Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นแม่แบบไหนกัน ?
Family Psychology
17 April 2019

มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นแม่แบบไหนกัน ?

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

เพราะปมในวัยเด็กของแม่ ส่งผลให้แม่อารมณ์มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย และควบคุมตัวเองไม่ได้ สำรวจตัวเองว่าคุณเป็นแม่แบบไหน ?

แม่ที่มั่นคง ปลอดภัย เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น

สาเหตุ: เพราะแม่ในวัยเด็กถูกเลี้ยงจากความสัมพันธ์ที่มั่นคง มีคนพร้อมส่งความปราถนาดีและแสดงออกให้เห็น

ผลกับลูก: เด็กจะรู้สึกถูกรัก อารมณ์จะมั่นคง สัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้  มีสายสัมพันธ์อย่างสนิทสนมระหว่างคนในครอบครัว

แม่ทีวิตกกังวล รับรู้ไว สร้างความหวาดระแวงให้คนรอบข้าง

สาเหตุ: เพราะแม่ในวัยเด็กขาดการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ วัยเด็กจึงตรวจสอบและคอยเช็คความสัมพันธ์ของตัวเองกับคนรอบข้าง เมื่อเป็นแม่ก็เป็นแม่ที่มีอารมณ์ไม่มั่นคง อารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสียจะปิดกั้นลูก

ผลกับลูก: จะเกิดความหวาดระแวง ไม่รู้สึกว่าโลกใบนี้มีพื้นที่ปลอดภัย ขั้วบวกเด็ก จะทำตัวน่ารักหรือเอาใจให้แม่เห็น หรือให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ  ส่วนขั้วลบ เด็กจะควบคุมอารมณ์ด้วเองยาก

แม่ผู้เพิกเฉย เชื่อตำรามากกว่าสัญชาตญาณ เอาเหตุผลและหลักการนำความรู้สึก จนละเลยอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่เห็นว่าอารมณ์มีสาระให้จับต้อง

สาเหตุ: เพราะในวัยเด็กแม่อยู่ในระเบียบที่เข้มงวดมากเกินไป

ผลกับลูก: ทำให้หยุดความพยายามในสการสื่อสารต่างๆ เช่น ร้องขอ บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย เด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สีก เมื่อเด็กโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง โดดเดี่ยวอยู่ลึกๆ สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม้ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก โดยเฉพาะในเวลาที่เกิดความปั่นป่วนขึ้น มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ

สาเหตุ: เพราะแม่ในวัยเด็กเคยเป็นเด็กที่ถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

ผลกับลูก: ทำให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจ  เช่น เด็กที่เคยถูกเลี้ยงด้วยความกลัว แม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา เลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง

อ่านบทความเคยเป็นลูกแบบไหน ก็จะเป็นแม่แบบนั้น ต่อได้ ที่นี่

Tags:

พ่อแม่แบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Family Psychology
    ด้วยรัก ภาระ และบาดแผล จากการเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่ต้องทำตามความต้องการของสมาชิกหลายคน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family PsychologyEarly childhood
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
17 April 2019

เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ดีไซเนอร์งานไม้ วัย 34 กับบทบาทใหม่ คือการเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกคนเดียว และค้นพบว่าการเลี้ยงลูกโดยการปล่อยให้ธรรมชาติช่วยสอนคือวิธีที่ดีที่สุด
  • แม้การไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ จะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า แต่ก็กลับมาตั้งหลักได้ใหม่เพราะ ‘ลูก’
  • การที่พ่อแม่เลิกกัน อาจไม่ได้สร้างปมให้ลูก แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้พ่อแม่ เพราะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถประคองครอบครัวให้อยู่ด้วยกันได้ อยู่ที่ว่าพ่อแม่จะมีวิธีไม่ส่งต่อปมนั้นให้ลูกได้อย่างไร
เรื่อง: รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา,ณขวัญ ศรีอรุโณทัย

เอกชัย กล่อมเจริญ หรือ โรเบิร์ต ดีไซเนอร์งานไม้ วัย 34 ทุ่มเทกับการออกแบบและพัฒนาแบรนด์ Mink’s ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เน้นความมินิมอล เรียบง่าย ดึงเสน่ห์ของลายไม้ออกมาใช้ในทุกๆ ดีไซน์ จนทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หากย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนแบรนด์ Mink’s ประสบความสำเร็จจากไลฟ์สไตล์โปรดัคท์ต่างๆ ทั้งโต๊ะไม้ โคมไฟ และเป็นเจ้าแรกๆ ที่ออกแบบและผลิตนาฬิกาหน้าปัดไม้

หลักฐานมากมายช่วยยืนยันความสำเร็จในการเป็นตัวจริงด้านงานไม้ของโรเบิร์ต แต่บทบาทต่อไปที่เขาพยายามอยู่และต้องทำให้ดีไม่แพ้กัน คือ การออกแบบชีวิตครอบครัวตัวเอง

‘คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว’ คือบทบาทใหม่ที่ท้าทายและโรเบิร์ตกำลังรับบทนี้ โดยมี น้องฮาวล์ หรือ ด.ช.รักสร้างสรรค์ กล่อมเจริญ วัย 4 ขวบ ลูกชายคนเดียวเป็นกำลังใจคนสนิท

“เพราะลูกไม่ใช่ลูก แต่ลูกคือเพื่อนที่เข้ามาในชีวิต” โรเบิร์ตบอกว่า แม้เขาจะเป็นคุณพ่อที่เลี้ยงลูกคนเดียวแต่เขาไม่ใช่คุณพ่อโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน

พ่อโรเบิร์ตในวัยเด็ก เป็นเด็กอย่างไร

ผมไม่ค่อยสนิทกับพ่อตัวเองเลย

เพราะธุรกิจที่บ้านทำเกี่ยวกับการค้าขายอะไหล่รถยนต์จากญี่ปุ่น ดังนั้นปีๆ หนึ่งคุณพ่อจะต้องเดินทางไปญี่ปุ่นทุกๆ 3 เดือน บวกกับเราเติบโตมาในครอบครัวที่พี่น้องเป็นผู้หญิงหมดเลย 2 คน ผมเป็นพี่ชายคนโต เมื่อพ่อไม่อยู่ ต้องไปทำงานไกลๆ เราก็ต้องขึ้นมาทำหน้าที่แทนโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าหาเลี้ยงคนในบ้าน แต่ต้องเป็นคนขึ้นมาจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านแทนพ่อทั้งหมด เช่น ซ่อมไฟ ท่อพัง น้ำไม่ไหล จะเป็นหน้าที่ผมหมดเลย

ครอบครัวเราไม่ได้สนิทกันมาก อยู่กันแบบธรรมดา ผมค่อนข้างเก็บตัว มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว

อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งเราเป็นผู้ชาย พอพ่อไม่อยู่ ทั้งบ้านก็เหลือแต่ผู้หญิง นิสัยส่วนตัวเป็นคนเงียบๆ เด็กๆ ถ้าพ่อไม่อยู่ ผมก็จะไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่ได้ออกไปหาเพื่อน ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เสาร์อาทิตย์วันหยุดก็อยู่กับครอบครัวเสียมากกว่า

แล้วชีวิตคู่ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

ย้อนกลับไปครอบครัวเราก็มีแค่ผมกับภรรยา ชีวิตเราสองคนเลี้ยงสุนัขเป็นลูก จนถึงเวลาหนึ่ง เราก็เริ่มรู้สึกอยากดูแลใครสักคน ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้แต่งงานกัน แต่คบแฟนอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานานจนมีน้อง สำหรับผม ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเรามันเลยจุดแต่งงานมาแล้ว เพราะญาติของทุกฝ่ายรับรู้สถานะ ดังนั้นการแต่งงานก็เป็นแค่พิธีหนึ่งสำหรับเรา

ตอนนี้คุณเบิร์ตคือคนที่ดูแลลูกเป็นหลัก?

ใช่ครับ ผมแยกกันอยู่กับคุณแม่น้องฮาวล์หลังน้องเลิกนมได้ไม่นาน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คุณแม่น้องฮาวล์เขากลับมาอยู่และใช้ชีวิตส่วนตัวที่กรุงเทพฯ

ผ่านช่วงเวลาแยกทางมาอย่างไร

มันก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน ความรู้สึกมันเฟล ผมเชื่อว่าทุกคนก็อยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ทั้งนั้น มันเหมือนเป็นความผิดเราส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกต้องมีปัญหา แต่ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตกับคุณแม่อย่างปกติ พาน้องฮาวล์ไปเจอคุณแม่ทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และพยายามทำทุกอย่างให้ดีในฐานะที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้

ทำไมยังเชื่อว่าการที่ พ่อ-แม่ ไม่ได้อยู่ด้วยกันจะสร้างความเจ็บปวดให้ลูก

จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้ลูกมากหรอก เพราะเขายังเด็ก แต่มันสร้างความเจ็บปวดให้พ่อแม่เองมากกว่า มันสร้างความผิด ทำให้เรารู้สึกไม่ดีที่ไม่สามารถประคองครอบครัวให้อยู่ด้วยกันได้ อยู่ที่ว่าเราจะไม่ส่งต่อปมนั้นให้ลูกได้อย่างไร ซึ่งผมก็ไม่มีคำตอบเหมือนกัน แต่คงจะทำสิ่งที่ควรทำให้ดีที่สุด

ส่วนการรับรู้ของน้อง เขาจะรู้สึกไปเองตามวัยของเขา ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้บอกหรือดีลกับเขาตรงๆ

เด็กไม่รู้หรอกว่าการเลิกกันคืออะไร ถ้าเขาโตขึ้นเขาอาจจะรู้สึกได้มากขึ้น ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นเราใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ปล่อยให้เวลาค่อยๆ บอกเขา ให้เขาได้เรียนรู้เองตามการเติบโตดีกว่า

การไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว มันเป็นปมใหญ่ของเรา จนทำให้ต้องไปหาหมอ เรากลายเป็นคนที่มีชีวิตอีกแบบหนึ่ง เราซึมเศร้า เราผิดหวังที่มันไม่เพอร์เฟ็คท์ แต่ตอนนี้ค่อยๆ ดีขึ้น เพราะสิ่งที่โฟกัสคือลูก ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุด เป็นสิ่งเดียวที่เรายึดเป็นเป้าหมาย เมื่อก่อนชีวิตเรามีอะไรต้องโฟกัสเยอะไปหมด พอตัดหลายๆ อย่างออกไปได้มันก็ดีขึ้นเอง

ลูกคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่เครียด ไม่จม และเปลี่ยนความเศร้าตรงนั้นเป็นแรงผลักให้เราไปต่อ เวลามันช่วยทำให้เราลืมและตั้งหลักได้

ตอนนี้ผมเป็นคนอยู่กับลูกเป็นหลัก แต่อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีคุณตาคุณยายช่วยเลี้ยง เราเป็นฝ่ายเอนเตอร์เทน ออกแรงเล่นกับเขา พาเขาไปเที่ยว ทำกิจกรรม พยายามพาลูกไปเที่ยวในที่ต่างๆ นี่คือเรื่องที่เราโฟกัสเลย ซึ่งมันทำให้เราลืมเรื่องที่จะมาบั่นทอนเรา

ถึงแม้เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวมันจะยาก แต่โชคดีลูกเป็นเด็กผู้ชาย เวลาลูกเล่นหุ่นยนต์ เล่นเลโก้ มันก็เข้าทางเราพอดี ที่นี้ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่เลย

แสดงว่านอกจากคุณเบิร์ต ก็มีญาติๆ คนอื่นช่วยเลี้ยงน้อง

ใช่ครับ ตอนนี้ผมย้ายไปอยู่ที่จังหวัดระยอง เป็นบ้านของคุณตา-คุณยาย พ่อแม่ฝั่งคุณแม่น้องฮาวล์ ซึ่งผมก็ใช้พื้นที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้นเปิดเป็นช็อปไม้ของตัวเอง ในช่วงเวลากลางวันคุณตาคุณยายจะช่วยดูแลน้องเป็นหลัก เพราะผมไปทำงาน

ทางบ้านผมและคุณตาคุณยายฝั่งบ้านคุณแม่น้องฮาวล์ เคยมีหลานเป็นผู้หญิงกันหมด น้องฮาวล์คือหลานชายคนแรกของตระกูล ตอนแรกก็ดีใจกันมาก แต่พอเวลาผ่านไปสักพักทุกคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าซนมาก (หัวเราะ) ตามประสาเด็กผู้ชาย เขาแอคทีฟมาก เล่นซนทั้งวัน โลดโผน ปีนนู่นปีนนี่ ไม่รู้จักเหนื่อย บวกกับเคยเลี้ยงแต่หลานผู้หญิงมาด้วย ก็จะเล่นเงียบๆ เรียบร้อย

พ่อแบบคุณโรเบิร์ต เป็นอย่างไร

มันก็อธิบายยากเหมือนกันนะ ตั้งแต่ก่อนมีน้อง-ตอนเขาเกิด-หลังเขาเกิดมาแล้ว ทุกอย่างที่เคยคิดไว้มันก็ไม่เหมือนกันสักอย่าง ความรู้สึกแต่ละช่วงไม่เหมือนกันเลย ยกตัวอย่าง ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวมาก ก่อนน้องจะเกิด เราก็วาดฝันไว้ว่า ‘ชีวิตเราอยากไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ตามใจชอบ’ แต่พอน้องเกิดมา มันทำไม่ได้ ตอนเขายังเด็กๆ ผมเคยจองตั๋วจะไปเที่ยวต่างประเทศ แต่พอเอาเข้าจริงมันไปไม่ได้ ต้องยอมทิ้งตั๋ว ผมไม่กล้าทิ้งลูกไปเที่ยวหรือไปมีความสุข

เมื่อก่อนความสุขเกิดจากสิ่งที่เราทำคนเดียว คือการไปเที่ยว แต่ทุกวันนี้ความสุขของเรามันเกิดจากการพาลูกไปเที่ยว เพราะเห็นลูกมีความสุข นั่นคือความสุขของเรามากกว่า

ผมไม่ได้อยากไปเที่ยวเพราะอยากรู้สึกตื่นเต้นเวลาพิชิตยอดเขาสูงๆ หรือเห็นวิวสวยๆ แต่ผมอยากเห็นรอยยิ้มของลูกเวลาเขาไปกับผม กลายเป็นว่าจุดประสงค์ของผม นั่นคือการไปเที่ยวด้วยกัน พ่อ-ลูก มากกว่า

มองตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหนก่อนและหลังมีลูก

เปลี่ยนไปมากนะ ก่อนจะเป็นพ่อ ผมรู้เรื่องเด็กน้อยมาก แต่ก็คิดว่าการมีลูกต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ซึ่งมันก็จริง

แต่ถามว่าตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ก่อนผมใช้ชีวิตลุยๆ ทำงานหนัก ผมทำงานไม้ โดยปกติจะมีการเปิดสอนเวิร์คช็อปในวันเสาร์อาทิตย์ แต่พอมีลูกก็ต้องคิดและแบ่งเวลาใหม่แล้ว จันทร์-ศุกร์ เขาไปโรงเรียน ถ้าเสาร์-อาทิตย์ เรายังทำงานอีก กลายเป็นว่าเราจะไม่มีเวลาอยู่กับลูกเข้าไปใหญ่ ก็ต้องจัดสรรเวลาทำงานใหม่

ส่วนเรื่องตัวตน ผมเป็นคนใจเย็นอยู่แล้ว พอมีลูกอยู่กับเด็กก็ไม่ได้มีปัญหาต้องปรับอะไรมาก

ในการเริ่มต้นเป็นพ่อ เรากังวลหรือคาดหวังอะไรบ้างในตัวเอง

ต้องบอกก่อนว่าเราบังเอิญมีน้อง แต่เราแฮปปี้มาก สิ่งที่ตามมาเราก็คาดหวังกับตัวเองว่าเราจะเป็นพ่อได้ดีไหม อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้สนิทกับพ่อ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อมาก่อน คิดไปต่างๆ ว่าเราจะเลี้ยงเขาได้ไหม เราจะทำเป็นไหม จะเลี้ยงแบบไหน ใช้ชีวิตกับลูกอย่างไร แต่พอมีลูกจริงๆ เราไม่โฟกัสกับความคาดหวังอะไรเลย ปล่อยให้ธรรมชาติสอนเราเอง

แล้วธรรมชาติสอนอะไรเราบ้าง

ธรรมชาติทำให้เราได้รู้ว่า ‘เราเลี้ยงลูกได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดตำราดู’ เราเลี้ยงเขาจากการดูว่าเขาเป็นเด็กอย่างไรโดยอาศัยเวลาจากการที่เราอยู่กับเขาบ่อยๆ เล่นกับเขา ใช้ชีวิตกับเขา จะทำให้เรารู้ว่าควรจะใช้วิธีอะไรสอนเขา

ผมมองว่าการเลี้ยงไม่ต่างอะไรจากการเล่นเกมเลย เราไม่สามารถบังคับเขาเหมือนตามตำราบอก เด็กแต่ละคนมีธรรมชาติต่างกัน การที่ลูกดื้อก็คือเกมหนึ่งเกมที่พ่อแม่จะต้องหาวิธีแก้ไปเรื่อยๆ อยู่ที่ว่าใครจะเจอวิธีแก้ที่เหมาะสมกับตัวเองได้เร็วกว่ากัน

สมมุติน้องฮาวล์ดื้ออยากได้ของเล่น ร้องไห้ ผมจะใช้วิธีบอกลูกไปเลยว่า ‘วันนี้พ่อไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา พ่อไม่มีตังค์ ซื้อให้ลูกไม่ได้’ ก็ใช้วิธีแบบนี้แก้เกมไป เขาดื้อตรงนี้ก็แก้ตรงนี้ โดยที่ไม่ต้องไปเปิดตำราดู ใช้ธรรมชาติของลูกสอนเราเป็นหลัก

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักเลี่ยงไม่ได้กับการเปรียบเทียบตัวเอง เราเป็นอย่างนั้นไหม

ยอมรับว่าเรื่องนี้เรายังโฟกัสกับมันอยู่ ผมโตมากับครอบครัวที่ชอบเปรียบเทียบ เวลาเราไปเจอญาติๆ เจอพี่น้อง ได้ฟังว่าคนนู้นคนนี้สอบได้ที่นั่นที่นี่ ซึ่งผมไม่ค่อยโอเคกับสิ่งนี้สักเท่าไร พอสิ่งไหนเราไม่โอเค ก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับลูก ผมก็ไม่คาดหวัง หรื่อเร่งให้ลูกต้องทำแบบนั้นแบบนี้ให้ได้ มันไม่จำเป็น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติมากกว่า เช่น การไปโรงเรียน ผมก็ไม่ได้เร่งรัดให้เขาต้องรีบอ่านหนังสือได้ หรือเน้นการท่องจำ อยากให้เขาได้ทำอย่างอื่นที่สร้างการเรียนรู้ไปด้วยมากกว่า อย่างการเล่นเลโก้ ปั้นดินน้ำมัน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาชอบ

เราเห็นพัฒนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเขาผ่านการเล่น ซึ่งโรงเรียนอาจให้ไม่ได้อย่างเต็มที่ เพราะต้องทำตามสิ่งที่ครูบอก ต้องเขียน ต้องคิดตามคำสั่ง น้องฮาวล์เลยเป็นเด็กที่หยุดเรียนบ่อยมาก ซึ่งผมนี่แหละที่เป็นคนให้เขาหยุด ผมอยากให้เขาเล่นมากกว่า แต่ถ้าความคิดโซนปู่ย่าตายายเขาก็จะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง เราก็ต้องบาลานซ์ทั้งสองความคิดให้ได้

การเล่นของลูก เชื่อมโยงกับงานไม้ที่เราทำอย่างไร

ผมไม่ได้ตั้งใจหรือบังคับให้ลูกต้องมาเรียนรู้ผ่านสิ่งที่ผมทำ แต่ธรรมชาติของเด็ก เมื่อเขาอยู่ใกล้อะไร เขาก็จะเรียนรู้ได้เอง เป็นกลไกธรรมชาติที่เจ๋งมาก

เวลาอยู่ด้วยกันผมไม่ได้สอนหรือบอกให้เขาไปเจาะไม้ แต่เขากลับเดินไปหยิบเศษไม้ หยิบไขควงมาไขน็อตเอง เป็นเรื่องที่เราประหลาดใจเพราะไม่เคยสอนเขา แต่มันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องสมองเด็กที่ทำให้เขาซึมซับจากสิ่งที่พ่อทำ ผมจึงเชื่อว่าเด็กคนหนึ่ง ถ้าโตขึ้นมาในสังคมหรือครอบครัวที่ทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เด็กก็จะซึมซับไปได้เอง

น้องสนุกกับการทำอะไรที่สุดในวัยนี้

เขาดูจะเอ็นจอยกับการได้ทำอะไรไปเรื่อยๆ เช่น นั่งต่อเลโก้ ปั้นดินน้ำมัน คือปั้นได้ทั้งวัน ปั้นแล้วปั้นอีก โชคดีที่เขาจะมีสมาธิกับการเล่นอะไรนานๆ ผมไม่ค่อยให้เขาเล่นโทรศัพท์เท่าไร อย่างมากก็พาเขาดูทีวี ดูการ์ตูนยูทูบด้วยกัน

พอรู้ว่าน้องชอบอะไร ส่งเสริมหรือวางแผนอะไรต่อบ้าง

พวกอุปกรณ์หรือของเล่นที่เขาชอบเราก็ต้องสนับสนุน ซื้อให้เขาเล่น น้องฮาวล์ชอบเล่นหุ่นยนต์แปลงร่าง ตอนแรกผมไม่ได้สนใจเขาอยากเล่นก็ซื้อให้ แต่เริ่มสังเกตไปเรื่อยๆ เวลาเขาเล่นเขาจะเริ่มบิด เริ่มต่อ เริ่มพับ มันมีเรื่องของเมคานิค (mechanic) เข้ามาเกี่ยวข้องโดยที่เราไม่รู้ตัว บางครั้งตัวยากๆ ผมยังทำต่อไม่ได้เลยแต่เขากลับทำได้ อีกเรื่องหนึ่งคือการพยายามพาลูกเที่ยว

เพิ่งรู้ว่าการพาลูกไปเที่ยวถือเป็นการได้เรียนรู้ลูกอย่างหนึ่ง

ผมเริ่มพาลูกไปเที่ยวหลังจากที่แยกกับคุณแม่ เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกต้องอยู่คนเดียว เคยพาน้องไปน้ำตกซึ่งมันต้องเดินไกลมากกว่าจะได้เห็นต้นน้ำ ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเอาด้วย แต่พอถึงจุดนั้นแล้วเขาไม่งอแง เขาแฮปปี้ บางทีก็ทำให้เราคิดว่า ‘พ่อแม่ไม่ควรคิดแทนลูกหรือเด็ก’ บางทีสิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่เขาต้องการหรืออยากไปเห็นได้ด้วยตัวเองมากกว่า

อีกอย่างเราได้เห็นพัฒนาการของลูกผ่านการเที่ยวด้วย

เมื่อคุณส่งลูกเรียนเปียโน แน่นอนว่าลูกก็ต้องเล่นเปียโนได้ แต่การเลี้ยงแบบพาไปเจอของจริง หรือปล่อยให้เขาเล่นไปเรื่อยๆ แล้วเขาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้โดยที่เราไม่ต้องสอน นั่นคือว้าวโมเมนต์สำหรับผม

พาลูกเที่ยวที่ไหน แบบไหนบ้าง

ผมชอบพาไปที่เหนื่อยๆ (หัวเราะ) แต่สถานที่ที่ลูกชอบคือสวนสัตว์ ผมเลยกลายเป็นนักล่าสวนสัตว์ไปเลย ส่วนใหญ่จะพาไปตามสถานที่ธรรมชาติ พาเขาไปเจอของจริง เขาจะรู้จักสิ่งต่างๆ มากกว่าเห็นในหนังสือ นอกจากพาไปแล้วเราก็จะสนับสนุนข้อมูลเขาให้ได้มากที่สุด เช่น ไปดูวาฬ เราก็จะสอนว่านี่เป็นวาฬชนิดอะไร พันธุ์อะไร

ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวของสองพ่อลูกได้ที่เพจ Daddy on the way

คาดหวังอะไรบ้างในตัวลูก

ตอนนี้ยังไม่ได้ให้คาดหวังอะไร ปล่อยให้เขาได้เล่น ให้เขาโตตามแบบที่เขาเป็น ตามธรรมชาติที่ติดตัวมา สิ่งหนึ่งผมสังเกตได้จากเล่นปั้นดินน้ำมันของเขา คือผมไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นเล่นอย่างไร

น้องฮาวล์อยากได้กันดั้มมาก แต่พ่อไม่ซื้อให้ เขาใช้วิธีปั้นชิ้นส่วนเล็กๆ ค่อยมาประกอบกันเป็นหุ่นยนต์ ผมก็เออ ‘เฮ้ย ถ้าเป็นเราตอนเด็กก็คิดไม่ได้แบบนี้ อยากได้หุ่นยนต์ก็ปั้นเป็นตัวเลย’

แต่ถ้าถามว่าในอนาคตคงจะ Homeschool ไหม ก็คงไม่ เพราะเรายังไม่มีศักยภาพและความพร้อมมากพอ คงใช้วิธีส่งเสริมพัฒนาและพาเขาไปเที่ยวเล่นมากกว่า

ถ้าย้อนมองลูกตอนนี้กับชีวิตเราวัยเด็ก แตกต่างหรืออยากเพิ่มเติมอะไรบ้าง

คล้ายๆ กัน ชีวิตวัยเด็กของผมโตมากับครอบครัวเป็นหลัก แต่จะต่างกันที่ผมอยู่ในสังคมที่ผู้ใหญ่ตัดสินใจให้เราหมดเลย และห้ามเยอะ ห้ามทำนู่น ทำนี่ จนทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าบางอย่างเราก็รู้สึกไปด้วย เช่น ห้ามไปเที่ยวกลางคืน ห้ามกลับดึก ซึ่งผมก็กลายเป็นคนไม่ชอบไปเที่ยวกลางคืนไปเลย แม้บางครั้งที่โตแล้ว ดูแลตัวเองได้ เราก็ไม่สนุกกับสิ่งนั้นอีกแล้ว ซึ่งถ้าผมจะมาสอนลูกต่อก็คงใช้วิธีบอกด้วยเหตุผลมากกว่าการห้าม บอกว่าเราเป็นห่วงเขา อะไรก็ว่าไป

ผมว่าการเลี้ยงลูกในยุคสมัยนี้ พ่อแม่ควรเอาบทเรียนในวัยเด็กมากางออกแล้วดูว่าอะไรที่เราไม่ชอบจากพ่อแม่ของเรา ก็ปรับอย่ามาส่งต่อให้ลูกของเรา เพราะเด็กที่มีความสุขไม่ได้แปลว่าต้องมีความสามารถพิเศษ ต้องเรียนไวโอลิน เป็นนักว่ายน้ำ หรือแข่งโอลิมปิก อีกต่อไปแล้ว

แค่เราเห็นลูกแฮปปี้กับสิ่งที่เราให้ แปลว่านั่นเรามาถูกทางแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตพ่อลูกแบบเราก็คือการหาเรื่องเที่ยวกันต่อ (หัวเราะ)

Tags:

มายาคติการเป็นแม่พ่อ

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • Movie
    รีวิวตัวละครเเม่ในหนังหลากสัญชาติที่บอกว่า ไม่ว่าหนังหรือชีวิตจริง แม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

    เรื่อง The Potentialณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Family Psychology
    โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

นี่ไง ครอบครัวสมบูรณ์แบบของฉัน แล้วของคุณล่ะ ?
Family Psychology
13 April 2019

นี่ไง ครอบครัวสมบูรณ์แบบของฉัน แล้วของคุณล่ะ ?

เรื่อง

พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ บอกว่า หนึ่งในปมที่พ่อแม่ยึดถือไว้ จนทำให้ลูกเกิดปัญหา นั่นคือ ‘ความสมบูรณ์แบบ’

“ถ้าเราพูดถึงครอบครัว หน้าตาของมันก็จะมีพ่อแม่ลูก แต่จริงๆ แล้วครอบครัวที่สมบูรณ์มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนในครอบครัว มันคือใครแค่คนเดียวที่เลี้ยงเด็กคนหนึ่งหนึ่งได้อย่างมีความสุขและเป็นไปตามศักยภาพเขา มันไม่มีหรอกพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบมีแต่พ่อแม่ธรรมดาๆ นี่แหล่ะก็เลี้ยงลูกได้ดีได้” 

ฉะนั้น ครอบครัวสมบูรณ์แบบในอุดมคติที่คิดไว้ อาจจะไม่ใช่ความสมบูรณ์ที่แท้จริงอีกต่อไปก็เป็นได้

Tags:

มายาคติการเป็นแม่พ่อแม่

Author:

Related Posts

  • Juno: การรับมือกับท้องไม่พร้อม และการบอกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ(ด้วยตัวเอง)กับครอบครัว

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ BY ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน
Voice of New Gen
11 April 2019

‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ค่าย Young Creator’s Camp หรือ YCC คือพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เด็กมัธยมปลายที่สนใจการเขียนโค้ดหรือการออกแบบ ได้ลงมือสร้างโปรดักท์เป็นของตัวเอง จัดขึ้นเมื่อ 29-31 มีนาคมที่ผ่านมา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • ค่าย YCC เกิดขึ้นโดย ภูมิ-ภูมิปรินทร์ มะโน เด็กหนุ่มวัย 17 เป็นหัวเรือใหญ่ นั่งแท่นประธานค่าย ได้รับการร่วมมือร่วมแรงของเพื่อนๆ พี่น้องเยาวชนในแวดวงเทคโนโลยี
  • กระบวนการเวิร์คช็อปในค่ายทั้งสามวัน อยู่บนหลักการและแนวคิดเรื่อง Design thinking, User experience, Lean startup ซึ่งทั้งสามศาสตร์นี้ จะช่วยให้ได้โปรดักท์ที่ดีที่สุด
ภาพ: อรสา ศรีดาวเรือง

“เพราะการเขียนโปรแกรม ไม่ใช่งานของกรรมกรห้องแอร์ แต่เป็นงานของนักเวทมนตร์”

นี่คือดอกผลของความพยายามเกือบ 1 ปีเต็มที่ ภูมิ-ภูมิปรินทร์ มะโน เด็กหนุ่มวัย 17 ผู้หยุดเรียนไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต (อ่านได้ที่นี่) ทุ่มเทเวลาและแรงใจในการเตรียมตัว เพื่อสร้างพื้นที่ให้คนที่สนใจในการเขียนโค้ดหรือการออกแบบดีไซน์ ได้โชว์ศักยภาพและปล่อยของที่ตัวเองมีออกมา

จุดเด่นที่น่าสนใจของค่าย Young Creator’s Camp เรียกสั้นๆ ว่า YCC Camp คือบุคคลที่อยู่หลังฉากล้วนเป็นเยาวชนทั้งหมด ทำเองตั้งต้น วางแผน ฟอร์มทีม ระดมทุน คิดค้นกระบวนการ เจาะกลุ่มเป้าหมาย ประชาสัมพันธ์ จนค่ายสามวันเกิดขึ้นได้ 

‘เด็กสร้างค่าย’ คือสามคำของงานนี้จริงๆ

ค่ายนี้จัดขึ้นเพื่ออะไร

ก่อนอื่นผมขอแบ่งจุดประสงค์ของค่ายนี้เป็น 2 ข้อ คือ 1.จุดประสงค์ต่อน้องๆ และ 2.จุดประสงค์ต่อสังคม

อย่างแรกผมอยากให้น้องๆ ที่เข้ามาร่วมค่ายได้สนุกกับการสร้างโปรดักท์ มองมันไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ และเมื่อน้องกลับบ้านไป ทำให้น้องรู้สึกอยากเล่นสนุกกับเพื่อนๆ มากขึ้น ให้เขารู้สึกว่าการเขียนโปรแกรมไม่ใช่งานของกรรมกรห้องแอร์ แต่เป็นงานของนักเวทมนตร์

ส่วน hidden agenda จุดประสงต์ต่อสังคมของเรา คือการสร้างชุมชนนักสร้าง หรือ creator community ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ถึงแม้ตอนนี้ในประเทศเริ่มมีความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เยอะมากขึ้น แต่น้อยคนจะให้ความสำคัญกับ ‘นักสร้างวัยเด็ก’

“ทุกคนชอบบอกว่าเด็กเป็นอนาคตของชาติ แต่ผมว่าไม่ใช่ ผมว่าเด็กคือปัจจุบัน” แล้วทำไมเราไม่ทำปัจจุบันให้ดี

โปรดักท์ที่ว่า…คืออะไร

เป็นได้หมดครับ ทั้งแอพพลิเคชั่น เว็บไซต์ หรืองานออกแบบ แต่ผมมองลึกไปกว่านั้น สิ่งที่น้องๆ จะได้จากค่ายอย่างแน่นอน คือการสร้าง prototype หรือการจำลองต้นแบบมากกว่า เพราะเป้าหมายตั้งแต่แรกของค่าย เราไม่ได้ให้ทุกคนทำทุกอย่างได้ภายใน 3 วัน แต่เป็นการให้น้องๆ ฝึกทำแบบร่าง แบบจำลอง ขุดเอาไอเดียของตัวน้องๆ ออกมา แล้วดูว่า ‘ไอเดียนั้น ถ้ามันเกิดขึ้นจริงแล้วจะเวิร์คไหม’

โดยน้องๆ จะได้ลองขึ้นโครงเขียนโค้ด เขียนเว็บ ทำแอพพลิเคชั่น รวมถึงงานดีไซน์ด้วยตัวเอง

กิจกรรมในค่าย มีอะไรบ้าง และน้องๆ จะได้รับประโยชน์อะไร

กิจกรรมในค่ายจะถูกแบ่งเป็น 3 วัน วันแรกคือ ‘วันคิดไอเดีย’ เป็นวันที่พาน้องๆ เข้าร่วมเวิร์คช็อปผ่านศาสตร์ทั้งสามที่ผสมผสานกัน ได้แก่ Design thinking, User experience, Lean startup โดยทั้งสามศาสตร์นี้ เหมือนเป็นการช่วยมองเหรียญหลายๆ ด้าน

สมมุติเราต้องการสร้างโปรดักท์ให้ถึงมือผู้ใช้ เราต้องอาศัยการมองจากสามศาสตร์นี้ นั่นคือ การมองจากผู้ใช้เป็นหลัก ดูว่าผู้ใช้มีลักษณะเป็นอย่างไร การทำโปรดักท์ให้เด็กอายุ 18 ในเมือง ย่อมต่างจากโปรดักท์ที่ทำให้ผู้สูงอายุที่อยู่ในชนบท เพราะบริบทมันต่างกัน

ศาสตร์ต่อมาคือ design thinking จะช่วยฝึกให้น้องคิดไอเดีย ร่างไอเดียขึ้นมาในเวลาที่จำกัด ทำให้น้องสามารถจับความคิดที่ลอยฟุ้งออกมาเป็นไอเดียจริงให้ และสุดท้ายตามด้วย lean startup ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ให้ทุกคนเชื่อในความล้มเหลว เพราะว่าไอเดียแรกที่เราคิด ไม่มีวันที่จะถูกต้องทั้งหมด ไอเดียแรกเกิดจากความมโน เกิดจากความฟุ้งของเราเอง ดังนั้นเราต้องอาศัยหลักของผู้ใช้และอาศัยของข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพื่อพิสูจน์ว่าไอเดียนั้นจริงหรือเจ๋ง

ทำไมต้องเป็นสามศาสตร์นี้ มันเชื่อมโยงกันอย่างไร

ผมมองว่ามันมีความ overlap กันสูงมาก ถ้ามองเป็นวงกลมสามวง จะมีส่วนที่เป็นจุดคาบเกี่ยวกันอยู่หลายจุด เช่น design thinking จะช่วยทำให้ไอเดียออกมาเป็นโปรดักท์ได้ง่ายขึ้น และทั้งสามศาสตร์นี้มันเสริมทำให้น้องๆ เห็นภาพรวมชัดขึ้น เหมือนเป็นกรวยที่ค่อยๆ ช่วยตกตะกอนไอเดียของน้องให้เป็นจริง

ภูมิใช้มาตรวัดอะไรในการเลือก 3 ศาสตร์นี้มาถ่ายทอดในเวิร์คช็อป

ต้องบอกก่อนว่า ผมได้ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวเข้าร่วมด้วย ผมเคยผ่านการเข้าค่ายของ ‘โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่’ ซึ่งในค่ายนั้นเคยมีคลาสสอนศาสตร์เรื่อง user experience หรือ UX มันเปิดมุมมองผมมากๆ โดยธรรมชาติของคนที่เป็นโปรแกรมเมอร์หรือดีไซเนอร์จะมีแนวคิดว่าความคิดตัวเองจะถูกต้องเสมอ แต่พอเข้าคลาส UX มันทำให้มองเห็นตัวผู้ใช้มากขึ้น ต้องเข้าใจ ต้องนึกถึง มีความเห็นอกเห็นใจ มีเมตตาต่อเขามาขึ้น

เพราะ “product ที่ดีต้องเข้าใจ users”

เช่นเดียวกับ Lean startup ผมได้มาจากการร่วมงาน Startup Thailand อย่างที่บอกศาสตร์นี้จะช่วยสอนให้เราไปต่อได้เมื่อล้มเหลว เราชอบ Lean startup มาก เพราะเราเป็นคนที่กลัวการล้มเหลว แต่ Lean startup  ทำให้เรามองความล้มเหลวเปลี่ยนไป สนุกกับความล้มเหลว ‘เฟลก็ได้ไม่เห็นเป็นอะไรนิ’ ซึ่งผมคิดว่ามันเหมาะที่จะเอามาส่งต่อให้น้องๆ ในค่าย

ดังนั้นในค่ายนี้จะมีทั้งการผสมผสานทั้งการเห็นอกเห็นใจผู้ใช้ ผสมผสาน design thinking จะช่วยให้ไอเดียคมและชัดขึ้น รวมถึงยังผสมผสานกับการไม่กลัวที่จะล้มไปด้วย

แล้วทั้งสามศาสตร์นี้ จะช่วยให้น้องๆ เข้าใจการสร้างโปรดักท์อย่างไร

กิจกรรมวันแรกของค่าย เราจะให้น้องๆ แชร์เรื่องอะไรก็ได้ ที่คิดว่าเป็นปัญหาที่น้องเจอ โดยเรายกตัวอย่างคร่าวๆ อาจเป็นเรื่องคมนาคม ความเหลื่อมล้ำ การเหยียดหยาม เหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ แล้วปล่อยให้น้องๆ ได้คิดออกมาว่าปัญหาที่น้องเจอคืออะไร

ซึ่งปัญหาที่เจอเหล่านี้จะนำไปสู่การสร้างตัวตนหรือต้นแบบของผู้ใช้ (user) ยกตัวอย่างเช่น ผมต้องการออกแบบปุ่มซื้อของที่ใหญ่ขึ้นให้นายโลมา ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่านายโลมาเป็นใคร นิสัยอย่างไร ความต้องการของเขาคืออะไร

ต่อมาคือการเวิร์คช็อปให้น้องๆ เรียนรู้เรื่อง user journey เราจะให้น้องวาดเส้นทางการเดินทางผู้ใช้ ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงการเจอปัญหา ยกตัวอย่างเช่น การเดินทางมาค่ายวันนี้ ต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง ตั้งแต่ตื่นนอน รถติด กินข้าวไม่ทัน ต้องนั่งรถเมล์หลายต่อ รอนาน จากนั้นก็ให้น้องพล็อตความรู้สึกเอาไว้ว่ารู้สึกอย่างไร มันไม่โอเคเพราะอะไร

จากนั้นหยิบปัญหาดังกล่าวมาแก้ไข โดยการให้ทางเลือกอยู่ในประโยคว่า ‘จะดีกว่าไหม ถ้า…’ จะดีกว่าไหม ถ้าเราทำให้รถไม่ติด จะดีกว่าไหมถ้ามีรถมารับเราถึงที่ สิ่งนี้จะก่อให้เกิดแอพพลิเคชั่นที่เป็นตัวช่วยต่างๆ มากมาย

เมื่อเจอปัญหา เจอทางเลือก ต่อมาคือการลงมือแก้ไข โดยการทดลองทำตามสมมุติฐาน สมมุติฐานคือสิ่งที่น้องมโนขึ้นมา ต้องตรวจสอบก่อนว่าข้อมูลนั้นว่าเป็นจริงหรือไม่ โดยวิธีสัมภาษณ์ผู้ใช้และหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต

ในค่ายวันที่ 2 เราจะให้น้องลงมือพิสูจน์ไอเดียของตัวเอง โดยตามหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใช้ (user) ตามต้นแบบของน้องๆ ในบริเวณชุมชนลาดกระบังหรือสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อน้องๆ จะได้รู้ว่าไอเดียของตัวเองเป็นอย่างไร ทำได้จริงไหม หรือมีจุดใดบ้างต้องปรับปรุง

จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงการเขียนโค้ดโปรแกรมข้ามวันข้ามคืนไปถึงวันที่ 3 และปิดท้ายด้วยการสรุปผลและนำเสนอผลงานทั้งสามวันให้กรรมการได้แนะนำต่อไป

ค่าย YCC ใครสามารถเข้าร่วมได้บ้าง

เหมาะกับเด็กมัธยมที่มีความสนใจ หรือมีความเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรมและการออกแบบ เราแบ่งการรับสมัครเป็น 2 กลุ่ม คือโปรแกรมเมอร์ 15 คน ดีไซเนอร์ 15 คน

ผมเชื่อว่าคนที่จะเห็นโปรดักท์ได้ดีที่สุด คือคนที่เขียนโปรแกรมได้ ออกแบบดีไซน์ได้ เท่าที่จากคนที่สมัครมาทั้งหมด พบว่าสมมุติฐานของผมค่อนข้างเป็นจริง

พวกเขาเข้าใจเวิร์คช็อปได้เร็วมาก ถึงแม้ผมจะสอนเป็นครั้งแรก ไม่เคยทำค่ายหรือเวิร์คช็อปมาก่อน อีกสาเหตุที่ค่ายนี้ต้องรับเด็กที่พอมีพื้นฐานมาก่อน เพราะระยะเวลา 3 วัน สั้นมากกับการจะผลิตชุมชนนักสร้าง หรือ creator community ขึ้นมา

และเป้าหมายของผมอีกอย่างคือการส่งต่อให้น้องที่มาเข้าค่ายในวันนี้ ได้ลุกขึ้นมาสร้างค่ายของตัวเอง

ทำค่ายครั้งแรก เจอความเครียด หรือความยาก ท้าทายอะไรบ้าง

ต้องบอกเลยครับว่าผมเครียดมาก เครียดจนนอนไม่หลับ แต่พอได้ลงมือสอน ลงมือเวิร์คช็อป แล้วเราเห็นน้องๆ เข้าใจเนื้อหาตามที่เราสอน มันภูมิใจมาก

เตรียมตัวหนักแค่ไหน

เราเตรียมตัวหนัก และไม่ใช่แค่ผมคนเดียวในฐานะประธานค่าย แต่คนที่น่าชื่นชมกว่าผมก็คือทีมงานเพื่อนๆ สตาฟทุกคนที่มาช่วยกัน ทุกคนทำงานกันหนักมากและพร้อมจะพลิกไปตามสถานการณ์ เมื่อเช้าที่ค่ายไฟดับเราก็ผ่านมากันได้ ในฐานะประธานค่ายผมรู้สึกว่าเราไม่ต้องแบกอะไรไว้เองคนเดียว เพราะทีมงานทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนอยากเห็นว่าค่ายจะออกมาหน้าตาอย่างไร

“เกือบ 1 ปีทุ่มเทมา จากที่ผมเคยพูดเล่นๆ ว่าอยากทำค่าย ตั้งแต่มีไอเดียฟุ้งๆ จนตอนนี้กลายเป็นจริงขึ้นมา มันก็ภูมิใจครับ”

ย้อนถามนิดนึงว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ภูมิตัดสินใจลงมือทำค่าย

เพราะโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ครับ ผมเข้าใจผิดไปว่าโครงการนี้จะไม่มีรุ่นที่ 7 แล้ว เลยทำให้ผมแพนิคมาก เพราะมันเป็นค่ายที่ดี เราอยากส่งต่อสิ่งดีๆ ให้น้อง โดยการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้ แต่ถ้าไม่มีค่ายก็น่าเสียดาย จึงตัดสินใจจัดค่ายเอง แต่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ก็ยังมีอยู่ ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะความเข้าใจผิดที่ว่านี้ทำให้เราฮึดสู้สร้างค่ายขึ้นมา โดยมีโครงการต่อกล้าฯ เป็นแรงบันดาลใจ

ค่ายจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีเงิน ภูมิใช้วิธีใดในการหาผู้สนับสนุน

ก่อนอื่นเลยเราต้องมองหาองค์ที่เห็น value หรือคุณค่าของค่ายเราก่อน จากนั้นใช้วิธีเดินเข้าไปหาองค์กรนั้นๆ ด้วยตัวเอง เข้าไปพูดคุยและอธิบายให้เขาเห็นว่าค่ายเราคืออะไร ประโยชน์ของค่ายเราอยู่ตรงไหน สื่อสารกับผู้สนับสนุนของเราตรงไปตรงมา

ผมใช้วิธีนี้และคิดว่าวิธีนี้ดีกว่าการยื่นเอกสารหรือส่งจดหมายขอเงินลอยๆ ที่สำคัญเราต้องคิดแทนองค์กรที่จะเป็นผู้สนับสนุนของเราด้วยว่า ‘ค่าย YCC ของเราก็สามารถสร้าง value ให้เขาได้เช่นกัน’ ซึ่งค่ายนี้มีสปอนเซอร์ทั้งหมด 10 เจ้า ตัวเลขงบประมาณกลมๆ ที่ใช้ทำค่ายอยู่ที่หนึ่งแสนเก้าหมื่นบาท

ส่วนการรวมสตาฟ เราก็เริ่มชักชวนจากเพื่อนๆ ที่รู้จักในแวดวงเดียวกัน ทั้งที่เจอกันในค่ายอื่นรวมถึงค่ายต่อกล้าฯ ผมขอบขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ที่ทำให้ค่ายนี้มันเกิดขึ้น รวมถึงสปอนเซอร์ด้วย

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่เข้าใจหรอกครับ ว่าคนบ้าที่ไหนจะเอาเวลาเป็นเดือนๆ ไม่หลับไม่นอน ยอมโดดทำงาน ยอมโดดไม่เข้ารับใบจบ เพื่อมาทำค่ายเล็กๆ ค่ายนี้ โดยที่ไม่มีค่าตอบแทนอะไรให้เขาเลย แต่ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วเพราะพวกเราเห็นภาพเดียวกัน”

ในอนาคต ค่าย YCC จะดำเนินต่อไหม

สนุกมากครับ ยังไงจะดำเนินต่อแน่นอน แต่เราจะไม่ดำเนินต่อแบบปกติ เราจะชวนน้องที่มาร่วมค่ายกับเราครั้งนี้ลุกขึ้นมาเป็นพี่ค่ายในปีหน้า อาจจะไม่ใช่ค่าย YCC แบบปีนี้ เป็นค่ายใหม่พี่เพิ่มความท้าทายขึ้นหรืออะไรก็ตามแต่

เวลาเกือบ 1 ปีที่ทุ่มเท จนเป็นรูปเป็นร่าง ภูมิรู้สึกอย่างไรบ้าง

เหมือนเราฝันอยู่เลย ที่เราทำอยู่นี่มันจริงหรอ มีพื้นที่ มีเวิร์คช็อปที่เราคิดเอง มีพี่ๆ วิทยากร มันเหมือนฝันเลย ปีก่อนผมยังเคยพูดอยู่เลย จัดค่ายแค่นี้ให้มาพูด 1 วันก็ทำได้แล้วไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลย แต่พอขยับมาเป็นประธานค่ายแล้ว มันทรมาน มันเจ็บ มันเหนื่อย แต่สิ่งที่ออกมาคุ้มค่า เราอยู่กับทุกกระบวนการตั้งแต่ไอเดียยังเป็นวุ้น ผ่านการประชุม ผ่านการทำงานจนเป็นรูปเป็นร่าง คงไม่มีอะไรจะมากไปกว่าคำขอบคุณและความดีใจ

เชื่อในพลังของเทคโนโลยีมากแค่ไหน

ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ หลายๆ คนบอกว่าปัญหาต่างๆ มันควรแก้ที่คนไม่ใช่เทคโนโลยี แต่ผมเห็นต่าง

ผมเชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้มีอิสระทางความคิด มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่ออยู่ตามกรอบใดๆ มนุษย์เป็น free thinking ไม่ควรมีใครมากำหนดว่ามนุษย์ควรทำหรือไม่ทำอะไร แต่ควรจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์ทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ง่ายขึ้นและช่วยทำให้สังคมดีขึ้น เทคโนโลยีที่ดีควรทำให้ชีวิตมนุษย์ง่ายขึ้น

“เป้าหมายในชีวิตของผมคือการเป็น technology developer นอกจากผมจะพัฒนาโปรดักท์ของตัวเองแล้ว ผมจะพัฒนาชุมชนนักสร้าง ชุมชนโปรแกรมเมอร์อายุเยาว์ ผมอยากทำสิ่งนี้มานาน”

ผมมองว่าเราทำโปรดักท์ให้คนอื่น ก็เหมือนเราจับปลาให้เขากิน เกิดวันใดวันหนึ่งเราไม่อยู่ เราเหนื่อยเกินที่จะทำเอง วิชาจับปลาก็จะตายไปพร้อมเรา แต่ถ้าเราสร้างชุมชนนักสร้าง ส่งต่อให้เด็กรุ่นต่อไป สิ่งเหล่านี้มันก็จะไม่หายไป และมันจะไม่เป็นเหมือนเดิม เพราะน้องทุกคนก็มีไอเดียที่ต่างกัน

จริงๆ อย่างที่บอก ค่าย Young Creator’s Camp แค่อยากให้น้องรู้สึกสนุกกับการทำโปรดักท์ ผมเคยเจอมาเยอะแล้วคนที่มาเขียนโปรแกรมเพราะอยากได้เงิน ไม่ต่างกับกรรมการห้องแอร์ ดังนั้นค่ายนี้แค่ไปจุดประกายให้น้อง เหมือนที่ค่ายต่อกล้าให้เติบใหญ่เคยให้กับผม ซึ่งในฐานะที่ผมเองก็เป็นเยาวชนอายุ 17 คนหนึ่ง ผมจึงอยากส่งต่อวิธีนี้ผ่านค่ายให้น้องๆ มากกว่า

Tags:

21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรภูมิปรินทร์ มะโน4CscodingYoung Creator’s Camp (YCC)Generation of Innovator

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ปิยะธิดา อินทะนัย: จากนักเรียนสู่นักวิจัยรุ่นเยาว์ ผ่านโครงการทำอาหารกุ้งฝอยจากเบต้ากลูแคน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character buildingCreative learning
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?
Family Psychology
11 April 2019

อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • วินัยสร้างได้ในครอบครัวก็จริง แต่ซูมให้ลึกลงไปกว่านั้น วินัยย่อมสร้างจาก ‘สัมพันธภาพที่ดี’ และ ต้องเป็น ‘วินัยเชิงบวก’ ที่จะกลับไปสร้าง ‘ตัวตน’ ที่เต็มพร้อม ไม่ใช้พฤติกรรมด้านลบมาต่อสู้หักหาญกัน
  • 3 ประเด็นวินัยเชิงบวกกับ 3 วิทยากร บนเวที ‘วินัย สร้างได้ในครอบครัว’ โดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) วันที่ 4 เมษายน 2562 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
  • ตั้งแต่วินัยเชิงบวกในปฐมวัย, วัยรุ่น และ การฟื้นคืนตัวตนของวัยรุ่นที่ก้าวพลาดด้วยวินัยเชิงบวก

“พ่อแม่อยากสอนให้ลูกมีวินัยในตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ แต่จะสร้างอย่างไรหากมันไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?”

คือความเห็นของ ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล บนเวทีสนทนา ‘วินัย สร้างได้ในครอบครัว’ จัดโดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ประโยคข้างต้นแทบจะสรุปฮุคเข้ากลางใจใครหลายคน เพราะหลายครั้งที่นึกถึงคำว่า ‘วินัย’ มักให้ภาพการสั่งสอน เข้มงวด เป็นความสัมพันธ์เชิงสั่งการ แต่จุดประสงค์บนเวทีผ่านความเห็นวิทยากร 3 ท่าน พูดตรงกันว่า วินัยสร้างได้ในครอบครัวก็จริง แต่ซูมให้ลึกลงไปกว่านั้น วินัยย่อมสร้างจาก ‘สัมพันธภาพที่ดี’ และ ต้องเป็น ‘วินัยเชิงบวก’ ที่จะกลับไปสร้าง ‘ตัวตน’ ที่เต็มพร้อม ไม่ใช้พฤติกรรมด้านลบมาต่อสู้หักหาญกัน

ปนัดดา ธนเศรษฐกร, ทิชา ณ นคร, จิราภรณ์ อรุณากูร

3 ประเด็นวินัยเชิงบวกกับ 3 วิทยากร ไล่ลำดับเรื่องเล่าจากเด็กเล็กไปถึงวัยรุ่น คือ

  • ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร หรือ ครูหม่อม: วินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัย
  • พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน: วินัยเชิงบวกในวัยรุ่น
  • ทิชา ณ นคร หรือ ป้ามล ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก: การฟื้นคืนตัวตนของวัยรุ่นที่ก้าวพลาดอย่างประณีต

วินัยเชิงบวก คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกเพื่อป้องกันและจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งช่วยพัฒนาสมองด้านอารมณ์และสังคม แต่เพื่อให้เห็นภาพและประชิดตัวพ่อแม่ขึ้นมาอีกนิด วงสนทนาจะอธิบายว่า ‘วินัยเชิงลบ’ หน้าตาเป็นอย่างไร สร้างผลกระทบในเชิงจิตวิทยาและพัฒนาการทางสมองอย่างไร

วินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัย: ตั้งแต่ตื่นนอน คุณ ‘สั่ง’ หรือ ‘สอน’ มากน้อยแค่ไหนกัน?

ดร.ปนัดดา เปิดวงคุยด้วยการชวนผู้ปกครองคิดกันว่า ตั้งแต่ตื่นนอน คุณ สั่ง หรือ สอน, ดุ หรือ ปลอบ, ต่อว่า หรือ ชื่นชม มากน้อยแค่ไหนกัน?

“เวลาที่แม่สั่ง เด็กต้องคิดไหม? เรากำลังกระตุ้นสมองส่วนคิด หรือ ส่วนต่อสู้ของเขา” ดร.ปนัดดายิงคำถามต่อ

ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างวินัยที่ดีและสร้างให้เกิดจริงอย่างไรนั้น ดร.ปนัดดากลับไปอธิบายพัฒนาการทางสมองของเด็กในช่วงปฐมวัย (ตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึง 8 ปี) ก่อนว่า สมองคนเราแบ่งออกอย่างง่ายเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า กลาง และท้าย ส่วนที่อยู่ลึกและเก่าแก่ที่สุดตั้งอยู่บริเวณท้ายทอย เรียกว่าส่วนสัญชาตญาณ สมองส่วนนี้จะเต็มพร้อมตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ ต้องพัฒนาอย่างเต็มพร้อมก่อนที่เด็กจะลืมตาดูโลก พร้อมออกไปเผชิญโลกและเอาตัวให้รอดในโลกใบนี้

สมองส่วนกลางคือส่วนอารมณ์ จะเติบโตเต็มที่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์เช่นเดียวกัน ส่วนสุดท้ายคือส่วนความคิด ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาก อย่างที่นักการศึกษาหลายคนชี้ว่า นี่คือที่ตั้งของ EF (Executive function)* สมองส่วนนี้จะเติบโตพัฒนาอย่างเต็มที่หลังคลอดโดยเฉพาะช่วง 10 ปีแรก และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนไปสิ้นสุดที่ช่วงวัยรุ่น

สิ่งที่ ดร.ปนัดดา เน้นย้ำก็คือ สมองครึ่งหนึ่ง – ส่วนสัญชาตญาณและอารมณ์ เจริญเติบโตเต็มที่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ สมองส่วนความคิดต่างหาก คือสิ่งที่พ่อแม่และคนรอบข้างต้องช่วยกระตุ้นให้เติบโต

วกกลับไปยังคำถามของ ดร.ปนัดดา ที่ว่า ในแต่ละวัน ผู้ปกครอง ‘สั่งหรือสอน, ดุหรือปลอบ และ ต่อว่าหรือชื่นชม’ มากกว่ากัน การสั่ง ดุ ต่อว่า คือการสั่งการที่กระตุ้นให้สมองส่วนความคิด ได้ทำงานหรือเปล่า?

แล้วการสั่ง ดุ ต่อว่า เกี่ยวข้องกับสมองของเด็กอย่างไร? ดร.ปนัดดาอธิบายว่า

“ยิ่งสั่ง ยิ่งดุ ยิ่งต่อว่า ก็เหมือนเรายิ่งหยอด (ประสบการณ์) ด้านลบเข้าไปในกระปุก หยอดอะไรเยอะก็เป็นการทำให้รู้ว่าตัวตนของตัวเองเป็นยังไง ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก เพราะ ‘ตัวตน’ (self) เป็นหนึ่งในพัฒนาการของเด็กด้วย เราหยอด (ประสบการณ์) อะไรลงไปในสมอง ลูกจะประมวลผลและเกิดการพัฒนา self-concept หรือการมองว่าตัวเองเป็นยังไง เรื่องนี้เป็นธรรมชาติ เป็นพัฒนาการนะคะ

“หากเราหยอดแต่คำว่า ‘ดื้อ’ ‘เกเร’ ‘โตแล้วยังต้องให้ว่า’ ‘ปากจะฉีกถึงหู’ เขาก็จะมองว่าตัวเองเป็นแบบนั้น ข้อมูล (ที่สะสมในกระปุก) ตรงนี้จะเป็นฐานข้อมูลเพื่อไปสร้างอัตลักษณ์ตัวเองต่อในวัยรุ่น และเกี่ยวกับการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรของเขา เช่น หากเรามองว่าตัวเองเป็นร็อคเกอร์ เดินไปเจอผ้าลูกไม้วางขายอยู่ เราจะซื้อไหม? ก็ไม่ซื้อใช่ไหมคะ หรือ เพื่อนของเราจะเป็นขาร็อคเหมือนกันหรือจะเป็นสไตล์แนวบอยแบนด์? ก็ต้องเป็นชาวร็อคเหมือนกัน นี่คือการสร้างตัวตน”

ดร.ปนัดดาขยายความต่อว่า การหยอดประสบการณ์ในกระปุกก็คือ ความทรงจำที่ฝังลงในสมองพร้อมถูกหยิบไปใช้งาน (working memory) เมื่อไรก็ตามที่มีสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ ความพร้อมใช้งานเหล่านี้จะถูกหยิบไปประเมินผลร่วมด้วยเสมอ

“คำถามคือ ใครเป็นคนใส่ประสบการณ์เดิมให้พวกเขา? ประสบการณ์เยอะหรือน้อยไม่สำคัญเท่ากับ ประสบการณ์เดิมที่มีนั้น มีคุณภาพเพียงพอให้เด็กคนหนึ่งดึงออกมาแล้วคิดอย่างมีประสิทธิภาพได้ไหม

“เช่น มีรุ่นพี่มาจีบลูกของเรา หยอดคำหวานว่า ‘เขาจะมีแต่น้องคนเดียว’ แล้วก็ชวนไปมีอะไรกัน จุดที่ตัดสินใจ เขาต้องดึงประสบการณ์เดิมออกมาพิจารณา ถ้าหยิบประสบการณ์เดิมออกมาแล้วมีแต่คำต่อว่า พ่อบอกว่าแรด หยิบของแม่ออกมามีแต่คำว่า ‘ตั้งแต่มีแกก็ทำให้ไม่มีเวลาเลย ไม่น่ามีแกเลย’ คิดว่าแบบนี้เด็กจะไปไปไหมคะ?”

ดร.ปนัดดาย้ำว่า การสั่ง ดุ และต่อว่า นอกจากจะไม่กระตุ้นให้สมองส่วนหน้าทำงานแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนอารมณ์และสัญชาตญาณ และเมื่อสมองส่วนนี้ทำงานร่วมกัน (อารมณ์และสัญชาตญาณ) จะไม่เปิดโอกาสให้สมองส่วนหน้าลงมาร่วมทำงานด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า การต่อว่า ซ้ำเติม เข้มงวดเพื่อให้เกิดวินัยไม่อาจปลูกฝังวินัยให้เกิดได้จริง เพราะสมองส่วนความคิดไม่ได้ทำงาน มากกว่านั้น ในช่วงวัยเด็กเล็ก การดุว่าของพ่อแม่ที่หยอดกระปุกความทรงจำด้วยประสบการณ์ร้ายๆ ยิ่งทำให้เด็กไม่อาจพัฒนา ‘ตัวตน’ อย่างที่ ดร.ปนัดดาตั้งคำถามว่า

“พ่อแม่อยากสอนให้ลูกมีวินัยในตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ แต่จะสร้างอย่างไรหากมันไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?”

วินัยเชิงบวกในวัยรุ่น: พฤติกรรมลบๆ ในวัยรุ่น อาจเป็นแค่การเอาคืน?

พญ.จิราภรณ์ รายงานสถานการณ์คนไข้ที่เธอดูแลอยู่ว่า จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในวัยรุ่นมีมากขึ้นจริงๆ ที่เป็นเช่นนี้คุณหมอให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพสังคมที่ทำให้พ่อแม่ในปัจจุบันต้องส่งลูกไปให้คนอื่นเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นปู่ย่าตายายที่อยู่ต่างจังหวัด หรือแม้จะเลี้ยงดูด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นการดูแลที่ไม่สร้างความสัมพันธ์ หรืออย่างคำของ ดร.ปนัดดาที่ว่า ไม่หยอดกระปุกประสบการณ์ที่มีคุณภาพ

คล้ายกับความเห็นของวิทยากรท่านอื่น พญ.จิราภรณ์ชี้ว่าการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดี การใช้เวลาร่วมกันที่มีแต่การดุด่า ต่อว่า บังคับ กระทั่งตามใจจนไม่มีขอบเขต เหล่านี้ล้วนสร้าง ‘วินัยเชิงลบ’ ที่ส่งผลร้ายต่อการสร้าง ‘self-esteem’ หรือคุณค่าในตัวเอง เมื่อหาไม่ได้ในบ้าน สังคมนอกบ้านคือคำตอบ

พญ.จิราภรณ์ อธิบายว่า เหตุที่พ่อแม่มักบ่นว่า ‘พูดอะไรไปลูกไม่ฟัง’ อาจเป็นผลลัพธ์ของครอบครัวที่เลี้ยงลูกด้วยวินัยเชิงลบ นั่นคือ พ่อแม่ที่ใช้อำนาจเข้าควบคุมลูก มักใช้การดุด่า ควบคุม เข้มงวด อยากให้ลูกมีวินัย ทำทั้งหมดยกเว้น ‘การแสดงความรัก’ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการสร้างบุคลิกภาพและปมปัญหาทางจิตใจให้กับลูก เช่น อาจทำให้มีการแสดงออกด้วยวิธีการ เอาคืน, หนี และ ยอมตาม

“เมื่อสมองต้องอยู่กับภาวะเครียด เด็กจะใช้สมองส่วนสัญชาตญาณเพื่อเอาตัวรอด แต่ก่อนเราใช้สัญชาตญาณเพื่อหนีสิงสาราสัตว์ใช่ไหมคะ ตอนนี้เราหนีพ่อแม่ค่ะ (หัวเราะ) เด็กจะสู้ ก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง หลายครั้งวัยรุ่นแสดงความรุนแรงด้วยการเอาคืนในรูปแบบอื่น เช่น ทำตัวแย่ เพราะลึกๆ มันสะใจที่ได้เห็นพ่อแม่รู้สึกเสียใจในสิ่งนั้น เป็นการต่อสู้ในรูปจิตวิทยา ไม่อยากให้กลับบ้านดึก/จะกลับ อยากให้ตั้งใจเรียน/ไม่เรียน มีไรปะ? ซึ่งเขาไม่ได้ทำด้วยความรู้ตัวนะคะ ทำโดยไม่รู้ตัว เป็นการเอาตัวเองให้รอดและตอบโต้ความโกรธในจิตใจด้วยการเอาคืนในรูปแบบที่ฉันทำได้

“การหนี เช่น เด็กหลายคนเรียกมาทำการบ้านไม่ทำ เขาไม่ได้หนีการบ้านนะ แต่หนีความเครียดที่แม่มาจี้ มาว่า มาตำหนิ เด็กเหล่านี้จะไม่เอา ไม่ลอง ไม่ทำ ไปจนถึงการปกปิด โมโห บิดเบือน ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กเหล่านี้โตไปมีภาวะวิตกกังวล เพราะเวลาที่เราหนี ลึกๆ แล้วไม่ได้สบายใจหรือปลอดภัยนะ เรากังวล

“อีกรูปแบบหนึ่งที่วินัยเชิงลบทำงานได้ผล คือการยอม พ่อแม่เงื้อมมือจะฟาด เด็กก็ยอมทำตาม แต่ทุกครั้งที่เด็กยอม ตัวตนภายในที่เขาสร้างคือ ‘ชั้นเอาชนะใครไม่ได้’ ‘ชั้นสู้เขาไม่ได้’ ‘ชั้นแพ้อีกแล้ว’ โตมาเขาจะยอมจำนน ใครให้ทำอะไรก็ทำ”

อีกหนึ่งวินัยเชิงลบในลูกอมสีหวาน คือวินัยเชิงลบในนามความรัก เพราะรัก จึงตามใจทุกอย่าง

“รักมาก แต่วินัยไม่มี เพราะไม่อยากให้ลูกเสียใจ และเข้าใจว่าถ้าลูกเติบโตด้วยการถูกรัก จะสร้างความรู้สึกดีให้เด็ก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะเด็กจะเติบโตมาแบบไม่มีขอบเขต ลองนึกภาพเราถูกจับไปทิ้งกลางทะเล ว่ายไปทีไรไม่เคยเจอขอบสักที จริงๆ เราไม่ปลอดภัยเลยนะ insecure ในตัวเองตลอด เพราะไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของมันอยู่ตรงไหน

“เด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่กับความผิดหวังได้ ลึกๆ จะไม่เคยรักตัวเอง เด็กที่ผิดหวังแล้วกลับมาเข้มแข็งได้ จัดการกับ ‘ความไม่ได้’ ของตัวเองได้ หลายครั้งกลายเป็นเด็กที่เคารพตัวเอง รู้สึกดีกับตัวเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง แต่พ่อแม่ที่ตามใจจะไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ หลายครั้งความรักทำลายเด็ก แม้เขาจะรู้สึกว่าเป็นที่รักและได้ทุกสิ่ง แต่ไม่ได้ภูมิใจกับตัวเอง”

คุณหมอกล่าวสรุปอย่างติดตลกว่า คลินิกที่ดูแลอยู่ทำงานกับวัยรุ่นซึ่งเป็นผลจากการเลี้ยงด้วยวินัยเชิงลบที่ไม่สร้างตัวตนและสัมพันธภาพ จุดนี้เป็นจุดทำงานกับวัยรุ่นช่วงสุดท้าย หากไม่ได้ผล สิ่งที่ตามมาคือการตัดสินใจผิดพลาด นำไปสู่การดูแลของนักสังคมสงเคราะห์อย่างป้ามลต่อไป

การฟื้นคืนตัวตนของวัยรุ่น: เหนือความผิดพลาดของเด็ก คือสังคมที่ไม่ลงทุนกับครอบครัว

อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาสัมพันธภาพที่สะสมตั้งแต่วัยเด็ก อธิบายโดย ดร.ปนัดดา และปัญหาพฤติกรรมในวัยรุ่น โดย พญ.จิราภรณ์ เมื่อแก้ไม่ทัน สะสมนานวันเข้าจนแผลปริแตก บ้านหลังต่อมาคือสถานดูแลเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ

“จากการทำงานและได้พูดกับพ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้ พวกเขาไม่ต่างกับพ่อแม่ทั่วไปที่อยากดูแลให้ลูกให้ดี แต่เพราะความยากลำบาก ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหารุมเร้าต่างๆ ก็เป็นปัจจัยร่วมสำคัญที่ทำให้พ่อแม่เหล่านี้ไปไม่ถึงเป้าหมาย

“ในมุมของป้า เด็กเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากรแต่คือผู้แพ้ของสังคม บ้านกาญจนาฯ เป็นปลายน้ำของความล้มเหลวเชิงสังคม ไม่ใช่ปัจเจก”

ในฐานะผู้ที่ทำงานกับเด็กก้าวพลาดมาค่อนชีวิตและเคยทำงานดูแลเด็กบ้านเด็กกำพร้า ทิชาเห็นว่าปัญหาสำคัญคือการที่ระบบไม่ลงทุนกับสถาบันครอบครัว และการศึกษาที่ล้มเหลว หลักฐานที่ชัดเจนคือปริมาณเด็กที่ออกจากระบบการศึกษากลางคัน ปัญหาเชิงสังคมที่ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งต้องออกไปหาตัวตนที่อื่น

การทำงานในบ้านกาญจนาฯ การทำงานกับเด็กที่หลายคนบอกว่า ‘ไม่มีวินัย’ ไม่ใช่การสร้างระเบียบมาแล้วบังคับให้เด็กท่องจำและปฏิบัติตาม ไม่ใช่การฝึกวินัยเข้มงวดแบบภาพเบื้องหลังกรงเหล็กทั่วไป แต่คือการทำงานที่ทิชาใช้คำว่า ‘ประณีต’ ฟื้นคืนตัวตน ให้เห็นความสำคัญของตัวเอง ใส่ความเชื่อถือเชื่อมั่นว่าพวกเขาพัฒนาและดีกว่านี้ได้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งหมดนี้กลับไปร้อยโยงกับประเด็นตั้งต้นที่ว่า วินัยที่ดี สร้างจากความสัมพันธ์ที่เป็นอิสระ ไม่ใช่การบีบบังคับให้ทำตาม

อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

EF (Executive Functions) คืออะไร
ความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ควบคุมตนเอง (self control), ความจำใช้งาน (working memory – อย่างที่บทความนี้ใช้คำว่า ‘ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพ’) และการคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น (cognitive flexibility)

Tags:

ปฐมวัยงานเสวนาวินัยเชิงบวกพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกรทิชา ณ นคร

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เพราะเป็นโรคขาดธรรมชาติ โรงเรียนจึงต้องสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ
Education trend
10 April 2019

เพราะเป็นโรคขาดธรรมชาติ โรงเรียนจึงต้องสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ไม่เพียงสภาวะปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันกระทุ้งให้เราต้องทบทวนการตระเตรียมเยาวชนให้เติบโตอย่างมีสำนึกต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่สภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ก็กำลังหันไปสู่นวัตกรรมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อโลก
  • นับแต่ปี 2012 จำนวน Nature Preschool ก็พุ่งทะยานขึ้นกว่า 66 เปอร์เซ็นต์ ทุกปี ตัวเลขล่าสุดในปี 2018 มีโรงเรียนเตรียมพัฒนาการและอนุบาลแนวนี้มากกว่า 250 แห่งแล้ว
  • ‘โรคขาดธรรมชาติ’ (nature deficit disorder) คือ เด็กที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ไม่มีกิจกรรมนอกบ้านหรือห้องเรียนให้ได้สัมผัสจับต้องกับธรรชาติอย่าง ต้นไม้ ดินหญ้า ลำธารหรือสวนสาธารณะใดๆ เลย มักใช้เวลาอยู่แต่กับการเล่นมือถือ เกม คอมพิวเตอร์ หรือเรียนพิเศษจนหมดวัน เด็กเหล่านี้จะกลายเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับตนเอง ไม่คิดสร้างสรรค์ สมาธิสั้น มีปัญหาในการจัดการอารมณ์และพฤติกรรมบางอย่าง เป็นโรคอ้วน ที่สำคัญคือบกพร่องเรื่องความเห็นอกเห็นใจและความละเอียดอ่อน

รายงานความเสี่ยงโลกปี 2019 (Global Risks Perception Survey 2019 14th Edition, World Economic Forum) โดย World Economic Forum สำรวจความเห็นจากคนในแวดวงธุรกิจ นักวิชาการ นักกำหนดนโยบาย องค์กรไม่แสวงหากำไร สถาบันระดับนานาชาติ และหน่วยงานอื่นๆ จัดอันดับประเด็นหรือสภาวะการณ์เลวร้ายที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยให้เลือกและให้คะแนนประเด็นที่พวกเขาเห็นว่า ‘มีแนวโน้มจะเกิด’ และถ้าเกิดแล้วจะ ‘มีผลกระทบมากที่สุด’

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากหลากอาชีพทั่วโลก และแม้ไม่ได้ทำงานในสายงานด้านสิ่งแวดล้อมต่างชี้ว่า ปัญหาด้านแวดล้อมกำลังเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ แม้แต่คนในแวดวงธุรกิจ ก็ยกให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นแท่นเป็นประเด็นความเสี่ยง เพราะท้ายที่สุดแล้วความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างผันผวนรุนแรง ย่อมส่งผลต่อภาคธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้

ประเด็นที่มีแนวโน้มจะเกิด (likelihood)

  • อันดับ 1 – ความผันผวนรุนแรงของสภาพอากาศ (extreme weather events)
  • อันดับ 2 – ความล้มเหลวในการบรรเทาปัญหาและการปรับตัวกับสภาพอากาศ (failure of climate-change mitigation and adaptation)
  • อันดับ 3 – ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (natural disasters)
  • อันดับ 4 – จารกรรมและการปลอมแปลงข้อมูล (data fraud of theft)
  • อันดับ 5 – โจรกรรมไซเบอร์ (cyber-attacks)

ประเด็นที่หากเกิดแล้วจะส่งผลกระทบมากที่สุด (impact)

  • อันดับ 1 – อาวุธทำลายล้างสูง (weapons of mass destruction)
  • อันดับ 2 – ความล้มเหลวในการบรรเทาปัญหาและการปรับตัวกับสภาพอากาศ (failure of climate-change mitigation and adaptation)
  • อันดับ 3 – ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (natural disasters)
  • อันดับ 4 – วิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำ (water crises)
  • อันดับ 5 – ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (biodiversity loss and ecosystem collapse)

นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องกระตือรือร้นที่จะพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติให้กลับมาสู่มนุษยชาติ ควบคู่ไปกับการลงมือปลูกฝังลูกหลานให้มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นกับความจำเป็นในการปฏิรูปวิถีชีวิตของมนุษย์ให้อ่อนโยนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด นอกเหนือจากความรู้ทั่วไปด้านวิชาการหรือทักษะความสามารถต่างๆ ในโรงเรียน สิ่งที่การศึกษาต้องสนใจและติดตั้งให้เด็กในเจเนอเรชั่นนี้อย่างเร่งด่วนคือ จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และมันสมองที่จะเป็นกำลังไปสู่ทางสร้างสรรค์เพื่อพิทักษ์รักษาทรัพยากรบนโลกไปพร้อมๆ กับเยียวยาปัญหาที่มีแต่ทวีความรุนแรงขึ้น

“We have to wake up to the fierce urgency of the now”

“เราต้องเปิดหูเปิดตาต่อปัญหาอันเร่งด่วนรุนแรงเดี๋ยวนี้”

คือความเห็นโดย จิม ยอง คิม ประธานธนาคารโลก จาก 15 quotes on climate change by world leaders (WEFORUM.ORG)

ว่าด้วยจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม

ใน Skilled by Nature: Why we need to nurture ecological intelligence for 21st Century Learning โดย พอล แชพแมน (Paul Chapman) ผู้อำนวยการก่อตั้ง Inverness Associates องค์กรที่ปรึกษาด้านการศึกษาเพื่อสิ่งแวดล้อมในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และครูผู้เชี่ยวชาญการออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างเสริมทักษะความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ย้ำความสำคัญที่ว่า…

โรงเรียนต้องสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ (Ecological Intelligence) แก่เด็กๆ ในห้วงวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมนี้ นี่จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy) ให้เกิดขึ้นตามมาได้

ก่อนจะเข้าเรื่องว่าโรงเรียนจะสอนความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติที่แชพแมนพูดถึงได้อย่างไร ขอท้าวความกลับไปถึงทฤษฎีพหุปัญญา หรือ Theory of Multiple Intelligences ของนักจิตวิทยาชื่อดังแห่งฮาร์วาร์ด โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1983 กันก่อน

ทฤษฎีนี้เรียกทักษะความสามารถแต่ละด้านว่า ‘ความฉลาด’ โดยที่เด็กแต่ละคนนั้นมีความฉลาดได้หลายด้านในระดับสูงต่ำแตกต่างกันไป สถาบันการศึกษาต่างๆ ยึดทฤษฎีนี้เป็นแนวทางพัฒนาทักษะนักเรียนกันอย่างกว้างขวาง โดยแบ่งความฉลาดออกเป็น 8 ด้านคือ

  1. ด้านภาษา (verbal-linguistic intelligence)
  2. ด้านคณิตศาสตร์และตรรกะ (mathematical-quantitative intelligence)
  3. ด้านมิติสัมพันธ์ (visual-spatial intelligence)
  4. ด้านดนตรี (musical intelligence)
  5. ด้านมนุษยสัมพันธ์ (interpersonal intelligence)
  6. ความเข้าใจตนเอง (intrapersonal intelligence)
  7. ด้านร่างกาย (bodily-kinesthetic)
  8. ด้านธรรมชาติ (naturalist intelligence)

ในขณะนั้น การ์ดเนอร์นิยามความฉลาดด้านธรรมชาติว่า การมีความรอบรู้ด้านพืชพรรณหรือสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างๆ และถิ่นที่พบ รวมถึงสามารถในการดำรงชีวิตแบบวิถีธรรมชาติได้เป็นอย่างดี แต่จะเห็นได้ว่านิยามความฉลาดด้านธรรมชาติของการ์ดเนอร์ไม่ได้กล่าวถึงความสามารถด้านอนุรักษ์หรือจิตสำนึก

ต่อมาปี 2009 แดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) นักจิตวิทยาผู้ให้กำเนิดคำว่า emotional intelligence (ความฉลาดทางอารมณ์) ได้หยิบยก naturalist intelligence จากทฤษฎีของการ์ดเนอร์ มาเกลาใหม่ต่อยอดให้ชัดเจนร่วมสมัยกว่าเดิมอีกครั้ง โดยเรียกเป็น ecological intelligence (ความฉลาดด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ) ดังที่แชพแมนกล่าวไว้ หมายความว่า การมีความรู้ความสามารถในอันจะปฏิบัติตนหรือกระทำสิ่งใดอันเป็นการลดผลกระทบจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ต่อระบบนิเวศเพื่อบรรเทาปัญหาและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน

การศึกษาบนทางคู่ขนานกับเทรนด์โลกสีเขียว

ในปัจจุบัน อเมริกาพยายามนำกระบวนการสร้างจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมเข้าไปในการเรียนการสอนเป็นเรื่องเป็นราวแล้วถึง 30 รัฐ และที่กำลังออกแบบปรับปรุงหลักสูตรอยู่อีก 18 รัฐ อีกทั้งหน่วยงานสิ่งแวดล้อมจากหลายภาคส่วนเช่น The Green Schools National Network หรือ The U.S. Green Building Council ต่างจับมือกับสถาบันการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนออกแบบและผลักดันหลักสูตรความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและขั้นตอนรักษ์โลกอย่างยั่งยืนให้ออกมาเป็นรูปธรรมกันอย่างเต็มที่

นับเป็นการแผ้วถางความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคลให้มีความทักษะความรู้ไปรองรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่จะเปลี่ยนไปใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดมากขึ้น คาดว่าภายในปี 2030 ภาคอุตสาหกรรมทั้งหลายจะกลายเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวที่ล้วนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพึ่งพานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด ซึ่งแน่นอนว่าบุคลากรที่มีทักษะด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติหรือผ่านการอบรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังจะกลายเป็นที่ต้องการด้วยเช่นกัน

เรื่องนี้ยืนยันโดย ไอรินา จอร์จีวา โบโควา (Irina Georgieva Bokova) สุภาพสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นผู้อำนวยการด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และการศึกษาแห่งองค์กรสหประชาชาติปี 2009 ซึ่งเผยว่า ปัจจุบันตลาดแรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ในบังคลาเทศอุตสาหกรรมสีเขียวว่าจ้างบุคลากรที่มีความรู้ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติจำนวน 3.5 ล้านคน บราซิล 1.4 ล้านคน และเยอรมัน 2 ล้านคน แนวโน้มความต้องการกำลังคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

เฉพาะแค่ปี 2020 นี้ โลกอาจขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านนี้ถึง 40 ล้านคน หมายความว่าในอนาคตอันใกล้ คนที่ขาดทักษะความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีสิทธิตกงานในสภาวะการเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวด้วยเช่นกัน

สรุปคือ ไม่เพียงเพราะสภาวะปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันกำลังกระทุ้งให้เราต้องทบทวนการตระเตรียมประชากรเยาวชนให้เติบโตอย่างมีสามัญสำนึกต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่สภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ก็กำลังหันไปสู่นวัตกรรมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อโลก

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ดังนั้น โรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกระดับต้องตื่นตัวในการติดตั้งองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้นักเรียนมีศักยภาพไปเยียวยาแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่อาจรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

ปลูกฝังหัวใจสีเขียวให้เด็กๆ

ทีนี้กลับมาที่คุณครู ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาทักษะที่ว่าให้กับนักเรียนได้?

แชพแมนยืนยันว่า การสร้างความฉลาดด้านธรรมชาติหรือ Ecological Intelligence นั้น นอกจากเด็กๆ ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองโดยตรง โรงเรียนต้องจัดการการเรียนรู้ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้านให้เขาทั้งในห้องเรียน การทดลองและพาออกไปเรียนรู้สัมผัสของจริงข้างนอกด้วย การจะปลูกฝังหัวใจสีเขียวให้กับเด็กๆ นั้น ประเด็นหลักที่โรงเรียนต้องสอนคือ

1. ระบบนิเวศและวัฏจักรการพึ่งพากันตามธรรมชาติเป็นอย่างไร เด็กๆ ต้องเข้าใจว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการพึ่งพาธรรมชาติในโลกนี้เช่นกัน การกระทำใดๆ ในชีวิตประจำวันเช่น การใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน การอุปโภคบริโภคน้ำหรือไฟฟ้า ส่งผลต่อระบบนิเวศเป็นห่วงโซ่

2. นักเรียนต้องมองเห็นและเข้าใจสภาวะสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นปัญหาได้ พวกเขาต้องได้รับโอกาสให้ใคร่ครวญ ตั้งคำถาม หรือสมมุติฐานเกี่ยวกับสภาวะรอบตัว ขวนขวายหาข้อมูลเพื่อหาคำตอบโดยการคิดอย่างเป็นระบบ

3. การมีใจอนุรักษ์ สำนึกรักในท้องถิ่น ประเทศชาติ รวมไปถึงโลกใบนี้ ตระหนักว่าการใช้ทุกๆ ทรัพยากรหรือการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบนิเวศใดๆ ต้องผ่านความคิดพิจารณาและกระบวนการตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน

4. ความรับผิดชอบของตนเองและหน้าที่พลเมือง เลือกหนทางดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและฟื้นคืนธรรมชาติให้กลับมาแข็งแรงโดยดูจากความเป็นจริง สอนให้พวกเขาคิดอย่างมีวิจารณญาณ และใส่ใจขนบประเพณีชุมชนที่อาจส่งผลถึงธรรมชาติ เช่น ประเพณีลอยกระทงที่ส่งผลโดยตรงต่อแม่น้ำลำคลอง พวกเขาสามารถสืบสานประเพณีนี้โดยไม่รบกวนแหล่งน้ำให้เน่าเสียได้อย่างไร สามารถปรับเปลี่ยนธรรมเนียมการเผากระดาษเงินกระดาษทองหรือกงเต็กเพื่ออุทิศบุญกุศลแก่ผู้ล่วงลับเพื่อลดการสร้างมลพิษได้มากน้อยอย่างไร

อย่างไรก็ตาม จำนวนโรงเรียนที่ชูการพัฒนาจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมเพิ่งจะเพิ่มจำนวนขึ้นในระยะหลังมานี้ ผลสำรวจจาก Inverness Associates ปี 2012 ชี้ว่าโรงเรียนเอกชนในอเมริกาจากจำนวนทั้งสิ้นเกือบ 2,000 แห่งมีไม่ถึง 200 แห่งที่บรรจุเป้าหมายพัฒนาความฉลาดด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมลงไปในหลักสูตร และแม้ฝ่ายบริหารการศึกษาโรงเรียนเหล่านั้นจะตระหนักดีว่านักเรียนจำเป็นต้องมีกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียนโดยตรงบ้าง แต่กลับไม่สามารถเพิ่มเนื้อหาและเวลามาโฟกัสเรื่องนี้ได้มากเท่าไร

ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จึงเกิดโรงเรียนเตรียมพัฒนาเด็กที่เรียกว่า Nature Preschool ขึ้นในอเมริกามากมาย โรงเรียนประเภทนี้เน้นให้เด็กเรียนรู้นอกห้องเรียนถึง 3 ใน 4 ส่วนของการเรียนการสอน เช่น การออกไปเรียนรู้ในทุ่งนาของชุมชน หรือสวนพฤกษชาติ นับตั้งแต่ปี 2012 จำนวน Nature Preschool ก็พุ่งทะยานขึ้นกว่า 66 เปอร์เซ็นต์ทุกปี โดยตัวเลขล่าสุดในปี 2018 มีโรงเรียนเตรียมพัฒนาการและอนุบาลแนวนี้มากกว่า 250 แห่งแล้ว

สาเหตุใหญ่อีกประการที่ทำให้โรงเรียนแนวนี้ป็อปปูลาร์ขึ้นแบบพลุแตก ก็เพราะนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาพูดถึงภาวะ ‘โรคขาดธรรมชาติ’ (nature deficit disorder) ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ ‘Last Child in the Woods’ ของ ริชาร์ด โลฟ (Richard Louv) ว่า

เด็กที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ไม่มีกิจกรรมนอกบ้านหรือห้องเรียนให้ได้สัมผัสจับต้องกับธรรมชาติอย่าง ต้นไม้ ดินหญ้า ลำธารหรือสวนสาธารณะใดๆ เลย โดยใช้เวลาอยู่แต่กับการเล่นมือถือ เกม คอมพิวเตอร์ หรือเรียนพิเศษจนหมดวัน จะกลายเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับตนเอง คิดสร้างสรรค์ไม่เป็น สมาธิสั้น มีปัญหาในการจัดการอารมณ์และพฤติกรรมบางอย่าง เป็นโรคอ้วน ที่สำคัญคือบกพร่องเรื่องความเห็นอกเห็นใจและความละเอียดอ่อน

แม้จุดประสงค์หลักของโรงเรียนที่ชูการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นไปในทางส่งเสริมพัฒนาการสมอง การเข้าสังคม อารมณ์และจิตใจของเด็กนักเรียนเป็นหลัก เป็นระบบซึ่งออกแบบมาเพื่อชดเชยให้ผู้ปกครองที่เบื่อหน่ายกับระบบการศึกษาแบบบังคับลูกหลานให้เรียนหนักมากกว่าจะเน้นประเด็นความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่ในแง่หนึ่ง การเรียนรู้แบบใกล้ชิดธรรมชาตินี้ก็เป็นแนวทางน่าสนใจแนวทางหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้พวกเขามองเห็นภาพรวมของความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันในระบบนิเวศและตั้งคำถามถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างแน่นอน

เปลี่ยนวิธีที่เรามอง ‘สิ่งแวดล้อม’

เฟิร์น วิคสัน (Fern Wickson) หัวหน้านักวิจัยระดับอาวุโสแห่ง Responsible and Sustainable Biotechnoscience ในนอร์เวย์ ซึ่งดูแลธรรมาภิบาลการใช้เทคโนโลยีทางชีวภาพและนาโนกับสิ่งแวดล้อมและศึกษาวิจัยประเด็นทั้งทางนิเวศวิทยาและจริยธรรม แสดงมุมมองเรื่องการสร้างจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างน่าสนใจว่า ส่วนมากเรามักกล่าวถึง มนุษย์และสิ่งแวดล้อมในทำนองปัจเจก กล่าวคือ สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่แยกขาดจากตัวเรา แม้เราจะอาศัยอยู่ในนั้น แต่วิธีที่เราคิดและดำรงชีวิตเราเหมือนเราแยกขาดเป็นเอกเทศจากธรรมชาติ จะยุ่งเกี่ยวหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันก็ได้

ให้ลองจินตนาการว่า มนุษย์ต้องหายใจเพื่อนำออกซิเจนเข้าไปในร่างกาย เราขาดออกซิเจนไม่ได้ ต้นไม้พืชพรรณทั้งหลายเป็นผู้ผลิตออกซิเจนเหล่านั้น นี่เท่ากับว่าทุกลมหายใจของเราขึ้นอยู่กับต้นไม้ทั้งหลายบนโลกนี้ ในขณะเดียวกันต้นไม้ก็ต้องอาศัยแสงแดด น้ำ แร่ธาตุในดิน นกและแมลงในการดำรงชีวิตอยู่เช่นกัน ลองนึกแตกยอดไปอีกที่น้ำ ดิน นก แมลง และสรรพสิ่ง ทุกอย่างล้วนพึ่งพาอาศัยโยงใยเป็นทอดๆ ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด

หากเราตั้งใจจะสร้างจิตสำนึกทางจริยธรรมแบบอัตโนมัติให้เด็กๆ รักและปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างทะนุถนอม โดยไม่ใช่เพราะรู้สึกเป็นหน้าที่ รู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือถูกบังคับ จุดที่ครูควรทบทวนมี 2 ประเด็นคือ ทัศนคติที่พวกเขามองว่ามนุษย์กับสิ่งแวดล้อมเป็นปัจเจก กับ การที่พวกเขาคิดว่าสิ่งแวดล้อมคือภาระหน้าที่ที่ต้องปกป้อง

จุดเปลี่ยนสำคัญคือครูต้องให้ลูกศิษย์เรียนรู้ที่จะสร้างตัวตนแห่งธรรมชาติ (ecological self) ควบคู่ไปกับการสร้างตัวตน (self) ของพวกเขา ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ค้นหาตัวตน การเข้าสังคม และอภิปรัชญาทั้งหลายทั้งปวงในโรงเรียน ตัวตนแห่งธรรมชาติที่ว่า คือความตระหนักรู้ภายในว่าธรรมชาติและตัวเราผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีพรมแดนกั้นความเป็นมนุษย์กับธรรมชาติจากกันได้ การอนุรักษ์ไม่ใช่หน้าที่หรือเป็นแค่เทรนด์ฮิตของโลก แต่เรากำลังรักและปกป้องธรรมชาติเหมือนอย่างที่เรารักและกระทำเช่นเดียวกันเพื่อตัวเอง

สู่โรงเรียนสีเขียว

การที่ครูตั้งเป้าหมายหลักสูตรการสอนในประเด็นสิ่งแวดล้อม 4 ข้อดังที่แชพแมนกล่าวไว้ข้างต้นเป็นเข็มทิศที่จะนำพาการเรียนการสอนให้อยู่บนบรรยากาศแห่งการกระตุ้นส่งเสริมจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจนได้ ในขณะเดียวกัน ครูแต่ละฝ่ายควรร่วมกันวางแผนสอดแทรกคอนเซ็ปต์การรักษาสิ่งแวดล้อมลงไปในรายวิชาที่สอนด้วยเช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ภาษา หรือศิลปะ

ที่โรงเรียน Head-Royce แคลิฟอร์เนีย อเมริกาซึ่งเป็นต้นแบบโรงเรียนสีเขียวแห่งแรกๆ ที่ริเริ่มการปรับปรุงหลักสูตรการสอนโดยยึดหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาจิตสำนึกในเรื่องนี้ให้กับนักเรียนเป็นหัวใจสำคัญ ชั้นเรียนจริยธรรมของครูคาเรน แบรดลีย์ (Karen Bradley) พานักเรียนไปชมโรงจัดการขยะขนาดใหญ่ในพื้นที่เพื่อให้นักเรียนได้เห็นภูเขากองขยะมหึมาจากการอุปโภคบริโภคในครัวเรือนของพวกเขาด้วยตาตนเอง มีการแชร์ไอเดียกันว่า นักเรียนจะงด ละ/เลิกพฤติกรรมใดได้บ้างเพื่อลดปริมาณขยะในชีวิตประจำวันลง ครูคาเรนเล่าวิธีของเธอให้เด็กๆ ฟังเป็นตัวอย่างว่า เธอชาเลนจ์กับตัวเองไว้ว่าจะไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยเป็นเวลาหนึ่งปี

สำหรับครูเดบรา ฮาร์เปอร์ (Debra Harper) ในชั่วโมงวิทยาศาตร์ที่เธอกำลังสอนภูมิประเทศของชายหาดเป็นทรายและหิน เธอให้นักเรียนสำรวจโมเดลชายหาดทั้งสองก่อนจะราดน้ำมันลงไปเพื่อจำลองสถานการณ์คราบน้ำมันที่ไหลปนเปื้อนสู่ทะเลจากการขุดเจาะหรือลำเลียงน้ำมัน นอกจากพวกเขาจะได้เรียนรู้ปฏิกิริยาของน้ำมันกับน้ำทะเลแล้วยังเห็นด้วยว่าการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้นเป็นไปได้ยากแค่ไหน มีวิธีทางวิทยาศาสตร์ใดที่จะช่วยขจัดหรือบรรเทาคราบน้ำมันเหล่านั้น จากนั้นเธอให้นักเรียนระดมสมองช่วยกันคิดวิธีการลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในชีวิตประจำวันที่พวกเขาสามารถทำได้

ส่วนชั่วโมงศิลปะของครูนีนา นาธาน (Nina Nathan) เด็กในชั้นได้รับมอบหมายให้ทำประติมากรรมจากวัสดุเหลือทิ้งจากงานก่อสร้าง และมีการร่วมมือกันนอกชั้นเรียนสร้างงานจิตรกรรมฝาผนังเพื่อสร้างรายได้เข้าช่วยเหลือพื้นที่ด้านตะวันออกของโอ๊คแลนด์ที่ประชากรในชุมชนรายได้ต่ำ โดยการนำขยะจากถังในบริเวณโรงเรียนมาแปรรูปเป็นไม้ นอกจากนั้นยังมีงานฝีมือที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลต่างๆ อีกด้วย

สรุปแล้ว การให้นักเรียนได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ นอกห้องเรียนและเห็นสภาพปัญหาในชุมชน รวมทั้งได้แชร์ผลกระทบที่ได้รับจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและแนวทางการแก้ปัญหาระหว่างกันน่าจะเป็นการกระตุ้นความฉลาดด้านอนุรักษ์ธรรมชาติแบบเร่งรัดได้ อย่างน้อยให้พวกเขามองเห็นว่าตนเองก็เป็น ‘ส่วนประกอบหนึ่ง’ ในระบบนิเวศอันใหญ่โตและป่วยไข้นี้เช่นเดียวกับนกบนท้องฟ้าที่เคลือบเขม่า ปลาในท้องทะเลที่ปนเปื้อนขยะพิษ หรือช้างในป่าใหญ่ที่แห้งแล้ง

แท้จริงแล้ว การปลูกฝังจิตสำนึกต่อธรรมชาติอาจไม่ได้อยู่ที่คำถามว่าพวกเขาจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อธรรมชาติหรือจะแก้ปัญหาอย่างไรต่อไปดี แต่เป็นเราจะสนับสนุนให้พวกเขาค้นเจอรากเหง้าของมนุษย์ซึ่งก็คือตัวตนด้านธรรมชาติที่ไม่แบ่งแยกตัวเองออกจากทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ได้อย่างไรต่างหาก

ที่มา:

Paul Chapman’s Skilled by Nature: Why we need to nurture ecological intelligence for 21st Century Learning,

The Global Risks Report 2019 14th Edition by World Economic Forum

WEFORUM.ORG

15 quotes on climate change by world leaders

How do we skill our kids for tomorrow’s green economy? 

Why we need to forget about the environment

Tags:

สิ่งแวดล้อมeco literacyโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • Creative learningSpace
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้
Family PsychologyMovie
9 April 2019

SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

เรื่อง

  • ดูละครแล้วย้อนดู วิเคราะห์ และตั้งคำถามกับความเป็นแม่ หรือ ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้แห่งเกาหลีใต้ผ่าน SKY Castle
  • ทำไมละครทางช่องเคเบิลทีวีเรื่องนี้ คว้าเรตติ้งสูงสุดมาได้ อาจเพราะมันไปเสียดสีและตบหน้า ‘ภารกิจตะเกียกตะกายแผ่นฟ้า (SKY)’ หรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยท็อปทรีของประเทศ
  • เบื้องหลังทั้งความสำเร็จและความพ่ายแพ้คือเหล่าออมม่า ที่ถูกสังคมกดทับให้คำว่าแม่และเมีย มาทีหลังสามีและลูกเสมอๆ
เรื่อง: รุ่งรวิน แสงสิงห์

ละครเรื่อง ‘SKY Castle’ เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อปลายปี 2018 ทางช่อง JTBC

กว่า 20 ตอน ที่ละครเรื่อง SKY Castle ได้ฉายทางช่องเคเบิลทีวี กลายเป็นกระแสโด่งดังเพราะเปิดตัวด้วยเรตติ้งเพียง 1 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ แต่ตอนจบกลับทำได้มากถึง 23 เปอร์เซ็นต์

เหตุผลหนึ่งที่คนให้ความสนใจอาจจะเป็นเพราะละครเรื่องนี้ดึงคนดูให้มีอารมณ์ร่วมไปกับ ‘คอมมูนิตี้’ ของครอบครัวอีลีททั้ง 4 ครอบครัว ได้แก่ ครอบครัวของศาสตราจารย์แพทย์ระดับประเทศ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายชื่อดัง พร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ของพวกเขาที่กำลังเตรียมตัวจะสอบเข้าเรียนต่อใน SKY – ใช่ SKY แผ่นฟ้าที่สูงลิบลิ่ว คือเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายที่คนทั้งเกาหลีให้ความสนใจ

ความสนุกของละครเรื่องนี้คือ การเหยียดหยามโฉมหน้าของสังคมเกาหลี ด้วยการเสียดสีผ่านตัวละครสมมุติ มีการวางตัวแทนของคนกลุ่มต่างๆ ลงไปบนตัวละคร จากที่มีชีวิตอยู่แล้วกลับยิ่งมีชีวิตเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ แม้ละครเรื่องนี้จะเหมือนโลกเสมือนที่ล้อเลียนสังคมจริงของเกาหลีใต้ แต่ละครกลับซ่อนภาพของความเรียลและเซอร์เรียล (Real/Surreal) เอาไว้ในทุกๆ ฉาก เพื่อเป็นการหลอกตำหนิสภาพสังคมจริงๆ ในเกาหลี

การเติมชีวิตให้ตัวละครใน SKY Castle น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อละครได้สร้างคนอย่าง ‘เยซอออมม่า’ ผู้หญิงที่เป็นตัวแทนของฝ่ายขวา เป็นพลังอนุรักษนิยมในเกาหลีใต้ ถ้าเปรียบ SKY Castle เป็นร่างกายของคน เยซอออมม่า คือมันสมองที่มีอิทธิพลทางความคิดส่งผลกระทบกับชีวิตต่อคนทั้งหมดในเรื่อง เธอพยายามอย่างหนักในฐานะการเป็น ‘แม่’ เป็นออมม่าที่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยไม่สนวิธีการว่าจะนำพามาซึ่งสิ่งใด

เมื่อมีตัวแทนจากฝั่งอนุรักษนิยมแล้ว ก็ต้องมีพลังเสรีนิยมในการฟาดฟันกัน หน้าที่นี้ในเรื่องตกไปอยู่ที่ ‘อูจูออมม่า’ ผู้หญิงที่เป็นสัญลักษณ์แทนความขบถ ผิดแปลก และท้าทาย ต่อสังคมเกาหลีใต้ เธอเป็นตัวแทนของสิ่งที่ผู้หญิงเกาหลีใต้อยากเอาเยี่ยงและเอาอย่าง แต่ไม่สามารถผ่าทะลวงม่านวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ที่กางไว้อย่างหนาแน่นได้ อูจูออมม่า จึงกลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงอีกกลุ่ม ที่มีความคิดและเป็นตัวของตัวเอง พร้อมทั้งพลังที่คอยกระทุ้งให้ผู้ชมรู้สึกตั้งคำถามกับสิ่งที่สังคมเกาหลีใต้เผชิญอยู่ในขณะนี้

และนี่คือบทวิเคราะห์ถึงเรื่องสังคมและชนชั้นในเกาหลี กับสิ่งที่เรียกว่าค่านิยมที่กดทับ บทบาทและหน้าที่ของ ออมม่า ชาวเกาหลี

SKY: เรามาแตะแผ่นฟ้ากันเถอะ

ละครเรื่อง SKY Castle ตั้งชื่อล้อเลียน ถึงคำว่า SKY ที่มาจากชื่อของมหาวิทยาลัย top 3 อย่าง National Seoul University, Korea University และ Yonsei University

สำหรับคนเกาหลีแล้ว การได้เข้าเรียนใน SKY ถือเป็นความหวังสูงสุด และเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล บางคนที่อกหักจากการเรียนใน SKY จะต้องยอมเป็นเด็กซิ่ว ซิ่วแล้วซิ่วอีกเพื่อให้ได้เข้า SKY แน่นอนว่าช่วงเวลาของการซิ่ว พวกเขามักจะไม่เสียเวลาไปกับการทำตัวเรื่อยเปื่อย ยิ่งจุดหมายชัดเจนเท่าใด ความเข้มงวดในการกวดขันตัวเองก็จะมากขึ้นเท่านั้น

วิธีที่จะเข้า SKY ได้ จะต้องสอบ ‘ซูนึง’ ถ้าเทียบกับสังคมไทยก็คือการสอบ admission นั่นเอง ไม่เพียงแต่สอบซูนึงเท่านั้น การจะเข้ามหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของประเทศจำเป็นจะต้องมีประวัติผลการเรียน กิจกรรม ที่ดีมากพอที่จะเอาชนะคู่แข่งจำนวนมหาศาล ในละคร เยซอออมม่า ได้ติดต่อโค้ช มาประกบ ติว สอน วางโปรแกรม ให้กับเยซอลูกสาวของเธอโดยตรง เยซอมีความปรารถนาที่จะเป็นหมอเหมือนกับพ่อของเธอให้ได้ แน่นอนว่าอัตราการแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ในเรื่องโค้ชจะจัดโปรแกรมการเรียนการสอนรวมถึงจัดห้องนอน ปรับระดับสีไฟที่เหมาะกับการเรียนการสอน ทำทุกอย่างที่เรียกว่า ‘ก้าวล่วง’

แต่ความน่าสนใจคือ แทนที่เยซอจะงอแงที่ถูกออมม่าและโค้ชเข้าบงการชีวิต แต่เธอกลับชอบและสนุกไปกับความรู้สึกที่เสมือนว่าเธอกำลังจะชนะคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยการจัดการของโค้ช

มันสะท้อนอะไร? ชีวิตของเยซอสะท้อนให้เห็นวิธีคิดของเด็กเกาหลีที่ถูกเลี้ยงดูผ่านระบบการแข่งขันและความหวัง พวกเขาต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปให้สูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น แม้ว่าเยซอเองจะเป็นลูกหลานอีลีท โดยเฉพาะฉากที่แม่ของเธอไปพบกับย่า เราจะเห็นความเป็นชนชั้นนำจากบ้านหลังคามุงกระเบื้องของย่าของเยซอ เพราะบ้านของผู้ดีหรือขุนนางเก่าจะเป็นบ้านเกาหลีโบราณ ในปัจจุบัน อสังหาฯ ในประเทศเกาหลีมีราคาสูงมาก ต่อให้เป็นคนที่มีเงินทองมากมาย ก็มักจะเลือกซื้อบ้านที่เป็น อะพาททึ (apartment) เป็นห้องเช่ามากกว่าจะซื้อบ้านพร้อมที่ดิน

แค่บ้านขนาดใหญ่ของเยซอ และบ้านหลังคามุงกระเบื้องของย่า ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า นี่เป็นชีวิตของคนกลุ่มยอดบนพีระมิด เป็นชีวิตที่คนเกาหลีส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิได้พบเจอ สะท้อนว่าเยซอคือชนชั้นนำโดยกำเนิด เป็นชนชั้นนำที่เป็นสมบัติตกทอด แม้ว่าเยซอจะเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางความปลอดภัย ต่อให้เธออยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร ก็ไม่ทำให้เยซอปลอดภัยน้อยลงไปมากกว่านี้อีก แต่เธอกลับเลือกที่จะต่อสู้ เพื่อเอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า

ในสังคมเอเชีย เรามักจะเห็นรูปแบบการเรียนการสอนที่หนัก เด็กจะถูกนำเข้าสู่ระบบการศึกษาตั้งแต่ยังเล็ก ขณะที่เรื่องแบบนี้กลับพบไม่มากในสังคมตะวันตก เพราะเชื่อว่า การอยู่กับครอบครัว การเรียนรู้กับธรรมชาติคือสิ่งที่ดีที่สุด ยิ่งเข้าสู่โรงเรียนที่เป็นระบบช้ามากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับเด็กๆ มากเท่านั้น เด็กจะไม่ต้องรีบแข่งขันกับใคร เด็กจะได้ค่อยๆ เรียนรู้และเติบใหญ่ เป็นคนที่มีความเป็นคนมากกว่าการรีบป้อนความต้องการของพ่อแม่ให้เด็กในวัยที่เล็กมากๆ

แต่ไม่ใช่สำหรับเยซอ – เยซอ ไม่ได้โตมาในระบบแบบนั้น เธอโตมากับการแบกรับความคาดหวังของพ่อและแม่ รวมถึงออมอนี หรือ คุณย่าของเธอ ที่จะได้เห็นเธอเป็นหมอสืบต่อเป็นรุ่นที่สามของครอบครัว

เยซอ โตมาในสังคมเกาหลีใต้ ที่เต็มไปด้วยความเปราะบางและความกลัว ในสังคมเกาหลี จะมีชุดความคิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ฮัน’ หมายถึงความทุกข์ยาก โศกเศร้า เป็นคอนเซ็ปต์ของการพยายามลุกขึ้นมาสู้ สู้กับความยากลำบาก เพราะคนเกาหลีเคยเผชิญกับสภาวะสงคราม เคยเผชิญกับการเป็นประเทศยากจนไม่มีอะไรให้กิน พวกเขา (โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า ที่เกิดทันความลำบากที่ว่า) มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความกลัว – นี่คือมุมกลับอีกด้านของความชาตินิยมและความภูมิใจใน แทฮัน (เกาหลีอันยิ่งใหญ่) ของพวกเขา เพราะพยายามถึงมีวันนี้ได้จากคนที่ไม่มีอะไรเลย

เราจะเห็นหนัง ละคร หรืออะไรก็ตามที่สัญชาติเกาหลี มักจะมีความ ‘ดราม่า’ เศร้าหนักเกินกว่าที่เราจะคิดได้ เพราะอิทธิพลของ ‘ฮัน’ ทำให้คนเกาหลีแอบมีความโรแมนติกกับความลำบาก แอบมีความโรแมนติกกับการต่อสู้ที่ยากและหนัก ถึงร้องไห้ก็จะเป็นภาพร้องไห้ที่ฟุ้งและงดงามที่สุด เพราะเขาเชื่อว่า การทำงานหนัก ทำอะไรที่หนักและมีความอดทน มักจะได้รับการตอบแทนด้วยดอกผลแห่งความสำเร็จ การเรียนหนักในวัยเด็กจึงเป็นภาพสะท้อนของวิธีคิดแบบนี้ ดอกผลแห่งความสำเร็จจะทำให้พวกเขาไปแตะแผ่นฟ้าได้ในที่สุด

ที่เกาหลีใต้ วันสอบซูนึง จะเป็นวันชี้ชะตาของการได้เข้า SKY หรือไม่ได้ จะถูกกำหนดเป็นวันพิเศษ ทุกอย่างจะเริ่มช้ากว่าเวลาสอบ 1 ชั่วโมง เช่น การทำงานจาก 08.00 จะถูกเลื่อนไป 09.00 เพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กๆ สามารถไปสอบซูนึงได้ทันโดยไม่ต้องติดอยู่บนถนน พวกเขาให้ความสำคัญกับเด็กก่อนเป็นอันดับแรก และจะไม่มีการรบกวนทางเสียงไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตามในระหว่างที่เด็กๆ มีการสอบฟังภาษาอังกฤษ 30 นาที เครื่องบินจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบินในช่วงการสอบดังกล่าว

ดอกผลของการเทรน การติว การเรียน อย่างหนักจะมาปรากฏผลในการสอบซูนึง ออมม่าชาวเกาหลีแทบจะทั้งหมด คาดหวังว่า ลูกๆ ของพวกเธอจะได้เข้าเรียนใน SKY หรือไม่ ก็ในมหาวิทยาลัยระดับรองลงมา บางคนก็หวังพึ่งเทพเจ้า ไปทรงเจ้าเข้าผี บางคนก็จัดเมนูพิเศษเพื่อลูกของเธอก่อนวันสอบจริง เพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่ดีที่สุดเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการสอบ ออมม่าเหล่านี้ทำได้หมดทุกอย่าง

ถ้าถามว่าทำไมถึงอยากเข้า SKY คำตอบคือภาษีของการเข้าเรียนที่ SKY ไม่ใช่เป็นเพียงการเอื้อมมือแตะแผ่นฟ้าเท่านั้น แต่เป็นการก้าวขึ้นไปอยู่บนฟ้าต่างหาก

เพราะเด็กๆ ที่สามารถเข้าเรียนใน SKY ได้ จะได้รับการพิจารณาเมื่อไปสมัครงานในบริษัทกลุ่มทุนแชโบล (Chaebol) ที่เป็นกลุ่มทุนหลักระดับประเทศ ถ้าหากเอ่ยชื่อด้วยสำเนียงไทยคงจะพอรู้จักบริษัทเหล่านี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ซัมซุง (SAMSUNG) ฮุนได (Hyundai) หรือแม้แต่ช่องโทรทัศน์หลักของเกาหลีใต้อย่าง KBS SBS MBC ก็เป็นพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่แย่งกันเข้าทำงาน

การได้ทำงานในบริษัทเหล่านี้สำคัญอย่างไร?

ยิ่งทุนใหญ่ งานเยอะ ค่าตอบแทนก็สูง และบริษัท แชโบล เป็นลักษณะพิเศษของการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ เปรียบเสมือนหัวรถจักรที่มีกำลังแรงม้ามหาศาล ทำหน้าที่ลากขบวนโบกี้ที่บรรทุกคนทั้งประเทศไปข้างหน้า มีคำพูดเปรียบเทียบว่า ถ้าซัมซุงล้ม เกาหลีใต้ก็ล้มด้วย นั่นหมายความว่าความสำคัญที่สูงมากของบริษัทเหล่านี้ ส่งผลให้การจ้างงาน ค่าตอบแทน สวัสดิการ การมีชีวิตที่ดีของพนักงานต้องดีตามไปด้วย และการเข้ามาเรียนใน SKY จะช่วยยกระดับสถานะของเด็ก เกียรติยศ ชื่อเสียง จากคนรอบข้างจะเริ่มสรรเสริญเซ็งแซ่ทันทีที่ได้ประกาศชื่อว่าติด SKY

엄마: เรื่องของ ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

ผู้หญิงเกาหลี มีความพิเศษไม่แพ้ผู้หญิงชาติไหนบนโลก วิธีสังเกตว่าผู้หญิงเกาหลีขาดอะไร และ ต้องการ อะไร ให้สังเกตผ่านละครโทรทัศน์ นักเขียนละครโทรทัศน์ส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิง มักจะมีวิธีการผลักดัน ‘อาเจนด้า’ (วาระ) ของพวกเธอ พวกเธอสร้างผู้ชายที่พวกเธอต้องการ ผ่านพระเอกละครของพวกเธอ เพื่อเปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนทีละเล็กทีละน้อย

ผู้ชายที่ไม่ใช้ความรุนแรง เป็นภาพลักษณ์ที่ถูกเผยแพร่ซ้ำบ่อยที่สุดบนละครสัญชาติเกาหลี ถ้าถามว่าทำไม คำตอบคือ เพราะเขาอยากให้ผู้ชายเป็นแบบนั้นเสียที

แต่วิธีคิดของผู้หญิงเกาหลีจะแปลกตรงที่ ข้อเรียกร้องในการมีผู้ชายที่ไม่ใช้ความรุนแรงกับพวกเธอนั้น เป็นคนละข้อเรียกร้องกับขอให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย กลไกทางสังคมยังคงสามารถทำงานกดทับหญิงชาวเกาหลีได้เป็นอย่างดี พวกเธอไม่ได้รู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมีสถานภาพน้อยกว่าผู้ชาย แต่พวกเธอจะรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้ามีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น

สิ่งที่เห็นมีเพียงการขอให้พวกเขาอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น แสดงออกถึงความรักที่มากขึ้น เห็นได้จากวัฒนธรรมการคบหา ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายดูแลและจัดการเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าท่องเที่ยว หรือค่ากินอยู่ของผู้หญิง มันแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเกาหลียังคงต้องพึ่งพาผู้ชาย และยังไม่สามารถออกจากร่มเงาของชายเป็นใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น หากค่านิยมที่ให้ผู้ชายเป็นฝ่ายจัดการดูแลทั้งหมดไม่หายไป

ขณะเดียวกัน พวกเธอไม่ได้เรียกร้องสถานะที่เท่าเทียมทางเพศของชายและหญิง ขบวนการเฟมินิสต์ในเกาหลีใต้มักจะถูกสังคม ‘บุลลี่’ อย่างรุนแรง ครั้งหนึ่งไอดอลสาวชาวเกาหลีถือหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเฟมินิสต์ ทำให้แฟนคลับชายไม่พอใจแล้วเผารูปของเธอเพื่อเป็นการประท้วง นี่คือปัญหาใหญ่ของเกาหลี ระดับคุณค่าของความเป็นคนยังถูกเซ็ตด้วยการเอาเพศสภาพเป็นที่ตั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ ‘การเป็นผู้หญิงเกาหลี’ จะไม่มีวันอยู่ในระดับเดียวกันกับ ‘การเป็นผู้ชายเกาหลี’

ใน SKY Castle เราอาจจะไม่เห็นเรื่องราวเหล่านี้ชัดเจน เพราะละครเขียนบท ‘เนียน’ ทีเดียว แต่ถอยออกมาหนึ่งก้าว ถ้ามองภาพรวมของละครเราจะเห็นการต่อสู้ของผู้หญิงเกาหลี เราจะเห็นการต่อสู้ของเหล่าออมม่า แม้ว่ารูปแบบการกระจายบทของละครเรื่องนี้ทำได้ดีมาก แต่ผู้เขียนหยิบเพียง 2 ตัวละครที่เป็นพลังคนละขั้วมาอธิบาย ซึ่งก็คือ เยซอออมม่า และ อูจูออมม่า เพื่อให้เห็นภาพ

ผู้หญิงเกาหลีที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ทันทีที่เธอมีลูก ชื่อของลูกคนโตของเธอ จะกลายมาเป็นชื่อที่สังคมรู้จักและรับรู้ สามีของเธอจะเริ่มไม่เรียกชื่อจริงของเธอ แต่เรียกชื่อลูกคนโตแล้วตามด้วยคำว่าออมม่า ที่แปลว่า แม่ แทน

มันเป็นภาพความผูกพันของอัตลักษณ์กับภาระหน้าที่อีกอย่าง เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ภารกิจ หลังจากนี้ คือการเลี้ยงลูก ดูแลลูก ทันทีที่เธอมีลูก เธอคือแม่ ไม่ใช่ตัวเธออีกต่อไป ชื่อจริงๆ ของตัวเองจะค่อยๆ เลือนหายไป เหมือนฉากที่ เยซอออมม่ากับอูจูออมม่าพบกัน แล้วอูจูออมม่าจำไม่ได้ ว่าเยซอคือเพื่อนสมัยมัธยม ไม่มีใครจดจำเธอได้ว่าเธอคือ ฮันซอจิน ทุกคนจำได้แต่ว่าเธอคือ แม่ของเยซอและเยบินเท่านั้น

สิ่งที่เยซอออมม่าทำ ไม่ว่าจะเป็น การล็อบบี้ การแย่งชิง การเข้าไปจุกจิกจู้จี้และชี้นำชีวิตของลูก เป็นสิ่งที่เธออาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด หากแต่เกิดจากการขัดเกลาทางสังคมที่รุนแรงของสังคมเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ยังเป็นสังคมที่มีพื้นฐานที่เป็นอนุรักษนิยมและมีกลิ่นอายของปรัชญาขงจื้อที่ฉุนกึกอบอวลอยู่ทั่วคาบสมุทรเกาหลี แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้นับถือศาสนา จะไม่ได้มีความเชื่อทางใดทางหนึ่ง แต่จารีตประเพณีที่เป็นขงจื้อ ก็ส่งผลให้สังคมมีลักษณะของ ชายเป็นใหญ่ เมียเดินตาม และทำหน้าที่ สงบเสงี่ยมเชื่อฟังสามี หน้าที่แม่จึงเป็นหน้าที่สูงสุดของการเป็นมนุษย์

แต่อูจูออมม่ากลับไม่ใช่ ในฐานะพลังเสรีนิยม พลังส่วนน้อยในสังคมเกาหลีใต้ เธอไม่ได้ผูกพันอัตลักษณ์ของความเป็นแม่เพื่อให้มันแทนที่ชีวิตของเธอ แต่เธอเลือกที่จะทิ้งระยะห่างระหว่างเธอและลูกของเธอ ไม่ได้สร้างอัตลักษณ์ความเป็นแม่ขึ้นมาทับตัวเอง แต่เลือกที่จะเป็นตัวเองที่มีอัตลักษณ์ของความเป็นแม่

ถ้าพูดให้ถูก ความเป็นคนของเธอยิ่งใหญ่กว่าความเป็นแม่ เธอเอาใจใส่คนรอบตัว ลูก เพื่อนลูก ลูกๆ ของเพื่อนบ้านใน SKY Castle อูจูออมม่าเปรียบเสมือนพื้นที่ เปรียบเสมือนอากาศให้ผู้คนได้เข้ามาใช้ร่วมกันและหายใจ

เป็นปรัชญา วิธีคิด ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ เยซอออมม่า ที่ต้องการประหัตประหารผู้คนที่จะทำให้ลูกของเธอไปไม่ถึงแผ่นฟ้า อูจูออมม่ากลับเลือกที่จะโอบกอดผู้คนไว้ให้ได้มากที่สุด บุคลิกของอูจูออมม่า ก็มีความน่าสนใจให้ได้คิดต่อ ทำไมละครเลือกวางคาแรคเตอร์ของฝ่ายซ้ายหัวก้าวหน้าให้ดูสงบเสงี่ยม และออกจะขี้กลัวเกินจริง ถ้าอูจูออมม่า เป็นคนที่มีความคิด เป็นตัวของตัวเองขนาดนั้น ทำไมละครถึงไม่เลือกคาแรคเตอร์ที่ฉูดฉาดกว่านี้

คำตอบเราไม่อาจรู้ได้ แต่เราวิเคราะห์จากภาพรวมได้ เพราะความเป็นชายขอบ ของแนวคิดเสรีนิยมในเกาหลี ยังไม่ได้ทรงพลังมากเท่ากับความคิดหลักของสังคมทั้งหมด เธอมักจะหยุดคิดหรือบางครั้งก็ลังเลที่จะโต้เถียงหรือแสดงความไม่พอใจกับการเลี้ยงลูกของคนใน SKY Castle นั่นเพราะเธอคือตัวแทนของคนชายขอบในสังคมนั่นเอง

สำหรับ SKY Castle นอกจากจะโชว์พลังของผู้หญิง ยังดึงคนดูให้ชวนคิดถึงพลังของความเป็นแม่ในตัวออมม่าชาวเกาหลี ที่มีสังคมชายเป็นใหญ่กดทับอยู่ ความปลอดภัยในสังคมก็กดทับพวกเธอลงไปอีก

SKY Castle ยังทำให้เราเห็นการต่อสู้และสลัดแอกของผู้หญิงเกาหลีว่ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แม้ชัยชนะจะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเลือนลางเต็มที

แต่สิ่งที่กล้าพูดได้หลังจากนี้คือ พวกเธอจะไม่แพ้ และไม่มีวันแพ้แน่นอน แต่อาจจะต้องถามว่า วิธีไหนกันที่จะทำให้พวกเธอไม่แพ้?

Tags:

การสอบซีรีส์เกาหลีใต้พ่อแม่ระบบการศึกษาoverprotective parent

Author:

Related Posts

  • Movie
    Blackdog : ซีรีส์ที่บอกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถาบันการศึกษาที่ถูกลืม

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก
EF (executive function)
9 April 2019

อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ก่อนจะลงลึกเรื่องสมองอ่านอย่างไรให้ปวดหัวต่อไป ขอถอยมาเรื่องง่ายๆ อีกครั้งหนึ่ง ด้วยความเสียดายนักหนาหากยังจะมีพ่อแม่ที่ไม่ทำ

เราแนะนำให้อ่านนิทานก่อนนอนเพราะนี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดในโลกสำหรับการเลี้ยงลูกและกำไรมาก

ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่สมัยนี้เกือบทุกคนอ่านหนังสือออก จะแก้ตัวว่าอ่านหนังสือไม่ออกนั้นฟังขึ้นยากแล้ว

เราขอเพียงวันละ 30 นาที เรามิได้ขอมากเลย ขอเพียง 30 นาทีเท่านั้นเอง คุณพ่อคุณแม่ยังเหลืออีก 23 ชั่วโมงครึ่งต่อวันที่จะไปทำอย่างอื่น เวลา 30 นาทีนั้นสั้นมาก เพียงเข็มยาวเดิน 6 ช่อง เวลายี่สิบสามชั่วโมงสามสิบนาทีนั้นยาวนานมาก แค่เขียนยังยาวเลย

เราขอให้อ่านอะไรก็ได้ ถ้ามีเงินซื้อนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กที่สำนักพิมพ์บางแห่งอิมพอร์ตมาแปลมาขาย เล่มละ 200 กว่าบาท จะว่าแพงก็ใช่ แต่คำว่าแพงนั้นควรแปลว่าเสียดายเงิน หากคุ้มค่าไม่เสียดายเงิน จะกี่บาทเราก็ไม่เรียกว่าแพง

เล่มละ 200 กว่าบาท กำไรที่ได้คืนนั้นน่าจะตกประมาณเล่มละ 200,000 บาท คือค่าใช้จ่ายที่เราประหยัดขึ้นมาได้ใน 20 ปีถัดไปเพียงเพราะว่าเขาจะเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ตัวเลขสองแสนคนเขียนมั่วเอาเอง

ถ้าเงินน้อยลงมา หาหนังสือของสำนักพิมพ์ระดับรองลงมาที่อิมพอร์ตหนังสือดีจากต่างประเทศมาเช่นกันแต่ทำราคาได้เหลือเล่มละร้อยกว่าบาท หากเป็นสำนักพิมพ์ที่มีมูลนิธิหรือนายทุนยักษ์ใหญ่หนุนหลังจะเหลือ 80-90 บาท และหากเป็นสำนักพิมพ์ไทยทำไทยเขียนไทยวาดไทยพิมพ์ก็ประมาณ 100 บาทบวกลบไม่มาก เทียบได้กับข้าวผัดกะเพราไข่ดาวสองจานเท่านั้นเอง พ่อแม่อดข้าวสองคน 1 มื้อได้หนังสือนิทานให้ลูก 1 เล่ม เราไม่ตายหรอกกินน้ำเปล่าได้ แต่ลูกได้คืนมากกว่ามาก

เทียบราคาหนังสือกับข้าวราดแกงน่าจะไม่ว่ากัน ปลอดภัยกว่าเทียบกับกาแฟ 1 ถ้วย หรือเบียร์ 2 กระป่อง อุ๊บ!

สมมุติไม่มีเงินจริง ซึ่งเชื่อว่าหลายบ้านที่ค่าแรงวันละ 300 บาทหรือเงินเดือน 15,000 บาท เรื่องหนังสือนิทานเริ่มจะไกลเกินฝันแล้ว อย่างน้อยที่สุดหาทางพรินท์นิทานจากเว็บนิทานฟรีออกมาอ่านให้ลูกฟังก็ได้ครับ และสุดท้ายของสุดท้าย เศษหนังสือพิมพ์ที่ห่ออะไรมาล้วนอ่านได้ทั้งสิ้น

เพราะที่ลูกต้องการจริงๆ มิใช่นิทาน แต่คือตัวเป็นๆ ของพ่อแม่ที่จับต้องได้ ถูกเนื้อต้องตัวได้ มีเสียงดังฟังชัดในห้องนอนทุกๆ คืน อย่างน้อยที่สุด 3 ปี ให้อู้ได้บางวัน เมาเหล้าได้บางวัน หรือสลบได้บางวัน รวมแล้วก็น่าจะได้ 1,000 วัน เวลาเท่านี้มากพอและนานพอที่ลูกจะสร้างพ่อและแม่ที่มีอยู่จริงขึ้นมาบนโลก

พ่อแม่ที่มีอยู่จริงจึงจะมีวาจาที่มีอยู่จริง พ่อแม่ที่มีอยู่ชัดจึงจะมีวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนคำนั้น สั่งสอนอะไรก็ฟัง เรียกทำอะไรก็ทำ เด็กเกิดมาเพื่อรักสนุกและทดสอบเราอยู่แล้ว การที่เราไม่มีจริง เป็นมนุษย์ล่องหน เราจะไม่มีอะไรเหลือเลย พูดไม่ฟัง สอนไม่ฟัง สั่งไม่ทำ ชีวิตจะยุ่งมาก บ้านจะเดือดร้อนอย่างหนัก และเด็กที่ไม่ฟังอะไรเลยจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในอนาคต ตอนนั้นเขาจะถอนทุนคืนจากพวกเราสูงมาก มากกว่า 200,000 บาท

สมมุติว่าพ่อแม่ไม่สามารถอ่านก่อนนอน เราให้อ่านตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าจัดสรรให้ตรงเวลาได้ก็จะดี ที่เราอยากให้อ่านก่อนนอนเพราะเหตุผลพิเศษ 2 ข้อ

ข้อแรก คือ เราอยากให้ลูกเรียนรู้จังหวะชีวิต (rythm) พ่อแม่มีเวลาน้อย แต่ตรงเวลาทุกคืน อาจจะสองทุ่ม อย่างช้าไม่เกินสามทุ่ม อาบน้ำตัวสะอาด วางมือถือ แล้วเข้าห้องนอน อ่านตรงเวลา 30 นาที อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและยาวนาน จนกระทั่งเด็กเรียนรู้จังหวะ จังหวะนั้นเหมือนเสียงกลองในคาราโอเกะ รู้จังหวะคือร้องเพลงได้ ตัวโน้ตระหว่างจังหวะไว้ค่อยๆแก้ไขปรับปรุงและพัฒนา แต่เราเอาจังหวะก่อน เพราะเมื่อเด็กรู้จังหวะการนอนเขาจะรู้จังหวะการกิน แล้วจังหวะการอาบน้ำแปรงฟันแต่งตัวทำการบ้านจะตามมาเอง

ข้อสองคือบรรยากาศสงบในห้องนอนที่มีแสงพอประมาณด้วยเสียงนิทานของพ่อหรือแม่จะช่วยเตรียมคลื่นสมองของเด็กเข้าสู่ระยะการนอน (stage of sleep) ที่ถูกต้องก่อนเคลื่อนตัวเข้าสู่โหมดการหลับ ซึ่งจะดีต่อความฝัน ระยะฝัน คุณภาพการนอน และการตื่นนอน

สมมุติว่าพ่อแม่ไม่มีพรสวรรค์ มีความซื่อบื้อ ก็ให้มีความอ่านนิทานไปตามธรรมดา ไม่ต้องมีความพยายามทำเสียงสูงต่ำหรือมีความอ่านพลิกแพลง เด็กไม่ต้องการ และที่จริงแล้วเราพบว่าเด็กหลายคนไม่ชอบให้พลิกแพลง “อ่านดีๆ!” เขากลับจะบอกพ่อและแม่เช่นนี้เสมอ

การเล่านิทานไม่ผิดกติกา ขอให้สนุกสนานคือใช้ได้ แต่สำหรับพ่อแม่ที่เล่านิทานไม่เป็นสับปะรดอะไรเลย การอ่านคือวิธีที่ง่ายที่สุด ดังที่บอกในตอนต้น ขอให้อ่านหนังสือออกก็พอ

น่าจะดีถ้าคนอ่านสนุก คำแนะนำประเภทหนังสือเรื่องไหนเหมาะกับเด็กอายุเท่าไรจึงไม่ควรจริงจังมากเกินไป เอาที่ทั้งพ่อแม่ลูกสนุกด้วยกันคือใช้ได้ หนังสือควันตัมฟิสิกส์สำหรับเด็กเล็กยังมีคนทำขายเลย อ่านให้อิเล็กตรอนชนกันระเบิดตู้มคือโอเค อย่าคิดมากไป

สมมุติลูกไม่ฟัง เดินหนี คลานหนี แย่งหนังสือไปกัด เอาหนังสือไปฉีก หรือสามนาทีหลับ เหล่านี้ไม่เป็นอุปสรรค เรายังคงอ่านไปเรื่อยๆ เสมอแม้ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม หรือแม้กระทั่งหลับไปใหม่ๆ ปล่อยให้คลื่นเสียงของเรากระแทกเยื่อแก้วหูของเขาไปพลางๆ เพื่อส่งแรงสะเทือนผ่านกระดูกค้อน ทั่ง และโกลนที่หูชั้นกลาง ทำให้ของเหลวในวงแหวนก้นหอยของหูชั้นในเกิดคลื่นสั่นสะเทือนเข้าไปจนถึงเซลล์สมอง

เขาเดินหนี เรากั้นระยะรัศมีทำการของเขาอย่าให้กว้าง เปิดไฟสลัวอย่าให้จ้า เอากองหนังสือ ตุ๊กตา แจกันดอกไม้ ของประดับทุกชนิดออกจากห้องนอนไปให้หมด อย่าให้เหลือสิ่งเร้ามากเกินไป คลานได้คลานไปอีกหลายคืนก็จะนอนฟัง

เขาเอาไปกิน เราหยิบเล่มสำรองขึ้นมาอ่าน เขาเอาไปฉีก เราหยิบเล่มที่สามขึ้นมาอ่าน เขากินและฉีกหมดทุกเล่ม เราเอาเล่มหนึ่งขึ้นมาใหม่ เขามิใช่มีสิบเศียรยี่สิบกรจะแย่งเราได้ยี่สิบเล่มไปกินเสียสิบเล่มเสียเมื่อไร เราอ่านวนไป พอตอนเช้าก็นั่งซ่อมไปทีละเล่มๆ คืนนี้เอาใหม่ เราแพ้ให้มันรู้ไป

กิจกรรมทุกชนิด เรากำหนดกติกาได้เสมอรวมทั้งการอ่านนิทาน จะเป็น 30 นาทีแล้วปิดไฟนอนพร้อมกัน หรือ 5 เล่มแล้วปิดไฟนอนพร้อมกัน เลือกทำได้ แล้วรักษากติกา เราควรนอนหรือแกล้งนอนไปก่อน เขาหลับเราจึงลงไปชงเครื่องดื่มกิน กรึ๊บๆ กันตามประสาสามีภรรยา

อ่านนิทานมิใช่เพื่อให้เด็กฉลาดหรือรักการอ่าน สองประการนี้เป็นผลพลอยได้ จะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ที่เราอยากได้คือพ่อแม่ที่มีอยู่จริง เราขอเท่านี้เอง เวลาเด็กงอแงให้กระซิบนิทานใส่หูเขา หยุดทุกราย

ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

Tags:

พัฒนาการประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

QUIZ: เคยเป็นเด็กอย่างไร ก็เป็นแม่แบบนั้น
Family Psychology
8 April 2019

QUIZ: เคยเป็นเด็กอย่างไร ก็เป็นแม่แบบนั้น

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

กด 😮:

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘โอ๋บ้าง ดุให้เงียบบ้าง’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘โดนตีให้เงียบ’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘กอดปลอบให้หยุดร้องไห้ด้วยคำพูดอบอุ่น’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณร้องไห้ แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ปล่อยให้ร้องไห้ต่อไป เพราะเชื่อว่าโอ๋ลูกมากไปไม่ดี’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

กด 😮:

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘เดินมาอุ้มบ้าง แต่บางครั้งก็ไม่ถูกสนใจ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘โดนทำโทษและขู่ห้ามให้วิ่งอีก’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ดูแล กอดปลอบและทำแผลให้’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณสะดุดล้ม แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่มีใครสนใจ ต้องลุกขึ้นและหายเจ็บเอง’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

กด 😮:

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘บางครั้งก็ได้รับคำชื่นชม บางครั้งก็โดนกดดันให้ดีกว่านี้’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่เคยได้รับการชื่นชมและถูกสั่งให้อ่านหนังสือต่อไป ห้ามคะแนนลดลงเด็ดขาด’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ได้รับคำชมและรางวัลเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณสอบได้ที่1 แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘เฉยๆ ไม่สนใจและไม่ชื่นชม’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

กด 😮:

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ได้ฟังนิทานบ้างบางครั้ง แต่บางครั้งก็ไม่ถูกสนใจ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ที่วิตกกังวล’ (Anxiety)
แม่ที่วิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลและไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ตอนเป็นเด็กจึงมักมีพฤติกรรมชอบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้ดูแล ว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ ผ่านการสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแล ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

แม่ที่วิตกจะใส่ใจความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการลูกได้ แต่ถ้าอารมณ์เสีย จะปิดกั้นลูกและควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

กด 😡:

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่เคยได้ฟังนิทาน เพราะเสียเวลา แถมยังโดนสั่งให้รีบเข้านอนอีกด้วย’ คุณมีโอกาสจะเป็นแม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)
ลักษณะของแม่ผู้เสียการควบคุมทางอารมณ์รู้สึก จะเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดความปั่นป่วน ซึ่งแม่ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเคยถูกกระทำจากผู้ปกครองมาก่อน ในวัยเด็กถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร

นำไปสู่ผลกระทบให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ เช่น เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความกลัว เพราะมีแม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา แม่จะเลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และอื่นๆ

กด  :

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ได้ฟังนิทานตามความต้องการอย่างสม่ำเสมอ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้มั่นคง’
แม่ผู้มั่นคง เติบโตมาในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์มั่นคง มีคนที่พร้อมจะส่งความปราถนาดีและแสดงออกความรู้สึกอยู่รอบๆ ตัว มีความใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนมระหว่างกัน ทำให้ชีวิตในวัยเด็กจะรู้สึกว่าตัวเองถูกรัก จนทำให้มองเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

เมื่อเป็นแม่ผู้มั่นคง จะเป็นแม่ที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและลูกเป็นอย่างดี จะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ราบรื่น เมื่อผิดพลาดก็รื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น ส่งผลให้เมื่อลูกโตขึ้น จะมีอารมณ์มั่นคง อบอุ่น สานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ เมื่อเจอวิกฤตก็แก้ไขให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้

กด 😢:

เมื่อคุณอยากฟังนิทานก่อนนอน แล้วได้รับการตอบสนองโดยการ ‘ไม่เคยได้ฟังนิทาน เพราะเชื่อว่านิทานเป็นเรื่องไร้สาระ’ คุณมีโอกาสจะเป็น ‘แม่ผู้เพิกเฉย’ (Avoidance)
ผู้เพิกเฉย เติบโตท่ามกลางการไม่ถูกที่สนใจ จนทำให้แม่ในวัยเด็กไม่พยายามสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ไม่ร้องขอ ไม่บอกความรู้สึก ทำตัวเหมือนไม่มีปัญหา ค่อยๆ ตัดความรู้สึกตัวเองไปทีละน้อย วัยเด็กจะมีบุคลิกภาพนิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เมื่อโตจะเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ไม่แสดงออก มีระยะห่าง ลึกๆ แล้วโดดเดี่ยว สานสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น

แม่ผู้เพิกเฉยจะเชื่อในเหตุผล มากกว่าความรู้สึกตัวเอง สนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง มีแนวโน้มเชื่อตำราและองค์ความรู้มากกว่าสัญชาตญาณ จนบางครั้งละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างไป เพราะไม่เห็นว่ามีสาระให้จับต้อง

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์พ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    จิตวิทยาเสี้ยวส่วน: ‘เด็กน้อยอันเปราะบาง’ ผู้สร้างบาดแผล ที่เราหลงลืมไป

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
5 April 2019

เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • คุยกับคุณพ่อวัย 37 ที่เตรียมรีไทร์จากงานประจำเพื่อเริ่มต้นงานใหม่ในตำแหน่งคุณพ่อเต็มเวลา
  • ฟังดูฟุ้งฝัน แต่ยืนยันทำจริงเพราะวางแผนแน่วแน่มาหลายปี วิศวกรคอมพิวเตอร์อย่างเขาเขียนโปรแกรมชีวิตค่อนข้างชัดเจน วางแผนครอบครัวรัดกุม ถึงขั้นเรียนต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยาพัฒนาการเพื่อตามหา ‘แม่ของลูก’
  • อาจทำไม่ได้ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่วิธีคิดบางอย่างก็ช่วยกวนตะกอนที่นอนก้นอยู่ในใจ ให้ลอยขึ้นมาใหม่ว่า ‘บ้าน’ คือโรงเรียนสำคัญของลูก
ภาพ: เฉลิมพล ปัญณาณวาสกุล

เกรียงไกร นิตรานนท์ คุณพ่อลูกหนึ่ง ภรรยาหนึ่ง วัย 37 ปี  สถานะวันนี้ของเขาคือ นับถอยหลังการทำงาน เพื่อเริ่มต้นเป็นคุณพ่อเต็มเวลาในอีกไม่ช้า

“เป้าหมายของผมคือ full time daddy” เกรียงไกรหรือพ่อหมูของ ‘บี๋’ ลูกชายวัย 6 ขวบ ยืนยันด้วยรอยยิ้ม

เกรียงไกร หรือ หมู หรือ ‘พ่อหมู’ กลุ่มบ้านเรียน (homeschool) วางแผนลาออกจากการทำงานมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงทยอยปิดโปรเจ็คท์ เมื่อภารกิจสำเร็จ เขาและครอบครัวจะย้ายไปอยู่ลำปางอย่างถาวร

ฟังดูฟุ้งฝัน แต่พ่อหมูยืนยันทำจริงเพราะวางแผนแน่วแน่มาหลายปี วิศวกรคอมพิวเตอร์อย่างเขาเขียนโปรแกรมชีวิตค่อนข้างชัดเจน วางแผนครอบครัวรัดกุม ถึงขั้นเรียนต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยาพัฒนาการเพื่อตามหา ‘แม่ของลูก’ เพราะอยากเลี้ยงลูกอย่างมีประสิทธิภาพ

ฟังไม่ผิด ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองผู้ชายบ้างานตอนนั้นจริงๆ….

“ทำงานตอนนั้น รู้เลยว่าเราหาแฟนยากมาก หันไปไหนก็เจอแต่ผู้ชาย เราได้เงินเดือนมาเราก็กินของเราคนเดียว เลยคิดว่า เราน่าจะเก็บเงิน น่าจะมีครอบครัวได้แล้วนะ (หัวเราะ)”

นอกจากแม่ของลูกแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่หมูเรียนต่อด้านนี้เพราะอยากแก้ไขความสัมพันธ์กับน้องสาวคนเดียว

ในอดีต หมูคือเด็กหลังห้อง ที่พูดอะไรไม่คิด ยึดตัวเองเป็นใหญ่ และเป็นพี่ชายที่หวงน้องสาวอย่างสุดโต่ง มีหนุ่มๆ โทรมาจีบก็แอบเอาโทรศัพท์พีซีที (สมัยนั้น) ไปเขวี้ยงทิ้ง หรือเอาตัวขวางประตูบ้านไว้ไม่ให้น้องสาวออกไปเที่ยว

“ผมรักน้องสาวมาก แต่รักแบบใช้แต่แรง และเพราะผมเป็นผู้ชาย ผมรู้ดีว่าผู้ชายมันแย่แค่ไหน” พ่อหมูสารภาพเสียงอ่อย ถึงเรื่องราวตอนนั้น

เวลาหนึ่งปีครึ่งในคลาสปริญญาโท เกรียงไกรบรรลุภารกิจ ได้แม่ของลูกกลับมาพร้อมกับการค่อยๆ รื้อฟื้นความสัมพันธ์ใหม่กับน้องสาวอย่างเข้าใจเขาเข้าใจเรา

ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาตัดสินใจเป็นคุณพ่อเต็มเวลา

ปริญญาโทจิตวิทยาพัฒนาการสอนอะไรคุณหมูบ้างคะ

คร่าวๆ คือ เรียนตั้งแต่พัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงคนแก่ แต่รายละเอียดของเด็กจะมีเยอะ

ตอนแรกเราเข้าใจว่านักจิตวิทยา อารมณ์ดี คุยกับใครก็ได้ แต่จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา แต่จะมีความรู้และนำความรู้นั้นไปเชื่อมโยงกับงานวิจัย

สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการรับฟัง คือเราจะมีโจทย์ของเราตลอดว่า ต้องอย่างนู้น ต้องอย่างนี้ แต่ถ้านึกย้อนกลับไป เราไม่เคยฟังเขา (น้องสาว) เลย ทำไมเขาถึงทำ ทำเพราะอะไร

ถามว่าได้เอากลับไปใช้กับน้องสาวไหม ก็ไม่เชิง พอเรียนจบมา ต่างคนต่างโต เรื่องร้อนค่อยๆ คลี่คลาย น้องก็มีครอบครัว เวลาน้องมีประเด็นอะไรในครอบครัว น้องก็โทรมาปรึกษา เราก็ดีใจ ซึ่งเราแทบไม่ค่อยให้คำปรึกษานะแต่เป็นการรับฟังมากกว่า ซึ่งมัน effective ให้เขาได้ระบายออกมา

สำหรับผู้ชายที่เรียนวิศวะคอมฯ มา เข้าใจเรื่องนี้อย่างไร

ผมว่าเป็นอะไรที่รู้ก็ดี ยกตัวอย่างวิชาปรับพฤติกรรม ที่มองทุกอย่างคล้ายการเลี้ยงสุนัขเลยครับ เช่น ถ้ามีพฤติกรมนี้ขึ้นมาเกิดจากสิ่งแวดล้อมแบบนี้ ถ้าถอดสิ่งแวดล้อมแบบนี้ออกไป พฤติกรรมนี้ก็หาย

หรือการทำโทษ สามารถทำให้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์หยุดได้ แต่การันตีว่ากลับมาใหม่แน่นอน ถ้าไม่ต้องการให้กลับมาใหม่ต้องมี reward หรือมีแนวทางบางอย่าง มีตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากคือ ตอนเช้าๆ บางทีแม่รีบแต่งตัวให้ลูกไปโรงเรียน ก็จะชอบว่าลูก เนี่ย ทำไมไม่ติดกระดุม หรือติดกระดุมเบี้ยว ว่าๆๆๆ แต่ไม่เคยให้แนวทางเลยว่าต้องทำยังไงต่อ พอไม่เคยให้แนวทาง เด็กก็จะลอง way ที่ 1 แม่ก็จะดุว่าผิดอีก แล้วจัดการให้ พอเด็กจะลอง way ที่ 2 ก็ผิดอีก โดนดุอีก เพราะไม่เคยได้ way ที่ถูก สักพักก็จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘ทำอะไรก็ผิดไปหมด’ พอผิดไปหมดปุ๊บ รอบต่อไปก็ไม่ทำละ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเด็กบางคน สุดท้ายเขาไม่ยอมปรับอะไรอีกแล้ว นั่นเพราะเขาลองมาเยอะแล้วเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรอีกถึงจะถูก วิธีแก้อย่างหนึ่งคือ ต้องมีเวิร์คช็อปที่ช่วยทำให้เขารู้จักว่า success คืออะไร อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง

เรียนจบได้ราวๆ สองปี คุณหมูก็แต่งงาน เคยนึกหรือวางแผนก่อนไหมคะ ว่าอยากเป็นพ่อแบบไหน

แต่งงานได้สามปี ถึงมีลูกครับ สร้างเนื้อสร้างตัว เปิดบริษัทไอทีของตัวเอง

ตอนนั้นเรานึกไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว รู้สึกว่าเรารู้อะไรในโลกนี้มาเยอะมาก แล้วเราก็อยากเอาความรู้ทุกอย่างมาปั้นเขาเลย ระหว่างเรียนจิตวิทยาพัฒนาการ เราก็ได้ไปเรียนรู้พุทธศาสนาด้วย เราก็เริ่มเห็นความสำคัญว่า อะไรที่มันควรพัฒนาในมนุษย์ ในเด็ก จริงๆ ต้องพัฒนาในเด็กเลย เพราะทุกวันนี้ ยังไม่มีสนามที่จะพัฒนาเด็กด้วย ก็คิดว่า เฮ้ย เรานี่แหละ เราจะเป็นคนที่มาจัดการเขา (ลูก) ทั้งหมด

เรียกว่าจัดการเลยใช่ไหมคะ

(พยักหน้า) ตอนนั้นนะครับ

ยกตัวอย่างความรู้เรื่อง ‘หูเด็ก’ ที่เรียนมา ให้เขาได้ฟังเสียงหลากหลายโทนตั้งแต่เขาอยู่ในท้องเดือนที่ 7 ราวๆ นั้นนะครับ ผมก็จำไม่แม่น เสียงมันทะลุท้องได้สบายๆ แล้วพอมันกระทบหูปุ๊บ สมองส่วนต่างๆ ของเด็กจะทำงานตามคลื่นความถี่แต่ละช่วง ฉะนั้นต้องไปซื้อลำโพงที่ดีหน่อย (ยิ้ม) ให้มันวิ่งตามคลื่นความถี่กระจายกัน หรืออย่างตอนคลอดเขาออกมา เราจะพาเขาไปให้เห็นสีที่มัน complicated (ซับซ้อน) แต่เน้นจากธรรมชาติเป็นหลัก เช่น จากดอกไม้ จากท้องฟ้าต่างๆ เพราะพอแสงที่แตกต่างเข้าตา สมองส่วนต่างๆ เหมือนถูกกระตุ้นด้วย ไฟฟ้า มันก็คือการพัฒนาการ

พอเขาโตเริ่มคุยกันได้ก็จะสอนเขากับเรื่องความรู้สึก ผมจะเรียกว่า soft skill ครับ คุยกับเขาในเรื่องพวกนี้เป็นหลัก

ตอนยังไม่มีลูก ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา เราได้เอาสิ่งที่เราเรียนมามาปรับใช้บ้างไหม

(พยักหน้า) ของใหม่ไง เพิ่งเรียนมา ก็ใช้ได้ค่อนข้างดีในช่วงแรกๆ

เน้นว่ามีช่วงแรกๆ มันก็ต้องมีช่วงหลังๆ ด้วยใช่ไหมคะ

ใช่ๆ พอนานไป บางที มันก็เข้ากลับมาสู่ความเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ความรู้ไม่ได้หยิบมาใช้ แต่ถ้าเรามีสติบ้าง เราก็จะกลับไปได้ เรารู้ว่าที่ถูกที่ควร ควรทำแบบไหน แต่ก็ไม่ได้ perfect ถึงขั้นว่า ทำได้หมด

ทั้งคู่เรียนจิตวิทยาพัฒนาการมา เคยมีสถานการณ์เอาความรู้มาชนกันไหม แล้วผลเป็นอย่างไร

มีทั้งช็อตดีและช็อตไม่ดี ช็อตไม่ดีเนี่ยมันกลายเป็นสัญชาตญาณทั้งหมดแล้ว ไม่มีความรู้เข้ามาแทรก คือ มันไม่มีสติครับผม

แต่รวมๆ ช็อตปกติมากกว่าอยู่แล้ว ส่วนช็อตไม่ดีก็มีเข้ามา interrupt ชีวิตบ้าง

ตอนที่อยู่กันสองคนมันสอนให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรือว่าจริงๆ แล้ว ทฤษฎีกับสัญชาตญาณอันไหนสำคัญกว่า

ผมว่าทฤษฎีมันสำคัญ แต่การเอามาฝึกฝนมันเป็นเรื่องของแต่ละคน เพราะว่าทฤษฎีเราใช้ได้กับคนข้างนอกที่เราไม่รู้จักแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ คำว่า 100 เปอร์เซ็นต์เนี่ยไม่ใช่ว่าเราบริหารจัดการเขาได้นะ แต่หมายความว่า เราไม่ต้องไปโกรธ ไม่เกลียดอะไรด้วยกับเขา เรารู้ว่านี่มันคือความคิดเขา นี่คือความคิดเรา แต่เวลากับคนที่ใกล้ชิด เฮ้ย เราว่าแบบนี้มันดีนะ เขาต้องคิดแบบเราสิ แบบนั้นมันไม่โอเคเลย ซึ่งอันนี้คือเวลาที่ทฤษฎีไม่ได้ถูกนำมาใช้ มันก็คือความทุกข์ และมันเป็นทุกข์จากเรา ไม่พอนะ มันก็ขยายทุกข์ไปยังเขาอีก สุดท้าย ในทางพุทธศาสนามันคือความ ยึดมั่นถือมั่น ว่าต้องแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้

ผมยกตัวอย่างนะ ผมสนใจพุทธศาสนาสายท่าน ป.ปยุตโต ผมชอบไปฟังเทศน์ที่วัดญาณเวศกวัน ทุกเสาร์-อาทิตย์ เหมือนเป็นคอร์สประมาณปีครึ่ง ต้องตื่นเช้าไปฟัง แต่พอภรรยาตื่นสาย ก็ทะเลาะกัน ทำไมเธอช้าอย่างงนี้ ขับรถไฟก็ฟึดฟัด นี่คือจะไปฟังเทศน์นะครับ (ยิ้ม) ‘เห็นไหม ตื่นสาย’ อย่างนี้ตลอดทาง

คือ ผู้หญิงจะทำนู่นทำนี่เยอะกว่าผู้ชาย เราแป๊บเดียว เรากะเวลาแม่นมากในการออก แต่พอเขามาถ่วง เราก็หงุดหงิดจนสุดท้าย ไอ้ความรู้ที่เรารู้มาทั้งหมด มันเหมือนเอาไว้โม้ให้คนอื่นฟัง (หัวเราะ) เพราะชีวิตจริงมันคืออีกเรื่องหนึ่งเลย จุดนี้ทำให้เราหยุดและคิดว่า ความรู้ทุกอย่างสำคัญอยู่ที่การฝึก

พอเป็นคุณพ่อล่ะคะ ได้เอาความรู้มาใช้มากแค่ไหน

ช่วงเขาอยู่ในท้องเนี่ย เรียกว่าใช้ง่ายมากเพราะว่ามันเป็นเราฝั่งเดียว จนเขาโตมาซักสองขวบ จะสามขวบก็ยังง่าย เพราะเขายังทำอะไรมากไม่ได้ แต่พอเขาเริ่มมีความคิดของเขา ก็มาต่อล้อต่อเถียงกับเรา อันนี้ก็ (นิ่งคิด) บางทีถ้าเราอยู่ในจุดที่เราเครียด หรือ วุ่นวายใจ ความรู้ที่มีก็ไม่ได้ใช้อีก แต่ถ้าใจเรานิ่ง เราคลีน เรามีสติ อารมณ์ดี ก็ถือว่าบริหารจัดการกับเขาได้ง่าย

ยกตัวอย่างประกอบได้ไหมคะ

อย่างเวลาเขาทำไม่ถูก ผมพยายามจะบอกเขาว่า เขาทำไม่ถูกนะ แต่เขาก็จะบอก เปล่า เขาไม่ได้ทำแบบนั้น เช่น เขาเล่น เอาน้ำมาฉีดใส่คนอื่น พอเขาฉีดเรา แล้วเราอยู่ในจุดที่ไม่พร้อมที่จะเปียก เราก็บอก ทำไมต้องเล่นแบบนี้ เขาก็จะเฉไฉว่าเปล่า เขากดไปเฉยๆ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ซึ่งมันไม่เกี่ยวกัน เขาก็จะบอกว่าเขาไม่ได้ทำ เขาแค่กดแล้วมันก็เปียกเลย เราก็จะบอกเขาว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ เขาตั้งใจทำ

แล้วตอนนั้นคุณหมูมีวิธีการดึงสติหรือ recovery ตัวเองอย่างไรบ้าง

คือมันมีทั้งช่วงที่มีสติและช่วงที่ไม่มีสติ ถ้าช่วงที่มีสติเนี่ยก็จะเรียกมานั่งคุย เสียงเขาก็จะเบาลง แล้วเราก็จะบอกว่า รู้ไหม ถ้ากดอย่างนี้ รู้อยู่แล้วว่าน้ำมันจะกระเด็นนะ ถ้าอยากจะทดสอบเราอาจจะต้องหาจุดที่มันพร้อมเปียก ไม่ใช่ตรงนี้แต่อาจจะเดินไปในห้องน้ำ

เวลาไม่ถูก แล้วที่ถูกคืออะไร คือเราจะบอกเขาในสิ่งที่ถูก วิธีนี้ผมใช้เยอะ และค่อนข้างได้ผล

ความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกเอง มาตั้งแต่ตอนไหนคะ

มันอาจจะยังไม่ได้มาตั้งแต่แรกนะ แรกๆ เราอาจจะคิดว่า เปิดบริษัททำงาน เราจะส่งลูกเรียนดีๆ พาลูกไปเที่ยว แต่ด้วยความที่เราได้เรียนทั้งพุทธศาสนาและจิตวิทยา บวกกับการใช้ชีวิตต่างๆ แล้วพอเปิดบริษัทเอง การทำงาน รายได้ ทรัพย์สินที่เราซื้อเนี่ย มันถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึก เราพอแล้ว ไม่ใช่หมาล่าเนื้อที่ต้องไปเอามาอีกเยอะๆ อีกแล้ว

มันหลายๆ อย่าง แล้วก็ตกผลึกตอนที่เขา 2 ขวบ เราก็เลยคิดว่าเราจะหยุด จะปิดบริษัท ค่อยๆ เชิญคนออกไป ทุกคนก็บอก บ้าแล้วมึง จนตอนนี้ทั้งบริษัทเหลือผมคนเดียว ทำคนเดียวมาประมาณ 4 ปีแล้ว

ผมมองการที่เราอยู่กรุงเทพฯ มันไม่ตอบโจทย์แล้ว ค่าใช้จ่ายก็มาก สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้น้อยมาก อะไรที่จะต้องเรียนรู้เป็นโมเดลที่ต้องเติมเงินอย่างเดียว ถ้ารายได้เราเริ่มลดลงแล้วเนี่ย คงอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เลยมองต่างจังหวัด แล้วก็ไปสร้างพื้นที่ขึ้นมา

แล้วพื้นที่ที่เราจะไปอยู่เนี่ย ก็จะพัฒนาเป็นจุดที่หารายได้ได้ด้วย รายได้อาจจะน้อยลงหน่อยแต่ คิดว่าเป็นที่ที่เราน่าจะอยู่กับลูกได้ตลอด แล้วลูกก็จะได้เห็นสิ่งที่เราทำ คือทุกวันนี้ ลูกเห็นในสิ่งที่เราทำน้อย เพราะเช้ามาเราก็ออกไปข้างนอกแล้ว ไม่ได้เจอกัน

ความคิดนี้ คุณหมูคิดคนเดียว หรือคิดร่วมกับภรรยา

จริงๆ กับภรรยาเริ่มแรกก็คุย แต่ก็เหมือนทุกคนคือ ไม่มีใครโอเค

มีคนเดียวที่โอเคคือตัวเอง?

แต่เราก็ convince นะครับ ช่วงนั้นจะ search หาคนกรุงเทพฯ แล้วย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ดูว่าชีวิตเป็นอย่างไร เจอกันในอินเทอร์เน็ตก็นัดเขาไปสัมภาษณ์ (ยิ้ม) ก็พาภรรยาไปฟังด้วย เขาก็ค่อยๆ เห็นด้วยทีละนิด ทีละนิด แต่เราก็มองว่า นี่มันเป็นสิ่งที่มันควรจะเป็น บางอย่างเราก็เผด็จการเล็กน้อย (หัวเราะ)

ยอมรับว่าเราเผด็จการและมีความคิดตัวเองเป็นใหญ่?

อันนี้ใช่ครับบางทีมันก็ยังมีมุมมองตรงนี้เหลืออยู่ มันอาจจะผิดก็ได้นะแต่ถ้าในมุมนี้ผมมองว่า เขามองไม่เห็นในสิ่งที่ผมเห็นในการเลี้ยงลูก แล้วเขา (ภรรยา) ก็จะเห็นในมุมที่ผมไม่เห็นด้วย แต่อีกมุมหนึ่งเราก็ฟังจากเขา

การเรียนรู้ (learning) แบบนี้ เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ยากมาก คือ แต่ละวันผมอยากจะใช้เวลาทำกิจกรรมกับลูกทั้งวัน ซึ่งในกรุงเทพฯ ผมว่ามันไม่เหลืออะไรให้ทำนอกจากไปเที่ยว เดินห้าง ไปเล่นสวนสนุก ฯลฯ อย่างทุกวันนี้ที่ง่ายที่สุดคือ ไปสวนสาธารณะกับเขา ไปออกกำลังกายเป็นหลัก

เป็นกิจกรรมที่พ่อพยายาม convince แม่เพราะพ่อคิดว่าดี อยากถามค่ะว่าคุณพ่อได้ถามลูกบ้างไหมว่าชอบแบบนี้หรือเปล่า

(พ่อหมูหันไปถามลูก) ต่อไปนี้คือบทสนทนาระหว่างพ่อลูก

พ่อ: พ่ออยากให้บี๋ไปทำกิจกรรมอะไรนะ ที่ลำปางอะ

ลูก: ทำไร่ เลี้ยงวัว

พ่อ: เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย แม่ก็จะบอกว่า เลี้ยงวัวเลี้ยงควายไม่ได้อะไรใช่ไหม หม่ามี้บอกว่าอะไร

ลูก: ไม่ได้อะไรเลย ไม่ชอบ เหนื่อย

พ่อ: เราตั้งใจให้เป็นวิชาเลยนะ ตอนนี้ผมเหลือโปรเจ็คท์ด้านไอทีของลูกค้า ประมาณ 4 ที่ ครึ่งปีหลังน่าจะย้ายได้จริงๆ ผมก็ฝันว่า สำหรับลูก วิชาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเป็นสุดยอดวิชาเลยนะ พอเริ่มเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงม้า เลี้ยงวัวเลี้ยงควายจะเจอปัญหาว่า การขนฟางจากที่ที่หนึ่งมาให้มันกินในช่วงหน้าแล้งเนี่ย ใช้เงินเยอะมาก มันเหนื่อย และใช้เงินเยอะ เพราะมันตัวใหญ่และกินเยอะมาก ชาวบ้านจะลากวัวลากควายไปที่ที่มันมีหญ้า แล้วนั่งรอ

ซึ่งการนั่งรอวันละ 5-6 ชั่วโมงแบบนี้ติดต่อกันเป็นเดือน ต้องเตรียมอาหารไปกินเอง ระหว่างนั่งรอ แค่เห็นเมฆที่มันขยับ มุม แดดที่มันเปลี่ยนเงา มดที่เดินข้างๆ มันมีความเข้าใจต่อธรรมชาติสูงมาก แล้วมันไม่ต้องเป็นอะไรที่ต้องตั้งใจเรียนเลย มันรู้เองว่าแดดเวลานี้มันมามุมไหน ถ้าเจอมดเเบบนี้รังมันน่าจะอยู่แถวไหน หญ้าจะเป็นอย่างไร วิธีการหาร่มไม้ เเละถ้าพรุ่งนี้มารอวัวควายกินหญ้าเหมือนเดิม คนอย่างเราต้องวางแผนอย่างไรบ้าง มันไม่ง่าย ต้องวางแผน เรียนรู้รอบตัว

ลูก: ถ้าเกิดน้ำหมดล่ะ

พ่อ: เราก็ต้องถือให้มันเยอะขึ้น

ลูก: ถือเยอะขึ้น ถ้าเกิดแบ่งกันกิน ผมก็ต้องแบ่งให้พ่อ เดี๋ยวมันก็หมด

พ่อ: มันก็ต้องถือให้เยอะขึ้นมาอีก

ลูก: ก็หนักขึ้นจะถือได้ไง

พ่อ: ก็เข็นไปก็ได้ กินสองคนไม่เยอะหรอก

ผมมองว่าวิชาแบบนี้อาจจบได้ภายในเดือนนึงหรือเดือนครึ่ง คือจะแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวัน อย่างนี้โทรศัพท์ไม่ต้องรับเป็นวันก็ได้ ต่างจากทุกวันนี้ห้ามวางโทรศัพท์ไกลตัว ไม่งั้นมีปัญหาแน่ เพราะเรื่องงานกับชีวิต ชีวิตในกรุงเทพฯ สร้างเงื่อนไขไว้เยอะ เเต่ถ้าเราไปอยู่ที่โน่น เราค่อยๆ วางมันลงไป ให้ชีวิตประจำวันมันเป็นชีวิตจริงๆ ตรงนี้สำคัญ

ตอนลูกเกิดมาคุณหมูช่วยเลี้ยงลูกอย่างไรบ้าง

เราทำทุกขั้นตอน ทุกขั้นตอนทำแทนได้ แต่เเบ่งกันทำ ไม่ใช่ว่าต้องใครเป็นหลัก เช่น เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดตัว

มันจะมีช็อตคลาสสิกอย่างคุณแม่ให้นมตอนกลางคืน คุณพ่อตื่นมาด้วยไหม

ช็อตนี้ ครอบครัวผมจะเเตกต่างจากคนอื่นมาก ผมไม่เคยรู้เลยครับว่ามีช็อตนี้ตอนกลางคืน เพราะภรรยาเป็น full time mom ฉะนั้นจะไม่มีขวดนม เข้าเต้าเท่านั้น พอตอนกลางคืน ร้องตื่นก็เข้าเต้าไป ที่เราไปเรียนจิตวิทยามา เราจะรู้เลยว่า สมองมีความเชื่อมโยงกับสัมผัสถ้าเราให้เขาดูดจุกนม กับ ดูดจากเต้า การสันดาปออกซิเจนจะต่างกันโดยสิ้นเชิง

เเล้วพอลูกโตขึ้น คุณหมูเป็นคุณพ่อ full time แค่ไหน

เนื่องจากตอนนี้ผมยัง full time ไม่ได้ โดยเฉพาะวันทำงาน เเต่ช่วงหลังๆ มา พองานมันน้อยลงก็จะวางแผนว่า ปีหนึ่งเราจะไปเที่ยวทีหนึ่งแบบไปยาวมากๆ ประมาณ 1 เดือน เเละไปเที่ยวที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง ไม่ต้องกินอะไรข้างนอก ซื้ออาหารทำเอง พยายามจะไปเรียนรู้ที่ 1 เดือน เราได้เลี้ยงเขาเต็มที่

แล้วก็เลือกให้ลูกเรียนแบบโฮมสคูล

เป็นความตั้งใจตั้งแต่ตอนเรียนจิตวิทยา เขาสอนเรื่องโรงเรียนแบบต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ แบบวอลดอร์ฟ ไปจนถึงบ้านเรียน (homeschool) ก็ตั้งใจตั้งเเต่ตอนนั้นเลยว่าถ้าเรามีลูกเราจะเลี้ยงเเบบนี้นะ ตกลงกับภรรยาไว้ตั้งแต่แรก

วางหลักสูตรคร่าวๆ ให้ลูกเรียนอะไรบ้างคะ

ผมกับภรรยาจะวางไว้คนละเเบบ ภรรยาอยากจะเน้นให้ลูกพัฒนาด้านทักษะร่างกาย ให้เขาได้เข้าสนามเเข่งขันต่างๆ ส่วนผมมองว่าเน้นเรื่องชีวิต ยังไม่มองเรื่องความรู้ข้างนอก เช่น ชีวิตเเต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งตอนนี้วิชาของผมยังไม่ได้สอนเขานะ วิชาของผมจะถูกสอนก็ต่อเมื่อย้ายไปอยู่ที่ลำปางด้วยกัน มองไว้เป็นโปรเจ็คท์ ตั้งเเต่ life cycle เกี่ยวกับ food ทั้งหมด ตั้งเเต่การปลูกผักกินไข่ เลี้ยงไก่ จับปลามาทำอาหาร

เฟรมใหญ่ของผมคือ สังเกตฟ้าดินแล้วไปสังเกตคนเอง สังเกตผลลัพธ์ สังเกตผลการกระทำ ถ้าเราช่วยเด็กหงายเเง่มุมนี้ขึ้นมาเเละเขาสามารถกระจายไปทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐศาสตร์

ยกตัวอย่าง โตไปผมตั้งใจอยากไปถามเขาว่า ไปเดินตลาดนัดด้วยกันทำไมเงินในกระเป๋าหม่ามี้ถึงเข้าไปอยู่ในกระเป๋าอีกคนได้ เพราะอะไร เพราะเขาอยากได้ของจากอีกคนหนึ่ง เเละทำไมอีกคนหนึ่งเข้าใจว่าต้องหยิบของชิ้นนี้มาวางขาย เพราะเข้าใจ need ของคนว่า คนเรามันก็อยากสุขสบาย อยากได้รสชาติหวานๆ อร่อยๆ  สุดท้ายมันเป็นการสังเกตความเชื่อมโยง พุทธศาสนาบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุเเละปัจจัย เมื่อเราเข้าใจเหตุปัจจัย จะทำให้คนนั้นไปอยู่ได้ในหลายๆ สถานการณ์

ทุกวัน บี๋(ลูก) ทำกิจกรรมอะไรบ้าง

เเต่ละวัน จริงๆ ตัวเฟรมใหญ่คือการซ้อมสเก็ตซ์ของเขา  เเม่ก็จะพาไปซ้อมกับครูและทีม ออกจากบ้านประมาณสี่โมงเย็น เเล้วกลับมานอน เเต่ถ้าตื่นมาตอนเช้า ที่บ้านค่อนข้างฟรีสไตล์ กินข้าวเช้าก่อน อาบน้ำ แปรงฟัน เเละเขาจะมานั่งเปิดคอมพิวเตอร์ ดูซีรีย์ youtube ของเขา ที่บ้านไม่เคยให้ดูทีวีเลย ผมจะเปิดใน youtube อย่างเดียว เเละเราจะเลือกวิดีโอที่เป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียว เขาจะได้ศัพท์ใหม่ๆ ในหนึ่งอาทิตย์มีอยู่หนึ่งวันที่จะเรียนวิทยาศาสตร์กับเลขขึ้นอยู่กับครูว่าจะสอนอะไร เเล้วก็อีกวันหนึ่งก็คือเรียนยิมนาสติก

แล้วมีวิธีการพาเขาเรียนรู้อย่างไรบ้าง ตอนที่ยังไม่ย้ายไปอยู่ที่ลำปาง

วันไหนมีกิจกรรมไปก็ด้วยกันตลอด เราก็จะสอนเขาตลอด เช่น เขายังอ่านไม่ได้เเข็งเเรง เเต่เขาจะรู้ว่าการอ่านคือสิ่งสำคัญ เราคุยกับเขาว่าเราจะไปที่นี่ เราต้องนั่งรถไฟฟ้าไปสถานีนี้ ถ้าเราอ่านไม่ได้จะเป็นอย่างไร เขาก็จะเริ่มรู้ว่าที่ที่เขาอยากไปถ้าอ่านไม่ออก จะไปที่นั่นก็ลำบาก เขาก็จะขาดโอกาสไปต่างประเทศ กระทั่งจะกลับบ้าน ก็ต้องอ่าน ผมจะหงายแง่มุมตรงนี้ให้เขาเห็นตลอด ให้เห็นความติดขัดในทักษะนี่ ทำให้เกิดอะไรบ้าง เขายังขาดอะไรที่ต้องพัฒนา

หรืออย่างไปอยู่กับเพื่อนๆ วัยเขา ตัวเองคือ self center อยากได้อะไร ไม่ชอบอะไร เขาจะเเสดงออกชัดเจน เช่น ถ้าอยากได้ของที่เพื่อนถืออยู่ ก็จะไปหยิบมาเลย ถ้าเป็นเราโดนแย่ง เราจะรู้สึกอย่างไร จะชวนเขาคุยเรื่องความรู้สึก พอเขาเรียนรู้ท่าทีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

มีพัฒนาการหรือสัญญาณอะไร ที่บอกว่า เรามาถูกทางแล้วบ้าง

ผมรู้สึกว่าเขามีการเรียนรู้ความรู้สึก เช่น เขาอยากจะได้ของชิ้นหนึ่ง เด็กก็จะยอมเป็นเด็กดีตามที่พ่อแม่วางไว้ เเละพอได้ของชิ้นนั้นเเล้ว หลังจากวันนั้นไปก็ดื้อ ผมก็จะชวนเขาคุยว่า พฤติกรรมแบบนี้มันทำให้อีกคนหนึ่งรู้สึกเสียใจไหม เเต่ผมจะใช้คำพูดที่ชัดเจนขึ้นมาหน่อย เช่น ถ้าคุณอยากได้ของเเล้วพอคุณได้ คุณก็ดื้ออีกเเล้ว

ความที่เราคุยกันบ่อยๆ ผมจะรู้ว่า จริงๆ เขาพยายามนะ เเต่พอวันหลังเขาทำไม่ได้ เขาก็รู้นะว่ามันไม่ดี อันนี้ก็จะเป็นมุมมองที่ผมว่าเขาได้

เขารับรู้ถึงความรู้สึกของคนอื่น?

ใช่ครับ เป็นสิ่งที่ผมอยากให้เด็กได้เรียนรู้เร็วที่สุดเท่าที่เด็กจะเรียนได้ จริงๆ มันเป็นเเค่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เราเเค่หงายเเง่มุมนั้นขึ้นมาพูดคุย

อย่างช่วงที่พ่อผมเสียชีวิตอะไร ผมก็จะเเชร์ให้เขาฟังว่า พ่อของผมก็เหมือนผมกับเขา เเละคิดว่าพ่อรักไหม เเละถ้าตอนนี้พ่อจากไปเขาจะรู้สึกอย่างไร คือจะพยายามให้เขาเริ่มจินตนาการเเล้วเปรียบเทียบความรู้สึกต่างๆ

จะมีชุดความคิดว่าบางอย่างพ่อแม่ทำไม่ได้ในวัยเด็ก เเล้วพอมีลูกก็จะเอาความคาดหวังหรือความฝันของพ่อแม่มาอยู่กับลูก ชุดความคิดนี้มันส่งถึงความฝัน ความคาดหวังของคุณหมูต่อลูกมากน้อยแค่ไหน

ผมว่ามันมีนะ ยกตัวอย่างในวัยเด็ก เราอยากตีลังกา เราอยากอะไรต่างๆ เป็น เเล้วก็ลึกๆ อยากเเข็งเเรง ทุกวันนี้ก็จะพาลูกเรียนยิมนาสติก คือมันก็พูดยาก มันเป็นความอยากของพ่อที่อยากให้ลูกทำได้เเล้วเด็กก็สนุกด้วย

หรือเรื่องที่ผมพยายามสอนให้ลูกรับรู้ความรู้สึกของคนอื่น มันน่าจะมาจากตอนผมเด็ก ผมเป็นคนชอบแกล้งเพื่อน เป็นเด็กหลังห้องที่ไม่มีความเข้าใจกับเรื่องความรู้สึกเลย เอาตัวเองสนุกไว้ก่อน ขึ้นมาถึงห้องก็ไปหยิบสมุดของคนอื่นในกระเป๋ามาสลับกันๆ ผมสนุก อยู่คนเดียว เพื่อนนี่ขั้นเกลียดเลย ช่วง ม.ปลายเราเก่งคณิตมาก เป็นตัวเเทนโรงเรียนไปเเข่งขัน ก็จะชอบไปทับถมคนอื่น เเต่โชคดีพอเข้ามหาวิทยาลัย เราเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ มาเข้าทำงานเจอสิ่งเเวดล้อมที่ดี พวกนี้ค่อยๆ เปลี่ยนเรา

เคยหาคำตอบไหมคะว่าทำไมถึงเป็นคนแบบนี้

พ่อแม่สนใจใน daily operation ชีวิตมากจนไม่มีเวลามาพูดคุยกับเราเรื่องนี้เลย เช่น รู้ไหมลูกถ้าลูกทำอย่างนี้เพื่อนเขาจะไม่ชอบ บางครั้งครูเรียกผู้ปกครองไปพบ แม่ก็จะแค่บอกว่า อย่าทำแต่ไม่เคยมาคุยว่าทำอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทำให้เราไม่เคยเข้าใจคนอื่นเลย

การเรียนในโรงเรียนกระเเสหลัก เป็นปัญหาด้วยไหม จนทำให้คุณหมูตัดสินใจทำโฮมสคูล

สิ่งที่ผมจำได้ตอนมัธยม อย่างเอนทรานซ์ (สอบเข้ามหาวิทยาบลัย) วิชาฟิสิกส์ ครูในโรงเรียนสอนไม่เข้าใจ เเละผมต้องมาเรียนจากการเรียนพิเศษ เเละจริงๆ แทบทุกวิชา ผมมาเรียนจากการเรียนพิเศษเเละผมก็เอนทรานซ์ติดเพราะผมเรียนพิเศษ
ผมเลยรู้สึกว่าวิชาที่ต้องสอบเอนทรานซ์ทั้งหมดเราก็เเค่ไปส่งลูกเรียนพิเศษเอาตอนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เเละเราก็ provide ในสิ่งที่เขาจะต้องรู้ ให้เขาก่อน พอมองอย่างนี้ปุ๊บทำให้เห็นว่า ผมอาจจะต้องการโรงเรียนในระบบของผมเอง

ที่บอกว่าธงของคุณหมูคือเป็น คุณพ่อ full time มันมาตอนไหน เเล้วมีวิธีการอย่างไร

จริงๆ มาตอนที่เขาอายุประมาณ 2 ขวบ มองว่าสิ่งที่เรารู้ทั้งหมด เราอยากถ่ายทอดให้กับเขา ตรงนั้นมันเป็นจุดตัดสินใจ เลยเริ่มซื้อที่ดิน เริ่มหา location เริ่มพัฒนา เริ่มประกาศออกมาว่าเราจะปิดบริษัท

ฟังดูขวางโลกมาก มีคนขวางมากไหมคะ

ไม่มีใครเห็นด้วย เเต่นี่คือชีวิตเรา คือในมุมหนึ่งผมเป็นคนที่ถ้ารู้ว่าอะไรคือ fact อะไรคือของผม ผมก็จะแชร์ ไม่รู้สึกว่าต้องกั๊ก หรือ กันอะไร คิดอะไรได้ก็พูดออกมา ค่อนข้างตรงไปตรงมาเกือบทั้งหมด

แต่หลายครอบครัวก็มีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ อยากทำแบบนี้บ้างก็ทำไม่ได้ มีวิธีหรือคำแนะนำไหมคะ

เศรษฐกิจเป็นจุดยาก จริงๆ ผมว่าถ้าโรงเรียนไม่ดี เเล้วเรา (พ่อแม่) มีเวลาอยู่กับเขาได้มากขึ้น และชวนเขาคุยในมุมมองต่างๆ เพิ่มขึ้นมันก็โอเค

อย่ามองว่าโรงเรียนต้องเป็นคนปั้น หรือครอบครัวผลักหน้าที่การสอนและการเลี้ยงดูให้โรงเรียน จะทำให้พัฒนาเด็กได้น้อย เรา (พ่อแม่) อาจจะต้องเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งในเวลาที่ลูกไม่ได้ไปโรงเรียน เเละมองโรงเรียนเป็นเพียงสนามว่าทดสอบทักษะต่างๆ ที่เราสอนไป

พอเขาเอาไปใช้มันเวิร์คไหม ไม่เวิร์คก็ปรับแก้ จูนกันไป คิดว่าแบบนี้น่าจะเป็นมุมที่น่าจะไปด้วยกันได้กับกลุ่มที่ติดขัดทางเศรษฐกิจ

แล้วในบทบาทของพ่อแม่ อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรจะมอบให้ลูก

สิ่งที่สำคัญมากๆ เลยคือทักษะที่เขาจะหาเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเองและมีกินได้ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกวันช่วงจน 10 ขวบ แล้วจู่ๆ พ่อกับเเม่เสียชีวิตไป ชีวิตวันพรุ่งนี้ของเขาจะทำอย่างไร เเต่ถ้าช่วง 10 ขวบ เขาได้ออกไปจับปลา เก็บไข่ ปลูกผัก เก็บผักกิน ทำจนเป็น เเล้ววันรุ่งขึ้น พ่อแม่จากไป เขาก็เเค่ออกไปเก็บผักกิน เก็บไข่กินเหมือนเดิม เเล้วก็ค่อยไปงานศพพ่อแม่ก็ได้

Tags:

พ่อเกรียงไกร นิตรานนท์stay at home dadมายาคติการเป็นแม่

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นSocial Issues
    Stay at home dad: การปรากฏตัวของคุณพ่อเต็มเวลากับมายาคติเรื่องเพศ

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ณิชากร ศรีเพชรดี

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Family Psychology
    พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Family Psychology
    โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel