทรัพยากรอย่างนักจิตวิทยาหรือนักสังคมในจังหวัดหนึ่งมันน้อยมากๆ แต่อย่างน้อยถ้าเป็นเคสที่รอลงอาญา การมีมาตรการบางอย่างให้เขาไปทำ อาจสะท้อนทำให้เขาเห็นปัญหา เเต่อย่างที่บอกเราไม่สามารถคอนเฟิร์มได้เลยว่า ผู้กระทำผิดจะสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ทุกคน

ในฐานะที่คุณทำงานประเด็นนี้มานาน และทำงานกับกระบวนการในไทยด้วย คิดว่าจากที่คุยกันมาทั้งหมด ประเด็นความรุนแรงในครอบครัวไทย มันสะท้อนให้เราเห็นอะไรบ้าง

ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า ทุกคนมองความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องส่วนตัว กลายเป็นไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านเพราะกลัวลูกหลง ซึ่งพอยิ่งเห็นเรายิ่งอยากเปลี่ยนทัศนคติแบบนี้ เราอยากให้สังคมมองว่าความรุนแรงไม่ใช่เรื่องปกติเพราะมันกระทบทุกคน ไม่ใช่แค่เรื่องคนโดนทำร้าย แต่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน

ถ้าสังคมยอมรับเรื่องแบบนี้ แสดงว่าคุณกำลังทอดทิ้งผู้ถูกกระทำ ตัวเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมแล้วมันจะไม่กระทบสังคมได้ยังไง? ยิ่งถ้าเคสที่เป็นเด็กด้วย อย่างเช่นเด็กที่โตมากับครอบครัวที่ชอบใช้ความรุนแรง กลายเป็นว่า ‘โอเค งั้นฉันใช้ความรุนแรงตัดสินบ้างแล้วกัน’ ไปตีกับคนอื่นที่โรงเรียน แล้วคนจะมองแค่ว่าเด็กคนนี้ก้าวร้าวเหลือเกิน แต่ไม่ได้มองว่าเด็กคนนี้โดนอะไรมาถึงก้าวร้าวแบบนี้ 

เพราะงั้นเวลาเราทำงานไม่ใช่แค่ทำงานกับเคสนะ แต่เราต้องคอยทำงานกับพ่อแม่เคส ทำงานกับคนในสังคมชุมชนเหมือนกัน เช่น ถ้าเข้าไปในชุมชน เราจะเข้าไปทางผู้นำชุมชนหรือผู้นำศาสนา อธิบายให้เขาเข้าใจเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมันไม่ใช่เรื่องปัจเจกบุคคล แต่เป็นเรื่องของสังคมนะ 

เคยได้ยินว่าผู้กระทำก็เคยถูกกระทำมาก่อน เลยกลายเป็นปมที่ทำให้เขาไปทำร้ายคนอื่นต่อ

เราเคยคุยกับคนที่ทำงานให้คำปรึกษาผู้หญิงในสกอตแลนด์ว่า เคยเจอเคสที่ผู้ถูกกระทำกลายมาเป็นผู้กระทำไหม หรือว่าคนที่เข้ากระบวนการบำบัดเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ เขาก็ตอบว่างานวิจัยเองก็ยังเห็นไม่ตรงกันในเรื่องที่บอกว่าผู้ถูกกระทำสามารถกลายมาเป็น abuser ได้ 

ไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุนี้มีส่วนไหมหรือเป็นเพียงแค่ข้ออ้างของคนที่ใช้ความรุนเเรงเท่านั้น และการเข้ากระบวนการบำบัดนั้น จะเปลี่ยนได้หรือไม่ ต้องอยู่ที่ความตั้งใจของเจ้าตัวจริง ๆ ไม่ใช่ทำเพื่อให้พ้นโทษ

ส่วนตัวเราคิดว่าเรื่อง Victim turned abuser (การเปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำไปเป็นผู้กระทำ) มันเป็นทฤษฎีที่ละเอียดอ่อนมาก แต่อย่าลืมว่าเมื่อโตขึ้นทุกคนมีอำนาจและความรับผิดชอบในการตัดสินหรือกระทำอะไรลงไป การเคยเป็นเหยื่อ ไม่ใช่ข้ออ้างในการกระทำต่อ ไม่ใช่สาเหตุการใช้ความรุนแรง

เขายังบอกอีกว่ายิ่งมีทัศนคติแบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้กระทำเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ผิด เพราะเขาโดนทำร้ายมาก่อน เขาเลยต้องแสดงออกแบบนี้ แล้วยิ่งอยู่ในสังคมที่บอกว่าผู้ชายต้องแข็งแกร่ง ไม่ควรแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา มันเลยยากที่ผู้ชายจะยอมเปิดประตูทำความเข้าใจบาดแผลตัวเอง 

สิ่งที่เราสังเกตได้อย่างหนึ่ง คือ สังคมไทยชอบมองว่าต้นเหตุที่ทำให้คนกระทำผิดเพราะติดเหล้า ติดยาเสพติด ฉะนั้นการเข้าโปรแกรมบำบัดเลยไม่ได้ไปบำบัดเรื่องความรุนเเรง เเต่ไปบำบัดการติดยาติดเหล้าแทน เราไม่รู้ว่าสังคมมองง่ายไปหรือเปล่า ลองนึกภาพว่าถ้าเรากินเหล้าเเล้วเมา เราต้องไปตีกับคนอื่นเหรอ? หรือถ้ากินเหล้ากับเจ้านาย พอเมาจะไปตีเจ้านายไหม? เพราะคนที่ abuser จะทำร้ายมีคนเดียวก็คือคนใกล้ตัวเขา คนที่เขารู้ว่าเขาสามารถทำอะไรก็ได้ 

เหล้าเป็นเเค่ปัจจัยเสริมเฉยๆ ที่ทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น เวลาเคสบอกเราว่า “พี่เขาคงเมาเเหละเขาเลยทำเรา” เราจะถามกลับเลยนะว่า แล้วถ้าคุณเมาหรือคุณโมโห คุณจะทำร้ายเขาไหม? ถ้าเราโมโหเเฟน สิ่งเเรกที่เราจะทำคือเดินเข้าไปตบเเฟนหรือคุยกับเขา 

มันอาจเป็นเหตุผลให้เคสรู้สึกเห็นใจผู้กระทำผิด ทนอยู่กับเขาต่อ

ตอนที่เราเจอ เราก็เห็นใจแฟนเก่านะ เพราะเขาเคยถูกพ่อทำร้ายตอนเด็กๆ พอโตขึ้นเขากลายเป็นผู้ชายที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะปังๆๆ (ปะทุง่าย) แต่ถึงจะเห็นใจเราก็ไม่สงสารเขานะ เราเข้าใจว่าเขามีการเดินทางในชีวิตเเบบนี้ เเต่ถ้าคุณโตเเล้ว การตัดสินใจทุกอย่างก็คือคุณ You are the man who make a decision for yourself. เเล้วถ้าเรื่องในอดีตมันทำให้คุณเจ็บปวดก็มาแก้กัน ไปบำบัดหรือไปคุยกับจิตแพทย์ก็ได้ 

แต่ความรู้สึกแบบนี้มันก็ทำให้เราต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะพาตัวเองออกมาได้ เพราะเราก็เข้าอกเข้าใจเขาในระดับหนึ่ง เราคิดว่าเราสามารถช่วยเขาได้ บางเคสก็จะมีความเห็นใจกับผู้กระทำเยอะเหมือนกัน เเต่เราก็ต้องบอกให้เขาคิดถึงตัวเองบ้าง คือคนเราชอบคิดถึงแต่คนอื่น ใจดีกับคนอื่นมากๆ แต่ลืมนึกถึงตัวเอง

วิธีการคุยของเราคือพยายามให้เคสเอาความเห็นใจที่มีกับ abuser กลับมาที่ตัวเอง คุณเห็นใจเขาได้ เเต่คุณหันกลับมามองตัวเองหรือยัง ก่อนที่เราจะไปรักคนคนหนึ่งที่ก็ไม่ได้รักเราพอที่จะไม่ทำร้ายเรา เรารักตัวเองหรือยัง พูดเเบบนี้ทีไรร้องไห้กันทุกคน เหมือนทุกคนลืมจริงๆ ลืมไปเลยว่าต้องรักตัวเอง

การที่สังคมตีตราว่าผู้ชายต้องเข้มแข็ง มันก็ส่งผลให้ตีกรอบเคสผู้ถูกกระทำว่ามีแค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่จริงๆ ก็มีผู้ชายที่เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกัน

เพราะสังคมจะมีการตีกรอบความเป็นชาย (masculinity) ทำให้เขาไม่กล้าเล่า มีเคสที่เป็นผู้ชายเข้ามาปรึกษาเราเหมือนกันแต่เป็นเชิงเล่าให้ฟังเฉยๆ แล้วถามข้อมูล เราก็ดูแลเขาเหมือนเคสอื่นๆ ก็เข้าใจความกังวลของเขา เช่น ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นผู้เสียหายได้ไหม เพราะเขาเป็นผู้ชายแต่ถูกกระทำ เราจะบอกเขาเสมอว่า คุณก็เป็นผู้เสียหายเพราะคุณถูกทำร้าย ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาทำอะไรกับเราทั้งนั้น 

แต่ถ้าพูดจริงๆ เลยคือไม่ค่อยมีเคสที่ไปต่อ ส่วนใหญ่มาคุยด้วยเฉยๆ หาคนระบาย และสุดท้ายเขาอาจจะเลิกคิดหรือกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองต่อ เขาไม่ได้รู้สึกว่าต้องพึ่งพาคำสั่งคุ้มครองทางกฎหมาย เพราะเขามองว่าเขาสามารถดูแลตัวเองได้

เราที่เป็นคนนอกเห็นเลยงานนี้มันยากจริงๆ ในฐานะที่เป็นคนทำงานตรงนี้ คิดว่าเพื่อให้ปัญหานี้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง ควรเริ่มจากอะไร

ยอมรับว่าตอนทำ SHero ใหม่ๆ เรามีช่วงต้องหยุดไปพักหนึ่งเลย เพราะมันเหนื่อยมาก (ลากเสียง) ช่วงทำแรกๆ เราทุ่มมาก พักเที่ยงหรือเลิกงานปุ๊บเราจะไปสถานีตำรวจกับเคสเลย หรือตอนดึกๆ ขับรถไปหาไปช่วยเคส แล้วมันถึงจุดที่สุดท้ายเคสยอมเเพ้ หรือระบบมันติดขัดไปหมด จนเรารู้สึก burn out เหนื่อยล้าไปเลย 

ตอนหลังการทำงานของเราเลยถอยออกมาเพื่อดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เเล้วค่อยหาทีมทำงาน รวบรวมเคสที่เราเคยทำงานให้เป็นข้อมูลออกมาให้คนอื่นๆ ดูเป็นตัวอย่าง หรือถ้าเป็นไปได้เวลาเราทำงานกับองค์กร จะใช้วิธีประชุมกลุ่ม (case conference) ให้ค่อยๆ เกิดการประสานงาน ช่วยกันทำงาน ทำให้เเน่ใจว่าถ้าเราไม่อยู่ในพื้นที่นั้นเเล้ว ยังมีคนที่ทำงานขับเคลื่อนต่อไป 

9 ข้อ ต้องทำอะไร อย่างไร เมื่อประสบเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว โดย เบส – บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ทนายความและผู้ก่อตั้งกลุ่ม SHero 

1. การดำเนินคดีไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ที่จดทะเบียนสมรสเท่านั้น แค่เป็นแฟนกันเฉยๆ ก็ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเหมือนกัน

2. แนวทางการทำงานของคุณเบสจะเริ่มด้วยการประเมินสภาวะทางจิตใจของเคสด้วยโมเดล Stage of Change (ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม) ดูว่าเขาต้องการดำเนินการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร

3. แนะนำการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าแต่ละกรณีสามารถดำเนินการด้วยแนวทางอะไรได้บ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ ผู้ที่ตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีหรือไม่และอย่างไร คือตัวของเคสเอง 

4. หน่วยงานที่ดูแลเรื่องความรุนแรงในครอบครัว คือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัด 

5. แนะนำให้เคสไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเพื่อบันทึกข้อมูลซึ่งจะเป็นประโยชน์ทางคดี เมื่อไปถึงโรงพยาบาลให้ถามหา ศูนย์พึ่งได้ หรือ OSCC (One Stop Crisis Center) ซึ่งจะรับหน้าที่ดูแลเคสแบบนี้โดยเฉพาะ

6. สิ่งที่อาจเจอระหว่างการดำเนินการ คือ การถูกขอหรือกดดันให้ไกล่เกลี่ย ด้วยหลักการสมานฉันท์ ซึ่ง ยืนยันว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องไกล่เกลี่ยหรือสมานฉันท์ก็ได้ หรือหากจะไกล่เกลี่ยหรือสมานฉันท์ ให้ทำที่หน้าศาล

7. ถ้าตามตัวบทกฏหมาย การทำร้ายทางจิตใจก็นับว่าเป็นความรุนเเรงอย่างหนึ่ง

8. ในกรณีที่ผู้ถูกกระทำเป็นลูก แม้ตามกฎหมายไทย ลูกไม่สามารถแจ้งความพ่อแม่ได้ แต่ยังมีพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 คุ้มครองคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ร้องขอให้อัยการฟ้องได้ โดยทุกจังหวัดจะมีคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่ต้องคอยดูแลเคสแบบนี้ 

9.ในเคสที่พ่อแม่เป็นอันตรายต่อลูก เจ้าหน้าที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโดยมีหมอ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น นักสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ เพื่อประชุมว่าจะจัดการเคสนี้ยังไง โดยอาจประเมินเรื่องการจัดหาสถานที่ปลอดภัยให้ ประเมินว่าเด็กไปโรงเรียนปได้ไหม พ่อแม่มีภาวะคุกคามเด็กหรือเปล่า อาจมีการจัดนักจิตวิทยาไปคุยกับพ่อแม่ เคสที่ทำงานจนเห็นว่าปลอดภัยแล้วเด็กสามารถกลับไปอยู่กับพ่อแม่เหมือนเดิมได้ หรือถ้าเป็นเคสที่ผู้ถูกกระทำเป็นแม่และเด็ก เจ้าหน้าที่เขาจะแยกเลยว่าดูแลแม่แบบไหน ดูแลลูกแบบไหน 
*Stage of Change (ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม) 

เป็นองค์ประกอบหนึ่งของทฤษฎีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Transtheoretical Model) โดย James O. Prochaska ที่บอกไว้ว่า บุคคลจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองได้เมื่อเขา ‘ต้องการ’ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นๆ หากไม่มีความต้องการเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ไม่ว่าจะได้รับการบำบัดหรือให้ข้อมูลข่าวสารมากมายเพียงใด

1. ขั้นก่อนชั่งใจหรือไม่สนใจปัญหา (Precontemplation) เป็นขั้นที่เขาไม่มีความคิดหรือความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง เพราะคิดว่าพฤติกรรมที่เป็นอยู่ไม่เป็นปัญหา อาจมาจากการไม่ได้รับข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง ทำให้ไม่รับรู้ถึงผลกระทบของพฤติกรรมนั้น พวกเขามักหลีกเลี่ยงที่จะอ่าน พูดคุย หรือคิดเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของตน

2. ขั้นชั่งใจหรือลังเลใจ (Contemplation) เป็นขั้นที่เริ่มคิดถึงข้อดีของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ตั้งใจอยากที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีความรู้สึกว่าอาจต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง หรือข้อเสียที่จะเกิดขึ้นถ้าตัวเองปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เกิดเป็นความลังเลใจ 

3. ขั้นเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติ (Preparation) เป็นขั้นเริ่มเตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม คือ ตัวเขาตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนตัวเองแน่นอน ก็จะเตรียมตัวหาข้อมูลศึกษา เช่น ไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญ

4. ขั้นปฏิบัติ (Action) เป็นขั้นลงมือปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา หรือเปลี่ยนพฤติกรรม

5. ขั้นคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่ต้องการ (Maintenance) หลังจากเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นได้ ตัวเขาจะพยายามไม่กลับไปทำพฤติกรรมแบบเดิม ต้องมีการคิดวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เขากลับไปกระทำพฤติกรรมเดิม และเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองเวอร์ชั่นใหม่

ที่มา: James O. Prochaska อ้างถึงใน ฉัตรพันธ์ ดุสิตกุล (2561)

Tags:

เพศความรักบุษยาภา ศรีสมพงษ์แบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    เมื่อความรักไม่สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้ มา Unlearn และ Relearn คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ กันใหม่กับ Thaioasister

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ
Myth/Life/Crisis
25 September 2020

ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ภัทรารัตน์ เขียนถึงตำนานแห่งนางไซเรน (Siren) สัตว์ประหลาดที่กลายเป็นเรื่องเล่าขานในหมู่นักเดินทางข้ามทะเล เสียงร้องเย้ายวนของไซเรน ทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องเดินเรือชนหินโสโครกบริเวณเกาะที่พวกนางอาศัยอยู่ หรือไม่ก็ว่ายน้ำไปเป็นอาหารของพวกนาง ทำให้นักเดินทางและกะลาสีเรือไม่อาจรอดชีวิตไปถึงอาณาจักรอีกฟากฝั่งดังหวัง
  • นางไซเรนเปรียบได้กับกระแสเสียงภายใน ซึ่งมักเป็นผลผลิตจากอดีตที่ทำให้เสียใจ เสียงนั้นคอยต่อว่า ข่มขู่ และต้อนเราให้กลับเข้าไปในอาณาเขตและวิธีคิดแบบเดิมๆ
  • ต่อเมื่อเรารู้วิธีจัดการกับเสียงวิจารณ์ภายในแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถผ่านขอบแดนที่มันเฝ้าอยู่ไปได้ เช่น เราสามารถขอบคุณเสียงวิจารณ์ภายในที่จริงๆ แล้วเจตนาปกป้องไม่ให้เราเสียใจซ้ำ โดยเน้นย้ำให้มันรู้ว่าเราไม่ได้กลัวเสียใจอีกต่อไปแล้ว เพราะเราใจดีกับตัวเองแล้ว

“ร่วงหล่นลึกลง ลึกลงไป ไซเรนกำลังร้องเพลงของคุณอยู่” – นิรนาม

ตำนานแห่งนางไซเรน (Siren) เป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อมาในหมู่นักเดินทางข้ามทะเลหฤโหด แม้ลักษณะของไซเรนจะถูกพรรณนาอย่างหลายหลากแต่โดยรวมคือ “ไซเรน” เป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งนก หรือครึ่งคนครึ่งปลาที่อันตรายถึงตาย ว่ากันว่าเมื่อเรือของใครก็ตามแล่นเข้าไปในน่านน้ำอันเป็นถิ่นของพวกนาง พวกนางจะร้องเพลงด้วยเสียงอันเย้ายวนชวนหลง ทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องเดินเรือชนหินโสโครกตรงบริเวณเกาะที่พวกนางอาศัยอยู่ หรือไม่เช่นนั้นก็ว่ายน้ำไปเป็นอาหารของพวกนาง เหล่านี้ล้วนทำให้นักเดินทางและกะลาสีเรือไม่อาจรอดชีวิตไปถึงอาณาจักรอีกฟากฝั่งดังหวัง

กระนั้น ตำนานก็ได้ชี้ทางรอดเอาไว้คือ หากต้องการจะฝ่าฝูงไซเรนไปจะต้องอุดหูไม่ให้ได้ยินเสียงไซเรน หรือต้องหาเสียงอันเพราะเสนาะมากกว่ามาบรรเลงกลบเสียงหวานของพวกนาง หากนักเดินทางรอดชีวิตไปได้ พวกนางก็จะจิตตกไม่มายุ่งอีกหรืออาจถึงขั้นฆ่าตัวตายไปเลย

ไซเรนปรากฏตัวสองครั้งสำคัญในเทพปกรณัมกรีก หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องราวของเจสัน (ในที่นี้ความหมายของชื่อ เจสัน แปลว่า “การเยียวยา” หรือ “ผู้เยียวยา”) ผู้ที่ต้องผจญภัยไปเอาขนแกะทองคำด้วยหวังกู้บัลลังก์ที่ถูกช่วงชิงไปจากพ่อของเขาซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งอิโอลคอส เหตุการณ์ตอนหนึ่งของการผจญภัยนั้น เจสันและลูกเรืออาร์โก (เรือที่เขาใช้เดินทาง) ต้องเดินทางผ่านน่านน้ำอันคลาคล่ำไปด้วยฝูงไซเรน โชคดีที่เจสันมีไครอน อาจารย์ทรงปัญญาผู้ลึกซึ้งในการเยียวยาและคีตศิลป์เป็นผู้แนะนำ เขาจึงทำตามคำชี้แนะของอาจารย์ โดยพาออร์เฟอุส นักดนตรีกวีชั้นเลิศขึ้นเรือมาด้วย เสียงดนตรีของออร์เฟอุสนี้เองที่ดังหวานแว่วกลบเสียงนางไซเรนได้เสียสิ้น เจสันและลูกเรือจึงข้ามผ่านน่านน้ำสยองขวัญไปได้

สัตว์ประหลาดหรืออมนุษย์ที่เฝ้าอาณาเขตและทางผ่านเข้าออกของอาณาจักรต่างๆ อยู่นั้น มิได้มีเพียงในตำนานของเจสัน โดยในตำนานอื่นๆ มันอาจปรากฏเป็นยักษ์ หรือบางเรื่องก็เป็นสฟิงซ์ (Sphinx) ครึ่งคนครึ่งสิงโตและมีปีกที่เฝ้าทางเข้าเมืองคอยถามคำถามผู้ที่เดินทางผ่านมาและจะฆ่าผู้ที่ไม่สามารถตอบคำถามได้ สัตว์รูปโฉมพิลึกเหล่านี้มักดูน่ากลัวและเจ้าเล่ห์แสนกล ซึ่งหากเราเพลี่ยงพล้ำก็จำต้องพลีชีพเป็นอาหารอันโอชะแก่มัน

ในชีวิตจริง สัตว์เหล่านี้เปรียบได้กับกระแสเสียงที่อยู่ภายในตัวเราที่คอยวิจารณ์และต้อนเราให้อยู่แต่ในอาณาเขตพื้นที่วิธีคิดแบบเดิมๆ และกลืนกินพลังชีวิตของเราไปด้วยไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ต่อเมื่อเรารู้วิธีจัดการกับมันแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านขอบแดนที่มันเฝ้าอยู่ไปได้ ดั่งตัวอย่างจากเรื่องราวของรูดอล์ฟ

รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) อธิบายว่า ตัวเองอยู่คนเดียวแล้วมีพลังงานมากขึ้น แต่ลึกๆ แล้วรูดอล์ฟก็ชอบให้เพื่อนชวนไปทำกิจกรรมต่างๆ บางครั้งรูดอล์ฟเห็นผ่านทาง social media ว่าเพื่อนไปเที่ยวด้วยกันหรือสังสรรค์ด้วยกันโดยไม่มีเขา ลึกๆ เขารู้สึกว่าตนเป็นตัวแถมที่ ‘ถูกคัดออก’ แต่รูดอล์ฟก็ไม่ได้บอกสิ่งนี้กับใคร

รูดอล์ฟสำรวจโลกภายตนเอง ผ่านบทสนทนากับขั้วตรงข้าม “ทำไมไม่ชวนเพื่อนล่ะ?”

รูดอล์ฟฉุกคิด จริงสินะ ทำไมเขาถึงต้องเป็นเพียงฝ่ายรอให้เพื่อนชวนแล้วแค่ตอบรับ ทำไมเขาไม่เป็นผู้ริเริ่ม รูดอล์ฟพบว่ามีผู้หญิงอีกคนที่มีพฤติกรรมทำนองเดียวกับเขา เธออยากให้เพื่อนชวนไปทำกิจกรรม แต่เมื่อเพื่อนๆ โทรมาเธอจะรีบบอกว่ากำลังยุ่งอยู่ ซึ่งทำให้สุดท้ายเธอก็นั่งเหงาเปล่าเปลี่ยว แท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้เคยถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก ลึกลงไป เธอจึงไม่อยากสัมพันธ์กับใครมากนักเพราะกลัวจะสูญเสียอีก

รูดอล์ฟตั้งคำถามว่าตนเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่ ทว่าคำตอบก็ไม่เหมือนกัน เขานึกย้อนอดีตว่าตนเคยไม่ใยดีเพื่อนที่รักเขามาก เขาทำให้เพื่อนเจ็บและเขาก็เคยมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ตัวเขาไม่ชอบ เช่น บางครั้งเขาฉุนเฉียวใส่คนใกล้ชิด ซึ่งทำให้เขาแอบลงทัณฑ์ตนเองโดยการบอกตนเองว่าคงไม่คู่ควรจะได้รับมิตรภาพอันลึกซึ้งจากใคร หนำซ้ำยังพากย์เสียงวิจารณ์ของเขาเองนี้ลงในสายตาและท่าทางของผู้อื่น ดังนั้น การที่เขาไม่ค่อยกล้าชวนเพื่อนๆ มาสังสรรค์เรื่อยเปื่อย มิใช่เป็นเพียงเพราะเขากลัวคนอื่นรำคาญหรือกลัวคนอื่นปฏิเสธ แต่หากชวนแล้วคนอื่นไม่เอาด้วย มันจะยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่าเขามีพฤติกรรมน่าละอายบางอย่างอันไม่ควรค่าแก่ความรัก ต่อให้ใครหลายคนไม่เคยเห็นด้านที่เขาคิดว่าไม่น่ารัก แต่เขาเคยเห็นด้านเหล่านี้ของตนเอง มันกลายเป็นเสียงวิจารณ์ภายในของเขามาตลอด

รูดอล์ฟได้ยินเสียงวิจารณ์กึกก้องคล้ายเสียงนางไซเรนอย่างนั้นมามากพอแล้ว วันหนึ่งเขาจึงหาวิธีปลดล็อคตนเองโดยไปนั่งอยู่ตามลำพังบนโขดหินกลางสายธารน้ำตกอันเชี่ยวกราก ในชั่วขณะนั้นเอง เขาพร้อมจะเผชิญกับเสียงวิจารณ์ภายในด้วยเสียงอันไพเราะยิ่งกว่า “ใจดีกับตัวเองนะ”

นี่กระมังคือหนึ่งในทำนองดนตรีของออร์เฟอุสซึ่งไครอนต้องการให้พวกเราได้ยิน เสียงดังกล่าวเท่านั้นที่จะทำให้เสียงวิจารณ์ภายในอันเปรียบเสมือนเสียงล่อลวงแห่งนางไซเรนสิ้นฤทธิ์ลงได้ หากห้วงน้ำเป็นภาพสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกและพื้นที่กักเก็บข้อมูลซึ่งเรายังไม่ตระหนักชัดแล้ว ห้วงน้ำก็สามารถจะมีไซเรนอาศัยอยู่ได้มากพอกับที่มีราชินีถ้วยใจดีสถิตย์อยู่ด้วย หากเสียงของนางไซเรนทำให้จิตเราหมดความรู้สึกตัวแล้วไหลไปกับการปรุงแต่งลบๆ กระทั่งร่วงหล่นลงในความหม่นเศร้าสูญเสียพลังงานชีวิต เสียงของราชินีถ้วยก็เป็นยาถอนพิษได้เช่นกัน กล่าวคือเป็นเสียงของความใจดีต่อตนเอง ความหยั่งรู้ อารมณ์อันหยั่งรากมั่นคง ความไหลลื่นไม่ติดขัดดุจสายน้ำที่คอยชำระล้างเยียวยา

รูดอล์ฟสนทนากับเสียงภายในของตนด้วยพลังงานของราชินีถ้วยทำให้เขาเห็นเจตนาส่วนหนึ่งของเสียงวิจารณ์ว่า มันแค่อยากปกป้องเขาจากความเสียใจในอนาคต

และครั้นเมื่อเขาเห็นการปฏิเสธตนเองของเขาเอง เขาก็น้อมรับการปฏิเสธของคนอื่นได้มากขึ้นด้วย รูดอล์ฟบอกเสียงวิจารณ์ว่า “ขอบคุณมากนะ แต่ไม่ต้องปกป้องเราแล้ว เราไม่ได้กลัวจะถูกปฏิเสธขนาดนั้นอีกแล้ว”

“ต่อให้ถูกปฏิเสธก็ไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าไม่ชวนเพื่อนเลยจะเสียโอกาสที่จะเชื่อมโยงกับคนอื่นมากกว่าอีก”

รูดอล์ฟก้าวข้ามความกลัวของตน ฝูงไซเรนสิ้นเสียงไปแล้ว เขาเพิ่งรับรู้ว่าตนมีเพื่อนมากมายมหาศาล เมื่อเขากล้าชวนเพื่อนๆ ทำกิจกรรม เพื่อนส่วนใหญ่ก็เอาด้วยทั้งนั้น อีกทั้งเขาพบความจริงอีกอย่างว่า เพื่อนหลายคนก็ชื่นชอบเขาและอยากสนิทกับเขาทว่าล้วนแล้วแต่เคยชินกับการเป็นฝ่ายตั้งรับเหมือนกับเขา

รูดอล์ฟไม่เพียงพลิกวิธีการที่คุ้นชิน เขายังก้าวข้ามไปมากกว่านั้นอีกเมื่อมีเพื่อนถามเขาว่า

“ตกลงเราสนิทกันไหม?”

รูดอล์ฟใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วก็ตระหนักว่าหากไม่มีการเอื้อยเอ่ยกันออกมาชัดเจนแล้ว ตนไม่กล้านับใคร ยิ่งเพื่อนที่เป็นคนของประชาชนด้วยแล้ว เขายิ่งไม่กล้านับเป็นเพื่อนสนิทถึงแม้จะรู้สึกสนิทและต่างก็มีพฤติกรรมซึ่งสนิทกันก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาคิดว่าเพื่อนที่ได้รับความนิยมชมชอบนั้นคงเป็นมิตรกับทุกคนเช่นนี้และเขาก็ย่อมเป็นเพียงหนึ่งในผองเพื่อน

“เราไม่ค่อยกล้านับว่าเพื่อนที่มีเพื่อนเยอะมากเว่อร์ หรือเป็นคนดังว่าเป็นเพื่อนสนิทนะ”

“อ้าว อย่างนี้คนดังก็ซวยเลยดิ!” เพื่อนของรูดอล์ฟอุทาน   

ฉับพลันนั้น ม้วนฟิล์มแห่งความทรงจำของรูดอล์ฟก็ฉายภาพตอนที่เขาเคยเป็นรุ่นพี่ที่ได้รับความนิยมชมชอบมากคนหนึ่ง ซึ่งแน่ล่ะว่ามันไม่ได้มีแต่แง่ดี เพราะมันมีส่วนที่ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวด้วย ความทรงจำผุดขึ้นว่าเพื่อนเคยเดินหนีเขาเมื่อกลุ่มน้องๆ มาเดินตามและรุมล้อมพูดคุยกับเขาด้วยความชื่นชม และพร้อมกับการจากไปนั้นเพื่อนก็พูดว่า “หึ แฟนคลับ”

เสียงสะท้อนจากเพื่อนอีกคนดังเสริมขึ้นมา “ไม่ใช่กูไม่ชอบมึง แต่บางทีมึงก็ทำให้กูรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง”

และอีกหนึ่งกระแสเสียง “ถ้าเราเดินไปซื้อน้ำด้วยกันนอกโรงเรียน แล้วขากลับรูดอล์ฟก็ต้องทิ้งเราไปกับคนอื่นใช่ไหม?” รูดอล์ฟก็เคยทำให้คนอื่นเหงาเหมือนกัน ความกลัวถูกปฏิเสธของเขาส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาเคยทำให้เพื่อนรู้สึกถูกทอดทิ้ง  

ด้วยการย้อนเห็นอดีตและได้ยินเสียงภายในต่างๆ ของตนซึ่งหลายเสียงก็รับมาจากคนอื่นอีกทอด บัดนี้ รูดอล์ฟกล้าชวนผู้คนที่เขาอยากชวนมาสังสรรค์เสวนากันโดยมองทะลุภาพภายนอกของแต่ละคนไปยังความต้องการภายใน คนส่วนใหญ่ต่างยินดีที่จะได้รับมิตรไมตรีและได้พูดคุยกับเพื่อนที่มีความสนใจร่วมกัน อีกทั้งคุยกันเข้าใจ

นี่คือการเรียนรู้ของรูดอล์ฟในการก้าวข้ามน่านน้ำที่ตนไม่รู้จัก เพื่อแผ่ขยายประสบการณ์ไปในอาณาจักรอื่นๆ และได้สัมผัสกับคุณลักษณะที่ตนเคยทอดทิ้งไป แต่ก่อนที่เขาจะผ่านน่านน้ำนั้น เขาก็ต้องทำความรู้จักกับเสียงวิจารณ์ภายในซึ่งมักจะมีผลมาจากอดีตที่ทำให้เสียใจ หากเสียงวิจารณ์นั้นเป็นดั่งเสียงชวนหลงของนางไซเรนเราคงอดใจไม่ฟังไม่ไหว แต่เราก็อาจใช้วิธีฟังโดยไม่ฟัง คือรับฟังแบบรู้สึกตัวไปเฉยๆ โดยไม่ตัดสินตัวเอง และไม่หลงด่ำดิ่งไปกับมัน หรืออาจสดับเสียงสะกดนั้นร่วมกับการใช้เสียงอื่นที่เป็นบวกมากกว่ามาไดอะล็อกดั่งที่รูดอล์ฟทำด้วยก็ได้    

แล้วคุณล่ะ กล้าข้ามน่านน้ำแห่งเสียงวิจารณ์เหล่านี้ไหม?    

อ้างอิง
Jason
THE SIRENS IN GREEK MYTHOLOGY
Oedipus
Argonaut

Tags:

การตั้งแกน (Centering)spiritualการฟังและตั้งคำถามภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนาการจัดการอารมณ์Myth Life Crisis

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    ปลาบู่ทอง: การรับมือกับความสูญเสียคนที่รักและผูกพัน และหนทางเยียวยาตนเอง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Everyone can be an Educator
    มุมมองใหม่ในการรู้จักตัวเอง ผ่านการดูไพ่ทาโรต์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

เทคโนโลยี-นวัตกรรม จุดชี้ขาดทางรอดโลกอนาคต: เสวนา SIIT ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต
24 September 2020

เทคโนโลยี-นวัตกรรม จุดชี้ขาดทางรอดโลกอนาคต: เสวนา SIIT ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ทักษะนวัตกรสำคัญอย่างไร? ในยุค Disruption ที่เทคโนโลยีหมุนรอบตัวเรา หาคำตอบได้ที่งานเสวนา SIIT ธรรมศาสตร์ให้ 80 ทุน ‘ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต’ วันที่ 23 กันยายน 2563 โดยสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT)
  • ผ่านการแชร์ประสบการณ์จาก 3 นักธุรกิจ Start Up ภัทรพร โพธิ์สุวรรณ CEO บริษัท อีเว้นท์ ป็อป จำกัด, คณิน อนันรยา ผู้บริหารบริษัท เดอะ ซัมเมอร์ เฮ้าส์ จำกัด และสุรนาม พานิชการ กรรมการผู้จัดการบริษัท โทฟุซัง จำกัด
  • “จริงๆ เราถูก disrupted กันไปหลายทีแล้วนะฮะ (ยิ้ม) เพียงแต่โควิดมันเร่งเร้าให้เปลี่ยนอย่างเร็วขึ้น กิจกรรมทุกอย่างของเราต้องใช้เทคโนโลยีทั้งหมด แต่ถ้าถามว่าทักษะของคนยุคนี้คืออะไร ผมคิดว่าคือ digital literacy คือความรู้ความเข้าใจการทำงานของเทคโนโลยี” ภัทรพร โพธิ์สุวรรณ

นั่งรถไปทำงานเปิดเพลง/พอดแคสต์ฟังจากแอพฯ Spotify, นั่งง่วงๆ ที่ออฟฟิศไม่มีอะไรทำขออัดคลิปเต้นลง TikTok เสียหน่อย, อยู่ดีๆ งานก็ยุ่ง(ผี)ขึ้นมาจนไม่อยากเสียเวลาไปกินข้าวข้างนอก ขอใช้บริการพี่ Grab, FoodPanda ไม่ก็ Line Man สั่งอาหารเข้ามากินกับแก๊งที่ออฟฟิศ, กำลังทำงานมันส์ๆ อยู่ดีๆ แอพฯ ซื้อของออนไลน์จากต่างประเทศก็เด้งเตือนว่าสินค้าส่งถึงหน้าบ้านเรียบร้อย สุดท้าย ตัดภาพฉับกลับไปที่บ้าน(สมมติว่าเราฝ่าวิกฤตรถติดและการเดินทางในเมืองหลวงกว่า 2-3 ชั่วโมงไปได้แล้วน่ะนะ) ขอเปิดซีรีส์ไม่ก็หนังดีๆ ดูสักเรื่องย้อมใจเป็นจุดฟูลสต็อบของวันจาก Netflix, Viu ไม่ก็ HBO เสียหน่อย

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ ‘ส่วนหนึ่ง’ ว่านวัตกรรมหมุนรอบตัวเรามาก/น้อย แค่ไหน และหากย้อนเวลากลับไปเสียสามสี่ปี อย่างน้อย… เราคงไม่คิดว่าวันหนึ่งจะนั่งอัดคลิปเต้นสั้นๆ ให้สาธารณะดูอย่างเป็นเรื่องปกติ (และเพลินมาก)

พูดให้จริงจังขึ้นอีกนิด ทุกคนทราบกันดีว่าเรากำลังอยู่ในยุค disruption ที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแรง เร็ว และขนาดใหญ่ ทุกอย่างหมุนเร็วไปหมดไม่เว้นแต่ ‘ความรู้’ ก็มีอายุสั้นลงทุกวัน หรืออย่างเห็นภาพที่สุด อยู่ดีๆ เราก็ชินกับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ไปอย่างไม่รู้เนื้อตัว (การทำงานผ่านออนไลน์, สังคมไร้เงินสดที่เข้มข้นขึ้นทุกที, การสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเป็นสิ่งปกติ และอื่นๆ)

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ เสวนา SIIT ธรรมศาสตร์ให้ 80 ทุน ‘ผลิตคนนวัตกรรม ตอบโจทย์อนาคต’ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยากหยิบยกมาคุยกันว่า ทักษะนวัตกรสำคัญอย่างไร สร้างได้อย่างไร และการสนับสนุนจากรัฐและหน่วยงานศึกษาอย่าง สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) นั้น มีช่องทางไหนบ้าง

ดูรายชื่อวิทยากรซึ่งเป็นศิษย์เก่าของ SIIT ที่ขึ้นเวทีมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็น่าสนใจไม่น้อย นั่นคือ

  • ศ.ดร.ทพญ.ศิริวรรณ สืบนุการณ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มธ. และนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาการศึกษา ปี 2563
  • ภัทรพร โพธิ์สุวรรณ CEO บริษัท อีเว้นท์ ป็อป จำกัด และนายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่
  • คณิน อนันรยา ผู้บริหารบริษัท เดอะ ซัมเมอร์ เฮ้าส์ จำกัด ศิษย์เก่าและกรรมการสอบสัมภาษณ์เด็กเอเชีย เพื่อเข้าศึกษาต่อในสาขานวัตกรรมที่ Brown University
  • สุรนาม พานิชการ กรรมการผู้จัดการบริษัท โทฟุซัง จำกัด
  • ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
  • ศ.ดร.พฤทธา ณ นคร ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT)

ประสบการณ์จาก 3 นักธุรกิจ Start Up: นวัตกรรมคืออะไร เริ่มต้นธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างไร

ภัทรพร CEO บริษัท อีเว้นท์ ป็อป จำกัด และนายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ กล่าวก่อนว่า นวัตกรรมสำหรับเขาคือ การทำสิ่งเดิมให้มีประสิทธิภาพ, น่าสนใจ, โดดเด่นแตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาด และด้วยราคาที่ถูกลง

ภัทรพร โพธิ์สุวรรณ (ผู้จับไมค์)

ภัทรพร ยกตัวอย่างการเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพของเขาว่า เริ่มจากมองเห็นว่าอีเว้นท์สมัยนั้นต้องลงทะเบียนด้วย ‘กระดาษ’ ซึ่งหากมองเป็นต้นทุนก็ถือว่าเป็นต้นทุนที่ไม่น้อย เพื่อลดต้นทุนดังกล่าว เขาจะพัฒนาเทคโนโลยีตัวไหนมาลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงได้มั้ย จากนั้นก็ไปดูว่าตลาดที่เขาสนใจนั้นเป็นอย่างไร เป็นไปได้มั้ย และอื่นๆ

ขณะที่คณิน ผู้บริหารบริษัท เดอะ ซัมเมอร์ เฮ้าส์ จำกัด ร่วมแชร์ว่า เขาให้ความสำคัญกับข้อมูล (data) ซึ่งถือเป็นหัวใจของการพัฒนานวัตกรรม กล่าวคือ ในฐานะที่เขามีพื้นฐานมาจากสายวิศวกรรมและต่อยอดไปทำธุรกิจกาแฟ นอกจากเรื่องสุนทรียะซึ่งต้องให้ความสำคัญแล้ว เขาเชื่อในการ ‘ทำซ้ำ’ ของการเก็บข้อมูล ตั้งแต่ข้อมูลการคั่ว บ่ม เมล็ดกาแฟ อย่างแม้กระทั่งการชิมรสชาติ เพราะเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานในการทำงาน

คณิน อนันรยา

“อย่างธุรกิจกาแฟที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นธุรกิจในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มซึ่งมีคนทำอยู่มาก แต่เราเชื่อเรื่องการเก็บข้อมูลและการประมวลผล เราปรับใช้เรื่องนี้ในธุรกิจตั้งแต่การออกแบบ การคั่วกาแฟ การควบคุมอุณหภูมิ จนกาแฟมีความอร่อยและคงที่ในทุกๆ แก้ว แปลว่าทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานเพียงใด นวัตกรรมก็มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น” คณินกล่าว

สุรนาม กรรมการผู้จัดการบริษัท โทฟุซัง จำกัด เสริมว่า แน่นอนว่านวัตกรรมคือการสร้างสิ่งใหม่ แต่จะสร้างได้อย่างไรหากไม่เห็นปัญหาและมีระบบคิดจะแก้ปัญหานั้นอย่างเป็นรูปธรรม (concrete) เช่น ธุรกิจน้ำเต้าหู้ออแกนิคของเขาเริ่มจากปัญหาที่ว่า ทำไมร้านเต้าหู้ถึงเปิดอย่างคึกคักเฉพาะช่วงเช้า จะเป็นไปได้มั้ยที่เราจะได้กินน้ำเต้าหู้ที่ทั้งออแกนิคและสดได้ตลอดเวลา (ปัญหา) และทำอย่างไรที่จะทำน้ำเต้าหู้ที่ไม่ใส่น้ำมันอย่างผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองเดิมในท้องตลาด (ปัญหา)

สุรนาม พานิชการ

สุรนามบอกว่า การจะแก้ปัญหาได้ก็ต้องใช้ความเป็นวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่การแช่ถั่วเหลืองจะให้เอนไซน์อะไรออกมา ต้องแช่ด้วยเวลาเท่าไร (แก้ปัญหานั้นอย่างเป็นรูปธรรม) ทั้งหมดนี้เขามองว่ามันคือวิธีคิดและทำของนวัตกรทั้งสิ้น

และสิ่งที่ผู้ประกอบการทั้งสามเห็นตรงกันในมุมนวัตกรรมคือ สุดท้ายแล้วนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จต้องแตกต่าง สร้างสรรค์ และนำไปสู่การแข่งขันในเชิงธุรกิจได้

ขณะที่ ศ.ดร.พฤทธา ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) เสริมนิยามคำว่า นวัตกรรม ในมุมของนักการศึกษาว่า นวัตกรรมมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ ความรู้ ความสามารถในการแก้ปัญหา (ที่เกิดจากประสบการณ์และการปฏิบัติ) และ ความคิดสร้างสรรค์ และนี่คือโจทย์ของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาหลายแห่งต้องจัดการศึกษาแบบนี้ให้

ศ.ดร.พฤทธา ณ นคร

“ในการจัดการศึกษาเราเชื่อว่า ความรู้ คือ เครื่องมือ แต่ก่อนเราบอกว่า ปริญญาตรี คือการสอนให้นักศึกษารู้จักกับเครื่องมือ ปริญญาโท สอนให้เลือกใช้เครื่องมือ ส่วนปริญญาเอก คือการสอนให้ผลิตเครื่องมือใหม่ แต่ในยุคสมัยนี้ที่ความรู้ก็มีอายุสั้นลง เราบอกว่าคนรุ่นใหม่ต้องมีทั้งรู้จัก เลือกใช้ และผลิตเครื่องมือใหม่ เรียกว่าต้องทำเป็นทุกอย่างเลย” ศ.ดร.พฤทธา ทิ้งท้ายถึงความท้าทายของการจัดการศึกษาในยุคสมัยนี้

ในยุคสมัยแห่งนวัตกรรม เราต้องการคนทำงานที่มีทักษะแบบไหน?

ก่อนลาจากกันไป มีคำถามจากทางบ้านที่น่าสนใจ นั่นคือ ในยุคแห่งการ disruption ไปทุกวงการ ‘ความรู้’ หรือ ‘ทักษะ’ อะไรที่สำคัญที่สุด ในมุมมองของผู้ประกอบการหน้าใหม่

“จริงๆ เราถูก disrupted กันไปหลายทีแล้วนะฮะ (ยิ้ม) เพียงแต่โควิดมันเร่งเร้าให้เปลี่ยนอย่างเร็วขึ้น กิจกรรมทุกอย่างของเราต้องใช้เทคโนโลยีทั้งหมด แต่ถ้าถามว่าทักษะของคนยุคนี้คืออะไร ผมคิดว่าคือ digital literacy คือความรู้ความเข้าใจการทำงานของเทคโนโลยี”

ภัทรพร แชร์ก่อนคนแรก และย้ำว่า โดยเฉพาะความรู้พื้นฐานที่หลายคนมองข้ามอย่างการใช้โปรแกรม excel ที่ไม่ใช่แค่กรอกข้อมูลเป็น แต่ต้องเข้าใจการประมวลผลโดยใช้โปรแกรมนี้แล้ววิเคราะห์ออกมาได้ด้วย มันคือโปรแกรมพื้นฐานในการเก็บและวิเคราะห์ data อย่างหนึ่งเลย

นอกจากนี้ยังต้องการทักษะการใช้ Social Media ทั่วไป ซึ่งคนรุ่นใหม่ใช้อย่างเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น การทำการตลอดบนโซเชียล เรื่องเล่าผ่านแคปชั่นแต่ละโพสต์ โดยเฉพาะการทำการตลาดบน Tiktok

“เด็กรุ่นนี้เข้าใจการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ดีอยู่แล้ว เพราะเขาใช้งานอยู่ทุกวัน ที่ขาดก็คือประสบการณ์เท่านั้นเอง” ภัทรพรกล่าว

ขณะที่คณินเสริมว่า ด้วยความที่เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับข้อมูล จึงให้ความสำคัญกับทักษะด้านภาษา โดยเฉพาะการอ่านข้อมูลต่างประเทศเพื่อทำรีเสริช และความสามารถที่เรียกว่า “รู้ว่าต้องการรู้อะไร” เมื่อรู้แล้วก็มีความสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นด้วย สุรนาม เห็นด้วยกับทักษะด้านภาษาแต่เสริมว่า เขายังให้ความสำคัญกับ ‘การสื่อสารความคิดของตัวเอง’ ออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและโดยง่ายด้วย

อาจตีความได้ว่า นี่คือโจทย์ใหญ่ของคนในภาคการศึกษาที่ต้องเปลี่ยนการเรียนรู้ในห้องเรียนที่ช่วยพัฒนาศักยภาพเหล่านี้ให้กับคนรุ่นใหม่ พร้อมรับการทำงานในโลกอนาคต …ที่มีความรู้มีอายุสั้นลงเรื่อยๆ

หมายเหตุ: ปัจจุบันสถาบัน SIIT เปิดโครงการสอบชิงทุนสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเลิศ (OSP) โดยในปีการศึกษา 2564 มีมากถึง 80 ทุน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเปิดรับสมัคร ผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลและสมัครได้ที่ www.siit.tu.ac.th

Tags:

Disruptionนวัตกรรมผู้ประกอบการ(entrepreneurship)Generation of Innovator

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Education trend
    ยุคที่การศึกษาขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยจะปรับตัวรับมืออย่างไร: เสวนา SIIT

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character buildingVoice of New Gen
    “ลูกค้าคือทรัพยากรของนวัตกรรม” ทักษะคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างนวัตกรรม กับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร SCB10X

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    ห้องเรียนใหม่รับเปิดเทอม เทคโนโลยีจะช่วยครูอย่างไร ให้ยังสอนและสร้างประสบการณ์เรียนรู้ได้อยู่

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020
Education trend
22 September 2020

‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • งานเสวนา โลกเปลี่ยนการศึกษาเปลี่ยน โดย ดร.สัมพันธ์  ศิลปนาฎ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปบริษัทเวสเทิรน์ ดิจิตอล (Western Digital) ภายในงาน TEP@Rayong 2020 ณ โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง วันที่ 12 กันยายน 2563
  • ในฐานะตัวแทนจากภาคธุรกิจและทำงานคลุกคลีวงการการศึกษามา 20 กว่าปี ดร.สัมพันธ์ให้เหตุผลไว้ว่าที่เราต้องปฎิรูปการศึกษา เพราะโลกในวันนี้ต้องการคนที่สามารถอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ พร้อมรับกับทุกความเปลี่ยนแปลง
  • เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ดร.สัมพันธ์ยกข้อมูล 4 สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจ คือ Retire (โละคนที่มีทัศนคติแบบเดิมทิ้งไป), Retain (เก็บคนที่คิดว่าสามารถไปต่อได้), Retrain (เสริมทักษะให้คนเหล่านั้น) และ Recruit (คนแบบไหนที่บริษัทต้องการ)

คนแบบไหนที่จะอยู่รอดภายใต้การเปลี่ยนแปลงแบบนี้? ในโลกที่พร้อมพลิกผันได้เสมอ เป็นคำถามจาก ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปบริษัทเวสเทิรน์ ดิจิตอล (Western Digital) ซึ่งขึ้นพูดในงาน TEP@Rayong 2020 ร่วมเปลี่ยนการศึกษาระยอง ณ โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง วันที่ 12 กันยายน 2563 ในหัวข้อ โลกเปลี่ยนการศึกษาเปลี่ยน

ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ

ประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดกันบ่อยในระบบการศึกษาไทย คือ ต้องปฏิรูป แต่ทำไมเราต้องปฏิรูปการศึกษา? ปัญหาเดิมของมันคืออะไร? ในมุมมองของ ดร.สัมพันธ์ เขาให้เหตุผลว่าปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งเกิดโควิด-19 ยิ่งต้องย้ำประโยคดังกล่าว เมื่อลองมองย้อนกลับยังระบบการศึกษาที่เป็นตัวแปรหนึ่งในการผลิตคน ระบบการศึกษาแบบปัจจุบันที่เด็กใช้เวลาไปกว่า 200 วัน กับรูปแบบการสอนเดิมๆ สอนแบบที่ครูอยากสอน สามารถสร้างคนให้อยู่รอดในโลกใบนี้ได้หรือไม่

“การศึกษาต้องสอนให้เด็กพร้อมรับกับความไม่แน่นอน ความเปลี่ยนแปลง ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์ตกต่ำ ยากลำบาก แต่เราก็จะมีทักษะ ทัศนคติ หรือความหวังเชิงบวกทำให้เราอยู่รอดในสภาวะนั้นได้” ดร.สัมพันธ์กล่าว

ดร.สัมพันธ์กล่าวต่อว่า ปัญหาหนึ่งของการศึกษาไทย คือ มองแค่เป็นชอตๆ เช่น เรียนอนุบาลก็โฟกัสแค่ระดับอนุบาล เรียนประถมศึกษาก็โฟกัสแค่ระดับประถมศึกษา แต่เรายังไม่เคยมองภาพใหญ่ว่า เป้าหมายของเด็กนักเรียนจะไปทิศทางไหน ฉะนั้น เพื่อตอบปัญหานี้ ดร.สัมพันธ์ บอกว่า ถึงเวลาที่เราต้องทำให้เด็กๆ เรียนรู้อย่างมีเป้าประสงค์ (Learning with purpose) 

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ดร.สัมพันธ์ ในฐานะตัวแทนจากภาคธุรกิจและทำงานคลุกคลีวงการการศึกษามา 20 กว่าปี ได้ยกข้อมูล 4 สิ่งที่กำลังเกิดในภาคธุรกิจ ได้แก่

  • Retire ทุกองค์กรต่างมีโจทย์ว่าต้องการใช้คนทำงานให้น้อยลง ทำให้พวกเขาเลือกเกษียณคนออกจากบริษัท โดยเฉพาะคนที่มีทัศนคติแบบ Fixed Mindset (ความคิดที่ไม่มีความยืดหยุ่น) เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทัศนคติแคบ 
  • Retain คำถามต่อมา คือ ถ้ามีคนทำงาน 100 คน องค์กรจะเลือกเก็บใครไว้ เก็บไว้กี่คน 
  • Retrain หลังจากเลือกว่าจะเก็บใครไว้ ก็พาพวกเขามา reskills (ปรับทักษะเดิมที่มี) และ upskills (เพิ่มทักษะใหม่) ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมในประเทศไทยตอนนี้ นี่เป็นจุดที่ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจต้องย้อนกลับมาทำงานกับภาคการศึกษา เป็นโอกาสของโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตคนให้ตอบโจทย์ความต้องการตลาด
  • Recruit เมื่อ 15 ปีที่แล้ว การเข้ามาของ automation (การทำงานโดยเครื่องจักรคอมพิวเตอร์) ทำให้วงการอุตสาหกรรมเผชิญกับสภาวะปลดคนงานออก และในช่วง 3 – 5 ปี เราก็กำลังเผชิญภาวะลดคนทำงานเช่นกัน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มคนทำงานในออฟฟิศ 

“สิ่งที่องค์กรใหญ่ๆ ค้นพบคือ เรามีข้อมูลใหม่เกิดขึ้นเป็นล้านในแต่ละวัน แต่เรากลับใช้ข้อมูลนั้นไม่ถึง 3% แล้วนำข้อมูลมาคิดแค่ค่าเฉลี่ย หรือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทำให้เวลาประชุมเพื่อต่อยอดหรือแก้ไขปัญหา สุดท้ายแก้ปัญหาตอนนี้ได้ แต่สองเดือนถัดมาเกิดปัญหาแบบเดิมอีก 

“การเข้ามาของเทคโนโลยีที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูล (date) ได้ตั้งแต่ต้นทาง ส่งต่อรวดเร็ว ในวันข้างหน้าผลผลิตที่ผลิตเมื่อคืน ผมที่อยู่ไทยอาจจะรู้ช้ากว่าซีอีโอที่อยู่สิงคโปร์อีก สามารถตัดสินใจได้เลยทันที คำถามคือบริษัทจะเก็บคนไว้ทำไม” ดร.สัมพันธ์กล่าว

เมื่อรู้แล้วว่าคนแบบไหนที่ตลาดต้องการ การปฏิรูปการศึกษาเริ่มจาก 3 สิ่งต่อไปนี้

  • Reskill ทักษะเก่าที่ไปต่อไม่ได้ ต้องเปลี่ยนหรือโละทิ้ง
  • Upskill ทักษะเก่าที่ยังพอไปต่อได้ สามารถนำมาต่อยอด สร้างการเปลี่ยนแปลง
  • Newskill คนที่อยู่ภาคการศึกษาอยากผลิตคนแบบไหน ทำไมเราถึงต้องปฏิรูปการเรียนรู้

จะเห็นได้ว่าทักษะเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างคน แต่ก็มีข้อถกเถียงกันว่าระหว่าง Hard skills (ทักษะเชิงฝีมือ) และ Soft skills (ทักษะเชิงอารมณ์) ทักษะไหนสำคัญกว่ากัน ดร.สัมพันธ์ตอบว่า ผู้นำในองค์กร 60% มองว่า Soft skills สำคัญที่สุด โดยเฉพาะ Communication skills (ทักษะการสื่อสาร) และ Problem solving skills (ทักษะการแก้ปัญหา)

แต่ไม่ได้หมายความ Hard skills นั้นไม่สำคัญ ดร.สัมพันธ์บอกว่าการสร้าง Hard skills ได้ เด็กๆ ควรจะรู้ว่าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร เป็นการเรียนรู้อย่างมีเป้าประสงค์ เขายกตัวอย่างผลสำรวจอาชีพที่ได้รับความนิยมในปี 2020 โดย World economic Forum ผลสำรวจระบุว่า อาชีพที่จะได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Data analystsis (การวิเคราะห์ข้อมูล) และอาชีพในกลุ่มเทคโนโลยี 

ดร.สัมพันธ์ทิ้งท้ายไว้ว่า การปฏิรูปนี้คงไม่สามารถทำได้แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่เราทุกคนต้องช่วยกัน โดยเฉพาะภาคเอกชนควรเข้ามามีบทบาทเพราะถ้าพวกเขาบอกว่าแรงงานทุกวันนี้ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง ก็เข้ามาเลยทำให้เราเห็นว่าอยากได้คนแบบไหน

“อย่ารอพึ่งพาภาครัฐ เพราะเรารู้แล้วว่าทุกวันนี้การศึกษาที่นำโดยภาครัฐช้ามาก ไม่ทันโลกแน่นอน พาเราไปไม่รอดถ้าไม่ได้พลังจากทุกคน อนาคตต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน”

Tags:

TEP Forumสัมพันธ์ ศิลปะนาฎระบบการศึกษาระยองพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Creative learningSocial Issues
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Education trend
    TEP@Rayong พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง ความหวังปฏิรูปการศึกษาไทย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    โควิด19-เทคโนโลยี-ทัศนคติ ความท้าทายเเละจุดเปลี่ยนระบบการศึกษา: สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Creative learningLearning Theory
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

TEP@Rayong พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง ความหวังปฏิรูปการศึกษาไทย
Education trend
21 September 2020

TEP@Rayong พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง ความหวังปฏิรูปการศึกษาไทย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • แลกเปลี่ยนข้อมูลระบบการศึกษากับงาน TEP@Rayong 2020 พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง
  • ดร.สัมพันธ์ ศิลปะนาฎ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป Western Digital ตัวแทนภาคธุรกิจ ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า ตอนนี้คนทำงานทั่วโลกโดยเฉพาะองค์กรธุรกิจดิจิทัล ต่างต้องการคนที่มีทักษะ hard skill และ soft skill และดูเหมือนว่า soft skill จะมีคะแนนขึ้นนำกว่านิดๆ เพราะเทคโนโลยีอาจเข้ามาทำหน้าที่พวก hard skill ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่และท้าทายต่อคณะครู ภาคี และคนทำงานด้านล่างเวทีว่าจะร่วมมือกันผลักดันให้คนรุ่นใหม่ที่อยู่ในรั้วโรงเรียนมีทักษะเช่นนี้ได้อย่างไร
  • นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ ได้แชร์เทคโนโลยี Learning Analytic Platform ที่จะช่วยเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายคนเพื่อบอกว่าเด็กคนนึงเก่งเรื่องอะไร ช่วยวิเคราะห์แผนการสอนของครูได้ด้วย อธิบายวิธีทำงานอย่างรวบรัดว่า เมื่อครูเขียนแผนการสอนเสร็จแล้วนำเข้าเครื่องวิเคราะห์นี้ จะช่วยวิเคราะห์ได้ว่าแผนนี้ครูกำลังจะถ่ายทอดทักษะอะไร โดดเด่นเรื่องอะไร ตรงกับที่ครูต้องการหรือไม่ ก็จะช่วยให้ครูวิเคราะห์แผนการสอนของตัวเองได้ด้วย

เข้าสู่ปีที่ปี 2 แล้วสำหรับโครงการปฏิรูปการศึกษาในชื่อโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดยจังหวัดระยอง เป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) และเช่นเคย คนทำงานได้จัดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคืบหน้า ร่วมกับภาคีเพื่อการปฎิรูปการศึกษา (Thailand Education Partnership: TEP) จัดงาน TEP@Rayong ร่วมเปลี่ยนการศึกษาระยอง ณ โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง วันที่ 12 กันยายน 2563

ผู้ร่วมงานมีหมดตั้งแต่โรงเรียนในโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาทั้งรุ่น 1 และ 2 คับคั่งกว่า 50 แห่ง และองค์กรภาคี เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาระยอง อบจ.ระยอง ศึกษาธิการจังหวัดระยอง Dappa, กลุ่มปตท., กลุ่มครูอย่าง Teach for Thailand, สถาบันอาศรมศิลป์ในฐานะเมนเทอร์ของพื้นที่, มูลนิธิสยามกัมมาจล กองทุนความเสมอภาคทางการศึกษาและอื่นๆ ที่เรียกว่าตบเท้าพร้อมใจกันมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นการศึกษา ที่ต่างเชื่อว่าไม่ใช่แค่หน้าที่โรงเรียนเท่านั้น

จุดแข็งพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาระยอง ในฐานะพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม  

สมศักดิ์ พะเนียงทอง กรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา กล่าวในงานเพื่อให้เห็นบริบทพื้นที่ระยองว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าจังหวัดระยองมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหน เห็นได้จากรายได้/ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว หรือที่เรียกว่า GDP มากเป็นอันดับหนึ่งในไทยย้อนหลัง 10 ปี โดยในปี 2561 อยู่ที่ตัวเลข 1,067,449 บาท/ปี ซึ่งสูงกว่าอันดับที่ 2 คือ กรุงเทพฯ ซึ่งมีตัวเลข GDP ที่ 604,421 บาท/ปี ราวหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว (ข้อมูลปี 2561 จากสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)

หมายความว่าจังหวัดมีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจ แต่หากซูมลงไปดูประเด็นการศึกษา สมศักดิ์เห็นว่ายังเป็นความท้าทายที่จังหวัดระยองต้องทำงานต่อไป อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนทำงานในพื้นที่ สมศักดิ์เล่าว่าคนระยองไม่ได้นิ่งนอนใจแต่มีแผนเดินหน้าการศึกษาโดยตั้งใจทำเรื่อง ‘การศึกษาทุกช่วงวัย’ โดยตั้ง motto ว่า ‘เท่าเทียม เท่าทัน ทั่วถึง สมดุล’ ไว้ตั้งแต่ปี 61 และประกาศโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เริ่มก่อนที่จะมีการชักชวนจากคณะทำงานพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เมื่อถูกชักชวนเข้าเป็นหนึ่งในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คนระยองจึงขานรับและเดินหน้าเต็มที่

สมศักดิ์ พะเนียงทอง กรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
ดร.สัมพันธ์ ศิลปะนาฎ

ขณะที่ดร.สัมพันธ์ ศิลปะนาฎ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป Western Digital ในฐานะภาคธุรกิจ ขึ้นเวทีขยายความว่าทำไมคนในภาคธุรกิจต้องเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการทำงาน แน่นอนว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคธุรกิจคือตลาดที่จะรองรับคนทำงาน/แรงงานในอนาคต แต่ในภาคธุรกิจทุกวันนี้ต่างก็ถูก disrupt จากเทคโนโลยี แรงงาน/คนทำงานในอนาคตไม่สามารถใช้ทักษะเดิมได้อีกต่อไป และหรือต่อไปภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้อาจไม่ใช่คำตอบของคนในอีก 10-20 ปีต่อจากนี้ ภาคธุรกิจจะเปลี่ยนรูปทั้งหมดเริ่มตั้งแต่การคัดคนเข้าทำงานเลยทีเดียว

ดร.สัมพันธ์ ย้ำประเด็นว่า ตอนนี้คนทำงานทั่วโลกโดยเฉพาะองค์กรธุรกิจดิจิทัล ต่างต้องการคนที่มีทักษะ hard skill และ soft skill และดูเหมือนว่า soft skill จะมีคะแนนขึ้นนำกว่านิดๆ เพราะเทคโนโลยีอาจเข้ามาทำหน้าที่พวก hard skill ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่และท้าทายต่อคณะครู ภาคี และคนทำงานด้านล่างเวทีว่าจะร่วมมือกันผลักดันให้คนรุ่นใหม่ที่อยู่ในรั้วโรงเรียนมีทักษะเช่นนี้ได้อย่างไร

บรรยากาศในห้องย่อย

Learning Analytic Platform วิเคราะห์การเรียนรู้นักเรียนเป็นรายคน

กิจกรรมในตอนบ่ายคือการแยกคณะครูเข้ากลุ่มย่อยเพื่อพูดคุยประเด็นการศึกษาที่ตอบโจทย์บริบทพื้นที่ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ผู้เขียนเองมีโอกาสเข้ากลุ่มย่อยห้องหนึ่งที่ต้องการพูดถึงปัญหาเหล่านี้และอยากแก้ไขปัญหาด้วยเทคโนโลยีและ AI

โดยผู้เขียนมีข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจเรื่องบริบทพื้นที่จังหวัดระยอง กล่าวคือ โรงเรียนที่เข้าร่วมกลุ่มย่อยมีทั้งโรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนที่เรียนหลายภาษาทั้งจีน อังกฤษ ไทย หรืออาจเรียกว่าเป็นกลุ่มผู้ปกครองชนชั้นกลางที่มีกำลัง อันเนื่องจากบริบทจังหวัดเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ขณะที่บางโรงเรียนเป็นโรงเรียนขนาดเล็กและผู้ปกครองเป็นแรงงานข้ามชาติหรือข้ามจังหวัดมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างบ้านเมือง ทำให้เห็นว่าบริบทพื้นที่ก็มีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่คนทำงานยกให้เป็นวาระสำคัญว่าจะจัดการศึกษาอย่างไรให้ความห่างนี้หดแคบลงได้มากที่สุด

ภาคีที่เข้าร่วมในห้องมีอยู่ 3 ภาคีด้วยกันในห้องนั้นคือ รณรงค์ ขันแข็ง จาก Teach for Thailand, นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ และ ดร.อรฉัตร เลียงพิบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการพัฒนากำลังคนดิจิทัล (DEPA) ร่วมให้ความเห็นที่น่าสนใจโดยเฉพาะนพ.ก้องเกียรติ ที่พูดถึงการใช้ AI เข้ามาช่วยดูแบบแผนการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายคนว่ามีพฤติกรรมการเรียนอย่างไร หรือที่เรียกว่า Learning Analytic Platform

“รูปแบบการเรียนรู้ของเรามีหลายอย่างมาก ผมคนนึงที่เป็นคนเรียนจากการฟังไม่ได้ ถ้าขึ้นสไลด์ปุ๊บผมหลับทันที ผมจะเป็นคนเรียนได้ดีที่สุดจากการอ่านมากกว่า แปลว่า Learning Style ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

“อีกเรื่องคือ ตอนที่ผมเรียนหมอ ผมเรียนกับนายแพทย์คนนึงซึ่งเก่งมาก ตอนที่แกผ่าตัดให้ดูผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำยังไงผมถึงจะเก่งเท่าคุณหมอคนนี้ได้ ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเก่งเท่าคุณหมอท่านนี้ แล้วการถ่ายทอดทักษะนี่มันทำกันยังไงนะ? ซึ่งเอาเข้าจริง การทำงานเรื่องทักษะเป็นเรื่องเสียเวลา และคิดว่าเทคโนโลยีมันเข้ามาช่วยเรื่องนี้ได้”

นพ.ก้องเกียรติแชร์ต่อว่า Learning Analytic Platform นอกจากจะช่วยเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายคนเพื่อบอกว่าเด็กคนนึงเก่งเรื่องอะไร ยังช่วยวิเคราะห์แผนการสอนของครูได้ด้วย อธิบายวิธีทำงานอย่างรวบรัดว่า เมื่อครูเขียนแผนการสอนเสร็จแล้วนำเข้าเครื่องวิเคราะห์นี้ จะช่วยวิเคราะห์ได้ว่าแผนนี้ครูกำลังจะถ่ายทอดทักษะอะไร โดดเด่นเรื่องอะไร ตรงกับที่ครูต้องการหรือไม่ ก็จะช่วยให้ครูวิเคราะห์แผนการสอนของตัวเองได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ นพ.ก้องเกียรติ ออกปากว่ามูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ ยินดีเข้าไปร่วมทำงานกับโรงเรียนในพื้นที่ด้วย

คล้ายกันกับ ดร.อรฉัตร จาก DEPA องค์กรที่ทำงานเรื่องการเขียนโค้ด ที่เธออธิบายก่อนว่ามันไม่ใช่แค่การใช้โปรแกรมแต่เป็นการสอนตรรกะวิธีการคิด ซึ่งเครือข่ายก็ได้เข้ามาทำงานเรื่องเทคโนโลยีกับเจ้าบ้านอย่าง โรงเรียนอัสสัมชัญระยองแล้ว และยินดีร่วมเข้าไปทำงานกับโรงเรียนในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป

อ้างอิง
ผลิตภัณฑ์ภาคและจังหวัด พ.ศ.2561
พิธีลงนามความร่วมมือภาคเครือข่ายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง

Tags:

ระยองพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาTEP Forumสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์สมศักดิ์ พะเนียงทองสัมพันธ์ ศิลปะนาฎนพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learningSocial Issues
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Education trend
    SISAKET ASTECS: กรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ หมุดหมายการสร้างเมืองและคนศรีสะเกษในระยะ 10 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ: คุณภาพการศึกษาที่คนศรีสะเกษออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    โควิด19-เทคโนโลยี-ทัศนคติ ความท้าทายเเละจุดเปลี่ยนระบบการศึกษา: สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel