Skip to content
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy

Year: 2019

การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง
Social Issues
4 October 2019

การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ข้อมูลระบุว่า มีเด็กจำนวนมากมายจากหลายประเทศที่ไปโรงเรียน แต่กลับมีการเรียนรู้น้อย อยู่ในฐานะ ‘ไม่รู้หนังสือ’ (illiterate)
  • การสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ จะเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ไม่เพียงเฉพาะ ‘ผู้เรียน’ เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ใกล้ชิดผู้เรียนอีกด้วยอีก เช่น ครู สื่อการเรียนการสอน เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีต่างๆ การจัดการภายในโรงเรียน และระบบการศึกษา
  • World Bank Group ย้ำว่า ทักษะการคิด ทักษะทางปัญญา (cognitive skills) ไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องอาศัยทักษะทางสังคมและอารมณ์ (socio-emotional skills) เช่น อุปนิสัยความเพียร (grit) และการควบคุมตนเอง (self-control) และทักษะเชิงเทคนิค (technical skills) ที่ไม่ได้แค่ช่วยให้คนคนหนึ่งมีอาชีพแต่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างดีและมีความสุข

จากการศึกษาข้อมูลและคำสัมภาษณ์ของผู้รู้  The Potential ในฐานะสื่อกลางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องว่า การศึกษาไม่ใช่แค่เรื่อง ‘ความรู้’ (knowledge) แต่รวมถึงการพัฒนา ‘ทักษะ’ (skills) และ ‘ลักษณะนิสัย’ (character) ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต เพื่อให้ผู้เรียนมีทางเลือกและสร้างสรรค์เส้นทาง ‘การเรียนรู้’ (learning) ของตัวเองได้

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ที่เมื่อเจาะลึกถึงการพัฒนาการเรียนรู้มากเท่าไร กิจกรรมการเรียนรู้ที่ถูกเอ่ยถึงมักถูกบรรยายด้วยฉากหลังที่ไม่ใช่แค่โรงเรียนและสถานศึกษาอย่างที่เข้าใจกัน แต่กลับเป็นการใช้เวลาใน ‘บ้าน’ การทำกิจกรรมสร้างสรรค์ใน ‘พื้นที่สาธารณะ’ หรือเรื่องราวอื่นๆ ที่ประกอบร่างให้เกิดการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ยิ่งลงลึกเท่าไร เรายิ่งได้รู้และได้รับคำยืนยันว่า กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ และตลอดชีวิต

‘การเรียนรู้’ ลักษณะนี้จึงไม่ใช่แค่ ‘การศึกษา’ (schooling) ในโรงเรียนหรือในห้องเรียน แต่เกิดขึ้นจากองค์ประกอบหลายส่วน ยกตัวอย่างเช่น การดูแลอย่างเอาใจใส่จากคนใกล้ตัว แรงกระตุ้นจากครูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเรียน รวมไปถึงเรื่องภาวะโภชนาการ เพราะอาหารการกินส่งผลต่อสารอาหารที่ร่างกายได้รับ ซึ่งช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง หรือแม้แต่เรื่องละเอียดอ่อนและควรระวัง เช่น เรื่องความรุนแรงที่เด็กสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบที่เป็นความเสี่ยงให้กับเด็กและเยาวชน ทั้งด้านความคิดและพฤติกรรมในอนาคต

ยากดีมีจน ไม่ใช่เงื่อนไขปิดกั้นการเรียนรู้

ถึงตรงนี้คงต้องย้ำอีกครั้งว่าการศึกษาที่ล้มเหลวไม่ได้มีสาเหตุจากระบบการศึกษาเชิงนโยบายของรัฐเพียงอย่างเดียว รายงานเรื่อง Learning to Realize Education’s Promise โดย World Bank Group ที่เผยแพร่ล่าสุดในปี 2018 พยายามชี้ให้เห็นว่าการศึกษาที่ดีทั้งในและนอกห้องเรียนควรมีหน้าตาแบบไหน แล้วสามารถสร้างการเรียนรู้ได้อย่างไร ทีมงานได้เก็บรวบรวมข้อมูลด้านการศึกษาจากหลายแหล่งทั่วโลก เพื่อนำมาวิเคราะห์ ได้ข้อสรุปชัดเจนว่า การเข้าเรียนในห้องเรียน หลายครั้งไม่ช่วยสร้างการเรียนรู้                               

ในบทที่ 3 ของรายงาน แสดงข้อมูลของเด็กที่ไปโรงเรียนมากมายจากหลายประเทศ แต่กลับมีการเรียนรู้น้อยมาก โดยระบุว่า ในโลกนี้มีเด็ก 125 ล้านคนที่ไปโรงเรียน 4 ปีแล้ว แต่ยังอยู่ในฐานะ ‘ไม่รู้หนังสือ’ (illiterate) ตัวเลขร้อยละของนักเรียนที่เข้าโรงเรียนแล้วหลายปี แต่ยังอยู่ในสภาพไม่รู้หนังสือแตกต่างกันตามประเทศ ซึ่งสะท้อนคุณภาพของการศึกษาของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศไนเจอร์ นักเรียนชั้น ป.6 กว่าร้อยละ 90 มีทักษะด้านการอ่าน และด้านคณิตศาสตร์ ในระดับไม่มีความสามารถ

ใน 51 ประเทศทั่วโลก มีผู้หญิงเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (แต่ไม่ได้เรียนต่อ) แล้วสามารถอ่านประโยค 1 ประโยคได้ 

มีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อการพัฒนาการศึกษา และโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้คนแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ความยากจน ถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ เพศสภาพ และความผิดปกติทางร่างกายของผู้เรียนเอง หลายปัจจัยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลายปัจจัยสามารถส่งเสริมให้ดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากมัวแต่โทษปัจจัยภายนอกเหล่านี้โดยไม่พัฒนา 4 สาเหตุหลักของวิกฤติทางการเรียนรู้ ซึ่งก็คือ ‘ผู้เรียน’ และปัจจัยใกล้ชิดผู้เรียนมากที่สุด ได้แก่ ครู ทรัพยากร (สื่อการเรียนการสอน เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีต่างๆ) การจัดการภายในโรงเรียน และ ระบบการศึกษา ซึ่งแต่ละส่วนมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก

เมื่อเอ่ยถึง ผู้เรียน ตัวผู้เรียนเชื่อมโยงไปสู่ครอบครัว พื้นฐานครอบครัว เช่น ความยากจน การขาดความรักความเอาใจใส่จากคนในครอบครัว หรือเด็กที่เติบโตจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีความรู้ แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลต่อ ความพร้อมของผู้เรียน กรณีนี้การเสริมความพร้อมด้านอื่น ซึ่งก็คือ ครู ทรัพยากร และการจัดการภายในโรงเรียนและระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ สามารถยกระดับชีวิตให้เด็กได้

หลายคนบอกว่า พื้นฐานและฐานะทางครอบครัวมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ แต่จากการศึกษาพบว่า การจัดการศึกษาต่างหากที่มีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน

ผลการศึกษาชี้ว่า นักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนหรือด้อยโอกาส หากได้รับการศึกษาจากโรงเรียนที่จัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูง กล่าวคือ มีครู ทรัพยากร และระบบจัดการศึกษาที่มีความพร้อม ผลการเรียนของนักเรียนจะอยู่ในระดับมาตรฐานไม่ต่างจากนักเรียนที่มีภูมิหลังมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย ดังนั้น ความยากดีมีจน ความด้อยโอกาสทางกายภาพอื่นๆ จึงไม่ใช่ปัจจัยฉุดรั้งการเรียนรู้เสียทีเดียว หากเด็กและเยาวชนได้รับโอกาสและความเท่าเทียมกันทางการศึกษาที่ดีพอและมีมาตรฐาน

ปี 1950 ประเทศเกาหลีใต้ เริ่มต้นพัฒนาคุณภาพการศึกษา มุ่งเน้นที่ระดับประถมศึกษา ก่อนขยายไปสู่ระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยไม่ละทิ้งครอบครัวที่มีรายได้ต่ำและด้อยโอกาส ปัจจุบันระดับการเรียนรู้ของนักเรียนเกาหลีใต้จากการวัดผล Programme for International Student Assessment (PISA)* อยู่ในระดับยอดเยี่ยม ประเทศเวียดนามก็ใช้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาแบบเดียวกัน ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เท่าเทียมกันเป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการขยายจำนวนโรงเรียนออกไปยังพื้นที่ต่างๆ 

กลับมาที่สาเหตุหลักของวิกฤติทางการเรียนรู้ทั้ง 4 ในเมื่อสามารถเสริมสร้างความพร้อมให้ผู้เรียนได้ แล้วสามารถสร้างความพร้อมให้อีก 3 ปัจจัยที่เหลือได้ไหม?

โรงเรียนที่ไม่มีคุณภาพ มีสาเหตุได้จากหลายเงื่อนไขด้วยกัน 

‘ครู’ ขาดความรู้ ขาดทักษะการสอน และขาดแรงจูงใจในการทำหน้าที่ หลายโรงเรียนครูไม่เห็นความสำคัญและไม่เห็นคุณค่าในตนเองว่า บทบาทหน้าที่ครูเป็นหัวใจของการเรียนรู้ของนักเรียน

ผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกา พบว่า นักเรียนที่เรียนกับครูที่มีความสามารถสูง มีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ไปไกลได้ถึง 1.5 ปีการศึกษาเมื่อเทียบกับครูทั่วๆ ไป เทียบกับนักเรียนที่เรียนกับครูซึ่งขาดทักษะ พบว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น วัดระดับการเรียนรู้ได้เพียง 0.5 ปีการศึกษา เห็นได้ว่าศักยภาพของครูส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนของนักเรียนถึง 3 เท่า

ในส่วนของ ทรัพยากร การจัดการภายในโรงเรียน และระบบการศึกษา เรายังคงได้ยินคำเรียก ‘โรงเรียนทุรกันดาร’ ในสังคมไทย สะท้อนภาพโรงเรียนในต่างจังหวัดและพื้นที่ห่างไกลจำนวนไม่น้อย ยังขาดแคลนอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน และไม่มีการจัดการระบบการเรียนรู้ที่ดี รวมถึงครูที่มีความรู้ความสามารถ

วิกฤติจากทั้ง 4 ปัจจัย เมื่อไม่ได้รับการเตรียมหรือเสริมความพร้อม นักเรียนที่ไม่พร้อมจึงยิ่งขาดแคลน ส่งผลให้มีพัฒนาการการเรียนรู้ช้า เกิดช่องว่างในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆ โอกาสแก้ไขก็ยิ่งยากขึ้น

ผลการวิเคราะห์คะแนนสอบ PISA ปี 2009 พบว่า ประเทศที่ได้ผลคะแนนสูงในลำดับต้นๆ เช่น แคนาดา ฟินแลนด์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ (จีน) ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นประเทศที่นักเรียนมีโอกาสเข้าถึงการจัดการศึกษาคุณภาพสูงอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เฉพาะนักเรียนจากครอบครัวฐานะดีเท่านั้นที่เข้าถึงโอกาส 

ตัดภาพมาที่ความเป็นจริงในสังคมไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่สถานการณ์กำลังดำเนินอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม เด็กด้อยโอกาส มาจากครอบครัวที่ขาดแคลนมักถูกซ้ำเติมด้วยความขาดแคลนหนักเข้าไปอีก พวกเขาไม่มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ ไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งความรู้อื่นๆ เช่น หนังสือที่ดี สื่อการเรียนการสอน หรือแหล่งข้อมูลมหาศาลในอินเทอร์เน็ตที่ช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจโลกกว้าง

การขาดแคลนทางกายภาพ กลายมาเป็นข้ออ้างของการไม่พยายามเข้าถึงการเรียนรู้ หรือพยายามแล้วแต่ก็ยังไปไม่ถึง ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่ปัจจัยทางกายภาพที่เป็นปัญหา แต่สาเหตุหลักมาจาก ความไม่เท่าเทียมกันของระบบการศึกษามากกว่า

ปรับให้ดีที่สุด จากจุดที่ยืน

ในเมื่อไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายภาพรวมให้ปรับปรุงระบบการศึกษาได้ แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันมากที่สุด?

ประเด็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ ปัญหาการเรียนที่พบได้ทั่วโลก เกิดขึ้นจากการที่เด็กไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีพอตั้งแต่ช่วงวัยแรกเกิด โภชนาการเป็นเรื่องที่ถูกมองข้าม ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยเรียน เด็กไม่ได้รับการกระตุ้นให้เกิดความสนใจเรียนรู้สิ่งรอบตัว จากการสำรวจพบว่า 1 ใน 4 ของเด็กและเยาวชนทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองผ่านการเรียนรู้ในห้องเรียน ขณะที่มีเด็กและเยาวชนราว 263 ล้านคนไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา

ซ้ำร้ายเด็กและเยาวชนที่เข้าถึงการศึกษา กลับต้องเผชิญหน้ากับการเรียนการสอนที่ไม่ได้ช่วยให้เกิดความอยากเรียน ผลลัพธ์ที่ได้ คือ นักเรียนที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาควรมีความรู้และทักษะขั้นสูงในการประกอบอาชีพ หรือพูดง่ายๆ ว่าควรมีความพร้อมออกไปประกอบอาชีพจริงๆ กลับไม่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการทำงานได้ เนื่องจากได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ไม่มีคุณภาพ

รายงาน Learning to Realize Education’s Promise ได้แนะแนวทางหลุดกับดักการเรียนรู้ ด้วยการวางรากฐานการเรียนรู้ที่แข็งแรงให้เด็กตั้งแต่แรกเกิดและต่อเนื่องในแต่ละช่วงอายุ โดยระบุว่า หัวใจหลักของการเรียนรู้ คือ เด็กควรได้รับการเรียนรู้อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ และได้เรียนในสิ่งที่ชอบ เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมและสร้างแรงจูงใจในการเรียน 

หลักการ 3 ข้อต่อไปนี้ เป็นแนวทางและเป็นจุดตั้งต้นให้ใครก็ตามที่ต้องการปฏิรูปการศึกษา นำไปพัฒนาต่อให้เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน คนทำงาน และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ของตัวเองได้ แต่คงไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีเงื่อนไขและอุปสรรคเฉพาะตัว  

หนึ่ง ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม สร้างการเรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการการเรียนรู้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ควรส่งเสริมการพัฒนาด้านความรู้ ความเข้าใจและการเข้าสังคมตั้งแต่ปฐมวัย ด้วยการเอาใจใส่ด้านโภชนาการ การดูแลให้ความรัก กระตุ้น และสร้างโอกาสการเรียนรู้จากครอบครัวและคนใกล้ชิด

สอง ครู ทรัพยากร และระบบการจัดการศึกษาในโรงเรียนก็ต้องมีความพร้อม โรงเรียนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา รัฐควรพัฒนาโรงเรียนรัฐให้ได้มาตรฐาน ค่าเล่าเรียนสำหรับโรงเรียนที่มีคุณภาพไม่ควรแพงเกินไป และโรงเรียนควรให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนด้วยสื่อการเรียนการสอน และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการสอนให้มีความน่าสนใจและหลากหลาย อบรมครูที่มีคุณภาพเข้าไปจัดการเรียนการสอน และจัดสรรจำนวนนักเรียนต่อชั้นเรียนอย่างเหมาะสม เพราะจำนวนนักเรียนมีผลต่อประสิทธิภาพของครูผู้สอนด้วยเช่นกัน ส่วนนี้ทั้งหมดต้องอาศัยการสนับสนุนในระดับนโยบาย

แต่สิ่งที่แต่ละโรงเรียนทำได้ทันที คือ การพัฒนาครูให้มีทักษะการสอนที่ก้าวทัน เปิดรับการใช้เครื่องมือหรือนวัตกรรมเข้ามาเพิ่มแรงจูงใจในการสอน อบรมครูให้มีความรู้และมีทักษะที่สามารถหนุนเสริมพัฒนาการเรียนรู้และทักษะต่างๆ ของนักเรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ควรมีการสร้างกำลังใจให้ครูเห็นคุณค่าและภูมิใจในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง 

ในบทรายงาน Learning to Realize Education’s Promise บอกว่า วิธีการที่ดีที่สุดที่ช่วยพัฒนาครู สร้างแรงจูงใจและดึงดูดคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีแรงบันดาลใจเข้ามาสู่อาชีพครู คือ การสร้างคุณค่าให้กับอาชีพ ประเทศฟินแลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ให้การยกย่องอาชีพครู ครูได้รับการยอมรับนับถือ มีความน่าเชื่อถือ และมีรายได้ที่ดี ไม่ได้เป็นอาชีพเกรดรอง แต่เป็นอาชีพที่ต้องแน่พอถึงจะได้รับใบรับรองการประกอบอาชีพ เพราะครูทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนและอบรมมาเป็นอย่างดีก่อนทำงานจริง

สาม ลดช่องว่างการเรียนรู้ในห้องเรียน ด้วยการปรับปรุงหลักสูตรและระบบการเรียนการสอนการศึกษาขั้นพื้นฐาน  

น่าแปลกที่ตามธรรมชาติแล้ว ครูมักให้ความสนใจนักเรียนที่เก่ง มีผลการเรียนโดดเด่นมากกว่านักเรียนที่ตามเพื่อนไม่ทัน ทั้งที่นักเรียนกลุ่มหลังควรได้รับการเอาใจใส่เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้มากกว่า 

ระบบการเรียนการสอนในสิงคโปร์ ลดช่องว่างเรื่องนี้ด้วยการให้มีการทดสอบคัดกรองเด็กก่อนเริ่มชั้นเรียน ไม่ใช่เพื่อบอกว่าใครเก่งกว่าใคร แต่เพื่อให้ครูรู้ว่าเด็กแต่ละคนมีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน แล้วซ่อมเสริมเพิ่มเติมได้ตรงจุด

ที่เซี่ยงไฮ้ การสอนของครูติดอันดับมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพสูงระดับโลก ผลลัพธ์นี้เกิดจากการรวมกลุ่มทำงานของเครือข่ายครู Teaching-Research Groups ที่ช่วยสังเกตการณ์ ประเมินผลการสอนและให้คำแนะนำเพื่อพัฒนาการสอนอย่างต่อเนื่องในกลุ่มครู

ทั้งหมดนี้เป็นการปรับสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนมีความสุขในการเรียน และผู้สอนมีความกระตือรือร้นในการสร้างการสอนที่มีคุณภาพ เพื่อผลิตเด็กที่มีทั้งความรู้และมีทักษะพร้อมออกไปประกอบอาชีพจริง  

หลักการข้อ 2 และ 3 มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ค่าเล่าเรียนที่แพงเกินควร ทำให้หลายครอบครัวไม่มีกำลังส่งลูกเรียนหนังสือ ระบบการเรียนการสอนที่ขาดแรงจูงใจ ไม่กระตุ้นให้อยากเรียน และละทิ้งนักเรียนบางกลุ่ม ส่งผลให้เด็กเบื่อหน่าย ไม่สนใจเรียน กระทั่งขาดเรียน โดดเรียน หรือรวมกลุ่มกันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกห้องเรียน กรณีนี้ในสังคมไทยอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น เรื่องการสูบบุหรี่และยาเสพติด

มีความรู้ไม่พอ ต้องประยุกต์ให้ได้

เมื่อเด็กไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามระบบเท่ากับเป็นการตัดอนาคตของตัวเอง เพราะอย่างน้อยที่สุด เด็กควรได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกันถึงในระดับที่สามารถอ่านออกเขียนได้

จากการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนที่ไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มักถูกจ้างงานในตลาดแรงงานที่แทบไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก ในทางกลับกันหากเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับการฝึกฝนและพัฒนาฝีมือจากสถานประกอบการ พวกเขาสามารถพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นจากวงจรการใช้แรงงาน ไปสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นและมีเงินเดือนมากขึ้นได้ 

เห็นได้ว่าการพัฒนาในส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนอีกต่อไป เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากนายจ้างหรือผู้ประกอบการด้วย

แล้วผู้ประกอบการได้อะไรจากการลงทุนเทรนนิ่ง/อบรมให้พนักงาน?

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในประเทศลาตินอเมริกาและแคริบเบียนระบุว่า แรงงานที่มีฝีมือช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้ผู้ประกอบการได้ เมื่อผู้ประกอบการลงทุนเทรนนิ่งให้พนักงานเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ ในสัดส่วนของพนักงานทั้งหมด ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 0.7 เปอร์เซ็นต์

ที่เม็กซิโก การลงทุนฝึกอบรมพนักงานสำหรับแรงงานที่มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 4-7 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับที่มาเลเซีย ที่โรงงานได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 7.7 เปอร์เซ็นต์ และ 4.7 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศไทย

ในประเทศเคนยาและแซมเบีย การฝึกอบรมในสถานที่ทำงานมีความสัมพันธ์กับค่าแรงของคนงานที่เพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะค่าแรงที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงสัดส่วนผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้นของโรงงาน

ในโลกแห่งความเป็นจริง ในตลาดแรงงาน ความสำเร็จทางวิชาการและการประกอบอาชีพไม่ได้อาศัยแค่ความรู้เพียงอย่างเดียว การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ในชีวิตต่างหากที่เป็นเชื้อเพลิงให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้อย่างไร้ทางตัน

ทักษะต่างๆ ที่ว่ามาทั้งหมดสามารถพัฒนาได้ แต่จะได้มากน้อยช้าเร็วแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้านความยืดหยุ่นทางสมองและทางจิตใจของแต่ละคน

ข้อมูลจากการรายงานของ World Bank Group เน้นย้ำว่า ทักษะการคิด/ทักษะทางปัญญา (cognitive skills) นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (socio-emotional skills) หรือ หลายครั้งเรียกว่า ทักษะเชิงพฤติกรรม (non-cognitive skills) อย่างเช่น อุปนิสัยความเพียร (grit) และการควบคุมตนเอง (self-control) และ ทักษะเชิงเทคนิค (technical skills) เป็นหัวใจ 3 ห้องสำคัญที่ไม่ได้แค่ช่วยให้คนคนหนึ่งมีอาชีพแต่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างดีและมีความสุข

หลักฐานการรายงานจากประเทศที่ประชากรมีรายได้สูง แสดงให้เห็นว่า ‘ทักษะ’ และ ‘ประสบการณ์ทำงาน’ มีผลอย่างมากต่อการจ้างงาน ทำให้ผู้ถูกจ้างมีตัวเลือกในการประกอบอาชีพ และสามารถเลือกงานที่มีรายได้เหมาะสมกับทักษะงานของตนเอง

เมื่อมีงาน และมีรายได้เพียงพอ ผลกระทบด้านบวกที่เกิดตามมา คือ การเลือกมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ในภาพรวมจึงช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงทางสังคม เช่น อาชญากรรม ความรุนแรง และการใช้สารเสพติดลงได้ด้วย

มาทำความรู้จักทักษะที่ต้องมี!

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะต่างๆ ทั้ง 3 ส่วน และการกระตุ้นให้เกิดการสร้างทักษะแต่ละส่วน ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

สหราชอาณาจักรได้นำการวัดมาตรฐานทักษะทางปัญญา และทักษะทางอารมณ์และสังคม มาใช้เป็นเครื่องมือพยากรณ์ตัวบุคคลในแง่การดำเนินชีวิต เช่น บุคคลนี้จะเข้าเรียนไหม จะจบการศึกษาหรือเปล่า จะได้รับการจ้างงานหรือไม่ มีพฤติกรรมเสี่ยงเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ไหม และมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับปัญหาอาชญากรรมหรือเปล่า เป็นต้น

ข้อมูลต่อไปนี้ จะทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าแต่ละทักษะทำงานต่างกันอย่างไร และประกอบด้วยอะไรบ้าง

  • ทักษะการคิดหรือทักษะทางปัญญา (cognitive skills)

หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจไอเดียหรือความคิดที่ซับซ้อน แล้วปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์และการเข้าใจเหตุผล ทักษะการคิดมีความจำเป็น เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาพื้นฐานส่วนอื่น แบ่งเป็นทักษะพื้นฐาน ได้แก่ การอ่านออกเขียนได้ การคิดคำนวณ การคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหาจากการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง เป็นต้น

  •  ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (socio-emotional skills)

เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ทัศนคติ และค่านิยม ที่คนคนหนึ่งต้องการเพื่อนำทางชีวิตในการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และสังคมที่อยู่ด้วย รวมถึงการตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ท้าทายต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

ประกอบไปด้วย การรู้จักตัวเอง (self-awareness) ภาวะความเป็นผู้นำ (leadership) การทำงานเป็นทีม (teamwork) การควบคุมตนเอง (self-control) การจัดการตนเอง (self-management) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (effective communication) และแรงจูงใจ (motivation) ครอบคลุมไปถึง ทักษะเชิงพฤติกรรม หรือ non-cognitive skills เช่น ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพส่วนบุคคล ต่อการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และมารยาทในการเข้าสังคมและทักษะเชิงเทคนิค (technical skills)

คือ ความรู้ ความชำนาญเฉพาะทาง เช่น เรื่องการใช้วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่จำเป็น และการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด

ทักษะเชิงเทคนิคนี้สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ทั้งจากการเรียนและการทำงาน เป็นประสบการณ์ ความชำนาญ และความคล่องแคล่ว ที่จะติดตัวผู้เรียนและผู้ปฏิบัติไปตลอด

ทักษะการคิด/ทักษะทางปัญญา และทักษะทางสังคมและอารมณ์ เป็นทักษะ 2 กลุ่มที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน คนที่มีทักษะทางสังคมและอารมณ์ที่ชัดเจน เช่น มีแรงขับ มีความขยันหมั่นเพียร และมีมนุษยสัมพันธ์ในการเข้าสังคม มีแนวโน้มที่จะพัฒนาทักษะการคิดได้ดี และมีความสุขกับการใช้ชีวิตได้มากกว่า

สมองสามารถเรียนรู้ทักษะทั้ง 2 ส่วน และพัฒนาได้ดีในช่วงตั้งแต่แรกเกิดถึงปฐมวัย แต่อย่างที่เอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้ว่า เด็กแต่ละคนมีต้นทุนชีวิตแตกต่างกัน เด็กที่เติบโตมาด้วยความขาดแคลน ไม่ได้รับการดูแลที่ดีในช่วงต้น ก็สามารถพัฒนาตัวเองได้หากได้รับโอกาส เพราะสมองของคนเรามีความยืดหยุ่นมากพอต่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะทั้ง 2 ส่วนเมื่อโตขึ้น โดยเฉพาะทักษะทางสังคมและอารมณ์บางอย่างที่เรียนรู้ได้ดีเมื่ออยู่ในวัยประถมและมัธยม เช่น การเห็นคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) การพัฒนาตัวตนในเชิงบวก (positive identity) และ ภาวะความเป็นผู้นำ (leadership)

บอกให้สังคมรับรู้ ว่าการเรียนรู้ไม่ใช่ผลตัวเลข

สำหรับสถาบันการศึกษาต่างๆ ระบบการศึกษาคงไม่สามารถรับมือกับวิกฤติการเรียนรู้ได้ หากไม่สร้างความเข้าใจที่แท้จริงกับสังคมว่า การวัดผลการเรียนจากคะแนนไม่ได้การันตีการเรียนรู้ 

ตัวชี้วัด หรือ การประเมิน ที่มีประสิทธิภาพควรเป็นตัวชี้วัดเฉพาะ ที่ออกแบบจากผู้ดำเนินการสอนหรือครูซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการและใกล้ชิดกับผู้เรียน ประเมินตามพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนแต่ละบุคคลในแต่ละชั้นเรียน โดยแบบการประเมินอ้างอิงจากเกณฑ์มาตรฐานจากส่วนกลาง ส่วนวิธีการวัดการเรียนรู้เป็นสิ่งที่คณะครูต้องถกเถียงร่วมกันและแลกเปลี่ยนกันระหว่างเครือข่าย นี่เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้เดินต่อไปได้อย่างมีความหวัง โดยเริ่มจากหน่วยเล็กๆ ในห้องเรียน

รายงานของ World Bank Group ชี้ชัดว่า ระบบการศึกษาในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการจัดการข้อมูลด้านการศึกษาที่ดีพอ ซ้ำยังไม่ได้รับความสนใจจากภาครัฐอย่างตรงจุด นักการเมืองมักพูดถึงการศึกษาในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับจำนวนตัวเลข เช่น จำนวนโรงเรียน จำนวนครู เงินเดือนครู และทุนการศึกษา แต่น้อยมากที่จะพูดถึงการสนับสนุนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง

การขาดการจัดการข้อมูลด้านการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในเชิงคุณภาพ ที่ไม่ใช่ผลคะแนนจากการทดสอบ ทำให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่รู้ต้นตอปัญหา หรือต่อให้รู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ เพราะไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์เผยแพร่ต่อสาธารณชน ทั้งที่ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน และคุกคามการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ…

โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาในการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนมีศักยภาพหรือความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง โดย PISA เน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน ปัจจุบันนี้มีประเทศจากทั่วโลกเข้าร่วมโครงการมากกว่า 70 ประเทศ

Tags:

ระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

#SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน
Voice of New Gen
3 October 2019

#SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน

เรื่อง

  • #SchoolStrike คือแฮชแท็กจากคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมทนกับสถานการณ์ ลุกขึ้นมาเรียกร้องและเคลื่อนไหว และอธิบายว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
  • เพราะอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลกระทบหลายด้าน เช่น ทำให้โรคที่หายไปแล้วกลับมา, ทำลายการสังเคราะห์แสงของพืช, สัตว์น้อยใหญ่จะค่อยๆ สูญพันธุ์, จำนวนผู้อพยพเพิ่มขึ้น แต่ที่อยู่อาศัยน้อย
เรียบเรียง: นลินี มาลีญากุล

“มันขึ้นกับว่าคุณอ่านการศึกษาเรื่องใด ซึ่งงานชิ้นนั้นอาจให้ผลสรุปที่มองโลกในแง่ดีเกินไป หรือมองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

มาร์ค เออร์เบิน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยคอนเนคติคัต กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่หลายฝ่ายหันมาศึกษาภาวะโลกร้อนกันอย่างแพร่หลายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะเขาเชื่อว่า ต่างฝ่ายต่างต้องการให้ผลการศึกษาไปตรงกับประเด็นที่กลุ่มองค์กรนั้นๆ จะหาประโยชน์ได้จากมัน ดังนั้นโลกร้อนจึงควรถูกทำความเข้าใจใหม่ เพื่อให้ผู้คนกลับมามองมันจากความจริงที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด 

ท่ามกลางเสียงเล็กเสียงน้อยที่ธรรมชาติทั่วโลกแอกชั่นให้เราเห็นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีคนตั้งแง่ต่อขบวนการเคลื่อนไหวกู้โลกร้อนของเยาวชนทั่วโลกให้เห็นกันอยู่ บ้างก็ว่าเรื่องนี้มันพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้มากน้อยแค่ไหน เอาเวลาไปเรียนให้ดีก่อนดีกว่าไหม โลกร้อนแล้วยังไงต่อ?

สถิติต่างๆ ที่แม้แต่ เกรตา ธุนเบิร์ก นักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมชาวสวีดิชวัย 16 ปี เอามาพูดก็ยังดูจับต้องได้ยาก บวกกับความจำเป็นเร่งด่วนอื่นๆ ในชีวิตของผู้คน จึงไม่แปลกที่โลกร้อนจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลายคนบอกว่ามันเป็นปัญหาที่รอได้ ท่ามกลางความจำเป็นอื่นที่ต้องจัดการในชีวิต ขอโฟกัสเรื่องอื่นที่ใกล้ตัวและจำเป็นก่อน 

แต่เดี๋ยวก่อน พฤติกรรมเก็บเล็กผสมน้อยในชีวิตประจำวันของพวกเรานี่แหละ ที่รวมก้อนกันแล้วอาจจะยิ่งใหญ่มหาศาล รู้ตัวอีกทีโลกก็ปะทุพลังร้อนจนอยู่ไม่ไหว สำคัญที่สุด นี่คือ 4 เหตุผล (อย่างน้อย) ที่อธิบายว่าทำไมโลกร้อนจึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และมันส่งผลกระทบต่อเราในระดับชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง ที่สำคัญคือ ส่งผลต่อคนรุ่นใหม่ที่จะอยู่ในโลกร้อนๆ ใบนี้ต่อในอนาคต

เป็นเหตุผลว่าทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่ยอมทน ขอลุกขึ้นมา #SchoolStrike ในทุกๆ #Friday 

อ้างอิงจากอินสตาแกรม เกรตา ธุนเบิร์ก จำนวนผู้คนที่ออกมา #SchoolStrike ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ประเมินว่าอยู่ที่ราว 170,000 คน จาก 170 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่ในจำนวนนั้นคือ…คนรุ่นใหม่ 

โลกร้อนเพาะเชื้อโรคติดต่อชนิดใหม่ และรีเทิร์นโรคที่หายไปนาน

อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วยส่งเสริมให้เจ้าเชื้อโรคต่างๆ ฟักตัวและเติบโตได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นนอกจากโลกร้อนจะนำพาให้โรคหลายชนิดที่เคยหายไปจากประเทศไทยกลับมาโลดเต้นและระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้โลกร้อนยังอาจทำให้โรคที่รุนแรงอยู่แล้วแพร่ระบาดไปได้ไกลกว่าเดิมอีกด้วย 

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดข้อมูลจากการเฝ้าระวังโรคของสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีโรคที่เกิดขึ้นใหม่และโรคที่หายไปนาน แต่อยู่ๆ ก็เกิดซ้ำขึ้นมาอีกหลายชนิด 

  • โรคที่เกิดขึ้นมาบ้างแล้ว เช่น โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคไข้เลือดออก อีโบลา โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์และเฮนดรา โรคไข้หวัดนก โรคไข้เหลือง โรคชิคุนกุนยา โรคมือเท้าปากจากเชื้อเอาเทอโรไวรัส 71 โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) รวมถึงโรคสมองเสื่อมชนิดใหม่ด้วย 
  • โรคที่เกิดขึ้นและกำลังระบาดในประเทศไทยก็คือ โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส หรือพูดให้เห็นภาพก็คือ อาการติดเชื้อในกระแสเลือด รวมถึงเยื้อหุ้มสมอง ที่พบได้จากการรับประทานเนื้อหมูนั่นเอง

ยังมีโรคที่ชื่อพอจะคุ้นหูอยู่บ้างอย่าง โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจเฉียบพลันรุนแรงอีกด้วย

นอกจากนั้น ภาวะโลกร้อนยังส่งผลโดยตรงต่อวงจรชีวิตของยุงทั้งหลาย เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้วงจรชีวิตของยุงสปีดเร็วขึ้น ดังนั้นปริมาณเชื้อโรคในตัวยุงที่เป็นพาหะก็จะเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวกระโดดเรื่อยๆ ส่งผลให้เจ้ายุงตัวเล็กๆ นี้ยิ่งแทรกซึมไปได้ทุกที่ยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือโรคระบาดจากยุงจะไม่ได้เกิดแค่เฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ในทุกฤดูกาล เพราะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ นี้เองที่ยิ่งทำให้โลกเป็นพื้นที่อุ่นๆ สำหรับการขยายพันธุ์ของยุงตัวน้อยนี้ไปได้เรื่อยๆ 

ภัยพิบัติหนักขึ้น อุณหภูมิสูงทำลายการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งหมายถึงโภชนาการอาจลดลง

น้ำท่วมอุบลอาจจะเป็นแค่จุดสตาร์ทที่ทำให้เราเริ่มเอะใจ แต่จากตัวเลขของศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตรพบว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2560 นั้น สร้างความเสียหายให้ภาคการเกษตรของประเทศไม่ต่ำกว่า 14,198.21 ล้านบาท

หากนำตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) มาพูดต่อน่าจะไกลตัวไปนิด เรื่องของเรื่องก็คือ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ พบว่า ความแปรปรวนของภูมิอากาศทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญภัยพิบัติ เช่น ภาวะน้ำท่วม ภาวะฝนแล้ง

ที่สำคัญคือ หากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ข้าวกำลังออกดอก ทั้งหมดจะกระทบต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงและการเจริญเติบโตของต้นข้าว และแน่นอน ผลผลิตที่ได้ก็จะลดลงตามไปด้วย

อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นยังมีผลต่อการเติบโตและอยู่รอดของพืชการเกษตรที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย อย่าง ข้าวโพด และอ้อย ซึ่งนำไปแปรรูปเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์อย่าง ไก่ หมู หรือวัวอีกที

ย้อนกลับไปที่ความรู้วิทยาศาสตร์สมัยประถม ว่ากันง่ายๆ ก็คือ หากพืชไม่สังเคราะห์แสง ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างอาหารของพืชพรรณ ก็จะทำให้การเติบโตชะลอตัวหรือหยุดชะงัก พืชไปต่อไม่ได้ การเกษตรทำได้ยากขึ้นทุกวัน เกษตรกรต้องพบกับความไม่แน่นอนในการประกอบอาชีพ คิดในแง่ดีก็คือ ไทยอาจจะต้องเสียเงินนำเข้าผลผลิตการเกษตรที่จำเป็นมากขึ้น ซึ่งประเทศที่เรานำเข้าทั้งหลายนี้ก็น่าจะประสบภัยธรรมชาติไม่ต่างกัน ในที่นี้ เด็ดดอกไม้อาจจะไม่สะเทือนถึงดวงดาว แต่อุณหภูมิไม่กี่องศานั้นสะเทือนถึงปากท้องทุกคำที่เราตักกิน

หากอุณหภูมิเพิ่มสูงอีก 4.5 องศา สัตว์น้อยใหญ่จะค่อยๆ สูญพันธุ์อย่างต่อเนื่อง

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ทางการออสเตรเลียออกมาประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการของ หนูเมโลมีส์ ซึ่งมีถิ่นที่อยู่อาศัยเพียงแห่งเดียวบนเกาะทรายขนาดเล็กที่ชื่อ แบรมเล เคย์ ที่น้ำทะเลสูงขึ้นและเข้าท่วมจนหนูเหล่านี้ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เจ้าหนูที่ว่าจึงกลายเป็นสัตว์ชนิดแรกที่สูญพันธุ์อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน

การสูญพันธุ์ที่ว่าสอดคล้องกันกับรายงานของมหาวิทยาลัย Jams Cook และองค์กรภาครัฐที่ทำงานร่วมกัน ที่ว่าพื้นที่ 35 แห่งสำคัญทั่วโลกที่มีความโดดเด่นในเชิงระบบนิเวศและเป็นที่อยู่อาศัยทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ซึ่งรวมถึงพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงของเราเอาไว้ด้วยนั้น หากอุณหภูมิโลกยังคงสูงขึ้นอีกเพียง 4.5 องศาเซลเซียส ก็อาจจะทำให้เกือบ 50% ของสายพันธุ์สัตว์ที่อาศัยตามธรรมชาติสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ 

พอพูดว่าสัตว์ป่าขึ้นมาก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่อย่าลืมว่าสัตว์ทุกตัวนั้นมีผลต่อระบบนิเวศโดยรวม และที่แน่ๆ สัตว์ท้องถิ่นที่ว่า ก็หมายรวมถึงกุ้ง หอย ปู ปลา ที่อยู่ตามธรรมชาติและเป็นอาหารของเราๆ ท่านๆ 

โลกร้อนยังอาจกระทบต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ ซึ่งเจ้าสัตว์น้ำที่ว่านั่นก็รวมถึงแซลมอน ปลาทูไทย หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูที่เราโปรดปรานกันมาแต่ไหนแต่ไร 

ผู้อพยพทั่วโลกจะเพิ่มมากขึ้น และที่อยู่อาศัยก็จะน้อยลงเรื่อยๆ

โลกร้อนดูไม่น่าเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องผู้อพยพ แต่จากตัวเลขในรายงาน UN Climate Change ชี้ให้เห็นกันชัดๆ ว่า มีประชากรกว่า 17.2 ล้านคนทั่วโลกที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของแหล่งที่อยู่อาศัย อันเนื่องมาจากความปั่นป่วนของสภาพอากาศที่ทำให้ถิ่นที่อยู่เกิดภัยแล้ง น้ำท่วม พายุเข้า แหล่งอาหารหดหาย สภาพความเป็นอยู่ก็เลยย่ำแย่ตามไปด้วย

ซึ่งทั้งหมดนั้นผลักให้ประชากรหลายล้านคนต้องละทิ้งถิ่นฐาน เพื่ออพยพไปสู่แผ่นดินอื่นๆ ที่ยังพอจะฝากเนื้อฝากตัวไว้ได้

จากการคาดการณ์ของ ​UN ยังพบว่า หากน้ำทะเลยังคงเพิ่มระดับสูงขึ้น ผู้คนที่อาศัยในถิ่นฐานที่ใกล้กับภาคผิวน้ำก็อาจจะต้องกระชับพื้นที่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะแผ่นดินที่เคยอยู่มาหลายชั่วคนนั้นไม่สามารถเดินเหินได้อีกต่อไป

ลองมองกลับมายังประเทศไทย เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่อีสาน โดยเฉพาะในจังหวัดอุบลราชธานีที่เกิดขึ้นไม่นานนี้นั้น น่าจะพอทำให้เห็นภาพความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะจู่โจมเราเมื่อไหร่ เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ความไม่แน่นอนเหล่านี้นี่แหละที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้คนค่อยๆ มองหาถิ่นฐานที่ดูจะมั่นคงกว่าในที่สุด

อ้างอิง
315 billion-tonne iceberg breaks off Antarctica
สัตว์ชนิดใดมีโอกาสสูญพันธุ์เพราะสภาวะโลกร้อน
โรคติดเชื้อสเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (STREPTOCOCCUS SUIS)
โลกร้อนกับโรคระบาด
ภาวะโลกร้อนกับผลกระทบ ต่อภาคเกษตรไทย
เมื่อพื้นที่ ‘เกษตรกรรมผลิตอาหาร’ ถูก ‘ภาวะโลกร้อน’ เล่นงาน
Climate change, global agriculture and regional vulnerability
The impacts of climate change at 1.5C, 2C and beyond
Ten Grim Climate Scenarios If Global Temperatures Rise Above 1.5 Degrees Celsius
The facts: How climate change affects people living in poverty
Climate change: Where we are in seven charts and what you can do to help

Tags:

สิ่งแวดล้อมSchool Strike for Climate

Author:

Related Posts

  • Social Issues
    ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

    เรื่อง

  • Character buildingCreative learning
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Social Issues
    เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

NATURE CONNECTION เขียนใบสั่งยารักษา ‘โรคขาดธรรมชาติ’ ให้ออกไปหาธรรมชาติ
Creative learning
2 October 2019

NATURE CONNECTION เขียนใบสั่งยารักษา ‘โรคขาดธรรมชาติ’ ให้ออกไปหาธรรมชาติ

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Nature Deficit Disorder (NDD) หรือ โรคขาดธรรมชาติ กำลังเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลานอกบ้านสัมผัสธรรมชาติ ทำให้มีปัญหาเรื่องอารมณ์และพฤติกรรมต่างๆ เช่น สมาธิสั้น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
  • หนึ่งในใบสั่งยารักษาโรคนี้คือ ออกไปหาธรรมชาติ และบทความชิ้นนี้ของ วิรตี ทะพิงค์แก กำลังเขียนใบสั่งยาด้วยภาษาละเมียดละไม
  • ยิ่งถ้าได้รู้ว่ามนุษย์มีผัสสะรับรู้มากถึง 54 แบบ ผ่าน ตา หู จมูก กาย ใจสัมผัส ถ้าไม่ได้รับการฝึกบ่อยๆ ด้วยธรรมชาติ ทักษะมหัศจรรย์นี่จะค่อยๆ เลือนหายไป

ทุกวันนี้ เมืองสมัยใหม่ทำให้คนเปลี่ยวเหงาเปล่าดาย หลายคนรู้สึกอ้างว้าง ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว บ้างมีภาวะทางจิตใจ หลายคนซึมเศร้าราวกับตัดขาดจากโลกทั้งมวล อาการดังกล่าวเป็นผลกระทบเชิงลบของความทันสมัย สะดวกสบายที่นำพามนุษย์ห่างเหินจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที

Nature Deficit Disorder (NDD) หรือ โรคขาดธรรมชาติ กำลังเป็นสภาวการณ์ที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลานอกบ้านสัมผัสธรรมชาติ ทำให้มีปัญหาเรื่องอารมณ์และพฤติกรรมต่างๆ เช่น สมาธิสั้น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เติบโตเป็นคนที่ขาดความละเอียดอ่อนและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (และสรรพชีวิต)

มูลนิธิโลกสีเขียวในฐานะองค์กรทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมานานเกือบ 30 ปี ตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงจัดกิจกรรม Nature Connection เพื่อเปิดโอกาสให้คนในเมืองได้เรียนรู้เพื่อกลับมาเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้อีก ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบงามในสนามพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

เปิดผัสสะใหม่แล้วไปคืนดีกับธรรมชาติ

ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวนิชย์ ประธานมูลนิธิโลกสีเขียว หรือ ดร.อ้อย ได้เชื้อเชิญให้เรากลับมาช้าลงและแบ่งปันความคิดสำคัญว่า “ตลอดเวลาของกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ เราเชื่อมโยง มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติมาตลอด เรารับรู้ทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นเพื่อความอยู่รอด ทำให้ผัสสะละเอียดของเราทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่ชีวิตสมัยใหม่ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เชื่อมโยงกับธรรมชาติน้อยลง ร่างกายจึงปรับตัวไม่ได้ การตัดขาดจากธรรมชาติกลายเป็นความป่วยไข้สมัยใหม่หรือ Nature Deficit Disorder … ร่างกายของเราครึ่งหนึ่งประกอบด้วยจุลชีพมากมายที่ขับเคลื่อนระบบนิเวศภายใน ร่างกายจึงไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา แต่ยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสรรพชีวิตอื่นๆ อีกมากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึง”

ดร.อ้อยเล่าว่าอันที่จริงมนุษย์มีผัสสะรับรู้อย่างมากมายน่าเหลือเชื่อถึง 54 แบบ แต่การที่เราไม่ได้ใช้ความสามารถเหล่านี้ ทำให้ทักษะค่อยๆ เลือนหายไป อย่างไรก็ตาม หากฝึกฝนผัสสะพื้นฐาน คือ ตา หู จมูก กาย ใจสัมผัส อย่างสม่ำเสมอ ย่อมเป็นประตูนำไปสู่สัมผัสที่หกและผัสสะละเอียดอื่นๆ อันอาจช่วยให้เราค้นพบความลับของโลกมหัศจรรย์ เข้าใจรูปแบบของธรรมชาติและอ่านปัญญาจากธรรมชาติได้ในที่สุด

ช้าช้าหน่อย

ปกติเวลาที่เราอยู่ในภาวะรีบเร่งตื่นตัว คลื่นสมองอยู่ในระดับ Beta (ความถี่ 12-30 Hz) หากอยู่ในความผ่อนคลายและสงบ คลื่นสมองอยู่ในระดับ Alpha (ความถี่ 8-12 Hz) และหากอยู่ในภาวะสมาธิหรือผ่อนคลายอย่างลึกซึ้ง คลื่นสมองจะลดต่ำลงในระดับ Theta (ความถี่ 7 Hz) ซึ่งภาวะที่ค่อนข้างผ่อนคลายนี้เชื่อมโยงกับคลื่นจังหวะของธรรมชาติ (earth heartbeat) ซึ่งมีความถี่ประมาณ 7.8 Hz ดังนั้น การที่เราช้า สงบ และผ่อนคลาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เราเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง

เยื้องย่างดั่งหมาจิ้งจอก

การมีชีวิตในป่าโดยพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ต้องมีความตื่นตัวสูง ใช้ประสาทสัมผัสอย่างละเอียด เพื่อความอยู่รอดของตนเอง แต่ทุกวันนี้ การเดินของเราเปลี่ยนไปจากบรรพบุรุษ คนส่วนใหญ่เดินด้วยส้นเท้า (ใช้ส้นเท้าลงก่อน) ทำให้เกิดแรงกระแทกที่หัวเข่า ปวดหลัง ทั้งยังสร้างแรงกระเพื่อมออกไปภายนอก (สัตว์แตกตื่น) ด้วย การเยื้องย่างดั่งหมาจิ้งจอก (fox walk) จึงเป็นการเชื่อมโยงกับธรรมชาติด้วยสัมผัสอ่อนโยน แผ่วเบา โดยใช้จมูกเท้าวางลงบนพื้นเป็นอันดับแรกแทนการลงส้นเท้า การเดินแบบนี้ช่วยลดแรงกระแทกลงอย่างเห็นได้ชัด และช่วยเปิดผัสสะละเอียดบริเวณฝ่าเท้าให้ทำงานได้ดีขึ้น

ปิดดวงตาขยายการรับฟัง

ดวงตาและการมองเห็นเป็นผัสสะหลักที่มนุษย์ใช้ดำรงชีวิต ทำให้ประสาทการรับรู้ด้านอื่นๆทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ กิจกรรมการปิดตาเงี่ยหูฟัง แล้วบันทึกเป็นแผนที่ (ภาพ) ของเสียงว่าได้ยินเสียงอะไรบ้าง ตามทิศทาง (เหนือ/ใต้/ตะวันออก/ตะวันตก) คุณภาพของเสียง (ดัง/เบา) รวมทั้งระยะห่างของเสียงกับตัวเรา ช่วยฝึกความละเอียดในการใช้หูเพื่อรับฟังเสียงได้ดีขึ้น

มองให้กว้างไกลอย่างนกฮูก

มนุษย์ไม่ได้มองเห็นเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงขอบเขตในทางกว้าง (ซ้าย-ขวา) ได้ด้วย ความช้าและการฝึกฝนบ่อยๆ จะช่วยพัฒนารัศมีการมองที่กว้างขึ้น สังเกตการเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวเพียงเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีขึ้น พี่อ้อยชวนเราฝึกฝนคุณภาพการมองเห็นด้วยกิจกรรมเก็บใบไม้ให้ได้สีเขียว 3 เฉดสี และมีผิวสัมผัส 3 แบบ ทำให้หลายคนสนุกสนานและตื่นเต้นมากที่ได้สังเกตอย่างจริงจังว่าโลกนี้มีความงามที่เรายังไม่สังเกตเห็นอีกมากมายนัก เหมาะใช้เป็นแบบฝึกฝนในชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาคุณภาพการมองเห็นอันส่งผลต่อความละเอียดอ่อนทางใจ

เรียนรู้สายใยที่มองไม่เห็น

ตอนที่ ดร.อ้อยพาเดินเล่นในทุ่งน้ำนูนีนอย (พื้นที่ชุ่มน้ำหน้าบ้านที่ตั้งชื่อเพื่อระลึกถึงพ่อและแม่ผู้ส่งมอบหัวใจความรักธรรมชาติให้ลูก) เราได้เห็นพืชริมทาง พืชริมน้ำหลายชนิด ทุกอย่างมีบทบาทหน้าที่ในระบบนิเวศเสมอ เช่น คล้าน้ำเป็นแหล่งน้ำหวานของนกกินปลี ดอกไม้ป่าเป็นแหล่งน้ำหวานของผึ้งและผีเสื้อ พื้นที่ชุ่มน้ำมักถูกมองว่าเป็นพื้นที่เฉอะแฉะไร้ประโยชน์ แต่อันที่จริงเป็นพื้นที่พักน้ำ กรองสารพิษ เป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อนต่างๆ อาทิ ตัวอ่อนแมลงปอที่สามารถกินยุงได้วันละมากกว่าร้อยตัวต่อวัน การมีแหล่งน้ำสะอาดจึงเท่ากับมีแหล่งกำเนิดนักล่ายุงตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพที่สุดไปพร้อมกัน

กิจกรรมในความทรงจำของหลายคนคือการพบเพื่อนใหม่ในป่าจอบ (ป่าที่ คุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์-อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี ที่ปลูกต้นไม้ไว้ในพื้นที่ส่วนตัวเพื่อให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ได้) โดยผู้ร่วมกิจกรรมจับคู่สองคน คนหนึ่งปิดตา ส่วนคนที่เปิดตาตั้งจิตเป็นสมาธิ (ดร.อ้อยใช้คำว่าเปิดเรดาร์สแกนไปในธรรมชาติ) มองหาต้นไม้ในป่าที่ส่งกระแสพลังงานมาว่าอยากรู้จักเพื่อน (ที่ปิดตา) ของตน แล้วพาเพื่อนที่ปิดตาไปกอดต้นไม้ต้นนั้น คนที่ปิดตาจะใช้เวลาสัมผัสเพื่อนต้นไม้สักครู่ แล้วถูกนำกลับออกมา เมื่อเปิดตาแล้วจะต้องกลับไปตามหาเพื่อนต้นไม้ต้นเดิมในป่าของตัวเองให้เจอ

สิ่งที่น่าทึ่งคือเกือบทุกคนกลับไปหาเพื่อนต้นไม้ของตัวเองได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว บางคนใช้กลิ่นจดจำเพื่อนต้นไม้ของตัวเอง คนที่ถูกปิดตาส่วนใหญ่บอกว่า ได้เพื่อนต้นไม้แบบที่ตัวเองชอบจริงๆ บางคนได้รับข้อความสื่อสารทางใจจากเพื่อนต้นไม้ของตัวเองด้วย Meet the Tree จึงเป็นกิจกรรมที่ชวนให้กลับมาใคร่ครวญว่า เรื่องราวในธรรมชาติบางอย่างอาจอธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผล แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง ทั้งยังยืนยันด้วยว่า “สายใยความผูกพันของคนกับธรรมชาติ” นั้นสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม และทุกคนต่างมี “ต้นไม้เพื่อนรัก” อย่างน้อยคนละหนึ่งต้นแล้วในช่วงชีวิตนี้

สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนเกี่ยวพัน

วันต่อมาเป็นการฝึกฝนให้เชื่อมโยงกับธรรมชาติในพื้นที่จริงสองแห่ง คือ วัดถ้ำผาปล่องซึ่งเป็นวัดที่เน้นการปฏิบัติภาวนา ด้วยภูมิประเทศของเทือกเขาหินปูนที่มีปล่องโล่งเหมือนห้องขนาดใหญ่ จึงสงบเงียบและมีพลังงานเชิงบวก ส่งเสริมให้เข้าถึงความสงบได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเชียงดาว ทุกคนได้ฝึกประสบการณ์ตรงเปิดผัสสะเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เรียนรู้ความสัมพันธ์อันเกี่ยวเนื่องของสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้ง ความสัมพันธ์แบบอิงอาศัย เช่น ต้นไม้ใหญ่กับกล้วยไม้หรือเฟิร์น ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ต้นไม้ชนิดที่เป็นกระเปาะให้มดแมลงมาอยู่อาศัย โดยต้นไม้ได้ประโยชน์จากเศษอาหารกลายเป็นดิน ความสัมพันธ์แบบปรสิต เช่น ต้นไทรที่รัดต้นไม้เดิมจนตาย และความสัมพันธ์แบบย่อยสลาย เช่น เห็ดราย่อยสลายกิ่งไม้ใบไม้ให้กลายเป็นดิน เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ เมื่อต้นไม้ปลดปล่อยออกซิเจนออกมา เราหายใจเข้าไป เราและต้นไม้จึงเป็นดั่งลมหายใจเดียวกัน เช่นเดียวกับเสียงซัดสาดของลำธารอันเป็นลมหายใจของสายน้ำที่เปรียบดังการเติมอากาศเพื่อให้สรรพชีวิตในน้ำได้เจริญเติบโต

หากมองด้วยสายตาธรรมดา ลำธารก็เป็นเพียงแค่สายน้ำ ดร.อ้อยจึงชวนเราพลิกก้อนหินมองหาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในลำธาร แล้วมองผ่านแว่นขยายซึ่งเปรียบดังตาวิเศษเพื่อพินิจชีวิตเหล่านั้น มีทั้งตัวอ่อนแมลงชีปะขาว แมลงเกาะหินจั๊กกะแร้ฟู แมลงหนอนปลอกน้ำ ซึ่งเป็นดัชนีแสดงคุณภาพของน้ำว่าสะอาดมาก

ความรู้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก เมื่อเรารักสิ่งใดแล้วเราย่อมอยากรักษาให้สิ่งนั้นคงอยู่ยาวนานที่สุด

การได้มีประสบการณ์ตรงกับการผ่านกิจกรรมนักสืบสายน้ำฉบับย่อ ทำให้เรามองลำธารไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเรารู้แล้วว่านี่คือบ้านของสรรพสิ่งมากมาย เรารู้ว่าก้อนหินคือปอดของลำธาร เราจึงไม่เก็บหินออกไปและไม่เรียงหินเล่นเป็นชั้นๆ และเราย่อมเรียนรู้แล้วว่าการทำฝายไม่ใช่วิธีการแสดงความรักต่อผืนป่าและสายน้ำเสมอไป หากขาดความรู้ที่ถูกต้องเพียงพอ

เปิดประตูสู่โลกมหัศจรรย์

เมื่อพี่อ้อยให้ทุกคนได้ใช้เวลาส่วนตัวอยู่ลำพังเพื่อฝึกเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับผืนป่าและธรรมชาติ บางคนเลือกที่จะนอนใต้ต้นไม้ บางคนนั่งอยู่ริมน้ำ ฉันเลือกเดินตามลำธารลงไปให้ห่างไกลผู้คน นั่งลงบนก้อนหินกลางน้ำ ทอดสายตาผ่อนคลายไปในผืนป่า สะดุดตากับต้นไม้ใหญ่สูงสง่าต้นหนึ่งราวกับมีพลังดึงดูดให้เข้าใกล้ เวลานั้นป่าร่มครึ้มดูเขียวเข้มไปหมดเพราะอากาศครึ้มฝน แต่อยู่ๆ แดดก็เจิดจ้าขึ้นมา ลำแสงจากดวงอาทิตย์ส่องประกายฉายฉานความงามให้ผืนป่ามีชีวิตชีวาด้วยสีเขียวหลายเฉดสีปรากฏขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ฉันรู้สึกได้รับข้อความจากป่า “ต้นไม้ทุกต้นมีศักยภาพในการเติบโตแบบของตัวเอง มีจังหวะในแบบของตัวเอง ทุกครั้งเมื่อโอกาสมาถึง จงเติบโต (go) เบ่งบาน (grow) และเปล่งประกาย (glow)” เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้งเหลือเกิน

เพื่อนคนหนึ่งแบ่งปันประสบการณ์ว่า ตอนที่เธอนอนหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้ ตั้งจิตว่าต้องการได้รับพลังจากผืนป่า เธอรู้สึกราวกับตัวเองค่อยๆ เติบโตขึ้นเหมือนต้นไม้แทงยอดขึ้นไปหาแสงอาทิตย์ จนดวงตาร้อนผ่าว เสมือนกับตัวเองได้กลายเป็นต้นไม้ที่สังเคราะห์แสงจริงๆ บางคนเกลียดกลัวแมลงทุกชนิด แต่เมื่อหลับตากอดต้นไม้ เธอยอมเปิดใจและไว้วางใจ จนรู้สึกได้ถึงการโอบอุ้มคุ้มครอง บางคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก แต่เมื่อเรียนรู้เชื่อมโยงโลกด้วยความวางใจ เธอพบว่ามิตรภาพนั้นอยู่รอบตัว ถึงกับพูดว่า “ราวกับได้ดวงตาใหม่” ทั้งดวงตาทางกายภาพและทางจิตใจ ทำให้เห็นว่าโลกใบนี้งดงามและมีความมหัศจรรย์อยู่ในสรรพสิ่งเล็กน้อยรอบตัวแทบทั้งสิ้น เพียงแต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยมองเห็นเท่านั้นเอง

เพื่อนบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาปิติที่ได้รับความไว้วางใจจากธรรมชาติ เมื่อเธอสามารถเข้าใกล้ผีเสื้อตัวหนึ่งได้จนบินมาเกาะที่มือ

“ตอนแรกยื่นมือไปได้ใกล้มากแล้วผีเสื้อบินหนี เราถอดใจแล้ว แต่ปรากฏว่าเขาบินกลับมาเกาะมือของเราเอง ลองขยับมือแล้วก็ไม่บินไปไหน เขาอยู่นิ่งๆ ให้เรามองจนพอใจ ตอนนั้นน้ำตาไหลเลย ทั้งดีใจ ทั้งตื้นตันใจ ความรู้สึกได้รับความไว้วางใจมันเป็นแบบนี้เอง เราคิดว่าเราได้เพื่อนใหม่ หรืออาจเรียกว่าญาติเลยก็ว่าได้”

อ่านธรรมชาติ มองเห็นปัญญาอนาคต

การเรียนรู้ในปัจจุบันเป็นการเรียนรู้ผ่านความคิดด้วยหัว (สมอง) แต่การเรียนรู้ในแบบที่ ดร.อ้อยเปิดประตูให้พวกเราเป็นการเรียนรู้ด้วยหัวใจผ่านประสบการณ์จริง เพราะรอยประทับ (ใจ) นั้นจะคงอยู่กับเราเสมอไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ความรู้หรือนวัตกรรมหลายอย่างบนโลกใบนี้ล้วนมีแรงบันดาลใจและใช้หลักการจากธรรมชาติ เรียกว่า ชีว ลอกเลียน (Biomimicry) เช่น ตีนตุ๊กแก (แถบแปะที่รองเท้าหรือเสื้อผ้า) ที่พัฒนามาจากเมล็ดพืชที่มีหนามตะขอรอบตัว เสื้อผ้ากันน้ำหรือสีทาบ้านที่พัฒนามาจากใบบัว (ไม่เปียก/ไม่เปื้อน) หรือการสร้างบ้านด้วยหินปูนที่เลียนแบบปะการัง เป็นต้น ดังนั้น สถานการณ์ของโลกที่วิกฤติรุนแรงขึ้นทุกทีนั้น เราไม่อาจแก้ไขด้วยวิธีคิดแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะโลกใบนี้ยังมีปัญญาอนาคตอีกมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในธรรมชาติเพียงรอให้เราเข้าไปค้นให้พบด้วยวิธีคิดและการรับรู้ใหม่

“การที่เราปล่อยให้ร่างกายได้เชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว มันนำมาสู่ความเห็นอกเห็นใจต่อชีวิตอื่นๆ และพลิกจิตสำนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เหมือนเราได้เชื่อมโยงกับต้นไม้และตระหนักรู้แล้วว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ ความตระหนักรู้แบบนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการกระทำ เราจะไม่ใช้ชีวิตแบบเดิมอีกต่อไป” ดร.อ้อยกล่าวทิ้งท้าย การมีความรู้เพื่ออ่านธรรมชาติได้ (ecological literacy) จึงเป็นสะพานอันสำคัญที่นำพามนุษย์ไปเรียนรู้ เข้าใจและอยู่ร่วมกับสรรพชีวิตได้อย่างเป็นมิตรมากขึ้น เพื่อให้สรรพชีวิตดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

ความงามและความมหัศจรรย์ของโลกจึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เสมอไป หากเพียงเรามีสะพานเชื่อมดวงใจได้ ความวิเศษนั้นย่อมปรากฏกายในทุกเวลา

ฝึกกิจกรรม Nature Connection ประจำวันเลือกมุมโปรดที่เป็นพื้นที่ธรรมชาติใกล้บ้านที่เข้าถึงง่ายทุกวัน ผ่อนคลาย สังเกตธรรมชาติอย่างละเอียดผ่านประสาทสัมผัสทุกด้าน ตาดู หูฟัง จมูกได้กลิ่น ผิวกายสัมผัส เลือกโจทย์ในแต่ละวัน เช่น สังเกตเฉดสีเขียวของใบไม้ ฟังเสียงรอบตัว รู้สึกถึงลมผ่านใบหน้า เฝ้าดูพฤติกรรมนกหรือแมลง หรือฝึกร่วมกับการภาวนา แล้วจดบันทึกเป็นเรื่องเล่าประจำวันกิจกรรม Nature Connection จัดโดยมูลนิธิโลกสีเขียว มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบผัสสะต่างๆ ในร่างกายไปสู่ความละเอียดขึ้นจนเชื่อมโยงกับสรรพชีวิตและพบความมหัศจรรย์ในธรรมชาติได้ จัดขึ้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

สามารถติดตามข่าวสารในการจัดกิจกรรมครั้งต่อไปได้ที่ facebook: มูลนิธิโลกสีเขียว

ที่มา: มูลนิธิโลกสีเขียว ปรับจาก 8-shields Institute

Tags:

เข้าป่าสิ่งแวดล้อมโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

การสื่อสารและตอบสนองจากพ่อแม่อย่างเข้าใจ ไม่บั่นทอน จะสร้างความรู้สึก ‘มีตัวตน’ ให้ลูก
Family Psychology
1 October 2019

การสื่อสารและตอบสนองจากพ่อแม่อย่างเข้าใจ ไม่บั่นทอน จะสร้างความรู้สึก ‘มีตัวตน’ ให้ลูก

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ antizeptic

  • ทารกแม้จะยังพูดไม่ได้ แต่มีความพยายามในการสื่อสารกับพ่อแม่และต้องการการตอบสนอง แม่ที่ทำสีหน้าเรียบเฉยใส่ลูกชั่วขณะหนึ่ง ส่งผลให้เด็กรู้สึกขาดการสื่อสารเชื่อมโยงกับแม่ เด็กจะแสดงความเครียดและร้องไห้ออกมา
  • และแม้ว่าแม่ที่กำลังส่งเสียงหยอกล้อ แต่ไม่ตรงกับอากัปกิริยาที่ลูกสื่อสาร ผลก็ออกมาเช่นเดียวกับการทดลองสีหน้าไร้อารมณ์
  • ความรู้สึกว่าพ่อแม่ ‘มองเห็น’ คือฐานอิฐอันมั่นคง ส่งให้มนุษย์คนหนึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างตระหนักถึงคุณค่าในตนเองซึ่งพัฒนาตั้งต้นมาจากความเข้าใจในตัวเอง

สมองเป็นอวัยวะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างและตอบสนองแรงกระตุ้นในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นและตอบสนองการเรียกร้องที่ส่งมาด้วยในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นจิตใจซึ่งอยู่ภายใต้การทำงานอันซับซ้อนของสมอง

นับตั้งแต่แรกเกิด จิตใจจะค่อยๆ พัฒนาการรับรู้ตัวตน (sense of self) ขึ้น ผ่านการเรียกร้องและการตอบสนองจากการมีปฏิสัมพันธ์ในสภาวะแวดล้อมที่เขาได้รับการฟูมฟักจากพ่อแม่

ศาสตราจารย์โคลวิน เทรวาร์เธน (Colwyn Trevarthen) แห่ง มหาวิทยาลัยเอดินเบอระห์ (University of Edinburgh) หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการปฐมวัยของโลกหยิบงานวิจัย ‘Still-Face Experiment’ หรือการทดลองสีหน้าไร้อารมณ์อันโด่งดังของ ดร.เอดเวิร์ด โทรนิค (Dr.Edward Tronick) แห่ง มหาวิทยาลัยแมสซาชูเสตส์ (University of Massachusetts) มาสานต่อ จากเดิมที่งานนี้เคยพิสูจน์ว่าเด็กทารกแม้จะยังพูดไม่ได้ แต่มีความพยายามในการสื่อสารกับพ่อแม่และต้องการการตอบสนอง แม่ที่ทำสีหน้าเรียบเฉยใส่ลูกชั่วขณะหนึ่งยังผลให้เด็กรู้สึกขาดการสื่อสารเชื่อมโยงกับแม่ แสดงความเครียดและร้องไห้ออกมา

ในการทดลองของศาสตราจารย์เทรวาร์เธน ให้แม่กับลูกสื่อสารกันผ่านหน้าจอมอนิเตอร์โดยแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นการสื่อสารแบบ interactive คือลูกกับแม่สื่อสารและตอบสนองกันในคราวเดียวกัน ต่อมาใช้การรันเทปใบหน้าแม่บนหน้าจอไม่ใช่การโต้ตอบจริง เมื่อภาพแม่ที่กำลังส่งเสียงหยอกล้อไม่ตรงกับอากัปกิริยาที่ลูกสื่อสาร ผลก็ออกมาเช่นเดียวกับการทดลองสีหน้าไร้อารมณ์ คือเด็กน้อยเกิดความรู้สึกเครียดและร้องไห้เช่นเดียวกัน

สาเหตุที่ศาสตราจารย์เทรวาร์เธนทำการศึกษา เพราะต้องการอธิบายให้ลึกซึ้งขึ้นว่าที่จริงแล้วทารกไม่ได้ต้องการเพียงแค่สื่อสารความปรารถนาเพื่อถูกเติมเต็มเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เขารอคอยที่จะได้รับกลับมาพร้อมกันด้วยคือการตอบสนองที่สะท้อนถึงการมีตัวตนของเขา (sense of self) ซึ่งยึดโยงคุณค่าความสำคัญที่เขามีเข้ากับบริบทสังคมรอบตัว และสิ่งนี้จะถูกเติมเต็มได้ก็ต่อเมื่อส่งสัญญาณบางอย่างออกไป แล้วได้รับการตอบสนองที่สื่อว่าพ่อแม่ ‘มองเห็น’ ความต้องการของเขาและรับรู้ถึงความรู้สึกที่ถ่ายทอดไปอย่างเข้าอกเข้าใจกลับมา

ตอบสนองความต้องการของลูกอย่างเฉพาะหน้าและสอดคล้อง

นายแพทย์เดเนียล เจ. ซีเกล (Daniel J. Siegel) และอาจารย์แมรี ฮาร์ทเซลล์ (Mary Hartzell) ผู้เขียน Parenting from the Inside Out อธิบายหลักการสื่อสารที่สะท้อนการมีตัวตนและตอบสนองความต้องการของลูกด้วยคำว่า contingency and coherence หรือ สื่อสารอย่างไรให้ ‘ตอบสนองได้อย่างเฉพาะหน้าและสอดคล้องกับความรู้สึกของลูกที่เกิดขึ้นในชั่วขณะนั้น’

คำว่าเฉพาะหน้า (contingency) หมายถึงการตอบสนองต่อสัญญาณที่ลูกส่งมาให้ในขณะนั้นได้อย่าง ‘ตรงจังหวะพอดี’ อย่างในการทดลองช่วงแรกของศาสตราจารย์เทรวาร์เธน ที่แม่และลูกโต้ตอบรับส่งกันแบบทันที หรือเช่น เวลาลูกชี้มือไปที่ต้นไม้อย่างสงสัยแล้วพ่อแม่ตอบสนองอากัปกิริยานั้นด้วยการหันไปตามที่เขาชี้แล้วเอ่ยถามว่า “มีอะไรเหรอลูก”

แต่การสื่อสารที่ตอบสนองอย่างเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้การรับรู้ตัวตนพัฒนาไปสู่การเข้าใจคุณค่าความหมายในตนเองได้ หากการตอบสนองนั้นไม่ได้สอดคล้อง (coherence) กับความต้องการที่แท้จริง

เช่นในสถานการณ์ทารกร้องไห้เพราะผ้าอ้อมเปียกชื้นไม่สบายตัว พ่อแม่ที่ได้ยินเสียงร้องและใช้เวลาตรวจตราหาสาเหตุว่าลูกร้องเพราะอะไร เมื่อเข้าใจและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ เขาก็จะได้รับการตอบสนองเฉพาะหน้าและสอดคล้องกับความต้องการด้วย

ประสบการณ์ที่หนูน้อยเรียนรู้คือ 1) ต้องการความช่วยเหลือเพราะรู้สึกไม่สบายตัว 2) พ่อแม่ปลอบโยนและเข้าใจความต้องการ 3) ปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่เชื่อมโยงสอดคล้องกับการรับรู้

ในทางกลับกัน หากไม่เข้าใจว่าลูกร้องทำไมแล้วตอบสนองเฉพาะหน้าโดยการพยายามหยอกล้อ ป้อนนมหรือกล่อมนอน สิ่งที่ต้องเรียนรู้คือ 1) ต้องการความช่วยเหลือเพราะไม่สบายตัว 2) พ่อแม่ไม่เข้าใจและตอบสนองไปคนละทางกับความต้องการ 3) ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นไม่เชื่อมโยงสอดคล้องกับสิ่งที่ตนรับรู้ รูปการณ์นี้หากดำเนินต่อเนื่องนานๆ เข้า เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าเขาไว้ใจและคาดหวังความเข้าใจจากการสื่อสารกับพ่อแม่ไม่ได้

แม้บางสถานการณ์ลูกอาจไม่ต้องการมากไปกว่าการที่พ่อแม่ตอบสนองเขาอย่างเฉพาะหน้า เช่น พยักหน้าเวลาเขาเล่า สบตาเขาเพื่อสื่อว่ากำลังฟังอยู่นะ ไม่เล่นมือถือไปด้วยพูดกับเขาไปด้วย แต่ขอให้ระวังว่าในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน เช่น ตอนเขากำลังผิดหวังเสียใจ หรือโมโห การสื่อสารเฉพาะหน้าโดยไม่เข้าใจว่าในตอนนั้น จริงๆ แล้วลูกกำลังรู้สึกอย่างไร แล้วตอบสนองไปโดยไม่ได้สอดคล้องกับความรู้สึกเขา ก็อาจกลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจได้เช่นกัน

ในงานเขียนหรือบทความแนว Parenting ทุกชิ้นไม่มีชิ้นไหนไม่กล่าวถึงการสร้างสายสัมพันธ์หรือความผูกพัน (connection) ให้เกิดขึ้นในครอบครัว และใจความสำคัญอันดับหนึ่งคือไม่มีทฤษฎีหรือหลักการสร้างคนใดจะทัดเทียมเท่าความรักความผูกพันอันเป็นสายสัมพันธ์ในครอบครัวไปได้เลย

พึงระลึกอยู่เสมอว่าความผูกพันที่ลูกจะมีกับพ่อแม่และครอบครัวได้ ก่อนอื่นเขาต้องรับรู้ว่าผู้ใหญ่ในบ้านเข้าใจและใช้เวลากับเขาอย่างมีคุณภาพเพียงพอ สร้างพื้นที่ที่เขารู้สึกสบายใจและให้เรียนรู้ธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันซึ่งอาจมีกระทบกระทั่ง ไม่ลงรอยกันบ้าง พร้อมกับเปิดโอกาสให้เขาแสดงความรู้สึกและรับฟังอย่างจริงใจ

สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในใจเด็กที่ได้รับความรักความเข้าใจเต็มเปี่ยม เป็นพื้นฐานอันมั่นคงของการตระหนักถึงคุณค่าในตนเองซึ่งพัฒนาตั้งต้นมาจากความเข้าใจในตัวเอง (self-knowledge) และการเลี้ยงดูของพ่อแม่ว่าฟูมฟักเขามาในบริบทใด หากพ่อแม่ไม่ใกล้ชิดลูกเพียงพอจะสร้างความผูกพัน หรือสื่อสารแค่เฉพาะหน้าแต่กลับไม่เคยเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่แท้จริงเลย การเรียนรู้ตัวตนของเขาย่อมเป็นไปโดยไม่สามารถเชื่อมโยงต่อติดกับพ่อแม่ได้

เปลี่ยนจากปฏิเสธเป็นตอบสนองอย่างเกื้อกูล สอดคล้องกับความรู้สึกลูก

คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านอยู่คงจะคิดว่า ทุกวันนี้ลำพังพูดกับลูกให้จบประโยคยังยาก เรื่องการจะสื่อสาร ‘ตอบสนองอย่างสอดคล้อง’ น่าจะเป็นเรื่องท้าทายมากพอดู บ่อยครั้ง พ่อแม่อดไม่ได้ที่จะใช้สายตาและประสบการณ์ของผู้ใหญ่เข้าไปห้ามปราม หรือตัดสินสิ่งที่เขาคิด

ยกตัวอย่าง อาการ ‘อกหัก’ ของวัยรุ่นวุ่นรัก เห็นลูกกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เป็นอาทิตย์ ข้าวปลาไม่กิน ครั้นพอลูกบอกว่า “ผมรักเขา” พ่อแม่ฟังแล้วหัวเราะใส่ยังไม่พอ ยังปฏิเสธเขาอีกว่า “โธ่เอ๊ย! นี่ไม่ใช่ความรัก นี่เรียกว่าหลง! ลูกแค่หลงเขาแบบเด็กๆ” ประโยคทำนองนี้ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหม

หรือบางครั้งใช้การปฏิเสธความรู้สึกลูกเพียงเพื่อปลอบโยนหรือเบี่ยงเบนความสนใจ อย่างเช่น เวลาลูกหกล้มร้องไห้ก็ปลอบว่า “ไม่เจ็บนะๆ ไม่ต้องร้อง” หรือเมื่อเขางอแงชี้ไปที่ของเล่นที่อยากได้แล้วเราบอกว่า “ไม่เอานะ หนูมีอันนี้แล้ว หนูไม่อยากได้อีกหรอก”

นายแพทย์ซีเกล และอาจารย์ฮาร์ทเซลล์ กล่าวว่า ความรู้สึกต้องการที่พึ่งของลูกมักถูกตีกลับด้วยการปฏิเสธความสำคัญ เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่คิดว่าตนเองอาบน้ำร้อนมาก่อนจึงมองความไร้เดียงสาของเขาว่าไร้สาระ หรือการปฏิเสธว่าความรู้สึกของเขานั้น ‘ไม่จริง’ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการสุมไฟอารมณ์โมโหให้ลุกโชนขึ้น บางคนอาจเรียกร้องความสนใจโดยการทำเรื่องเลวร้ายหรือบางคนเรียนรู้ที่จะปิดใจไม่เล่าปัญหาหรือความรู้สึกให้พ่อแม่ที่ ‘ไม่เข้าใจ’ เขาฟังอีกต่อไป

ทางที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ควรทำเมื่อลูกบอกความรู้สึกหรือความต้องการคือ ใช้ การสื่อสารแบบเกื้อกูล (Pathway to Collaboration) คือ

1) รับฟังความต้องการของลูกอย่างตั้งใจ (explore) ให้ความสำคัญแม้กับปัญหาที่เราอาจไม่อินด้วย ไม่ฟังไปแกนๆ และทำอย่างอื่นไปด้วย

2) พยายามเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของลูก (understand) ปากบอกว่าโอเค แล้วสีหน้าแววตาท่าทางโอเคจริงรึเปล่า อย่าละเลยภาษากายที่บ่งบอกว่าเขากำลังเป็นทุกข์

3) เป็นพวกเดียวกับเขา (join) โดยการรับฟังและเข้าใจความรู้สึกจากในมุมของเขาโดยไม่หักหาญน้ำใจ ตัดสินชี้นำ หรือตั้งแง่ปฏิเสธ

ลองเปลี่ยนคำปฏิเสธเป็นการตอบสนองที่เกื้อกูลและสอดคล้องกับความรู้สึกลูก สื่อสารอย่างไรให้เขาก้าวผ่านและเติบโตจากมัน เมื่อเขาอกหักปลอบเขาใหม่ว่า “อกหักเป็นเรื่องธรรมชาติ! ลองให้เวลาตัวเองทบทวนดูว่าความเสียใจครั้งนี้เปลี่ยนความคิดและตัวตนของลูกยังไง แล้วถ้าอยากเล่า พ่อเองก็อยากฟังนะว่าลูกเรียนรู้อะไรจากมันบ้าง” หรือปลอบโยนลูกที่หกล้มว่า “เมื่อกี้หนูสะดุดขาโต๊ะตัวนี้เข้าน่ะ เลยล้มเข่ากระแทกพื้น คงตกใจสินะ ตอนนี้เจ็บเข่าใช่ไหมจ๊ะ” และในสถานการณ์ของเล่นชิ้นใหม่ซึ่งเหมือนชิ้นที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะปฏิเสธ ลองถามเขาดูก่อน “ของเล่นชิ้นนี้หน้าตาคล้ายที่บ้านจัง สงสัยหนูคงชอบมันมาก บอกแม่หน่อยสิจ๊ะว่าหนูชอบมันตรงไหน” (แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำบันทึกของขวัญที่อยากได้เอาไว้ และให้สิทธิเขาเลือกชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่อยากได้มากที่สุดในวันสำคัญและในงบที่เหมาะสม)

ถ้าตอบสนองด้วยความเข้าใจ ให้เด็กกล้าที่จะรู้สึกและเปิดเผยสิ่งที่ตนคิดฝันหรือต้องการจริงๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิ ตัดสินหรือปฏิเสธตั้งแง่ และพ่อแม่ก็มีลิมิตเพียงพอว่าจะไม่ลงเอยที่สปอยล์ตามใจ ครอบครัวจะสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ขึ้นได้เพราะลูกจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่ได้เล่าความจริง และอุ่นใจว่าอย่างน้อยแม้ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอทุกครั้งไปก็ตาม ผู้ใหญ่ในบ้านก็พร้อมที่จะรับฟังเขาอย่างเปิดใจเสมอ

อย่าโกหกสมองซีกขวา

เราอาจผ่านตาเรื่องการทำงานของสมองทั้งสองซีกมาบ้างว่าฝั่งซ้ายดูแลการคิด ใช้เหตุผลตรรกะ และฝั่งขวาดูแลส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก การสื่อสารเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานของสมองทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะอากัปกิริยาหรือภาษากายซึ่งเป็นการสื่อสารในระดับจิตใต้สำนึกสามารถสร้าง impact ต่อความรู้สึกได้มากกว่าคำพูด

สมมุติลูกเห็นแม่ที่กำลังร้องไห้แล้วถามว่า “แม่เป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม” แต่แม่กลับฝืนยิ้มตอบลูกทั้งน้ำตาว่า “ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี” อากัปกิริยาสวนทางกับคำพูดแบบนี้อาจไม่เพียงสร้างความสับสน คับข้องใจ เพราะน้ำตาของแม่โกหกสมองซีกขวาไม่ได้ มันรับรู้ได้ทันทีว่าแม่กำลังทุกข์หนัก ด้วยวิธีสื่อสารแบบไม่ตรงไปตรงมานี้ มันคล้ายจะบอกว่าแม่ไม่ต้องการบอกเรื่องสำคัญบางอย่างกับเขาเพราะเขาไม่มีค่าพอ

ภาษากายหรืออากัปกิริยาคือรหัสภาษาที่ถูกตีความโดยสมองซีกขวาซึ่งเชื่อมต่อกับลิมบิกหรือพื้นที่รับความรู้สึกโดยตรง สมองของเราจึงสามารถแปลความรู้สึกของอีกฝ่ายจากกิริยาท่าทางได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้คำพูดอธิบาย ในขณะที่คำพูดคือรหัสสัญญาณที่ถูกส่งและตีความโดยสมองซีกซ้าย ถ้าคำพูดและอากัปกิริยาถูกส่งมาอย่างสอดคล้องกัน สมองทั้งสองซีกก็จะเข้าใจและตีความสัญญาณนั้นว่าปกติ แต่ถ้ามาแบบขัดแย้งกันอย่างข้างต้น สมองก็จะทักท้วงทันทีว่ามีบางอย่างไม่โอเค

การปิดบังความรู้สึกแย่ๆ ด้วยคำพูดตรงกันข้ามรังแต่จะสร้างกำแพงที่มองไม่เห็น หากอยากสร้างความรู้สึกผูกพันไว้เนื้อเชื่อใจกับลูก ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าพ่อแม่เปิดเผยความรู้สึกอย่างซื่อตรงจริงใจ ให้เขามีส่วนร่วมทั้งความรู้สึกด้านบวกเมื่อตื่นเต้น ภูมิใจ ดีใจ เวลารู้สึกโกรธ เสียใจ กลัวหรือผิดหวังก็แบ่งปันความรู้สึก และเล่าที่มาที่ไปให้เขารับรู้ไปตามตรงอย่างจริงใจด้วยจะดีกว่า คุณค่าในตนเองของเขาจะเบ่งบานขึ้นได้จากการถูกยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

Our sense of ‘I’ is profoundly influenced by how we belong to a ‘we’

ตัวตนของความเป็น ‘ฉัน’ คือผลลัพธ์อันลึกซึ้งจากการเป็นส่วนหนึ่งของการเป็น ‘เรา’

นายแพทย์ซีเกล ชี้ว่าในเด็กเล็กสมองซีกขวาจะยิ่งไวต่อการสื่อสารด้านอารมณ์และมีพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด การสื่อสารด้วยท่าทางและอากัปกิริยาจึงมีผลต่ออารมณ์และจิตใจตั้งแต่ยังแบเบาะ สมองของเขาสามารถรับรู้การสัมผัส สายตา เสียงหัวเราะของพ่อและแม่ได้ทันที

ทั้งนี้ขอสรุปพัฒนาการในช่วงปฐมวัยอันน่าสนใจของสมองฝั่งนี้ให้พ่อแม่หรือคุณครูที่ดูแลเด็กช่วงปฐมวัยได้ทราบดังนี้

  • ขวบปีแรกและปีที่สอง ทารกจะใช้งานและมีพัฒนาการของสมองซีกขวาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการสื่อสารที่ควรเน้นหนักคือการ ‘แสดงออกถึงท่าทางและอากัปกิริยา’ ของความรักความใกล้ชิดผูกพัน เช่น กอดหอม สัมผัส การใช้เวลากับเขาให้มากๆ เอาใจใส่ใกล้ชิด
  • วัยก่อนเข้าเรียน สมองซีกซ้ายและขวายังเชื่อมประสานกันได้ไม่เต็มที่ เด็กในวัยนี้จะยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ชัดเจน ประกอบกับสมองซีกขวาทำงานมากกว่าซีกซ้าย สภาวะอารมณ์และการแสดงออกทางพฤติกรรมจึงเข้มข้นรุนแรงเหมือนเด็กเจ้าอารมณ์งอแงเอาแต่ใจ การอบรมสั่งสอนด้วยวาจาจะยังไม่เกิดประสิทธิผลเต็มที่กับเด็กในวัยนี้ การดุหรือห้ามปรามไม่ให้แสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาอาจกลายเป็นการปิดกั้นการแสดงความรู้สึกและเหมือนบอกเขากลายๆ ว่า เขาเป็นสิ่ง ‘เลวร้าย’ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือปลอบโยนอารมณ์เขาให้เบาลงด้วยภาษากาย เช่น สัมผัส ลูบหัวลูบหลัง มองสบตา พยักหน้าอย่างเข้าใจ
  • การศึกษาในโรงเรียน มักโฟกัสที่การใช้งานสมองซีกซ้ายเป็นหลัก ผู้ใหญ่อย่างเราจึงถูกขัดเกลาให้กลายเป็นคนที่คุ้นชินแต่กับความสำคัญของหลักเหตุผลและคำพูด แล้วละเลยความสำคัญของสมองซีกขวาที่กุมบังเหียนความยับยั้งชั่งใจ การรู้จักตัวเอง และความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พ่อแม่ควรหาพื้นที่สมดุลในการส่งเสริมทักษะการคิดที่ช่วยพัฒนาสมองซีกซ้ายพร้อมกับบ่มเพาะพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจ ด้วยการให้ความอบอุ่นใกล้ชิดและความเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกของเขา

การสื่อสารที่บั่นทอนความสัมพันธ์กับลูก

ข้างต้นเราเกริ่นถึงวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันไปแล้ว มาดูการสื่อสารที่ตรงกันข้าม ซึ่งเป็นการสื่อสารที่บั่นทอนความสัมพันธ์

รูปแบบของการสื่อสารที่บั่นทอนคือ

ตัวอย่างหนึ่งในหนังสือ Parenting from the Inside Out คุณครูประจำชั้นรายงานคุณแม่ที่เพิ่งพาลูกสาววัยสิบขวบย้ายมาโรงเรียนใหม่ได้เดือนกว่าว่าลูกยังไม่มีเพื่อนใหม่เลยสักคน เมื่อแม่ไปรับหลังจากกิจกรรมช่วงบ่าย ลูกขึ้นรถมาด้วยผมเปียเนี้ยบเหมือนเมื่อเช้าในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเดินเหงื่อโซมหัวหูยุ่งกันออกมา แม่รู้สึกกังวลและนึกอยากช่วยให้ลูกเปิดใจกับเพื่อนและสิ่งแวดล้อมใหม่จึงกระทุ้งถามไปว่า “ลูกได้เล่นกับเพื่อนบ้างไหมเนี่ย” “วันๆ ได้คุยกับคนอื่นบ้างรึเปล่า”

คำถามแนวนี้คือการถามแบบสอบสวนคาดคั้น ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบจากลูกหรอกว่าเขาเล่นหรือไม่ได้เล่นกับเพื่อน มันแฝงนัยยะของการสั่งให้เขาพยายามหาเพื่อนใหม่บ้างต่างหาก แม้ความเป็นผู้ใหญ่อาจบอกให้เราเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงด้วยการเดินหน้าให้เร็วที่สุด แต่การสื่อสารแบบนี้กับลูกยิ่งเป็นการผลักไสให้เขาไปยืนบนชายขอบของเหวลึกด้วยความไม่มั่นใจ

กับเด็กแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ยังไม่ทันปรับตัวบวกกับความรู้สึกสงสัยว่าทำไมต้องย้ายโรงเรียน การลาจากเพื่อนสนิท พ่อแม่ต้องมองในมุมเขาแล้วแบ่งปันความรู้สึกเหล่านั้น ควรเลือกคำถามที่ช่วยกระตุ้นความคิดใหม่ๆ แง่มุมที่เขาอาจยังไม่ได้สำรวจถี่ถ้วนเช่น “วันนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เจอสิ่งที่ชอบบ้างรึยัง เห็นว่ากิจกรรมเยอะน่าดู บรรยากาศต่างกับที่เก่ามากไหม เพื่อนๆ เป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังหน่อย”

ที่สำคัญคือระวังอย่าใช้การตัดสินหรือเปรียบเทียบลูกในทำนองว่าคงดีกว่านี้ถ้า…หรือดูอย่างคนนั้นสิ… “ถ้าลูกยิ้มแย้มกว่านี้ แม่ว่าเพื่อนๆ เขาคงอยากเล่นกับลูกบ้างแหละ นี่เล่นทำตัวแบบนี้ใครจะอยากเป็นเพื่อนด้วย” หรือ “ดูอย่างน้องน้ำมนต์สิ ยิ้มง่าย เข้าง่ายกับคนอื่น ทำไมลูกไม่เป็นอย่างเขาบ้าง” การตัดสินหรือเปรียบเทียบเป็นการบอกเขาทางอ้อมว่าแม่กำลังผิดหวังในตัวเขาเพราะเขาไม่ดีพอ

อีกข้อที่ต้องชั่งใจให้ดีคือทำอย่างไรจึงช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยพ่อแม่ไม่ออกไปรับหน้าหรือลงมือแทนเขาเสียเอง การปกป้องลูกจนเกินไปยังผลได้สองทางคือลูกขาดความเชื่อมั่นในตนเอง กลายเป็นคนกลัวทำผิดเมื่อเจอปัญหาเพราะรู้สึกไม่ได้รับความไว้วางใจ กับสุดโต่งอีกแบบไปเลยคือทำผิดแล้วไร้สำนึกรับผิดชอบเพราะพ่อแม่คอยปกป้องอยู่เสมอ

ในตัวอย่างของลูกสาวที่ยังไม่กล้าเข้าสังคมกับเพื่อนใหม่ การยื่นมือเข้าไปแก้ปัญหาของพ่อแม่โดยการจับมือลูกเดินดุ่มๆ เข้าไปในวงเพื่อนที่เล่นกันอยู่พลางเอ่ยปากขอเล่นด้วยแทนลูก หรือ ชวนเพื่อนๆ มาที่บ้านโดยเขาไม่ต้องการ นอกจากเป็นการไม่เคารพความรู้สึกนึกคิดของเขา ยังเป็นการล่วงล้ำความรู้สึกไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วซ้ำเดิมไปอีก

ความช่วยเหลือในขอบเขตที่ควรทำคือยอมรับฟังความรู้สึกที่แท้จริงของเขาและให้เวลาเขาได้ปรับตัว เทอมแรกอาจเป็นฝันร้าย แต่เวลาจะนำพาความตื่นเต้น เรื่องราวแปลกใหม่เข้ามาเอง ขอจงเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างเพื่อรับฟังทุกข์สุขของเขาอย่างเข้าใจ

วันวานในวัยเด็กของเราเคยต้องการความรักความเข้าใจจากผู้ใหญ่อย่างไร วันนี้วัยเด็กของลูกก็ยังต้องการความรักความเข้าใจเหมือนเดิมอย่างนั้น เมื่อบริบทสังคมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย สิ่งที่เพิ่มเติมคือพ่อแม่ต้องรู้จักปรับจูนการสื่อสารให้หมุนตามไลฟ์สไตล์ของเด็กรุ่นใหม่ ก้าวให้ทันยุคสมัยและเข้าไปอยู่ในโลกใบเดียวกับเขาด้วยความเข้าใจ ให้พื้นที่อิสรภาพบนพื้นฐานของสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่มั่นคง เพราะเขาอาจต้องสู้กับสิ่งล่อตาล่อใจซึ่งไปไกลกว่าจุดที่พ่อแม่หลายคนเคยรู้จักและเข้าใจมากมายนัก

สายสัมพันธ์และความรักความอบอุ่นที่สื่อสารถึงกันและกันในครอบครัว คือสิ่งยึดเหนี่ยวอันทรงพลังหนึ่งเดียวที่จะสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจของลูกให้แข็งแรง และสามารถต้านทานความป่วยไข้ที่แฝงมากับโลกยุคใหม่นี้ได้

Tags:

พ่อแม่แบบแผนทางความสัมพันธ์Parenting from the Inside OutEFพัฒนาการทางอารมณ์The Twelve Senses

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์
Character building
1 October 2019

ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

ขอต้อนรับสู่โรงเรียนสอนคิด และ สร้างนักเรียนที่มีคาแรคเตอร์ …คาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันด้วย!

วันที่กระทั่งความรู้ก็มีอายุสั้นลง คุณครูหลายคนเห็นตรงกันว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะ (อัด) สอนความรู้แบบท่องจำ แต่ต่างเชื่อและอยากเห็นเด็กรุ่นใหม่มีทักษะที่จะคิด ตั้งคำถาม ลงมือทำโดยไม่ถูกใครจ้ำจี้จำไช หรือพูดอีกอย่าง…

เราอยากเห็นเด็กๆ ‘รู้ได้เองว่าอยากเรียนรู้อะไร และรู้ว่าจะหาวิธีเรียนรู้ได้อย่างไร’ (learn how to learn) – น่าสนใจว่านี่ไม่ใช่แค่ทักษะของเด็กในอนาคต เพราะเอาเข้าจริงพวกเราทุกคนควรมีทักษะแห่งการเรียนรู้เช่นนี้

ไม่ใช่เรื่องที่พูดกันแค่ในประเทศ แต่วงการศึกษาโลกพูดไปในทางเดียวกันว่าถึงเวลาที่โรงเรียนต้องลุกเป็นแกนนำในการปรับแนวทาง กำหนดเป้าหมายและคุณค่าเรื่องการเรียนรู้ใหม่ จากโรงเรียนที่ผลิตทรัพยากรมนุษย์ให้คิด ทำ และมีความรู้ชุดเดียวกันราวกับโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงเรียนสอนคิด ที่เด็กๆ เข้าใจคอนเซ็ปต์ของ ‘การเรียนรู้’ และผลักดันคาแรคเตอร์อันแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ให้แฝงฝังในเนื้อตัวของพวกเขาต่อไป

และคงจะดีไม่น้อยถ้าต่อไปเราจะเรียกคุณครูสอนคิดเหล่านี้ว่า ‘ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบการเรียนรู้’ และเรียกผู้อำนวยการว่าเป็น ‘วิศวกร’ ที่เข้าใจโครงสร้างแห่งการเปลี่ยนแปลง

ทั้งหมดที่กล่าวไป เราเชื่อว่าคุณครูทุกคนหวังใจอยากให้เป็นเช่นนั้น เห็นภาพร่วมกัน และตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อเป็นส่วนหนึ่งแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มกำลังอยู่แล้ว The Potential ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูทุกท่านสู้ๆ (เสียงหนักแน่น) กันต่อไป และขอร่วมฝันไปด้วยคนนะคะ ^^

สร้างสรรค์ภาพ โดย PHAR

Tags:

ครูระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

THE OLD MAN BUT YOUNG@HEART สูงวัย ใคร? ห้ามเรียนรู้
Life Long Learning
27 September 2019

THE OLD MAN BUT YOUNG@HEART สูงวัย ใคร? ห้ามเรียนรู้

เรื่อง The Potential

คนแรกคือ เสรี จินตนเสรี อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วัย 77 เพิ่งคว้าแชมป์ แบดมินตันอาวุโส ชิงแชมป์โลก 2019 มาหมาดๆ สุภาพบุรุษสูงวัยท่านนี้เพิ่งกลับมาหวดลูกขนไก่อย่างจริงจังเมื่ออายุ 60 เศษ หลังจากตรวจสุขภาพแล้วพบว่าเจอของ ‘เลวร้าย’ เยอะไปหมด

“มนุษย์เรามันต้องพัฒนาขึ้นทุกครั้งสิ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร” แพ้คู่ต่อสู้รุ่นลูกมาก็หลายครั้ง แต่ทุกครั้งคุณเสรีก็ลุกขึ้นสู้ใหม่

ครั้งหนึ่งเคยเห็นเพื่อนล้มฟุบกลางคอร์ทแบด หัวใจวายและจากไปต่อหน้าต่อตา แทนที่จะขยาด เขากลับรู้สึกว่า ตายง่ายแบบนี้ดี แทนที่จะไปโดนสายระโยงระยางทางการแพทย์ทั้งหลาย

“ให้ผมตีแบดตาย ผมก็มีความสุข” เป้าหมายของคุณเสรี

อ่านบทสัมภาษณ์ เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

คนที่สอง โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ทวิตเตอร์น้องใหม่วัย 71 คุณพ่อลูกสี่ที่ตอนนี้มียอด follower กว่าแสนคน ทวิตครั้งหนึ่งยอดรีทวิตไม่เคยต่ำกว่าหลักพันหลักหมื่น

“ผมก็พูดเรื่องเดิมๆ แบบที่เคยพูดมานั่นแหละ เช่น ชาติคืออะไร พอทวิตไปแป๊บเดียวรีทวิตขึ้นมาเป็นพัน เล่นเฟซบุ๊คกว่าจะถึงพันเลือดตาแทบกระเด็น พอนั่งดูไปมา แม้จะไม่ได้อ่านทุกรีทวิต ก็ชวนตกใจ ขนพองสยองเกล้าอยู่เหมือนกัน มันเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย เป็นพื้นที่ที่เขาพูดกันอย่างเต็มที่จริงๆ”

สำหรับอ.โกวิท การเรียนรู้อะไรใหม่ๆ คือความสุข

“ความจริงมันเป็นนิสัยของผมมากกว่านะ หรือที่เรียกว่าสันดานก็ได้ ถ้าผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ ผมมีความสุข และผมเป็นคนชอบมีความสุขแบบนั้น”

อ่านบทสัมภาษณ์ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์: การเรียนรู้ผ่านโลกทวิตเตอร์ 280 ตัวอักษรของน้องใหม่วัย 71

คนสุดท้าย ‘ครูบลู’ อัฒฑวินทร์ ธนเดชสำราญพงษ์ วัย 51 ครูประจำวิชาดนตรีระดับมัธยมต้น โรงเรียนวัดสะแกงาม ที่ได้รับภารกิจใหญ่จากผู้อำนวยการให้สร้างวงโยธวาทิตขึ้นมา ทั้งๆ ที่เล่นเครื่องดนตรีในวงโยฯ ไม่เป็นสักอย่าง

ครูบลูเริ่มต้นจากศูนย์ ต้องนั่งเรียนรู้เรื่องดนตรีและเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดไปพร้อมเด็กๆ

“เทคนิคการเรียนรู้คือการบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ‘เราอายุ 18’ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่า ในวันที่เราอายุ 18 ตอนนั้นคิดและรู้สึกอย่างไร เวลาเราเห็นเด็กทำอะไรแปลกๆ หรือทำอะไรนอกลู่นอกทาง เราจะได้ทบทวนเพื่อเข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นเพราะอะไร”

อ่านบทสัมภาษณ์ ภารกิจสร้างวงโยฯ​ และการเรียนรู้ครั้งใหม่วัย 51 ของครูผู้เล่นดนตรีไม่เป็น

Tags:

Growth mindsetเสรี จินตนเสรีสังคมสูงวัยโกวิท วงศ์สุรวัฒน์อัฒฑวินทร์ ธนเดชสำราญพงษ์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodEducation trend
    อิสราเอลพัฒนาประเทศผ่านการสร้างคน พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความเป็นมนุษย์และเป็นลมใต้ปีกให้ลูก

    เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Life Long Learning
    เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

  • Life Long Learning
    ใช้ร่างกายไล่ล่าปัจจุบัน หาความท้าทายใหม่เพื่อค้นพบตัวเอง: สูงวัยด้วยคุณภาพและพลังชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ทำเรื่อง ‘เล่น’ ให้จริงจัง: เมื่อองค์ความรู้ด้านออกแบบมาชนกับพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก
Early childhood
26 September 2019

ทำเรื่อง ‘เล่น’ ให้จริงจัง: เมื่อองค์ความรู้ด้านออกแบบมาชนกับพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • สนทนาเรื่อง ‘เล่น’ อย่างจริงจัง จากคนในวงการของเล่น นักออกแบบ และนักการศึกษา
  • ต้องโละความคิดว่าการเล่นเป็นเรื่องเสียเวลาออกไปก่อน เพราะการเล่นคือการเรียนรู้ ไม่มีใครมานั่งสั่งสอนระหว่างการเล่น และเด็กเติบโตได้จากการเล่น
  • สิ่งสำคัญคือ ‘ความรู้ของพ่อแม่’ และทัศนคติว่าการเรียนรู้ที่จริงควรเป็นอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเรายังตีความ ‘ความเก่ง’ ในความหมายแคบแค่เรื่องวิชาการอย่างเดียว

เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘การเล่น’ กับ ‘เด็ก’ เป็นของคู่กัน ไม่จำเป็นต้องใช้แนวคิดวิชาการเรื่องพัฒนาการเด็กและจิตวิทยาเข้าอธิบายก็เข้าใจดีว่า การเล่นคือการเปิดโลกแห่งจินตนาการ จำลองกระบวนการคิด และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ขมวดไอเดียให้ชัดกว่านั้น… เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่น และนี่คือห้องเรียน (รู้โลก) ของพวกเขา

23 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ศูนย์การออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดห้องประชุมต้อนรับผู้ชมร่วมสนทนาประเด็น Learning Through Play: ทำเรื่อง ‘เล่น’ ให้จริงจัง ความน่าสนใจของงานอยู่ที่การพูดถึงการเล่นและพัฒนาการเด็กผ่านสายตาของนักออกแบบ (ซึ่งโดยปกติคนที่ call for action มักเป็นคนในวงการศึกษาและนักจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก) และเชิญวิทยากรในแวดวงการศึกษาและจิตวิทยาเด็กเข้ามาร่วมพูดคุยด้วย ได้แก่…

  • วิฑูรย์ วิระพรสวรรค์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร PlanToys แบรนด์ของเล่นที่ดีต่อพัฒนาการเด็กและสิ่งแวดล้อม
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ เหมชะญาติ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และ ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ในมุมพัฒนาการเด็กในมุมมองวิชาการ
  • คุณครูต้อย-สุวรรณา ชีวพฤกษ์ ผู้บริหารจากโรงเรียนรุ่งอรุณ ในมุมบทบาทและความสำคัญของคุณครูเด็กปฐมวัย
  • ผศ.ดร.พิชญ์วดี กิตติปัญญางาม เจ้าของห้องเรียนสไตล์ฟินแลนด์สาขาเมืองไทย และ เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ นักจิตวิทยาพัฒนาการ ในมุมนวัตกรรมการเล่น

Learning Through Play: ไม่ใช่แค่การเล่นแต่คือ ‘การเข้าใจโลก’

เริ่มต้นเวทีด้วยเจ้าของแบรนด์ของเล่นอย่างวิฑูรย์ ที่ย้ำว่าตัวเองเป็นนักออกแบบและเป็นนักธุรกิจเต็มตัว และทำธุรกิจโดยคิดถึงผลกำไรเป็นหลัก แต่มากกว่านั้น เขามีนโยบายส่วนตัวว่าสินค้าที่ทำต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของพนักงาน

ใช่แล้ว… CEO ผู้นี้กล่าวบนเวทีอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมต้องขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงสุขภาพของเด็กๆ เป็นอันดับแรก แต่คิดถึงสุขภาพของพนักงานของผมก่อน เพราะถ้าระหว่างทำ พนักงานได้รับผลกระทบทางสุขภาพ แล้วสินค้าจะดีต่อสุขภาพของเด็กๆ ได้อย่างไร”

วิฑูรย์ไม่ได้ขึ้นมาบนเวทีในแง่การโปรโมทธุรกิจ แต่กำลังพูดกับผู้ฟัง – ซึ่งกว่าครึ่งคือนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ และจิตวิทยา ว่า ‘คอนเซ็ปต์การเล่น’ มีส่วนพัฒนาไม่เฉพาะพัฒนาการ แต่หมายถึงจินตนาการ การรับรู้และเข้าใจโลก และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนได้อย่างไร การออกแบบผลิตภัณฑ์และพื้นที่การเรียนรู้ที่ตั้งใจทำมาตลอดหลายปี เป็นไปเพื่อรับใช้ความคิดแห่ง ‘สังคมที่เติบโตจากการได้เล่น’  

ตัวอย่างที่วิฑูรย์ทำเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ของเด็ก (มากไปกว่าการทำผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาการและสิ่งแวดล้อม) เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ของเล่นที่จังหวัดตรัง แน่นอนว่าสร้างขึ้นเพื่อให้เด็กๆ เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ แต่มากกว่านั้น เขาต้องการทำให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าเวลาที่เด็กๆ ได้เล่นสำคัญอย่างไร ความสุขของพวกเขาหน้าตาประมาณไหน และการเล่นในพื้นที่กลาง (public space) ที่ต้องมีกติการ่วม เช่น เล่นแล้วต้องเก็บเข้าที่ เล่นแล้วห้ามนำกลับบ้าน นั้นช่วยสร้างทักษะและการเรียนรู้ให้พวกเขาได้อย่างไร

ล่าสุดกับ นิทรรศการเล่นได้ – Forest of Play นิทรรศการแบบมีส่วนร่วม (Hands-On Exhibition) โดยสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ ร่วมกับ PlanToys จัดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เข้ามาเล่นของเล่นและให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าของเล่นแต่ละชิ้นสร้างการเรียนรู้ด้านไหนและอย่างไร

Learning Through Play: คำถามคือ เรานิยามการเล่นว่าคืออะไร?

เริ่มต้นเวทีใหม่ด้วยคำถามที่ว่า แม้เข้าใจแล้วว่าการเล่นนั้นสำคัญทั้งในทางพัฒนาการและสร้างประสบการณ์ แต่พ่อแม่ยุคใหม่จำนวนมากยังติดใจกับคำว่า ‘เล่น’ – เล่นคือการทิ้งเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นประโยชน์ เล่นคือทักษะที่พ่อแม่ลืมไปแล้วและไม่รู้จะเริ่มกับลูกอย่างไรด้วยซ้ำ

“สิ่งแรกที่ต้องทำ อาจเป็นการกำหนดนิยามคำว่า ‘เล่น’ ก่อน” ดร.วรวรรณ แห่งคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ชวนตั้งต้น และเล่าให้ฟังว่า คำว่า Learning Through Play นั้นมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 หมายความว่าในวงการศึกษาให้ความสำคัญกับการเล่นมาแล้วตั้งแต่ช่วงเวลานั้น

ดร.วรวรรณย้ำว่า ปรัชญาของการเล่นคือ ไม่มีใครมานั่งสั่งสอนระหว่างการเล่น กระนั้น เด็กกลับเรียนรู้ได้หลากหลายผ่านสิ่งที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ด้วย สิ่งของจะสอนเขา ของเล่นจะสอนเขา พื้นที่แห่งนั้นจะสอนเขา

“สำคัญที่สุด คนที่เขาได้เล่นด้วย …จะสอนเขา แต่เป็นการสอนที่ไม่มี ‘คำสั่งสอน’ เลย”

ต่อมาในประเด็น “รู้ว่าการเล่นสำคัญก็จริง แต่ในผู้ใหญ่ที่ลืมทักษะการเล่น ลืมจินตนาการและการไร้ขอบเขตแห่งการเล่นไปหมดแล้ว จะเริ่มอย่างไรดี?” ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มว่า

“นี่เป็นการดีเลย การเล่นอยู่ในตัวเราทุกคนไม่เฉพาะกับเด็ก เพียงแต่เราอาจลืมไปเพราะอยู่แต่ในโลกการทำงานของตัวเอง อย่างนี้นะคะ ง่ายๆ แค่ลองเดินเข้าร้านของเล่นและลองหยิบเล่นด้วยตัวเอง ปล่อยความเครียดของตัวเองออกมาแล้วกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

“หรือให้ง่ายกว่านั้น เราถามผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นอย่างเด็กที่อยู่ตรงหน้าเราได้นะคะ เข้าไปเลย แค่เริ่มถามว่า ‘นี่ตัวอะไรเหรอ?’ ‘เล่นยังไง’ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนะคะ แต่คือความใส่ใจและปฏิสัมพันธ์”

อันที่จริงยังมีคำถามอีก 3 คำถามที่อยู่บนเวที แต่ด้วยเงื่อนเวลาทำให้อาจารย์ทั้งสองท่านต้องตอบคำถามเร็วๆ ในที่นี้ผู้เขียนจึงขอสรุปหัวข้อคำถามและคำตอบ ดังนี้

Q: EF เกิดไม่ได้ด้วยตัวเองแต่ต้องฝึกฝน?

A: อาจารย์ทั้งสองท่านช่วยกันขยายความก่อนว่า EF หรือ Executive Function เป็นระบบปฏิบัติการทางสมองที่ช่วยเรื่องการคิดเป็นเหตุผล ตัดสินใจ และควบคุมตัวเอง แบ่งการทำงานเป็น 3 หมวดพื้นฐานใหญ่คือ ความจำพร้อมใช้งาน, ความคิดยืดหยุ่น และ การหยุด

แต่ก่อนเด็กๆ อาจมี EF ได้เองโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องโฟกัสหรือสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้าง EF มาก แต่ในปัจจุบันที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยี – ซึ่งในปัจจุบันเป็นของเล่นหลักของเด็กๆ ทำให้ทุกอย่างรวดเร็วไปหมด เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องรอ พูดง่ายๆ ว่าสิ่งแวดล้อมที่ฝึกให้เด็กได้คิด อดทน และวางแผนจัดการตัวเองโดยธรรมชาติที่ฝังในชีวิตประจำวันนั้น ค่อยๆ เลือนหายไปตามการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตมนุษย์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กๆ จะต้องถูกฝึกเพื่อสร้างทักษะพื้นฐาน EF ทั้งสามอย่างข้างต้น (อ่านเรื่อง EF โดยนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ได้ที่นี่)

Q: ลูกเราไม่เก่งเท่าลูกเพื่อน

A: อาจารย์ทั้งสองท่านตั้งคำถามฮุกกลางใจว่า “นิยามความเก่งคืออะไร?” ปัญหาสมัยนี้คือ ทุกคนมักพุ่งเป้านิยามความเก่งไปที่ ความฉลาดทางวิชาการ หรือกิจกรรมอะไรก็ตามที่ลูกเพื่อนเก่ง แต่สิ่งที่ต้องไฮไลท์คือ ทุกคนมีความเก่งแต่ละด้านแตกต่างกันไป

ความแตกต่างที่ว่านั้นมาจากสองส่วนคือ เรื่องโครงสร้างสมองและพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบไปด้วย สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ที่เด็กๆ ได้รับ และการอบรมเลี้ยงดู

ทั้งคู่ย้ำว่า ทั้งหมดต้องกลับไปถามผู้เลี้ยงดูว่าได้มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าเหล่านี้ให้เด็กๆ หรือยัง แน่นอนว่าหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีเหล่านั้นคือการเล่น ความใส่ใจ และปฏิสัมพันธ์

ที่ทั้งคู่เน้นย้ำก่อนจบหัวข้อคำถามนี้คือ ไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่กำหนดว่าคุณค่าความเก่งของเด็กคืออะไร แต่รวมถึงครูและสังคมที่มีอิทธิพล (กดดัน) เด็กด้วย ยกตัวอย่าง คำว่า ‘เก่ง’ ในฟินแลนด์ คงไม่เหมือนกับ ‘เก่ง’ ในไทยแน่นอน และนั่นคือสิ่งที่ต้องตั้งคำถามต่อว่า อะไรทำให้ความเก่งของแต่ละสังคม มีความหมายไม่เหมือนกัน?

Q: ลูกต้องมีทักษะในศตวรรษที่ 21 หรือไม่? (ภายใต้พ่อแม่ที่ถูกเลี้ยงให้มีทักษะศตวรรษที่ 20)

A: อธิบายก่อนว่าทักษะในศตวรรษที่ 21 ประกอบไปด้วย 3 หมวดคือ ทักษะการเรียนรู้ ทักษะสารสนเทศ และทักษะชีวิต ทั้งคู่ตอบว่าในมุมนักวิชาการ ทักษะศตวรรษที่ 21 สำคัญและจะยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว แรง ขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีแต่เป็นองค์ความรู้ที่เปลี่ยนเร็วด้วย เด็กรุ่นใหม่จึงต้องเป็นนักคิดริเริ่ม ตั้งคำถาม และทักษะคาแรคเตอร์อื่นๆ ที่จะ ‘อยู่รอดในสังคมและมีความสุขด้วย’

ก่อนจบการพูดคุยในส่วนนี้ ดร.จิรภัทร กล่าวในฐานะนักจิตวิทยาที่ทำงานกับเด็กๆ ว่า

ตลอดเวลาที่ทำงานกับเด็ก ทุกครั้งที่ขุดลึกลงไปถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กมีปัญหาในจิตใจ สุดท้ายก็คือปัญหาครอบครัวทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นการเพิกเฉยจากพ่อแม่หรือความกดดันของพ่อแม่ที่มีต่อลูกมากเกินไป ต่างเป็นปัญหาในสังคมตลอดมา และมันอาจฝังใจติดตัวเด็กๆ ไปตลอดชีวิต

Learning Through Play: ความสำคัญของคุณครูเด็กปฐมวัย

พูดถึงความสำคัญของการเล่นในฐานะ ‘การออกแบบประสบการณ์’ ติดๆ กันไปแล้วสองเวที เวทีที่สามเป็นของ คุณครูต้อย ผู้บริหารจากโรงเรียนรุ่งอรุณ พูดถึงบทบาทของครูปฐมวัย ในฐานะ ‘ดีไซเนอร์’ ออกแบบการเรียนรู้ของนักเรียน แต่เจาะในมุมว่า เมื่อต้องฝึกครูใหม่โดยเฉพาะนักศึกษาฝึกงานในทุกๆ เทอม โรงเรียนรุ่งอรุณมีวิธีทำงานอย่างไร

ก่อนจะเล่าวิธีฝึกครูปฐมวัย ครูต้อยเล่าก่อนว่า เบื้องหลังการเรียนรู้ของเด็กๆ แต่ละเทอมจะเรียนรู้ผ่าน ‘ธีม’ ไม่ใช่สอนผ่านวิชาในหนังสือแต่ใช้ประเด็นทางสังคมนำทาง เช่น ในเทอมนี้เป็นธีม ‘ประเด็นสิ่งแวดล้อมโลก’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน น้ำ อากาศ กลุ่มคุณครูก็จะนำธงมาออกแบบการสอนและวางเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ทุกๆ ธีม เด็กจะต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและให้บทเรียนนั้นแฝงฝังในชีวิตประจำวันของนักเรียน

เช่น นักเรียนทุกช่วงชั้นจะต้องทำอาหารเอง เมื่อต้องทำเองหมายถึงการตระเตรียมวัตถุดิบด้วยตัวเอง ทุกเช้าเด็กๆ จะต้องออกไปจ่ายตลาดกับครู (โรงเรียนจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นตลาด ของในตลาดจำนวนหนึ่งก็เป็นสิ่งที่เด็กๆ เพาะปลูกเอง) หากวัตถุดิบมีไม่ครบอย่างที่ตั้งใจไว้ จังหวะนี้เด็กๆ จะต้องปรับเปลี่ยนเมนูมื้อกลางวันร่วมกันกับครู (จุดนี้เด็กๆ ฝึกความคิดยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนแผนการ) การออกไปจ่ายตลาดเองเท่ากับเด็กๆ จะรู้จักวัตถุดิบ รู้จักหน้าตาของผักผลไม้ที่มีความหลากหลายและผันเปลี่ยนตามฤดูกาล ถ้าเด็กในระดับที่โตขึ้นไปหน่อยอย่างระดับประถม เด็กๆ จะได้เป็นคนคุมงบประมาณจัดซื้อเองด้วย

นี่เป็นแค่ตัวอย่างการออกแบบการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่เด็ก แต่ครูใหม่จะถูกฝึกผ่านการดูแลเด็กๆ ด้วยชุดประสบการณ์เดียวกัน อย่างที่ครูต้อยบอกว่า ความเข้าใจเรื่องพัฒนาการเด็ก ปรัชญาการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเด็ก และการดูแลห้องเรียนในวิธีอื่น อะไรที่เด็กได้ผ่านการเรียนรู้ คุณครูเข้าใหม่ก็ได้รับเหมือนกัน

มากกว่านี้คือ ทุกครั้งที่มีการออกแบบการเรียนรู้ (ในฐานะดีไซเนอร์) คุณครูทุกคนไม่ว่าเก่าหรือใหม่จะถูกตั้งคำถามว่า วิชานี้มีคุณค่าอะไรต่อนักเรียนและมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขารึเปล่า ที่ถามไม่ใช่แค่อยากรู้ว่านักเรียนจะได้อะไร แต่คือ… ครูเข้าใจหรือยังว่ามันสำคัญอย่างไรกับผู้เรียน

และนี่คือหนึ่งในปรัชญาการเรียนรู้ ที่ต้องเกิดขึ้นในตัวครูผู้สอนก่อน ความเข้าใจที่ชัดเจนต่อตัวเองว่า จะมอบประสบการณ์แบบไหนให้ผู้เรียน และมันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ใครอีกคนอย่างไร

 Learning Through Play: นวัตกรรมแห่งการเล่น

ในช่วงสุดท้าย ผศ.ดร.พิชญ์วดี เจ้าของห้องเรียนสไตล์ฟินแลนด์สาขาเมืองไทย และ เบญจรัตน์ นักจิตวิทยาพัฒนาการ ขึ้นมาจับไมค์ขมวดประเด็นนวัตกรรมการเล่นจากทั่วโลก โดยเฉพาะวิธีคิดจากห้องเรียนฟินแลนด์ที่ได้รับการยอมรับว่าไม่ใช่แค่เด็กๆ มีทักษะชีวิตและการเรียนติดอันดับโลก แต่ติดอันดับเด็กๆ ที่มีความสุขที่สุดในโลกด้วย

เวทีนี้ฉายภาพนวัตกรรมการเล่นทั่วโลก อาทิ  forest kindergarten หรือ โรงเรียนปฐมวัยที่เข้าไปเรียนในป่า ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ผศ.ดร.พิชญ์วดี ก็เพิ่งจัดค่ายนำเด็กๆ จากประเทศไทยไปร่วมแคมป์ในป่าที่ฟินแลนด์มาเช่นกัน Sure Start Program: คู่มือการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้สัมพันธ์กับพัฒนาการเด็ก และนวัตกรรมอื่นๆ

ในฐานะผู้ที่ศึกษาและใกล้ชิดกับห้องเรียนฟินแลนด์ ผศ.ดร.พิชญ์วดี อธิบายว่า สิ่งที่ทำให้ฟินแลนด์สร้างการเรียนรู้ให้คนในประเทศไม่ใช่ความคิดว่าจะใส่ความรู้ (input) อะไรให้เด็ก เพราะอ่านเกมขาดตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วว่าโลกสมัยใหม่ความรู้จะมีอายุสั้นลง (ถูก disrupted) สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้เด็ก ‘รู้ว่าจะเรียนรู้อะไร’ (learn how to learn)

อีกประการหนึ่ง นวัตกรรมหนึ่งที่ฟินแลนด์ใช้คือ STEAM (ประเทศไทยใช้ STEM) ประกอบไปด้วย Science, Technology, Engineering, Art และ Mathematics ด้วยวิธีคิดว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดจะเกิดเมื่อสมองสองข้างทำงานพร้อมกัน (แต่ถ้าเรียนวิชาการเครียดๆ อย่างเดียว เช่น STEM สมองจะทำงานข้างเดียว)

แน่นอนว่าฟินแลนด์ไม่ได้ใช้แค่ STEAM และการเรียนรู้นอกห้องเรียน ยังมีกลไกทางสังคมอีกมากที่ทำให้แม้แต่เด็ก 5 ขวบ ก็สร้างนวัตกรรมของตัวเองและทำให้มันเป็นจริงได้ เช่น ไม่มีการสอบวัดประเมิน ให้คุณค่ากับความสุข มากกว่านั้น ยังมีกฎหมายใหม่ๆ มาช่วยสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ เยอะมาก เช่น หากวันนี้มีเด็ก 5 ขวบเขียนแปลนออกแบบท่าเรือ รัฐบาลสามารถให้เงินซื้อแบบกับเด็กคนนี้และนำไอเดียมาออกแบบท่าเรือได้

ขณะที่เบญจรัตน์ กล่าวก่อนจบว่า สิ่งที่ทำให้นวัตกรรมเล่นๆ กลายเป็นจริงได้ หรือพัฒนาการเรียนรู้ได้ สิ่งที่สำคัญคือ ‘ความรู้ของพ่อแม่’ และทัศนคติว่าการเรียนรู้ที่จริงควรเป็นอย่างไร นิยามการเรียนรู้ของเราเป็นอย่างไร และมันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากเรายังตีความ ‘ความเก่ง’ ในความหมายแคบแค่เรื่องวิชาการอย่างเดียว

Tags:

STEM21st Century skillsEFอีเวนต์CUD4Sการเล่น

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Education trend
    ‘ความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่น’ มีอยู่จริง และการที่เด็กไม่ได้เล่นคือปัญหาสังคม

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood21st Century skills
    โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น
Space
25 September 2019

มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • มายาฤทธิ์ อาจจะเป็นโรงละครสำหรับเด็กแห่งเดียวในประเทศไทย
  • การมีและอยู่ของโรงละครมายาฤทธิ์ ย้ำถึงความสำคัญของ space สำหรับเด็ก และยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานของว่าเด็กในการเข้าสู่นันทนาการสร้างสรรค์ ซึ่งสังคมแทบมองไม่เห็น
  • ทำไมต้องมีโรงละคร? เพราะละครสร้างทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 คือ เมื่อเด็กได้ดู ฟัง รู้สึก เด็กจะคิด เข้าใจ นำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจหรือ Empathy

“ทำวันนี้ให้เต็มที่…เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า”

ประโยคเนื้อเพลงจากละครเวทีเรื่อง ‘เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า’ ละครเวทีสำหรับเด็กและครอบครัวแห่งเดียวในประเทศไทย ที่หยิบยกนิทานอีสปจำนวน 9 เรื่อง มาตีความถักทอเนื้อหาใหม่ให้เหมาะแก่ศตวรรษที่ 21 และไม่ลืมชวนเด็กๆ ในฐานะผู้ชมหลักให้ตกตะกอนความคิดผ่านการแก้ปัญหาในสถานการณ์ตามนิทานแต่ละเรื่อง

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้พบสื่อการเรียนรู้ในลักษณะ ‘ละครเวที’ และโรงละครมายาฤทธิ์เป็นหนึ่งในส่วนน้อยนั้น

จุดกำเนิดของโรงละครมายาฤทธิ์อยู่บนพื้นที่แนวคิดการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์และช่วยกระตุ้นจินตนาการให้กับผู้ชมที่เป็นเด็กผ่านบทละครที่สร้างสรรค์ เหมาะสมตามวัยตามพัฒนาการ รวมถึงสนับสนุนให้เด็กๆ ได้ลุกขึ้นขยับร่างกาย โห่ร้อง ปรบมือ เปล่งเสียงตะโกนตอบโต้กับนักแสดงบนเวทีได้อย่างเป็นอิสระและเป็นสุขมากกว่าบังคับให้นั่งดูนิ่งๆ

The Potential ชวนถอดรหัสผ่านคำสัมภาษณ์ของ สมศักดิ์ กัณหา ผู้จัดการโรงละครมายาฤทธิ์ ถึงกระบวนการสร้างละครเวทีสำหรับเด็กโดยเฉพาะ รวมถึงไอเดีย วิธีคิด และความเชื่อที่มีต่อการเรียนรู้และพลังของนิทาน เพียงช่วงเวลาเกือบสองชั่วโมงก่อนเสียงเจื้อยแจ้วหรรษาของเด็กๆ และผู้แสดงจะลาไป ละครเวทีเรื่องนี้ได้ส่งต่อความคิดอะไรให้พวกเขา รวมถึงพ่อแม่ที่มานั่งชมไว้บ้าง

สมศักดิ์ กัณหา

จุดเริ่มต้นของโรงละครมายาฤทธิ์มีที่มาที่ไปอย่างไร

โรงละครมายาฤทธิ์ก่อตั้งเมื่อปี 2558 ประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันศิลปวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา (มายา) ที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน เราทำละครเล่นตามโรงเรียน ชุมชน หรือหอศิลป์ต่างๆ ด้วยความคิดที่ว่าการพัฒนาเรื่องการศึกษา จำเป็นต้องมี ‘นิเวศสื่อ’ นิเวศสื่อ หมายถึงการสร้างความสมดุลในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ใช้สื่อและผู้สร้างสื่อกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ซึ่งมีผลช่วยสร้างคุณภาพของชุมชน

เริ่มแรกที่ก่อตั้งเราวางวัตถุประสงค์ไว้ว่า อย่างน้อยเป็นสิ่งที่เรียกว่าพัฒนาผู้เสพสื่อดี คือ audience development สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กข้อ 31 ที่ระบุว่า รัฐภาคียอมรับสิทธิของเด็กที่จะมีการพักและเวลาพักผ่อน การเข้าร่วมกิจกรรมการละเล่นทางสันทนาการที่เหมาะสมตามวัยของเด็กและการมีส่วนร่วมอย่างเสรีในทางวัฒนธรรมและศิลปะ และ รัฐภาคีจะเคารพและส่งเสริมสิทธิของเด็ก ที่จะเข้ามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในทางวัฒนธรรมและศิลปะสนับสนุนการใช้โอกาสที่เหมาะสมเท่าเทียมกันสำหรับกิจกรรมทางวัฒนธรรมศิลปะ สันทนาการ และการพักผ่อนหย่อนใจ

ดังนั้นโจทย์คือ จะทำอย่างไรให้เด็กจะมีสื่อนันทนาการที่สร้างสรรค์ เด็กเข้าถึงสื่อและมีส่วนร่วม มันจึงต้องมีสเปซที่เด็กๆ เข้าถึงหรือเปล่า นั่นก็เลยเป็นที่มาของการจัดตั้งโรงละครมายาฯ ซึ่งมันมันเป็นโมเดล ที่นำไปพัฒนาในทุกจังหวัดได้ จะมีประโยชน์กับการพัฒนาเด็กมาก

ถ้ารัฐใช้วัฒนธรรมหรือศิลปะนำพาการพัฒนาสังคมหรือส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มันต้องมี theatre มี space สำหรับเด็ก โรงละครมายาฤทธิ์เป็ญสัญลักษณ์ว่าเด็กมีสิทธิเข้าสู่นันทนาการสร้างสรรค์ ซึ่งเดิมสังคมมันมองไม่เห็น

แสดงว่าตั้งแต่ปี 2558 ที่โรงละครมายาฤทธิ์ เริ่มทำงาน ตั้งธงไว้กับ ‘เด็ก’ ตั้งแต่แรกเลยใช่ไหม

ตัวสถาบันศิลปะและการพัฒนาฯ เริ่มจัดตั้งตั้งแต่ปี 2524 มีเป้าหมายเรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชน เราคิดว่าละครเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ theatre หรือโรงละครนี่ล่ะจะช่วยได้ โดยเริ่มจากการมีละครไปเล่นตามชุมชนแออัดห่างไกลและในโรงเรียน หลังจากนั้นก็พัฒนาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กไปเรื่อย เช่น มี workshop กับกลุ่มเยาวชน ครู ครอบครัว ก็มีเครื่อข่ายร่วมกันเป็นพันๆ ครั้ง ใน 30 กว่าปี เกิดเป็นเครือข่ายด้านการพัฒนาเด็กขึ้น

ทำไมเชื่อในศาสตร์ของ theatre คิดว่าละครเป็นเครื่องมือที่ดีในการสื่อสารได้อย่างไร

เวลาเราพูดถึงละคร มันเป็นการเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองต่างๆ เพราะฉะนั้นอันดับแรก ละครมันทำให้คนได้คิด พอเขาคิดเขาก็จะสามารถวิเคราะห์ ประเมินคุณค่าแล้วก็หาทางเลือกกับการแก้ปัญหาต่างๆ อันดับที่สอง ละครจะทำให้เราเข้าใจคนอื่น เพราะละครเป็นการมองเรื่องราวผ่านมุมมองอื่น เห็นมุมมองของตัวละครแต่ละตัว

การเข้าใจคนอื่นมันสำคัญมาก โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่มีวาทกรรมที่ทำให้คนเกลียดกันมากโดยที่ไม่จำเป็นเลย ยังไม่เห็นหน้ากันเลย ได้ยินก็เกลียดกันแล้ว การที่เราเข้าใจคนอื่นมันจำเป็นมากในสมัยใหม่

อันดับที่สามที่ผมว่าสำคัญ ละครมันสร้างสิ่งที่เรียกว่า empathy หรือการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะของโลกศตวรรษที่ 21 คุณธรรมเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นในใจของเราได้อย่างไร ความเมตตา ความเสียสละ ความตระหนัก หรือความห่วงใยมันจะมาได้อย่างไร – ละครทำได้ เพราะฟังก์ชั่นของละครคือการมอบข่าวสารแล้วก็ให้อารมณ์ ความรู้สึก มันก็เลยก่อให้เกิดทัศนคติ สร้าง empathy ของเด็กได้ โดยธรรมชาติของละครมันเป็นอย่างนี้แล้ว

แล้วละครเรื่อง ‘เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า’ ต้องการจะสื่อสารอะไร

‘เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า’ เป็นการรวบรวมละครอีสปทั้ง 9 เรื่องไว้ คือ 1.อึ่งอ่างกับวัว 2.ลูกปูกับแม่ปู 3.ชาวสวนกับลูก 4.เด็กกับฝูงกบ 5.ลมเหนือกับดวงอาทิตย์ 6.ภูเขาคลอดลูก 7.ค้างคาวกับเพียงพอน 8.เมื่อทหารแตรถูกจับเป็นเชลย และ 9.ลูกแกะในฝูงแพะ โดยมีเป้าหมายร่วมกันประมาณ 3 เรื่องใหญ่ๆ

อย่างแรกคือเราต้องการเสริม self-esteem ที่ดีกับเด็ก ตระหนักรู้ในคุณค่าแห่งตน เห็นได้จากเวลานักแสดงช่วยวอร์มอัพเด็ก ทำให้เด็กๆ เปลี่ยนบทบาทจากผู้ชมที่ต้องนั่งเฉยๆ มาเป็นฝ่ายกระทำการ สามารถสั่งให้เวทีเปิดปิดไฟได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันยิ่งใหญ่ในใจเด็ก เขาจะรู้สึกมีส่วนร่วมกับการแสดง มีสิทธิโต้ตอบตลอดเวลา เราสื่อสารกับเด็กโดยตรงกับเขาในฐานะเป็นมนุษย์ ให้เขาได้คิดตัดสินใจเอง เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี self-esteem เราเห็นได้จากอากัปกริยาต่างๆ ที่เด็กแสดงออกมา

เป้าหมายอย่างที่สอง คือ self-empowerment หมายความว่า เราเสริมพลังอำนาจให้เด็กสามารถเผชิญกับโลกจริง เรา empower หมดเลย เช่น นิทานเรื่องกบเลือกนาย คติเดิมของนิทานเรื่องนี้บอกว่าไม่ควรเปลี่ยนเจ้านายบ่อยๆ เพราะไม่ดี แต่เราไม่เสนอแบบนั้น เราพยายามตีความใหม่ ให้ self-empowerment เสนอมุมมองใหม่ว่าเราก็สามารถปกครองเราด้วยตัวเราเองได้ ทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวเรา เราตัดสิน เราแก้ปัญหาได้

ประเด็นที่สาม คือ การใช้ละครเป็นเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ระหว่างทำการแสดง จะเห็นได้ว่าเราพยายามเปิดพื้นที่ วิธีคิด กระสวนภาษาใหม่ เช่น ประโยคที่ว่า ‘พรุ่งนี้จะดีกว่าถ้าเราใช้ภาษาให้ถูกต้อง’ ‘พรุ่งนี้จะดีกว่าถ้าเราเห็นอกเห็นใจคนอื่น’ มองว่านี่จะกลายเป็นเครื่องมือการเรียนรู้-เครื่องมือในการใช้ชีวิตของเด็กเลย

มองภาพรวมไปแล้ว อยากชวนถอดรหัสนิทานในละครสักเรื่องหนึ่ง ว่ามันเกี่ยวกับอะไร แล้วเด็กจะได้อะไรจากนิทานอีสปเรื่องนั้น

นิทานเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร ทุกตัวละคร ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกรู้สมไปกับเรื่อง ได้คิด ได้จินตนาการ เช่น นิทานเรื่องลมเหนือกับพระอาทิตย์ พูดถึงสังคมที่ใช้ความรุนแรง เวลาเราจัดการสื่อสารกับเด็ก ไม่ว่าจะพ่อแม่ครู เราต้องใช้ความละมุนละม่อม เด็กก็จะอ่อนโยน เมื่อเขาอยู่ในภาวะไร้ความกดดัน เขาก็จะยอมรับฟังสิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร

ทำไมถึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ทักษะในศตวรรษที่ 21

ต่อไปนี้จะเป็นโลกของเขานะครับ ผมมีความเชื่อกับคนรุ่นใหม่ โลกไม่ใช่ของเราอีกต่อไปแล้ว ถ้าเราไม่เชื่อเขา มันจะเดินต่อยังไง สิ่งที่ทำได้คือเตรียมพร้อมให้ได้มากที่สุด เราต้องเชื่อมั่นในเด็ก เขาเป็นคนที่จะต้องอยู่ดูแลโลกใบนี้ ถ้าสมมุติคนรุ่นเราไม่เตรียมทักษะที่จำเป็นสำหรับเขาเลย แล้วสังคมจะอยู่ได้ยังไง

ในประเทศที่เจริญแล้วการพาเด็กไปดูละคร เป็นเรื่องปกติมาก มันเป็นวัฒนธรรม เป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่าเมื่อเด็กดูละคร เขาจะดู ฟัง รู้สึก คิด แล้วก็ใฝ่ฝัน เชื่อมชีวิตกับละคร

ภาพรวมของนานาชาติเขาให้ความสำคัญกับการดูละครมาก มีรวมตัวกันรณรงค์ให้พาเด็กไปดูละคร เช่น ออสเตรเลีย แต่ละมลรัฐ จำเป็นต้องมีโรงละครประจำรัฐ ซึ่งรัฐบาลต้องสนับสนุน มีละครไปเล่นให้เด็กดูที่โรงเรียน ขณะเดียวกันก็มีนโยบายพาเด็กไปดูละคร ปีละ 2-3 เรื่องด้วย เพราะว่าประเทศเหล่านี้เขาเห็นถึงความสำคัญของการใช้ศิลปะในการพัฒนาสังคม-พัฒนาประเทศ

ในความเห็นส่วนตัว สถานการณ์หรือการรับรู้ถึงการมีโรงละครในเมืองไทย รวมถึงวัฒนธรรมการดูละครเวทีของคนไทยเป็นอย่างไรบ้าง

สมัยก่อนวัฒนธรรมการดูละครของเราผูกติดกับราชสำนัก เป็นระบบอุปถัมภ์ โดยผู้มีฐานะจะมีคณะละครของตัวเอง และใช้เล่นเป็นนันทนาการเฉพาะกลุ่ม แต่ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนแปลง รัฐทำหน้าที่นี้แทน รัฐเองกลายเป็นผู้ส่งเสริมศิลปะประเพณีมากกว่าศิลปะร่วมสมัย โดยเฉพาะละครเวทียิ่งน้อย ไม่ต้องพูดถึงละครเวทีสำหรับเด็ก ไม่มีเลย ยิ่งในเขตต่างจังหวัดยิ่งขาดแคลน

สำหรับโรงละครในประเทศไทย ยังมีอะไรที่ต้องพัฒนาอีกไหม

สำหรับเมืองไทยภารกิจสำคัญคือการสร้างคุณภาพประชาชน ส่งเสริมสุนทรียศาสตร์ สร้างผู้เสพสื่อดี ต้องมีหน่วยงานส่งเสริม audience development รัฐบาลและภาคเอกชนร่วมมือส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ ทำอย่างให้มีโรงละครสำหรับเด็กและเยาวชนทุกจังหวัด และเด็กสามารถเข้าถึงได้มากกว่านี้

โรงละครสำหรับเด็กมันเหมือนหรือต่างกันกับโรงละครผู้ใหญ่อย่างไร

จริงๆ ผมว่าก็คงต้องเข้มข้นเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่าการทำงานละครสำหรับเด็กมันอาจจะต้องมองเรื่องสารและนำเสนอให้เด็กด้วย มายาฤทธิ์เลือกเรื่องที่จำเป็นสำหรับเด็กและครอบครัว โจทย์คือเราต้องการเห็นเด็กที่มี self-esteem ที่ดี ตระหนักรู้ในคุณค่าแห่งตน และจะทำอย่างไรที่จะ empower เด็กได้ ทำอย่างไรจะให้เด็กมีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันนี้คือสิ่งที่เราคิดว่าจำเป็นสำหรับละครเด็ก

แล้วในแง่ของการสื่อสารออกมา ตัวนักแสดง แสง เพลง บรรยากาศรวมๆ ละครเด็กน่าจะต่างกับผู้ใหญ่ไหม

ถ้ามองในเรื่องเทคนิค ย้อนกลับไปสมัยก่อนเวลานั่งดูละครรามเกียรติ์ เราจะดูกับพ่อแม่เพราะมันเป็นสื่อที่เป็นองค์รวมดูได้ทั้งครอบครัว ผู้ปกครองที่มาชมละครบอกเราว่าพาลูกๆ มาเสพงานศิลปะ เหมือนเวลาเราไปดูงานศิลปะที่หอศิลป์ อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่มันสร้างรสนิยมสุนทรียศาสตร์

โดยละครที่เหมาะกับการเรียนรู้สำหรับเด็ก เราอาจจะต้องใช้วิธีแบ่งออกเป็นตอนย่อยๆ เพื่อให้เด็กเริ่มแล้วก็จบในตอน จากนั้นก็เริ่มใหม่ คำนึงให้เข้ากับระยะความสนใจของเด็กด้วย

เราต้องเข้าใจว่าระยะเวลาที่เด็กเขาจะจดจ่อ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สามารถต่อได้ ขยายได้โดยใช้เทคนิคการนำเสนอเป็นตอนย่อย โรงละครมายาฤทธิ์เราจะท้าทายเด็กด้วยภาษาที่ยาก ในเรื่องมีการใช้ภาษาที่ซับซ้อน เช่น ภูเขา เราใช้คำว่าบรรพต คิรี สิงขร พอเด็กได้ยินปุ๊บ เขาก็จะหันกลับมาถามความหมายกับพ่อแม่ กลายเป็นว่าลูกได้คลังคำใหม่ๆ ได้ภาษาใหม่ๆ

ข้อที่สำคัญอีกอย่าง การดูละครเวลาช่วยฝึกสมาธิให้ลูกๆ การมานั่งอยู่ในโรงละคร 1-2 ชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็ก ละครของเราเด็กตั้งแต่ 2 ขวบ สามารถเข้าดูได้ จะทำอย่างไรให้เด็กไม่งอแง เราก็ต้องมาทำการบ้านเชิงเทคนิคกันต่อ

นักแสดงทั้งหมดคือใคร

เป็นอาสาสมัครหมดเลย ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ จากหลายๆ คณะ มีศิลปศาสตร์ เอกอังกฤษ เอกไทย จิตวิทยา สังคมสงเคราะห์ วารสารฯ นักแสดงทั้งหมดต่างมีความสนใจเรื่องเด็กและการพัฒนาเด็ก แต่ไม่ได้มีทักษะละครติดตัวกันมา ก็มาหัดใหม่ มา workshop ทำงานกันอย่างหนัก อย่างละครเรื่องนี้ใช้เวลาฝึกซ้อมร่วมสองเดือน

ถ้าพูดถึงการทำงาน วิธีการหยิบแต่ละ theme ขึ้นมาเป็นละคร มีวิธีคิดและเลือกอย่างไร

เรามีธงใหญ่ที่จะพาเด็กไปให้ถึง นอกจากความสนุก เราต้องติดตั้งเครื่องมือการเรียนรู้ให้เขา ขั้นตอนทำงานเราก็มานั่งคิดว่าอะไรคือสิ่งที่เด็กควรจะได้ ‘พรุ่งนี้จะดีกว่าถ้าอะไรบ้าง…’ ใช้วิธีระดมความคิดกันในทีมงาน

เริ่มจากผู้กำกับก่อนว่าเขาเห็นภาพอะไร มีไอเดียอะไร จากนั้นก็พัฒนาบท บทเป็นจุดเริ่มของการสร้างสรรค์ การผลิตเริ่มจากการอ่านบทพร้อมกัน frist reading จากนั้นก็ improvise ระหว่างซ้อมนักดนตรีเข้ามา ทำเพลง มีนักดนตรีมาทำเพลง นักแสดงมาอิมโพรไวซ์ ฝ่ายเสื้อผ้า หน้า ผม เวที ฉาก แสง เทคนิคพิเศษ อุปกรณ์ประกอบฉาก

เทคนิคที่ละครใช้เป็น object theatre เพื่อกระตุ้นจินตนาการเด็ก รวมถึงการแฝงนัยยะ เช่น เรื่อง ลูกปูกับแม่ปู ที่จะเสนอว่าตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน โดยแฝงเรื่องการใช้ภาษาของแม่ปูที่ไม่ถูกต้อง แล้วให้ลูกปูกับแม่ปูพูดคุยกันเรื่องภาษา ปิดท้ายด้วยการพาท่องเพลง 20 ไม้ม้วน ซึ่งเด็กๆ ที่มาดูก็จะได้ความรู้เรื่องภาษาติดตัวไป มีคุณแม่หลายคนที่ลูกอยู่โรงเรียนนานาชาติ เขาบอกว่า ชอบมาก ทำให้ลูกเขาใจภาษาไทยขึ้น เป็นคำสอนที่ดีที่สุด

ในฐานะคนทำละครเพื่อการเรียนรู้ แล้วระหว่างทางได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่กำลังทำอยู่บ้าง

ได้เรียนรู้ว่าละครเป็นภาวะร่วมสร้างสรรค์ เขาเรียกว่าเป็น collective creativeness เพราะฉะนั้นทุกคนมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ เป็นกระบวนทางประชาธิปไตย ที่สำคัญคือสุขใจที่ผู้ชมมีความสุข

การเปิดให้เด็กจินตนาการ เด็กจะโตมามีคาแรคเตอร์แบบไหน

คือสังคมไทยต้องการให้เด็กคิดเหมือนกัน ใครคิดต่างนี่เป็นปัญหา แต่ละครไม่ใช่ เราให้เด็กเขา free to be you and me เติบโตเป็นตัวเขาในแบบที่เขาเป็น ไม่ควรไปจำกัดกรอบให้เขา มนุษย์ไม่เหมืนอนกัน เราแตกต่างกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้เขาค้นพบตนเอง โลกสมัยใหม่เป็นสังคมที่ inclusive ต้องการความหลากหลายเพื่อขับเคลื่อนโลกของเรา

ลึกๆ แล้วมองคำว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นอย่างไร

ครอบครัวมักจะยกภาระการเรียนรู้ทั้งหมดให้กับโรงเรียน แต่จริงๆ แล้วการเรียนรู้มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลาจริงๆ นะ เด็กจะเรียนรู้ได้ทุกที่ที่เขาอยากเรียน เพราะฉะนั้นแหล่งเรียนรู้คู่ขนานตามอัธยาศัย เช่น พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ร้านหนังสือ โรงละคร เป็นพื้นที่ที่มีผลกับเด็กมาก เพราะเป็นที่ที่มีอารมณ์ มีความรู้สึก ก่อให้เกิดทัศนคตินำไปสู่การปรับใช้

เคยดูข่าว โอ้โห เด็กญี่ปุ่นไปพิพิธภัณฑ์บ่อยมาก ซึ่งการไปพิพิธภัณฑ์ของเด็กหมายความว่า เด็กวางแผนจะไปเรียนรู้อะไร ไปยังไง จะห่ออาหารไปยังไง มันเกิด planning มันมีเรื่องระหว่างทางที่เกิดขึ้น ไอเดียการเรียนรู้คู่ขนานสำคัญมาก แต่เรากลับไม่ให้ความสำคัญ

ลองทบทวนดูว่า พิพิธภัณฑ์สำหรับเด็ก หอศิลป์สำหรับเด็ก ร้านหนังสือสำหรับเด็ก โรงละครสำหรับเด็ก ประเทศเรามีพื้นที่ตรงนี้มากน้อยแค่ไหน หากเป็นเช่นนี้คุณภาพของเด็กจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เด็กกำลังเติบโตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งในโลกปัจจุบันความรู้มันอยู่กระจายทั่วทุกที่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว โจทย์ต่อไปคือ จะกระตุ้นให้เด็กสนใจอยากจะรู้ได้ยังไง ซึ่งมันจะต่อยอดให้เกิดการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ตามมา

ตั้งแต่ทำการแสดงมา feedback ของโรงละครมายาฯ เป็นอย่างไรบ้าง

ดีครับ ผู้ปกครองบอกต่อ แชร์กัน เขารู้สึกรู้สม บางคนก็มีความเป็นห่วงโรงละคร จะอยู่ยังไง ไม่มีผู้สนับสนุน แต่ที่สำคัญคือ เด็กๆ ลูกๆ ได้โตมากับละครมายาฤทธิ์

คิดว่าโรงละคร ที่เป็นส่วนหนึ่งของ public space มันจะเติมเต็มหรือช่วยเสริมอะไรให้เด็ก

ละครจะช่วยบ่มเพาะหรือเติมเต็มการเรียนรู้ ทำให้เด็กคิดและรู้สึกรู้สมไปกับสถานการณ์ตรงหน้า เห็นความแตกต่างของมนุษย์ ว่าคนเราไม่เหมือนกัน เห็นอกเห็นใจกัน มี under standing the others เข้าใจคนอื่น ละครทำให้เขาคิด วิเคราะห์ ประเมินคุณค่า แล้วก็แสวงหาทางออกสำหรับเรื่องนั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเป็นทักษะที่จำเป็นมากในศตวรรษที่ 21

Tags:

ศิลปะการแสดงการแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)สมศักดิ์ กัณหา

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    “รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique TeacherCreative learning
    ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ : CREATIVE DRAMA วิชาดีๆ ที่เด็กไทยไม่ได้เรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)
EF (executive function)
24 September 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

สมองของคนเรามีเซลล์ประสาทหนึ่งพันล้านตัว เซลล์เหล่านี้เชื่อมต่อกันด้วยจุดเชื่อมต่อประสาท (synapses) แล้วรวมกลุ่มกันเป็นโหนด (node) ก่อร่างสร้างตัวขึ้นเป็นโครงสร้างที่เรียกว่าโมดูล (module) เซลล์และโหนดทำงานประสานกันทั้งในระดับโมดูลเดียวกัน หรือข้ามโมดูลเป็นโครงสร้างของฮับ (hub)

นี่คือคำบรรยายอย่างง่ายๆ ถึงวิธีที่สมองสร้างตัวเองขึ้นมาเป็นวงจรประสาทจำนวนมากสานกันเป็นร่างแหซึ่งจะทำงานเป็นอิสระต่อกันแต่ก็ประสานกับส่วนอื่นอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างที่อาจจะช่วยให้นึกภาพออกได้ง่ายคือเครื่องบินที่บินไปมาทั่วโลก หรือวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ที่มีเครื่องดนตรีเกือบร้อยชิ้น

เครื่องบินทุกลำบินได้โดยไม่ชนกลางอากาศกับลำอื่นๆ เครื่องดนตรีทุกชิ้นบรรเลงส่วนของตัวแต่รวมเป็นหนึ่ง แม้กระทั่งเมื่อสมองหยุดทำงาน เหมือนเครื่องบินจอดที่ท่า หรือนักดนตรีหยุดเล่น ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นส่วนหนึ่งของโมดูลหรือฮับเสมอ

โครงสร้างแบบโมดูลเริ่มต้นในครรภ์มารดา แต่การเชื่อมต่อของเส้นประสาทและการประสานงานเริ่มขึ้นเมื่อทารกออกมาสู่โลกภายนอก และสร้างขึ้นด้วยความเร็วสูง ทารกเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส (ถูกอุ้มกอดหรือถูกมดในกองขยะรุมกัด) อย่างไร เซลล์ จุดเชื่อมต่อ โหนด โมดูล และฮับเริ่มก่อตัวทางกายภาพตามกันไป

เราจึงมีคำแนะนำเสมอว่าอย่ากังวลหากเด็กจะขอให้อ่านนิทานเรื่องเดิมทุกคืน เพราะช้างเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะไม่เหมือนช้างเมื่อคืนนี้ จะไม่เหมือนช้างคืนนี้และจะไม่เหมือนช้างคืนพรุ่งนี้ ทุกประสาทสัมผัสที่เด็กเล็กได้จะสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ๆ ทุกเวลา กลายเป็นวงจรประสาทใหม่ๆ และฮับใหม่ๆ ในที่สุด

จนกระทั่งเมื่อเป็นเด็กโตอายุประมาณ 9 ขวบที่จุดเชื่อมต่อเหล่านี้จะหนาแน่นอย่างถึงที่สุด แล้วสมองเข้าสู่กระบวนการตัดแต่งจุดเชื่อมต่อ (synaptic pruning) ด้วยการสลายเส้นประสาทหรือวงจรประสาทที่มิได้ใช้บ่อยทิ้งไป เหลือเป็นสมองที่เป็นระเบียบมากขึ้น โล่งขึ้น ทำงานสะดวกขึ้น คำถามคือสะดวกแบบไหน

ช้างในใจลูกเติบโตขึ้นทุกวันตามพัฒนาการของสมอง สุดท้ายเราอยากให้เหลือช้างแบบไหน คำถามนี้ไม่สำคัญเท่าคำถามที่ว่าสุดท้ายเราอยากให้ลูกเหลือวงจรประสาทอะไรไว้ คำตอบคือเหลือวงจรประสาทที่รองรับการทำงานของสมองระดับสูงซึ่งเรียกกันว่า executive function (EF)

ในแง่โครงสร้าง วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่พบว่าโรคทางจิตเวชและพฤติกรรมหลายชนิดเป็นความผิดปกติของโครงสร้างด้วย โรคเหล่านี้ไม่มีความผิดปกติเฉพาะตำแหน่งแต่เป็นความผิดปกติของการสร้างจุดเชื่อมต่อที่ผิดพลาดหลายๆ ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นโรคสมาธิสั้น กลุ่มออทิสติกสเป็คตรัม โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท พาร์คินสัน อัลไซเมอร์ หรือโรคลมชัก

หากจะเปรียบให้พอเห็นภาพลองนึกถึงวงออร์เคสตราที่วางตำแหน่งของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ผิดที่ตั้งแต่แรก เสียงดนตรีที่ควรไพเราะและกลมกลืนกลับแตกกระสานซ่านเซ็นกลายเป็นเสียงแว่ว (auditory hallucination) ของผู้ป่วยโรคจิตโดยง่าย

ทำไมวงออร์เคสตราต้องวางตำแหน่งเครื่องดนตรีตามที่กำหนดไว้ คำตอบคือเพราะวิวัฒนาการ (evolution) ในทำนองเดียวกันมนุษย์เป็นสัตว์พวกเดียวที่มีพัฒนาการของฮับก้าวหน้ากว่าสัตว์อื่น ลิง และวานร เรามีฮับที่มีขนาดใหญ่กว่า ซับซ้อนกว่า และประสานงานข้ามฮับได้อย่างวิจิตรพิสดาร เราจึงมีการคิดคำนวณและวิเคราะห์ได้ดีกว่ารวมทั้งสามารถชื่นชมงานศิลปะได้มากกว่าด้วย เราเป็นเช่นทุกวันนี้เพราะวิวัฒนาการ

ทารกเกิดมาบนร่องธารของวิวัฒนาการ ตำแหน่งของเครื่องดนตรีได้รับการทดลองและลองผิดลองถูกมานานมากแล้วจนลงตัว การวางตำแหน่งผิดหรือการวางสายเคเบิล (wiring) ของเส้นประสาทผิดนำไปสู่ความผิดพลาดของการประสานงาน

นอกเหนือจากการวางขดลวดที่ถูกต้องแล้ว เรายังต้องควบคุมมันได้ด้วย คือ control หากเราไม่สามารถควบคุมวงออร์เคสตราได้เราจะเป็นได้แค่ผู้ฟัง มิใช่คอนดัคเตอร์ กลายเป็นสมองที่แต่ละส่วนต่างคนต่างเล่น ความสามารถที่จะควบคุมตนเองคือ self control เป็นส่วนประกอบสำคัญของ executive function (EF)

การควบคุมตนเองกลายเป็นประเด็นสำคัญมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 เหตุเพราะเราเข้าสู่ยุคไอทีอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะปรับตัวได้ทัน เด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าซึ่งเกิดตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาเกิดมาบนโลกที่พ่อแม่และปู่ย่าตายายมีสมาร์ทโฟน โลกมีไวไฟและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง พวกเขาพบสิ่งเร้า (stimulus) ชวนวอกแวก (distraction) มากกว่ามาก แม้ว่าจะมีความรู้มหาศาลในอินเทอร์เน็ตแต่ความรู้เหล่านั้นนำมาใช้อะไรไม่ได้เลยถ้าเด็กคนหนึ่งควบคุมตนเองมิได้

ทั้งหมดนี้คือพัฒนาการของสมองซึ่งอยู่ในกะโหลกศีรษะของลูกของเรา

ย้อนอ่านบทความ  อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

ข้อเขียนนี้แปลและเขียนใหม่จากบทความ How Matter Becomes Mind ของ Max Bertolero และ Danielle S. Bassett
หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน เรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่านเล่นทำงาน: อ่านนิทาน
อ่านเล่นทำงาน: เล็กๆน้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’ 
อ่านเล่นทำงาน: สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร
อ่านเล่นทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่านเล่นทำงาน: เด็กทำอะไรช้ามาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆจึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่านเล่นทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่านเล่นทำงาน: อ่านวรรณคดีไทยลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

Tags:

พัฒนาการEFนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

“เวลาเราอยู่ใกล้ หัวใจแกจะเต้นแรงเหมือนเดิมเลย” ด้วยรักฉุดใจจากนักฉุกเฉินการแพทย์
Voice of New Gen
24 September 2019

“เวลาเราอยู่ใกล้ หัวใจแกจะเต้นแรงเหมือนเดิมเลย” ด้วยรักฉุดใจจากนักฉุกเฉินการแพทย์

เรื่อง

  • บุคลิกตั้งแต่วิธีพูดไปจนถึงความนิ่งสงบสยบทุกสถานการณ์ของ ‘หมอเป้ง’ ในซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ถอดแบบมาจาก ‘หมอหนึ่ง’ แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
  • หมอหนึ่ง – รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คือ ผู้ริเริ่มและดูแลหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ ผลิตนักฉุกเฉินการแพทย์ หรือนายฉุกเฉิน
  • มากกว่าตามรอยแต่นี่คือบทสัมภาษณ์เพื่อลงลึกคนในวง ER ซึ่งมีภารกิจสำคัญคือทำให้หัวใจทุกคนกลับมาเต้นแรง
เรื่อง: นลินี มาลีญากุล
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล
คำเตือน: บทความต่อไปนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย ดูซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน มาแล้วก็อ่านแบบอ๋อตามไปด้วยได้สบายๆ หรือหากใครยังไม่ได้ดู เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสปอยล์ แต่อ่านแล้วอาจจะเข้าใจความนิ่งจนบางทีก็เหมือนคนไร้หัวใจของ ‘หมอเป้ง’ และอาจนำไปสู่ความอินกับตัวละครตั้งแต่อีพีแรกที่เริ่มดู

ขึ้นต้นมาแบบนี้ แง่หนึ่งก็เหมือนการสปอยล์ไปแล้วล่ะ

แต่ถ้าเอ่ยถึง นักฉุกเฉินการแพทย์ (Paramedic) ไม่น้อยค่อนไปทางมาก หลายคนคงส่ายหน้า ไม่รู้จัก ลามไปถึงขั้นไม่เคยใช้บริการ ซึ่งเอาเถอะ ไม่เคยใช้บริการน่ะดีแล้ว

นักฉุกเฉินการแพทย์ ชื่อไม่คุ้นหูสำหรับคนไทย แต่ใกล้ตัวและสนิทใจกับผู้ป่วยรวมถึงญาติที่ประสบความฉุกเฉินทางร่างกายในทุกกรณี พูดให้เห็นภาพมากขึ้น พาราเมดิกคือหน่วยประคับประคองที่หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเคสฉุกเฉินประมาณ หัวใจหยุดเต้น จับชีพจรแล้วไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าอยู่หรือไป หายใจลำบาก พาราเมดิกจะต้องเป็นหน่วยแรกที่ไปถึงความฉุกเฉินนั้นๆ เพื่อทำการปฐมพยาบาลให้ทุกอย่างลดระดับความฉุกเฉินลงมาบ้าง จากนั้นจึงนำตัวบุคคลฉุกเฉินนั้นส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาแบบฟูลออพชั่น

สิ่งที่ควรต้องเน้นแบบขีดเส้นใต้หลายๆ รอบคือ นี่ไม่ใช่การทำงานแบบ ไปหาตัวผู้ป่วย จากนั้นก็ช้อนตัวมาส่งโรงพยาบาลให้หมอคนอื่นดูแลเหมือนหลายเคสฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่พาราเมดิกจะอยู่ประเมินตั้งแต่สถานการณ์ในที่เกิดเหตุ ระหว่างนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล รวมถึงเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในห้วงเวลาแสนสั้นแต่ใจต้องนิ่ง เพราะพลาดนิดเดียวอาจเท่ากับชีวิตของคนหนึ่งคน

ที่แน่ๆ ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องทดลอง ความรู้สึกของญาติที่รออยู่ก็เช่นกัน สี่ปีของการเรียน วิชาฉุกเฉินการแพทย์ ที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยมที่แค่สร้างบุคลากรทางการแพทย์ตามขนบ

เพราะทุกเหตุการณ์คือความฉุกเฉินที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตใครสักคน และเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่พาราเมดิกอาจจะยื้อชีวิตของใครอีกสักคนไว้ไม่ได้ ไปพร้อมๆ กัน

และช่วยไม่ได้อีกว่า เรื่องความเป็นความตายที่ดูเป็นก้อนแสนหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจนั้น พาราเมดิกจะต้องถูกเทรนให้ชินกับมันตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปเรียน

โอ๊ต – สรวิชญ์ วัชรกิจไพศาล, หมอหนึ่ง – รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น และ แจ้ – ธนากร ลักษณะมาพันธ์

“เวลาเราอยู่ใกล้แก หัวใจเรายังเต้นแรงเหมือนเดิมเลย”

จากที่เกริ่นมา นักฉุกเฉินการแพทย์ หรือ พาราเมดิก นั้น คือวิชาชีพที่สำคัญ จำเป็นต้องมี และหากดูซีรีส์หรือภาพยนตร์ต่างประเทศก็จะพอเห็นบุคคลเหล่านี้แวบๆ อยู่ในแทบทุกฉากสำคัญที่ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของคน

อาชีพพาราเมดิกที่ว่า หากย้อนประวัติศาสตร์กันจริงๆ แล้ว มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน แต่ถ้าย้อนไปถึงยุคนั้นก็น่าจะไกลจนจินตนาการอะไรไม่ออก

แต่ในสื่อกระแสหลักนั้น อาชีพพาราเมดิก เป็นที่รู้จักครั้งแรกจากซีรีส์ชื่อดังจากลอสแองเจอลิสอย่าง Emergency! ซึ่งฉายอยู่ในช่วงปี 1972-1979 เลยพอทำให้สันนิษฐานได้ว่า อาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์ ก็น่าจะมีอยู่มาก่อนหรือเป็นที่รู้จักโดยคนทั่วไปในช่วงที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้

แต่กล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงในประเทศไทย หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ เพิ่งจะอนุมัติหลักสูตรและเปิดสอนเมื่อ พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมานี่เอง

ไม่ใช่ว่าไม่มีความสำคัญ แต่เพราะไม่เคยมีคนหยิบความสำคัญมาพูดถึง บวกลบกันแล้ว เราจึงเริ่มช้ากว่าประเทศอื่นเขาอยู่หลักหลายสิบปี

ส่วนจุดเริ่มต้นของอาชีพพาราเมดิกในไทย อาจเล่าเป็นจุดชี้วัดได้ยากสักหน่อย เพราะเอาเข้าจริงมันอาจย้อนไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว ตั้งแต่นักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่งกรอกแบบฟอร์มความฝันส่วนตัวไว้ว่า อยากไปเป็นแพทย์ข้างสนามให้กับทีมฟุตบอลที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงแต่สม่ำเสมออย่างลิเวอร์พูล

“ผมอยากเป็นหมอตั้งแต่อยู่ ม.ต้น แล้ว แต่ว่าความฝันสมัยนั้นไม่ได้อยากเป็นหมอโดยตรงเพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ ตอนนั้นแค่คิดแบบเด็กที่ชอบเชียร์บอลคนหนึ่งเลยว่า เราเชียร์ลิเวอร์พูล คิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถไปเป็นนักฟุตบอลแล้วไปเข้าทีมลิเวอร์พูลได้หรอก แต่วันหนึ่งได้ไปเห็นแพทย์สนามที่อยู่ประจำทีมฟุตบอลกำลังทำงาน นั่นเป็นแรงบันดาลใจจริงๆ ที่ทำให้อยากเรียนหมอ และคือความฝันในตอนนั้น”

หมอหนึ่ง – รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น

หมอหนึ่ง หรือ รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น ตอบคำถามด้วยคำถามอีกรอบว่า “ผมถึงได้ถามว่าจะให้ตอบเรื่องจริงหรือเอาแบบสร้างภาพดี?” เพราะคำตอบข้างบนนั่นไม่น่าจะเป็นเหตุเกี่ยวข้องใดๆ กับการเป็นหัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เริ่มพัฒนาหลักสูตรพาราเมดิก จนเริ่มมีคนรู้จักและให้การยอมรับในวิชาชีพ

นอกจากนั้น บุคลิกตั้งแต่วิธีพูดไปจนถึงความนิ่งสงบสยบทุกสถานการณ์ฉุกเฉินของ หมอเป้ง ในซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ที่รับบทโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ถอดแบบมาจากหมอหนึ่งแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์

“ผมเป็นคนมีแพสชั่นแรงมาก อยากทำอะไรก็จะพยายาม แล้วจะต้องทำให้ได้ แต่ทำให้ได้เนี่ย เริ่มมาจากการไปทีละสเต็ป วางแผนไว้ว่าถ้าอยากเป็นหมอ งั้นต้องเรียนสายวิทย์ไว้ก่อน ผมก็ต้องมาสอบเข้าสายวิทย์ที่โรงเรียนให้ได้ สเต็ปต่อไปก็คือพยายามสอบเข้าคณะแพทย์ให้ได้”

ส่วนการมาไกลจากความฝันแพทย์สนามให้ทีมฟุตบอลที่รัก จนมาเป็นอาจารย์แพทย์อย่างทุกวันนี้ได้ หมอหนึ่งบอกว่า มันเป็นความคิดที่เด็กแสนเด็ก

“แต่ว่ามันคือการกระทำที่ออกแบบมาจากความตั้งใจที่เกิดขึ้นตอนนั้นจริงๆ”

“คนมันจะตกหลุมรักอะ แค่นาทีเดียวมันก็ได้ปะ”

จากเด็กหลังห้อง เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง มาสู่การตกหลุมรักในหน้าที่การงานและความหนักของวอร์ดฉุกเฉินอย่างถอนตัวไม่ขึ้นก็ตอนทำงานใช้ทุนตามขนบนักศึกษาแพทย์ หมอหนึ่งเล่าว่า ตอนแรกตั้งใจจะไปใช้ทุนประจำอยู่ที่โรงพยาบาลในจังหวัดตรังซึ่งเป็นบ้านเกิด แต่การจับฉลากไม่ได้เป็นทักษะที่ถูกเทรนมาจากโรงเรียนแพทย์ หลังพ่ายแพ้ให้คะแนนจับฉลาก ลำดับต่อไปคืออย่าเซ็งนาน จากนั้นก็ค้นหาโรงพยาบาลที่ยังว่าง สุดท้ายหมอหนึ่งก็ได้เป็นหมอใช้ทุนอยู่ในโรงพยาบาลที่ขึ้นชื่อว่าโหดระดับมีคนยิงแทงกันทุกวัน

ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอหนึ่งจำเป็นต้องเลิกถือตำราการแพทย์ เพราะสถานการณ์ความบาดเจ็บที่ไหลเวียนอยู่ในโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้หมอเปิดหนังสือไปรักษาไป จากความรับผิดชอบที่เอาแค่เรียนให้ตัวเองจบๆ ไป ก็เลยกลายมาเป็นหมอที่ใครๆ ก็เรียกหา ไม่ใช่แค่ความแม่นยำในการรักษา แต่เพราะเขาบ้างานหนักชนิดหนักมากต่างหาก

“ตั้งแต่มาอยู่นครศรีธรรมราช ผมเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งเลย ปกติหมอจะใช้ทุนกันสามปี วนๆ ไปทุกแผนก พอปีสองก็จะเลือกวอร์ดที่อยากทำงานได้ ก็เลยไปอยู่แผนกศัลยกรรมในปีที่สองและปีที่สาม มันก็ผ่าตัดได้พอสมควร”

แต่ทำอย่างไรได้ เมื่อความมั่นใจสวนทางกับผลการรักษา เก่งมาจากไหนก็อาจจะแพ้โมงยามสั้นๆ ของความผิดหวังในตัวเองกันได้ทั้งนั้น

“ตอนนั้นเป็นหมอศัลยกรรมที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ดูแลเคสหนักๆ ได้ ทำทุกอย่าง ผ่าตัดอะไรได้หมด ตอนนั้นอยู่โรงพยาบาลเนี่ย เวลาใครมีปัญหาอะไรทั้งโรงพยาบาลจะโทรหาให้ผมมาช่วยดูหน่อย คนไข้ไม่ดี คนไข้แย่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แล้ววันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่เวรห้องฉุกเฉิน มีคุณป้าคนหนึ่งเข้ามาใน ER (Emergency Room หรือห้องฉุกเฉิน) ป้าเขาใจสั่นมาก คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ แล้วความที่ตอนนั้นเราคิดว่าเราเก่ง เพราะทุกคนในโรงพยาบาลโทรหาเราหมดเลย แต่ที่จริงเราเก่งแค่บางเรื่อง เจอป้าคนนี้เข้าไปก็รักษาไม่หาย ให้ยาไม่ถูก จนป้าความดันต่ำ อาการก็แย่ลง แต่ว่าไม่ได้เสียชีวิตนะครับ…”

ให้นับเหตุการณ์ข้างต้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแพทย์หนุ่ม-หมอหนึ่งสรุปชีวิตไว้ประมาณนี้ เพราะจากวันนั้น เขาก็ค่อยๆ ทำความสามารถของตัวเองให้สูงเท่าความมั่นใจ และพัฒนามันให้ไปด้วยกันได้แบบกราฟที่แปรผันตรงกัน

“วันนั้นผมก็เลยมาคิดแค่ว่า ความเก่งที่เรามั่นใจใช้อะไรในนี้ไม่ได้เลย รู้สึกแย่มากที่เรารักษาคนไข้คนนี้ไม่ได้ มานั่งคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นหมอคนอื่นรักษา เป็นอาจารย์ที่เก่งจริงๆ มาดูแลป้า เขาอาจจะรักษาได้เร็วขึ้น ตั้งแต่วันนั้นมาเลยอยากเป็นหมอที่ยืนอยู่ในห้องฉุกเฉินด้วยความมั่นใจ แล้วทุกคนที่เข้ามาในวอร์ดจะต้องดีขึ้น ถ้าแย่ลงก็ต้องเป็นเพราะเงื่อนไขอื่นที่นอกเหนือจากการรักษาของเรา นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมเลือกเรียน ER”

จะว่าไปนี่ก็ไม่อาจเรียกว่าอาการตกหลุมรัก แต่คือการไม่จมกับความผิดพลาดนานจนเสียงาน ก่อนจะพัฒนามันเป็นความชำนาญทางอาชีพ และพลังในการผลักดันให้การแพทย์ฉุกเฉินมีความรอบคอบและเข้าถึงคนทั่วไปได้มากกว่าเดิม

“ถ้ามี 1 เปอร์เซ็นต์ ที่พี่จะรอด พี่ก็มั่นใจให้มันอยู่ในมือแกนะ”

เมื่อตั้งหลักแล้วว่าหมอฉุกเฉินคือการงานพื้นฐานอาชีพต่อจากนี้ หมอหนึ่งจึงเลือกเรียนต่อเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉินอีกสามปีที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แต่ก่อนจะได้เรียนนั้น เรื่องที่หมอหนึ่งพูดว่าคงเป็นโชคชะตา ซึ่งเราไม่คิดมาก่อนว่าคำที่ดูไม่มีวิทยาศาสตร์รองรับอย่างคำนี้ จะหลุดออกมาจากอาจารย์แพทย์ที่ไม่ได้นิ่งแค่มาดคนนี้

แต่เมื่อไม่รู้จะอธิบายความสอดคล้องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างไร จะเรียกมันว่าโชคชะตา ก็ไม่น่าผิด

ตัดภาพมาที่วันเดินทางไปสัมภาษณ์เข้าเป็นนักเรียนแพทย์เฉพาะทางที่โรงเรียนแพทย์ถึงสี่แห่งในกรุงเทพฯ เหตุการณ์วันนั้นคือ สามที่แรกไม่สปาร์คจอย จนมาถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เขาบอกตัวเองว่าอย่างไรก็จะเรียนและเป็นหมอที่นี่ให้ได้ และสุดท้าย เมื่อการงานปรากฏรูปเป็นความรัก หมอหนึ่งจึงไม่ได้เรียนต่อแค่ศาสตร์เฉพาะทาง แต่คือการได้อยู่ทำงานและเป็นอาจารย์แพทย์ที่นี่ต่อไป

และที่เกริ่นมายาวอย่างนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า เรื่องราวทั้งหมดคือจุดเริ่มต้นของ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ ที่หมอหนึ่งเป็นผู้ดูแลหลักสูตรเอง สอนเอง และเป็นเหมือนอาจารย์ พี่ชาย และเพื่อนของนักศึกษาไปด้วยในคราวเดียวกัน

“ทั่วประเทศมีหมอฉุกเฉินอยู่เกือบทุกที่แล้ว แต่ที่ยังไม่ใช่ก็คือ เวลาเกิดเหตุอะไรที่บ้านเรา เช่น หัวใจหยุดเต้นหรือหลอดเลือดในสมองแตก คนไทยต้องพยายามเอาตัวมาให้ถึงโรงพยาบาลก่อน โดยขับรถมาให้เร็วที่สุด ให้คนพามา นั่งรถกระบะมา หรือบางคนเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาก็มี สมมุติว่าคนไข้ทุกคนประคับประคองตัวเองได้ก็ดี เพราะถือว่าไม่วิกฤตินัก แต่ถ้าไปดูที่ต่างประเทศจริงๆ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเขาจะเอาทีมแพทย์ฉุกเฉินไปดูคุณถึงที่บ้านเลย แต่ไทยเรายังต้องเอาตัวเองมาหาหมอฉุกเฉินให้ได้”

จะว่าเลียนแบบต่างประเทศก็ไม่ว่ากัน เพราะถ้าทำแล้วดีต่อคุณภาพชีวิตคนบ้านเรา คำถามคือ ทำไมถึงจะไม่ทำ?

“พอเป็นอาจารย์ได้สักสองปี ผมเลยบอกว่า การแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทยควรมีทีมที่ออกไปดูแลคนไข้ที่บ้าน ควรมีรถฉุกเฉินที่มีคุณภาพ มีบุคลากรที่มีคุณภาพ นั่นจึงเป็นที่มาของหลักสูตรวิชาฉุกเฉินทางการแพทย์ คือต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถออกไปกับรถฉุกเฉินเพื่อไปหาคนไข้ที่บ้านก่อน ประคับประคองชีวิตก่อน แล้วส่งต่อมาให้ห้องฉุกเฉิน นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำ”

ดูเป็นแพสชั่นที่เกินเลยความฝันชั้น ม.ต้น ไปไกลมาก แค่อยากเป็นแค่แพทย์สนามให้ทีมฟุตบอลที่รัก แต่หมอหนึ่งยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะความฝันมันเปลี่ยนกันได้ตามอายุที่มากขึ้น เพียงแต่ว่าแกนหลักของสิ่งที่อยากทำยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความรับผิดชอบ

เพราะเกือบทุกเคสฉุกเฉินในประเทศไทย สาเหตุการตายลึกๆ แล้วน่าจะเพราะการแพทย์ฉุกเฉินเข้าไปถึงในเวลาที่ช้าเกินไป หรือไปถึงแล้วไม่มีองค์ความรู้ในการดูแลที่ดีพอจนบางครั้งกลับทำให้คนไข้อาการแย่กว่าเดิม ในเมื่อหมอฉุกเฉินในโรงพยาบาลแข็งแกร่งพอแล้ว ถ้างั้นหมอหนึ่งขอขยับไปทำทีมที่ออกไปช่วยคนไข้นอกโรงพยาบาลให้เข้มแข็งขึ้นก็แล้วกัน

เขาพูดติดตลกถึงความทุ่มเทในช่วงที่ผ่านมานี้ ก่อนปล่อยให้การลงมือทำหลังจากนั้นพิสูจน์ความตั้งใจอีกที

“เพราะเป้าหมายอย่างเดียวของผมคือ การแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทยต้องพัฒนาขึ้น”

และทีมนักฉุกเฉินการแพทย์จะต้องเป็นคนทำงานที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่กับเคสฉุกเฉินอะไร ก็ต้องได้รับความไว้วางใจทั้งจากบุคลากรทางการแพทย์ด้วยกัน รวมไปถึงคนไข้และญาติที่ไม่ได้ต้องการแค่การพึ่งพาทางกาย แต่รวมถึงมิติด้านจิตใจอีกมหาศาล

ฟังดูเหมือนหน้าที่ของการเป็นหมอนั้นแสนจะยิ่งใหญ่และตัวโตมาก หมอหนึ่งจึงย้ำว่าหมอไม่ได้ใหญ่หรือแสนดีอะไรขนาดนั้น มีคนไข้เสียชีวิตคามือมาแล้วไม่รู้กี่ราย ผิดพลาดและทำญาติเสียน้ำตามาแล้วก็หลายหน แต่จุดยืนและเป้าหมายในการทำงานเป็นเรื่องที่ต้องย้ำกันให้ชัด ไม่เช่นนั้นทีมแพทย์เองนี่แหละที่จะเป๋

ส่วนประโยคจากคมๆ จากซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ที่หมอเป้งหรือซันนี่พูดประมาณว่า คนไข้ที่เข้ามามีโอกาสอยู่ 0 เปอร์เซ็นต์ แต่หมอทำให้มันเพิ่มเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายถึงโอกาสรอดชีวิตของเขานั้น มาจากเคสที่นักฉุกเฉินการแพทย์ต้องการปั๊มหัวใจ แม้คนไข้จะเสียชีวิตมานานพอสมควรแล้ว แต่เมื่อนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งเอ่ยถามอาจารย์อย่างเขาว่าควรทำยังไงต่อ หมอหนึ่งจึงตอบแบบคิดมาถี่ถ้วนแล้วว่า

“ควรให้เวลาอีกหน่อยไหม ปั๊มเพิ่มสัก 5-10 นาที ดูว่าเขาจะตอบสนองไหม อย่างน้อยที่ทำอยู่นี่ก็ไม่ได้เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ศูนย์ แต่ถ้าหยุดปั๊มตอนนี้เลยก็เท่ากับศูนย์นะ”

แต่ถ้าหลังจากนั้นยังช่วยชีวิตคนตรงหน้าไว้ไม่ได้ ก็อย่าฟูมฟาย เพราะยังมีคนไข้ฉุกเฉินอีกหลายเตียงรอพวกเขาอยู่

“คนไข้เขาไม่มีสิทธิเลือกหมอ พวกคุณต้องเป็นหมอที่ดีที่สุดให้คนไข้”

นี่ก็ไม่ใช่ประโยคที่คนเขียนบทเขียนให้หมอฉุกเฉินทั้งหลายดูเท่ไปเฉยๆ เท่านั้น เพราะมันออกมาจากปากของหมอหนึ่ง ซึ่งถูกเล่าต่อให้ฟังโดย โอ๊ต-สรวิชญ์ วัชรกิจไพศาล และ แจ้-ธนากร ลักษณะมาพันธ์ นักศึกษาฉุกเฉินการแพทย์ในความดูแลของหมอหนึ่งอีกที

เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็ได้ เพราะสำหรับนักศึกษาทั้งสอง ความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทุ่มเทให้วิชาชีพนั้นไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากหมอหนึ่ง แถมบางทีแพสชั่นเรื่องการพัฒนาบุคลากรด้านการฉุกเฉินการแพทย์นั้น อาจจะเห็นได้ชัดกว่าคำบอกเล่าของหมอหนึ่งเสียอีก

เพราะดวงตาของพวกเขาทั้งสองแข่งกันวิบวับเวลาเล่าถึงทุกประสบการณ์ในหน้าที่การงาน แถมไฟฝันของเด็กหนุ่ม มันช่วยสร้างเสริมความทะเยอทะยานทางวิชาชีพและเผื่อแผ่ออกมาถึงคนอื่นได้เป็นอย่างดี

โอ๊ต-สรวิชญ์ วัชรกิจไพศาล, แจ้-ธนากร ลักษณะมาพันธ์ (ตามลำดับ)

“ด้วยความที่ความรู้ทางการแพทย์มันเปลี่ยนทุกวัน สิ่งสำคัญที่ได้จากอาจารย์ก็คือ เราต้องทบทวนตัวเองทุกวัน เพราะพรุ่งนี้ตื่นมามันอาจจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องแล้วก็ได้ ถ้าเกิดข้อสงสัยอะไรในเคสที่ทำงานอยู่ก็ต้องกลับไปค้น ไปหา ไปอ่าน”

“เพราะคนไข้เขาไม่มีสิทธิเลือกหมอเลย เราจึงต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในคนไข้ให้ได้ ถ้าวันนี้เราทำพลาด วันหน้าเราจะได้ไม่เป็นแบบเดิมอีก จะต้องไม่มีใครรักษาไม่หาย หรือตายด้วยเรื่องเดิมๆ ที่เราเคยทำพลาดมาแล้ว”

นั่งฟังโอ๊ต นักฉุกเฉินการแพทย์พูดมาอย่างข้างต้นก็ใจฟู เพราะตลอดหลายสิบนาทีตรงหน้ากับโอ๊ตคือความมั่นใจที่พูดออกมาแล้วดูเหมือนไร้เดียงสา ทว่าหนักแน่นในน้ำเสียง

แต่อิหยังๆ อยู่เหมือนกันใช่ไหม เพราะชื่ออาชีพที่ว่า ‘นักฉุกเฉินการแพทย์’ มันยาวจนขี้เกียจเรียกให้จบ ครั้นจะย่อให้สั้นก็ไม่รู้จะย่อยังไง จะเรียกว่าหมอก็ไม่ได้ เพราะพวกเขายืนยันว่า เป็นนักศึกษาฉุกเฉินการแพทย์ ที่ทำงานเป็นตรงกลางของหมอและพยาบาล แถมมีข้อกำหนดชัดเจนว่า นักฉุกเฉินการแพทย์ทำอะไรได้บ้าง และส่วนไหนคือหน้าที่ที่ต้องส่งต่อให้หมอดูแล

“ถ้าตอบให้เข้าใจสั้นๆ ผมจะบอกว่าผมเป็นแพทย์ฉุกเฉินที่ดูแลคนไข้นอกโรงพยาบาล แต่ถามว่าน้อยใจไหม ก็อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถามว่าผมจะนิยามตัวเองสั้นๆ ยังไงได้บ้าง ก็ยาก จะเรียกว่าหมอ ก็ไม่ใช่หมอ แล้วจะเรียกว่าอะไรดี สิ่งที่อยากทำคือน่าจะต้องประชาสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมอะไรให้เขาเห็นภาพอาชีพของเรามากขึ้น คำนิยามสั้นๆ มันคงตามมาหลังจากนั้น”

ข้างต้นคือการพยายามชวน ‘แจ้’ นักศึกษาฉุกเฉินการแพทย์ มาทบทวนนิยามและที่ทางของตน แม้ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปว่าต่อไปนี้เราควรเรียกพาราเมดิกอย่างพวกเขาว่าอะไรที่เข้าใจง่ายเหมือนหมอและพยาบาลดี เพราะที่ผ่านมาแจ้ก็เคยเจอเหตุการณ์กระอักกระอ่วนอย่างสายตาที่ไม่ไว้ใจจากญาติคนไข้ ที่เขานั่งรถฉุกเฉินไปประคับประคองอาการถึงบ้านเมื่อสักพักที่ผ่านมา

“ก็บอกเขาไม่ได้เหมือนกันว่าเราเป็นอะไร แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก คนไข้ตรงหน้าต้องดีขึ้นก่อน ก็เลยบอกญาติไปว่า เดี๋ยวผมอธิบาย (ว่าผมทำงานอะไร) แต่ขอทำงานก่อนนะ”

เพราะอย่างที่หมอหนึ่ง อาจารย์ของพวกเขาบอก ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน พวกเขาก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ ต่อให้คนจะเข้าใจหรือเรียก ‘นักฉุกเฉินการแพทย์’ ว่าอย่างไรก็ตาม

Tags:

ชีวิตการทำงานแพทย์

Author:

Related Posts

  • Book
    แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ผลัดใบจากความกลัว ผลัดใจเก่าทิ้งไป เพื่อชีวิตใหม่ที่งดงาม

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Alpha Generation EP.10 สายสัมพันธ์วันนี้ กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคต ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้
  • ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025
  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel