Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: December 2017

เปิด ‘ห้องเรียนพ่อแม่’: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
Early childhoodEF (executive function)
30 December 2017

เปิด ‘ห้องเรียนพ่อแม่’: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • “เพราะการศึกษาสร้างเด็กป่วยมากพอแล้ว” นพ.ประเสริฐจึงตั้งห้องเรียนพ่อแม่ขึ้นมา
  • ห้องเรียนที่คุณหมอเรียกว่าเพิง มีพ่อแม่ตบเท้าเข้ามาขอเรียนเต็มตลอด เกือบทั้งหมดบินตรงมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมาขอนั่งเรียนกับคุณหมอแค่ 3 ชั่วโมง
  • 3 ชั่วโมงกับ 3 วิชา เนื้อหาอาจไม่หนีจากที่คุณหมอเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ แต่หลายคนเลือกดั้นด้นมาเรียนแบบเห็นหน้าเห็นตัว เพราะเชื่อว่าห้องเรียนออฟไลน์แห่งนี้มีขุมพลังบางอย่าง
  • และมันก็มีจริงๆ …เยอะด้วย

หลังเกษียณแล้ว นอกจากทำงานบ้าน เขียนหนังสือ และตอบคำถามแฟนเพจ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ที่มีเข้ามากว่า 100 คำถามต่อวัน คุณหมอใช้เวลาว่างวันอาทิตย์ เปิดสอนหลักสูตร ‘ห้องเรียนพ่อแม่’ รับจำนวนจำกัดครั้งละไม่เกิน 30 คน ที่สำคัญทุกคนต้องดั้นด้นเดินทางมาเรียนถึงเชียงรายด้วยตัวเอง

และเต็มล่วงหน้าไปแล้ว 3 เดือน…

“ระบบการศึกษาสร้างเด็กป่วยจำนวนมากพอแล้ว” เหตุผลสำคัญที่ นพ.ประเสริฐ ตัดสินใจเปิดห้องเรียนพ่อแม่

ปีท้ายๆ ของการทำงานในฐานะหัวหน้าภาควิชาจิตเวช จิตแพทย์เด็กโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ คุณหมอสังเกตเห็นว่า คิวผู้ป่วยจิตเวชเด็กยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ยาวไปถึง 3-6 เดือน ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ

“ครูทุกโรงเรียนส่งเด็กที่สงสัยว่าสมาธิสั้นวันละสิบๆ คนมาที่ รพ.ทุกวัน อะไรจะสงสัยกันได้เยอะและเร็วขนาดนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ครูบอกให้มาก็มา ดูเป็นทุกข์กันถ้วนหน้าจากนโยบายการศึกษาที่เน้นตัวชี้วัด เรียนไม่เก่ง คัดออก”

ที่ก่อกวนไม่แพ้กันคือ ไอที ที่เข้ามารบกวนตำราพัฒนาการเด็กเล่มที่เคยใช้ให้สั่นคลอนและขาดตอน ต่อให้พ่อแม่เลี้ยงดูดีแค่ไหนพอไปถึงโรงเรียน โรงเรียนก็ทำเสีย

“ประสบการณ์ 15 ปีแรกกับการเป็นจิตแพทย์เด็กในเชียงราย กับอีก 30 ปีที่ตรวจวันละไม่ต่ำกว่า 100 คน จนรู้และจับทางได้ว่า เลี้ยงแบบไหนก็ได้แบบนั้น”

และที่สำคัญ เมื่อหันกลับมามองลูกของตัวเอง 2 คน คุณหมอบอกว่า “ก็เรียบร้อยดี”

เรียบร้อยดีที่แปลว่า “มันไม่กวนประสาท ไม่สร้างความเดือดร้อน ทำงานหาสตางค์ เก็บเงินได้เอง (ยิ้ม)”

เพิงห้องเรียนพ่อแม่จึงถูกปลูกขึ้นด้วยหวังลดจำนวนเด็กๆ ที่ป่วยและถูกยัดเยียดว่าป่วย นักเรียนของห้องนี้คือพ่อแม่และครู… เด็กๆ มีหน้าที่แค่เล่นรออยู่ข้างนอก

ห้องเรียนนี้สอนทั้งหมด 3 วิชา คือ 1. พัฒนาการเด็ก 2. EF (Executive Function) 3. ปรับพฤติกรรม ภายใต้คอนเซ็ปท์ที่ว่า “เอางานวิชาการมาเล่าให้ฟัง และทุกประโยคมีเอกสารทางวิชาการรองรับ”

คาบแรก: วิชาพัฒนาการเด็ก

“ถ้าไม่พร้อมจะเลี้ยงลูก กรุณาอย่ามีลูก” คุณหมอกล่าวต้อนรับนักเรียนทุกคนด้วยประโยคนี้ แต่ถ้ามีแล้วเราต้องเข้าใจพัฒนาการของลูก ที่เป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าขั้น 1 ดีได้ ก็จะดีในทุกปีที่ผ่านไป

  • ขั้น 1 คือ 12 เดือน
  • ขั้น 2 คือ 2-3 ปี
  • ขั้น 3 คือ 4-5 ปี
  • ขั้น 4 คือ 6-12 ปี
  • ขั้น 5 คือ 12-18 ปี

12 เดือนแรก: Trust

3 เดือนแรก ลูกกับแม่เป็นหนึ่งเดียวกัน 3-6 เดือน แม่กับลูกถึงจะนับเป็นสอง แต่ขาดจากกันไม่ได้ ถ้าขาดต้องตาย

“เราไม่ได้เป็นแม่ในวันแจ้งเกิด ลูกต้องใช้เวลา 6 เดือนในการพิจารณาและอนุมัติว่าเราคือแม่ ผ่านทรวงอก น้ำนม หัวใจ เพลงกล่อม และอ้อมกอดที่ไม่เหมือนใครในโลก”

แต่เรื่องเศร้าก็คือ แม่คนไทยลางานเลี้ยงลูกได้เพียง 3 เดือน สายสัมพันธ์ที่ควรจะแข็งแรงจึงอ่อนแอกว่าที่ควร

“เด็กไม่ไว้ใจสิ่งแวดล้อม แม่ต้องเลี้ยงให้ดีที่สุด หิวก็แม่มา ร้อนก็แอร์มา หนาวผ้าห่มก็มา เหงาก็มีคนอุ้มกอด คนที่เขาไว้ใจคือแม่ สิ่งแวดล้อมจะดีต้องมีแม่ที่ดีมาก”

แม่ที่ดีมากในความหมายของคุณหมอ คือ แม่ที่ปรนเปรอลูกไม่อั้น ร้องแล้วอุ้มๆ ตลอด

“ไม่ใช่เวลาฝึกความเข้มแข็ง แม่ให้อย่างเดียว”

2-3 ปี: Self

วัยอ้อแอ้เตาะแตะแบบนี้ มาพร้อมความสามารถอัตโนมัติหลายอย่าง ในเครื่องหมายดอกจันตัวโตๆ ว่า “ถ้าพ่อแม่เปิดโอกาส” เพราะหน้าที่ของเด็กวัยนี้คือ ‘ดื้อ’

ความสามารถอัตโนมัติเช่น การกลั้นฉี่ กลั้นอึ ซึ่งเด็กจะกลั้นไว้หรือปล่อยได้ ขึ้นกับอำนาจการควบคุมของพ่อแม่ สำคัญคืออย่าไปเปรียบเทียบ เร่ง หรือกดดัน ความสามารถตามธรรมชาติที่ว่านี้ สอนเด็กได้อย่างเดียวคือ ปล่อยให้เป็นที่เป็นทาง ความสามารถต่อมาคือ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ อย่างแขนและขา เขาจะวิ่ง เดิน ตี และเตะพ่อแม่ได้

“เขาจะเขวี้ยงของได้ กวาดของลงโต๊ะได้ พ่อแม่ไม่ควรอารมณ์เสีย ตอนลูกผมเล็กๆ เขาเขวี้ยงของ ผมชวนเล่นปาของด้วยกันเลย แต่ควรเลือกของและสถานที่ที่จะเขวี้ยงนะ เพราะนั่นคือการฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ไอ้ที่เราห้าม เรากำลังขวางทางพัฒนาการเด็กหรือเปล่า”

พอย่างเข้า 3 ขวบ เด็กจะสร้างตัวตน (self) ซึ่งจะตุนยาวเอาไว้ใช้ตั้งแต่ตอนกิน เล่น เรียน จีบ ทำงาน และตลอดชีวิต

“ถ้าเด็กไม่มีตัวตน เวลาเจอปัญหาจะแสดงออกต่างๆ เช่น กรีดข้อมือให้รู้สึกเจ็บ เพื่อเตือนให้รู้ว่าตัวเองมาจากไหน เป็นใคร ให้รู้ว่า อ๋อ มีตัวตนนะ”

หรือกรณี วัยรุ่นริอยากลองมีเพศสัมพันธ์ คนที่ไม่ป้องกัน ก็จะ ‘อะไรก็ได้’

“เพราะเขาไม่สน ไม่รู้สึกว่ามีตัวตนตั้งแต่แรก”

4-5 ขวบ: Initiation

วัยแห่งการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก โดยเฉพาะ ‘นิ้วมือ’

“พ่อๆ แม่ๆ ควรระลึกไว้ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ใช้นิ้วมือได้ เด็กวัยนี้อยากใช้นิ้วเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในโลก เช่น ระบายสี พับกระดาษ เล่นบทบาทสมมุติ วิ่งไล่กัน ปีนต้นไม้ และอ่านหนังสือ”

โดยเฉพาะกิจกรรมหลังสุดที่พ่อแม่ทั้งหลายถอดใจ ยื่นแทบเล็ตให้ลูกแทนไปเรียบร้อยแล้ว

“การอ่านหนังสือ มือได้แตะ ได้คลำ ทุกๆ หน้าที่เปลี่ยนไป หน้ากระดาษด้านซ้ายจะหนากว่าด้านขวา นิ้วโป้งซ้ายจะจับหน้ากระดาษที่หนาขึ้นทุกที นิ้วโป้งขวาจะจับกระดาษที่บางลงทุกที พวกนี้ส่งสัญญาณขึ้นสู่สมองด้วยว่านิ้วจับที่ตรงไหน สมองก็เรียนรู้ว่าเนื้อหาตรงนี้อยู่ประมาณเศษ 1 ส่วน 4 ของหนังสือเล่มนี้ รูปแบบของสมองก็จะพัฒนาไปอีกแบบหนึ่ง”

ถ้านิ้วมือดี สมองก็ดี คุณหมอสรุปไว้ แต่ไม่ใช่ว่าเห็นเขาสนุกกับการใช้นิ้วแล้วจะฝึกให้เขียนอักษรไทย 44 ตัวกันเลย

“วัยนี้เขามีหน้าที่เล่น ไม่ได้มีหน้าที่เขียน” คุณหมอพูดเสียงดังฟังชัด

นอกจากกล้ามเนื้อมัดเล็ก เด็ก 4-5 ขวบจะเริ่มสนใจเรื่องเพศ และเริ่มมีกริยาทางเพศ คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องสอนให้เขารู้ว่าโลกนี้ด้วยกัน 8 เพศ คือ 1.หญิง 2.ชาย 3.เลสเบี้ยนชาย 4.เลสเบี้ยนหญิง 5.เกย์ชาย 6.เกย์หญิง 7.ไบเซ็กชวล และ 8.ทรานส์เจนเดอร์หรือคนข้ามเพศ

“เขาจะเลือกเพศอะไรไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู หรือพันธุกรรม ขอให้รู้ว่าเขาเป็นเองและเลือกไม่ได้ สิ่งที่พ่อแม่ทำได้คือสอนให้เขาปฏิบัติกับเพศอื่นด้วยความเคารพ”

6-12 ปี: Industry

“เด็กตื่นมาเพื่อไปโรงเรียน เพื่อไปทำหน้าที่สร้างผลผลิตทางอุตสากรรม (Industry)”

สร้างอย่างไร? คุณหมอโยนคำตอบมาให้ 3C

  • Compete – เขาไปเพื่อแข่งขัน ต่อสู้ และชิงดีชิงเด่นกับเพื่อนๆ
  • Compromise – หลังจากแข่งขัน เขาก็ต้องเรียนรู้การรอมชอม ประนีประนอม
  • Coordinate – เพื่อนำไปสู่ การร่วมเล่น ร่วมทำการบ้าน และทำโครงการด้วยกัน

“เขาอยากจะสร้างผลงานอยู่แล้ว ทุกคนอยากลงรอยและรวมตัวกันเป็นทีม” สรุปสั้นๆ จากคุณหมอ

12-18 ปี: Identity

วัยรุ่นมาพร้อมกับการค้นหาอัตลักษณ์ (identity) สเต็ปหลังจากนั้นคือการจีบคนรัก (intimacy) ซึ่งไม่จำเป็นต้องผูกขาดไว้แค่หญิงหรือชาย แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ 2 ข้างต้นคือ การเข้าแก๊ง เข้ากลุ่ม หาความจงรักภักดี (loyalty)

หากปัญหาที่พบบ่อยมากถึงมากที่สุด คือ พูดอะไรก็ไม่ฟัง คุณหมอยิ้มใจดีและตอบอย่างใจเย็นว่า

“อาการพูดไม่ฟังเป็น ‘หน้าที่’ ของวัยรุ่น ถ้าเขาทำหน้าที่นี้ไม่ได้ เขาจะกลายเป็นบุคคลไม่มีอัตลักษณ์ ไม่รู้จักโต เราเลี้ยงเขามาเพื่อให้ปีกกล้าขาแข็ง”

คุณหมอย้ำว่า ตรงข้ามกับการพูดให้ลูกเชื่อฟังหรือสั่งสอน พ่อแม่ควรฟังเรื่องที่ลูกพูด ฝึกฟังให้มาก แม้ไม่เห็นด้วยหรืออะไรที่เขาพูดไม่เข้าท่า ก็ขอให้ฟังไปก่อน ไม่ขัดคอ ไม่ตั้งคำถาม เพราะเมื่อถามจะกลายเป็นซักฟอก

“ถ้าเราฟังเก่งๆ เราจะขออะไรเขาได้บ้าง เช่น กลับมากินข้าว 4 ทุ่มนะจะมีกับข้าวรอ หรือ สอบผ่านก็พอนะ หรือใช้ถุงยางทุกครั้งนะ ขอข้อเดียว อย่างมากสอง เลือกที่ซีเรียสก็พอ อย่าขอเปรอะไปหมด จะไม่ได้สักข้อ”

อดทน รัก และรอ อย่าทำแก้วแตก เขาจะกลับมา

“หน้าที่ข้อที่ 4 ของวัยรุ่นคือการเลือกอาชีพ career choice ต้องการสมองส่วนหน้าที่ดีและความสามารถมองอนาคตที่ดี ดังจะเล่าให้ฟังต่อไป”

คาบสอง: Executive Function (EF)

เมื่อเราเข้าใจพัฒนาการลูก คาบต่อมาคือ EF-Executive Function หมายถึงความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย (อ้างอิงจากที่ประชุม EF ของรักลูกกรุ๊ป คำนิยามโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปนัดดา ธนเศรษฐกร)

“และต้องเป็นเป้าหมายที่เด็กกำหนดเอง ไม่ใช่พ่อแม่กำหนด” คุณหมอย้ำ

EF ที่ดีมี 3 ข้อ

1. ดูแลตัวเองได้ หมายถึง ดูแลร่างกายได้ ได้แก่

  • พื้นที่ 1) ร่างกายของตัวเอง เช่น กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน
  • พื้นที่ 2) รอบร่างกาย เช่น เก็บของเล่น เก็บที่นอน
  • พื้นที่ 3) งานบ้าน เช่น ล้างจาน ตากผ้า เทขยะ
  • พื้นที่ 4) นอกบ้าน เช่น กินข้าวในร้านอาหาร วิ่งเล่นในห้าง เข้าคิว

“ย้ำว่างานบ้านมิใช่เพื่อให้บ้านสะอาดแต่เพื่อให้นิ้วมือขยับ นิ้วมือขยับ สมองก็ขยับ ก็จะเป็นฐานของ EF ที่ดีกว่า”

2. เอาตัวรอดได้ จากสถานการณ์เสี่ยง เช่น เป้าหมายคือมีเซ็กส์ในคืนวันวาเลนไทน์

“อยากมีก็อยาก แต่ก็กลัวท้อง ดังนั้นการมีเซ็กส์แบบ EF คือ สวมถุงยางอนามัย โดยผ่านการควบคุมความคิด อารมณ์ การกระทำที่ดีและมีสายสัมพันธ์กับแม่ที่แข็งแรง เพราะสายสัมพันฑ์ของแม่จะดึงรั้งสติของลูกไว้เสมอ เช่น หน้าแม่ลอยมา”

3. มีอนาคต คุณหมอยกมา 5 คำ #มองไปข้างหน้า #วางแผน #ลงมือทำ #รับผิดชอบ #ยืดหยุ่น ปรับเป้าหมาย ปรับแผนได้ตลอดเวลา ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษผู้อื่น

“สมองส่วนหน้า เหมือนไฟหน้ารถ ใครสาดได้ไกลกว่าก็ชนะ” คำเปรียบเทียบจาก ผอ.ห้องเรียนพ่อแม่

ก่อนจะมี EF ที่ดี พ่อแม่ควรรู้ว่า EF ประกอบด้วย 3 วัตถุดิบสำคัญ

  1. การควบคุมตัวเอง (self control) ข้อนี้สำคัญที่สุด จะทำได้ต้องผ่านกระบวนการ 3 ส่วนคือ 1. จดจ่อได้นาน (focus) 2. ไม่วอกแวก (distraction) 3. รู้จักประวิงเวลามีความสุข (delayed gratification) หรืออดเปรี้ยวไว้กินหวาน ลำบากแค่ไหนก็จะทนให้ผ่าน
  2. ความจำพร้อมใช้ (working memory) เมื่อถึงสถานการณ์ ความจำต้องพร้อมใช้เสมอๆ พ่อแม่มีส่วนช่วยพัฒนาการด้วยการเล่นและฝึกทำงานบ้าน เพราะทั้งสองกิจกรรมจำเป็นต้องบริหารความจำตลอดเวลา “ความจำใช้งานเกิดจากการลงมือ คือ action เท่านั้น ไม่ได้เกิดจากการนั่งเรียนทฤษฎี”
  3. การคิดวิเคราะห์ยืดหยุ่น (cognitive flexibility) คือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผ่านการเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนตัวแปร เปลี่ยนกระบวนการคิดเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งพ่อแม่ช่วยได้ด้วยการส่งเสริมให้ลูกๆ เล่นตั้งแต่ช่วง 2-7 ขวบ และในช่วง 8-12 ปี ทั้งสองช่วงนี้สมองจะวางโครงสร้างด้านตรรกะ การใช้เหตุผล แล้วจึงนำไปสู่การคิดวิเคราะห์ที่ยืดหยุ่นพลิกแพลงต่อไป

“ลูกเราอยากมีเซ็กส์ แต่ดั๊นลืมถุงยาง แต่ EF จะสอนให้เขาอดเปรี้ยวไว้กินหวาน การคิดวิเคราะห์ยืดหยุ่นจะบอกให้แวะไปซื้อถุงยางที่เซเว่นก่อน ระหว่างนั้นความจำพร้อมใช้จะคอยเตือนว่าท้องตอน ม.5 จะเป็นยังไงนะ แล้วถ้าติดเชื้อ HIV ด้วยล่ะ ทั้งหมดทั้งมวล คำอธิบายว่า รักแม่นะ อย่าทำนะ มันไม่พอแล้ว ความสามารถของสมองอย่าง EF จึงต้องเข้ามา”

มีอยู่หนึ่งคำถามที่อาจจะอยู่นอกหลักสูตรวิชา EF และคุณหมออาจจะไม่ค่อยได้ตอบในเวที และคาดว่ามีหลายคนอยากจะรู้

“ทำไมคำตอบจึงต้องเป็น EF” คำถามแบบกำปั้นทุบดินจากเรา

“อะไรที่เราเคยจนมุม เช่น บรรยายพัฒนาการเด็กได้จนถึงประถม วัยรุ่น แต่มาเจอระบบการศึกษาที่ไม่ปกติอย่างมาก เราก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรพ่อแม่ เราก็เคยจนมุมเรื่องนี้จริงๆ แต่เพราะเป็นคนอ่านมาก คิดมาก ก็พบว่าความรู้ใหม่ที่เรียกว่า Executive Function หรือ EF พาเราออกจากจุดอับนี้ได้

แน่นอนแหละ ก็ไม่ได้เชื่อตั้งแต่วันแรก และตำรามันอ่านยาก มันใหม่ การใช้คำศัพท์สับสนอลหม่าน เราพยายามแปลเป็นภาษาไทย ก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองแปลได้หรืออยากแปล แปลๆ ไปก็มีคนชมนะว่าแปลดี (หัวเราะ) พูดดี อันนี้ไม่รู้ วิจารณ์ตัวเองไม่ได้ แต่ก็ทำให้มีกำลังใจว่าเราพยายามถ่ายทอดวิชา EF ที่เป็นภาษาไทยโดยมีวิชาการ back up”

คาบสาม: การปรับพฤติกรรม

คุณหมอเริ่มต้นคาบสุดท้ายด้วยการพาเราไปรู้จัก ‘คำศัพท์’ แทนเด็กในวัยต่างๆ

แรกเกิด – 1 ขวบ Self Centered: “เด็กเล็ก คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล”

2-5 ขวบ มีหลายคำหน่อย

Animism: “ทุกอย่างมีชีวิต เช่น ตุ๊กตามีชีวิตทุกตัว อย่าแยกเขาออกจากกัน”

Magic: ความคิดเชิงเวทมนตร์ “ทุกอย่างเป็นไปได้หมดด้วยเวทมนตร์”

Phenomenalistic Causalty: วัยแห่งการจับแพะชนแกะ

ครูใหญ่ของห้องเรียนพ่อแม่อธิบายว่า อะไรที่เกิดพร้อมกันเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน พราะหนึ่งจึงเกิดสอง เพราะสองจึงเกิดสาม นี่คือฐานของเหตุและผลที่ดีในอนาคต แต่ก็เริ่มด้วยแพะชนแกะ ฉะนั้นเวลาลูกถาม พ่อแม่มีหน้าที่ตอบ อย่าบ่น”

6-12 ปี Concrete: มีการคิดเชิงรูปธรรม “เห็นอะไรก็เห็นอย่างนั้น เห็นหมาก็เป็นหมา ไม่มีอะไรซับซ้อน”

12-18 ปี Abstract: คิดเชิงนามธรรม “สมองสามารถให้ความหมายแก่สิ่งที่เห็นและสามารถให้ความหมายแก่สิ่งที่จับต้องไม่ได้”

ปูพื้นด้วยความเข้าใจพฤติกรรมของทุกช่วงวัย แต่แค่นั้นยังไม่พอ ในโลกทุกวันนี้ที่หมุนเร็วตื๋อ เด็กๆ ควรมีทักษะที่ดีในการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 ที่เรียกว่า 21st Century Skill ที่มีด้วยกัน 3 ทักษะ

1. ทักษะการเรียนรู้

“มีความอยากรู้ อยากค้นหา อยากรู้อยากเห็น” ประกอบด้วยทักษะย่อย 4 ข้อคือ

  • คิด วิพากษ์ Criticize Thinking หมายความว่า ไม่เชื่อง่ายและมีความคิดที่เป็นอิสระจากทุกอย่าง มีเสรีภาพที่จะคิด
  • สื่อสาร Communication เกิดเป็นคน คิดแล้วก็ต้องสื่อสาร คือ พูด เขียน เล่นละคร โต้วาที จัดนิทรรศการ เดินรณรงค์
  • ร่วมมือกัน Collaboration ทันทีที่มนุษย์มีเสรีภาพ เขาจะพูดและคิด

“มันแหงอยู่แล้วที่ต้องเจอคนคิดไม่เหมือนเรา จึงมีการ compete เถียง compromise ประนีประนอม แม้จะคิดต่างแต่เรามีเป้าหมายร่วม รอมชอมกันที่จุดหนึ่งแล้วทำงานด้วยกัน จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์ creativity และนวัตกรรม คือ innovation เป็นข้อที่ 4

  • ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม Creation & Innovation ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นจากการทำงานที่ดี และความคิดสร้างสรรค์ที่นำไปลงมือทำจึงเป็นนวัตกรรม

“เพราะการเถียงกันในกลุ่มคนที่มากพอ มันจะสนุก ถ้ามันเถียงกันอย่างมีเสรีภาพและนวัตกรรมจะเกิดโดยไม่รู้ตัว คือ ในการประชุมที่ดี 1+1+1 จะไม่ได้เท่ากับ 5 เพราะความคิดมันพลุ่งพล่านมาก มันต้องการเสรีภาพ ที่ประชุมแบบนี้มีและมันก็ดีจริงๆ แต่น้อยและไม่มีในที่ประชุมราชการ”

2. ทักษะชีวิต

“ระบบการศึกษา แยกการศึกษาออกจากชีวิต” คุณหมอบอกว่าจริงๆ แล้วทักษะวิชาการกับชีวิตควรไปด้วยกัน

แล้วทักษะชีวิตมีอะไรบ้าง?

“มองไปข้างหน้าเป็น วางแผนเป็น ตัดสินใจทำเป็น ค้นหาทางเลือกเป็น ปรับแผนหรือยืดหยุ่นเป็น ประเมินผลเป็น และรับผิดชอบเป็น ถ้าเขาทำได้ทั้งหมดนี้ จะไม่ฆ่าตัวตายโดยง่าย” คุณหมอย้ำ

3. ทักษะไอที

“ผมยืนยันว่าเราควรให้เสรีภาพลูก เราควรบอกและชี้แนะว่าลูกสนใจอะไร อยากรู้อะไร อย่ามัวแต่นอน มีกูเกิลให้ค้นก็ค้น ค้นออกมาแล้วไม่ได้แปลว่าต้องเชื่อ การอ่านข้อมูลใดๆ ในกูเกิลวันนี้เป็นเพียงการบริหารความคิด ไม่ได้ให้เชื่อ ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ตัวทักษะเรียนรู้ ทักษะชีวิตดีขึ้น พอทักษะชีวิตดี ทำให้เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

“ดังนั้นต่อให้ข้อสอบมันแย่ยังไง เด็กก็จะยอมรอมชอม เพราะกติกาของเปเปอร์นี้ ตกคือตกนะจ๊ะ เขารู้ทั้งรู้ว่าเปเปอร์นี้ก็ไม่ได้เข้าท่ามากนักหรอก ตัวเองมีความรู้เยอะกว่านั้นเยอะ แต่เขาพร้อมจะรอมชอม อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า EF และทักษะศตวรรษที่ 21 ดี”

ทักษะที่ว่านี้ คุณหมอหมายถึง

  • ทักษะการเสพข่าวสาร – แยกแยะและใช้ประโยชน์จากข่าวจริงข่าวลวงให้ได้
  • ทักษะการใช้สารสนเทศ – รู้ว่าอะไรคือข้อมูล อะไรคือข่าวสาร และอะไรคือความรู้ และใช้ให้เกิดประโยชน์
  • ทักษะการใช้เทคโนโลยี – สามารถใช้เครื่องมือหลากหลายได้เหมาะสม พร้อมๆ กับบริหารเวลาไปด้วย

ระหว่างทางการฝึกทักษะเหล่านี้ คุณหมอมีทิปส์เล็กน้อยแต่สำคัญมหาศาลมาฝากพ่อๆ แม่ๆ

“เราไม่ควรชมเขาเยอะเกินไป ไม่ควรชมว่าเก่งจังเลย นั่นคือการชมที่ผลลัพธ์ เพราะจะทำให้ลูกเริ่มเฉื่อย ไม่สนใจคำชม แต่ควรชมที่วิธีการ เช่น ความพยายาม ความอดทน”

ห้ามเด็ดขาดเลยคือ บั่นทอน

“แค่แม่ชักสีหน้าก็เท่ากับทำโทษลูกแล้ว พยายามนั่งดูเขาไปก่อน ให้สัดส่วนการชมมากกว่าการติหรือเฉยๆ ทำรางวัลให้เยอะกว่าการทำโทษ แม้ว่ามันจะน่าด่าทุกปัญหาก็ตาม (ยิ้ม)”

ข้อคิดท้ายชั่วโมง

ถึงจะเปิดห้องเรียนได้ไม่กี่เดือน แต่คิวรอเรียนที่ยาวไปอย่างน้อย 3 เดือน ก็ทำให้คุณหมอแปลกใจไม่น้อย

“แปลกดีนะ ผมก็งงว่าทำไมถึงมีดีมานด์ มันไม่น่าจะมีดีมานด์เยอะขนาดนั้น ถามว่าทำไม ทุกคนเป็นทุกข์ ทุกข์เรื่องชิงดีชิงเด่น คาดหวังสูงจากการศึกษาแบบนี้ มันเป็นวงจรร้ายเนอะ”

เท่าที่สังเกต พ่อแม่ที่มาเรียนคาดหวังสูง ‘ทุกคน’

“คาดหวังว่าเด็กควรจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้เมื่ออายุเท่านี้ จะรีบอะไร ไม่รู้ ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เราคาดหวังสูงจริง

“ถ้าเรามีความรู้เรื่องพัฒนาการเด็กสักนิด และผ่อนคลายระบบการศึกษาซะหน่อยให้ทุกคนหายใจโล่งขึ้นอีกหน่อย อย่าตึงเครียดกันนัก อย่าแข่ง อย่าเปรียบเทียบกันมากนัก เด็กเขาไม่พร้อมก็แปลว่าไม่พร้อม ถ้าสังเกตผมก็จะพบคำตอบซ้ำๆ ไม่ต้องกดดัน ของมันสบายๆ รอได้ (ยิ้ม)”

Tags:

EFนพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์การเล่นพ่อแม่ระบบการศึกษาโรงเรียนจิตวิทยา

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Social Issues
    เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

วัยรุ่น: โอกาสสุดท้ายของการพัฒนา EF
EF (executive function)
29 December 2017

วัยรุ่น: โอกาสสุดท้ายของการพัฒนา EF

เรื่องและภาพ ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • ช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนา EF คืออายุระหว่าง 3-6 ขวบ แต่จริงๆ แล้วสมองส่วนหน้ายังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องแม้อยู่ในช่วงวัยรุ่นก็ตาม
  • วัยรุ่นจึงเป็นหน้าต่างบานใหม่สำหรับการพัฒนา EF และอาจเรียกได้ว่าเป็นหน้าต่างบานสุดท้าย
  • งานวิจัยจากศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ ม.มหิดลพบว่า วัยรุ่นไทยมีปัญหาพฤติกรรมที่เป็นความบกพร่องด้าน EF (Global EF Composite) จำนวน 36.5 เปอร์เซ็นต์ จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 275 คน (สำรวจใน 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน สมุทรสงคราม สงขลา และศรีสะเกษ)
  • ด้านที่บกพร่องมากที่สุดคือ ด้านการรู้คิด (Cognitive Regulation) 40.5 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ ด้านกำกับพฤติกรรม (Behavioral Regulation) และอารมณ์ (Emotional Regulation) อย่างละ 25 เปอร์เซ็นต์

ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มุ่งเป้าให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ‘วัยรุ่น’ ถือเป็นกลุ่มคนสำคัญที่ผู้ใหญ่พยายามเข้าไปช่วยผลักให้พวกเขาวิ่งไปสู่ลู่ทางที่เหมาะสม ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เพราะช่วงวัยนี้ถือเป็นวัยที่มีโอกาสเสี่ยงหรือพลาดพลั้งมากที่สุด แม้ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาอาจเผลอทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม

แต่นอกเหนือจากความสุ่มเสี่ยงที่ผู้ใหญ่มักเป็นกังวล วัยรุ่นเป็นช่วงวัยสำคัญที่จะพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้า (Executive Functions) หรือที่เรียกกันว่า EF อีกด้วย

และนั่นคือสิ่งที่วงสนทนาว่าด้วย ‘พลังวัยรุ่น เมื่อ EF พุ่งแรงรอบที่สอง’ ในงานประชุมวิชาการ ‘EF Symposium 2017 สมองเด็กไทยรากฐานทุนมนุษย์เพื่ออนาคตประเทศ’ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา พยายามบอกกับทุกคน

โอกาสทองแห่งการพัฒนา EF ครั้งสุดท้าย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิริยาภรณ์ อุดมระติ ผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตวิทยาพัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มต้นวงสนทนาด้วยการค้นหาความหมายว่า แท้จริงแล้ววัยรุ่นคือใคร และทำไมพวกเขาจึงเป็นเช่นนั้น

“วัยรุ่นเป็นเหมือนคนที่เกิดใหม่อีกครั้ง ผ่านพ้นจากความเป็น ‘เด็ก’ กลายมาเป็น ‘ผู้ใหญ่’ ที่แม้ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ต้องปรับตัวทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และสังคมใหม่ โดยเฉพาะความคิดความอ่านของเขาที่เปลี่ยนไป เขาจะมีความคิดที่แตกต่างจากเด็ก มีศักยภาพบางอย่างที่มากกว่าเด็ก”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิริยาภรณ์ อุดมระติ (ซ้าย) และ ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล (ขวา)

เมื่อเข้าใจพัฒนาการทางความคิดของวัยรุ่นแล้ว สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องทำคือ การฉกฉวยโอกาสเพื่อพัฒนาสติปัญญาและกระบวนการทางความคิดให้ได้มากที่สุด โดยใช้ทักษะ EF เป็นฐานสำคัญ

“อย่าคิดว่าเขาทำไม่ได้” ผศ.วิริยาภรณ์ เน้นย้ำ

อย่างที่รู้กันว่า ช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนา EF คืออายุระหว่าง 3-6 ขวบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า หลังผ่านพ้นช่วงวัยนั้นไปจะพัฒนาไม่ได้อีกแล้ว

“สาเหตุที่วัยรุ่นเป็นช่วงโอกาสสำคัญอีกครั้งสำหรับการพัฒนา EF เพราะวัยรุ่นจะจดจำ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยตัวเอง ในขณะที่เขากำลังมีศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองสูงมาก สิ่งนั้นจะฝังอยู่ในสมองเพื่อให้เขานำไปใช้ต่อไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

“วัยรุ่นจึงเป็นหน้าต่างบานใหม่สำหรับการพัฒนา EF และอาจเรียกได้ว่าเป็นหน้าต่างบานสุดท้าย”

สิ่งที่ผู้ใหญ่สามารถทำได้ทันทีและเริ่มต้นได้ง่ายๆ ในการพัฒนา EF ให้กับวัยรุ่นคือ การให้ ‘โอกาส’

“เราได้ให้โอกาสวัยรุ่นจริงหรือเปล่า เราเคยให้เขาเลือกทำสิ่งในที่เขาสนใจไหม สนใจในที่นี้ต้องเป็นงานที่อยู่ภายใต้กรอบหรือโครงการที่เขาทำอะไรได้ ที่สำคัญคือให้เขาฝึกทำด้วยตัวเอง ภายใต้การดูแลของเรา เพราะสิ่งที่เป็นตัวช่วยเสริมสร้างศักยภาพตรงนั้นให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและสังคมที่เขาเติบโต นั่นก็คือผู้ปกครอง” ผศ.วิริยาภรณ์ ให้แง่คิด

สถานการณ์ EF ของวัยรุ่นไทย

ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล ซึ่งคลุกคลีกับงานด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนอธิบายว่า การพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าของวัยรุ่น คือฐานสำคัญในการเตรียมพร้อมรับโจทย์ท้าทายโลกอนาคตของพวกเขา

แต่ก่อนอื่น ต้องเริ่มจากสืบเสาะหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ว่า ปัญหาด้านพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา EF ของวัยรุ่นไทยเป็นอย่างไร มูลนิธิสยามกัมมาจลจึงได้เป็นผู้สนับสนุนงานวิจัย ‘ประเมินผลการเรียนรู้ในโครงการสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Active Citizen) ต่อทักษะการคิดเชิงบริหารและการกำกับตนเองไปสู่เป้าหมายวัยรุ่น’ ซึ่งจัดทำโดย ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีสกุล และคณะ ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีพื้นที่ดำเนินโครงการ 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน สมุทรสงคราม สงขลา และศรีสะเกษ ทั้งหมด 275 คน มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่นในระบบ นอกระบบ ชาวดอย และชาวเมือง

ปิยาภรณ์อธิบายว่า งานวิจัยดังกล่าวเป็นการชี้วัด 3 ปัจจัยหลักๆ คือ EF ขั้นพื้นฐาน ความสามารถในการกำกับตัวเอง และความเพียรพยายามของตัวเอง

“สิ่งที่ใช้ในการประเมินคือ EF ขั้นพื้นฐาน ทั้งความสามารถในการให้เหตุผล ความยืดหยุ่นในการคิด ความจำในขณะการทำงาน ความสนใจจดจ่อต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดเป็นความสามารถที่จำเป็นต่อการทำงานและประคองตนในสังคมทั้งสิ้น”

ย้อนกลับไปสู่โจทย์หลักสำคัญ ก่อนที่จะพัฒนา EF ในวัยรุ่นได้อย่างตรงเป้า ต้องเริ่มจากการประเมินสถานการณ์ EF วัยรุ่นไทยเสียก่อน ซึ่งจากการประเมินผ่านปัจจัยทั้งสาม เบื้องต้นพบว่าวัยรุ่นที่มีปัญหาส่วนใหญ่มักมีลักษณะเหมือนกันคือ ขาดความสามารถในการกำกับควบคุมตัวเอง ทั้งอารมณ์และพฤติกรรม นั่นเท่ากับว่าวัยรุ่นไทยมีปัญหา EF ในภาพรวมทุกด้าน คิดเป็น 36.5 เปอร์เซ็นต์

สำหรับผลสำรวจคะแนนความสามารถในการกำกับตัวเองโดยรวมพบว่า ความสามารถดังกล่าวจะดีขึ้นตามวัยที่โตขึ้น กล่าวคือ เด็กวัยรุ่นอายุ 11-13 ปี (ทั้งหมด 75 คน) มีความสามารถในการกำกับตัวเอง 66.67 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออายุ 14-18 ปี (ทั้งหมด 200 คน) มีความสามารถในการกำกับตัวเอง 73 เปอร์เซ็นต์

ด้านความเพียรพยายาม เด็กวัยรุ่นไทยจากกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความเพียรพยายามต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย 11 เปอร์เซ็นต์ และมีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีคะแนนความเพียรพยายามสูงกว่าเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม เด็กส่วนใหญ่กว่า 75 เปอร์เซ็นต์ มีคะแนนความเพียรพยายามอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นอีก

แน่นอนว่า ปัจจัยทั้งสามล้วนส่งผลต่อกันและมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่าแนบแน่น ปิยาภรณ์อธิบายความสัมพันธ์ดังกล่าวโดยสรุปใจความสั้นๆ ว่า

ยิ่ง EF บกพร่องมากเท่าไร การกำกับตัวเองก็ยิ่งต่ำ ความเพียรก็ไม่ดี ทั้งในแง่ระยะสั้นและระยะยาว แต่ถ้า EF ไม่บกพร่องเลยหรือบกพร่องน้อย คะแนนการกำกับตัวเองก็จะยิ่งสูง และความพยายามก็จะดีด้วย

เมื่อผลวิจัยสะท้อนข้อมูลเช่นนี้จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ วัยรุ่นที่จะต้องเสริมสร้าง EF ของพวกเขาให้แร็งแรง หากไม่อยากให้วัยรุ่นไทยประสบปัญหามากไปกว่านี้

นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยชิ้นนี้ยังระบุอีกว่า คะแนน IQ สัมพันธ์กับการกำกับตนเอง กล่าวคือ เด็กที่มีระดับ IQ สูง จะมีคะแนนการกำกับตัวเองระยะยาวสูง ส่วนเด็กที่มีคะแนน IQ ต่ำ จะมีคะแนนการกำกับตัวเองระยะยาวต่ำ อย่างไรก็ดี ต้องขีดเส้นใต้ย้ำประโยคนี้ให้ชัดเจนด้วยว่า งานวิจัยดังกล่าวระบุอีกเช่นกันว่า IQ ไม่สัมพันธ์กับคะแนนความเพียรพยายามและปัญหาพฤติกรรมบกพร่องของ EF

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมบ่อยครั้งเราจึงเห็นเด็กเก่งหลายคนมีปัญหาด้านพฤติกรรมมาก หรือไม่มีความเพียรพยายาม

แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น ปิยะภรณ์ชี้ว่า วัยรุ่นจากกลุ่มตัวอย่างที่มี IQ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคือ 90-109 คะแนน มีเพียง 43.6 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาอยู่ที่ 80-89 คะแนน มีทั้งหมด 32 เปอร์เซ็นต์ ระดับ IQ ที่ 70-79 คะแนน มีทั้งหมด 11.3 เปอร์เซ็นต์ ระดับ IQ ต่ำกว่า 69 คะแนน มีทั้งหมด 4.4 เปอร์เซ็นต์ และระดับ IQ ที่สูงกว่ามาตรฐานคือมากกว่า 110-119 คะแนน มีทั้งหมด 4.7 เปอร์เซ็นต์

เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว สิ่งที่มูลนิธิสยามกัมมาจลดำเนินการต่อไปคือ การเปิดพื้นที่สร้างโอกาสแห่งการเรียนรู้ หรือที่เรียกว่า Learning Journey เพื่อกระตุ้นการใช้งาน EF ในการพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้าของวัยรุ่น ให้อิสระในการคิดและการรวมกลุ่มทำงาน

“โจทย์ของเราคือ ให้เขาเรียนรู้และพัฒนาผ่านการลงมือทำด้วยตัวเองเพื่อชุมชน เพราะเป็นสิ่งที่ท้าทายเด็กวัยนี้ ถ้าเขาได้มีโอกาสเลือกเอง เขาจะมีความมานะบากบั่น มีแรงบันดาลใจเป็นของตัวเอง สามารถทำงานเป็นกลุ่มได้ ยอมรับความแตกต่าง เรียนรู้วิธีการสื่อสารกับชุมชน และหาวิธีแก้ปัญหาของเขาเอง ถ้าผ่านการเรียนรู้ตรงนี้ได้ เขาก็จะก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จ และสามารถสื่อสารหรือถ่ายทอดต่อได้ในเวทีชุมชน”

สิ่งที่มูลนิธิสยามกัมมาจลค้นพบในเวลาต่อมาคือ เมื่อชุมชนเปิดพื้นที่ให้แก่พวกเขา ทำให้เด็กมีความมั่นใจมากขึ้น และเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเชิงบวกในหลายๆ ด้านตามมา

ปิยะภรณ์กล่าวต่ออีกว่า งานวิจัยนี้เป็นเพียงส่วนแรกเท่านั้น ส่วนที่สองที่จะทำต่อไปคือ การเปรียบเทียบผลก่อนและหลังจากเด็กเข้าร่วมโครงการ Active Citizen เพื่อค้นหาแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาด้านการคิดและการกำกับตัวเองไปสู่เป้าหมายในวัยรุ่นไทย

EF (Executive Functions) คืออะไร

ความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ควบคุมตนเอง ความจำใช้งาน และการคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น

เป็นเป้าหมายและประเด็นสำคัญที่วงการศึกษาไทยต้องการผลักดันให้เด็กรุ่นใหม่มีทักษะดังกล่าว เพื่อรับมือกับโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ที่แสนซับซ้อนในปัจจุบัน

(อ้างอิง: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์)

Tags:

พ่อแม่งานเสวนาAdolescent BrainEFปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

Author & Photographer:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    ลูกเป็นพลเมืองโลกแต่เราเป็นพลเมืองไทย ถึงเวลา ‘โรงเรียนพ่อแม่’ แล้วหรือยัง

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodEF (executive function)
    EF คือความรัก แต่ไม่ใช่รักที่ต้องแลกจากการเรียน เรียน และเรียน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ทำความเข้าใจสมองของเด็กพิเศษ ต่อยอดความพิเศษในตัวพวกเขา
Early childhoodEF (executive function)
28 December 2017

ทำความเข้าใจสมองของเด็กพิเศษ ต่อยอดความพิเศษในตัวพวกเขา

เรื่อง The Potential

  • เด็กพิเศษพัฒนาได้ ถ้าคนใกล้ชิดสังเกตเห็น และเข้ารับการพัฒนาทัน
  • ต้องเข้าใจในตัวเด็กพิเศษตามความเป็นจริง เพราะไม่ใช่การรักษาให้หาย แต่เพื่อบรรเทาความบกพร่องหลักของพวกเขา
  • บทบาทของผู้ใหญ่ที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ปกครองและครู คือปรับมุมมองตัวเอง อดทนและเรียนรู้ไปพร้อมกับพวกเขา
  • แนวทางในการส่งเสริมทักษะสมอง EF ของเด็กพิเศษเป็นได้หลายทิศทางและแต่ละอาการมีการฝึกฝนต่างกัน

สำหรับเด็กทั่วไป แนวทางการพัฒนากระบวนการทางความคิดและการจัดการของสมองส่วนหน้า (Executive Functions: EF) ถูกอธิบายไว้อย่างกว้างขวาง สามารถหยิบยกมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ยาก หากผู้ใหญ่รอบกายเข้าใจแนวทางการส่งเสริมอย่างถูกต้อง

ว่าแต่…แนวทางการพัฒนาทักษะสมอง EF สำหรับ ‘เด็กพิเศษ’ ล่ะเป็นอย่างไร มีหลักในการส่งเสริมเช่นไร น้อยคนนักที่จะรู้

เพื่อจะตอบปัญหาดังกล่าว ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์ กุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญประสาทวิทยา ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล จึงนำความรู้ที่ตนเชี่ยวชาญมาย่อยให้ฟังในวงเสวนาว่าด้วยเรื่อง ‘รักลูกเป็นพิเศษ การพัฒนาทักษะสมอง EF สำหรับเด็กพิเศษ’ ซึ่งจัดขึ้นโดย Thailand EF Partnership ในงานประชุมวิชาการ ‘EF Symposium 2017 สมองเด็กไทยรากฐานทุนมนุษย์เพื่ออนาคตประเทศ’ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ

ศ.นพ.วรสิทธิ์ เปิดวงเสวนาด้วยการชี้ชวนให้ผู้ใหญ่เริ่มต้นจากการสังเกตบุตรหลานของตนเองอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน

“พ่อแม่บางคนมารู้ว่าลูกตัวเองเป็นเด็กพิเศษก็ตอนเริ่มเข้า ป.1 แล้ว แม้จะยังไม่สายเกินแก้ แต่โดยปกติแล้วช่วงอายุ 3-6 ปี คือช่วงที่ทักษะสมอง EF พัฒนาได้ดีที่สุด”

วิธีการสังเกตว่าลูกเข้าข่ายเป็นเด็กพิเศษหรือไม่ สามารถเริ่มได้ง่ายๆ ด้วยการสังเกตกายภาพพวกเขา เช่น หน้าตาไม่เหมือนพ่อแม่ สีผมไม่เหมือนคนในครอบครัว ขนาดศีรษะเล็กหรือใหญ่เกินไป ส่วนวิธีการสังเกตเด็กโต เช่น มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือเปล่า มีพฤติกรรมซ้ำซากหรือไม่ ชอบย้ำคิดย้ำทำ มีปัญหาในการเข้าสังคม หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวและอาจควบคุมตัวเองไม่ได้

“เมื่อรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นเด็กพิเศษ นั่นหมายความว่าพวกเขามีความต้องการพิเศษ จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ เช่นเดียวกัน แนวทางในการส่งเสริมทักษะสมอง EF ของเด็กพิเศษนั้นก็จะพิเศษไปด้วย สามารถเป็นได้หลายทิศทางและแต่ละโรคมีเส้นทางการฝึกฝนไม่เหมือนกัน”

ก่อนจะไปสู่แนวทางการช่วยเหลือเด็กพิเศษ ศ.นพ.วรสิทธิ์ พาเข้าสู่คอร์สเลคเชอร์ว่าด้วยเรื่องความเชื่อมโยงพัฒนาการแต่ละด้านกับระบบประสาทรับความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้ว และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการต่อยอดพัฒนาทักษะสมอง EF

  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เกี่ยวข้องกับการรับสัมผัสและการทรงตัว พัฒนาการของมนุษย์เริ่มจากคอ ไล่ลงมาสู่หลัง แขน มือ ก้น ขา และเท้า เด็กพิเศษที่มีปัญหาตรงนี้มักทรงตัวหรือเดินได้ไม่ดี
  • กล้ามเนื้อมัดเล็ก เกี่ยวข้องกับการมองเห็นและการทรงตัว การทำงานประสานกันระหว่างตาและมือ เช่น งานประดิษฐ์ งานศิลปะ
  • การสื่อสารและภาษา รวมถึงภาษาพูดและภาษากาย
  • ทักษะสังคม ต้องใช้ความรู้สึกหลายๆ ด้านจากการสั่งสมประสบการณ์หลากหลายส่วนเพื่อเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา โดยข้อนี้คือส่วนที่ยากที่สุดและเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทรับความรู้สึก

ต่อมาส่วนที่ต้องเสริมสร้างคือ องค์ประกอบขั้นพื้นฐานสำหรับพัฒนาทักษะสมอง EF ได้แก่

  • ความจำใช้งาน (working memory) ความจำที่เก็บข้อมูลที่ได้เห็นหรือได้ยินในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อนำมาแปรผลและปฏิบัติการต่อ
  • ความยับยั้ง (inhibitory control) ความสามารถในการควบคุมความต้องการของตัวเอง
  • ความยืดหยุ่นทางความคิด (cognitive flexibility) ความสามารถในการประมวลผล พลิกแพลง คิดนอกกรอบเพื่อแก้ปัญหา

ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการต่อยอด EF ขั้นสูง ประกอบด้วย

  • จดจ่อใส่ใจ (attention) ความสามารถที่จะจดจ่อ ใส่ใจในสิ่งตรงหน้า ไม่วอกแวก
  • ควบคุมอารมณ์ (emotional control) จัดการความเครียดของตัวเองได้ แสดงออกถึงความเครียดของตัวเองโดยที่ไม่รบกวนผู้อื่น หรือทำให้คนอื่นไม่สบายใจ
  • การวางแผนและดำเนินการ (planning and organizing) เริ่มตั้งแต่วางแผน วิเคราะห์เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมด ออกแบบวิธีการเพื่อทำจนสำเร็จ
  • การลงมือทำ (initiating)
  • มุ่งเป้าหมาย (goal-directed persistence) เมื่อปีปัญหาก็แก้ไข อยู่กับเป้าหมายที่วางไว้ แต่ก็ยืดหยุ่นพลิกแพลงลงมือทำเพื่อให้สำเร็จ ซึ่งขั้นตอนนี้คือการผสมผสานทักษะ EF ทุกด้าน
  • ติดตามประเมินผล (self-monitoring)

จากที่กล่าวมาทั้งหมดพอเห็นภาพได้ว่า ทั้งสองส่วนนั้นส่งผลต่อกันและกัน และมีผลกระทบต่อตัวเด็กเองในอนาคต ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ในระหว่างที่พัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กยังไม่แข็งแรง ผู้ใหญ่จึงควรมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมเพื่อฝึกฝนให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเองไปตลอดชีวิต

แต่สำหรับเด็กพิเศษแล้ว พวกเขามีจุดบกพร่องบางอย่างหรือแทบทั้งหมดของที่กล่าวมาข้างต้น ศ.นพ.วรสิทธิ์ ยกตัวอย่างเด็กพิเศษโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder: ADHD) ว่า ถ้าย้อนมองไล่ตามพัฒนาการพื้นฐานทั้ง 4 ด้าน จนถึงองค์ประกอบพื้นฐาน EF จะเห็นว่าเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ไม่ค่อยดี ส่งผลให้สมาธิไม่ดี ไม่สามารถจดจ่ออะไรได้นานๆ จึงกระทบต่อองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของ EF

อีกตัวอย่างเช่น เด็กโรคออทิสซึม (Autism) จะมีความผิดปกติในการเจริญเติบโตของระบบประสาท ผู้ป่วยมักมีความบกพร่องทางด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสาร และมีพฤติกรรมทำกิจกรรมหรือพูดบางอย่างซ้ำๆ และเด็กกลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) ซึ่งเป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดจากการมีโครโมโซมคู่ที่ 21 ผิดปกติ ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มนี้จะมีพัฒนาการทั้ง 4 ด้านล่าช้าไปจนถึงปานกลาง หมายความว่า มีความบกพร่องตั้งแต่ฐานล่างสุด ทำให้ EF ขั้นพื้นฐานบกพร่องตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เด็กพิเศษไม่ได้หมายความว่าต้องได้รับการดูแลอย่างพิเศษเสียทีเดียว เพราะบางกรณีพวกเขาจะมีความสามารถพิเศษบางอย่าง เช่น บางคนมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูป บางคนมีความสามารถด้านคณิตศาสตร์ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านนั้นๆ เลยด้วยซ้ำ

ฉะนั้น หลักการพัฒนาทักษะสมอง EF ในเด็กพิเศษที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจในตัวเด็กและเข้าใจตามความเป็นจริง

“ต้องไม่อวยหรือกดพวกเขา และไม่ประเมินมากกว่าหรือน้อยเกินกว่าความจริง”

คือสิ่งที่ ศ.นพ.วรสิทธิ์ เน้นย้ำเพื่อจะได้วินิจฉัยอย่างถูกต้องและตรงไปตรงมามากที่สุด รวมถึงรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของพวกเขา

ลำดับถัดไปคือ การค้นหาภาวะความเจ็บปวดนอกจากการเป็นเด็กพิเศษ เพราะส่วนใหญ่แล้วเด็กพิเศษมักมีโรคแทรกซ้อน เช่น เด็กกลุ่มอาการดาวน์บางคนเป็นโรคหัวใจ จากนั้นต้องรู้ว่าพวกเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร

“เด็กพิเศษบางคนมีประสาทสัมผัสที่ไวมาก บางคนเขาไม่ชอบให้กอด ที่เขาบอกว่าเจ็บคือเจ็บจริงๆ นะครับ เพราะประสาทสัมผัสของเขาไม่เหมือนคนทั่วไป”

เมื่อความซับซ้อนของเด็กพิเศษแต่ละคนต่างกัน สิ่งสำคัญที่สุดในการฝึกสมองเพื่อทักษะ EF ของเด็กเหล่านี้คือ เริ่มจากแก้ไขหรือบรรเทาความบกพร่องหลักของพวกเขาก่อน เช่น ควบคุมอาการด้วยยา เพื่อให้พวกเขาสามารถดำเนินกิจกรรมที่เหมาะสม โดยกิจกรรมต่างๆ จะต้องมาจากการกำหนดโดยผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเรื่องนี้ ศ.นพ.วรสิทธิ์ เสนอแนะว่า

“กิจกรรมไม่จำเป็นต้องซับซ้อนหรือยากเกินไป โดยอาจเริ่มฝึกจากสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น ระหว่างที่ลูกรอแม่ชงนมให้ ก็สามารถฝึกให้เขารู้จักอดทนรอได้”

ศ.นพ.วรสิทธิ์ บอกอีกว่า กิจกรรมเพื่อการฝึกฝนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง รวมถึงต้องมีการประเมินเพื่อปรับให้สอดคล้องกับตัวเด็ก และให้รางวัลเพื่อสร้างกำลังใจให้พวกเขา ซึ่งไม่จำเป็นว่าของรางวัลนั้นจะต้องเป็นสิ่งของ แต่อาจเป็นเพียงคำชมเชย เพราะสำหรับเด็กพิเศษแล้วคำชมเล็กๆ ถือว่าสำคัญสำหรับพวกเขาที่มักโดนตำหนิอยู่ตลอดเวลา

ส่วนสุดท้ายแต่สำคัญที่สุดคือ การปรับมุมองของผู้ใหญ่เอง ทั้งผู้ปกครองและครู ต้องอดทนและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็ก

“ต้องอดทนครับ บางครั้งเราอาจไม่เห็นความคืบหน้าภายในเดือนเดียวหรือสองเดือน สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องทำคือ เชื่อมั่นและอดทนไปพร้อมๆ กับพวกเขา เพราะอย่าลืมว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว”

EF (Executive Functions) คืออะไร
ความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ควบคุมตนเอง ความจำใช้งาน และการคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น
เป็นเป้าหมายและประเด็นสำคัญที่วงการศึกษาไทยต้องการผลักดันให้เด็กรุ่นใหม่มีทักษะดังกล่าว เพื่อรับมือกับโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ที่แสนซับซ้อนในปัจจุบัน
(อ้างอิง: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์)

Tags:

งานเสวนาAdolescent BrainEFพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Early childhoodEF (executive function)
    เปิด ‘ห้องเรียนพ่อแม่’: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

กฎข้อที่ 1 ของการเป็นคนกล้า คือการเผชิญหน้ากับความกลัว
Character building
27 December 2017

กฎข้อที่ 1 ของการเป็นคนกล้า คือการเผชิญหน้ากับความกลัว

เรื่อง The Potential

  • อุมา-อุบลวรรณ ศิลาชัย สมาชิกโครงการพลังเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ เคยเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าออกความเห็น และคิดว่าตัวเอง ‘ดีไม่พอ’ อยู่เสมอ
  • การเข้ามาทำงานในโครงการฯ ทั้งฝึกฝนและท้าทายให้อุมาต้องเผชิญหน้ากับความกลัว เพื่อผลักดันโครงการที่เธอปลุกปั้นกับมือให้สำเร็จ
  • ความกลัวของอุมาเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะวัยรุ่น แต่การสนับสนุนผ่านความเข้าใจและไม่ยอมให้เขาหลบเลี่ยงปัญหา คือหน้าที่ของคนพ่อแม่ หรือคนที่คอยประคองอยู่ข้างๆ

“กลัว ไม่กล้า ไม่อยาก ไม่เอา ทำไม่ได้หรอก” คือคำพูดที่พ่อแม่มักได้ยินบ่อยๆ จากปากลูก

โดยทั่วไปเมื่อเด็กต้องพบกับสิ่งกระตุ้นที่อาจจะทำให้เกิดความกังวลใจ เช่น เปิดเรียนใหม่ ใกล้สอบ หรือต้องนำเสนองานหน้าชั้นเรียน ก็มักจะมีอาการตื่นเต้น ใจสั่น เหงื่อออก รู้สึกกลัวหรือกังวล ซึ่งเป็นภาวะปกติที่พบได้ในคนทั่วไป และอาการวิตกกังวลเหล่านี้มักจะหายไปเมื่อเหตุการณ์นั้นลุล่วงไปแล้ว แต่หากความกลัวหรือความกังวลซ้ำๆ ไม่หายไป แถมยังมีมากมากกว่าปกติจนส่งผลกระทบต่อชีวิต เช่น ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่สามารถเรียนได้อย่างเคย สมาธิในการทำงานเสียไป ความสัมพันธ์กับเพื่อนแย่ลง อาจกลายเป็นความผิดปกติของกลุ่มโรควิตกกังวลในเด็กได้

วัยรุ่นเป็นวัยที่ระบบความคิดกำลังพัฒนา แต่ความรู้สึกวิตกกังวลอาจเข้ามาบดบังขีดความสามารถของวัยรุ่นและมีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะคลายความกังวลให้กับวัยรุ่นคือ พ่อแม่ ครู หรือผู้เกี่ยวข้อง ต้องเข้าใจความคิด ความต้องการ เปิดพื้นที่ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้ลงมือทำสิ่งที่เป็นความต้องการของเขาเอง เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาความรู้สึกด้านลบ ซึ่งเป็นสาเหตุของความวิตกกังวลในวัยรุ่น ด้วยการให้เขากล้าเผชิญกับความท้าทายต่างๆ แทนที่จะหลบเลี่ยงหรือหลีกหนี

“ปกติเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก ไม่อยากสุงสิงกับใคร ชอบอยู่คนเดียว เวลาพูดต่อหน้าคนเยอะๆ จะรู้สึกกลัวและอายมากๆ” คือคำบอกเล่าของ อุมา-อุบลวรรณ ศิลาชัย ที่อธิบายถึงนิสัยของตัวเองเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่วันนี้อุมากลายเป็นคนกล้าพูด กล้าคิด กล้านำเสนอ และมีระบบการคิดวิเคราะห์ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

หลายคนคงอยากรู้ว่า อะไรที่ทำให้อุมาเกิดการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้

ความเปลี่ยนแปลงของอุมา เริ่มขึ้นจากการได้เข้ามาทำงานในโครงการ ‘พลังเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ’ ตั้งแต่ปี 2558 ที่กระบวนการเรียนรู้จากโครงการได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเธอไปอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ใช่เข้ามาแล้วจะเปลี่ยนเลยนะ พี่ๆ เขามีวิธีฝึกฝนเราทีละขั้น ปีแรกจำได้เลยว่า จับไมค์ทีไรสั่นทุกที พูดไม่ออก เรียบเรียงความคิดไม่ได้เลย กลัวพูดแล้วเพื่อนจะไม่เข้าใจ แต่พี่เลี้ยงเขาสร้างเงื่อนไขให้เรากล้าเผชิญความกลัวและความวิตกกังวล

“คือเริ่มจากให้จับกลุ่มคุยกัน 5 คน ใช้ปากกาแทนไมค์ พอเราเริ่มคุ้นชินกับการพูดแล้วก็ให้จับไมค์พูด นำเสนอความก้าวหน้าของโครงการในวงใหญ่ เมื่อเริ่มกล้าจับไมค์แล้ว สิ่งที่ยังกังวลอยู่คือ แล้วเราจะพูดอะไร พูดแล้วเพื่อนจะเข้าใจไหม พี่ๆ เขาก็แนะนำว่า ให้พูดจากสิ่งที่เราทำ พอเริ่มรู้เทคนิค ครั้งหน้าเวลามีการอบรมเราก็ต้องเตรียมข้อมูลและฝึกพูดก่อน เพื่อลดความวิตกกังวลและสร้างความมั่นใจให้ตนเอง”

กระบวนการฝึกฝนจากโครงการทำให้อุมากล้าเผชิญกับความกลัว นอกจากจะเปลี่ยนเธอให้เป็นคนใหม่ที่กล้าคิด กล้าพูด กล้านำเสนอแล้ว เธอยังรู้ว่า เวลาเกิดความกังวลหรือเครียดมากๆ จากเรื่องเรียนและการทำงานในโครงการ เธอและเพื่อนๆ จะช่วยกันหาทางออกและแก้ไขปัญหาจนได้ ทำให้เธอไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหาใดๆ

การวางตัวเป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งที่เปลี่ยนไปของอุมา เพราะต้องทำงานกับคนหลายวัย ทั้งเพื่อนๆ พี่ ป้า น้า อา และคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน ทำให้เธอรู้จักวิธีเข้าหาคน ถ้าทำงานกับเพื่อนด้วยกันเอง ก็ใช้พูดคุยหยอกล้อกันแบบสนุกๆ หากเป็นเพื่อนต่างกลุ่มก็จะรู้จักถ่อมตัวและรับฟังความคิดเห็นเพื่อน ส่วนการทำงานกับพี่เลี้ยงหรือผู้ที่อาวุโสกว่า เธอจะยึดหลักมารยาทและให้ความเคารพนับถือ

อุมาบอกว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เธอต้องขัดแย้งกับพ่อแม่อยู่บ่อยครั้ง แม้รู้ว่าพ่อแม่หวังดี อยากให้สนใจแต่เรื่องเรียน ไม่อยากให้มาทำโครงการ เพราะมีกิจกรรมบ่อย พ่อแม่จึงกังวลว่าเธอจะไม่มีเวลาพักผ่อนหรือการเรียนตกต่ำ

แต่ระยะหลังเมื่อพ่อแม่เห็นว่าเธอมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ได้เป็นหัวหน้าโครงการ ได้นำเสนองานในชุมชนอยู่บ่อยครั้ง และเห็นว่าเธอทำได้จริง จนถึงวันนี้จึงไม่ห้าม แถมยังเห็นด้วยและเปิดโอกาสให้เธอเข้ามาทำงานโครงการเต็มที่

จะเห็นได้ว่าการก้าวข้ามความรู้สึกกังวลของวัยรุ่น พ่อแม่และคนรอบข้างมีส่วนสำคัญที่จะนำพาวัยรุ่นให้ก้าวผ่านความรู้สึกกังวลได้ โดยเริ่มจากการสร้างเงื่อนไขให้ลูกกล้าเผชิญกับความกลัว หากรู้ว่าลูกกลัวหรือกังวลเรื่องใด พ่อแม่ต้องฝึกให้ลูกเผชิญความกลัว ไม่ใช่หลบหลีก (Avoidance Therapy) ความกลัวหรือความกังวลเหล่านั้น ให้เขาเห็นว่าไม่ได้เกิดผลร้ายอย่างที่กลัว ที่สำคัญพ่อแม่และคนรอบข้างจะต้องเข้าใจวิธีสนับสนุนการเรียนรู้ ซึ่งหากทำได้ ในอนาคตไม่ว่าลูกจะเจออุปสรรคใหญ่โตเพียงใด เขาก็จะกล้าเผชิญปัญหานั้นด้วยใจที่มุ่งมั่น

Tags:

ศรีสะเกษการเติบโตวัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก
Grit
22 December 2017

5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้พัฒนาความชอบ สนับสนุนและช่วยค้นหาคุณค่าความชอบของพวกเขาอย่างเอาใจใส่
  • สร้างเป้าหมายที่ท้าทายและยิ่งใหญ่ ตั้งความหวังที่ท้าทายความสามารถและเหมาะกับวัยของพวกเขา
  • ยิ่งฝึกยิ่งชำนาญ เป็นการฝึกปฏิบัติอย่างมีคุณภาพและต้องฝึกมากพอ
  • ให้พวกเขาเรียนรู้จากความล้มเหลว อนุญาตที่จะให้ลูกๆ หัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่พอใจกับความล้มเหลว สอนให้พวกเขาอย่าท้อและอย่าเชื่อว่าความล้มเหลวนั้นเป็นสิ่งถาวร
  • พ่อแม่ก็ต้องมีอุปนิสัยแบบนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าพ่อแม่ไม่มีแนวคิดแบบนั้นก่อน เด็กก็จะไม่เห็นตัวอย่าง เพราะส่วนใหญ่เด็กๆ มักปฏิบัติตามหรือเลียนแบบสิ่งที่พ่อแม่เป็น

การสอนลูกให้รู้จักความเพียรพยายามมุมานะ อดทน และสู้เพื่อความฝันด้วยวิธี ‘ติเพื่อก่อ’ ด้วยการว่า เด็กสมัยนี้ไม่อดทน ไม่เข้มแข็ง หรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ เพื่อคาดหวังให้เด็กๆ นำคำเหล่านั้นเก็บไปสู้ คงไม่ใช่หนทางที่ถูกวิธี เพราะบางครั้งการได้ยินคนที่เรารักมากที่สุดว่าแบบนั้นมีแต่จะยิ่งทำให้พวกเขาหมดกำลังใจและท้อถอย

ฉะนั้นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรปรับจึงเป็นการหาแนวทางในการสร้างอุปนิสัยความเพียร (Grit) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้พวกเขา ซึ่งจะสำเร็จได้นั้นผู้ช่วยที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ใหญ่รอบกายเด็กๆ นั่นเองที่จะช่วยเสริมสร้าง เติมเต็มและกระชับความสัมพันธ์ของช่องว่างนี้ให้ใกล้กันมากขึ้น

Tags:

พ่อแม่ครูโรงเรียนGrit

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    คู่มือเลี้ยงเด็กในศตวรรษที่ 21 จะปรับตัวอย่างไรให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รอด!

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    WHAT IS GRIT?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    นิสัย 5 อย่างของพ่อแม่ สอนลูกให้มีความเพียร

    เรื่องและภาพ KHAE

WHAT IS GRIT?
Grit
22 December 2017

WHAT IS GRIT?

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

สำหรับแอนเจลา ลี ดักเวิร์ธ (Angela Lee Duckworth) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Grit และนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย University of Pennsylvania ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ‘Grit: The Power of Passion and Perseverance’ ได้ให้นิยามเกี่ยวกับ Grit ไว้ ณ เวที TED Talks เมื่อปี 2013 ว่า

“Grit คือความทรหดอดทน ความเพียรคือการมุ่งมั่นไปข้างหน้า วันแล้ว วันเล่า ไม่เพียงแค่สัปดาห์ ไม่เพียงแค่เดือน แต่เป็นปี และทำมันอย่างหนัก เพื่อให้อนาคตที่ฝันกลายเป็นจริง ความเพียร คือการใช้ชีวิตแบบวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น”

ด้วยเหตุนั่นเอง Grit เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วจึงเข้ากับความหมายว่า ‘ความเพียร’ ที่มีหลักสำคัญอยู่ที่การฝักใฝ่ใคร่รัก ทุ่มเท และบากบั่นฟันฝ่า เพื่อเป้าหมายระยะยาว

Tags:

พ่อแม่ครูโรงเรียนGrit

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    คู่มือเลี้ยงเด็กในศตวรรษที่ 21 จะปรับตัวอย่างไรให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รอด!

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Grit
    5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    นิสัย 5 อย่างของพ่อแม่ สอนลูกให้มีความเพียร

    เรื่องและภาพ KHAE

เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’
Character building
22 December 2017

เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

เรื่อง The Potential

  • ‘ภาวะผู้นำ’ ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ง่าย และต้องผ่านการลองผิดลองถูกฝึกฝน
  • นี่คือเรื่องเล่าและมุมมองต่อ ‘ภาวะผู้นำ’ ของเด็กในโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน ผ่านกิจกรรมต่างๆ
  • หนึ่งในนั้นคือ ‘ปุ๊กกี้’ กับการพัฒนาทักษะผ่านโครงการสืบสานศิลปะการฟ้อนรำไทลื้อและดนตรีพื้นบ้าน 

ความรับผิดชอบ ความอดทน ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ฯลฯ อุปนิสัยเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานของการเป็น ‘ผู้นำที่ดี’ สังคมไทยต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีภาวะผู้นำแบบนี้ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการนำทิศทางของประเทศให้อยู่รอด ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทยและโลก แต่จะทำอย่างไรให้พวกเขาเหล่านั้นเกิด ‘ภาวะผู้นำ’

จากสถานการณ์ที่เด็กและเยาวชนไทยจำนวนมากไม่เพียงแต่ไม่มีความต้องการที่จะเป็นผู้นำ ในความเป็นจริงแล้วเด็กและเยาวชนไทยยังไม่มีภาวะ ‘ความเป็นผู้นำ’ อีกด้วย

มูลนิธิสยามกัมมาจล มีเรื่องราวมานำเสนอเพื่อเป็นแนวทางที่คุณครูหรือผู้ใหญ่ใจดีสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้เกิดผลกับเด็กและเยาวชนในเรื่องดังกล่าวได้ จากหนังสือ เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่ เขียนโดย ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ในบทที่ 20: ชวนเด็กทำงานสร้างสรรค์และงานรับใช้ผู้อื่น ที่มีใจความสำคัญความตอนหนึ่งว่า…

“การเรียนรู้ที่ดีที่สุด ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม หรือเรียนโดยการทำงาน โดยแบ่งหน้าที่ให้เด็กทำงานร่วมกันเป็นทีม ทำให้การเรียนรู้เป็น ‘กระบวนการเรียนรู้แท้’ (Authentic Learning)

“เด็กจะได้รับประสบการณ์ตรง ได้ฝึกความอดทน มานะบากบั่น มีประสบการณ์กับความล้มเหลว หรือการเผชิญความยากลำบาก รู้จักปรับปรุง เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน ในกรณีนี้ การทำงานเป็นกุศโลบายเพื่อการเรียนรู้หลากหลายมิติของเด็ก รวมทั้งเพื่อพัฒนาความเป็นพลเมืองดีมีการเรียนรู้เป็นเป้าหมายหลัก ผลงานเป็นเป้าหมายรอง…”

เพื่อให้เห็นภาพการเรียนรู้การเป็น ‘ผู้นำ’ ที่ชัดเจน จึงขอยกตัวอย่างเยาวชนที่มีพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับหัวข้อนี้มานำเสนอ จากโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน ปี 3 สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินการโดย มูลนิธิส่งเสริมการเรียนรู้ (วัดโป่งคำ) ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดน่าน ซึ่งมีโครงการเยาวชนชื่อ ‘หนึ่งเยาวชน หนึ่งชุมชน หนึ่งต้นน้ำ’ รับผิดชอบโดยกลุ่มเยาวชนบ้านทุ่งสุน มีแกนนำเยาวชนจำนวน 5 คน ประกอบด้วย

  1. วิมลสิริ ขุลิลัง (โรส) อายุ 15 ปี ชั้น ม.3 โรงเรียนปัว หัวหน้าโครงการ
  2. จิราภา เทพจันตา (ปุ๊กกี้) อายุ 17 ปี ชั้น ม.5 โรงเรียนเชียงกลางประชาพัฒนา
  3. อิสริยา โพธิ์ทอง (ออย) อายุ 17 ปี ชั้น ม.5 โรงเรียนทุ่งช้าง
  4. ณัฐวุฒิ ทองแก้ว (นิล) อายุ 17 ปี ชั้น ม.5 โรงเรียนทุ่งช้าง
  5. สุภาภรณ์ กลิ่นหอม (มายด์) อายุ 15 ปี ชั้น ม.3 โรงเรียนทุ่งช้าง

เมื่อทุกคนเป็นเยาวชนของบ้านทุ่งสุน จึงมีความต้องการร่วมแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำที่แม่น้ำสุน ซึ่งเป็นสายเลือดหลักที่ชุมชนใช้ในการอุปโภคและบริโภค แต่ปัจจุบันแม่น้ำสายนี้มีปัญหาเกิดจากการใช้สารเคมีในการเกษตร อีกทั้งน้ำมีน้อยเริ่มไม่พอใช้ จนต้องไปขอน้ำจากเทศบาล และส่งผลกระทบกับตัวเยาวชนโดยตรงที่ชุดนักเรียนจะมีคราบสีเหลือง และมีน้ำใช้ไม่เพียงพอ

หลังจากเยาวชนได้ทำโครงการมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรและมีความต่อเนื่องถึง 2 ปี โดยเฉพาะ ‘ปุ๊กกี้’ ก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในตนเองชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะได้เรียนรู้ความหมาย ‘ผู้นำที่ดี’ ควรเป็นอย่างไร

กัปตัน ‘ปุ๊กกี้’

ปุ๊กกี้บอกว่า เธอถอย 1 ก้าว แล้วให้น้องก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าแทนตัวเอง เพื่อให้น้องได้รับโอกาสดีๆ เหมือนที่เธอมี เดิมปุ๊กกี้เป็นหัวหน้าโครงการสืบสานศิลปะการฟ้อนรำไทลื้อและดนตรีพื้นบ้าน เมื่อปีที่แล้วเธอเพิ่งทำโครงการลักษณะแบบนี้เป็นครั้งแรก เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนเชียงกลางประชาพัฒนาได้เสนอชื่อให้ทำโครงการ เธอจึงโดดมารับหน้าที่ ‘หัวหน้า’

“ในฐานะหัวหน้าโครงการ หนูคิดว่าหนูมาไกลมากค่ะ ที่โรงเรียนเก่าของหนู โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 98 บ้านงอบ จังหวัดน่าน หนูมีบทบาทเป็นประธานนักเรียน มีอีโก้สูง ไม่ฟังคนอื่นเลย เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหลัก ติดกับการสั่ง ชอบสั่งเพื่อนๆ จุดเปลี่ยนของหนูคือ มีกิจกรรม เวิร์คช็อปในโครงการนี้ เราต้องไปรวมกับกลุ่มอื่นๆ

“แล้วเราก็เห็นภาพที่สะท้อนกลับมาที่ตัวเองจากกระบวนการที่เราได้ทำ สะท้อนว่าเราเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ชอบสั่งเกินไปไหม เราต้องรับฟังคนอื่นบ้าง ไม่ใช่กลุ่มมีเราอยู่แค่คนเดียว ทำงานกับคนหมู่มากก็ต้องฟังเขาด้วย ก็เริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะหนูไปทำกิจกรรมบ่อยๆ ทำให้เห็นตัวเอง เราอยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีหลายเวทีที่หนูค่อยๆ เปลี่ยนตัวเอง”

ปุ๊กกี้เล่าว่า ถึงแม้เธอมองเห็นตัวเองและพยายามเปลี่ยนตัวเอง แต่ก็ยังมีร่องรอยเดิมของความเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ฟังความคิดเห็นใคร จนทำให้การจัดมหกรรมคืนข้อมูลให้ชุมชนล้มเหลว

“งานมหกรรมวันนั้น เขาให้เราคิดว่าเราจะวางเวทีอย่างไร ใส่รูปแบบอย่างไร ให้ช่วยกันคิด เพื่อนก็เสนอมา พี่เลี้ยงก็เสนอมา หนูก็ฟังแต่พี่เลี้ยงคนเดียว ไม่ฟังเพื่อน เพื่อนทั้งกลุ่มก็น้อยใจ โกรธ ไม่คุยกับหนู เขาไม่มาทำกับหนูอีกเลย ให้เราทำคนเดียว จนครูต้องเข้ามาช่วย จุดนี้ทำให้หนูต้องทบทวนตัวเอง”

เธอเริ่มรู้ตัวและพยายามเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่ปุ๊กกี้ก็ยังเจอบททดสอบที่ยาก เมื่อเวทีคืนข้อมูลให้ชุมชนต้องจัดถึง 3 ครั้งจึงสำเร็จ เวทีแรกจัดที่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา เพราะการสื่อสารกันไม่ดีพอภายในกลุ่ม ทำให้ได้แค่ไปรำโชว์ในงาน เตรียมข้อมูลไปพร้อม แต่ไม่ได้พูด

ตอนนี้สีหน้าเพื่อนๆ บอกว่าไม่เอาแล้ว เราก็คิดว่าเราต้องกลับไปทบทวนใหม่ว่าเป็นแบบนี้เพราะอะไร เป็นเพราะเราอีโก้สูง ไม่ฟังคนอื่นด้วย เราก็เริ่มรู้สึกตัวเองได้จากตรงนี้

เวทีที่ 2 ในงานแห่เทียนเข้าพรรษาในชุมชน แต่เจ้าตัวกลับติดงานแห่เทียนที่โรงเรียน ในฐานะ ‘หัวหน้า’ คิดว่าแบ่งหน้าที่ให้น้องทำแล้วก็น่าจะเพียงพอ

“ตอนหนูไปถึง งานล้มแล้ว น้องๆ บอกว่าเละแล้ว รำไปได้แค่ครึ่งเพลง เพลงดับ เพราะแบตมือถือหมด ถูกต่อว่าเยอะมาก ทำให้โรงเรียนอับอาย เย็นนั้นพี่เลี้ยง พี่มิ้นท์ พี่กอล์ฟ (จากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดน่าน) ถามว่าจะทำอย่างไรต่อ บอกว่าถ้าหนูไม่ทำแล้วใครจะทำ พี่เขาปลอบและให้กำลังใจ ตัวหนูก็คิดว่า เราต้องทำให้ได้ ไม่คิดจะเลิกทำ พอเวทีที่ 3 ไปจัดที่วัด ครั้งนี้มีพี่เลี้ยงและวัดมาช่วยกันจัดงานและมีชาวบ้านมาฟังข้อมูล พอจบเวทีพวกเรารู้สึกดีใจมากเลย”

ปุ๊กกี้สะท้อนว่า จากสถานการณ์วิกฤติในการทำโครงการปีแรก ทำให้ตัวเองได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก

“ทำให้หนูเป็นคนมีเหตุผลมากขึ้น จะทำอะไรก็คิด แต่ก่อนหนูมีปัญหากับน้องคนหนึ่ง และต่อว่าน้องเขาตลอด แต่พอจบโครงการ เราก็คิดว่าเราเป็นผู้นำ เราต้องทำให้เขาเชื่อถือ เราจะทำอะไรต้องคิดก่อน ไม่ใช่ว่าอะไรนิดหน่อยก็โวยวาย เป็นที่สาธารณะคนเขารู้หมดเลย หนูกลับมาเปลี่ยนตัวเอง หนูฟังเพื่อนมากขึ้น ลดอีโก้ตัวเองลง เราทำงานไปด้วยกัน ไม่ใช่ทำงานแค่คนเดียว มันก็ยากนะคะ แต่หนูก็พยายามทำให้ได้

“พวกเราสัญญากันว่าจะทำโครงการแล้วเหยียบเส้นชัยไปพร้อมกัน เวลามีกิจกรรมก็จะระดมให้เพื่อนเสนอความคิดมาบ้าง จากเมื่อก่อนเขาเสนอมาหนูไม่ฟังเลย หนูก็ทำใจอยู่พอสมควร เราฟังเพื่อนมากขึ้น แล้วแบ่งงานให้เพื่อนมากขึ้น เขาก็ช่วยแบ่งเบาภาระเราไป ทำให้งานก้าวหน้า เราก็โล่งไปเลย

“พอหนูเปลี่ยนตัวเอง เพื่อนๆ น้องๆ ก็เปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนเขาไม่ค่อยมายุ่งกับหนูเลย แต่ตอนนี้ไปไหนมาไหนเจอเขาก็ทักทายเรา หนูเปลี่ยนตัวเองได้ หนูก็ภูมิใจมากเลย หนูคิดว่าถ้าหนูไม่ได้ทำโครงการนี้ หนูจะกลายเป็นคนอย่างไร จะมีคนมาคบหนูไหม”

จากปีแรกเธอได้ประสบการณ์ตรง สร้างภาวะผู้นำที่ดีให้แก่ตนเอง เมื่อเห็นความภาคภูมิใจในตัวเองแล้ว เธออยากส่งต่อความภาคภูมิใจนี้ให้แก่รุ่นน้อง เมื่อพี่ๆ มาชวนทำโครงการปี 2 เธอก็ไม่รีรอรับทำ แต่เมื่อมาวิเคราะห์ตัวเองแล้วพบว่า เมื่ออยู่ ม.5 เวลาเรียนจะยุ่งขึ้น ไม่มีเวลามาทำโครงการ จึงอยากจะหารุ่นน้องมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ เธอเลือก ‘โรส’ น้อง ม.3 ที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน เธอมองเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ให้โอกาส’ ในการพัฒนาศักยภาพตนเองผ่านโครงการเหมือนที่เธอเคยได้รับ

จากซ้ายไปขวา นิล-ณัฐวุฒิ ทองแก้ว นิล, ปุ๊กกี้- จิราภา เทพจันตา และ ออย-อิสริยา โพธิ์ทอง

“โรสได้รับคัดเลือกเป็นประธานเยาวชนบ้านทุ่งสุน หนูก็คิดว่าอยากให้น้องได้รับโอกาสดีๆ แบบที่หนูเคยได้รับ ได้ฝึกตัวเอง หนูถอย 1 ก้าว แล้วให้น้องก้าวขึ้น แต่หนูก็ไม่ได้ทิ้งน้อง แต่หนุนน้องขึ้นมา เพราะน้องอาจจะขาดทักษะบางจุด หนูก็จะช่วยเสริมตลอด เช่น เวลามีประชุม จะให้น้องเป็นผู้นัดประชุม กล่าวเปิดประชุม แรกๆ น้องทำไม่เป็น เราก็จะช่วยเปิดให้น้องดูก่อน พอกิจกรรมต่อไปให้น้องพูดเอง เราจะมาฝึกน้องหลังไมค์ อาจมีตะกุกตะกักบ้างช่วงแรกๆ แต่หลังๆ น้องก็พูดได้ เห็นพัฒนาการของน้อง แล้วเราก็ดึงน้องให้มามีส่วนร่วมกับชุมชนมากขึ้น

“นอกจากนี้ เราก็ยังให้กำลังใจน้องเขาตลอด กระตุ้นเขา บอกเขาว่าถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ เวลาเขาทำอะไรเราก็บอกว่าสู้ๆ นะ ให้กำลังใจกันตลอด เวลาไปเวิร์คช็อปเราก็พยายามผลักดันให้น้องออกไปพูด ทำทุกวิธีให้น้องได้ฝึก อยากให้น้องได้ฝึกการพูดต่อหน้าคนมากๆ จะได้รู้สึกมีความมั่นใจ”

สุดท้ายปุ๊กกี้บอกเคล็ดลับการเป็นผู้นำที่ดีในความคิดตัวเองว่า

“ผู้นำที่ดีต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ตรงต่อเวลา พูดคำไหนคำนั้น เราต้องทำให้ได้ พูดแล้วต้องทำ อย่าพูดลอยๆ ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ เหมือนขยะอยู่ตรงหน้า ถ้าเราไม่เก็บแล้วใครจะเก็บ เหมือนโครงการเรา ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ คิดอย่างนี้แล้วเราก็มีความสุขค่ะ ทำให้ค้นพบตัวเองว่า หนูอยากเป็นนักพัฒนาสังคม เห็นพี่ๆ เขาทำแล้วหนูมีความสุข ได้ทำงานกับเด็กๆ ทำงานกับชุมชน เราก็คุยกับคนในพื้นที่อยู่แล้ว เราถึงเข้าใจกันและกัน ก็อยากช่วยพัฒนาจังหวัดเราเองด้วย”

ซ้ายสุด โรส-วิมลสิริ ขุลิลัง

กัปตัน ‘โรส’

มาถึงรุ่นน้อง ‘โรส’ ที่ปุ๊กกี้ให้สานต่อภาระหน้าที่ ‘หัวหน้า’ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญ เจ้าตัวแม้จะอายุเพียง 15 ปี แต่เมื่อมีพี่คอยช่วยชี้แนะก็สามารถทำได้ดี

“บทบาทของหนูคือหัวหน้าโครงการ ทำหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจ วางแผน ติดตาม และเรียกประชุม ส่วนงานประสาน พี่ๆ เขาจะช่วยดูให้ มีพี่ปุ๊กกี้กับพี่ออยเป็นพี่เลี้ยงให้ สอนให้เราประสานและคุยกับชุมชน แรกๆ มีพี่เขามาบอก หลังๆ เริ่มทำได้เองโดยไม่ต้องบอกแล้วค่ะ”

จากการทำงานกว่าครึ่งปี ทำให้โรสได้ประสบการณ์มากมาย

“การทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ทำให้หนูได้พบเจอสังคมหลายๆ อย่างที่ดี ถ้าไม่ได้มาอยู่ในโครงการนี้ หนูก็คงไม่ได้เป็นผู้นำ ตัวหนูได้พัฒนา ได้รู้จักตนเอง ได้รู้จักการวางแผน และมีทักษะการดูแลตัวเอง ทำให้หนูมีความรับผิดชอบมากขึ้น เราเป็นตัวแทนของคนที่เขาคัดเลือกมา เราก็ต้องทำให้ดี การทำโครงการนี้ทำให้หนูโตขึ้น มีความรับผิดชอบและความอดทนมากขึ้น อยากฝากถึงเพื่อนๆ ในกลุ่มว่า หนูอาจจะไม่ได้ทำหน้าที่หัวหน้าที่ดีที่สุด แต่หนูจะพยายามค่ะ” โรสฝากทิ้งท้ายไว้

สุทธิรา อุดใจ (มิ้นท์) เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเรียนรู้ พี่เลี้ยงประจำโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน

กัปตัน ‘มิ้นท์’

สุทธิรา อุดใจ (มิ้นท์) เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเรียนรู้ พี่เลี้ยงประจำโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน บอกเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวปุ๊กกี้และโรสว่า

“ตอนเห็นปุ๊กกี้ในปี 1 ปุ๊กกี้เป็นหัวหน้าแบบสั่งการ มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่พอเข้าร่วมโครงการก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง น้องพูดน้อยลง ให้คนอื่นพูดบ้าง เห็นภาวะการเป็นผู้นำที่ไม่ยอมย่อท้อต่ออุปสรรค พอเกิดปัญหาก็ไม่จมอยู่กับความเสียใจ พยายามหาทางแก้ไข และยอมรับความคิดเห็นของเพื่อน ปุ๊กกี้เป็นตัวอย่างของการเป็นผู้นำที่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น และมีความคิดที่เป็นระบบ มีการวางแผนเป็นสเต็ป

“ส่วนโรส ก่อนเข้าโครงการเป็นคนห้าวๆ อยากพูดอะไรก็พูด พอเข้ามาอยู่ในโครงการก็เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นโรสเป็นผู้นำอีกแบบหนึ่งที่รับฟังความคิดเห็นของทุกคน เห็นความพยายามพิสูจน์ตัวเองในการเป็นผู้นำให้เพื่อนในโครงการและนอกโครงการได้เห็น

ในฐานะพี่เลี้ยง เห็นการเปลี่ยนแปลงของน้องแล้วรู้สึกดีใจ เราทำให้เด็กคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง พอเข้ากระบวนการของเรา เขากลับกลายเป็นอีกคนที่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น ทำให้เห็นว่ากระบวนการของเราที่ทำกับน้องๆ มีความหมายไปทำให้เขาเปลี่ยนแปลง

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับปุ๊กกี้และโรส เป็นเพียงสองตัวอย่างที่ได้เรียนรู้จากการลงมือทำ ผ่านการทำโครงการชุมชน ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านภาวะผู้นำของเยาวชนทั้งสอง แสดงให้เห็นว่ากระบวนการสร้าง ‘ภาวะผู้นำ’ ของโครงการนี้ได้เดินมาถูกทาง หากเยาวชนได้เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านประสบการณ์ตรง จะทำให้เยาวชนเรียนรู้ได้ลึกซึ้ง และกลายเป็นอุปนิสัยติดตัวไปได้นั่นเอง

หากโรงเรียนและชุมชนสนใจนำกระบวนการลักษณะโครงงานชุมชนไปใช้กับเยาวชนในวงกว้าง สถานการณ์การขาดแคลน ‘ภาวะผู้นำที่ดี’ ในประเทศไทยในอนาคตก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้น และหากเป็นเช่นนั้นเชื่อมั่นได้ว่า ในอนาคตประเทศไทยพัฒนาก้าวไกลอย่างแน่นอน

Tags:

project based learningคาแรกเตอร์(character building)Growth mindsetภาวะผู้นำ(leadership)วัยรุ่นactive citizen

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

ขบวนการผู้พิทักษ์ ‘จ้าวทะเล’ แห่งสงขลา
Creative learning
22 December 2017

ขบวนการผู้พิทักษ์ ‘จ้าวทะเล’ แห่งสงขลา

เรื่องและภาพ The Potential

  • คุณรู้จักภูมิปัญญาเกี่ยวกับทะเลอย่าง ‘ดูหลำ’ ‘จ้าวทะเล’ หรือ ‘อูหยำ’ ไหม ถ้าไม่… เด็กในกลุ่มโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลาจะมาเล่าให้คุณฟัง
  • ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คือเยาวชนท้องถิ่นหรือคนรุ่นใหม่ก็เริ่มจะถอยห่างจากวิถีประมงพื้นบ้านนี้ แผนอนุรักษ์จึงไม่ใช่แค่การทำความเข้าใจกับคนนอกพื้นที่ แต่คือการทำความเข้าใจกับคนใน เพื่ออนุรักษ์และสืบสานต่อไปด้วย
  • หนึ่งในโครงการเยาวชนสงขลา คือโครงการ Law Long Beach ที่เชื่อว่ากฎหมายให้สิทธิคนและชุมชนในการดูแลทรัพยากร ถ้าอยากปกป้องชุมชน ก็ต้องกลับไปตั้งต้นที่ข้อกฎหมาย

สมัยก่อน จังหวัดสงขลา มี ‘จ้าวทะเล’ อยู่นับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้ ‘จ้าวทะเล’ เหลือเพียงไม่เกินนิ้วนับ เด็กๆ จึงคิดหาทางพาจ้าวทะเลกลับมา
จ้าวทะเลของเด็กๆ คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มาพร้อมความสามารถดูดาว ดูเมฆ ดูทิศทางคลื่นลมได้ว่าชาวประมงต้องล่องเรือไปทางทิศไหน แล้วเมื่อไรฝนจะตก

ทั้งหมดนี้ใช้ประสบการณ์ที่ฝึกฝนจนชำนาญล้วนๆ ไม่ต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด แถมหาได้ทั่วไปตามชายฝั่งทะเลจังหวัดสงขลา … ในอดีต

แล้วจ้าวทะเลหายไปไหน?

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ย๊ะห์-ไครีย๊ะห์ ระหมันยะ ลูกทะเลจากบ้านสวนกง ตำบลนาทับ ย๊ะห์รู้สึกว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ‘ภูมิปัญญา’ แห่งท้องทะเลกำลังจะหายไป

เริ่มตั้งแต่

  • ‘จ้าวทะเล’ คือคนที่สามารถดูดาว ดูเมฆ ดูทิศทางคลื่นลมได้ว่าต้องล่องเรือทางไหน เมื่อไรฝนจะตก
  • ‘อูหยำ’ ปะการังเทียมฝีมือชาวบ้านที่ช่วยกันทำเพื่อพลิกฟื้นทะเลที่เสียหายจากการทำประมงผิดวิธีให้กลับมาสมบูรณ์
  • ‘ดูหลำ’ หรือคนฟังเสียงปลา เพื่อช่วยให้ชาวประมงหาปลาง่ายขึ้น

ทั้งหมดนี้แทบจะหายไปเมื่อการท่องเที่ยวโดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม, การทำประมงนอกฤดู, การทำประมงผิดกฎหมาย มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม และผลประโยชน์ต่างๆ เข้ามา

แต่คนในท้องถิ่นจำนวนมากก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ลุกขึ้นมาทำงานปกป้องและจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของตัวเอง ไม่เกี่ยงเพศวัย งานนี้จึงมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ภายใต้ชื่อ ‘โครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา’ โดยสงขลาฟอรั่ม ที่เปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชน เข้ามาทำโครงการเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาบ้านเกิดเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว

ย๊ะห์ คือหนึ่งในสมาชิกโครงการ ที่ทนเห็นบ้านเสื่อมโทรมมากไปกว่านี้ไม่ได้

“ชีวิตของหนูผูกพันกับทะเลมาตั้งแต่เด็ก โตมาได้จนทุกวันนี้ มีเงินเรียนหนังสือ เพราะปลาที่พ่อหาได้จากทะเลที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะภูมิปัญญาเกี่ยวกับทะเลหลายอย่าง เช่น ‘ดูหลำ’ ‘จ้าวทะเล’ และ ‘อูหยำ’ จะหายไปไม่ได้”

ย๊ะห์ชี้ให้เห็นปัญหาซึ่งเป็นเนื้อหาสำคัญของวงเสวนา ‘มองเมืองใต้ ผ่านสายตาคนรุ่นใหม่’ ที่จัดขึ้นในงาน Spark You ปลุกใจเมือง ที่จังหวัดสงขลา

ย๊ะห์ เล่าต่อว่า ภูมิปัญญาเหล่านี้ทำให้เธอเห็นทรัพยากรที่มีมากมายในชุมชน จึงสนใจทำ ‘โครงการศึกษาภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับชายหาดและทะเล’ ภายใต้โครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา ปีที่ 5 เพื่ออนุรักษ์และสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าของภูมิปัญญาบ้านสวนกงแก่คนในชุมชน และสังคม

ย๊ะห์-ไครีย๊ะห์ ระหมันยะ (ขวา)
เกรซ-เพรชเชิช เอเบเล อีเลซุคกู

ในจังหวัดเดียวกัน หาดสมิหลาก็เผชิญวิกฤติไม่แพ้จะนะ หาดทรายเกิดปัญหาพังทลายแต่โชคดีที่มีเยาวชน-เจ้าของพื้นที่อาสามารักษาหาดเอาไว้

เกรซ-เพรชเชิช เอเบเล อีเลซุคกู คือเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการพลังเยาวชนพลเมืองฯ ผ่านโครงการ Beach for Life เพื่อศึกษาปัญหาการพังทลายของหาดทรายจากโครงสร้างแข็ง

สมัยก่อน ทะเลและหาดทรายสำหรับเกรซมีหน้าที่เพียงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดเท่านั้น แต่เมื่อเกรซได้รู้ว่า เบื้องหน้าของหาดสมิหลาคือความสวยงาม แต่เบื้องหลังคือวิกฤติจากการแก้ปัญหาอย่างผิดๆ

“ตอนแรกหนูแค่ชื่นชมความงามของหาดสมิหลาเหมือนคนอื่น แต่พอเพื่อนชวนมาทำโครงการ จึงได้เห็นว่าพื้นที่กำลังมีปัญหา อย่างปัญหาการกัดเซาะชายหาด ที่ถูกแก้ไขด้วยการสร้างโครงสร้างแข็งกันคลื่น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และยิ่งทำให้เกิดการกัดเซาะมากขึ้น

“ที่สำคัญคือ คนในเมืองที่อยู่ใกล้กับหาดสมิหลาที่สุด กลับยังไม่รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของชายหาด และผลกระทบของโครงสร้างแข็งว่าส่งผลกระทบต่อชายหาดอย่างไร จึงอยากให้คนในเมืองหันมาสนใจปัญหาตรงนี้มากขึ้น โดยเริ่มจากตัวเราไปเรียนรู้และลงมือทำก่อน”

จากการมีส่วนร่วมรักษาชายหาดด้วยการเรียนรู้และเก็บข้อมูลในชุมชนในโครงการ Beach for Life ทำให้ ฝน-อลิสา บินดุส๊ะ หนึ่งในแกนนำกลุ่มร่วมกับเพื่อนๆ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สนใจศึกษากฎหมายเกี่ยวกับชายหาดเพื่อขยายมิติความเข้าใจเรื่องสิทธิชุมชนในการดูแลปกป้องหาดจนเห็นความเชื่อมโยงระหว่างชุมชนและทรัพยากร

ความเชื่อมโยงที่ว่านั้นคือ กฎหมาย

ฝนอธิบายว่า กฎหมายให้สิทธิคนและชุมชนในการดูแลทรัพยากร เพราะการมีชุมชนย่อมเกิดวิถีของชุมชน ที่บ่งบอกว่าคนในชุมชนอยากดำเนินชีวิตแบบไหน อยากใช้ทรัพยากรในชุมชนอย่างไร นำมาสู่การต่อยอดกระบวนการดูแลและปกป้องชายหาดด้านกฎหมายใน ‘โครงการ Law Long Beach’

สิ่งที่ฝนและเพื่อนเลือกทำคือการสร้างความตระหนักให้ผู้คนในสงขลารับรู้ ‘สิทธิ’ ที่สามารถมีส่วนกำหนดทิศทางการพัฒนาชายหาด ร่วมแสดงความคิดเห็น และสร้างกระบวนการติดตามต่อเนื่องในทุกโครงการที่เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของหาดทรายและทรัพยากรอื่น
“ไม่มีใครที่อยู่ได้โดยไม่พึ่งพิงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทั่งอากาศที่หายใจก็มาจากการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี เรามองว่าทรัพยากรเป็นของเรา แต่คนส่วนใหญ่กลับคิดว่า คนที่มีสิทธิดูแลรักษาทรัพยากรคือรัฐเท่านั้น

เราต่างไม่พยายามออกมาปกป้อง ไม่ออกมาบอกว่าเราอยากให้ชายหาดบ้านเราเป็นแบบไหน จริงๆ แล้วถ้าว่ากันตามภาษากฎหมาย ส่วนหนึ่งของความเป็นรัฐ ประกอบขึ้นมาจากประชาชน”

ฝนบอกต่อว่า นอกจากการรับรู้สิทธิในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับชายหาดแล้ว สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องช่วยกันคือ ‘เริ่มทำ’ ในสิ่งที่ถนัดหรือสนใจ เพื่อปกป้องและดูแลชายหาดให้ดีขึ้น แม้ตอนเริ่มทำอาจยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็ไม่เป็นไร ขอแค่ลงมือทำไปเรื่อยๆ แล้ววิธีการจะเกิดขึ้นเองระหว่างทาง

ก่อนวงเสวนาจะจบ เหล่าเยาวชนและผู้เข้าร่วมเสวนาได้ร่วมกันสรุปแนวทางการทำงานขั้นต่อไปที่เป็นโจทย์สำคัญของการทำงานด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในภาคใต้ นั่นคือ การสื่อสารทำความเข้าใจปัญหาทะเลและชายหาด และระดมความร่วมมือจากผู้คนในพื้นที่อื่น เพื่อการแก้ปัญหาที่เข้มแข็งขึ้น โดยทำให้เห็นว่า ภาคใต้จะดำรงอยู่ได้ ต้องมีแม่น้ำ ทะเล ภูเขา หากสมดุลส่วนใดเสียไป ย่อมเป็นความเดือดร้อนของทุกฝ่าย

เพราะทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้ระบบนิเวศเดียวกันที่ชื่อว่า ‘โลก’

Tags:

สงขลาฟอรั่มactive citizenproject based learningพลเมืองbeach for life

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    ‘เล็กแต่ลึก’ และ ‘เรื่องจริงชีวิตจริง’ การเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาที่ทำให้หัวใจคนเรียนถูกขยาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    อภิศักดิ์ ทัศนี: “การได้หาดกลับมา มีค่าเท่ากับปริญญาหนึ่งใบ”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Everyone can be an Educator
    ‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel