Skip to content
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
Movie
18 July 2025

F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • F1 The Movie บอกเล่าเรื่องราวของซอนนี่ เฮย์ส อดีตนักแข่งรถที่ห่างหายไปจากวงการหลังประสบอุบัติเหตุ เขาได้รับโอกาสให้หวนกลับสู่วงการอีกครั้งในรอบ 30 ปี เพื่อยกระดับทีม APX GP ที่กำลังตกต่ำถึงขีดสุด
  • หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์อันไม่ลงรอยระหว่างเขากับเพื่อนร่วมทีมอย่างโจชัว โดยทั้งคู่ต่างมุ่งมั่นที่จะเอาชนะมากกว่าจะช่วยเหลือกัน ส่งผลให้ผลงานของทีมยิ่งจมดิ่งลงกว่าเดิม
  • ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ (Top Gun : Maverick) ซึ่งนอกจากความตื่นเต้นเร้าใจแล้ว เขายังแฝงคำถามเงียบๆ แก่ผู้ชมด้วยว่า เรากำลังไขว่คว้าหาชัยชนะด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องหรือเปล่า? 

F1 The Movie เป็นภาพยนตร์อเมริกันที่บอกเล่าเรื่องราวการกลับมาของ ‘ซอนนี่ เฮย์ส’ อดีตดาวรุ่งแห่งวงการ F1 ยุค 90 ผู้เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบเสียชีวิตกลางสนามแข่ง 

เหตุการณ์นั้นไม่เพียงทิ้งร่องรอยบาดแผลทางร่างกาย แต่ยังฉุดกราฟชีวิตเขาให้ดิ่งลง ทั้งในฐานะนักกีฬาตกอับ คนรักที่ผิดหวัง และมนุษย์คนหนึ่งที่หลงทางจากชีวิตที่เคยมีความหมาย

ตลอด 30 ปีหลังจากนั้น ซอนนี่เร่ร่อนอยู่ในวงการแข่งรถรายการเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง กระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับข้อเสนอจาก ‘รูเบน’ อดีตเพื่อนร่วมทีมที่ปัจจุบันกลายเป็นเจ้าของทีม APX GP ทีมหางแถวที่ต้องการใครสักคนมายกระดับ

สำหรับผม นี่คือภาพยนตร์ที่เร้าใจที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 แต่มากกว่าความเร็วหรือเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ คือคำถามเงียบๆ ที่แทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่องว่า เรากำลังไขว่คว้าหาชัยชนะด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องหรือเปล่า?

ในช่วงแรก ผมสังเกตว่าตัวละครหลักเหมือนจะขับเคลื่อนชีวิตด้วยชุดความเชื่อว่า ‘ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องโดดเด่น ต้องชนะ’ และเมื่อทำไม่ได้ พวกเขาก็จะรู้สึกล้มเหลว หงุดหงิด และหาคนผิด โดยเฉพาะ ‘ซอนนี่’ และ ‘โจชัว’ นักแข่งดาวรุ่งที่เปรียบเหมือนเงาสะท้อนของเขาในวัยหนุ่ม ทั้งคู่ไม่เคยมองกันในฐานะเพื่อนร่วมทีม แต่เป็นคู่แข่งที่ต้องข่มให้มิด…แม้จะต้องแลกด้วยความพังพินาศของทีมก็ไม่เป็นไร

หลังจากได้ชมความพังพินาศทั้งที่ตลกและตึงเครียด ภาพยนตร์ก็นำซอนนี่มาสู่จุดเปลี่ยน ผ่านคำถามสำคัญของนางเอกที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการเทคนิคประจำทีม 

“ทำไมตอนนี้ซอนนี่ เฮย์ส ถึงกลับมาแข่ง F1 และนี่คือคำถามที่เร่งด่วน” เธอถามซอนนี่และฝากให้เขากลับไปตอบคำถามนี้กับตัวเอง

ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือภาพยนตร์ ผมคิดว่าการเปิดใจพูดคุยและรับฟังเสียงของตัวเองอย่างซื่อตรง คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งสำคัญ 

เพราะเมื่อซอนนี่เริ่มขุดลึกลงไปในคำถามนั้น ภาพยนตร์ก็เริ่มเปลี่ยนวิธีเล่าผ่านสิ่งที่เรียกว่า “show, don’t tell.” ผมเลยได้เห็นซอนนี่คนใหม่ที่เลิกยึดติดกับการเป็นมือหนึ่ง เลิกแข่งขันเพื่อยืนยันคุณค่าของตัวเอง และหันมาสนับสนุนโจชัวอย่างจริงใจ ซึ่งผมมองว่าซอนนี่ไม่ได้ยอมแพ้ อ่อนแอ หรือว่าถอดใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะเขารู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไรจากการกลับมาครั้งนี้

“ผมเกือบได้เป็นแชมป์โลก เก่งสุดเท่าที่เคยมีมา…ผมเคยขับได้เร็ว ไม่กลัวอะไร ผมไปเกือบถึงแล้ว แต่แล้วมันก็ถูกพรากไป ผมเสียโอกาสไป เสียเงิน เกือบเสียสติ ตัวผมเองก็กลายเป็นคนขี้โมโห คับแค้น งี่เง่า ไม่ใช่คนที่ผมเคยภูมิใจ จนผมสำนึกได้ว่าผมสูญเสียอะไรไป มันไม่ใช่ตำแหน่ง ถ้วยรางวัล สถิติ แต่มันคือความรักในการแข่ง ผมก็เลยเริ่มขับรถ ไม่เกี่ยงว่ารถอะไร สนามไหน ไม่สนว่าใครมาดู ขอแค่ได้อยู่หลังพวงมาลัย แค่นั้นก็พอแล้ว 

บางครั้ง…มันจะมีชั่วขณะหนึ่งในรถตอนที่ทุกอย่างมันเงียบสงัด หัวใจเต้นช้าๆ มันสงบสุขมาก และผมมองเห็นทุกอย่าง ไม่มีใครทำอะไรผมได้ และผมตามหาชั่วขณะนั้นทุกครั้งที่ผมได้อยู่ในรถ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอมันอีก แต่เชื่อเถอะ ผมอยากเจอมันอีก เพราะชั่วขณะนั้นผมกำลังบินอยู่” ซอนนี่บอกกับนางเอก

เมื่อซอนนี่ปลดปล่อยตัวเองจากกรอบความสำเร็จที่คนอื่นกำหนด และเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เขารัก ชัยชนะในสนามก็ไม่ใช่คำตอบเดียวที่ทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็รู้สึกว่าตัวแสบอย่างเขาได้กลับมาเป็น ‘พระเอก’ ในแบบที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อ    

นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปของเขายังส่งผลกระทบเชิงบวก และเป็นแบบอย่างให้กับโจชัวในการทำงานร่วมกับทุกคนอย่างเข้าอกเข้าใจ ทำให้โจชัวค่อยๆ เปิดใจมองทีมงานทุกคนด้วยสายตาแบบใหม่ ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือทีมซ่อมบำรุง (ในการแข่ง F1 รถทุกคันจะต้องเข้ามาที่จุด Pit Stop อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อให้ทีมซ่อมบำรุงเปลี่ยนยางที่เสียหาย เติมน้ำมัน และตรวจสอบความเรียบร้อยของรถ) ทุ่มสุดใจเพื่อช่วยให้เขาทำเวลาได้เร็วกว่าคู่แข่งในเสี้ยววินาทีสำคัญ 

จนเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงบทสรุป โจชัวก็แสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองได้หลุดพ้นจากกับดักของภาพลวงตาที่ว่า…ชื่อเสียง เงินทอง คำสรรเสริญ และตำแหน่ง จะช่วยเติมเต็มให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ถึงตอนนี้ เขาได้ค้นพบความหมายที่แท้จริงของชัยชนะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอไป

หลังชมภาพยนตร์จบด้วยหัวใจพองฟู ผมลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าชัยชนะของผมคืออะไร 

ผมพบว่ามันไม่ใช่เส้นชัยที่มักจะแกล้งขยับหนีเราไปเรื่อยๆ แต่มันคือช่วงเวลาที่ผมได้เขียน หรือทำในสิ่งที่ผมรักอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะนั้น โดยไม่ต้องพะว้าพะวังถึงผลลัพธ์ใดๆ ดังนั้นชัยชนะของผมอาจไม่ได้มาด้วยการวิ่งไล่ไขว่คว้ามัน แต่คือการกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีคุณค่าในแบบของตัวเอง

Tags:

ความสำเร็จการแข่งขันF1 The MovieF1ภาพยนตร์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • MovieDear Parents
    The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel