Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2019

ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน
21st Century skills
6 September 2019

ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • มนุษย์เรามักปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ในรูปแบบพฤติกรรมที่เคยชิน หมายถึง เมื่อมีสถานการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นตรงหน้า เราจะแสดงพฤติกรรมตอบสนองที่เราคุ้นชินมากกว่าจะปรับตัวและเปลี่ยนพฤติกรรม
  • Adaptability คือ ความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น เป็น 1 ใน 16 ทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 คนที่มีทักษะนี้มักไม่มีปัญหา เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และเมื่อต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองก็พร้อมปรับมุมมองหรือวิธีคิดอยู่เสมอ

อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ถูกมองหาใน ‘ทีมทำงาน’ ทุกวันนี้คือ adaptability ‘ความสามารถในการปรับตัว’ และ ‘ความยืดหยุ่น’ 1 ใน 16 ทักษะจำเป็นศตวรรษที่ 21

โดยรวม ผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวคือคนที่ไม่มีปัญหาหรือมีปัญหาน้อยเมื่อสถานการณ์รอบตัวเปลี่ยนไปหรือต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง มีความพร้อม (willing) ที่จะปรับมุมมองหรือวิธีคิด ปรับแผนงานเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ง่าย ขณะที่ผู้มีปัญหาด้านการปรับตัวอาจใช้เวลามากกว่าเพื่อปรับตัวให้รู้สึกผ่อนคลายกับสถานการณ์ใหม่ จนปรับวิธีคิดหรือมุมมองเพื่ออยู่ในสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างสะดวกใจ และคิดหาวิธีจัดการสถานการณ์ตรงหน้าได้ในที่สุด

สำคัญที่สุด นี่ไม่ใช่แค่คาแรคเตอร์ที่บ่งบอกความสำเร็จด้านการงานเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์กับความฉลาดทางอารมณ์ หรือพูดได้ว่าผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวมักเป็นผู้ที่มีความสุขได้ง่ายดายกว่าด้วย

อ้างอิงจากงานวิจัยในปี 2008 โดย Economist Intelligence Unit เรื่องคาแรคเตอร์ที่ ‘ผู้นำ’ ต้องมีในสนามธุรกิจโลก คือ

  1. ความสามารถสร้างแรงบันดาลใจและจุดไฟให้ผู้ร่วมงาน (35 เปอร์เซ็นต์)
  2. ความสามารถจะทำงานท่ามกลางความหลากหลาย (34 เปอร์เซ็นต์)
  3. ความสามารถที่จะสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นในองค์กร (32 เปอร์เซ็นต์)
  4. อันดับท้ายๆ ตกเป็นของความสามารถในวิชาชีพ (11 เปอร์เซ็นต์) และ ความสามารถสร้างผลกำไร (10 เปอร์เซ็นต์)

แม้จะเป็นผลสำรวจย้อนกลับไปนับสิบปี (แต่ทักษะในศตวรรษที่ 21 ยังคงระบุคุณสมบัติข้อนี้ในคนรุ่นใหม่) แต่อาจตีความได้ว่าความสำคัญเรื่องการปรับตัวไม่เคยหายไปไหน ซ้ำยิ่งถูกไฮไลต์ให้ชัดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของโลกใบนี้

การทำงานท่ามกลางความหลากหลาย (ข้อ 2) – หนึ่งในคาแรคเตอร์ของการปรับตัว – เคยถูกให้ความสำคัญอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังจำเป็นมากขึ้นโดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเอื้อให้เราทำงานเชื่อมต่อกันจากทั่วทุกมุมโลก งานวิจัยบอกว่าในทีมงานหนึ่งอาจมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ถึง 22 แห่ง! รวมทั้งการมองหาโอกาสเพื่อทำให้เกิดขึ้นในองค์กร (ข้อ 3) ก็เป็นหนึ่งในวิธีคิดและมุมมองของผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวเช่นกัน

การปรับตัวกับการทำงานของสมอง

ในหนังสือ Everyday Survival: Why Smart People do Stupid Things โดย ลอเรนซ์ กอนซาเลส (Laurence Gonzales) อธิบายเรื่องการแนวโน้มการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่กับรูปแบบพฤติกรรมเคยชิน เมื่อมีสถานการณ์เกิดขึ้นตรงหน้า เราอาจตอบสนองในรูปแบบที่เราคุ้นชินมากกว่าจะปรับตัวและเปลี่ยนพฤติกรรม นั่นเป็นเพราะการรับรู้ที่ใส่กุญแจล็อคความคิดของเราไว้

ลอเรนซ์ ระบุว่า ‘behavioral scripts’ หรือ ‘mental models’ ในทางประสาทวิทยา หรือ neuroscience คือวิธีเรียนรู้ที่เกิดจากเงื่อนไขทางสังคม เช่น หากทำสิ่งนี้จะได้รางวัล หากทำสิ่งตรงข้ามจะถูกลงโทษ หรือพูดง่ายๆ มันคือการเรียนรู้ที่มาจาก บรรทัดฐาน หรือ norm ของสังคม เช่น การเรียนรู้ที่จะพูดขอโทษหรือขอบคุณ การเรียนรู้ที่จะต้องเอาอกเอาใจพ่อแม่ ซึ่งเงื่อนไขของการเรียนรู้จะแตกต่างไปแล้วแต่สังคมที่เราอาศัยอยู่ ‘behavioral scripts’ ยังเป็นการเรียนรู้ที่จะจดจำพฤติกรรมที่เราทำบ่อยจนเคยชินด้วย เช่น การใส่รองเท้า เราทำซ้ำๆ จนใส่มันได้คล่อง ใส่ไปคุยไปด้วยยังได้

หมายความว่า behavioral scripts ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะพฤติกรรม แต่เกิดในระดับ ‘การรับรู้’ และ ‘ความเชื่อ’

ที่น่าสนใจคือ behavioral scripts มีแนวโน้มทำให้เราไม่รับรู้ต่อสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของเรา ทำให้เราไม่พยายามจะทำในสิ่งที่ ‘เรารู้สึก’ ว่ามันแย่หรือ ‘คิด’ ว่าเป็นไปไม่ได้

แล้ว behavioral scripts เกี่ยวข้องกับการปรับตัวอย่างไร?

ก็เพราะเจ้า behavioral scripts ที่เป็นระบบปฏิบัติการทางสมอง ในทางหนึ่งช่วยให้เราปลอดภัยเพราะเลือกทำในสิ่งที่เราคุ้นชินหรือสิ่งที่สังคมบอกว่าดี รูปแบบหรือพฤติกรรมที่เราเคยชินอาจทำให้เราเพิกเฉยหรือปฏิเสธสถานการณ์หรือสัญญาณเตือน ‘ใหม่’ ที่ปรากฏตรงหน้า และคิดว่าเป็นสถานการณ์เดิมๆ ที่เรา (รวมทั้งสมองเรา) รับรู้อยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นธรรมดาที่เราจะปฏิบัติต่อสถานการณ์ตรงหน้าอย่างที่เราเคยทำ (ในสถานการณ์เดิม) ในอดีต

โดยรวม การปฏิเสธข้อเท็จจริงใหม่ที่สมองไม่เคยรับรู้และยังตีความว่า “มันก็เป็นเรื่องเดิมๆ” ทำให้เรามีแนวโน้มจะละเลยข้อเท็จจริง ไม่ยืดหยุ่น ไม่มีความสนใจ ตั้งใจจะเรียนรู้และเปิดรับแนวทางใหม่ๆ มาปรับใช้กับสถานการณ์ตรงหน้า (หรือเรียกว่าประตูแห่งการเรียนรู้ไม่ถูกเปิด)

เหตุผลทางสมองที่กล่าวไปนี้ ย้ำว่านี่คือเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไปจนเป็นหนึ่งในสาเหตุว่า… Why Smart People do Stupid Things? เพียงรู้ไว้แค่ว่า เวลาที่สมองติดกับจนรีบอยากปฏิเสธข้อเท็จจริง อาจลองใช้เวลาพิจารณาข้อเท็จจริงอีกนิดว่า… เป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับมุมมอง เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้า

14 มุมมอง ของคนที่ปรับตัวเก่งสุดๆ

อันที่จริงคงไม่มีใครระบุได้ว่าการเป็นคนปรับตัวเก่งนั้นมีลักษณะที่ชัดเจนและตายตัวอย่างไร (แน่นอนว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘แท้ทรู’ เช่นเดียวกัน)

อย่างไรก็ตาม เจฟ บอส (Jeff Boss) ที่ปรึกษาอาวุโสแห่ง N2Growth บริษัทให้คำปรึกษาระดับโลกติดอันดับนิตยสาร Forbes และคอลัมนิสต์นิตยสาร Forbes เขียนถึงความสำคัญของ การปรับตัว ในแง่คาแรคเตอร์สำคัญในการเป็นผู้นำ และระบุ 14 มุมมองของคนที่ปรับตัวได้ดี จากมุมมองและประสบการณ์ของเขาไว้ดังนี้

  1. เพื่อจะปรับตัวได้ พร้อมเปลี่ยนแปลง: คุณต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองพร้อมจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่การกระทำ แต่เป็นความต้องการภายในที่พร้อมจะปรับตัว มีทัศนคติที่ดีต่อความอดทน
  2. คนที่ปรับตัวเก่ง เห็นวิกฤติเป็นโอกาส: การปรับตัวคือการเติบโต การเปลี่ยนแปลง และคือการเปลี่ยนความเข้าใจของตัวเองต่อสิ่งที่คิดว่าเคยใช่ รู้ว่ามันผิดได้และผิดอย่างไร จากนั้นคนที่ปรับตัวรู้ว่าจะหาวิธีปรับตัวไปสู่สิ่งที่ถูกต้องใหม่อย่างไร (หรือที่เรียกว่า new right)  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะความสำเร็จในอดีตไม่ได้หมายความหรือการันตีว่ามันจะเกิดผลแบบเดียวกันในอนาคต
  3. คนที่ปรับตัวเก่ง แก้ปัญหาได้ดี: แทนที่จะติดอยู่กับปัญหาที่ (รู้สึก) ว่าแก้ไม่ได้ คนที่ปรับตัวเก่งมีแผน A, B, C อยู่เสมอ
  4. คนที่ปรับตัวเก่ง มองหาโอกาสเสมอ: เพื่อการพัฒนาตัวเอง คนที่ปรับตัวเก่งจะขยายขอบความสามารถของตัวเองไปเรื่อยๆ เสมอ
  5. คนที่ปรับตัวเก่ง จะไม่ฟูมฟาย: เพราะเมื่อไรที่พวกเขาเจอสถานการณ์ที่จัดการไม่ได้ …นั่นแหละ พวกเขาก็แค่ปรับตัวและก้าวต่อไป
  6. คนที่ปรับตัวเก่ง มักพูดกับตัวเอง: งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันมาแล้ว คนที่คุยกับตัวเองเป็นคนฉลาด! หมายความว่าคนที่คุยกับตัวเองไม่ได้เป็นบ้า แต่เมื่อไรก็ตามที่พวกเขากระวนกระวายใจ ฟุ้งซ่าน หรืออารมณ์ข้างในสั่นไหว พวกเขามักใช้การคุยกับตัวเองในเชิงบวก ถาม-ตอบ กับตัวเองเพื่อทบทวน เรียนรู้ และไตร่ตรองต่อสถานการณ์ตรงหน้า
  7. คนที่ปรับตัวเก่ง ไม่โทษคนอื่น: พวกเขาไม่ล่าเหยื่อ ไม่หาคนผิด แต่พยายามทำความเข้าใจ แก้ไข และก้าวต่อ
  8. คนที่ปรับตัว ไม่เอาหน้า: พวกเขาไม่อวดตัวว่าเป็นเจ้าของความสำเร็จเพราะรู้ว่าไม่นานมันก็จะสูญสลายหายไป แทนที่จะใช้เวลา (และอารมณ์) กับความสำเร็จชั่วยาม พวกเขาใช้เวลานั้นกับปัญหาที่อาจเกิดในโปรเจ็คต์ถัดไป
  9. คนที่ปรับตัวเก่ง มีคาแรคเตอร์แห่งความสงสัยใคร่รู้: ถ้าไม่มีความกระหายอยากรู้ ก็ไม่มีการปรับตัว สองอย่างนี้ยิ่งเติมเชื้อไฟแห่งการเรียนรู้และผลักให้คนเราพัฒนาต่อไปข้างหน้า
  10. คนที่ปรับตัวเก่ง ปรับตัว: แน่นอนที่สุด คนที่ปรับตัวเก่งจะไม่มีบุคลิกแบบนี้ได้ยังไง?!
  11. คนที่ปรับตัวเก่ง ไม่หนีปัญหา: การจะปรับตัวได้ คุณต้องรู้ปัญหาตรงหน้าเสียก่อนว่ามันคืออะไรและสำคัญอย่างไร
  12. คนที่ปรับตัวเก่ง มองเห็นระบบ: เวลาพวกเขาพิจารณาบางอย่าง (เพื่อปรับตัว) พวกเขาไม่ได้มองแค่ใบไม้ใบเดียว แต่ต้องการมองเห็นใบไม้ทั้งป่า เพื่อที่จะประเมินได้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจต่อสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
  13. คนที่ปรับตัวเก่ง มีใจที่เปิดกว้าง: ใจที่เปิดกว้างหมายถึงความพร้อมที่จะเข้าอกเข้าใจ รับฟังปัญหาจากคนอื่น ไม่ใช่แค่ความเข้าใจต่อกันที่ลึกซึ้ง แต่หมายถึงความเข้าใจต่อ ‘ข้อมูล’ หรือ ปัญหาที่คนตรงหน้ามี การรู้ปัญหาที่แท้จริงนำมาซึ่งการแก้ปัญหาที่ถูกจุด
  14. คนที่ปรับตัวเก่ง รู้ว่าคุณค่าของพวกเขาคืออะไร: การปรับตัวนั้นจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจต่อคุณค่าที่ตัวเองยึดถือและอะไรไม่ใช่ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แม้ว่าการปรับตัวคือการยืนอยู่ที่เดิม แต่อย่างน้อยจะรู้ว่า ที่ยืนอยู่เพราะเราเชื่อในอะไร
อ้างอิง
ลอเรนซ์ กอนซาเลส
N2Growth
คาแรคเตอร์แห่งความสงสัยใคร่รู้

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsความสามารถในการปรับตัว(Adaptability)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Character building
    Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์: ทักษะที่ฝึกฝนได้ทั้งในบ้านและห้องเรียน ช่วยเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดรามา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    INITIATIVE: ริเริ่มสร้างสรรค์โดยไม่มีใครร้องขอ แก้ปัญหาไม่ต้องรอคนจ้ำจี้จ้ำไช

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย
21st Century skills
6 September 2019

รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

เรื่อง The Potential

คนรุ่นใหม่แบบไหนที่ซีอีโออยากทำงานด้วย?

“ผมให้ความสำคัญกับเรื่องทัศนคติที่สุด ทัศนคติไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเหมาะกับเราไหม” รวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ที่ปรับลุค ‘ผงหอมศรีจันทร์’ ให้กลับมาเดินได้ใหม่ในรันเวย์ภายใต้ชื่อ Srichand Cosmetics ปัจจุบันรวิศมีพนักงานในความดูแลราว 200 คน ไล่ตั้งแต่รุ่นใหม่ไปจนถึงเลยเกษียณ

“คนรุ่นพ่อแม่ เชื่ออยู่ 3 คำ คือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน แต่เด็กยุคใหม่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ขยัน ซื่อสัตย์ อดทนนะ เพียงแต่เขาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ต่างออกไปคือ freedom, sexuality และ autonomy (ความอิสระและเป็นตัวของตัวเอง)” แต่ทักษะที่คนรุ่นใหม่ (และไม่จำวัย) ควรมีและที่เขาอยากทำงานด้วย คือ การมีวินัย และ รู้จักตัวเอง เพราะมนุษย์จะพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง จึงเป็นที่มาของวินัย และการรู้จักตัวเอง วิธีเดียวคือ ต้องลอง ลองให้เยอะ ลองให้เร็ว

“ยุคนี้ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องไปเรียนสายวิทย์ ไปเป็นหมอ วิศวะ อีกต่อไปแล้ว ผมคิดว่าเราชอบอะไร เราถนัดอะไร หาให้เจอแล้วทำมันให้ดี จริงๆ ทุกอย่างที่ทำ”

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)ชีวิตการทำงาน21st Century skillsรวิศ หาญอุตสาหะ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    “ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ
Space
5 September 2019

มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • มิวเซียมสยามไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่เชิญชวนเดินดูสิ่งโบราณ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์แนว narrative เน้นการเล่าเรื่อง จับเอาเนื้อหาเป็นตัวตั้ง โดยนำเสนอผ่านเครื่องมือเทคโนโลยีร่วมสมัย เช่น บอร์ดเกม, วิดีโอเกมในระบบ QR code ผ่านงานนิทรรศการหลัก รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ เช่น งานเสวนา, การฉายหนัง, การจัด workshop
  • “การมาพิพิธภัณฑ์ไทยคือการมาพิพิธภัณฑ์ แต่คนไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) คือการท่องเที่ยว” คุยกับ ‘กอล์ฟ-กบ’ ในฐานะผู้ดูแลและภัณฑารักษ์ มองว่าส่วนหนึ่งที่คนไทยไม่รู้สึกสนุกกับการไปพิพิธภัณฑ์ เป็นเพราะไม่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่มากพอ
  • “เพราะเมื่อไรก็ตามที่คนเริ่มรู้สึกปกติกับการไปพิพิธภัณฑ์ รู้สึกเหมือนว่าไปเที่ยว เมื่อนั้นประเทศเราก็จะมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ขึ้น”

เมื่อมีอาการหนักอึ้งและรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากผจญภัยกับการเรียนและชีวิตการทำงานอย่างหนักหน่วง สัญญาณอันตรายนี้กำลังเรียกร้องให้ร่างกายเร่งตักตวงเวลาพักผ่อนในวันหยุดเพื่อคลี่คลายสมองและโยนความตึงเครียดทิ้งไปไกลๆ บางคนจึงเลือกใช้เวลาในวันเสาร์-อาทิตย์ไปกับการทำกิจกรรมหย่อนใจต่างๆ ตามใจตัวเอง หรือเลือกที่จะพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่อยากไป 

ไม่ต่างจากผู้คนที่เดินชมนิทรรศการอยู่ที่มิวเซียมสยาม 

พวกเขาเลือกใช้เวลาในวันหยุด ปล่อยตัวปล่อยใจดื่มด่ำกับข้อมูลตรงหน้า 

ปัจจุบันมิวเซียมสยามกำลังจัดแสดงนิทรรศการภายใต้ หัวข้อ ‘ถอดรหัสไทย’ นำเสนอผ่าน 14 เรื่องราว ทั้งเรื่องอาหาร การแต่งกาย ประวัติศาสตร์ ประเพณี สถาปัตยกรรม โดยใช้เทคนิคการนำเสนอผ่านเครื่องมือเทคโนโลยีร่วมสมัย และมีกิจกรรม interactive ที่เรียกร้องให้เราในฐานะผู้รับสารโต้ตอบและสร้างปฏิสัมพันธ์ เช่น ชวนเรียนรู้เรื่องประเพณีและวัฒนธรรมไทยผ่านบอร์ดเกม หรือ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านวิดีโอเกมในระบบ QR code

มิวเซียมสยามค่อยๆ ฉีกทลายภาพจำเดิม การไปพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป  

The Potential ชวน ‘กอล์ฟ-ซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรี’ ผู้อำนวยการฝ่ายมิวเซียมสยาม ในฐานะผู้จัดการและดูแลพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ และ ‘กบ-พาฉัตร ทิพทัส’ ภัณฑารักษ์และนักจัดการความรู้ ในฐานะผู้สร้างสรรค์เนื้อหานิทรรศการ ถึงวิธีการทำงาน ความคิด ความเชื่อ นำไปสู่กระบวนการหยิบจับวัตถุดิบต่างๆ เพื่อออกแบบความรู้ 

กอล์ฟ-ซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรี และ กบ-พาฉัตร ทิพทัส

ภารกิจหลักของมิวเซียมสยามคืออะไร

กอล์ฟ: มิวเซียมสยามเป็นหนึ่งในความดูแลของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ เน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆ คือการไม่ได้เน้นการโชว์ของโบราณ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์แนว narrative (เน้นการเล่าเรื่อง) โดยจับเอาคอนเทนต์ (เนื้อหา) เป็นตัวตั้ง แล้วตีโจทย์ต่อว่าจะทำอย่างไรให้คนเข้าใจเรื่องนี้ โดยมีการเรียนรู้ 3 รูปแบบ คือ

  • นิทรรศการถาวร 
  • นิทรรศการหมุนเวียน
  • กิจกรรมสร้างสรรค์

การเรียนรู้ 3 รูปแบบ ต่างกันอย่างไร

กบ: นิทรรศการถาวรจะมีอายุจัดแสดงนานที่สุด อยู่ประมาณ 5-10 ปี แต่จะไม่นานกว่านี้เป็น 20-30 ปี เพื่อป้องกันความล้าหลังของข้อมูล ปัจจุบันอยู่ในธีม ‘ถอดรหัสไทย’ มีทั้งสิ้น 14 ห้อง 14 เรื่องราว เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศาสนา ความเชื่อ อาหาร การแต่งกาย ส่วนนิทรรศการหมุนเวียน เนื้อหาจะเปลี่ยนไปทุกๆ 4 เดือน และด้วยความที่อายุจัดแสดงอยู่ไม่นาน ทำให้คิดและสร้างเนื้อหาที่มีความหวือหวากว่าได้ สามารถจะเพิ่มลูกเล่นในคอนเทนต์ได้ ส่วนอย่างสุดท้ายคือกิจกรรมสร้างสรรค์จะถูกจัดขึ้นเป็นวาระ จุดประสงค์เพื่อขยายความเข้าใจของนิทรรศการถาวร/หมุนเวียน เช่น กิจกรรมงานเสวนา งาน workshop หรือการฉายหนัง 

ที่บอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เน้นเอาข้อมูลเป็นตัวตั้ง ทำอย่างไรบ้าง ช่วยยกตัวอย่างได้ไหม

กอล์ฟ: เช่น ห้องไทยโอนลี่ (หนึ่งในห้องนิทรรศการถาวร) โจทย์คือจะทำยังไงให้คนเห็นภาพของคนไทยแบบชัดๆ เราจึงเลือกเล่าผ่านสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่มีเฉพาะในไทย เช่น รองเท้าแตะช้างดาว 

กบ: เราจะแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ที่อื่น อย่างกรมศิลป์จะเป็นพิพิธภัณฑ์อีกแนว เขามีทรัพย์สมบัติที่มีค่า เขาจึงต้องชูประเด็นเรื่อง ‘สิ่งของ’ เป็นหลัก อาจจะโชว์ความงามและนำเสนอประวัติ ส่วนของเราเน้นการจับ topic ในการเล่าเรื่อง โดย topic นั้นอาจจะถูกอธิบายผ่านสิ่งของ เกม บทสัมภาษณ์ คอมพิวเตอร์กราฟิกก็ได้ หรือมีเทคนิคอื่นๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นมิวเซียมสยามจึงมีความวาไรตี้มาก 

วิธีการเลือก Topic มีวิธีการคิดและเลือกอย่างไร?

กอล์ฟ: จริงๆ มันเป็นหัวข้อมาจากนักวิชาการรุ่นใหญ่ แต่หัวใจหลักคือมิวเซียมสยามจะไม่ทำประวัติศาสตร์ระยะไกล เช่น ย้อนไปสุโขทัย-อยุธยา เพราะมีคนทำไปแล้ว เราคิดว่าคนที่มามิวเซียมสยามไม่ได้อยากรู้ประวัติศาสตร์ที่ไกลตัวขนาดนั้น และเราก็อยากทำให้คนรู้สึกว่าการเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ตกตะกอน message อะไรบางอย่าง หรือได้ประสบการณ์ใหม่ๆ จึงเลือกทำประวัติศาสตร์ระยะใกล้ เช่น เรื่องวิกฤติต้มยำกุ้ง มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เคยได้ยิน แต่อาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราจะหยิบเอาเรื่องแบบนี้มานำเสนอมากกว่า 

มิวเซียมสยามเหมาะกับใคร – ใครคือผู้มาใช้บริการ

กอล์ฟ: เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากให้ใครมาดูกันแน่ เนื้อหาของเรามักเป็นเรื่องทันสมัย ดังนั้นเราก็พยายามเซ็ตตัวเองว่าเราเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับคนรุ่นใหม่ แล้วคนรุ่นใหม่คือใคร – ก็เป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา กลุ่มครอบครัว (รุ่นใหม่) ที่ไม่ใช่รุ่นพ่อแม่เรา มิวเซียมสยามจะเป็นสถานที่ที่มีความรู้ใหม่ๆ ให้เด็กๆ ได้เพลิดเพลินด้วย 

ซึ่งสอดคล้องกับการเก็บข้อมูลได้ตรงตามที่เราเซ็ตจริงๆ ถ้าถามว่ายอดคนเพิ่มขึ้นไหม ยอดคนที่มามิวเซียมสยามหรือยอดคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมแต่ละปีมันไม่ได้โตมาก เดือนหนึ่งอยู่ที่ประมาณหมื่นกว่าคน เฉลี่ยแล้วต่อปีมีผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ประมาณ 2 แสนคน ถามว่าทำไมลดลง มิวเซียมสยามประสิทธิภาพด้อยลงหรือเปล่า – ไม่ใช่

มันเป็นเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคาแรคเตอร์ใกล้เคียงกับเราเปิดขึ้นเยอะ ภาษาการตลาดเขาเรียกมี market share มากขึ้น เมื่อมีตัวเลือกเยอะขึ้น หากยอดคนมาเที่ยวจะน้อยลงจากเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้ไม่เที่ยวแล้วนะ แต่เขามีทางเลือกที่อื่น

สิ่งที่น่าดีใจจากผลสำรวจที่เราทำ พบว่า ตัวเลขหมื่นกว่าคนนั้นเป็นคนที่เพิ่งเคยมามิวเซียมเป็นครั้งแรก ซึ่งหมายความว่ามีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้น นี่ถือว่าประสบความสำเร็จนะ แสดงว่าคนเหล่านี้รู้จักเรา เขาไม่ใช่กลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่มาบ่อยๆ ด้วยซ้ำ

ทำไมมิวเซียมสยามเริ่มเขย่าผู้รับสารใหม่

กบ: เราทำตั้งแต่แรกเลยนะ จริงๆ เราโฟกัสที่เด็ก ม.ปลาย นักศึกษา เป็นวัยที่เขาจะโฟกัสเรื่องเรียน กำลังจะเลือกอาชีพ เด็กๆ พวกนี้เขามีความคิดเป็นของตัวเอง เขามีภาพจำว่าพิพิธภัณฑ์แบบเดิมๆ คือสิ่งไม่สนุก ไม่มีแอร์เย็น มีของเก่า คร่ำครึ พอเราเริ่มทำเนื้อหาเพื่อคนรุ่นใหม่ ก็คิดว่าเขาน่าจะชอบและน่าจะมาหาเรามากขึ้น

เมื่อมีกลุ่มเป้าหมายชัดแล้ว นำไปสู่การสร้างเนื้อหาของมิวเซียมอย่างไร

กบ:  ถ้าเป็นนิทรรศการทั่วไปของมิวเซียมสยามต้องเริ่มจากหัวข้อนี่แหละ เราตีโจทย์ว่าผู้ชมควรรู้เรื่องอะไรบ้าง เช่น ตอนนี้ประเด็นอะไรกำลังมา เทรนด์อะไรกำลังมา ประเด็นอะไรที่ร่วมสมัย และยึดผู้ชมเป็นศูนย์กลาง learning ที่ดี ต้องมี learner เป็น center เราเป็นเหมือนครู จะปรับคอนเทนต์อย่างไรให้เข้ากับเขา 

เราก็ต้องทำรีเสิร์ชหนัก ท่ามกลางดงข้อมูลคอนเทนต์ที่กองเต็มโต๊ะ เราต้องเลือก บางอันมันอาจจะไม่จำเป็นกับผู้ชมเท่าไหร่ แต่ในเชิงวิชาการเราคิดว่าเขาควรจะรู้ ผ่านการสังเคราะห์ข้อมูลของทีม ซึ่งโหดร้ายมาก ต้องผ่านการ discuss กันแบบอ้วกแตกอ้วกแตน ช่วยกันหาประเด็นที่น่าสนใจ ประเด็นที่คนคิดว่ามัน twist กับเรื่องที่เขาเคยรู้มาก่อนได้ เช่น เราจะเล่นเรื่องความเชื่อผิดๆ เราต้องรีเสิร์ชข้อมูลอย่างรอบคอบ เพื่อทำเนื้อหาไปในเชิงท้าทายแนวความคิด

ตัวอย่างที่ชัดมากที่เราพยายาม twist ประเด็น คือ นิทรรศการเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เรื่อง ‘กินของเน่า-เห่อของนอก’ คนไทยมักพูดว่าประเทศไทยเป็นครัวของโลก อาหารไทยอร่อยมาก แต่ตัวนิทรรศการทำให้เห็นว่าอาหารไทยคือของเน่า ของเน่าที่ว่าคือสิ่งที่เรากินประจำแค่ผ่านกระบวนการถนอมอาหารนั่นเอง หรือนิทรรศการเรื่อง ‘ส้วม’ ที่เราไม่ได้พูดถึงวัฒนธรรมไทยในเชิงสวยงาม แต่เอาประเด็นเรื่องการขี้มาพูด รวมถึงเรื่อง ‘ไฉไลไปไหน’ ที่พูดเรื่องความงามที่ต้องแลกกับการทรมานร่างกาย เราสวยเพราะใส่ส้นสูง ใส่ corset รัดเอว หรือการอดอาหารเพื่อผอม ชวนคนมาหาคำตอบของความสวยเหล่านั้น

กว่านิทรรศการแต่ละเรื่องจะเกิดขึ้น หลังฉากต้องผ่านกระบวนการทางวิชาการและการคิดสื่อสาร เราจะย่อยออกมาให้สนุกได้อย่างไร

กบ: เวลาจะทำนิทรรศการขึ้นสักอัน จะต้องมีฝ่ายรีเสิร์ชที่ทำข้อมูลผลลัพธ์ออกมาเป็นตัวหนังสืออยู่แล้ว แต่เรามีหน้าที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจข้อมูลนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะมาอยากนั่งอ่านหนังสือหรืออยากรู้ข้อมูลอะไรมากมาย หน้าที่ของเราก็คือการย่อยเพื่อให้คนเสพได้ง่าย เราต้องย่อยบุ๊คเหล่านั้นให้เป็นคอนเทนต์ อยู่ในรูปของกายภาพให้ได้

กอล์ฟ: และเราก็เน้นการทำงานร่วมกัน หน้าที่ของพี่กบคือการสร้างนิทรรศการ ก่อนจะเป็นนิทรรศการ ก็ต้องมีคอนเทนต์ ซึ่งมีข้อมูลเต็มไปหมดเลย บางครั้งเราเองในฐานะคนดูแลกิจกรรมอาจจะดึงข้อมูลตรงนี้ออกมาต่อยอดเป็นกิจกรรมเสริม 

ยกตัวอย่างชัดๆ ได้ไหม

กอล์ฟ: สมมุตืมีนิทรรศการ 1 เรื่อง เกี่ยวกับ LGBT ภายในนิทรรศการก็จะมีกิจกรรมต่างๆ แตกหน่อออกไป เช่น เป็นเสวนา มีการฉายหนัง มีคอนเสิร์ต ฯลฯ

ที่บอกว่ามิวเซียมสยามไม่ได้เป็น Museum for Everyone แล้วเป็น Public Space for Everyone ไหม?

กอล์ฟ: จริงๆ เป็นได้ แต่การจับเนื้อหาของผู้รับสารแต่ละช่วงวัยก็ไม่เหมือนกัน เครื่องมือการเรียนรู้บางอย่างในมิวเซียมสยามเหมาะกับเด็กวัยรุ่นแต่อาจจะไม่สะดวกต่อผู้สูงวัย 

แต่ละช่วงวัยก็มีความสนใจต่างกัน เราอาจจะตั้งโจทย์เลือกว่าอยากนำเสนอให้ใคร อย่างไรเสียทุกอย่างมันก็จะเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่การคิด คอนเทนต์ การดีไซน์กิจกรรม เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงการประชาสัมพันธ์ไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายเช่น นิทรรศการนี้เหมาะกับเด็กรุ่นใหม่ เราก็จะใช้ Facebook เป็นช่องทางชักชวนให้เขาเข้ามาหาเรา

จริงๆ แล้วคนที่มามิวเซียมสยามหลายๆ คนอาจจะไม่ได้ตั้งใจมานิทรรศการก็ได้ เขาอาจจะมาเพราะมีกิจกรรมหรือ event ที่มันไปกระทบเขา สำหรับเราแค่ดึงให้เขาเข้ามาใช้พื้นที่แล้วเกิดประโยชน์ก็โอเคแล้ว

กบ: ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของมิวเซียมคือการมีภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ครอบครัวมักพาลูกมา เพราะมันเป็นสถานที่ที่เก๋ ดูมีความรู้ เด็กที่เป็นแฟนจีบกันใหม่ๆ มักจะพากันมาเที่ยวมาเดทกันที่นี่ ซึ่งเสน่ห์นี้ใช้บอกสเตตัสและสไตล์ของคนได้ คนก็เลยมา

อย่างน้อยก็ดึงเขาออกมาจากบ้าน ไม่ไปเดินห้าง คู่แข่งเราไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่อื่นเลยนะ แต่เป็นห้างสรรพสินค้า วันหยุดเสาร์อาทิตย์จะทำอย่างไรให้เขามาหาเราล่ะ

แล้วจะทำอย่างไรให้คนไทยรู้สึกอยากลุกออกจากบ้านแล้วมามิวเซียม ไม่ไปห้าง

กบ: ในฐานะคนทำงาน เราต้องยอมรับว่ายังต้องพัฒนาเรื่องนี้ บางทีติดกับงานที่ต้องมีเนื้อมากเกินไป จนมันเริ่มไม่สนุก มันยากนะ การที่จะทำให้คนรู้สึกบันเทิงเริงรมณ์ให้พอดีกับเปอร์เซ็นต์ของเนื้อหา คงต้องใช้วิธีให้ข้อมูลหรือการนำเสนอให้เขาอินและรู้สึกว่าเอาใปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

ในฐานะผู้ที่ทำงานกับการสร้างสรรค์เนื้อหาและพื้นที่ มีความยากอะไรบ้าง และมีวิธีการดึงให้คนออกมาอย่างไร

กอล์ฟ: สำหรับเรามองว่าการทำงานกับพื้นที่มันมี ‘ข้อดี’ ลองเทียบพิพิธภัณฑ์ที่อยู่บนตึกสูงกับพิพิธภัณฑ์ที่มี space มันทำให้เราทำอะไรได้หลากหลายขึ้น มันดึงดูด มันทำให้เราเลือกทำอะไรได้เยอะ เรามองว่ามันเป็นข้อดีมากๆ

เมื่อมิวเซียมมีข้อดีเป็นของตัวเอง แล้วจะทำอย่างไรให้คนเข้ามาหาข้อดีของเรา

กอล์ฟ: ‘อยู่ที่คอนเทนต์ล้วนๆ’ เราจะทำของเหล่านั้นให้เตะตา ดึงดูดใจได้มากน้อยแค่ไหน ความยากมันเลยไปอยู่ที่หัวข้อหรือประเด็น ต่อให้คุณมี space ที่ดี แต่เนื้อเรื่องคุณไม่น่าสนใจ ทำอะไรที่คนอื่นเขาทำไปแล้ว คนก็ไม่มาหรอก ทุกอย่างมัน base on content เป็นหลัก

กบ: ดังนั้นพอบอกว่าทุกอย่างจะต้องเชื่อข้อมูล เราพบว่าคนไทยไม่ได้มีพฤติกรรมที่ base on content เลย แม้แต่ในห้องเรียน เด็กๆ ก็ไม่ได้ถูกสอนให้คิดได้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างเป็น passive ครูสั่งจากบนลงล่าง ครูสอนหน้าห้อง นักเรียนมีหน้าที่จด ใครท่องได้ดีกว่ากันคนนั้นก็ได้คะแนนไป เด็กเก่งคือเด็กที่จำเก่ง เราไม่ได้ปลูกฝังเรื่อง critical thinking หรือการคิดพัฒนาต่อยอด กลับเน้นท่องจำและเป็น passive

ทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีผลอย่างไรต่อความรู้สึกอยากมามิวเซียม

กบ: ประเทศเราไม่มีการเสริมเด็กให้เรียนรู้ในเชิงหาข้อมูลด้วยตัวเอง ไม่มีการเรียนรู้ตามอัธยาศัย การเรียนรู้นอกห้องเรียนก็มีน้อย มิวเซียมมันขึ้นอยู่กับเด็กอยู่แล้ว เมื่อเด็กอยากจะค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเอง เขาจะมาเอง ไม่ต่างจากการค้นอินเทอร์เน็ต เล่นยูทูบ ตอนนี้เรากำลังคาดหวังกับการเปลี่ยนพฤติกรรมคน เปลี่ยนในระดับ behavior มันไม่ใช่ง่ายๆ มันยาก ต้องปลูกฝังใหม่

เรื่องนี้ควรเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ในห้องเรียน รวมถึงครอบครัวด้วย มันไม่ได้เปลี่ยนได้ใน 10 ปี มันต้องเปลี่ยนทั้ง generation เราอาจหวังกับพ่อแม่ที่พาเด็กมาดูมิวเซียมสยามตอนนี้ก็ได้ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็มีวัฒนธรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้ลูกเขา

ถ้าพูดถึง Public Space มันหนีโครงสร้างรัฐไม่ได้ ในฐานะคนทำงานมิวเซียม รัฐควรจะหนุนเสริมเรื่องอะไรบ้าง

กบ: สำหรับตัวองค์กรมันได้ภารกิจว่าต้องชวนให้คนมาเที่ยวมิวเซียมอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่ policy ที่มันไม่เอื้อ คนก็ไม่มา ให้เห็นภาพง่ายๆ การที่มีคนมามิวเซียมเยอะ มันจะเกิดการหมุนเวียน เกิดการจับจ่ายใช้สอย และเกิดการพัฒนาตัวเองตามมา แต่เมื่อมันไม่มี policy เราก็ได้แต่นั่งรอ…รอคนเข้ามา อย่างที่เคยบอกไว้ว่าให้เด็กเลิกเรียนบ่าย 2 จากนั้นให้ไปเรียนรู้ตามอัธยาศัย แต่ความเป็นจริงเด็กก็ไม่ได้เลือกมามิวเซียม เลยมองว่าเรื่องนี้มันต้องอยู่ระดับ policy ทั้งในโรงเรียนเองด้วย เราต้องไปด้วยกันเพื่อสร้างพฤติกรรมให้มันเป็นวัฒนธรรม 

เพราะทุกวันนี้คนไทยยังคิดว่า การมาพิพิธภัณฑ์ไทย คือการมาพิพิธภัณฑ์ แต่คนไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) คือการท่องเที่ยว policy อาจจะช่วยเปลี่ยนภาพจำ เพราะเมื่อไรก็ตามที่คนเริ่มรู้สึกปกติกับการไปพิพิธภัณฑ์ รู้สึกเหมือนว่าไปเที่ยว เมื่อนั้นประเทศเราก็จะมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ขึ้น  

มิวเซียมสยามมีการคำนึงถึงการจัดสรรปันส่วนเรื่องพื้นที่หรือเปล่า เช่น ครอบครัวมีทั้งพ่อ แม่ ลูก เมื่อเข้ามาที่มิวเซียมจะต้องมีกิจกรรมที่หลากหลายรองรับ

กอล์ฟ: พยายามจะมี activity ที่หลากหลาย แต่เราไม่ลืมกลุ่มเป้าหมาย ไม่อยากสะเปะสะปะ ในทางกลับกันเราพยายามที่จะทำให้พื้นที่มีประโยชน์มากที่สุด สมมุติในช่วงที่มีพื้นที่ว่างไม่ได้จัดงานก็จะเปิดให้คนเข้ามาเช่า ซึ่งเขาอาจจะไม่ใช่ target ของเราเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยก็ให้คนเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้ เราพยายามทำให้มิวเซียมสยามกลายเป็นพื้นที่เปิดสำหรับทุกคน เพื่อให้เขาเข้ามารู้จักมิวเซียมของเรา โดยบางครั้งอาจจะผ่านคนอื่นก็ไม่เป็นไร 

กบ: จริงๆ คนไทยโหยหางาน social event นะ เสาร์อาทิตย์เขาจะไปไหนล่ะ จะให้เขาไปเดินสวนสาธารณะเมืองไทยก็เป็นเมืองร้อน งานแฟร์หรืออีเวนท์ต่างๆ มันน้อย ทางเลือกมันน้อย

ในอนาคตอยากจะหยิบจับคอนเทนต์อะไรขึ้นมาทำอีกบ้าง

กอล์ฟ: ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำคือการทดลองมากๆ มันทำให้เราได้กลับมานั่งทบทวนใหม่เสมอ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ในวันข้างหน้า เราเรียนรู้จากประสบการณ์เดิมจากสิ่งที่เราเคยทำมาว่าคนเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราพยายามพัฒนาตัวเอง เพื่อในอนาคตมันจะได้ไม่เฟล จับทางในสิ่งที่เคยทำมาแล้วมาเป็นอนาคตนี่คืออนาคตของเรา

กบ: เรามักมีโมเดลจากฝรั่ง แต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องทำให้ตอบสนองกับเราเอง ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์แบบไทยๆ มันอาจจะสะท้อนอารมณ์ขันออกมา ข้อมูลไม่ต้องลึกมาก ไม่ต้องดูแล้วกินใจร้องไห้ แต่มันจะไปได้ดีแบบไทย เป็นไทยสไตล์ ทั้งหมดทั้งมวลมันได้จากสิ่งที่เราทำมาแล้ว

Tags:

พิพิธภัณฑ์พาฉัตร ทิพทัสpublic spaceซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรี

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Voice of New Gen
    MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: ต่อจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ เดินเล่นส่องย่าน ‘PATTANI DECODED’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีกิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: เดินเล่นในย่านส่วนตัว แต่เรียนรู้แบบส่วนรวม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Space
    PUBLIC SPACE แห่งอัมสเตอร์ดัมที่เด็กไม่เป็นส่วนเกิน

    เรื่องและภาพ ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

  • Space
    “ออกไปชมพิพิธภัณฑ์” ใบสั่งยาจากทีมแพทย์แคนาดา ใช้ศิลปะเยียวยาร่างกายและจิตใจ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

สมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล: คุณภาพการศึกษาที่สร้างโดยคนใน
Creative learning
4 September 2019

สมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล: คุณภาพการศึกษาที่สร้างโดยคนใน

เรื่องและภาพ The Potential

  • งานสมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล ครั้งที่ 1 รวมคนสตูลร่วมพันคนเข้ามาในงานเพื่อร่วมมองอนาคต อยากเห็นสตูล คนสตูล เป็นแบบไหนในอีก 20 ปีข้างหน้า
  • นอกจากนี้ยังเป็นการนำเสนอแสงสว่างปลายอุโมงค์ ทางออกในการจัดการศึกษาที่พัฒนาผู้เรียน จากรูปธรรมการจัดการเรียนรู้ของ 10 โรงเรียนนำร่องในพื้นที่นวัตกรรม
  • การศึกษาจังหวัดสตูลใช้โครงงานฐานวิจัยซึ่งมีนวัตกรรม 4 อย่างคือ การปรับห้องเรียนเป็น Active Learning ผ่าน 14 ขั้นตอนโครงงานฐานวิจัย, เปลี่ยนพื้นที่การเรียนรู้จากแค่ในห้องเรียน เป็นเรียนในพื้นที่ชุมชนจริง, ครูสามเส้า, กลไกการจัดการเรียนรู้ที่ไม่รวมศูนย์แค่ในโรงเรียน
  • เสียงของครูผู้ปกครองที่เข้าไปสอนจริงในห้องเรียน โดยที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ‘วิชาใด’ และ เสียงของนักเรียนที่เริ่มเรียนด้วยโครงงานฐานวิจัย สมัชชาการศึกษาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อย้ำว่าการศึกษาที่พัฒนาผู้เรียน ‘ทำได้’ และเป็นหน้าที่ที่คนสตูลต้องช่วยกัน

ด้วยวิกฤติคุณภาพการศึกษาในปัจจุบันที่ไม่อาจคาดหวังการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยคนนอกหรือภาคนโยบายอีกต่อไป เราจึงเริ่มเห็นตัวอย่างความพยายามในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเกิดขึ้นกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

จังหวัดสตูล หนึ่งในพื้นที่นำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จากทั้งหมด 9 จังหวัด 6 พื้นที่* ความร่วมมือของเครือข่ายภาคประชาชนในจังหวัด หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัด ชุมชน ร่วมมือกับโรงเรียนนำร่อง 10 แห่ง ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนโดยใช้โครงงานฐานวิจัยในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ใหม่ของเด็กๆ ด้วยปรัชญาของกลุ่มคนทำงานที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากคนใน โดยคนใน เพื่อคนใน”

ขีดเส้นใต้ไว้ว่า แม้พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล จะเริ่มอย่างเป็นทางการไปแล้วราว 1 ปี แต่การทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนที่ว่า พวกเขาขยับกันมาแล้วเกือบ 10 ปี

วันที่ 30-31 สิงหาคม 2562 คนสตูลราวหนึ่งพันคน ตั้งแต่เด็กประถม ครู ผู้ปกครอง องค์กรเอกชน และภาครัฐในจังหวัด ตบเท้าเข้างาน ‘สมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล ครั้งที่ 1: คนสตูลในศตวรรษที่ 21’ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล พูดคุยเพื่อหามติร่วมของคนในพื้นที่ ว่าการศึกษาของลูกหลานชาวสตูลในอนาคต ควรเป็นอย่างไร โดยเนื้อหาสาระการพูดคุยในงานยืนอยู่บนแนวคิดการเปลี่ยนแปลงการศึกษาโครงการนำร่อง ‘พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดสตูล’ ที่ได้ดำเนินงานอย่างเป็นทางการในพื้นที่ไปแล้วราว 1 ปี

“ที่ผ่านมาข้อเสนอในสมัชชาจังหวัดทุกอย่างมุ่งไปที่กรุงเทพฯ แต่ปัญหาซึ่งอยู่ในพื้นที่ไม่ได้มุ่งไปกรุงเทพฯ ด้วย ปัญหายังอยู่ที่สตูล คนแก้ปัญหาก็อยู่ที่นี่ เราเลยเสนอกับทีมทำงานว่าเราจัดให้มีสมัชชาที่คนสตูลมาเสนอและจัดเป็นมติในพื้นที่ ส่วนคุณจะเอาข้อเสนอตรงนี้ไปสู่คนทำนโยบายระดับชาติต่อก็ทำไปตามกระบวนการ” สมพงษ์ หลีเคราะห์ ผู้ประสานงาน ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดสตูล (พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล) เล่าวิธีคิดงานกับทีม The Potential

สมพงษ์กล่าวต่อว่าการจัดสมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล เป็นเวทีที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่จากทุกภาคส่วนในการเข้ามาจัดการศึกษาตามความฝัน ออกแบบความฝันร่วมกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริง และเพราะปรัชญาของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดสตูล คือการเปลี่ยนโครงสร้างที่ยึดจากความต้องการของ ‘คนใน’ ฉะนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง ผู้ปกครอง นักเรียน ครู นักการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน -ในฐานะผู้ปกครองของเด็กนักเรียน และผู้ที่ต้องทำงานกับแรงงานต่อไปในอนาคต – จำเป็นต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อหามติ กำหนดทิศทางการพัฒนาคนในจังหวัดสตูล

สมพงษ์ หลีเคราะห์

บรรยากาศภายในงานประกอบไปด้วยนิทรรศการของเด็กๆ ที่เรียนผ่านโครงงานฐานวิจัยจากโรงเรียนนำร่อง 10 แห่ง ที่นักเรียนเป็นผู้เลือกเรื่องที่ตนเองสนใจเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อาชีพ ทรัพยากรในชุมชน เป็นต้น การบรรยายความก้าวหน้าของโครงการและชักชวนให้โรงเรียนอื่นๆ ในสตูลเข้าร่วมพื้นที่นวัตกรรมการศึกษารุ่นปีที่ 2 ห้องเวิร์คช็อป พ่อแม่ ครู และนักการศึกษา เพื่อพูดคุยในหัวข้อ คนสตูลในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้คือเวทีพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางการศึกษาบนฐานการทำงานร่วมของคนในชุมชน

นวัตกรรมการศึกษา ที่ใช้ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดสตูล

เป้าหมายร่วมของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาอันปรากฏในพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มี 4 ข้อคือ

  • อิสระ – ความเป็นอิสระในการบริหารจัดการโรงเรียน
  • พัฒนา – พัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้และพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารจัดการศึกษา
  • หลักสูตร – สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ ตำรา การทดสอบของตัวเองได้ เพียงให้สอดคล้องกับโจทย์การเรียนรู้
  • เชื่อมโยง – โรงเรียน ครู ภูมิปัญญา ผู้ปกครอง หน่วยงานเอกชน หน่วยงานเหล่านี้ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างคล่องตัว

อย่างไรก็ตาม ปรัชญาการเปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาในจังหวัดสตูลเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากคนทำงานในพื้นที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากการทำงานด้วยการวิจัย โดยเฉพาะผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล นายสุทธิ สายสุนีย์ ร่วมกับศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น พัฒนาองค์ความรู้เรื่องการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัย 14 ขั้นตอน (Research Based Learning)** มีพื้นที่การเรียนรู้คือห้องเรียนร่วมกับภูมิปัญญาชุมชน เริ่มทดลองการเรียนการสอนแบบนี้มานานเกือบ 10 ปี เมื่อมีประกาศเรื่องพื้นที่นวัตกรรม องค์กรเอกชนและภาคประชาชนในจังหวัดจึงพร้อมโอบรับการเปลี่ยนแปลง

สุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล

โดยทำงานผ่าน ‘นวัตกรรมการศึกษา’ 4 ปัจจัย ดังนี้

  • Active Learning: ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน โดยใช้โครงงานวิจัย 14 ขั้นตอน
  • พื้นที่การเรียนรู้: ครูสร้างการเรียนรู้จากทุนเดิม โรงเรียนลดอำนาจและสร้างการมีส่วนร่วมในห้องเรียน ผู้อำนวยการ เด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน ร่วมกันทำให้ทุกพื้นที่สร้างการเรียนรู้ได้
  • ครูสามเส้า: ครูเพียงคนเดียวไม่สามารถสร้างการเรียนรู้ พื้นที่นวัตกรรมจึงต้องพัฒนาหลักสูตร ‘ครูสามเส้า’ คือ ครูโรงเรียน (โรงเรียนนำร่อง 10 โรง) ครูผู้ปกครอง (100 คน) ครูชุมชน (200 คน) เพื่อให้เด็กมีสมรรถนะ คือ ทัศนคติ (attitude), ทักษะ (skill) และ องค์ความรู้ (Knowledge)
  • กลไกการจัดการ: โรงเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งที่พื้นที่นวัตกรรมคาดหวังคือ ทำให้โรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างระบบการศึกษาของพื้นที่

เสียงของครูสามเส้า: “เราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นดี แค่เข้าไปตั้งคำถามให้เด็กคิดต่อ”

“พี่เข้าไปสอนเด็กๆ ในห้องเรียนได้ทุกวิชาเลย เพราะเราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นดี เราแค่เข้าไปตั้งคำถามให้เด็กคิดต่อ ‘ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้ เราทำแบบไหนกันต่อดี?’ แต่ไม่ใช่ตั้งคำถามอะไรก็ได้ ไม่ใช่การตั้งคำถามเชิงลบ แต่ต้องรู้ว่าจะตั้งคำถามยังไงให้เขาคิดต่อได้เอง”

คือเสียงของ ลัดดา ชูช่วง หรือที่เด็กๆ เรียกว่า มะ (แม่) ดา คุณแม่ลูก 2 (กำลังจะมีน้องคนที่ 3 เร็วๆ นี้) อายุ 39 ปี ในฐานะ ‘ครูพ่อแม่’ หนึ่งในครูสามเส้าตามโมเดลนวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล

ลัดดา ชูช่วง

ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน มะดา เล่าว่าเธอคล้ายคุณแม่คนอื่นๆ ที่ลูกมีปัญหาด้านการเรียน ลูกชายคนโตติด 0 หลายวิชา คำถามที่เกิดขึ้นไม่ใช่ “มันเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน” แต่เป็น “เราจะทำอะไรได้บ้าง เราจะช่วยลูกยังไง” ในช่วงเวลานั้นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูก อำเภอละงู จังหวัดสตูล ชวนเข้าร่วมกระบวนการกับศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเพื่อเรียนรู้การทำงานด้วยโครงงานฐานวิจัยโดยตั้งใจนำไปทดลองใช้กับครูในโรงเรียนนำร่อง 10 โรงเรียน แต่กระบวนการในขณะนั้น มะดาเรียกว่า “มันยังเป็นกระบวนการเถื่อนนะ ซึ่งเขาทำกันมาก่อนหน้านั้นนานมาก ตั้งแต่ลูกคนเล็กอนุบาลจนตอนนี้อยู่ ม.1 แล้ว คิดว่าเริ่มทำก่อนหน้าจะมาเป็นโครงการพื้นที่นวัตกรรมเกือบ 10 ปีได้ กระทรวงศึกษาฯ ไม่ได้พูดถึงเลย แต่เป็นความตั้งใจของโรงเรียนต่างๆ ที่ต้องการทดลองทำ”

มะดาบอกว่าขณะนั้นเธอเป็นผู้ปกครองแค่คนเดียวที่เดินตามผู้อำนวยการโรงเรียนและครูไปเรียนรู้เครื่องมือวิจัย ตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่สิ่งค่อยๆ ซึมซับและติดตัวมาคือความเข้าใจเรื่อง ‘กระบวนการเรียนรู้’ และ ‘วิธีตั้งคำถาม’

“เราเริ่มจากอยากช่วยลูกของเรา แต่เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาของโรงเรียน มันคือปัญหาของเรา ตอนนั้นแค่อยากให้ลูกเราแก้ปัญหาในชีวิตเขาได้ พอได้เข้าไปทำงานแบบนี้ รู้เลยว่าแค่เราตั้งคำถาม เขาก็มีวิธีคิดต่อเองได้ แล้วพอเขาวิเคราะห์ปัญหาเองได้ มันตามทุกอย่างเลย การเรียน การใช้ชีวิต การอยู่ในสังคม การหาคู่ การอยู่กับครอบครัว ได้หมด”

จากตอนแรกที่ตั้งใจอยากมีเครื่องมือเพื่อช่วยเรื่องการเรียนของลูกตัวเอง ปัจจุบันมะดาเป็นครูพ่อแม่ที่เข้าไปช่วยครูที่โรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูกสอนในบางคาบ เป็นหนึ่งในผู้ช่วยการสนับสนุนการสอนครูในโรงเรียน โดยจะเข้าไปช่วย ‘สะท้อน’ หรืออยู่ร่วมในกระบวนการ reflection เกือบทุกวันศุกร์กับกลุ่มครู รวมทั้งเป็นผู้ประสานงานเรื่องการเรียนรู้ในโรงเรียนกับชุมชน เวลาที่เด็กๆ จะลงไปเก็บข้อมูลวิจัยจากชุมชนจริงๆ

“คล้ายว่าเราเป็นตัวสนับสนุน เป็นเจ้าบ้าน เวลาที่ครูหรือผู้อำนวยการเปลี่ยนตำแหน่งเข้ามาใหม่ เราเป็นหนึ่งในคนที่เขาต้องเข้ามาพูดคุย ไม่ใช่ว่าเราไปสอนเขานะ แต่ว่าเราอยู่ในฐานะเจ้าบ้านที่ทำงานกับโรงเรียนมานาน คือไม่ว่าใครจะมาจะไป แต่เรายังอยู่”

เสียงของเด็ก: นักเรียนที่อยากให้มีคาบเรียน 3 ชั่วโมงต่อวัน

“แต่ก่อนผมชอบโดดเรียน ไม่ชอบไปโรงเรียนเลย แต่พอเรียนแบบนวัตกรรม จากเคยเรียน 6 วิชา/วัน เหลือ 3 วิชา/วัน แล้วตอนบ่ายเป็นคาบนวัตกรรมเลย ผมชอบมากๆ เพื่อนผมที่เป็นเด็กพิเศษ (พัฒนาการช้า อ่านหนังสือยังไม่ออก) ปกติเขาจะเข้าห้องเรียนช้า แบบว่า… สิบนาทีค่อยเข้าห้องเรียน แต่เดี๋ยวนี้ สมมุติครูนัดบ่ายโมงครึ่ง บ่ายโมงยี่สิบมานั่งรอก่อนแล้ว เขาบอกว่าวิชานวัตกรรมเป็น ‘วิชาเล่น’

“แต่ก่อนเพื่อนผมที่เป็นเด็กพิเศษ เขาจะอ่านหนังสือช้าใช่ไหมครับ เขารู้สึกด้อยกว่าเพื่อน แบบยังไงอะ… เหมือนเขาไม่เก่งอะครับ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดแบบนั้น เขาอ่านหนังสือได้ดีขึ้นด้วย มันดีกับเพื่อนผมมากๆ”

ลัตฟี – ธีรวุฒิ เสนาทิพย์

ธีรวุฒิ เสนาทิพย์ หรือ ลัตฟี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านควนเก อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล เจ้าของความฝันอยากเปิดลานเลี้ยงแพะเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศในห้องเรียน ลัตฟีเล่าว่าเขาเพิ่งมีคาบเรียนแบบใหม่เมื่อเทอมที่ผ่านมา วันแรกที่ครูบอกว่าตารางสอนจะไม่เหมือนเดิม และมีการพาเขาและเพื่อนลงพื้นที่เพื่อไปคุยกับชาวบ้านสอบถามเรื่องชีวิตทั่วไป

“พอลงพื้นที่เสร็จครูก็มาถามว่าเราเห็นอาชีพอะไรบ้าง และอยากทำอะไร คนยกมือตอบกันเต็มเลยแต่ผมตอบไม่เหมือนคนอื่น เพราะผมอยากเปิดโรงเลี้ยงแพะ แต่สุดท้ายผมไม่ได้ทำโครงงานนี้เพราะผู้หญิงทำไม่ได้ ผู้หญิงกลัวแพะ”

ด้วยครูบอกว่าเด็กๆ ต้องสามัคคีกัน หาข้อสรุปโครงงานที่ทุกคนอยากทำร่วมกันให้ได้ สุดท้ายลัตฟีกับเพื่อนทำโครงงานเรื่อง ‘สีสันธรรมชาติผ่านโรตีกรอบจิ๋ว’

“โรตีกรอบจิ๋วมันเป็นขนมพื้นบ้านอยู่แล้วแต่คนสมัยนี้เขาทำให้มันเป็นอันใหญ่ๆ โรตีมันสีน้ำตาลใช่ไหมพี่ แต่พวกผมคิดไม่เหมือนเขา เพราะคนกินอาจไม่ชอบสีน้ำตาลก็ได้ เขาอาจจะชอบสีชมพู สีม่วง ก็เลยทำโรตีกรอบจิ๋วจากสีธรรมชาติหลายๆ สี” ลัตฟีตอบฉะฉานไม่มีสะดุด

เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม เรียนแบบนี้ดียังไง?

“มันได้สัมผัสจริง สมมุติเรียนเรื่องสละ แต่ก่อนเราไม่รู้ว่ามันต้นละเท่าไหร่ ปลูกยังไง ใส่ปุ๋ยยังไง ใช้ดินอะไร แต่วันนั้นครูพาพวกผมลงไปพื้นที่ แล้วเขาเอาเกสรต้นผู้อะ มาถูกับเกสรต้นเมีย เขาให้พวกผมทำด้วย สนุก”

เรียนในห้องก็ได้สัมผัสนะ มีอะไรให้จับตั้งเยอะแยะในห้อง?

“เรียนในห้องเรียนได้ตากพัดลมอย่างเดียว นี่เราได้ลมจากธรรมชาติ”

ตากพัดลมก็ดีไม่ร้อน?

“ร้อนพี่ อับอยู่ในห้อง อับๆ แล้วมันเหนื่อย เรียนไม่สนุก”

วิ่งข้างนอกก็เหนื่อยเหมือนกัน

“แต่มันสนุกกว่าอะพี่”

แน่นอนว่านี่เป็น ‘บางเสียง’ ของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ทดลองและเป็นเสียงที่ ‘เลือก’ มาว่าค่อนข้างเป็นไปได้ดีในระดับหนึ่ง ในระดับใหญ่กว่านั้นยังมีความขลุกขลักและต้องการพลังการผลักดันเพื่อเปลี่ยนให้ได้ทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง

พ.ร.บ. ชุดนี้มีอายุ 7-14 ปี นั่นแปลว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และยังเป็นการเดินทางอีกยาวไกลที่พวกเราปรารถนาให้มันสำเร็จ หรืออย่างน้อยที่สุด ขอให้มีเด็กๆ ที่ลุกขึ้นมาบอกว่า ‘เพราะการเรียนมันสนุก’ เพิ่มขึ้นอีกมากๆ


*พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือพื้นที่ ‘นำร่อง’ ให้โรงเรียนได้ออกแบบปรับเปลี่ยนการศึกษาด้วยตัวเองร่วมกับภาคีทั้งในและนอกพื้นที่ พื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)

**การจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัย 14 ขั้นตอน ประกอบด้วย
1. เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว
2. วิเคราะห์เลือกเรื่อง
3. พัฒนาเป็นโจทย์วิจัย ตั้งคำถามที่อยากรู้
4. ออกแบบงานวิจัยเพื่อหาข้อมูลความรู้
5. นำเสนอโครงงาน
6. สร้างเครื่องมือ
7. ลงพื้นที่เก็บข้อมูล
8. ตรวจสอบวิเคราะห์
9. คืนข้อมูลชุมชน
10. กำหนดทางเลือกใหม่
11. แผนปฏิบัติการ
12. ทดลองปฏิบัติการ
13. รายงาน
14. นำเสนอผลงานวิจัย

Tags:

ระบบการศึกษานวัตกรรมพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาสตูล

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ถอดบทเรียน ‘ครูสามเส้า’ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องเป็นโอกาสและโจทย์ร่วมของสังคม : มุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Creative learning
    การออกแบบการสอนที่ให้เด็กทำสิ่งสำคัญ คือ การ ‘ฝัน’ และพิสูจน์สิ่งที่ฝันให้ได้ก่อน: อภิชาติ อดิศักดิ์ภิรมย์

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    วนิดา ศิริวัฒน์: ครูที่ตั้งใจเป็น ‘ครูผู้ไม่รู้’ เพื่อเรียนรู้ไปพร้อมนักเรียน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    ‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learningLearning Theory
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

นิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7
Voice of New Gen
3 September 2019

นิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7

เรื่อง The Potential

ภาพประกอบ: Nattawanee Srikoseat / โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่
หมายเหตุ: ผลงานอยู่ระหว่างการจดทรัพย์สินทางปัญญา

การนำเสนอผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7 จำนวน 14 ผลงาน ภายใต้งานประชุมวิชาการ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2019 (NECTEC – ACE 2019 วันที่ 9 กันยายน 2562 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์แอทเซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ)

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง NECTEC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ มูลนิธิสยามกัมมาจลที่สนับสนุนให้เยาวชนต่อยอดผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลักดันไปสู่การใช้งานจริง มีเป้าหมายเพื่อบ่มเพาะพัฒนาศักภาพเยาวชน โดยเป็นพื้นที่ให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการพัฒนาผลงานนวัตกรรม และฝึกกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ทักษะการสื่อสาร (communication) การทำงานร่วมกัน (collaboration) พร้อมก้าวเข้าสู่โลกในศตวรรษที่ 21  

งานประชุมวิชาการ NECTEC – ACE 2019 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า’ มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยพัฒนาที่ได้นำไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ และนำเสนอองค์ความรู้จากผลงานวิจัยของ NECTEC และผลงานที่ร่วมกับพันธมิตรในรูปแบบการสัมมนาวิชาการและการจัดนิทรรศการ นอกจากนี้ยังเป็นเวทีนำเสนอผลงานนิทรรศการผลงานนวัตกรรมของเยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7 ด้วย  

ตัวอย่างนวัตกรรมที่จัดแสดงในงาน 

การจัดนิทรรศการประจำปี 2562 จะมี การนำเสนอผลงานนวัตกรรมเยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รวม 14 ผลงาน แสดงร่วมกับผลงานทีมวิจัยไทยของ NECTEC กว่า 50 ผลงานที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคส่วนต่างๆ ด้วยงานวิจัยพร้อมถ่ายทอด แสวงหาพันธมิตรร่วมวิจัย และขยายผลการใช้งาน โดยมีผลงานนวัตกรรมของเยาวชนที่น่าสนใจ 14 ผลงาน ได้แก่

  • Clean Oyster เครื่องล้างหอยนางรมสด ลดการปนเปื้อนเชื้อวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส จึงทำให้สามารถมั่นใจในการรับประทานหอยนางรมสด อร่อย และปลอดภัย จากวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี
สมาชิกโครงการ Clean Oyster 
  • Intelligent Toilet System ระบบห้องน้ำอัจฉริยะในราคาประหยัด จากวิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ
  • Gunman and the Witch เกมบริหารเมือง และแอ็คชั่นในรูปแบบ 2 มิติบนระบบปฏิบัติการ Windows โดยมีเนื้อเรื่องและบรรยากาศในยุคคาวบอยของเกม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
  • Kings of Dungeon (คิงส์ ออฟ ดันเจียน) เกมแนว Rouge-Like บนคอมพิวเตอร์ โดยใช้มือถือในการควบคุม เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเล่นเกม จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • Pluk Kla ระบบควบคุมโรงเรือนปลูกพืชอัจฉริยะ สามารถควบคุมความชื้น อุณหภูมิให้เหมาะสมกับการปลูกพืชผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต จากโรงเรียนชุมแพศึกษา 
  • iCrab ระบบควบคุมบ่อเลี้ยงปูนาอัจฉริยะ ที่สามารถช่วยปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของปูนา ลดอัตราการตายของปูนาเมื่อสภาพแวดล้อมภายนอกมีอุณหภูมิต่ำลงมาก จากโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย  
  • เจ้านายจอมโหด (Big Boss) เกมที่ให้ผู้เล่นได้จำลองตนเองเป็นพนักงานออฟฟิศ คอยทำตามคำสั่งของเจ้านายให้ทันเวลาก่อนที่เจ้านายจะโกรธแล้วก็ลุกขึ้นมาวิ่งไล่เรา จากโรงเรียนระยองวิทยาคม
  • Play Plern Learn Ground รู้ศัพท์ ลับสมอง เกมส่งเสริมการเรียนรู้ที่จะพาท่องไปในโลกแห่งคำศัพท์แบบมัลติยูสเซอร์ ในเกมจะได้เรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษพร้อมได้รับความสนุกสนานเหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่น จากโรงเรียนสตรีอ่างทอง 
  • SUPER SHRIMP อาหารกุ้งฝอย อาหารกุ้งฝอยสูตรพิเศษที่ช่วยให้กุ้งฝอยมีการอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น และลดอัตราการตาย ช่วยให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งฝอยลดความเสี่ยงการขาดทุนและมีรายได้เพิ่มขึ้น จากโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
  • มีดกรีดยางสายฟ้า มีดกรีดยางพาราด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องมือช่วยทุ่นแรงเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราให้สามารถกรีดต้นยางพาราได้รวดเร็ว และเบาสบายแรง จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์
  • Magic Silk ผลิตภัณฑ์ช่วยในการติดสีของเส้นไหมจากสารสกัดธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเส้นไหม จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์
  • D.I.Y. PAPER PIANO ของเล่นวิทยาศาตร์เพื่อการเรียนรู้แบบ STEM (Science Technology Engineering and Mathematics Education: STEM Education) จากโรงเรียนท่าศาลาประสิทธิ์ศึกษา 
ผลงานจากโครงการ D.I.Y. PAPER PIANO 
  • Blood Buddy เพื่อนรักพิทักษ์เลือด โปรแกรมการเรียนรู้เรื่องเซลล์เม็ดเลือด ซึ่งอยู่ในรายวิชาชีววิทยาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยนำเสนอในรูปแบบสองมิติ (2D) ผู้ใช้จะได้มีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับโปรแกรม (Interactive) เรียนรู้เนื้อหาผ่านเรื่องราวในการ์ตูนแอนิเมชั่น จากโรงเรียนระยองวิทยาคม
ผลงานจากโครงการ Blood Buddy เพื่อนรักพิทักษ์เลือด
  • เจ้าจันทร์  (Lunar Wheel) ชุดสื่อการเรียนรู้เรื่องปรากฏการณ์ของดวงจันทร์ จากโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล 
ผลงานจากโครงการ เจ้าจันทร์  (Lunar Wheel) 

สามารถเข้าชมนิทรรศการในวันที่ 9 กันยายน 2562 ตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 น.

แผนผังนิทรรศการ

การแต่งกาย: สุภาพบุรุษ – สวมใส่ชุดสูทสากล เนคไทเหลือง/เสื้อเหลือง

สุภาพสตรี – สวมใส่ชุดสุภาพ เสื้อผ้าสีเหลือง

คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

Tags:

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมอีเวนต์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข
Life Long Learning
3 September 2019

เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

  • เสรี จินตนเสรี อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วัย 77 เพิ่งคว้าแชมป์ แบดมินตันอาวุโส ชิงแชมป์โลก 2019 มาหมาดๆ
  • ไม่ใช่เล่นอย่างจริงจังมาตลอดชีวิต แต่เพิ่งกลับมาหวดลูกขนไก่อย่างจริงจังเมื่ออายุ 60 เศษ หลังจากตรวจสุขภาพแล้วพบว่าเจอของ ‘เลวร้าย’ เยอะไปหมด
  • ครั้งหนึ่งเคยเห็นเพื่อนล้มฟุบกลางคอร์ทแบด หัวใจวายและจากไปต่อหน้าต่อตา แทนที่จะขยาด กลับรู้สึกว่า ตายง่ายแบบนี้ดี แทนที่จะไปโดนสายระโยงระยางทางการแพทย์ทั้งหลาย – ให้ผมตีแบดตาย ผมก็มีความสุข

“เสรี จินตนเสรี คว้าแชมป์โลก แบดมินตันอาวุโส 2019” 

เป็นข่าวเล็กๆ และอายุค่อนข้างสั้นในโลกออนไลน์ที่โดนข่าวชิ้นใหม่ไล่เบียดแทบจะทุกนาที ถ้าไม่คลิกอ่านข่าวชิ้นนี้หรือพิมพ์ชื่อ เสรี จินตนเสรี คนนอกแวดวงการเงินอาจไม่รู้เลยว่านักแบดมินตัน วัย 77 ปีคนนี้คือ อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และรองผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งคว้าแชมป์การแข่งขันแบดมินตันอาวุโส ชิงแชมป์โลก 2019 หรือ โยเน็กซ์ บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ ซีเนียร์ แชมเปี้ยนชีพ 2019 ชายเดี่ยวรุ่นอายุ 75 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา 

The Potential นัดพบสุภาพบุรุษท่านนี้ที่คอร์ทแบดมินตันแห่งหนึ่ง คุณเสรีเสียเหงื่อที่นี่อย่างสม่ำเสมออาทิตย์ละอย่างน้อย 3 วัน 

ย้อนกลับไปวัยเด็ก คุณเสรีเริ่มเล่นแบดมินตันตั้งแต่อายุ 12 ปี เพราะมีคอร์ทแบดอยู่ข้างบ้าน เลยนึกสนุก เดินไปดูว่าเขาเล่นกันอย่างไร 

“ไม่มีโค้ชนะ ดูไปดูมาเราก็จำแต่ของดีๆ มันก็ทำให้เราเล่นแบดมินตันได้ ดูไปเล่นไป สนุกๆ ไม่ได้เอาจริงเอาใจเท่าไหร่ เรียนหนังสือมั่ง เตะฟุตบอลมั่ง เล่นกีฬาที่เด็กทั่วๆ ไปเล่น” 

เริ่มต้นจากความสนุกไม่ได้หวังติดทีมชาติ แต่ความสนุกก่อให้เกิดความอยากเอาชนะ นำไปสู่การพัฒนาฝีมือ จนได้ติดทีมชาติเมื่ออายุริมๆ จะ 20 

“แต่เป็นทีมชาติระดับหางแถวนะ (หัวเราะ) ไปแข่งต่างประเทศบ้าง ในประเทศบ้าง แต่ยิ่งโต ก็ต้องเอาจริงเอาจังกับการเรียนมากขึ้น กีฬาเลยเหมือนค่อยๆ หลุดจากแถว จนมาตีอีกทีมันไม่สนุกแล้ว ตีกับใครก็สู้เขาไม่ได้ ไม่มีความสุข”  

จนเรียนจบ ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ถ้าเปรียบเป็นเพื่อน กับแบดมินตันก็ยิ่งเข้าขั้น ‘คนแปลกหน้า’ ขณะที่หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าตามลำดับ 

จนข้ามหลักไมล์ชีวิตไปถึงขวบปีที่ 62 การตรวจสุขภาพร่างกายหนนั้น เข้ามาเปลี่ยนชีวิต  

“ผมให้หมอตรวจละเอียดทั้งร่างกาย ปรากฏว่าเจอแต่ของที่เลวร้ายเยอะไปหมด คอเลสเตอรอลสูงมาก HDL (ไขมันดี) ต่ำมาก LDL (ไขมันที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง) สูงมาก ซึ่งเป็นอันตราย ความดันก็แย่ น้ำตาลสูงพร้อมที่จะเป็นเบาหวาน ยูริคที่มาของโรคเกาต์ ผมก็สูงกว่าชาวบ้าน คุณหมอก็จะสั่งยาผม ผมก็กลับมาคิดว่าถ้าผมกินยา มันก็คงลงไปที่ตับไตอันที่หนึ่ง และมันไม่ได้แก้ที่พื้นฐาน ยามันรักษาเดี๋ยวเดียว” 

คุณเสรีจึงนึกถึงการออกกำลังกาย เพื่อนเก่าอย่างลูกขนไก่ก็กลับมาอีกครั้ง แต่กลับมาหนนี้ มาแล้วมาเลย อยู่ยาวจนจะอีก 3 ปีจะเข้าเลข 8   

เมื่อเราถามว่าจะเล่นไปจนถึงเมื่อไหร่? 

“ให้ผมตีแบดจนตายคาคอร์ท ผมก็มีความสุข (หัวเราะ)” 

เสรี จินตนเสรี

เป้าหนึ่ง: กินยามันง่าย ตายเพราะตีแบดดีกว่า

“พอบอกคุณหมอว่าไม่กินยาคุณหมอถามว่าจะเอาไง จะเอา (ยา) รึยัง ผมบอกเดี๋ยวก่อน (ขำ) ผมนึกถึงการออกกำลังกายอย่างบ้าคลั่งได้ ให้เหงื่อมันออกให้เยอะที่สุด มันขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้เลือดสูบฉีด”

ยิ่งเป็นคนชอบความท้าทายและการแข่งขัน ทำให้คุณเสรีกลับมาเล่นแบดมินตันอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง 

จนกลับไปให้หมอตรวจอีกครั้ง ค่าที่ไม่ดีทุกอย่างกลับลดลง สวนทางกับไขมันดีที่เพิ่มขึ้น จนหมอบอกว่า “คุณตีแบดเลย” 

“ผมก็เล่นใหญ่เลยนะ ปรากฏหัวเข่าพัง ตีไปตีมามันอดไม่ได้ เราเคยวิ่งไล่เพื่อเอาชนะ พอกลับมาตีใหม่สังขารมันคนละเรื่อง ผมก็ไปหาหมอถามว่าทำไงดี ถ้าผมเลิก ไอ้ของเลวร้ายๆ ก็กลับมาอีก” 

วิธีที่คุณเสรีเลือกใช้คือ ตีต่อไป (แต่เป็นความสามารถส่วนบุคคล-ไม่แนะนำให้ใครทำตาม) 

“พอดีพี่ชายผมเป็นหมอการกีฬาโดยเฉพาะ เขารู้ว่าเราเข่าไม่ดี ก็บอกว่า อย่าไปหยุด ตีมันอย่างเก่า มากขึ้นยิ่งดี สร้างกล้ามเนื้อให้ได้ กล้ามเนื้อที่ดีจะคุ้มครองเข่า แขนก็เหมือนกัน” 

แน่นอน การกินยาเป็นสิ่งง่าย แต่ถ้าเลือกทางนั้นตั้งแต่ต้น เขาบอกว่า “คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้” ทัศนคติในการมองชีวิตจึงสำคัญ 

“เล่นๆ อยู่ หมอก็เตือนอีก คุณรู้ไหมเล่นแบดมินตัน หัวใจวาย ตายคาคอร์ทได้นะ แล้วมันก็มีคนตายจริงๆ วันนึง เล่นแบดเสร็จผมก็นั่งพักอยู่ข้างๆ เพื่อนผมล้มฟุบ ทุกคนวิ่งไปปฐมพยาบาล ปั๊มหัวใจอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา ผมเลยมานั่งนึกดู เอ๊ะ ชีวิตคนเราตายง่ายอย่างงี้มันมีความสุขนี่ แทนที่จะไปโดนสายระโยงระยางทั้งหลาย ให้ผมตีแบดตายผมก็มีความสุข ขอให้ทุกคนอนุโมทนาด้วย (ยิ้ม)”  

ที่พูดแบบนี้ได้ เพราะในวัย 77 ปี คุณเสรีไม่มีห่วงอะไรแล้ว ทุกคนทุกอย่างรอบข้างอยู่ได้เพราะจัดการไว้เรียบร้อย 

“ผมเลยตีแบดอย่างบ้าคลั่งเข้าไปอีก ไปแข่งแชมป์โลกตั้งแต่อายุ 65 จนตอนนี้ได้เหรียญทองเหรียญที่ 6 แล้ว ก็ยังดีใจอยู่นะ” 

เป้าที่สอง: ตีแบดให้เหมือนทำงาน

ถึงจะบอกแค่ว่า “ยังดีใจ” แต่แววตาของสุภาพบุรุษวัย 77 ปีวิบวับมากเมื่อเล่าถึงเหรียญทองที่คว้ามาเรื่อยๆ ตั้งแต่รุ่น 60 ปี 65 ปี 70 ปี จนล่าสุด 75 ปี

“พวกที่ตีด้วยกันบอกว่า อ้าว คุณตีดีนี่หว่า เพราะพื้นฐานผมมี ตีแล้วร่างกายผมก็ดีขึ้น ใครๆ ก็อยากคู่ด้วย (ยิ้ม)”

นอกจากพื้นฐานดี ถึงที่สุดแล้วเมื่อลงสนาม “มันต้องสู้กันด้วยสมอง” เลือดร้อนวัยหนุ่มอยากจะเอาแต่ลูกชนะ มันใช้ไม่ได้แล้วเมื่อถึงวัยเกษียณ การเก็บแต้มของคนรุ่นคุณปู่คุณตาหมายความสถานเดียวว่า “ไม่ตีเสีย” 

“ล่าสุดผมแข่งกับเจ้าภาพ กองเชียร์เขาเป็นพัน มันเริ่มกดดัน ช่วงแรกผมเสียง่ายๆ เลยต้องมาวางแผนใหม่ว่า ตีไม่เอาสวย ไม่เอาเก่ง ใจผมเอาแต้มอย่างเดียว แต่ไม่ได้โกงนะ” 

เทียบกับตอนอายุ 19 สไตล์การเล่นตอนนั้น บอกได้คำเดียวว่า ไม่กลัวใคร หากไม่ใช่การสักแต่หวด แต่คือความมั่นใจว่าจะวิ่งไปให้ทันทุกลูกอย่างรอบคอบ

“เร็วแต่รอบคอบ ยังเป็นจนถึงตอนนี้ ทำให้เราได้เปรียบ การทำงานก็เหมือนกัน เรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน ทุกเช้าจะมีเช็คลิสต์ เราทำให้ไว รอบคอบ แต่ไม่ใช่เร็วชุ่ยๆ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว ทุกๆ กิจกรรมแม้แต่การแปรงฟัน ผมมี minimum เวลาเท่านี้คือเท่านี้ เราต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด” 

“ใจจริงอยากเล่นแบบสวยๆ นะ เสิร์ฟจากข้างหลังให้คู่ต่อสู้แหงนหน้าตีสุดคอร์ท เหมือนรัชนกเลยนะ (ยิ้ม) แต่พอเราเสิร์ฟแบบนี้ ออกข้างบ้าง ออกหลังบ้าง ไปไม่ถึงบ้าง เสียแต้มไปฟรี ผมเลยเสิร์ฟอยู่ข้างหน้าดีกว่า ชัวร์”

เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมา คุณเสรีทำงานด้านกฎหมายมาตลอด ถ้าพลาด หรือตกหล่นอะไรไป นั่นคือความเสียหาย ทุกอย่างจึงอยู่บนพื้นฐานการเรียงลำดับ และจัดความสำคัญของชีวิต 

“ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและทำให้เสียหายน้อยที่สุด” คติที่ใช้ทั้งการทำงานและตีแบด ส่วนการใช้ร่างกายและมันสมองเปรียบเสมือนการลงทุนที่มีทั้งรับและเสี่ยง

“ทั้งงานและแบด ถ้าไม่อยากทำก็ถอนตัวได้ แต่มันยังทำให้เราเดินต่อไปได้ เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องถอนตัว” ถึงจะเกษียณแล้ว คุณเสรีก็ยังเป็นที่ปรึกษา เป็นประธานกรรมการ เป็นกรรมการบริหารให้หลายๆ บริษัท

เป้าสาม: พัฒนา อย่าขี้เกียจ

เหตุผลสำคัญที่ทิ้งไม้แบดไปเมื่อวัยหนุ่มคือ ไม่ได้ซ้อมสม่ำเสมอ สิ่งที่ตามมาคือ แพ้และไม่สนุก จากความรู้สึกว่าตัวเองไม่พัฒนา 

“ผมไม่ชอบ มนุษย์เรามันต้องพัฒนาขึ้นทุกครั้งสิ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร” 

พอกลับมาเล่นตอนสูงวัย ถามว่าแพ้ไหม-ใช่ ท้อไหม-พยักหน้า…แต่เล่นต่อ 

“ไม่ได้ก็ช่างมัน whatever happen เราได้สุขภาพ ได้เหงื่อ ได้เพื่อน มันคุ้ม อีกอย่าง คนเรามันต้องพัฒนาตลอด ไม่พัฒนาก็เสื่อมลง สังขารก็เช่นกัน ถ้าคุณพัฒนาได้ก็ทำเถอะ ผมก็พยายามเล่นลูกแปลกๆ ที่เด็กรุ่นใหม่เล่นกัน มันก็ลำบากเพราะพื้นฐานต่าง แต่เราก็เรียนรู้ไป” 

เห็นมีไฟในแทบทุกประโยคอย่างนี้ ในวันและวัย 77 ก็มีโหมดระโหยโรยแรงเหมือนกัน แต่คุณเสรีไม่เก็บมันไว้นาน

“อย่านึกว่าผมแข็งแรง ผมก็มีจุดอ่อนเหมือนทุกท่าน เพียงแต่เราหาวิธี handle” 

หนึ่งในวิธีนั้นคือสลับโหมดไปทำงาน 

“เพราะการทำงานทำให้เราได้ใช้สมองในทุกๆ ครั้งที่มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น อย่างตอนนี้มีปัญหาจีนกับสหรัฐ​ มีเอฟเฟ็คต์หลายอย่าง เราก็ต้องคิดหมด เพราะงานกฎหมายต้องลงรายละเอียดมาก ตัวอักษร ถ้อยคำ จะกระทบใครบ้าง นี่ทำให้ผมยังอยากทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ไหว” 

ส่วนกีฬา ถ้าใจรักก็อย่ารอ 

“ถ้าไม่อยากมาเล่น คุณก็จะทำได้ไม่ดี ใจรักคือรู้สึกสนุกแล้วหาทางทำให้เหมาะกับเรา พอเรารัก เราสนุก มันก็ไม่ขี้เกียจทำให้มัน easy efficiency ศึกษาแล้วก็ปรับ พัฒนาตัวเอง ปัญหาเข้ามาก็แก้” 

ส่วนสำคัญคือ พ่อแม่ 

“คุณพ่อคุณแม่ผมไม่ได้รู้เรื่องแบดนะ แต่เขาเห็นว่าลูกคนนี้ทำอะไรดี ทำอะไรเร็ว ก็ส่งเสริมให้เล่น แต่สมัยผม กีฬามันยังเป็นอาชีพไม่ได้ไง ท่านก็ให้เลือกเรียนไว้ก่อน ผมก็เข้าใจนะ แต่ถ้ามันเปิดกว้างอย่างตอนนี้ พ่อแม่ผู้ใหญ่ควรช่วยเด็กดูก่อน ดูว่าเขาชอบหรือเปล่า ถ้ายังไม่ชอบก็ช่วยเขาดูต่อไป จะได้ไม่เสียเวลา” 

ก่อนจากกัน เราถามถึงเป้าหมายอันใกล้ของนักแบดวัย 77 ปี เช่น เตรียมไปแข่งในอีก 2 ปีข้างหน้า…โดยไม่ได้มีความรู้เลยว่า แชมป์ที่คุณเสรีเพิ่งคว้ากลับมาคือ รุ่นอาวุโสสูงสุดแล้ว 

“โอย…อายุเท่านี้แล้วยังจะมีเป้าอะไรอีกล่ะ แบดก็แข่งรุ่นแก่สุดไปแล้ว แต่ก็…พัฒนาไปเรื่อยๆ do the best เงินไม่ได้ต้องการ ที่ต้องการคือสุขภาพ รักษาไว้ ไม่ใช่ให้เสื่อมลง นั่นแหละเป้าหมาย” 

Tags:

กีฬาGrowth mindsetGritเสรี จินตนเสรี

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Dr.Pla Wimonmas-Cover 1
    Life classroomSocial Issues
    อย่าชนะในเกมแค่วินาทีนี้ แต่แพ้ในชีวิตตลอดไป: ฝึกใจให้พร้อมสู้ทุกสนาม กับ ผศ.วิมลมาศ ประชากุล นักจิตวิทยาการกีฬา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Life Long Learning
    การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • Life Long Learning
    THE OLD MAN BUT YOUNG@HEART สูงวัย ใคร? ห้ามเรียนรู้

    เรื่อง The Potential

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นGrit
    ไม่มีพรสวรรค์ สำหรับ(นักปั้น) ‘โปรเม’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ปัตตานี ดีโคตร: ต่อจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ เดินเล่นส่องย่าน ‘PATTANI DECODED’
Space
3 September 2019

ปัตตานี ดีโคตร: ต่อจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ เดินเล่นส่องย่าน ‘PATTANI DECODED’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีกิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

ภาพ: เดชา เข็มทอง

The Potential แอบลงไปเดินเที่ยวงาน Pattani Decoded งาน Design Week อย่างเป็นทางการครั้งแรกของเมืองปัตตานีงานที่ตั้งใจออกแบบพื้นที่ให้คนออกมาใช้ชีวิตและแชร์เวลาร่วมกัน ผ่านงานศิลปะ เวิร์กช็อป งานแสดงดนตรี ที่ตั้งวางตลอดหลัก 3 เส้นของเมืองปัตตานี – อาเนาะรู ปัตตานีภิรมย์ ฤาดี – ย่านเศรษฐกิจทั้งเก่าและใหม่ของเมืองแม้เรามีโอกาสไปจุ่มแช่และพูดคุยกับทีมงานและสตาฟแค่วันเดียว แต่ไฮไลต์เด็ดอย่าง ‘เดิน ล่อง ส่อง ย่าน’ ชมเมืองและสถาปัตยกรรม ซึ่งตลอดการเดินเท้าในแนวถนน 3 เส้น มีสตาฟและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี คอยให้ความรู้อยู่ตลอดทาง มันไม่ใช่แค่การเดินชมย่านแล้วได้ความรู้แค่ในเชิงสถาปัตยกรรม แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่แฝงฝังในกำแพงแต่ละแผง บ้านแต่ละหลัง ตามตรอกซอกท่าเรือ ร้านอาหารที่เปิดขาย และในเสื้อผ้าที่ผู้คนสวมใส่ สำคัญที่สุด มันเป็นประวัติศาสตร์ที่มาจาก ‘เรื่องเล่าของผู้คน’ ย้อนกลับไปช่วงที่รัชกาลที่ 6 เสด็จประพาสต้นมาเมืองตานี และสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นขึ้นมาประจำการในเมือง เราเลยเก็บความรู้ที่หยิบจำมาจากเรื่องเล่าบนถนนสามเส้น บอกเล่าจากความทรงจำต่อไปยังผู้อ่านทั่วทุกภาค ไม่ใช่แค่ชวนไปเดินย่านที่ปัตตานี แต่อยากให้ภาพ ‘การใช้พื้นที่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์’ เกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ในประเทศไทย เพราะมันสนุกและชวนคุยต่อได้หลายเรื่องมากๆ ! 

1
บ้านเหลือง (Yellow House)

บ้านเก่าทรงชิโนยูโรเปียน บริเวณสามแยกถนนมายอ บ้านเก่าของคุณแม่ คุณอนุศาสน์ สุวรรณมงคล สมาชิกวุฒิสภาปัตตานีและเจ้าของโรงแรมชื่อดังในจังหวัด คาดว่าตัวตึกได้รับอิทธิพลจากสิงคโปร์ในช่วงรัชกาลที่ 6 สังเกตจากส่วนโค้งครึ่งวงกลมแบบอาร์คและบริเวณช่องทางเดินด้านหน้า ภายในนิยมแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือส่วนหน้าสำหรับค้าขาย และส่วนที่พักอาศัยด้านหลัง ปัจจุบันกำลังซ่อมแซมพื้นที่ใหม่เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์และศูนย์การเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเขตปัตตานีในวันงานบ้านเหลืองถูกจัดเป็นนิทรรศการ Pattani Ingredients ศิลปะปาตานี: ความแตกต่างและความหลากหลายของส่วนผสม โดยทีม Patani Artspace เล่าความเป็นมาของศิลปะร่วมสมัยในปาตานีผ่านงานศิลปะที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 2545-2562 และใช้คำว่า ‘Ingredients’ ในแง่ความหลากหลายของศิลปะและศิลปินที่ล้วนถูกปรุงแต่งขึ้นเพื่อสร้างผลงาน

2
ครูมะ

อรรถพร อารีหทัยรัตน์ ในฐานะผู้ที่เกิดและเติบโตบนถนนเส้นนี้ ในฐานะลูกชายของคุณพ่อที่ทันครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ที่เมืองปัตตานี ไกด์กิตติมศักดิ์คอยเล่าเรื่องราวของตึกเก่าแต่ละตึกราวกับเวลาเมื่อ 50 – 100 ปีก่อนกลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

อรรถพร อารีหทัยรัตน์

3
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว

ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว บนถนนอาเนาะรู ถนนเศรษฐกิจเส้นแรกๆ ของเมืองปัตตานี ความศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองปัตตานีมาแต่โบราณ ตั้งอยู่ในตัวเมืองปัตตานี เป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีนในปัตตานี ติดกับศาลเจ้าแม่เป็นย่านเมืองเก่าปัตตานี งดงามด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่หลายแบบหลากสไตล์

4
บ้านกงสี

ใกล้กันกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว คือบ้านกงสี บ้านเดิมของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (ปุ่ย แซ่ตัน) ต้นตระกูลคณานุรักษ์ ซึ่งบุตรชายของเขา คือ จูล่าย แซ่ตัน ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ให้เป็นหลวงจีนคณานุรักษ์ (หัวหน้าจีนเมืองตานี) และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยุ่หัว รัชกาลที่ 6 พระราชทานบรรดาศักดิ์ตั้งเป็น พระจีนคณานุรักษ์ กรมการพิเศษเมืองปัตตานี

5
บ้านเลขที่ 1

บ้านเลขที่ 1 บนหัวมุมถนนอาเนาะรู ต้นซอยก่อนเข้าศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นบ้านทรงสไตล์ชิโนโปรตุกีสหลังใหญ่ สต๊าฟทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือบ้านที่เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมเก่าแก่แสนสวยประจำย่าน แอบมองลอดเข้าไปในกรงเหล็ก ข้างในได้รับการบูรณะให้คงไว้ซึ่งบ้านจีนแบบเดิมและราวกับยังมีคนใช้งานบ้านหลังนี้อยู่ สวยดังคำว่าจริงๆ

ไม่มีข้อมูลว่าเป็นบ้านของใครและเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แต่กรงรั้วสวยมากๆ ชั้นสองของบ้าน เหนือประตูตรงกลางมีป้ายภาษาจีนซึ่งแน่นอนว่า… ผู้เขียนอ่านไม่ออก

6
ท่าตานีเบย์ ประตูสีฟ้า ทางเข้าท่าเรือเล็กๆ ริมแม่น้ำปัตตานี

ตรอกเล็กๆ ที่มีประตูสีฟ้า และแบซี (อาซีซี ยีเจะแว) เจ้าของร้าน In_t_af café & gallery กำลังติดภาพถ่ายเตรียมงานนิทรรศการเรียกว่า ‘ตาบีเบย์’ ตรอกท่าเรือเล็กๆ ของแม่น้ำปัตตานี แม่น้ำซึ่งเป็นประตูสำคัญนำพาความเจริญจากโลกภายนอก อารยธรรมชาวบริติช ปากีสถาน ชาวจีน กระทั่งทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 กลิ่นสี เครื่องจักร กลิ่นท่าเรือ คละเคล้าไปกับเรื่องเล่าในอดีต ยิ่งทำให้ตื่นเต้น หากอีกไม่กี่ชั่วโมงพื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นนิทรรศการภาพถ่าย ‘กลับ-บ้าน’ โดย อำพรรณี สะเตาะ ภาพถ่ายชีวิตของชาวปัตตานีในปัจจุบัน

7
ตลาด ‘ดีโคตร’ ที่กำลัง setting

หากเข้าไปดูที่เพจ Pattani Decoded จะเห็นภาพบรรยากาศตลาดคึกคัก ผู้คนแต่งตัวเต็มยศเข้ามาใช้เวลาร่วมกันในพื้นที่ พร้อมป้ายไฟนีออนสีชมพูฟอนต์สุดสวยเขียนว่า ‘ดีโคตร’ แต่ตอนที่เราไป ทีมงานกำลังเซ็ตติ้งพื้นที่โล่งตรงข้ามบ้านที่เคยถูกไฟไหม้จนตึกหายไปทั้งหลัง มันเป็นเพียงพื้นที่รกร้างราวตึก 2 คูหาเท่านั้น ไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่าภายในไม่กี่ชั่วโมง พื้นที่ตรงนี้จะเต็มไปด้วยความสนุก ครึกครื้น และสร้างสรรค์

8
ในบ้าน Melayu Living

อาคารพาณิชย์มรดกตกทอดของตระกูลวัฒนายากร (ตระกูลที่มีบทบาทในทางการเมืองและตุลาการของประเทศ) ซึ่งเท้าความได้ถึงขุนธำรงพันธุ์ภักดี (ตระกูลสำคัญที่มีบทบาทการพัฒนาเมืองปัตตานี) ภายหลังอาคารหลังนี้สืบทอดโดยบุตรชาย นายมงคล วัฒนายากร จนมาสู่ลูกหลาน พื้นที่นี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่เก็บภาษีในฐานะตัวแทนจากรัฐบาล ส่วนกลางเปลี่ยนผ่านสู่ห้างค้าปลีก ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกลุ่ม Melayu Living หนึ่งในแม่งานหลักงาน Pattani Decoded ความตั้งใจในการใช้พื้นที่อาคารหลังนี้ ทางกลุ่มอธิบายว่าไม่ต้องการต่อเติมหรือบูรณะ เพราะต้องการคงไว้ซึ่งร่องรอยประวัติศาสตร์และความพังทลาย ‘วาบิ ซาบิ’ ทางกลุ่มบอกว่าพวกเขาใช้คอนเซ็ปต์นี้ ภายในงาน อาคารหลังนี้ถูกจัดเป็นสถานที่เวิร์คช็อปผ้าพิมพ์ผ้าลายบาราโฮม ได้แรงบันดาลใจจากลายกระเบื้องโบราณในย่านชุมชนบาราโฮม และใช้เป็นสถานที่เปิด talk ในวันต่อๆ ไป

9
บ้านขุนพิทักษ์รายา

บ้านหัวมุมตึก 2 ชั้น บ้านเดิมของขุนพิทักษ์รายา (ตันบั่นซิ่ว) บุตรชายของพระจีนคณานุรักษ์ (เรื่องราวเชื่อมกับบ้านกงสี ใกล้ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว) เดิมทีบ้านหลังนี้ทรุดโทรมมาก ภายในบ้านมีรูปเปรียบเทียบก่อนและหลังบูรณะ น่าสนใจคือเป็นการบูรณะที่คล้ายของเดิมมาก โดยเฉพาะกระเบื้องซีเมนต์ กระเบื้องดินเผามุงหลังคา ตอม่อแบบอิฐก่อ หน้าต่างยาวบานเปิดกระทุ้ง และการเว้นพื้นที่บ้านตรงกลางแบบเปิดโล่ง และมีบ่อน้ำที่ใช้จริงในบ้าน ปัจจุบันบ้านขุนพิทักษ์รายาไม่ได้เปิดให้เข้าชมทุกวัน แต่เปิดเฉพาะเมื่อเมืองมีกิจกรรมหรือไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

10
นิทรรศการงานออกแบบใน warehouse

นิทรรศการงานออกแบบใน warehouse บนถนนอาเนาะรู เยื้องกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แสดงงานออกแบบโดยศิลปินในพื้นที่ จากดีไซเนอร์ในพื้นที่ที่ทำงานศิลปะกลิ่นอายมลายูผสานกับงานออกแบบร่วมสมัย คิวเรเตอร์หลักคือคุณเลิฟ-กริยา บิลยะลา อดีตนักจัดการความรู้ TCDC

11
Chef’s table รอวียะ หะยียามา

หนึ่งในกลุ่มอาคารแบบชิโนยูโรเปียนสร้างขึ้นภายใต้การขยายและเติบโตตามเส้นถนนด้วยรูปแบบการพาณิชย์หลากสาขา ปัจจุบันอาคารหลังนี้ได้ปรับเปลี่ยนการใช้งานเป็นคาเฟ่ ภายในงาน Pattani Decoded ใช้อาคารในพื้นที่จัด Chef’s table ผลงานของ รอวียะ หะยียามา

ร้านบ้านเดอ นารา เล่าเรื่องถิ่นมลายูผ่านอาหารชาววัง เช่น ‘อาแซคียา หรือ ลีมากระแลแต’ seasonal fruit cocktail หรือ ผลไม้ลอยแก้วแบบชาววัง มีเอกลักษณ์เฉพาะคือจะมีกลิ่นส้มซ่า กลมกล่อม ‘โรตีรอยัลยาลอ’ โรตีมลายู แหม้วน กินกับมัสมั่น หอมกลิ่นเครื่องเทศอินเดียและใบหมุย ‘Melayu Mixed Salad’ หรือ ลอเยาะ ใช้เส้นหมี่ เต้าหู้ ผักประจำถิ่น เสิร์ฟพร้อมกุ้งเป็นตัวและเนื้อปู กินกับน้ำสลัดสูตรข้นและสูตรใสน้ำตาลโตนด ‘บูโบลือเมาะ’ ปรุงจากข้าวต้มใส่กะทิ ใส่เม็ดฮาลาบอ มีกลิ่นกระเทียม หอมแดงและใบมะรุม ‘ข้าวผัดปลากุเลาเค็ม’ ราชาของปลาเค็ม กินกับราชินีคือ ข้าวบัสมาติ กุเลาปัตตานีเป็นปลากุเลา 2 น้ำเติบโตช่วงอ่าวปัตตานีจึงมีเนื้ออร่อยที่สุด ‘ลาแซ ซอเลาะ’ ซอเลาะคือปลาทู ลาแซเหมือนขนมจีน กินกับทอดมันจับไม้ ‘ตูปะซูตง’ ปลาหมึกยัดไส้มลายู ที่ให้รสหวานมันกะทิ โดดเด่นจนเป็นที่นิยมในทุกๆ เทศกาล

Tags:

สามจังหวัดภาคใต้public spaceดนตรีศิลปะอีเวนต์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Space
    มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: เดินเล่นในย่านส่วนตัว แต่เรียนรู้แบบส่วนรวม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Space
    มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เพราะวันนั้นยังไง ฉันถึงได้กลายเป็น “นักวาดรูป”
Growth & Fixed Mindset
2 September 2019

เพราะวันนั้นยังไง ฉันถึงได้กลายเป็น “นักวาดรูป”

เรื่องและภาพ PHAR

ถอดรหัสการค้นเจอศักยภาพของตัวเองด้วยความเข้าใจบนเส้นทางการเป็นนักวาดการ์ตูนของ PHAR

Tags:

แรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)ศิลปินGrowth mindsetศิลปะ

Author & Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Life classroomEveryone can be an Educator
    ‘ผมอยากเห็นสังคมที่ปลอดภัย’: Alex Face ศิลปินสตรีทอาร์ต และพ่อที่ขอเป็นเบาะในวันที่ลูกล้ม 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Voice of New Gen
    เรียนรู้กับครูยูทูบ เปิดตัวในโลกศิลปะผ่าน NFT ชีวิตที่ออกแบบเองของ ‘กิม’ – ฮากีม หมันวาหาบ ในวัย 15 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Everyone can be an Educator
    บัว วรรณประภา ตุงคะสมิต: Papercutting Art จากมุมมองของโลกจิ๋วๆ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์

    เรื่อง ศิริกร โพธิจักร ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

ปัตตานี ดีโคตร: เดินเล่นในย่านส่วนตัว แต่เรียนรู้แบบส่วนรวม
Space
2 September 2019

ปัตตานี ดีโคตร: เดินเล่นในย่านส่วนตัว แต่เรียนรู้แบบส่วนรวม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Pattani Decoded คือนิทรรศการบอกถึงสุนทรียะของคนปัตตานีต่อสิ่งต่างๆ นำเสนอผ่านงานศิลปะ งานออกแบบ มีกิจกรรมเดินล่องส่องย่าน ชมภาพถ่าย เปิดบ้านเก่า พาเรียนรู้ประวัติศาสตร์
  • กิจกรรมเดินล่องส่องย่าน เป็น private space ที่อนุญาตให้คนเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ผ่านจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ร่วมของย่านที่ไม่มีตัวตน ปลุกพื้นที่ส่วนตัวแต่ทำให้คนนอก ‘มีส่วนร่วม’ และสร้าง ‘การเรียนรู้’
  • เป้าประสงค์ของ Pattani Decoded ไม่ใช่แค่การถอดรหัส แต่บอกถึงสุนทรียะของคนที่อยู่บนต้นทุนทางวัฒนธรรม-ต้นทุนทางศิลปะที่รุ่มรวยในพื้นที่มานานแล้ว ไม่เพียงแค่สิ่งของ แต่บอกไปถึง identity ตัวตนของผู้คน อธิบายด้วยภาพใหม่ที่ไม่ใช่มุมมองจากคนนอกหรือรัฐที่มองว่านี่คือ มุสลิม จีน พุทธ
ภาพ: เดชา เข็มทอง

ระหว่างเดินเท้าในกิจกรรม ‘เดินล่องส่องย่าน’ บนถนนสามเส้นและเป็นย่านเศรษฐกิจทั้งเก่าใหม่ของเมืองปัตตานี ในงาน Pattani Decoded (ถอดเสียงได้ตรงเป๊ะกับคำว่า ‘ดีโคตร’) ครูมะ-อรรถพร อารีหทัยรัตน์ ในฐานะผู้ที่เกิดและเติบโตบนถนนเส้นนี้ ในฐานะลูกชายของคุณพ่อที่ทันครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ที่เมืองปัตตานี ไกด์กิตติมศักดิ์คอยเล่าเรื่องราวของตึกเก่าแต่ละตึกราวกับเวลาเมื่อ 50-100 ปีก่อนกลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

อรรถพร อารีหทัยรัตน์

บ้างเป็นตึกใหม่ที่ถูกบูรณะจากเรือนจำปัตตานี บ้างเป็นตึกที่เคยเป็นที่ทำการของทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้างเป็นตึกของคหบดีจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานจากการอพยพหรือถูกส่งมาจากส่วนกลางในช่วงเขียนแผนที่ประเทศราวรัชกาลที่ 5 บ้าง บ้างชี้ชวนให้ดูลักษณะของตัวตึกที่ได้รับอิทธิพลจีน สิงคโปร์ ปากีสถาน หรือจากความเป็นบริติชในช่วงที่อังกฤษเข้ามามีบทบาทในเมืองปาตานีในช่วงสมัยนั้น

ความสนุกของงานคือ มันไม่เหมือนการท่องเที่ยวแบบ ‘จัดวาง’ อย่างงานท่องเที่ยวไทยในที่อื่นๆ หรืออาจเพราะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ ที่มาจากปากเจ้าของเรื่องจริง จากตึกรามบ้านช่องที่ยังมีแต้มรอยของวันวาน แต่ก็ปนไปกับความร่วมสมัยของงานศิลปะที่ถูกจัดวางตลอดถนนทั้งสามเส้น

ทั้งหมดทั้งมวล เมืองดูมีชีวิต!

The Potential นั่งล้อมวงคุยกับตัวแทนผู้จัดงาน ได้แก่ ราชิต ระเด่นอาหมัด ประธานกลุ่ม Melayu Living, เลิฟ-กริยา บิลยะลา อดีตนักจัดการความรู้ TCDC และ อานัส พงค์ประเสริฐ ประธานกลุ่มสายบุรี ลุคเกอร์ ถึงความตั้งใจเบื้องหลัง อยากทำอะไรกับพื้นที่ อยากสื่อสารอะไร และมี ‘รหัส’ อะไรบ้างที่พวกเขาอยากถอดผ่านเรื่องเล่าเรื่องราวของเมืองท่าปัตตานีที่เคยรุ่งเรืองและเป็นแหล่งอารยธรรม

จากซ้ายไปขวา อานัส, ราชิต และเลิฟ

หลังจบบทสนทนาและผู้เขียนต้องลี้ภัยฝนเข้ามานั่งที่ร้านกาแฟในตึกเก่าติดแม่น้ำปัตตานีที่เคยรุ่งเรือง นั่งรอฝนซา (และเพื่อนร่วมทริปที่หนีไปชิมอาหารที่กิจกรรม Chef Table!) นึกถึงสิ่งที่เพิ่งคุยกับทีมทำงานไม่กี่นาทีก่อนว่า เออหนอ… เราเคยคิดว่า public space คือสิ่งปลูกสร้างคงที่พร้อมให้คนเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้ แต่ ‘เดินล่องส่องย่าน’ กลับเป็น private space ที่อนุญาตให้เราเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ผ่านจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ร่วมของย่านที่ไม่มีตัวตน ปลุกพื้นที่ส่วนตัวแต่ทำให้คนนอก ‘มีส่วนร่วม’ และสร้าง ‘การเรียนรู้’ ได้เหมือนกัน

งานสร้างสรรค์ที่ Melayu Living เคยทำก่อนหน้านี้มีอะไรบ้าง

เลิฟ: ก่อนหน้านี้เราจัดกิจกรรมเดินย่านที่ชื่อ ‘อา-รมย์-ดี’ ชวนคนเดินย่านเก่าบนถนนสามสายของเมืองคือ อาเนาะรู ปัตตานีภิรมย์ และ ฤาดี ถอดออกเป็นคำว่า ‘อา-รมย์-ดี’ โดยได้ asa can (กรรมาธิการสถาปนิกเพื่อสังคมและเมือง สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์) เป็นผู้สนับสนุน

ราชิต: ก่อนหน้านี้เราเชิญพี่หมู นนทวัฒน์ (นนทวัฒน์ เจริญชาศรี Design Director) และพี่ใหญ่ (ผู้ก่อตั้ง DUCTSTORE) มา talk วัยรุ่นเข้ามาฟังเยอะมาก รู้สึกเลยว่ามันเป็นการส่งพลังให้กัน เลยคิดกันว่าทำไมไม่ลองจัด design week ในปัตตานีบ้าง ตอนนั้น Melayu Living เองก็มีมาสองปีกว่า คิดว่าเราน่าจะทำงานสเกลนี้ได้ จากงานเดินย่านในวันนั้น ผ่านมาหนึ่งปี เราก็เริ่มเตรียมงานตั้งแต่วันนั้นเลย

ในส่วนของงานนี้ เรามองว่าไม่ใช่แค่ Melayu Living แล้วที่จะเป็นแม่งาน แต่ให้ทุกเครือข่าย ทุกกลุ่มกิจกรรมมาทำงานร่วมกัน อย่างเช่น อานัส จากกลุ่มสายบุรีลุคเกอร์ ก็ชวนมารับหน้าที่ด้านดนตรี และภาพยนตร์ มาแจมกันสนุกๆ

คนทำงานตั้งใจอยากสื่อสารอะไรใน Pattani Decoded

อานัส: ส่วนตัวมองว่ามันไม่ใช่แค่การถอดรหัส แต่บอกถึงสุนทรียะของคนที่นี่ต่อสิ่งต่างๆ และเสนอผ่านงานศิลปะ งานออกแบบ มันไม่ใช่ความแข็งกระด้างเหมือนที่ปรากฏในสื่อ ในพาดหัวข่าวรายวัน ซึ่งมันน่าสนใจมากถ้าเราทำให้เกิดอิมแพคออกมา เรามีต้นทุนทางวัฒนธรรม ต้นทุนทางศิลปะ ที่รุ่มรวยในพื้นที่มานานแล้ว งานนี้จะนำมาคิดและแยกตามแต่ละหมวดหมู่ และมันไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่เป็น identity ตัวตนของผู้คน อธิบายด้วยภาพใหม่ที่ไม่ใช่มุมมองจากคนนอกหรือรัฐที่มองว่านี่คือ มุสลิม จีน พุทธ

ความต้องการสื่อสาร ‘รหัส’ แบบนี้ นำมาสู่การออกแบบกิจกรรมใน Pattani Decoded อย่างไร

เลิฟ: งานนิทรรศการที่จัดช่วงต้นกิจกรรมคือการเปิดบ้านเก่า เราอยากให้คนเข้าใจว่าจริงๆ แล้วพื้นที่มีเรื่องราวแบบไหนและทุกคนคือเจ้าของบ้านนะ เช่น การเปิดบ้านหลังหนึ่งของ ‘ตระกูลวัฒนายากร’ (ที่ตั้งกลุ่ม Malayu Living) เราเล่าของสิบชิ้น สิบอย่าง แต่ละอย่างเล่าถึงบ้าน ถึงปัตตานี ช่วงบ่ายมีการเปิดวงคุยของผู้คนในฐานะคนที่อยู่จริงหรือใช้ชีวิตในพื้นที่จริงๆ ว่าเขามีมิติชีวิตอื่นๆ อย่างไร

ราชิต: อีกส่วนคือนิทรรศการภาพถ่ายซึ่งเรามองว่า ช่างภาพของเรามีเยอะมากที่น่าสนใจ พยายามจะมีให้ได้ทุกปี และขยายความต่อจากเลิฟ ทุกงานที่เราจัด เราพยายามเชิญพี่ๆ สถาปนิกและดีไซเนอร์จากกรุงเทพฯ ลงมา อยากให้เขามาอยู่ร่วมกันกับเราและกลับไปบอกต่อว่ามันไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คนอื่นคิดนะ

แปลว่าเป้าหมายอีกด้านของคนทำงาน ต้องการทำความเข้าใจเรื่องภาพจำการเป็นพื้นที่สีแดงด้วยรึเปล่า

ราชิต: (พยักหน้า) มันมีคนที่พูดถึงความรุนแรงอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าเราไม่ต้องพูดซ้ำหรือตีโพยตีพายว่าที่นี่มันแย่ คนชอบถามว่า “เอ้ย อยู่ได้ไง มีข่าวขนาดนี้” คนอาจบอกว่าเราโลกสวยนะ แต่เราอยากพูดอีกด้านที่เป็นเชิงบวก

เลิฟ: มันปฏิเสธไม่ได้เนอะ มันมีภาพแบบนั้น แต่เราพยายามสื่อสารอีกด้าน และเอาจริงๆ ความต้องการอีกอย่างคืออยากให้คนในพื้นที่สร้างเครือข่ายต่างๆ ให้รู้จักกัน อย่างกิจกรรมวันนี้ทำให้เห็นความสัมพันธ์ใหม่ๆ หมุดหมายสำคัญของงานนี้ก็คือคนในพื้นที่นี่แหละ ให้เข้าใจว่าบ้านเขามีอะไร มีจุดเด่นอะไร มีเอกลักษณ์อะไรที่ไม่ถูกพูดถึงเลย คนข้างนอกอาจรู้สึกว่า “เอ้ย อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี” แต่เราอยากให้คนในภูมิใจกับพื้นที่และบ้านของตัวเอง

คือคนภายนอกอาจรู้สึกว่านี่คือพื้นที่สีแดง แต่สำหรับเรา เราไม่รู้สึกว่าตรงนี้ต่างจากย่านบางรักที่เติบโตและขยายความเจริญจากเส้นทางน้ำและขยายความรุ่งเรืองขึ้นมาบนถนน มันเหมือนกัน มันเป็นศูนย์กลางของเมือง

ราชิต: แต่เราไม่ได้บอกว่ามันเจ๋งมากหรือดีที่สุดนะ แค่รู้สึกว่า ลองเข้ามาดูกัน

เมื่อเช้าในกิจกรรม ‘เดินล่องส่องย่าน’ พาคนไปชมบ้านต่างๆ บนถนนทั้งสามสาย เล่าไปทีละบ้าน ทีละตึกผ่านเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น ตึก TK Park และตึกข้างกันเคยเป็นเรือนจำ ตึกสีเหลือง (ซึ่งเคยเป็นสีดำและถูกเรียกว่าตึกดำ) ขนาด 3 คูหา สูง 3 ชั้น เคยเป็นที่ประจำการทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และตึกหน้าตาคล้ายทรงจีน แต่ผู้บรรยายให้ข้อมูลว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากสิงคโปร์ในช่วงรัชกาลที่ 6 และเรื่องเล่าจากปากคำของคนที่ยังอยู่อื่นๆ เชื่อมกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยถูกเล่าให้เป็นข้อมูลสาธารณะ

อยากให้ช่วยขยายความเพิ่มเติมว่าทีมงานได้ข้อมูลเหล่านี้มาอย่างไร และคิดยังไงกับข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ แต่เชื่อมกันแล้วร้อยเป็นประวัติศาสตร์เมืองในภาพใหญ่อย่างนี้

เลิฟ: ตอนที่ทำกิจกรรม ‘เดินย่านอา-รมย์-ดี’ ทำให้เรามีโอกาสได้ไปคุยกับบ้านต่างๆ ประวัติศาสตร์ก็จะมีสองด้านเนอะ คือจากบันทึกส่วนกลางของรัฐ กับ ประวัติศาสตร์ชาวบ้านหรือมุขปาฐะต่างๆ มันมีเรื่องต่างๆ ที่น่าสนใจมากแต่ไม่ถูกบอกต่อ เราพบว่าบ้านแต่ละหลังซึ่งจะรวมกันกลายเป็นย่าน มันมีจุดเชื่อมโยงกัน คำถามคือ… เรามีข้อมูลส่วนไหนที่ไม่ถูกบอกต่อ? แน่นอนว่าพอพูดถึงสามจังหวัดเราจะคิดถึงมุสลิมอย่างเดียว แต่มันมีกลุ่มอื่นๆ ที่ …เนี่ย พอต้องอธิบายแบบนี้ก็กลายเป็นว่าเรากำลังพูดในลักษณะของการแบ่งแยกกลุ่ม คล้ายเวลาเราพูดคำว่า ‘ปรองดอง’ ‘สามัคคี’ ‘พหุวัฒนธรรม’ คือเป็นวาทกรรมใช่ไหม? แต่ความตั้งใจของพวกเราคือ ทุกคนคือเพื่อนบ้าน ทุกคนอยู่ด้วยกัน เช่น เส้นถนนแรกคือถนนอาเนาะรู นี่คือชุมชนชาวจีน หมายความว่ามันมีความสัมพันธ์ของคนในที่เชื่อมโยงกันมาตลอด

หรือถนนตรงนี้ (ปัตตานีภิรมย์) คือกลุ่มพ่อค้าวาณิช ตรงข้ามกันคือกลุ่มชุมชนอาเนาะซูงา กลุ่มมุสลิม หรือถนนฤาดี คือชุมชนใหม่ที่ถูกสร้าง มีโรงภาพยนตร์ มีกลุ่มซ่อมรถที่เข้ามาในช่วงสงครามโลก มันมีมิติอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่หลายเลเยอร์มากๆ ในพื้นที่

ราชิต: เราอยู่ในยุคที่ไม่รู้ว่าใครพยายามแยกเราออกจากกัน พอเราคุยกับผู้ใหญ่ เขาบอกเลยว่าสมัยก่อนมันไม่เป็นแบบนี้ คนมุสลิม จีน พุทธ เขาอยู่ด้วยกัน โอเคเขามีความแตกต่างในแง่อะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ มันมี แต่เขาเข้าใจกัน แต่เดี๋ยวนี้มันแยกกันเลย คนจีนเราไม่ยุ่ง มีความเกลียดชังซ่อนอยู่ เอาจริงๆ ก็ด้วยการเข้ามาของคำว่า ‘สันติภาพ’ แต่ก่อนมันไม่มีคำพวกนี้ เช่น บ้านขาวบนถนนอาเนาะรู มันคือสโมสรที่เวลามีงาน คนมุสลิมก็จะมาช่วยทำกับข้าว เขาอยู่ด้วยกันปกติ 

พูดได้ไหมว่างาน ‘เดินย่านอา-รมย์-ดี’ เป็นจุดตั้งต้นให้เห็นจิ๊กซอว์เหล่านี้?

เลิฟ: ใช่ ครั้งที่แล้วเห็นจิ๊กซอว์หลายส่วนจากบ้านแต่ละหลัง บางส่วนมาจากการสัมภาษณ์ที่ลงไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่ของที่นี่ ทำให้เราทำการบ้านต่อได้ว่านอกจากรหัสแรกจะต่อไปยังรหัสที่สองจากเรื่องอะไรได้บ้าง

คนในพื้นที่เข้าใจเรื่องเล่าจากอาคารบ้านเรือนแบบนี้มากน้อยแค่ไหน

อานัส: เอาจริงๆ มันก็คือปัญหาหลักของโครงสร้างรัฐที่วางไว้ การศึกษาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความเป็นท้องถิ่น ความเป็นมาตุภูมิ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่คนควรรู้ แต่เรากลับเรียนหนังสือที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ผมคิดว่าถ้าไม่มีกิจกรรมลักษณะนี้ คนรุ่นใหม่ก็ไม่รู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้น

มีใครรู้ไหมว่าอดีตประธานาธิบดีเกาหลี เคยมาคุมไซต์งานบนถนนเส้นปัตตานี-นราธิวาส และเปิดออฟฟิศที่นี่ พอกลับไปบ้านก็ไปลงสมัครผู้ว่าราชการและลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่มีใครรู้ว่านี่คือบริษัทของเขา มันมีประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแบบนี้อยู่ ยังมีคนเล่าได้ มีคนเชื่อมต่อได้

หรืออย่างย่านนี้ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจ เราจะเห็นการเข้ามาของคหบดีจีนในพื้นที่ มีการส่งตัวแทนจากส่วนกลางมาเก็บภาษีในพื้นที่ มันเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวในพื้นที่ที่สำคัญ แต่คนในพื้นที่ไม่รู้ โรงเรียนไม่ได้สอน ทำให้เราต้องมาหาจิ๊กซอว์กันเอง ในเชิงวิพากษ์นะครับ… เราเองก็เข้าถึงงานวิชาการที่เก็บเรื่องราวในพื้นที่ยากมาก ทำงานนี้ยิ่งรู้เลยว่ามันมีน้อย (เน้นเสียง) แต่การทำกิจกรรมแบบนี้มันไปกระตุ้นความอยากรู้ของคนข้างใน มันเป็นประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเขาจริงๆ มันทำให้เขาออกมา เปิดบ้าน คุยเรื่องตระกูลของเขา บรรพบุรุษเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ร้อยประวัติศาสตร์ในพื้นที่อยู่ ซึ่งมันน้อยมากฮะ เด็กไม่รู้หรอก

ความตั้งใจของคนทำงาน ส่วนหนึ่งมาจากแรงขับที่เติบโตมาท่ามกลางความขัดแย้งรึเปล่า

เลิฟ: สำหรับเราแบ่งเป็นสองส่วน คนที่อยู่ในพื้นที่มาแต่เกิด กับ ภาพจำของคนนอก โดยเฉพาะหลังปี 2547 เหตุการณ์มันรุนแรงไปมาก ถ้าเสิร์ชกูเกิลจะไม่มีภาพอื่นเลยนอกจากภาพระเบิดอย่างเดียว ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นภาพอีกแบบที่ไม่เหมือนภาพของเรา ภาพจำหรือความเข้าใจของเขาต่างจากเรามาก

แต่การได้ออกไปเรียนรู้แล้วกลับมาบ้านอีกครั้ง ทำให้เราเห็นศักยภาพในพื้นที่และคิดว่าเราดึงบางอย่างกลับมาได้ การรวมกลุ่มกันก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่ทำให้คนเห็นมิติใหม่ๆ เป็นสิ่งเร้าอย่างหนึ่งแหละ เราต้องการสร้างคำตอบใหม่ๆ ให้กับมายาคติที่คนเข้าใจกัน

อานัส: เหตุการณ์มันเป็นสิ่งเร้าอันหนึ่งที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ผุดออกมาแต่ละคนๆ เรามองว่าผลพวงจากเหตุการณ์ทำให้คนตื่นตัวในเรื่องที่ไม่ดี แต่ก็ทำให้มีคนที่รู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องออกมาพูด ต้องแสดงความเป็นตัวตนหรือพรีเซนต์บางอย่างออกไป

แว่นของคนอื่นอาจเป็นแว่นของความรุนแรง แต่งานเรามีบลูแจ๊ส มีดีเจมาเปิดแผ่น แต่มันดูคอนทราสต์กับความเข้าใจของคนนอก แต่ที่จริงคนข้างในมีสุนทรียะตลอด ไม่ได้อยู่กับความกังวล

เอาจริงๆ นะ ช่วงที่เราอยู่กรุงเทพฯ เรากลัวมากกว่าตอนกลับมาอยู่บ้านจริง หรือตอนกลับบ้านช่วงปีสองปีก็ยังกลัวๆ นะ แต่สักพักคนมันปรับแล้ว คนเริ่มเข้าใจ แล้วเหตุการณ์ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น

ราชิต: เราตั้งคำถามนะ เวลาเราอยู่กรุงเทพฯ เรากลับกลัวมากว่าเดินเข้าไปในซอยนี่จะเจอใครมาดักปล้นไหมนะ แต่ที่นี่ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้น ถ้าเทียบสถิติการเสียชีวิต อาจจะน้อยกว่าที่อื่นด้วยซ้ำ แต่ภาพความรุนแรงมันขายได้

คุณพูดถึงความมีสุนทรียะในพื้นที่หลายครั้ง อยากให้อธิบายภาพตรงนี้เพิ่มเติม

อานัส: ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามองภาพความเป็นไทย เราจะรู้สึกว่าภายใต้คำนี้มันจะมีตัวตน มีองค์ความรู้ มีต้นทุนทางวัฒนธรรมอยู่ ซึ่งต้นทุนทางวัฒนธรรมแบบนี้มันบ่งบอกถึงอารมณ์และนิสัยคนในพื้นที่ได้ ของเราก็เหมือนกัน เรามีวายังกูเละ (หนังตะลุง) หรืองานผ้า มันล้วนต้องใช้ความสุนทรียะเพื่อสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ เราพยายามจะบอกว่าคนที่นี่ไม่ใช่คนที่แข็งกระด้าง อย่างปฏิเสธไม่ได้นะ มันมีกระแสอิสลามโมโฟเบีย หรือความหวาดกลัวต่ออิสลาม เราจะบอกว่ามันไม่ใช่ พื้นที่มีความสุนทรียะสูงมาก คนที่นี่นั่งฟังเสียงนก ชอบแต่งตัว หลงใหลในความสวยงามทุกมิติ นี่ล้วนเป็นความสุนทรียะทั้งหมดเลย

พื้นที่ปาตานี… ผมขอใช้คำนี้ในนิยามความเป็นสามจังหวัดนะ ปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่นี้ได้รับอิทธิพลจากบริติช-มาลายาตอนที่อังกฤษเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ อิทธิพลเหล่านี้ผ่านเข้ามาผ่านดนตรี วรรณกรรม ถ้าดูบ้านในช่วงเวลา 50-100 ปีจะเห็นความเป็นบริติชหมดเลย แม้แต่การแต่งกายก็ได้อิทธิพลจากบริติชเยอะมาก คุณลองไปดูการแต่งกายคนแก่ เขาจะใส่สูทกับผ้าโสร่ง หรืออย่างคนรุ่นปู่ผมเขาจะเล่นดนตรีเพื่อให้คนมาฟังแล้วก็สอนศาสนา ผมชอบมองว่าคนที่นี่มีความสุนทรียะ

ความตั้งใจของคนทำงาน ภาพที่อยากเห็นหลังงานนี้

ราชิต: คนภายในและนอกตื่นตัวกับกิจกรรมแบบนี้ เรากำลังจะบอกว่าการออกแบบคือของใกล้ตัวของทุกคน อย่าไปคิดว่างานดีไซน์เข้าถึงยาก อะไรที่ง่ายที่สุดคือการออกแบบ งานออกแบบคือการแก้ปัญหา ชาวบ้านรู้ ชุมชนรู้ มันจะพัฒนาคาแรคเตอร์ของย่านให้ชัดขึ้น ย้ำตลอดว่าเราไม่อยากให้ทุกที่ทำซ้ำหรือทำตามนโยบายอะไรที่โยนลงมา เราอยากให้ทุกคนมีไอเดียและทำด้วยทุนของตัวเอง

เลิฟ: เรามองว่านี่คือ pre-designed week คือการเตรียมตัวคนในพื้นที่ว่าเราเข้าใจพื้นที่แบบไหน เตรียมเปิดใจให้ทุกคนเข้าใจเรา และทำให้ฝั่งข้างนอกเห็นว่ามันมีจุดดีหรือมีข้อมูลในพื้นที่ยังไงบ้าง การมาเจอกัน ทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น

อานัส: ในฐานะที่ผมรับผิดชอบเรื่องดนตรีนะฮะ …มีน้องคนหนึ่งจากวง Stu do vol. เขาทำซาวด์ดนตรีจากกลองพื้นบ้าน ขลุ่ย มามิกซ์เป็นดีเจมิกซ์ เขาเคยคุยกับผมว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ เขาถอดความเป็นพื้นที่ลำบากมากเพราะมันไกลกันเป็นพันกิโลเมตร แต่เขาพยายามจินตนาการเสียงฝนตกในป่าฮาลา-บาลาว่าเป็นยังไงเพื่อเลียนเสียงเข้าไปในซาวด์ พยายามใส่เสียงยามเช้าในบ้านเขาของวันลงไปในซาวด์

ความคาดหวังของผมคืออะไรแบบนี้ ให้คนที่ถูกซ่อนไว้ในแต่ละพื้นที่ได้เอาสิ่งที่ซ่อนอยู่ได้ผุดออกมา 

Tags:

กริยา บิลยะลาราชิต ระเด่นอาหมัดอานัส พงค์ประเสริฐดนตรีศิลปะอีเวนต์สามจังหวัดภาคใต้public space

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Space
    มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: ต่อจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ เดินเล่นส่องย่าน ‘PATTANI DECODED’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีกิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Space
    มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel