Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: June 2018

เรียนอย่างไรให้ ‘ความรู้ท่วมหัว ยังเอาตัวรอด’
Learning Theory
11 June 2018

เรียนอย่างไรให้ ‘ความรู้ท่วมหัว ยังเอาตัวรอด’

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ไม่ได้ดูหมิ่นคนที่เรียนเก่ง เปล่าดูเบาคนที่เอาตัวไม่รอด แต่ชวนคุยว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ทั้งเด็ก ทั้งที่สนใจวิชาการ และผู้ที่ชอบทำกิจกรรมหรือสนใจพัฒนาทักษะชีวิตด้านอื่น ต่างได้พัฒนาศักยภาพ เอาตัวเองให้รอดจาก ‘ขอบ’ ข้อจำกัดของตัวเอง
  • การเอาตัวรอดจาก ‘ขอบ’ ข้อจำกัดตัวเอง พวกเขาต้องไม่เดียวดาย แต่มาจากการผลักดันอย่าง ‘เข้าใจ’ ของพ่อแม่ ครู โค้ช หรือใครสักคนที่เชื่อมั่นในตัวตนของพวกเขา
  • Active Citizen โครงการที่สนับสนุน สร้างการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยคีย์เวิร์ด Learning by Doing และ Learning Journey
ภาพ: พันธิชัย สร้อยสุวรรณ

ขณะที่โลกแห่งการเรียนเพื่อการสอบแข่งขัน สร้างความกดดันให้กับนักเรียน ครู และผู้ปกครองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความฝันที่จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหรือในคณะเด่นดังนั้นลดลงไปแม้แต่น้อย

ข้ามไปยังโลกแห่งความจริงอีกด้านหนึ่ง ผู้คนต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคม การใช้ชีวิตด้วยความรู้อย่างเดียวไม่เพียงพออีกแล้ว ทักษะการทำงานและการค้นพบตัวเอง กลายเป็นอีก 2 สิ่ง ที่จะช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่รอดในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ได้

พูดง่ายๆ เรากำลังอยู่ในโลกที่หมุนเร็วไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน และเราต้องวิ่งตามจนเหนื่อย เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้เข้าตัว ขนใส่ให้ท่วมหัว…

และก็ยังต้องเอาตัวรอดให้ได้!

The Potential ชวนมาฟังฮาวทู ‘ฉบับความรู้ท่วมหัวแล้วยังเอาตัวรอด’ ที่ประกอบด้วยการเรียนรู้ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผ่านการพิสูจน์และทดลองจริงมาแล้วของ โจ้ – กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

โจ้สะท้อนบทเรียนผ่านประสบการณ์ทำงานกับเยาวชนมากว่า 15 ปี ว่า การเรียนรู้ในห้องเรียน สร้างทักษะและความรู้พื้นฐานซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนการเรียนรู้นอกห้องเรียน สร้างทักษะการทำงาน การจัดการตนเอง และที่สำคัญคือ ช่วยให้วัยรุ่นได้รู้จักตัวเอง ค้นพบตัวเอง ทั้งศักยภาพและความสนใจ ได้งัดศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ หากมีโอกาสออกไปเรียนรู้ในพื้นที่ทั้งสองแบบ เขาจะนำความรู้จากตำรามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงได้ ผ่านการลงมือปฏิบัติ แต่การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการลงมือปฏิบัตินี้ (Learning by Doing) ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จากการลงมือทำเพียงครั้งเดียว แต่ต้องเกิดขึ้นจากการ ‘ทำซ้ำๆ’ ในระยะเวลาที่ ‘นานพอ’ และ ‘ต่อเนื่อง’

แล้วต้องทำนานแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพอ?

“ไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือถ้าจะให้เห็นเป็นรูปธรรมเลย ต้อง 3 ปีขึ้นไป” ประสบการณ์ให้คำตอบกับโจ้

หัวใจสำคัญ คือ เปิดโอกาสให้เยาวชนหรือวัยรุ่นได้ก้าวออกมาจากห้องเรียน มาเรียนรู้จากสถานการณ์จริงในสังคม มีประสบการณ์ตรง ตรงนี้คือจุดที่ทำให้เขาได้งัดศักยภาพของตัวเองออกมาใช้สูงสุด ซึ่งอาจทำได้หลายแบบ วิธีการที่ตัวเองทำอยู่คือให้ฝึกคิดและทำโครงการเพื่อช่วยแก้ไขหรือพัฒนาชุมชนท้องถิ่นร่วมกันเป็นทีม ซึ่งระหว่างทางมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ รวมถึงปัญหาที่ต้องแก้สารพัด โครงการจึงเป็นเครื่องมือที่จะทำให้วัยรุ่นได้ทำความเข้าใจสถานการณ์สังคม วางแผนจัดการงาน วางแผนชีวิต ทำงานกับผู้คนหลากหลายแบบหลายวัย ทั้งเพื่อนและผู้ใหญ่ในชุมชน ทั้งหมดนี้ต้องใช้ทักษะและความสามารถหลายอย่าง

ก้าวย่ำ ทำความรู้จักตัวเอง

ในระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี เด็กๆ จะเริ่มที่การทำความรู้จักกับชุมชนที่ตัวเองอาศัย 2 ส่วน คือ ภูมิสังคม ได้แก่ ประวัติศาสตร์ ทรัพยากร วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และบุคคล ซึ่งมีทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ อาศัยอยู่ร่วมกัน อันนี้เหมือนเป็น Check point แรก เป็นขั้นตอนที่ทำให้รู้จักว่ารากเหง้าตัวเองเป็นใคร และชุมชนตนเองเป็นอย่างไร

คนรุ่นเก่ามีวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงอยู่กับฐานทรัพยากร วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาต่างๆ ในชุมชน โครงการทำให้เด็กเข้าไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้น ได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่รู้จัก เข้าใจผู้อื่นและสิ่งรอบตัวโดยไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง

ทำให้คนรุ่นเก่าและใหม่กลับเข้ามาเห็นรากเหง้าของตัวเอง แล้วตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าบ้านตัวเองมีของดีอะไร คนเราเมื่อมีจุดยืนและรู้ว่ารากของตัวเองคืออะไร เมื่อนั้นเราจะหนักแน่นกับชีวิตมากขึ้น 

งัดศักยภาพออกมา จากการเรียนรู้นอกห้อง

จากนั้นมาสู่ขั้นลงมือทำ เด็กๆ จะได้ฝึกเลือกสถานการณ์ในชุมชนที่ศึกษามาพัฒนาเป็นโครงการ ตามความสนใจของตัวเอง กำหนดเป้าหมาย กิจกรรมที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย วางแผนการทำงาน และมาถึงขั้นลงมือทำร่วมกับเพื่อนและความร่วมมือจากผู้ใหญ่ในชุมชน จนมาจบที่การสื่อสารความรู้และการทำงานต่อชุมชนเพื่อให้คนในชุมชนมาเรียนรู้และพัฒนาชุมชนร่วมกัน

นี่เป็นเส้นทางการเรียนรู้ (Learning Journey) ที่ทำให้วัยรุ่นได้งัดศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ บางคนเจออุปสรรค ท้อแท้กับการทำโครงการ เช่น ทะเลาะกับเพื่อนในทีม พ่อแม่ไม่เห็นด้วย หรือกังวลที่ต้องทั้งเรียนและทำกิจกรรม ขั้นตอนนี้เด็กจะรู้จักจัดการกับอารมณ์ตนเอง ไม่ถอดใจทิ้งโครงการไปกลางคัน แต่กลับพยายามหาหนทางเพื่อเดินหน้าทำโครงการต่อด้วยความรับผิดชอบ บางคนไม่กล้าแสดงความคิด เพราะกลัวผิด ไม่มั่นใจ ในขณะที่บางคนเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยเหรอ เช่น เป็นผู้นำได้  พูดต่อหน้าคนจำนวนมากได้ ซึ่งมันต้องก้าวข้ามความกลัวและความไม่มั่นใจอย่างมาก

โครงการที่น้องๆ ทำ เป็นเหมือนการสร้างพื้นที่ให้ตัวเองได้ลงสนามไปเรียนรู้ ซึ่งโครงการแทบทั้งหมดมีที่มาจากปัญหาภายในชุมชน ก่อนลงมือทำโครงการเด็กจะมีความกลัวและไม่มั่นใจเพราะไม่เคยทำมาก่อน ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน หรือเพราะมีตัวอย่างให้เห็นว่าปัญหาบางอย่างขนาดผู้ใหญ่เองยังแก้ไม่ได้ ความมั่นใจของเด็กจึงอาจสูญเสียหรือหล่นหายไปกับอุปสรรคระหว่างทาง โดยเฉพาะเมื่อถูกดูถูกหรือไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ ความไม่เข้าใจกันภายในกลุ่มเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน หรือปมบางอย่างในชีวิต สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กท้อแท้จนคิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางทำให้สำเร็จได้

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางอุปสรรคที่เผชิญหน้าอยู่ เหมือนเด็กเขากำลังยืนอยู่ตรงขอบเหว ตรงจุดนี้แหละที่เขาจะหยิบวิธีคิดบางอย่างขึ้นมาท้าทายตัวเอง แล้วดึงศักยภาพในตัวเองออกมา

ซึ่งเป็นได้ทั้งทักษะความรู้ ความชำนาญเชี่ยวชาญเฉพาะตัว หรือแม้แต่ความอดทนและความพยายาม หลายคนรู้จักตัวเองมากขึ้นในช่วงเวลานี้ บางคนถึงขนาดค้นพบความสามารถใหม่ๆ ในตัวเอง เช่น การตัดต่อสารคดี การออกแบบ การวางแผน บริหารจัดการ บางคนมีแรงฮึดอยากทำให้ได้เพราะไม่อยากให้ใครมาตำหนิ เป็นภาวะของการก้าวข้ามความสั่นไหวที่ต้องอาศัยความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเองว่าจะสามารถประคับประคองตัวเองให้ข้ามพ้นไปได้

เพราะอะไรจึงออกแบบการเรียนรู้แบบนี้

มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อต้องการหาตัวตน ช่วงวัยรุ่นก็เป็นอีกช่วงวัยหนึ่งที่ต้องการหาตัวตนว่าเขาเป็นใคร จะอยู่บนโลกนี้ด้วยตัวตนไหน เช่น เป็นนักสร้างสรรค์ นักอ่าน นักกวี นักสิ่งแวดล้อม นักดนตรี ฯลฯ ซึ่งสภาพแวดล้อมมันก็จะหล่อหลอมจนกลายเป็นตัวเขาที่ชัดเจนขึ้นมา

ยกตัวอย่างเช่น ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมทำละครเวที ทำงานศิลปะ ผมทำการแสดงที่ต้องไปยืนอยู่บนเวทีต่อหน้าผู้คน สร้างวงกลมแห่งสมาธิล้อมรอบตัวเรา สร้างความเชื่อในการเป็นตัวละครที่เกิดจากการทำการบ้าน ทำความเข้าใจตัวละครตัวนั้น จนแสดงออกมาสู่ผู้ชม ความชอบตรงนี้มันเลยทำให้ผมชัดเจนว่าวันหนึ่งเราจะเป็นนักละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง แล้วเราก็ฝึกฝนความถนัด ความชอบของเราเป็นสิบปี ผ่านการทำละครในมหาวิทยาลัยและทำกับกลุ่มละครมะขามป้อม ได้ใช้ทักษะและความสามารถที่เรามีแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายต่างๆ และนั่นคือความสุขของเรา

นี่เป็นเรื่องราวการสร้างตัวตนของเราในวัยนั้นที่หล่อหลอมเป็นตัวเราทุกวันนี้ ธรรมชาติของวัยรุ่นคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ช่วงวัยนี้ต้องการแสวงหาตัวตน และสร้างสตอรี่ที่มาจากประสบการณ์ หรือ Learning Journey ของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไปเลย

ถ้าสภาพแวดล้อมเอื้อให้เขาได้ค้นหาศักยภาพของตัวเอง มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ที่ได้ทดลอง ได้ลงมือทำ ได้ใคร่ครวญ ได้ฝึกฝนเพื่อที่จะเป็นนักต่างๆ ตามความชอบของตัวเองอย่างอิสระ มันจะเอื้อให้เกิดการปลดปล่อยศักยภาพของเขาออกมา

ถ้าลองสรุป คิดว่าประสบการณ์ที่หล่อหลอมตัวตนของแต่ละคน ผ่านเส้นทางการเรียนรู้ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญเชื่อมโยงกัน คือ

  • หนึ่ง แรงขับ (Drive) ให้ลงมือทำ
  • สอง เมื่อทำแล้วจึงเกิดทักษะ (Skills)
  • สาม จุดยืนหรือท่าทีของตัวเองที่มีต่อชุมชนและสังคม (Position)

ท้ายที่สุด ทั้ง 3 ส่วนนี้จะหลอมรวมกันเป็นตัวตนของแต่ละคน สำหรับวัยรุ่นหรือเยาวชน หากการเรียนรู้เข้ามาในจังหวะที่เหมาะสม จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้พวกเขามองเห็นศักยภาพในตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ปัญหาคือพื้นที่แห่งโอกาสหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เขาได้หล่อหลอมความเป็นตัวตนในช่วงวัยนี้ได้หายไป เราจึงคิดว่าทำอย่างไรที่พื้นที่แห่งโอกาสตรงนี้มันได้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทั้งหมดจึงเป็นที่มาที่ออกแบบการเรียนรู้ในทำนองนี้

ผู้ใหญ่รอบตัว สภาพแวดล้อมที่สำคัญ

ที่เล่ามาจะเห็นว่าหลายจังหวะที่เด็กๆ ถูกผลักไปอยู่ที่ขอบ คือการเผชิญหน้ากับปัญหา ซึ่งเขามีสองทางเลือก คือ ยอมแพ้ หรือก้าวข้ามสถานการณ์นั้นไปให้ได้ เด็กบางคนก้าวข้ามมันได้ด้วยตัวเอง แต่บางคนข้ามมาได้ด้วยการประคับประคองจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นครู พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ในชุมชน

เวลาที่ออกมาเรียนรู้นอกห้องเรียน น้องๆ ต้องเจอสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้มากมาย ไม่เหมือนในห้องเรียน ดังนั้น ‘ผู้ใหญ่’ จึงเป็นสภาพแวดล้อมที่สำคัญ

ผู้ใหญ่ หรือโค้ช ไม่ได้เข้ามาบอกว่าน้องๆ จะต้องทำอะไร แต่เป็นคนมาชวนคิดและสะท้อนให้น้องๆ เห็นจุดอ่อนและจุดแข็งในตัวเอง เป็นคนทำให้กระบวนการเรียนรู้มีความเข้มข้น พอทำงานโครงการไปเรื่อยๆ เด็กจะรู้จักตัวเองมากขึ้น อาจจะค้นพบความสามารถของตัวเองระหว่างทาง เช่น รู้ว่าตัวเองถนัดหรือไม่ถนัดอะไร แล้วควรวางตัวเองอยู่ในจุดไหนในการทำงานแต่ละครั้ง

จากประสบการณ์ที่ทำโครงการมาพบว่า ‘ผู้ใหญ่’  ซึ่งเป็นพี่เลี้ยง ที่คอยจ้องมองภาวะ ‘ติดขอบ’ ของวัยรุ่น สามารถทำให้ไปไกลกว่าการโค้ชเพื่อให้เขาก้าวข้ามอุปสรรคในการจัดการงาน แต่สามารถโค้ชหรือช่วยให้เขาชัดในตัวตนที่เขาค้นหาอยู่ได้ด้วยเช่นกัน หากหมั่นสังเกต รับฟัง ตั้งคำถาม และเสริมพลัง สร้างกำลังใจให้เขา

เห็นได้ชัดว่า ประสบการณ์และทักษะที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ในสถานการณ์จริง จะฝังชิปอยู่ในตัวของแต่ละคน เกิดการหล่อหลอมความเชื่อและอุดมการณ์ ซึ่งเหล่านี้เป็นสัมภาระสำคัญที่วัยรุ่นจะพกติดตัวไปเพื่อทำให้เขาพิชิตเป้าหมายที่เขาอยากเป็น และอยากทำได้ในอนาคต

การรู้จักตัวเองดีพอ ทำให้ผมเลือกอยู่ในจุดที่ยืนอยู่ตอนนี้ เลือกทำงานแบบที่ทำอยู่ เพราะตัวตนเราเป็นแบบนี้ ทั้งพฤติกรรม นิสัย และวิธีคิด เป็นคุณค่าแท้ที่เราหาเจอจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ในชีวิต เช่นเดียวกันหากน้องๆ ค้นพบศักยภาพตัวเอง แล้วเขารู้ว่าจุดยืนของเขามันมีความหมายยังไงกับชุมชนที่เขาอยู่จะทำให้เขาใช้ศักยภาพที่มีทำประโยชน์ให้ชุมชน สังคมได้

Tags:

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตรactive citizenproject based learningเทคนิคการสอน21st Century skills

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    “ครูในชุมชน” อีกขุมกำลังและระบบนิเวศในการดูแลลูกหลาน กับทักษะ 5 ด้านที่ควรมี: ฉบับฮาวทู

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    พัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ด้วยศิลปะ: ไม่ตั้งหลักที่หัว แต่คืนเวลาให้ออกไปรับประสบการณ์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • EF (executive function)
    ACTIVE CITIZEN: สร้าง EF เปลี่ยนสมองวัยรุ่นด้วยการเรียนรู้นอกห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่
Creative learning
5 June 2018

มัคคุเทศก์น้อยตามรอยฟอสซิล: ห้องนี้นักเรียนเป็นใหญ่

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • บางครั้งการทำงานร่วมกันของนักเรียนก็ก่อให้เกิดปัญหา จึงเป็นหน้าที่ของคุณครูที่ต้องช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นปัญหาไปให้ได้
  • ครูต้องมีความอดทน รอให้เด็กพูดหรือนำเสนอออกมาเอง เพื่อการกระตุ้นให้เด็กคิด
  • สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้ที่นักเรียนได้รับ เมื่อผู้เรียนศึกษาหาข้อมูลตามความสนใจของตนเอง เขาจะสามารถจดจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ
  • ทั้งหมดนี้มีอยู่ในหลักสูตรมัคคุเทศก์น้อย ตอน ตามรอยฟอสซิล
ภาพ: ณขวัญ ศรีอรุโณทัย

“สำหรับผมแล้วเรียนนอกห้องสนุกมากครับ เพราะอยู่ในห้องเรียนมากเกินไปทำให้รู้สึกเบื่อ” ปัญ – ปัญญพัฒน์ อังสุภานิช ศิษย์เก่าโรงเรียนอนุบาลสตูลบอกเรา…ตอนนั้นครูไม่อยู่ด้วย

การเรียนนอกห้องของปัญคือ ‘โครงงานศึกษาการตามรอยฟอสซิลในอำเภอเมืองสตูล เพื่อร่วมกับชุมชนพัฒนาเป็นแหล่งการเรียนรู้ในจังหวัดสตูล’

ตอนนั้นพี่ ม.1 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย อย่างปัญ เพิ่งเรียนอยู่ชั้น ป.4 แต่ก็ริเริ่มทำโครงงานนี้จนสำเร็จ พบซากฟอสซิลมากมายในพื้นที่อำเภอเมือง เช่น ฟอสซิลหอยสองฝา ไครนอยด์ (พลับพลึงทะเล)

โครงงานวิจัยของนักเรียนเกิดขึ้นจากการร่วมมือของโรงเรียนอนุบาลสตูลกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สร้างหลักสูตรการเรียนรู้นอกห้องเรียนผ่านการทำโครงงานในวิชาบูรณาการ โดยใช้กระบวนการทำวิจัย 10 ขั้นตอนและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงป็นแนวทาง

ใน 1 ปีโรงเรียนอนุบาลสตูลจะดูแลกว่า 40 โครงงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม “การออกแบบให้เด็กทำงานกันเป็นกลุ่ม” คือเป้าหมายของวิชานี้ทางโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ ค้นพบศักยภาพตัวเอง บางคนพูดไม่เก่ง แต่บันทึก ทำ mind map ดีมาก ก็ไปแทคทีมกับเพื่อนช่างพูดช่างคุย สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางหากเป็นหัวใจสำคัญ คือ กระบวนการการเป็นผู้นำ การเป็นผู้ตาม การยอมรับบทบาทซึ่งกันและกันของเด็ก

ทุกห้องเรียนจะมี 1 โครงงาน ใช้เวลาทำหนึ่งปีการศึกษา หัวข้อที่ทำจะตกลงกันเองภายในห้องเรียน จากนั้นแต่ละคนจะแบ่งหน้าที่ตามความสามารถของตัวเอง

งานนี้ปัญรับหน้าที่เป็นกองหลังของทีม

“เวลาทำงานกลุ่มเราก็ต้องเข้าใจเพื่อนด้วย แต่ผมชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยคุยกับเพื่อน ผมจึงเป็นฝ่ายสนับสนุนมากกว่า เช่น ช่วยสืบค้นข้อมูล”

ส่วนเพื่อนชื่อ ‘จอมทัพ’ ปัญเล่าว่ารายนี้ชอบจดบันทึก เวลาเขาทำอะไรก็ตามจะต้องละเอียดถี่ถ้วน ทุกขั้นตอนต้องจดบันทึก แล้วเขาจะจำได้ว่าเมื่อวานประชุม หรือคุยกันเรื่องอะไร ถ้ายังติดขัดเรื่องไหน ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้ เขาจะไปหาความรู้เพิ่มเติมที่ห้องสมุดหรืออินเทอร์เน็ต เพื่อนำมาเสนอให้กับครูและเพื่อนๆ ในชั่วโมงเรียนครั้งต่อไป

ปัญกับจอมทัพ

ครูต้องพาออกนอกห้อง

บางครั้งการทำงานร่วมกันของนักเรียนก็ก่อให้เกิดปัญหา จึงเป็นหน้าที่ของคุณครูที่ต้องช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นปัญหาไปให้ได้ เช่น บางคนก็ไม่ทำงาน ครูต้องเข้าไปดูแล เข้าไปถามว่าทำไมถึงไม่ทำ บางเรื่องคุณครูก็ต้องช่วยถามให้ หรือดูแลสลับสับเปลี่ยนหน้าที่ให้เด็กๆ ให้ตรงกับความสามารถมากที่สุด

เป็นหน้าที่ของ ฉวีวรรณ ฮะอุรา ครูที่ปรึกษาโครงงาน อธิบายว่านักเรียนบางคนอาจไม่ชอบเรื่องที่ตัวเองทำ แต่เด็กก็ต้องปรับตัวเพื่อทำงานร่วมกับเพื่อนๆ

“การเรียนโครงงานเด็กต้องสร้างข้อกำหนดหรือข้อตกลงของกลุ่ม ทุกคนต้องช่วยกันทำงานตามความสามารถ ไม่เล่น ใครวาดภาพเก่งก็ให้วาดภาพ ตกแต่งรายงาน ใครลายมือสวย ก็ให้มาเขียนหน้าห้อง ฉะนั้นทุกคนจะมีหน้าที่ตามความถนัดของตัวเอง”

ทุกครั้งก่อนเริ่มเรียนวิชาบูรณาการ คุณครูจะให้เด็กนั่งสมาธิ ตามด้วยร้องเพลง รำวง เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด จากนั้นจึงค่อยทบทวนเนื้อหาโครงงานที่ผ่านมา เสนอเรื่องที่จะเรียนในวันนี้ว่าจะเรียนเรื่องอะไรกัน

“ครูจะไม่ออกคำสั่ง แต่จะตะล่อมๆ ถามนักเรียนไปเรื่อยๆ เช่น นักเรียนเสนอให้ออกท้องที่ ครูก็จะถามว่าไปที่ไหน สำรวจที่ไหน ไปได้ไหม เหมาะกับเราไหม หรือนักเรียนบอกว่าจะไปทะเล ครูต้องถามกลับว่าเหมาะไหม เวลาไปก็ต้องเหมาเรือ ใช้เงินเท่าไหร่ เรามีเงินเท่าไหร่ แล้วนักเรียนก็จะไม่ไป ทำให้เด็กรู้สภาพปัญหา และวางแผนการทำงานกันใหม่”

ฉวีวรรณ ฮะอุรา ครูที่ปรึกษาโครงงาน

อีกบทบาทที่สำคัญของครูคือการดึงศักยภาพเด็กออกมา

“ต้องเริ่มจากได้คลุกคลีกับเด็กนักเรียน ดูความสามารถของเขาว่าเก่งด้านไหน อย่างแรกคือเขาจะแบ่งงานกันทำอยู่แล้วตอนทำงานกลุ่ม ใครเก่งด้านไหนก็จะให้ทำด้านนั้น ใครพูดเก่งก็นำเสนอ บางคนค้นคว้าเก่งก็ค้นคว้า ทุกคนต้องช่วยเหลือกัน ครูต้องมีความอดทน รอให้เด็กพูดหรือนำเสนอออกมาเอง เพื่อการกระตุ้นให้เด็กคิด”

หรือวิธี ‘ให้คำชม’ ก็มีผลดีต่อนักเรียน เพราะทำให้เด็กกล้าแสดงออกและมีความมั่นใจมากขึ้น

“เด็กคนนี้อ่านหนังสือไม่คล่อง พอครูเห็นว่ามันมีบทง่ายๆ ก็ให้มาอ่านรายงาน จะชมเขาว่า เห็นไหมว่าเก่ง เก่งไหม เพื่อนรายงาน รายงานเสร็จก็ปรบมือ เราต้องชมเขา ทำให้เขาภูมิใจ เขาก็จะอยากเรียน”

นักเรียนบางคนไม่เก่งเรื่องวิชาการ ชอบเล่นดนตรี ก็สามารถนำความสามารถพิเศษของตนเองมาประยุกต์ใช้กับโครงงานได้ เช่น เมื่อถึงเวลาต้องนำเสนอผลงาน เด็กๆ ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้การนำเสนอน่าสนใจ

“นักเรียนกลุ่มหนึ่งทำเรื่องการลดปริมาณการใช้โฟม เพื่อลดปริมาณขยะในสิ่งแวดล้อม ให้เพื่อนในกลุ่มเล่นอูคูเลเล่ อีกคนหนึ่งสีไวโอลิน แล้วแต่งเพลงเรื่องลดการใช้โฟม โดยใช้ทำนองเพลงปักษ์ใต้ ปรากฏว่าคุณครู ผู้ปกครองที่มาดูการนำเสนองานติดใจ จนต้องถ่ายวิดีโอเก็บไว้ นี่คือสิ่งที่ครูมองเห็น แล้วดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาเพื่อให้นักเรียนมีความมั่นใจ และกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้ที่นักเรียนได้รับ เมื่อผู้เรียนศึกษาหาข้อมูลตามความสนใจของตนเอง เขาจะสามารถจดจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ ยกตัวอย่าง โครงงานฟอสซิล ซึ่งปัญทำไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่วันนี้ก็ยังสามารถเล่าเรื่องฟอสซิลได้อย่างคล่องแคล่ว

“ผมและเพื่อนๆ มาดูพื้นที่ ดูหิน แล้วก็กระเทาะ เราจะเลือกกระเทาะหินตะกอน มันมีลักษณะเป็นชั้นๆ เราจะกระเทาะตรงบริเวณชั้นของหิน กระเทาะเบาๆ ไม่ต้องแรงมาก พอมันแตกก็แกะออกมาแล้วจะเห็นฟอสซิล” ปัญเล่าให้ฟังอย่างฉะฉานในวันที่อาสาเป็นมัคคุเทศก์น้อยพานักท่องเที่ยวเยี่ยมชมอุทยานธรณีสตูลเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)นักวิจัยResearch Base Learning(RBL)สตูล

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง: วิจัยชุมชนชิ้นโบแดงมหกรรมเยาวชนสตูล

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ The Potential

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

SATURDAY SCHOOL: โรงเรียนที่คืนความสุขให้เด็กทุกๆ วันเสาร์
Creative learning
1 June 2018

SATURDAY SCHOOL: โรงเรียนที่คืนความสุขให้เด็กทุกๆ วันเสาร์

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Saturday School ก่อตั้งด้วยแนวคิดว่าเด็กจะพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อได้เรียนในสิ่งที่สนใจ
  • เริ่มต้นจากการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆ ให้เห็นว่าการเรียนรู้ก็น่าสนใจ มีทางเลือกมากกว่าการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว
  • การจัดการเรียนรู้ในแบบฉบับ Saturday School คือความใส่ใจ ความต่อเนื่อง ภายใต้ตัวแปรสำคัญคือครูที่จะชักชวนเด็กๆ ให้พัฒนาตัวเองจากสิ่งที่เรียน

“ผมเห็นศักยภาพของเด็กหลายคนที่ถูกจำกัดโดยการสอนในห้องเรียน เด็กไม่อาจโตได้เต็มที่ในห้องแคบๆ มืดๆ ดอกไม้ไม่เจอแสงก็ไม่โต สิ่งที่เราทำคือจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเติบโตเด็กเท่าที่ทำได้”

“ตอนโรงเรียนส่งเด็กออกไปแข่งขันจะมีแต่เด็กเสี้ยวเดียวมีส่วนร่วมซึ่งเป็นเด็กที่พัฒนาตัวเองอยู่แล้ว แต่เราละเลยเด็กหลังห้องจำนวนมาก ก็เป็นแนวคิดหนึ่งที่ปกติ มองเด็กเราควรมองเด็กให้ครบ มองแต่เด็กกลุ่มเก่งๆ อย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้การศึกษามีคุณภาพเท่าเทียมกันได้”

“ถ้าเราละเลยเด็กเรียนไม่เก่ง การศึกษาไทยก็จะเป็นตะแกรงร่อนเอาเด็กเก่งมาเรียนเท่านั้น”

นี่คือมุมคิดด้านการศึกษาของครูยีราฟ – สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School หรือ ‘โรงเรียนวันเสาร์’ เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนวิชาที่ตนเองสนใจโดยมีครูอาสาสมัครมาสอนให้ทุกเช้าวันเสาร์ ซึ่งวิชาเหล่านี้บางห้องเรียนไม่มีสอนแน่นอน เช่น ถ่ายภาพ ร้องเพลง มวยไทย ทำอาหาร เต้น ฟิล์ม ออกแบบบอร์ดเกม ออกแบบผลิตภัณฑ์ การพูดในที่สาธารณะ การตัดต่อวิดีโอ การทำธุรกิจ ฯลฯ โดยทำงานภายใต้ความเชื่อที่ว่า “เด็กจะพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อได้เรียนในสิ่งที่สนใจ”

ปัจจุบัน Saturday School จดทะเบียนเป็นมูลนิธิและดำเนินโครงการมาถึงซีซั่นที่ 6 มีจำนวนห้องเรียนที่มากขึ้นพร้อมๆ กับจำนวนนักเรียน ครูอาสาสมัครและทีมงาน จากจุดเริ่มต้นในห้องเรียนเล็กๆ ห้องเดียว

มากกว่าวิชาการคือแรงบันดาลใจ

ก่อนที่จะมาจับงานด้านการศึกษาอย่างจริงจังนั้น ครูยีราฟจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นนักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาก่อน ระหว่างนั้นพบเห็นปัญหาสังคมมากมายทำให้วิศวกรรมบัณฑิตฉุกคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคม

“ถ้าในอนาคตเราไม่ทำอะไร เราจะอยู่ในสังคมแบบไหน จึงคิดว่าเราต้องทำอะไรบางอย่างให้สังคมมันเปลี่ยน”

“อยากจะเข้าใจปัญหาสังคมมากขึ้น อยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้สังคมเปลี่ยนแปลง และคิดว่าการเป็นครูจะช่วยให้เราได้พัฒนาภาวะผู้นำของตัวเอง มากว่านั้นคือได้เปลี่ยนสังคมด้วย”

จากจุดนี้เองครูยีราฟจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Teach for Thailand ที่เป็นโครงการสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงผ่านการสอนเป็นเวลา 2 ปี โดยครูยีราฟได้มีโอกาสไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนขยายโอกาสของกรุงเทพมหานคร และพยายามทำโครงการหลากหลายเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กนอกเหนือจากการสอนวิชาการอย่างเดียว

“ถ้าสอนคณิตแล้วไปวนกับเรื่องอื่น แทนที่เราจะนำเข้าสู่เนื้อหาก็จะกลายเป็นนำไปไหนไม่รู้ เด็กเจอเราสามชั่วโมงต่อสัปดาห์ น้อยมากที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก แต่ในระยะยาวสองปีก็ไม่น้อยหรอก เพียงแต่เรารู้สึกแทรกอะไรยากจากการสอนคณิตอย่างเดียว พบว่าเด็กควรจะได้ inspiration มากกว่าการเรียนเลข คิดว่าชีวิตพวกเขามีอะไรอีกเยอะที่จะต่อสู้และหาเป้าหมาย การที่เราโตมากับเด็กกลุ่มนี้ก็พบว่าเด็กควรจะรู้อะไรได้มากกว่านี้ มีแรงขับในตัวเองมากขึ้น”

ครูยีราฟเล่าว่า ก้าวแรก ไม่ได้เริ่มทำ Saturday School ทีเดียว แต่ทำกิจกรรมเสริมการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจรูปแบบอื่นมาก่อน เช่น ฐานวิทยาศาสตร์ พาเด็กออกไปทัศนศึกษาข้างนอกเพื่อเปิดโลกทัศน์ ให้เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่น่าสนใจนอกห้องเรียนมากมาย เช่น ไปสนามบิน ไปดูห้องบังคับการนักบินจริงๆ

“ทำทุกอย่างให้เด็ก inspire กับการเรียนรู้ เพราะเด็กสนใจเรียนน้อย จะสนใจอย่างอื่นมากกว่า เช่น เพื่อน หรือบางอย่างที่ไม่ค่อยดี แต่การที่เด็กไม่มาสนใจการเรียนมีหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือไม่เห็นสิ่งที่น่าเรียนจริงๆ”

ครูยีราฟ – สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School

สร้างห้องเรียนที่คนเรียนอยากเรียน คนสอนอยากสอน

“เราเชื่อว่าตัวเองเก่งบางอย่าง เด็กอาจไม่ได้สนใจสิ่งที่เราเก่งก็ได้ คนเก่งๆ ที่เป็นเพื่อนเราเยอะที่อยากพัฒนาสังคมด้วยกัน จึงเชิญมาสอน ตอนแรกเป็นสิ่งที่ครูอาสาอยากสอนจัดกิจกรรมเอง แรกๆ เด็กก็เรียนภาษาอังกฤษ หาคนสอนง่าย เด็กๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียนอะไร แต่เขาจะได้เรียนสิ่งที่เรียนในห้องเรียนนั่นแหละ”

ครูยีราฟเล่าจุดเริ่มต้นแรกๆ ของ Saturday School

“เริ่มจากห้องเรียนเดียว คือเด็กๆ ที่ผมสอนอยู่นั่นแหละ แล้วก็จริงจังมากขึ้น เทอมแรกเป็น ม.1 แล้วก็ทำห้องเรียนเพิ่มขึ้น นอกจากเด็กที่สนใจแตกต่างกันแล้ว อาสาสมัครก็เริ่มบอกต่อกันด้วย

ปรากฏว่า ห้องเรียนที่เด็กได้เลือกว่าจะเรียนอะไร เด็กหายไปน้อยกว่าและเข้ามาต่อเนื่องกว่า จึงเปลี่ยนให้เด็กเลือกก่อนเลยแล้วหาอาสาสมัครมาสอนวิชานั้น

การจัดให้มีการเรียนในสิ่งที่เด็กสนใจ และอาสาสมัครที่อยากจะสอน นอกจากจะได้เรียนสิ่งที่สนใจจริงๆ อันจะเป็นการสร้างแรงผลักดันในการเรียนแล้ว การมีครูอาสาหน้าใหม่ๆ ก็เป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กๆ ด้วย

“พอเด็กเรียนกับครูคนอื่นก็ได้ inspiration และได้เจอคนใหม่ๆ บางทีเราไม่ได้สื่อสารให้เด็กเรียนสิ่งที่เตรียมมา แต่อยากให้เด็กเห็นว่ามีครูเป็น Role model ชอบคาแรคเตอร์ครูบางคน มีแรงขับเคลื่อนตัวเองเพิ่มขึ้นนอกจากเนื้อหาที่เรียน เช่น เด็กที่ได้เรียน Model Business แล้วก็อยากจะไปต่อ ได้เปิดมุมมอง ได้คิดว่าถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการแล้วจะไปขายโปรดักท์ที่ไหน เอ๊ะ! มันมีมุมที่ไปได้ นอกจากสิ่งที่เขาเรียนบวกลบคูณหารในห้องเรียน เกิดแรงบันดาลใจ และพบว่ามันมีตัวตนของเขาที่อยากจะทำ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีสิ่งนี้อยู่ด้วย”

ความใส่ใจและความต่อเนื่องคือหัวใจ

ครูยีราฟเล่าถึงการรับครูอาสาสมัครว่าไม่จำเป็นต้องเป็นครู แต่ต้อง ‘ถนัด’ ในวิชาการบางอย่าง โดยโครงการฯ จะช่วยอบรมวิชาครูและสอนเขียนแผนการสอนให้ นอกจากนี้ครูอาสาก็ไม่ต้องกังวลใจว่าจะสอนคนเดียว งานนี้รวมกันเป็นทีม 3-5 คน เพื่อสลับกันสอนและช่วยกันดูแลชั้นเรียนอย่างใกล้ชิด

ในช่วงหลังๆ เริ่มมีทีมวิจัยมืออาชีพคอยเก็บข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก เมื่อสอนเสร็จก็จะมาวิเคราะห์กันว่าทำอะไรได้ดี อยากพัฒนาอะไรต่อ เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด และไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งในชั้นเรียนเลย

“ทุกกระบวนการของเรา ความใส่ใจทั่วถึงคือคีย์หนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ปกติครูสอนห้องเรียนห้องหนึ่งเด็กเยอะ อาจดูแลไม่ทั่วถึง บางห้องเรียนมีอาสาสมัครที่เพียงพอต่อเด็ก ก็จะดูแลทั่วถึง หลังๆ เราเริ่มมีอาสารุ่นก่อนๆ ที่เคยสอน มาช่วยกันพัฒนาให้แข็งแกร่งมากขึ้นในตัวเนื้อหาวิชากับการสอน

“บางวิชาเด็กอาจไม่ได้เลือกแต่แรก แต่มีอาสาที่เลือกแต่แรกว่าเด็กน่าจะชอบ เช่นวิชาสร้างบอร์ดเกม ก็มีส่วนบิวท์จากครูอาสาและสถานที่เหมือนกัน เช่นพิพิธภัณฑ์เด็ก มีวิชาทัวร์ไกด์ พอเด็กเรียนเสร็จก็เป็นไกด์พาทัวร์ในนั้นได้”

นอกจากความใส่ใจแล้ว ความต่อเนื่องก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นเดียวกัน ครูยีราฟเล่าว่าในขั้นตอนการคัดสิ่งที่โครงการให้ความสำคัญคือจะต้องมีเวลามาสอนอย่างต่อเนื่องให้ได้

“ถ้าอาสาเก่งขนาดไหนแต่มาครั้งเดียว เราไม่เอา” เพราะการเรียนอย่างต่อเนื่องจะทำให้เด็กๆ ได้พัฒนาศักยภาพเต็มที่ถัดจากการมีแรงบันดาลใจจากสิ่งที่สนใจ นำไปสู่การเปลี่ยนความคิดว่าการเรียนรู้น่าสนใจกว่าที่เคยเข้าใจ และเมื่อมีประสบการณ์จากการลงมือทำ สิ่งนั้นก็จะติดตัวเขาไปจนโต แต่เด็กจะเข้าใจถึงจุดนี้ได้จะต้องใช้เวลาลงมือทำในระดับหนึ่ง

“การพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่องคือหัวใจ ให้เติบโตในอนาคตด้วยตัวเขาเอง”

ครูก็เป็นตัวแปรสำคัญ

จากการให้ความสำคัญกับการสอนอย่างต่อเนื่องนี้เอง ครูยีราฟก็ขยายความต่อว่า ครูก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเด็กด้วยเช่นกัน เรียกว่าแม้เด็กจะสนใจวิชาเรียน แต่ผู้ที่นำพาเด็กไปก็คือครู

“อยู่ที่การสอนทำให้เด็กสนใจด้วยหรือเปล่า ครูพาเด็กไปถึงจุดที่เด็กสามารถพัฒนาตัวเองได้ไหม เต็มที่ขนาดไหนขึ้นกับครู”

“หลายๆ คลาส ครูอาสาก็พาไปถึงที่สุด ยกตัวอย่าง เด็กคนหนึ่งออกแบบบ้านได้เจ๋งมาก เดิมทีเป็นเด็กที่เรียนอ่อน แต่เขามีความพยายามมาก เราไปคุยกับครูที่สอน จึงได้รู้ว่าเด็กมีดบาด กาวติดนิ้ว กว่าจะตัดจะทำออกมาได้ขนาดนั้นเรียกว่าเขามีความพยายามระดับหนึ่งเลยทีเดียว แล้วเขาต้อง push ตัวเองไปอีก แค่นั้นพอมั้ย แต่ครูอาสาทำได้ดีมาก สร้างแรงบันดาลใจและให้ความสำคัญต่อความทุ่มเทของการทำงาน จนเด็กสัมผัสได้ ทำให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจกับงานจนดึกๆ ดื่นๆ ตีสองตีสามเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ประสบการณ์ของเด็กที่ได้ทำแบบนี้มันจะติดตัวไป พอเจอความยากลำบากจะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น จะผ่านไปได้ ผลงานออกมาดีและประสบความสำเร็จได้”

วันแสดงผลงานพิสูจน์ศักยภาพ

เมื่อ Saturday School จัดการเรียนการสอนไปจนครบ 10 สัปดาห์ ก็จะมีกิจกรรมวันสำคัญของโครงการก็คือวัน ‘Big day’ เป็นวันแสดงผลงานที่เด็กๆ ได้เรียนมา ข้อดีของกิจกรรมก็คือเด็กจะได้แลกเปลี่ยนกัน ใครเรียนอะไรก็โชว์สิ่งนั้น เช่น เด็กการแสดงก็มาแสดง เด็กทำอาหารก็มาทำอาหาร เป็นกีฬาก็มาโชว์กีฬา เรียนฟิล์มก็โชว์หนังสั้น เป็นวันที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากทั้งครูและเด็ก

ครูยีราฟเล่าเพิ่มว่า เมื่อเด็กๆ พบว่ามีคนสนใจสิ่งที่พวกเขาทำ ก็ทำให้อยากเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อ

“อย่างเด็กในชุมชนที่แสดงดนตรี แสดงเสร็จมีเสียงกรี๊ดเยอะมากจากในฮอลล์ เปิดเพจตัวเอง ร้องเพลง เวลาคนในชุมชนมีงาน เขาก็เอาไปแสดง คนในชุมชนก็มองเด็กๆ กลุ่มนี้เปลี่ยนไป”

นอกจากเด็กๆ จะได้แสดงผลงานอย่างภาคภูมิใจแล้ว ครูอาสาก็ทึ่งในศักยภาพของเด็กๆ เช่นกัน

“อย่างเด็กคนหนึ่งที่ไม่กล้าพูด ไม่เห็นค่าในตัวเอง แต่เมื่อเรียนวิชาการแสดง การพูดในที่สาธารณะ สุดท้ายก็เป็นประธานนักเรียนของโรงเรียน พูดโน้มน้าวใจเพื่อนๆ อีกหลายร้อยคน”

ครูยีราฟเล่าเพิ่มเติมว่า ทีมวิจัยได้วิเคราะห์ว่าเด็กๆ จะเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างไรจากการสังเกตชั้นเรียน Saturday School และพบว่ามี 4 ประการสำคัญดังนี้

  • Learning motivation มีพลังในการเรียนรู้ มีแรงขับในตัวเอง
  • Sense of purpose ตั้งเป้าหมาย มองเห็นตัวเองในอนาคต
  • Growth mindset ก้าวข้ามอุปสรรคเพื่อเรียนรู้
  • Grit ความอดทนพยายามเพื่อไปถึงจุดมุ่งหมาย

เด็กที่เรียนวันเสาร์ เมื่อเรียนในห้องวันธรรมดาก็จะเห็นแววตาที่เปลี่ยนไป ผมให้เด็กเขียนว่าอยากทำอะไรในอนาคต ทำยังไงให้ไปถึงเป้า เด็กที่เรียนวันเสาร์ ชัดเจนว่าเขียนออกมาได้เรื่อยๆ 1-2 หน้าเป็นเรื่องปกติ เด็กที่ไม่เรียนจะมีแค่สองสามบรรทัด นึกไม่ออกว่าตัวเองจะไปถึงไหน และไม่กล้าที่จะนึกด้วย

“มากกว่าความรู้ที่เด็กได้ จริงๆ เราไม่ได้ประเมินความรู้เท่าไหร่ ก็จะเห็นในวันบิ๊กเดย์ที่โชว์ผลงานได้ดี แต่อยากเห็นกระบวนการมากกว่า อย่างเด็กเรียนวิชาเต้น สอนเก้าถึงเที่ยง เขาก็อยากซ้อมต่อถึงช่วงบ่ายจนโรงเรียนมาไล่ ความพยายามพวกนี้แหละคือสิ่งที่เราต้องการ” ครูยีราฟเล่ายิ้มๆ

โครงการ Saturday School ของครูยีราฟ คือตัวอย่างของการเรียนรู้ที่คุกรุ่นไปด้วยแรงบันดาลใจ ความสนใจอยากจะลงมือทำ ประกอบกับการจัดการเรียนการสอนที่ใส่ใจและให้ความสำคัญต่อเด็กๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือลมใต้ปีกที่ดันให้เด็กบินได้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากความสามารถและศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด

อย่าว่าแต่ทะยานไปสุดขอบฟ้าเลย สุดขอบจักรวาลก็ไปได้!

ก้าวต่อไปของ Saturday School

นอกจากซีซั่นปกติของโครงการ Saturday School แล้ว ครูยีราฟเล่าเพิ่มเติมว่ามีแผนจะทำงานพัฒนาการศึกษาไทยต่ออีกมากมาย เช่น
เว็บไซต์ http://www.inskru.com รวบรวมแผนการสอนของคุณครูทั่วประเทศเป็นสื่อต่างๆ เช่น คลิปวิดีโอ หรือมีไอเดียต่างๆ ในการสอนก็มาร่วมแชร์กัน ครูท่านไหนสนใจอยากหาวิธีการสอนใหม่ๆ ก็เข้าไปอ่านและแชร์ได้

Lab การศึกษา จะเทสต์บางอย่างที่เกี่ยวกับการศึกษาในชั้นเรียน เช่น ทำ flip classroom เอาการบ้านมาทำในคาบ แต่ให้ไปหาข้อมูลนอกห้อง เช่นให้ดูหนังหรืออ่านหนังสือมาแล้วมาช่วยกันอภิปรายในชั้นแทนเพื่อลดเวลาในการเรียนและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเทสต์ทักษะตั้งคำถามให้เด็กถามคำถามทั้งวัน ฯลฯ

การต่อยอดผลงานเด็กๆ จาก Saturday School จะพยายามดูว่าแต่ละคลาสไปทำอะไรต่อได้บ้าง เด็กร้องเพลงเพราะ ให้ไปฝึกงานกับบริษัทอื่นได้ไหม เด็กอยากแสดงไปแสดงในโรงละครมืออาชีพได้ไหม ฯลฯ

หากใครสนใจร่วมเป็นครูอาสา หรือร่วมระดมทุน คลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ https://saturday-school.com/ ได้เลย!

Tags:

ระบบการศึกษานวัตกรรมTeach for Thailandสรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

เนิร์สเซอรีสวีเดน เด็กผู้ชายเรียนเต้น เด็กผู้หญิงเรียนว้าก
Education trend
1 June 2018

เนิร์สเซอรีสวีเดน เด็กผู้ชายเรียนเต้น เด็กผู้หญิงเรียนว้าก

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • การสอนให้เด็กผู้ชายเรียนเต้น ฝึกเด็กผู้หญิงให้ตะโกน คือส่วนหนึ่งของห้องเรียนไร้เพศ
  • ดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา แต่การสอนแบบไม่ระบุเพศกำลังทำอย่างจริงจังในสวีเดน โดยเริ่มต้นที่ห้องเรียนเด็กเล็ก
  • ไม่ระบุเพศ ดีหรือไม่ดีอย่างไร งานวิจัยส่วนหนึ่งชี้ว่า การสอนแบบนี้ทำให้การตัดสินของเด็กๆ ว่าอะไรเป็นอะไรตาม stereotype มีแนวโน้มลดลง เขาจะกลับมาเชื่อและฟังเสียงตัวเองมากขึ้น

เด็กผู้ชายเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย บ้างก็ตีกัน ขณะที่เด็กผู้หญิงร้องไห้ให้อุ้ม น่าจะเป็นภาพที่เราเห็นได้ทั่วไปในโรงเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนหรือเนอร์สเซอรี

แต่ที่ห้องเรียนของเด็กๆ ตัวน้อยโรงเรียน Seafarers – เนอร์สเซอรีย่านชานเมืองตอนใต้ของกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน คุณครูที่นี่กำลังเคลียร์ห้อง เอารถเด็กเล่นกับตุ๊กตาออกไป แล้วจูงมือเด็กผู้ชายมาเล่นทำครัว ขณะที่สอนเด็กผู้หญิงให้ตะโกนว่า “ไม่” จากนั้นก็เริ่มสำรวจและติดตามผลเชิงลึกพร้อมกับถ่ายคลิปวิดีโอเก็บไว้

ไม่มีหญิง ไม่มีชาย มีแต่เพื่อน

สังคมอาจแยกเพศตามร่างกายและวัฒนธรรมที่ปลูกฝัง แต่โรงเรียนเด็กเล็กหลายแห่งในสังกัดรัฐบาลสสวีเดนลงมือทำหลายอย่างเพื่อถอนรากความคิดดังกล่าวออกไป

เพื่อสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว คณะกรรมการร่างหลักสูตรแห่งรัฐ (state curriculum) กระตุ้นให้ครูและครูใหญ่ เข้าไปมีบทบาทในฐานะ ‘ผู้ออกแบบสังคม’ รวมถึงเรียกร้องให้บุคลากรทางการศึกษาเหล่านี้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ ‘สวนทาง’ กับมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติทางเพศที่ประเพณีเดิมเคยวางเอาไว้

แนวทางปฏิบัติคือ ครูเนอร์สเซอรีหลายแห่งในสวีเดน จะไม่เรียกนักเรียนตามเพศ แทนที่จะใช้คำว่า เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย ครูกลับเรียกเด็กๆ ว่า ‘เพื่อนๆ’ หรือไม่ก็เรียกชื่อเด็กไปเลย ลามไปถึงกิจกรรมการเล่นต่างๆ ก็ถูกออกแบบเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ แบ่งเพศหญิงชายกันเองด้วย

ทั้งนี้คำสรรพนามเพศกลาง อย่างคำว่า ‘hen’ จึงถูกนำมาใช้ โดยคำว่า hen รู้จักกันครั้งแรกในปี 2012 (ในภาษาสวีเดน hon คือ she แทนผู้หญิง และ han ก็คือ he แทนผู้ชาย) และจากนั้นชาวสวีดิชก็รับและนำไปประยุกต์ใช้ เป็นธรรมดาที่คนจะต่อต้าน และรู้สึกลบต่อคำนี้ในช่วงแรก แต่ก็ค่อยๆ ยอมรับมากขึ้นในเวลาต่อมา มีการใช้คำว่า hen มากขึ้นในหลายบริบท ขณะที่ประเทศอื่นยังไม่มีแนวคิดเช่นนี้

มีงานวิจัยที่พยายามค้นหาว่า ‘การไม่ระบุเพศ หรือ Gender-neutral’ เช่นนี้ ส่งผลต่อเด็กอย่างไรบ้าง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วในวารสาร ‘The Journal of Experimental Child Phychology’ สรุปว่า หลายๆ พฤติกรรมจะหายไปเมื่อเด็กๆ เข้าร่วมกิจกรรมภายใต้แนวคิด ‘ไม่ระบุเพศ’ ในโรงเรียนเด็กเล็ก

เช่น เด็กจะไม่แสดงอย่างชัดเจนว่า ชอบเล่นกับเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกันมากๆ และมีแนวโน้มตัดสินว่าอะไรเป็นอะไรตามเสียงส่วนใหญ่ (stereotype) ค่อนข้างน้อย

อย่าให้ stereotype มาขวางการเรียนรู้

ที่เมือง Hammarbyhojden ทางใต้ของกรุงสต็อกโฮล์ม เอลิส สโตร์ซัน (Elis Storesun) ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศภาพในสถานศึกษา จะนั่งทำงานร่วมกับครูอีกสองคนในห้องเรียนของเด็กวัย 4-5 ขวบ

เมลิซา เอสเทกา (Melisa Esteka) ครูวัย 31 อธิบายว่า “ชั่วโมงศิลปะ เราเห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงวาดรูปเยอะมาก วาดรูปเด็กผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาและขนตายาวมาก มันชัดเจนว่าพวกเธอเป็นเด็กผู้ญิ้งผู้หญิง แล้วเราก็ถามว่า อ้าว แล้วเด็กผู้ชายไม่มีขนตาด้วยเหรอ …พวกเธอก็ตอบมาว่า หนูรู้ค่ะว่ามันไม่เหมือนกับชีวิตจริงหรอก”

สโตร์ซัน วัย 54 เห็นคล้อยตามว่า “พวกเค้าแค่กำลังพยายามทำความเข้าใจว่าเด็กผู้หญิงควรเป็นอย่างไร”

ด้านครูเอสเทกากลับรู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจ เธอตั้งเป้าหมายส่วนตัวเอาไว้ว่า “ต้องหยุด ไม่ให้เด็กๆ แบ่งว่าของสิ่งไหนมีไว้เพื่อเด็กผู้ชายและของสิ่งไหนมีไว้เพื่อเด็กผู้หญิง” แต่เพียงไม่นาน เด็กๆ ในห้องก็เริ่มซึมซับ เรียนรู้ความเป็นชายหญิงแบบ stereotype จากป้ายโฆษณาและการ์ตูน จนทำให้ดูเหมือนว่ากระบวนการสลายเพศนี้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่งานเชิงระบบอย่างนี้โรงเรียน Seafarer เข้าใจดีว่าต้องค่อยๆ ทำไป เพราะการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดด้วยเวลา หรือกรอบสี่เหลี่ยมของห้องเรียน

“เด็กๆ ได้หลายอย่างจากกระบวนการนี้” พวกเขาได้โลกทั้งใบกลับบ้านไปด้วย ซึ่งพวกเราไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งที่จะเกิดหลังจากนี้ได้เลย”

ครูก็ต้องสอนแบบไร้เพศ

การทดลองใช้แนวคิดไม่ระบุเพศในโรงเรียนเด็กเล็กของสวีเดน เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1996 ในเมืองเล็กๆ ชื่อ Trodje อยู่ติดกับทะเลบอลติก คนที่ริเริ่มชื่ออินเกมาร์ เกนส์ (Ingemar Gens) เขาไม่ใช่นักการศึกษาแต่เป็นนักข่าวที่เริ่มจากความสนใจเรื่อง มานุษยวิทยาและทฤษฎีเพศสภาพ (gender) และเขาก็ได้ไปศึกษาค้นคว้าเรื่องชายชาวสวีเดนหาคู่ (ภรรยาคนไทย) ผ่านทางอีเมล สะสมความรู้ข้อมูลมาเรื่อยๆ จนได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ‘โอกาสที่ต้องเท่าเทียม’ (equal opportunity)

เกนส์ต้องการรื้อแนวความเชื่อของ stoic หรือ ‘บุคคลผู้ซึ่งสามารถกดเก็บอารมณ์และมีความอดทน’ ซึ่งกลายมาเป็นบุคลิกของสุภาพบุรุษสวีดิช คือ เก็บความรู้สึก ไม่ระบายและไม่อ่อนแอ

เกนส์คิดว่าโรงเรียนเด็กเล็ก คือที่ที่เหมาะสมในการรื้อทิ้งระบบคิดดังกล่าว และสอดแทรกกระบวนการที่เรียกว่า การชดเชยทางเพศ (compensatory gender) เข้าไป

ช่วงแรกมี 2 โรงเรียนที่เอาด้วยกับสิ่งนี้

แต่ละวัน เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนก่อนวัยเรียนจะถูกแยกกันอยู่ช่วงหนึ่ง โดยครูจะสอนเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับเพศอื่น เด็กผู้ชายจะถูกสอนให้นวดเท้าซึ่งกันและกัน ส่วนเด็กหญิงจะถูกพาเดินบนหิมะด้วยเท้าเปล่า และสอนให้เปิดหน้าต่างแล้วตะโกนออกไปดังๆ

“เรากำลังสอนเด็กผู้ชายให้ทำในสิ่งที่เด็กผู้หญิงรู้อยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับเด็กผู้หญิง เราก็สอนเช่นนั้น” เกนส์ซึ่งตอนนี้อายุ 68 แล้ว บอกอีกว่า ที่ผ่านมาเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียหายเยอะมาก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว

“พวกเขาบอกว่าเรากำลังฝังหัวความคิดผิดๆ ให้เด็ก” เกนส์ยังบอกอีกว่า “ผมคิดว่า พวกเราเอง (ผู้ใหญ่) ก็ยัดเยียดทุกเรื่องให้เด็กๆ มาตลอด”

จากนั้น ครูก็ถูกขอความร่วมมือให้เช็คหรือสังเกต วิดีโอเทปการสอนของตัวเองอีกครั้งเพื่อแยกให้ออกว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่าง วิธีการสอนเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง

ครูหลายคนพบว่า พวกเขาพูดเยอะ และใช้ประโยคที่ซับซ้อนกับเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย

เฮเลนา แบกสตรอม (Helena Baggstrom) ครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ขอเรียกดูวิดีโอเทปของเธอ ขณะอยู่ในห้องน้ำซึ่งกำลังดูแลและแต่งตัวให้เด็กๆ มีอยู่ตอนหนึ่งทำให้เธอค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ทำลงไป…

ในวิดีโอเทป เธอเห็นตัวเองกำลังง่วนกับการช่วยแต่งตัวให้เด็กผู้ชาย ขณะที่เธอกลับปล่อยให้เด็กผู้หญิงแต่งตัวเอง เพราะคิด (เอาเอง) ว่า เด็กผู้หญิงจะแต่งตัวเองได้

“ยิ่งเราดู เรายิ่งเห็น เรายิ่งรู้สึกกลัวสิ่งที่เราทำ” แบกสตรอม สารภาพ

ในปี 1998 รัฐบาลสวีเดนได้เพิ่มภาษาใหม่ ในการหลักสูตรการศึกษาของประเทศ เรียกร้องให้โรงเรียนก่อนวัยเรียน ลดทอนบทบาทและหน้าที่ที่แบ่งตามเพศแบบดั้งเดิม และกระตุ้นให้เด็กๆ ได้สำรวจเองอย่างไร้ข้อจำกัดหรือกรอบทางเพศ ส่วนโรงเรียนไหนจะปรับใช้อย่างไร ให้อยู่ภายใต้นโยบายของแต่ละแห่ง

ช่วงแรกนักอนุรักษนิยม ก็ออกมาประท้วงและต่อว่านโยบายดังกล่าวเป็นการล้างสมองของฝ่ายก้าวหน้า

ยกตัวอย่างพรรคฝ่ายขวาอย่าง Sweden Democrat Party ได้ที่นั่ง 13 เปอร์เซ็นต์จากการเลือกตั้งในปี 2014 ให้คำสัญญาว่าจะนำการสอนแบบ “ค้นหาเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการระบุเพศของเด็กๆ / คนรุ่นใหม่” กลับคืนมาให้ได้

แต่ในบรรยากาศการเมืองและสังคมขณะนั้น กลับให้ความสำคัญ นโยบายอย่างการอพยพ ความเท่าเทียมทางเพศ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนพรรคหัวก้าวหน้า คือ The Center Left Social Democrat และ The Center Right Moderates จนได้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากสำเร็จ

ทำไม สีฟ้า = ผู้ชาย?

ว่าที่คุณครูวัย 26 ปี อย่าง เอลิน เกอร์ดิน (Elin Gerdin) โดยรูปลักษณ์ภายนอก เธอดูเป็นผู้หญิงตามแบบฉบับ stereotype ผมยาวสีเข้มเป็นลอนสวยด้วยโรลไฟฟ้า เกอร์ดินบอกว่า ดูผ่านๆ เธอคือผู้ญิ้งผู้หญิง ซึ่งเป็นสัญญาณแรกเลยที่บ่งบอกเพศ แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากเสื้อกันฝนที่เราสามารถจะสวมหรือถอดมันออกก็ได้

“นี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเพราะมันคือฉัน และ มันคือตัวฉันเพราะฉันคือผลผลิตของสังคม”

ตอนที่กำลังศึกษาอยู่ มีหลายช่วงย้อนกลับมาในความคิดของเกอร์ดิน

เพื่อนคนหนึ่งของเกอร์ดินกำลังมีลูก และเขาก็โพสต์รูปลงเฟซบุ๊ค แต่งรูปด้วยสีฟ้าไม่ก็สีชมพู สำหรับเกอร์ดินนี่คือการแบ่งเพศอันดับแรกๆ ในสังคม

เกอร์ดินรู้สึกผิดหวังกับสิ่งนี้ รู้สึกเสียใจกับเด็กๆ เธอจึงตัดสินใจไปหาเพื่อนคนนั้นและอธิบายเรื่องนี้อย่างจริงจังว่าพวกเขากำลังทำผิด เกอร์ดินทำไปเพราะรู้สึกว่ามันคือความรับผิดชอบของเธอ

“เรากำลังแบ่งกลุ่มเด็กๆ ที่กำลังจะเติบโต เรากำลังสอนเด็กให้ไปทางนั้นทางนี้ ซึ่งการเปลี่ยนสังคมทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

สอนแบบไม่ระบุเพศ สอนอย่างไรดี

ที่โรงเรียนเด็กเล็ก Seafarer กระบวนการเรียนแบบไม่ระบุเพศเริ่มต้นในช่วงเช้า เด็กๆ กำลังปีนป่ายอย่างสนุกสนานในชุดหมี (ข้างนอกหิมะขาวโพลน) แต่ถ้ามองเข้าไปดีๆ จะเห็น ‘ออตโต’ เด็กชายวัย 3 ขวบเล่นรวมอยู่ในชุดเดรสของเด็กผู้หญิง

ออตโตชอบใส่ชุดกระโปรงมากกว่า เขาบอกว่าชอบที่สุดตอนหมุนตัวแล้วกระโปรงบานออก นั่นทำให้เขา ‘ไม่เหมือนใคร’ ที่นี่

จนถึงตอนนี้ไม่มีใครสักคนในครอบครัวออตโต ทั้งปู่ย่า พี่เลี้ยง หรือเพื่อนๆ ที่จะบอกให้ออตโตเลิกใส่กระโปรง

ลีนา คริสเตียนสัน (Lena Christiansson) แม่ของออตโตวัย 36 ปี ก็บอกว่าอยากให้ลูกชายแต่งอย่างนี้ไปนานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

“ความคาดหวังแบบนี้กำลังเพิ่มมากขึ้น” สโตร์ซัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศของ Seafarer บอกอีกว่า “ตอนนี้พ่อแม่เริ่มหันมาถามเราว่า คุณคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องเพศ”

ไม่ใช่แค่เฉพาะพ่อแม่ เด็กๆ ด้วยกันเองก็อาจทำให้กระบวนการเรียนรู้เรื่องนี้ขลุกขลักไปบ้าง

สโตร์ซันยกตัวอย่าง เด็กผู้ชายวัย 3 ขวบคนหนึ่ง ปฏิเสธที่จะวาดรูปหรือเต้น เด็กคนนี้เลยถูกแก๊งเพื่อนๆ ขู่ว่าถ้าไม่ทำจะตัดออกจากกลุ่มผู้ชาย

ร้อนถึงสโตร์ซันต้องเข้าไปแก้ปัญหา คลี่คลายด้วยการจัดกิจกรรม จนสุดท้ายเธอก็เกลี้ยกล่อมให้เด็กผู้ชายกลับมาเล่นกันได้เหมือนเดิมโดยไม่เกี่ยงเพศ

การรักษาบรรยากาศไร้เพศในโรงเรียนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คารินา ซีฟบยอร์ค (Carina Sevebjork) วัย 57 ที่เคยสอนในโรงเรียนราว 1 ปีครึ่ง บอกว่ามีบ่อยครั้งที่เธอพูดอะไรผิดๆ ออกไป เช่น บ่นเรื่องการแต่งตัวของเด็กๆ โดยไม่ทันคิด

“คุณพูดออกไปในแบบของคุณโดยอัตโนมัติ แต่คุณต้องรับผิดชอบผลของมัน แทนที่จะบอกสวยไม่สวย คุณสามารถแสดงความเห็นเรื่องเสื้อผ้าเด็กๆ ด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น โอ้ว พระเจ้า มีโพลกาดอทกี่วงบนเสื้อหนูจ๊ะเนี่ย”

อีกหนึ่งตัวอย่าง …อิซาเบล แซนด์เบิร์ก (Izabell Sandberg) ครูวัย 26 ก็สังเกตเด็กหญิงวัย 2 ขวบที่พ่อแม่พามาส่งด้วยชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนพอดีตัว ตลอดทั้งวันหนูน้อยคนนี่้จะระวังตัวไม่ให้สกปรก ถ้าเด็กๆ คนอื่นมาแย่งของเล่นเธอไป อย่างมากก็แค่ร้องไห้กระซิกๆ

“เธอเหมือนจะยอมให้กับทุกอย่าง” แซนด์เบิร์ก จับสังเกต “ฉันคิดว่ามันเป็นบุคลิกของเด็กผู้หญิงมากๆ เหมือนว่าเธอกำลังขออนุญาตทุกคนเพื่อให้มานั่งอยู่ตรงนี้”

จนเช้าวันหนึ่ง เด็กผู้หญิงคนนี้ใส่หมวกมาและกำลังจัดกระเป๋าสะพายให้เรียบร้อย เตรียมตัวเองให้พร้อมออกสำรวจในกิจกรรม จู่ๆ เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ก็เดินออกจากห้องพร้อมหยิบกระเป๋าของเธอไปด้วย เธอรีบยื่นมือขวางแล้วตะโกนเสียงดังมากๆ ว่า “ไม่” จนแซนด์เบิร์กต้องหันกลับมามอง

เวลาผ่านไป เด็กผู้หญิงคนนี้เริ่มพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชาย ตกเย็นการแต่งตัวที่เคยเรียบร้อยก็กลับมอมแมม พ่อแม่ไม่ค่อยพอใจ และรายงานครูว่าตอนอยู่บ้าน ลูกสาวเริ่มดื้อและไม่เชื่อฟังมากขึ้น

ได้ฟังอย่างนั้น ครูแซนด์เบิร์กตอบกลับพ่อแม่ไปอย่างนี้

“นี่เป็นสิ่งที่โรงเรียนเราพยายามทำอยู่ ดังนั้นเราจะไม่ห้ามเด็กๆ ค่ะ” (ยิ้ม)

ที่มา:
In Sweden’s Preschools, Boys Learn to Dance and Girls Learn to Yell

Tags:

การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเพศ

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็น Non-binary : ตัวตน ความรักและความเป็นอื่น ‘นอกกล่องเพศ’ กับ คิว-คณาสิต พ่วงอำไพ

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Dear ParentsMovie
    Never Have I Ever แม้ไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของแม่ แต่ยังอยากได้ยิน ‘แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ’

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life classroom
    แชนนอน เพอร์เซอร์: ไบเซ็กชวลพลัสไซส์ ภาวะซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel