- เมื่อหยิบไพ่ใบแรกขึ้นมา ไพ่ใบนั้นจะพาเราไปเจอกับตัวเราเอง และสะท้อนแง่มุมความทุกข์ ความหวัง ความต้องการของเราเอง ไพ่จึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่จะทำให้คนๆ นั้นเปิดใจคุยกับใครสักคน ซึ่งจุดที่จะคุยเชื่อมโยงกันได้นั้นคือ ‘การฟัง’
- ชวนเปิดไพ่ พูดคุยเรื่องของใจ กับ อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร เจ้าของเพจ วารีแห่งใจ กระบวนกร (Facilitator) และครูสอนอ่านไพ่ธาโรต์ เพื่อย้อนกลับมามองตัวเอง มารู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง และดูแลจิตใจของตัวเอง
- จุดที่ทำให้การอ่านไพ่ของวารีแห่งใจ เป็นมากกว่าการอ่านและทำนายตามความหมายของไพ่ คือการเจาะลึกถึงสาเหตุ วิธีการ และผลลัพธ์ของสิ่งที่ทุกคนกำลังถามหาอยู่ รวมถึงสอนวิธีการอ่านไพ่ด้วยตัวเอง
ความสุข กับ ความทุกข์ เป็นของคู่กัน แต่เราจะบาลานซ์อย่างไรไม่ให้ความทุกข์ล้ำเส้นความสุข จนมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
The Potential ชวนคุยกับ อั๊ท – ณอัญญา สาวิกาชยะกูร เจ้าของเพจ วารีแห่งใจ กระบวนกร (Facilitator) ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องของจิตใจทั้ง Self-awareness การรู้จักตัวเอง การเข้าใจตัวเอง และดูแลจิตใจผ่านเครื่องมือต่างๆ ซึ่งตัวเอกของเธอคือ ‘ไพ่ธาโรต์’
“…แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนมีความสุข ความทุกข์ ตอนสุขมันก็ดี แต่ตอนทุกข์บางคนมีผลกับสภาพจิตใจ บางคนมาด้วยซึมเศร้าก็มี หรือบางคนมีหลายความเครียด ซึ่งเราจะชวนให้เขากลับมาดูแลจิตใจ ด้วยการรู้จักตัวเองก่อน”
ต้นเหตุของความเศร้า เกิดจากเราไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
“เมื่อก่อนตัวเองเป็นซึมเศร้า เป็นคนไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ตั้งแต่วัยเด็กจนโตมาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรได้ดีเลย ไม่เก่ง พ่อแม่ไม่รัก คนรอบตัวไม่มีใครรักฉันเลย จริงๆ มันก็หลายๆ ปัจจัย หลายๆ เหตุ อาจจะเป็นการเลี้ยงดูจากครอบครัว หรือครอบครัวเลี้ยงดูดีนะ แต่มาเจอเพื่อน มาเจอสังคม บางคนเจอมาจากครูบาอาจารย์ ถูกครูบูลลี่มา หรือครูบอกว่าเธอทำอันนี้ได้ไม่ดี เลยฝังลงไปในใจ ก็กลายเป็นว่าด้อยค่าตัวเองมาโดยตลอด
แล้วถ้าจะบอกว่า ถ้าเราฟังเขาแล้วเราไม่เก็บมาใส่ใจ เราก็ไม่เป็นไร ต้องยอมรับก่อนว่าสภาพจิตใจคนมันไม่เท่ากัน ไม่อย่างนั้นคนเราก็ไม่มานั่งเป็นซึมเศร้าอย่างที่เป็นกันเยอะอยู่ทุกวันนี้” อั๊ท เท้าความให้ฟังถึงภูมิหลังก่อนจะมาเป็นกระบวนกรทำกิจกรรมที่ฮีลใจใครหลายๆ คน เธอก็คือคนหนึ่งที่เคยผ่านจุดที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองมาเช่นกัน และเล่าถึงทางออกที่เธอหาเจอว่า
“ด้วยความที่เราเห็นแล้วละว่าเราไม่มีความสุขในชีวิตเลย ต่อให้มีคนรัก ต่อให้มีคนอยู่ข้างๆ ก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นคนที่จะมีความรักที่ดี หรือว่าได้รับความรักจากใคร วันที่ออกมาได้จริงๆ มันเป็นวันที่ตัวเองไปเรียนโครงการผู้นำกระบวนทัศน์ใหม่ (ALT) ของทางเสมสิขาลัย เป็นลูกศิษย์อาจารย์ประชา หุตานุวัตร ในหลักสูตรเขาก็จะมีอยู่ตัวนึงชื่อว่า นิเวศภาวนา ให้ไปทำภารกิจอยู่ในป่า
วันนั้นไม่สบาย แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงอกหักช้ำรักมาก รู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า อยากฆ่าตัวตายมากเลย ปรากฎว่าพอเข้าไปอยู่ในป่า ไม่มีใครเลยมีแต่ตัวเอง แล้วนอนป่วยฝนก็ตก โอ้โห…หนาวก็หนาว ต้องเอามือมาซุกตัวเองเพื่อรับความอบอุ่น แล้วมันรู้สึกดีจังเลยที่มีมือเราอยู่ที่ให้ความอบอุ่นกับเราได้ เราปิ๊งเลยว่า นี่แหละแปลว่า ‘รักตัวเอง’ นี่แหละคือการกลับมาดูแลตัวเอง
เมื่อก่อนเอามือซุกไม่เห็นรู้สึกเลย แต่วันที่ทุกข์มากๆ เอามือมาแปะมันก็เลย อ๋อ…รักตัวเองมันแค่นี้เอง จริงๆ แค่กลับมาดูแล สนใจ ใส่ใจในทุกอย่างที่เรียกว่าเรา ก็เลยเจอคำว่า รักตัวเอง ตัวใหญ่ๆ ในป่า”
“แล้วต้องขอบคุณมดในป่าด้วยนะ เพราะมดในป่าเขากำลังเดินไต่ใบไม้อยู่ เราก็เห็นเขาไต่ไปจนสุดใบไม้เลย มันพีคตรงที่เราก็นอนดูเขาอย่างนี้ เขาจะทำยังไงนะ พอสุดแล้วไปต่อไม่ได้แล้ว เขาเดินกลับ เฮ้ย…ไม่ต้องกระโดดหน้าผาตายก็ได้นี่หว่า เดินกลับเปลี่ยนทางเอาก็ได้นี่ วันนั้นปัญญามันเกิด มดมาบอกเราว่า คุณไม่ต้องกระโดดหน้าผาตายหรอก คุณกลับไปอีกทางนึง แล้วคุณไปได้สูงกว่าเดิม เพราะเราเห็นภาพเลยว่า พอเขากลับไปอีกทางนึง เขาไปปีนกิ่งใหม่เขาไปสูงกว่าเดิม จนเรามองเขาไม่เห็นละ ปัญญาเราเกิดในตอนนั้น”
มดในป่าที่กำลังไต่กิ่งไม้อยู่ในวันนั้น สะท้อนให้เห็นว่า สุดท้ายแล้วชีวิตยังมีทางเลือกที่ให้เราสามารถไปต่อได้ เพียงแต่เราต้องหยุดพักหายใจ ฟังเสียงตัวเอง ทำความเข้าใจตัวเอง ค่อยๆ สำรวจและมองหาคุณค่าของตัวเองให้เจอ เพื่อไปต่อในชีวิต และทำให้อั๊ทกลายมาเป็นกระบวนกรด้านจิตใจในวันนี้
อ่านไพ่มู รู้จักชีวิต ดูแลจิตใจ
หนึ่งในเครื่องมือที่อั๊ทใช้ในการพาทำกิจกรรมเพื่อเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งและค้นหาวิธีดูแลใจ ก็คือ ‘ไพ่’ ที่จะเป็นสื่อกลางระหว่างตัวเองกับเสียงภายในด้วยการเชื่อมโยง ‘คำตอบ’ กับ ‘คำถาม’ ที่เราเป็นคนตั้งขึ้นเอง
อั๊ทเล่าว่า ‘การอ่านไพ่มู’ ก็คือการใช้ไพ่ธาโรต์หรือไพ่ออราเคิลเป็นเครื่องมือหลักในการทำกิจกรรมแต่ละครั้ง และเมื่อคนเห็นก็มักนึกถึงคำว่า ‘มูเตลู’ หรือสายมูขึ้นมาทันที คำๆ นี้จึงช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คนและเชื่อมโยงมาสู่หัวใจหลักของกิจกรรมได้ดี นั่นก็คือ การย้อนกลับมามองตัวเอง ‘รู้จักชีวิต’ และ ‘ดูแลจิตใจ’ ของตัวเราเอง
“รู้จักชีวิตก็คือการกลับมารู้จัก ทำความเข้าใจตัวเอง มาเห็นก่อนว่าในตัวเรา เราเป็นใครนะ แล้วความเป็นเรามันส่งผลให้เกิดเรื่องราวอะไรในชีวิต ที่เป็นทั้งในแง่ที่ดีและแง่ที่เป็นปัญหา แล้วก็ดูแลจิตใจ แน่นอนมนุษย์ทุกคนมีความสุข ความทุกข์ ตอนสุขมันก็ดี แต่ตอนทุกข์บางคนมีผลกับสภาพจิตใจ บางคนมาด้วยซึมเศร้าก็มี หรือบางคนมีหลายความเครียด ซึ่งเราจะชวนให้เขากลับมาดูแลจิตใจ ด้วยการรู้จักตัวเองก่อน”
ความแตกต่างระหว่างการดูไพ่ธาโรต์ทั่วไปกับการใช้ไพ่ธาโรต์ในแบบที่อั๊ททำในรูปแบบของกิจกรรมนั้น นอกจากจะทำนายทายทักตามไพ่ที่เปิดได้ ยังเจาะลึกถึงสาเหตุ วิธีการ และผลลัพธ์ของสิ่งที่ทุกคนกำลังถามหาอยู่ด้วย รวมถึงสอนวิธีการอ่านไพ่ด้วยตัวเอง
“สมมติมีคนมาด้วยคำถามว่า จะได้งานใหม่ไหม? เราที่เป็นคนทำหน้าที่อ่านไพ่ จะไม่ได้บอกว่าคุณจะได้หรือไม่ได้ แต่เราจะบอกว่าทำอย่างไรคุณถึงจะได้ แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้มันมีสาเหตุ ปัญหามาจากอะไร คุณควรไปพัฒนาอะไร เพื่อที่จะทำให้คุณได้งานที่ต้องการ หรือถามว่า ปีนี้สุขภาพฉันจะเป็นยังไง? หยิบไพ่มาได้ไพ่ที่แบบว่าพังมาก ตึกถล่มมาเลย ทุกคนก็จะใจเสียแล้ว อุ๊ย! มันจะเจอเรื่องยาก เรื่องหนักๆ หรืออุบัติเหตุอะไรไหม ซึ่งเราจะบอกเขากลับไปว่า ปีนี้ทำยังไงนะสุขภาพคุณถึงจะดี หรือถ้าปีนี้มันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมันจะมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วคุณจะป้องกันหรือรับมือกับมันยังไง ทำให้คนเห็นว่าชีวิตมันมีทางไปต่อ”
นี่คือจุดที่ทำให้การอ่านไพ่ของวารีแห่งใจ เป็นมากกว่าการอ่านและทำนายตามความหมายของไพ่ ฟังแล้วก็ชวนสงสัยว่า แล้วการอ่านไพ่ จะพาเราไปถึงจุดที่ ‘รู้จักชีวิต เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง และค้นหาวิธีดูแลใจ’ ได้อย่างไร?
เธออธิบายว่า การอ่านไพ่ ก็คือการอ่านภาษาภาพ มองให้เห็นว่าในไพ่ใบนั้นที่เราเปิดขึ้นมาประกอบไปด้วยอะไรบ้าง โดยจะให้ความสำคัญกับ ‘การตั้งคำถาม’ เป็นหลัก เพราะการตั้งคำถามที่ดีจะนำไปสู่คำตอบที่เรากำลังตามหาอยู่นั่นเอง
“เราจะใช้คำถามที่เป็นคำถามปลายเปิด ถ้าเป็นประเภทจะได้งานใหม่ไหม? อันนี้เป็นปลายปิด คำถามปลายเปิด เช่น ทำอย่างไรเราจึงจะได้งานในบริษัทที่เราคาดหวังเอาไว้ ภายในระยะเวลา 3 เดือน? เห็นไหมว่ามีเป้าหมายชัดเจนเลย แล้วฉันควรที่จะต้องทำยังไงละ?”
นั่นเป็นหน้าที่ของกระบวนกรอย่างอั๊ทที่จะนำทางให้คนๆ นั้นไปสู่ปลายทางของคำตอบให้ได้ โดยการชวนฟังเสียงความต้องการของตัวเอง ชวนคิด ชวนวิเคราะห์ ชวนหาวิธีการเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ผ่านการอ่านไพ่ที่เปิดขึ้นมา
“ก็จะบอกเขาว่า อ๋อ…ถ้าอยากได้งานที่บริษัทใหม่ภายใน 3 เดือน เป็นบริษัทที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ คุณต้องลงรายละเอียดนะ คุณต้องไปศึกษาอย่างถ่องแท้ เจาะลึกลงไปเลยค่ะว่าบริษัทนี้ให้ความสำคัญกับอะไรเป็นพิเศษ คุณไปหาตรงนั้นมา เพราะสิ่งนี้ตอนที่สัมภาษณ์งานเขาจะถามคุณ เราจะลงรายละเอียดที่ลึกลงไปมากกว่าแค่ทายว่า จะได้หรือไม่ได้เท่านั้น”
แม้จะดูให้ความสำคัญกับการตั้งคำถามแบบปลายเปิด แต่คนที่ไม่ได้มาพร้อมคำถาม และต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง หรือแม้แต่มาด้วยคำถามปลายปิด นั่นก็เป็นหน้าที่ของกระบวนกร หรือเรียกอีกอย่างว่า นักอ่านไพ่ให้คำปรึกษา ซึ่งต้องมีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘การฟังด้วยหัวใจ’ และจำเป็นต้องมีคุณภาพการฟังในระดับที่จับประเด็นได้
“ฟังแล้วต้องจับประเด็นออกมาได้ว่า ในบรรดาเรื่องเล่าที่เล่ายาวๆ อาจจะยาว 30 นาที 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง มันมีสาระอะไรนะ มีจุดไหนที่ยังไม่เคลียร์จนทำให้เขามีความทุกข์และเป็นกังวล นักอ่านไพ่จะเป็นคนตั้งคำถามให้ แต่ถ้าเขามีคำถามมาแล้ว เป็นปลายปิดก็ไม่เป็นไร ถามมาเลยค่ะ นักอ่านไพ่จะแปลงเป็นปลายเปิดให้ทันที และก็ช่วยเขาในการคลี่คลายปัญหา”
เริ่มต้นค้นหาคุณค่าในตัวเอง ด้วยการฟังเสียงข้างใน
เมื่อหยิบไพ่ใบแรกขึ้นมา ไพ่ใบนั้นจะพาเราไปเจอกับตัวเราเอง และสะท้อนแง่มุมความทุกข์ ความหวัง ความต้องการของเราเอง จะเห็นว่า ไพ่เป็นเหมือนเครื่องมือที่จะทำให้คนนั้นเปิดใจคุยกับใครสักคน ซึ่งจุดที่จะคุยเชื่อมโยงกันได้นั้นคือ ‘การฟัง’
“ตัวภาพมันจะสะท้อนเรื่องราวออกมาได้อย่างชัดเจนเลย ถ้ามันเป็นปัญหา ภาพที่หยิบออกมาเราจะเจอมุมที่เป็นปัญหา ต่อให้เราหยิบภาพที่ดูเป็นบวก ถ้าคำถามบอกว่า สาเหตุที่ทำให้เขายังไม่สามารถเข้าทำงานในบริษัทที่ต้องการได้คืออะไร? จะต้องหามุมลบของภาพนั้นให้เจอ ในขณะเดียวกันถ้าภาพมันเป็นลบ แต่ถามหาวิธีแก้ไข ต้องอ่านเป็นบวกให้ได้ มันก็จะต่างจากการที่เราอ่านตามความหมายของภาพ”
นอกจากไพ่ที่เป็นเครื่องมือสำคัญแล้ว ยังมีชุดคำถามสำหรับใช้ในการหาสาเหตุของปัญหา หาวิธีการคลายทุกข์หรือวิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อ ‘รู้จักชีวิต ดูแลจิตใจ’ ซึ่งคนที่มาด้วยคำถามส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความทุกข์ที่หาทางออกไม่เจอ ชีวิตมูฟออนเป็นวงกลม ไม่สามารถจัดการชีวิตได้
“บางคนมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนชีวิตมันไม่มีหนทางที่จะไป หรือไม่เข้าใจว่าตัวเองอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร หรือที่เป็นทุกข์อยู่จะจัดการเอามันออกไปจากใจยังไง
เช่น หนูมีความทุกข์เรื่องความรัก หนูกำลังวิตกกังวลเรื่องเรียน หรือเรื่องงาน และโดยส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นคนที่อยากเข้าใจและก็รู้จักตัวเองจริงๆ อยากรู้ว่าเฮ้ย…ที่มันเคว้งคว้าง หรือที่กำลังไม่มีความสุขในตอนนี้มันเกิดจากอะไร แล้วควรจะทำยังไงกับตัวเองให้สงบหรือมีความสุขมากขึ้น”
ทั้งนี้ การพูดหรือทำให้คนๆ หนึ่งไปถึงจุดที่มองเห็นแสงสว่างที่จะเป็นทางออกให้กับตัวเขาเองนั้น อั๊ทบอกว่า จุดนี้ต้องเป็นคนๆ นั้นที่เจอคำตอบด้วยตัวเอง โดยเน้นให้หาคุณค่าของตัวเองให้เจอเสียก่อน เพราะไม่มีใครเห็นคุณค่าของเราได้ดีเท่าตัวเราเอง
“ถ้ามาทำกิจกรรม เราจะเซ็ตแพทเทิร์นคำถามเอาไว้ให้ โดยส่วนใหญ่จะเน้นให้หาคุณค่าในตัวเองให้เจอก่อน คุณมีข้อดีแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณเคยมองข้าม แต่พอเปิดมาแล้วภาพมันยืนยันว่า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละคือสิ่งที่เป็นข้อดี แล้วก็เป็นคุณสมบัติที่ดีในตัวของคุณนะ มันเป็นคุณค่าของคุณเลยนะ ให้เขาเห็นอันนี้ก่อน แล้วตอกย้ำมันลงไปอีกว่า อันนี้แหละ…ใช่แล้ว เขาก็จะหยิบอันนี้ไปเวิร์กต่อได้ละ
เช่น อ๋อ…ฉันเห็นละ ฉันเป็นคนที่รับฟังได้ดี และเราทำให้เขาเห็นภาพต่อว่า รู้ไหมว่าการรับฟังให้ประโยชน์กับตัวเองยังไง แล้วคำถามต่อมา มันให้ประโยชน์กับคนรอบตัวยังไง หลายๆ คนก็ค้นพบว่าจริงๆ มันเล็กแค่นี้ ที่เราไม่ยอมมองเห็นมัน หรือมองเห็นแล้วเพิกเฉย แต่มันสำคัญมากๆ เลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเห็นคุณค่า การเห็นข้อดี เห็นคุณสมบัติดีๆ ในตัวเอง แล้วก็ให้รู้จักชื่นชมตัวเองค่ะ”
โดยหลักๆ แล้วการตั้งคำถามจะมีอยู่ 3 แพทเทิร์นด้วยกัน คือ การตั้งคำถามเพื่อหาสาเหตุ วิธีการ และผลลัพธ์ นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นคำถามแทรกเสริม อย่างเช่นคำถามเชิงเปรียบเทียบ
“บางคนก็จะมาด้วยความอยากรู้ว่า การเลือกที่จะแต่งงานกับเลือกที่จะอยู่เป็นโสดอันไหนมันดีกว่ากัน? ก็จะมีเซ็ตคำถามต่อว่า ถ้าเลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นโสดไปเลยตลอดชีวิตจะส่งผลอย่างไรต่อความสุขข้างในใจเขา แล้วถ้าเลือกที่จะไม่แต่งงานละ ก็คือให้ใช้ตัวคำถามนี้เอามาเปรียบเทียบ แล้วก็เปิดภาพสองอันมาสะท้อนให้เห็นเส้นทางที่เขาจะเลือกต่อไป คำตอบมันก็จะมาจากตัวเขาเอง
แต่ถ้าเป็นประเด็นที่ว่า เรามาลองฝึกเป็นนักให้คำปรึกษากันไหม ก็จะให้เขาจับคู่กับเพื่อนแล้วก็ปรึกษากันเอง เขาก็จะรู้สึกอินแล้วก็สนุก อุ๊ย…ฉันก็ทำได้นี่นา ฉันก็เป็นนักให้คำปรึกษาได้ ฉันเปิดไพ่อ่านได้ อ่านให้เพื่อนได้ด้วยนะ แล้วให้เขาฟีดแบคกันว่าที่เพื่อนแนะนำมาหรือที่เพื่อนอ่านไพ่ให้มันเป็นยังไงบ้าง เขาก็จะสนุกกันตรงนี้ เช่น อ่านแล้วแบบว่า สาเหตุของปัญหาเธอเนี่ยมันมาจากการที่เธอไม่เคยถูกปล่อยให้ทำอะไรเองคนเดียว เพื่อนอีกคนบอกอุ๊ย! ใช่เลย ตรงนี้ก็จะให้เขาสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกัน”
How to ดูแลใจ ประยุกต์ใช้สิ่งรอบตัวให้กลายเป็นไพ่ เพื่อช่วยตอบคำถามในใจของตัวเอง
พอได้รู้จักชีวิต และได้เริ่มเข้าใจตัวเองบ้างแล้ว จากนั้นเราจะค้นหาหนทางแก้ไข หรือวิธีดูแลใจตัวเองกัน
“ในกระบวนการนี้ เราจะไม่ใช่คนนั่งอ่านให้เขาละ เราจะสอนวิธีใช้เครื่องมือ อ่านภาษาภาพ ใช้กับคำถามปลายเปิด ซึ่งมาจากที่คุณจับประเด็นได้ จากการที่คุณฟังได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งจริงๆ แล้วภาษาภาพต้องอ่านยังไง ดูอะไรบ้าง อ่านสิ่งที่เรียกว่า อาการ กิริยา การกระทำ อารมณ์และความรู้สึก ที่มันปรากฎอยู่ในภาพ เช่น เราเห็นตัวละครในภาพมันเกาะเกี่ยวกัน มันจับกลุ่มกัน มันคือการที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ถ้าอารมณ์ความรู้สึกเราอาจจะดูว่าในภาพมันมีความขัดแย้ง หรืออารมณ์มันรู้สึกวุ่นวาย สับสน ยิ่งถ้าภาพมันมีการแสดงสีหน้าชัดก็ยิ่งอ่านง่ายเลย
นี่เป็นสิ่งที่เราจะบอกกับคนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมให้รู้ว่ามันใช้แบบนี้ พอกลับบ้านไปคุณจะอ่านให้ตัวเองได้ คุณไม่ต้องวิ่งไปหาคนอื่น คุณไม่ต้องไปหาหมอดูแล้วนะ คุณมาอ่านให้ตัวเอง คุณมาเป็นนักให้คำปรึกษาให้กับตัวเอง พอเขาฝึกจนชำนาญแล้ว เขาก็สามารถเอาไปช่วยเหลือคนอื่นได้ เอาไปนั่งฟังเพื่อนก็ได้ค่ะ ฟังเพื่อนเสร็จจับประเด็นตั้งคำถามได้ ก็เป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่คนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมชอบกัน”
เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการอ่านไพ่ที่แท้จริงนั้นก็คือ การสอนให้รู้จักประยุกต์สิ่งรอบตัวให้กลายเป็นไพ่และนำมาอ่านเพื่อช่วยตอบคำถามในใจของตัวเอง
นอกจากไพ่ อั๊ทยังสอนประยุกต์ใช้เครื่องมือในการอ่านใจหลากหลายมาก เช่น น้ำหอม หิน เซียมซี ข้อความในหนังสือ หรือแม้แต่เนื้อเพลง
“เราเป็นคนที่ชอบเอาเครื่องมืออื่นๆ เข้ามาแทรกให้เขาได้เล่น บางครั้งก็จะไม่ได้ใช้ไพ่อย่างเดียว อาจจะมีให้ปรุงน้ำหอม ให้ดมกลิ่นหอมๆ พอดมกลิ่นหอมๆ นึกถึงอะไร สมมติวันนี้อยากพาเขาไปหาคุณค่าในตัวเอง หรือคุณสมบัติในตัวเอง ดมแล้วกลิ่นนี้นึกถึงใครเหรอ แล้วคนๆ นี้เขามีข้อดีคืออะไรเหรอ ข้อดีที่เขาดึงออกมาได้ก็จะโยงกลับไปว่าเวลาที่เราเห็นอะไรดีๆ ในตัวใคร แปลว่าเราเองก็มีสิ่งนั้นอยู่นะ เสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยไปตั้งคำถามว่า แล้วเราจะสามารถพัฒนาข้อดีนั้นให้เป็นประโยชน์กับชีวิตได้ยังไง ก็เอาไพ่มาเปิด”
“ยกตัวอย่างไพ่ชุดฟังใจธาโรต์ ความพิเศษตรงที่มันมีรูปและมีชื่อเพลง เช่น เจ้าสาวไฉไล ความสุขใกล้ๆ ไปเสิร์ชดูในยูทูบเราจะเจอว่ามันคือเพลง แล้วมันก็มีชื่อไพ่ ถ้าเราไม่ใช้ฟังก์ชั่นที่เป็นภาพอย่างเดียว ก็จะให้เขาหาคำตอบจากเพลง เพลงที่ฟังอยู่เขาแนะนำให้คุณแก้ปัญหาในชีวิตยังไง บางคนชอบฟังเพลงเขาจะรู้สึกว่า อ๋อ…เพลงมันมีความหมาย ฟังดูดีๆ ในนั้นมันจะมีเนื้อหาที่แต่ละคนเชื่อมโยงได้ว่า จะเอามาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้”
สิ่งที่เป็นคำตอบที่หลายๆ คนตามหา ความจริงแล้วมันซ่อนอยู่ในใจเรา เพียงแต่เราอาจไม่รู้วิธีดึงคำตอบนั้นออกมา หรือกำลังสับสนเกินกว่าจะคิดหรือวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้ การอ่านไพ่จึงเป็นตัวช่วยหนึ่งที่กรุยทางให้คนๆ นั้นเห็นคำตอบของตัวเองชัดเจนและยืนยันคำตอบนั้นอีกครั้งหนึ่ง
“มันก็คือการที่ทำให้คนที่กำลังฟุ้งๆ อยู่ มาจัดระเบียบความคิด มาสำรวจความรู้สึกข้างในใจดูหน่อย คำถามที่ถาม ลึกๆ แล้วทุกคนก็มีคำตอบของตัวเอง แต่แค่มันมีเอ๊ะ…ขึ้นมาในหัว เราก็จะช่วยทำให้เขาชัดเจน ฝึกให้คนชัดเจนกับเสียงข้างในใจตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะหลายๆ คนวิ่งออกไปตามกระแสข้างนอก ไม่ทันได้กลับมาดูว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร อะไรนะที่มันอยู่ข้างในที่มันชัดที่สุด มันตะโกนร้องเรียกตั้งนานแต่ไม่ได้หันมาดูเลย พอเอาภาพมาสะท้อน เอ้า…มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาก็เลือกได้แล้ว มันช่วยทำให้เสียงข้างในใจดังออกมาได้ชัดขึ้น ให้เราได้หยุดฟังเสียงหัวใจตัวเอง”
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอ่านไพ่ คือ ‘ฟังเพื่อเข้าใจ’ ไม่ใช่แค่ ‘ฟังให้ได้ยิน’
ในกระบวนการทั้งหมดที่ว่ามานี้ นอกจากทำให้เราได้รู้จักและเข้าใจตนเองแล้ว สิ่งที่ได้เรียนรู้ผ่านการอ่านไพ่ ในมุมมองของกระบวนกร อั๊ทบอกเล่าความรู้สึกว่า จากเมื่อก่อนแค่ ‘ฟังให้ได้ยิน’ แต่ตอนนี้เป็น ‘การฟังเพื่อเข้าใจ’
“เมื่อก่อนมันแค่ฟังให้ได้ยิน การได้ยินมันจับใจความไม่ได้ แต่ถ้าฟังเพื่อเข้าใจจริงๆ มันจะจับประเด็นได้ เพราะฉะนั้นการมาฝึกอ่านไพ่ หรือมาเรียนอ่านไพ่ก็ดี หรือใช้ไพ่ก็ดี มันช่วยทำให้เรากลับไปฟังทั้งเสียงข้างในใจเรา แล้วก็ฟังเสียงคนรอบๆ ตัว ทำให้เราได้ยินเขามากกว่า ได้ยินได้อย่างลึกซึ้ง แล้วก็ฟังด้วยหัวใจของเราจริงๆ การฟังด้วยหัวใจ ก็จะฟังแบบไม่ตัดสิน ไม่บอกว่าอันนั้นดี อันนี้ไม่ได้ ฟังคือฟัง เราก็จะบอกกับทุกคนเสมอว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คุณควรฝึก คุณฝึกอันนี้ได้ดีขั้นตอนอื่นๆ คุณทำได้ฉลุยเลย
แล้วเราก็ไม่ได้ใช้กับตัวเองอย่างเดียว เราใช้กับคนอื่นได้ด้วย พอมาอ่านไพ่แล้วมันทำให้เราเข้าใจอีกคนนึงนอกเหนือจากตัวเราเองด้วย ในระดับที่ว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมหรือการกระทำ เขาปฏิบัติกับเราแบบนี้ แล้วมันก็ช่วยทำให้เราช้าลงในการที่จะตัดสินหรือว่ารีบใส่อารมณ์ หรือรีบบอกว่าคนนี้มันร้ายหรือมันแย่”
สุดท้ายแล้ว การอ่านไพ่ ก็คือกระบวนการกลับมาอยู่กับตัวเอง ในเมื่อปัญหาหรือคำตอบที่ตามหา เกิดขึ้นที่ตัวเรา แค่มองย้อนกลับมาดูตัวเอง ทำความเข้าใจตัวเอง เมื่อเปิดใจก็จะเริ่มเห็นว่า จริงๆ แล้วเรากำลังรู้สึกอย่างไร ต้องการอะไรกันแน่
“เริ่มต้นจากการกลับมารับฟังเสียงข้างในตัวเองก่อน ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้เรากำลังรู้สึกอะไรนะ ความรู้สึกนี้เรากำลังต้องการอะไร ฟังให้ได้ยินให้ชัด แล้วหลังจากนั้นจับประเด็นมันออกมาว่า ความต้องการนี้ทำยังไงนะฉันถึงจะได้มันมา เพื่อที่จะทำให้ฉันไปสู่เป้าหมายหรือความตั้งใจที่เป็นความฝันของฉัน
หรือว่าฉันอยากได้ในสิ่งที่มันเป็นคุณค่าสูงสุด ทำยังไงฉันถึงจะไปแตะไปจับคุณค่าตรงนั้นได้ ก็อยากให้กลับมาฟังเสียงข้างในใจตัวเองให้ชัด การฟังเสียงข้างในใจตัวเองนี่แหละค่ะ มันจะเป็นตัวที่ทำให้เราเปิดกว้างที่จะรับฟังคนอื่นได้ด้วย” อั๊ท วารีแห่งใจ ทิ้งท้าย
‘อ่านไพ่มู รู้จักชีวิต ดูแลจิตใจ’ เป็นกิจกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของงาน Soul Connect Fest 2023 จัดโดยภาคีเครือข่ายด้านสุขภาวะทางปัญญามากกว่า 50 องค์กร สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มหกรรมพบเพื่อนใจ ออกเดินทางค้นหาความสุข ฮีลใจไปด้วยกันผ่านเครื่องมือและกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น นิทรรศการ เวิร์คชอป การแสดงดนตรี ฯลฯ ในวันที่ 19 – 20 สิงหาคม 2566 ที่ Lido Connect สยามสแควร์ สามารถติดตามรายละเอียดของงานได้ที่ https://www.facebook.com/SoulConnectFest |