Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Education trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skills
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: July 2025

Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง
SpaceBook
18 July 2025

Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • จากพุทธศาสนาในหนังสือเรียนที่ทุกเรื่องราวถูกยกให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ การตั้งคำถามถือเป็นเรื่องต้องห้าม แม้แต่การคิดสงสัยในใจก็อาจนับว่าเป็น ‘บาป’ ที่ควรต้องหลีกเลี่ยง ถูกนำมาเล่าใหม่ในรูปแบบของ Edutainment ในรายการ ‘Myth Universe’ ที่นำเสนอผ่าน Salmon Podcast 
  • Myth Universe ดำเนินรายการโดย ‘โจ้ บองโก้’ นทธัญ แสงไชยหยิบยกเรื่องราวพุทธประวัติ  เรื่องเล่า เทพปกรณัม ชาดก ประวัติศาสตร์ มาเชื่อมโยงกับโลกยุคปัจจุบัน โดยมี Co-host ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพูดคุยในบรรยากาศเป็นกันเอง
  • การนำหลักคำสอนในพุทธศาสนามาพูดคุยในบริบทที่จับต้องได้ และมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ทำให้เรื่องเหล่านี้เชื่อมโยงเข้ากับความรู้ความเข้าใจพื้นฐาน เกิดเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตจริง

ไตรลักษณ์… ขันธ์ 5… อิทธิบาท 4…

นึกย้อนกลับไปคิดถึงตัวเอง ว่าถ้าตัวเราในวัยเรียน ได้ยินชื่อหัวข้อเหล่านี้ คงกำลังทำหน้าเอือมระอา และรู้ว่าฤดูกาลของการท่องจำ เพื่อไปแสดงอิทธิฤทธิ์ในห้องสอบนั้นใกล้เข้ามาแล้ว สิ่งที่ต้องเน้นให้ดีคือ ชื่อคน วันสำคัญต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อวันขึ้นกี่ค่ำ เดือนไหน ใครทำอะไร ที่ไหน หลักคำสอนต่างๆ ประกอบด้วยอะไรบ้าง แปลว่าอะไร และเมื่อออกมาจากห้องสอบแล้ว สิ่งที่ท่องจำมาอย่างดีเหล่านั้น กลับพลันหายไปในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เหมือนเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน 

ในระหว่างการอ่านเพื่อท่องจำ สิ่งที่ร่างกายตอบสนอง ณ ขณะนั้น คือการที่ ความง่วงหาวเข้าครอบงำ ตัวหนังสือที่เคยชัดเจนในสามสี่บรรทัดแรก ค่อยๆ พร่าเลือนเมื่อผ่านไปเพียงชั่วครู่ ความเป็นไปได้คือการเลือกระหว่างการฝืนทนพาสายตาไล่เรียงไปตามหนังสือต่อไปอย่างเสียไม่ได้ หรือการยอมแพ้ วางหนังสือ และไปหากิจกรรมอื่นทำ ก่อนที่จะวนกลับมาเจอกับอาการแบบเดิมในทุกๆ ครั้ง และคอยคุยกับตัวเองอยู่เป็นระยะ ด้วยคำถามว่า “เมื่อไหร่จะสอบเสร็จ” และ “เรื่องพวกนี้รู้ไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมานะ” และหากจะให้กล่าวอย่างเหมารวมสักหน่อย ก็คิดว่าหลายๆ คนที่เติบโตมาในเจเนอเรชันดียวกับเรา คงรู้สึกคล้ายกันไม่มากก็น้อย

ในสมัยนั้น เรื่องราวที่อยู่ในวิชาสังคมศึกษา โดยเฉพาะเรื่องราวประวัติศาสตร์และศาสนา ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทยหรือระดับโลก ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิต พระพุทธเจ้าสอนอะไร การปฏิวัติ และสงครามต่างๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นคำถามที่ไม่น่าสนใจแม้แต่น้อย การรู้เรื่องราวเหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์ และไม่ได้ทำให้ดูเป็นคนฉลาดขึ้นนัก เมื่อเทียบกับคนที่เก่งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ถูกเชิดชูทั้งจากครูที่โรงเรียน และผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ (ที่อยากให้ลูกตัวเองเป็นแบบนั้นกับเขาบ้าง)

หลังจากผ่านพ้นช่วงวัยเรียนมาและเข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัวแล้ว เราแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีกเลย ชื่อคนในประวัติศาสตร์ เรื่องราวคำสอนในศาสนา ที่เคยท่องจำจนคล่องปากก่อนเข้าสอบ ถูกลบเลือนหายไป กระทั่งวันหนึ่ง ที่ YouTube แสดงวิดีโอที่มีหน้าปกเป็นรูปพระพุทธเจ้า และพระอีก 1 รูปข้างกาย พร้อมตัวหนังสือเขียนว่า ‘พระอานนท์’ ขึ้นมา ชื่อที่เป็นเพียงร่องรอยอยู่ในความทรงจำส่วนลึก ที่เราไม่เคยหยิบจับไปถึง แต่วันนี้กลับกลายมาเป็นเนื้อหาหลักในรายการชื่อ Myth Universe ของช่อง Salmon Podcast ที่พิธีกรสองคนนำมาเล่าและพูดคุยกันได้อย่างจริงจัง

ถามว่าจริงจังขนาดไหน ก็ขนาดที่ความยาวของคลิปวิดีโอที่ว่า ยาวไปถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เทียบเท่ากับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งต้องขอบคุณตัวเองที่เลือกกดเข้าไปฟังในวันนั้น เพราะมันช่วยเปลี่ยนนิยามคำว่า ‘สื่อบันเทิง’ ของเราไปอย่างสิ้นเชิง

วิดีโอ ‘พระอานนท์’ และคลิปวิดีโออื่นๆ ของรายการ Myth Universe ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาที่เราได้กดเข้าไปฟังหลังจากนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พิธีกรหลัก ‘โจ้ บองโก้’ นทธัญ แสงไชย ไม่ว่าจะเล่าเรื่องพุทธประวัติ เรื่องราวของพระอรหันต์ หรือเรื่องราวในพระไตรปิฎก จะเล่าเรื่องเหล่านั้นให้ Co-host ที่หมุนเวียนกันมาฟังด้วยลีลาการเล่าที่เป็นกันเอง ใช้คำศัพท์และสถานการณ์ที่จริงในโลกยุคปัจจุบัน มาเป็นบรรยากาศหลักในรายการ และ Co-host เองก็ตอบสนองต่อเรื่องราวเหล่านั้นด้วยบริบทและมุมมองของมนุษย์ยุคปัจจุบันจริงๆ ที่อาจเป็นความเคลือบแคลงสงสัยในเหตุการณ์ต่างๆ หรือความตลกกับการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลกับบริบทของเราเป็นที่สุด

การพูดคุยเรื่องพุทธศาสนาแบบนี้ เป็นแนวทางที่เราไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย อาจเป็นเพราะเราโตมาภายใต้กรอบความคิดที่เรื่องศาสนา เป็นเรื่องที่อยู่แต่ในวัด ในหนังสือเรียน ทุกชื่อ ทุกเรื่องราว ล้วนถูกยกให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ 

การมองพระในพระไตรปิฎกให้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง หรือการตั้งคำถาม ถือเป็นเรื่องต้องห้าม การคิดสงสัยแม้แต่ในใจ ก็นับว่าเป็น ‘บาป’ ที่ควรต้องหลีกเลี่ยง และที่สำคัญคือเรื่องเหล่านี้ไม่เคยถูกนำมาเล่าอย่างสนุกสำหรับเรามาก่อน แต่การได้มาฟังรายการนี้ เปรียบเสมือนการนำเรื่องราวเหล่านั้นที่เคยอยู่แต่ในหนังสือ ออกมาเล่าเป็นเรื่องที่มีชีวิตชีวา เปลี่ยนชื่อที่เราเคยท่องจำไปสอบ ให้ออกมาโลดแล่นเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีชีวิตจิตใจ มีปัญหา และมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง

จากคลิปแรก นำไปสู่คลิปต่อๆ ไป จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็ได้ฟัง EP เกี่ยวกับพุทธศาสนา ไปจนถึงเรื่องราวอื่นๆ จนเกือบหมดรายการ รวมถึงตามไปซื้อหนังสือ ทั้ง ‘Myth Universe’ และ ‘หนีตามพระพุทธเจ้า’ (Buddhist Holy Day) มาอ่าน ซึ่งก็ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยลีลาที่บันเทิงและตรงจริตเราไม่ต่างจากการฟังพอดแคสต์เลยทีเดียว

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ เรากลับจำชื่อ จำเรื่องราว และจำหลักคำสอน ได้มากกว่าสมัยที่พยายามท่องจำแทบเป็นแทบตายด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อลองคิดดีๆ แล้ว น่าจะเป็นเพราะการเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านี้ให้มาอยู่ในบริบทที่จับต้องได้ และมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ทำให้เรื่องเหล่านี้ได้กลายเป็นเซลล์สมอง ที่สามารถเอื้อมตัวไปเกาะเกี่ยวกับเซลล์สมองที่มีอยู่ก่อน และเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับความรู้ความเข้าใจที่เรามี จนเกิดเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ตามหลักการของ Learning How to Learn ได้อย่างพอดิบพอดี

นอกเหนือไปจากรายการนี้แล้ว เมื่อลองซูมภาพออกมาในตลาดคอนเทนต์จะเห็นว่าในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา ได้มีสิ่งที่เรียกว่าสื่อบันเทิงที่ให้ความรู้คู่กับความสนุก หรือ Edutainment ออกมาอย่างต่อเนื่อง หลายๆ ช่อง หลายๆ รายการ ต่างมีการนำเรื่องราวของบุคคล ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงปรัชญา มาปรุงใหม่ให้กลายเป็นเรื่องน่าสนใจ จนสามารถจัดเวทีทอล์กโชว์ของตัวเองได้ และบัตรยังขายหมดอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากบัตรคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนเราคงแทบนึกภาพไม่ออก ว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้จริง

ส่วนตัวแล้ว รายการเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกประทับใจ ที่สามารถนำเนื้อหาสาระที่มีคุณภาพ มาถ่ายทอดและสร้างความเพลิดเพลินได้ในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางตลาดคอนเทนต์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องยอดผู้ชม ผู้ติดตาม มากกว่า ‘คุณค่า’ ที่จะสร้างให้กับสังคม จนบางทีก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าเราได้รู้จักและเข้าถึงสื่อแบบนี้ในสมัยที่เราเป็นเด็ก เราจะสนุกกับการเรียน และเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่แตกต่างจากนี้ไหมนะ

เป็นเรื่องตลกร้ายว่า สิ่งที่ทำให้เรา คนที่ห่างเหินจากเรื่องพุทธศาสนามานับ 10 ปี ได้กลับมาฟังและพิจารณาความหมายของคำสอนต่างๆ อีกครั้ง คือรายการที่คนธรรมดา เป็นฆราวาสเหมือนอย่างเราๆ มานั่งคุยกัน

 ในขณะที่ สิ่งที่เราได้ยินจากวงการพระสงฆ์ในระยะหลัง กลับมีแต่ข่าววุ่นวายกับทางโลก และพาให้เราอยากหนีจากการเข้าวัดทำบุญเสียอย่างนั้น

ต้องบอกว่าค่อนข้างประหลาดใจ ที่เรื่องราวของพระพุทธศาสนา และคำสอนต่างๆ ซึ่งเราได้กลับมาฟังอีกครั้งเอาตอนอยู่ในวัยกลางคนแล้ว มันสามารถช่วยเหลือเราในภาวะที่กำลังเผชิญได้อย่างเหนือความคาดหมาย การนำอิทธิบาท 4 มาเป็นหลักในการทำงาน การค่อยๆ เปลี่ยนจากคนที่แทบไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และ Self-Doubt ตลอดเวลา ได้เริ่มมาคิดว่าตัวตนของเราแท้ที่จริงแล้ว ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการประกอบกันของขันธ์ 5 และชีวิตทุกคนต่างก็อยู่บนพื้นฐานของไตรลักษณ์ ทำให้เรารู้สึกลดความยึดมั่น ถือมั่น 

และแม้จะไม่ได้ทำให้ปัญหาหรือสถานการณ์นั้นๆ หายไป แต่มันก็ช่วยให้เราเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น เพราะแม้แต่ผู้ที่เราเคยคิดว่าเขาเป็นผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ 100% แท้จริงแล้วก็เป็นมนุษย์ และต้องเผชิญกับสภาวะ และทางเลือกต่างๆ เช่นเดียวกันกับเรา

ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะ การที่เปลี่ยนเรื่องของพระพุทธศาสนา จากเรื่องที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์ แตะต้องไม่ได้ ตั้งคำถามไม่ได้ ให้กลายเป็นเรื่องราวที่สนุก เปลี่ยนให้ตัวละครเหล่านั้นกลายเป็นมนุษย์ที่ใกล้เคียงกับเรา กลับกลายเป็นการทำให้เรื่องราวและคำสอนเหล่านั้น เข้ามา Touch หัวใจเราได้มากที่สุดก็เป็นได้

Tags:

พุทธศาสนาEdutainmentMyth Universe

Author:

illustrator

เจษฎา อิงคภัทรางกูร

ชอบมองหาความพิเศษในตัวคนทุกคน ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินหรือนิยามใครด้วยมุมมองเพียงมิติเดียว เชื่อในพลังที่เกิดจากการร่วมมือกันของมนุษย์ และพยายามปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกัน

Related Posts

  • Book
    ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • Book
    มีเพียงหัวใจและการยอมรับตัวเองเท่านั้น ที่จะไขความลับของจักรวาลใจ: Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    คิมจียอง เกิดปี 82: ไม่ว่าจะสมัยแม่หรือสมัยนี้ ผู้หญิงก็ยังถูกกดทับด้วยความเหลื่อมล้ำทางเพศ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Let Them Theory: ปล่อยคนอื่นไปตามทางของเขา แล้วหันกลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือตัวเราเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

The Anxious Generation EP 1: เลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ สัญญาณร้ายสู่คนรุ่นใหม่วัยวิตก
Adolescent BrainSocial Issues
17 July 2025

The Anxious Generation EP 1: เลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ สัญญาณร้ายสู่คนรุ่นใหม่วัยวิตก

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • สมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียทำให้การใช้หน้าจอได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็กและวัยรุ่น เปลี่ยนผ่านจาก ‘วัยเด็กที่เน้นการเล่นสนุก’ (Play-Based Childhood) เป็น ‘วัยเด็กที่เน้นแต่การเล่นโทรศัพท์’ (Phone-Based Childhood)
  • เทคโนโลยีเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงสมองและพัฒนาการของเด็กไปอย่างสิ้นเชิง เด็กขาดการพัฒนาทักษะในโลกจริง มีแนวโน้มที่จะวิตกกังวลง่ายขึ้น จัดการอารมณ์ได้ยากขึ้น และมีสมาธิที่สั้นลง
  • โจนาธาน เฮดท์ นักจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ชี้ว่าการปกป้องลูกในโลกจริงเกินเหตุ ในขณะที่ปกป้องลูกในโลกเสมือนน้อยเกินไป คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้กลายเป็น The Anxious Generation

คุณจะยอมส่งลูกของคุณไปดาวอังคารไหม?

นี่เป็นคำถามจากบทนำในหนังสือ The Anxious Generation (ยุคสมัยแห่งความวิตกกังวล) ของ โจนาธาน เฮดท์ (Jonathan Haidt) นักจิตวิทยาสังคมและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก แน่นอนว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนยอม เพราะดาวอังคารมีสภาพแวดล้อมที่อันตรายกว่าโลกมาก อีกทั้งบริษัทที่ส่งคนไปดาวอังคารก็คงไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กเลย

ดาวอังคารในเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรจาก ‘โซเชียลมีเดีย’ ในโลกโซเชียลมีคนแปลกหน้ามากมายและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก อีกทั้งบริษัทที่สร้างแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็คงไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กเลย แล้วทำไมพ่อแม่ถึงยอมให้ลูกเล่นโซเชียลมีเดียโดยไร้การดูแล ซ้ำยังให้เด็กทำสัญญาเปิดบัญชีผู้ใช้โดยปราศจากความยินยอมจากผู้ปกครอง

อันที่จริงจะโทษพ่อแม่ก็ไม่ถูก เพราะในตอนที่โซเชียลมีเดียเพิ่งเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อเด็กเข้ามาใช้งานจะส่งผลอย่างไร เฮดท์ยกตัวอย่างว่าเหมือนกับแอลกอฮอล์และบุหรี่ที่ตอนแรกสามารถขายให้กับทุกคนได้ จนกระทั่งค้นพบว่าของเหล่านี้เป็นอันตราย เลยมีการกำหนดอายุขั้นต่ำที่จะสามารถซื้อได้

แล้ว ‘โซเชียลมีเดีย’ อันตรายกับเด็กอย่างไร?

ในหลายปีมานี้ เด็กและวัยรุ่นทั่วโลกมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น

  • การสำรวจของกรมสุขภาพจิตจากกลุ่มเด็กและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ระหว่างวันที่ 12 ก.พ. 2022 – 27 ก.พ. 2024 พบเด็กเสี่ยงซึมเศร้าร้อยละ 10.86 และเสี่ยงฆ่าตัวตายมากถึงร้อยละ 19.12
  • การวิเคราะห์ข้อมูลจาก National Survey on Drug Use and Health ของสหรัฐฯ พบว่า อัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นอายุ 12-17 ปี เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 8.1% ในปี 2009 เป็น 15.8% ในปี 2019
  • ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2024 ระบุว่า 1 ใน 7 ของเด็กอายุ 10-19 ปีทั่วโลกประสบกับปัญหาสุขภาพจิต แต่ส่วนมากกลับไม่ได้รับการตรวจและรักษา โดยส่วนใหญ่มักเป็นภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความผิดปกติทางพฤติกรรม

จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่าวัยรุ่นทั่วโลกมีปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฮดท์เสนอว่า หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้วัยรุ่นมีปัญหาสุขภาพจิต คือ ‘โซเชียลมีเดีย’ และ ‘สมาร์ตโฟน’

เฮดท์กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา วัยรุ่นในสหรัฐฯ มีปัญหาภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นคือการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีอย่าง ‘สมาร์ตโฟน’ และ ‘โซเชียลมีเดีย’

เทคโนโลยีนี้เติบโตขึ้นทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ตั้งแต่ปี 2013 ครัวเรือนไทยมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเป็นอินเทอร์เน็ตจากสมาร์ตโฟนที่มีการแข่งขันราคาอย่างดุเดือดในช่วงเวลานั้น การเข้าถึงโซเชียลมีเดียจึงสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว ไม่จำกัดแค่บนคอมพิวเตอร์อีกต่อไป

สมาร์ตโฟนทำให้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มเด็กและวัยรุ่นด้วย ในจุดนี้การใช้หน้าจอได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันและเบียดบังกิจกรรมอื่นๆ ที่เด็กควรทำ นั่นคือ ‘การเล่นสนุกในโลกจริง’

กล่าวได้ว่า เด็กในยุคนี้ได้เปลี่ยนผ่านจาก ‘วัยเด็กที่เน้นการเล่นสนุก’ (Play-Based Childhood) เป็น ‘วัยเด็กที่เน้นแต่การเล่นโทรศัพท์’ (Phone-Based Childhood)

เฮดท์เรียกการเปลี่ยนผ่านนี้ว่า ‘The Great Rewiring’ (การเปลี่ยนระบบครั้งใหญ่) เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงสมองและพัฒนาการของเด็กไปอย่างสิ้นเชิงผ่านการดึงเด็กให้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือน เด็กมีแนวโน้มที่จะวิตกกังวลง่ายขึ้น จัดการอารมณ์ได้ยากขึ้น และมีสมาธิที่สั้นลง

เมื่อเด็กเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์ เด็กจะขาดการพัฒนาทักษะในโลกจริง เช่น ทักษะสังคม การจัดการความขัดแย้ง การสร้างปฏิสัมพันธ์ ฯลฯ ซึ่งทักษะเหล่านี้ไม่สามารถสร้างในโลกออกไลน์ได้ โดยเฮดท์ชี้ว่า ‘โลกออนไลน์/โลกเสมือน’ กับ ‘โลกจริง’ มีสิ่งที่แตกต่างกัน 4 ประการ ดังนี้

  1. การใช้ร่างกาย

โลกจริงต้องใช้ร่างกายในการสื่อสาร มีทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา เรารับรู้ว่ากำลังคุยกับคนอยู่จริงๆ แต่ในโลกเสมือนไม่ต้องใช้ร่างกาย ใช้เพียงแค่ข้อความในการสื่อสาร คู่สนทนาอาจไม่ใช่คนด้วยซ้ำไป (อย่างเช่น เอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน)

  1. ความต่อเนื่อง

การสื่อสารในโลกจริงต้องใช้ความต่อเนื่อง คนหนึ่งถาม อีกคนหนึ่งตอบ ดังนั้นการเรียนรู้จังหวะการพูดและการผลัดเปลี่ยนกันสนทนาจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่การสื่อสารในโลกเสมือนไม่มีความต่อเนื่อง คนหนึ่งพิมพ์ข้อความ อีกคนหนึ่งอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงในการตอบ (นี่เป็นเหตุที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่เกิดความวิตกในการคุยโทรศัพท์หรือการสื่อสารที่ใช้ความต่อเนื่อง เพราะไม่มีเวลาคิดนานเหมือนกับการพิมพ์)

  1. จำนวนคนที่สื่อสารด้วย

ในโลกจริงมักเป็นการสื่อสารแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หรือหนึ่งต่อหลายคน โดยเราจะมีปฏิสัมพันธ์ได้ทีละกลุ่มในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในโลกเสมือนเกือบทั้งหมดเป็นการสื่อสารแบบหนึ่งต่อหลายคน เกิดการกระจายข้อมูลออกไปเป็นวงกว้างและมักไม่สามารถลบได้ โดยเราจะมีปฏิสัมพันธ์หลายๆ กลุ่มคู่ขนานกันไป

  1. การเข้าร่วมและออกจากกลุ่ม

ในโลกจริงจะมีเกณฑ์ที่สูงในการเข้าร่วมกลุ่มใดๆ เพราะต้องลงทุนและใช้เวลามากในการสร้างความสัมพันธ์ ทำให้เราไม่อยากละทิ้งกลุ่ม จึงพยายามรักษาและแก้ไขความขัดแย้งกันไป แต่ในโลกเสมือนการเข้าร่วมกลุ่มใดๆ จะมีเกณฑ์ที่ต่ำ เพราะไม่ต้องลงทุนในความสัมพันธ์มาก มักเป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยและตื้นเขิน ทำให้เราสามารถละทิ้งกลุ่มได้อย่างง่ายดาย ไม่ชอบก็แค่กดออกจากกลุ่มหรือบล็อกได้เลย

จากความแตกต่างระหว่างโลกออนไลน์กับโลกจริงทำให้เราเห็นได้ว่า การสื่อสารในโลกสองใบนี้ใช้รูปแบบที่ต่างกัน ดังนั้นการใช้เวลาในโลกออนไลน์เพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถนำไปสู่การเรียนรู้ทักษะในโลกจริงได้ อีกทั้งยังอาจนำไปสู่ความวิตกกังวลหรือประหม่าได้เมื่อต้องสื่อสารในโลกจริง

การใช้ ‘หน้าจอ’ อย่างไม่เหมาะสมคือปัญหา

ในปีนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชี้ว่า ปัญหาการติดการหน้าจอเป็นหนึ่งในประเด็นสุขภาพที่ต้องจับตา กลุ่มเด็กเล็กมีการเข้าถึงและใช้เวลากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต) ที่เพิ่มขึ้นทุกปี

เนื่องด้วยพ่อแม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานหาเลี้ยงดูครอบครัว ทำให้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อยลง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็น ‘ตัวช่วย’ ในการเลี้ยงลูก เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ดึงดูดความสนใจของเด็กได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกอยู่นิ่งและมีเวลาให้พ่อแม่จัดการงานอื่นได้

อีกทั้งเฮดท์ยังระบุว่า เทรนด์การเลี้ยงลูกในปัจจุบันคือ การปกป้องลูกในโลกจริงอย่างเกินเหตุ ในขณะที่การปกป้องลูกในโลกเสมือนกลับน้อยเกินไป กล่าวคือ พ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกออกไปเล่นหรือทำกิจกรรมนอกบ้านเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตราย อย่างน้อยการนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในบ้านก็ยังอยู่ในสายตาของพ่อแม่ตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้เลยว่าหน้าจอก็เป็นภัยร้ายกับเด็กได้เช่นกัน

การให้เด็กเล็กใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือเป็นประจำ ทำให้เด็กขาดปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ไม่ได้เรียนรู้การสื่อสาร ทักษะทางสังคม และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น 

(ทั้งนี้ อาจมีบางคนแย้งว่าการให้เด็กดูคลิปจะได้ฝึกพูด ฝึกภาษาได้ ซึ่งไม่ถูกต้องเท่าไรนัก)

จูเลียน ไพน์ (Julian Pine) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล กล่าวว่า เด็กเรียนรู้การพูดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ การฟังเสียง และการสังเกตปาก (เป็นเหตุให้คำแรกที่เด็กพูดได้จะเป็นเสียงที่เกิดจากริมฝีปาก เช่น /ม/ /ป/ /บ/) หน้าจอเป็นปฏิสัมพันธ์แบบทางเดียว ไม่เหมือนกับคนที่มีการโต้ตอบซึ่งกันและกัน ดังนั้นการใช้หน้าจอมากเกินไปจนขาดปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อาจทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้าและมีปัญหาการสื่อสารได้

สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) แนะนำว่า เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรใช้หน้าจอเลย และเด็กอายุ 2-5 ปี ควรใช้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยมีผู้ปกครองอยู่ด้วยตลอดเพื่อกำกับดูแลและพูดคุยด้วย อีกทั้งควรเลือกใช้เฉพาะสื่อสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการคิดการอ่าน

ส่วนในเด็กโตขึ้นมาหน่อยมีการศึกษาพบว่า การใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำมีความเชื่อมโยงอย่างมากกับอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ อย่างไรก็ดี หากการใช้งานมีพ่อแม่กำกับดูแล การสนับสนุนจากครอบครัว และการปลูกฝังความเมตตากรุณาต่อตนเอง (Self-compassion) ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้ผลเสียที่เกิดจากโซเชียลมีเดียมาทำร้ายเด็กได้

ไฮดท์เน้นย้ำว่า การปกป้องลูกในโลกจริงเกินเหตุ ในขณะที่ปกป้องลูกในโลกเสมือนกลับน้อยเกินไป คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่วิตกกังวลมากขึ้น การเล่นสนุกในโลกจริงถูกพ่อแม่ห้ามปรามและแทนที่ด้วยโลกเสมือนอย่างไร้การดูแล ทำให้เด็กขาดการพัฒนาทักษะทางสังคมที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเด็กจากกรมสุขภาพจิตแนะนำว่า การเลี้ยงลูกในยุคนี้ต้องจำกัดระยะเวลาการใช้หน้าจอ, เปิดโอกาสให้เด็กได้พบปะและทำกิจกรรมกับเพื่อนวัยเดียวกัน, หากิจกรรมเสริมทักษะอื่นๆ และฝึกให้เด็กรู้จักอดทนและรอคอย เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล

อ้างอิง

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ [สสส.]. (2567). จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2568.

สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (ม.ป.ป.). สำรวจ​การมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน.

Isriya Paireepairit. (2014). 2014 Thai Telecom Industry: Battle for Cheap Smartphones.

Jonathan Haidt. (2024). The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness. Penguin Press.

Liu, T., Cheng, Y., Luo, Y., Whang, Z., Pang, P.C., Xia, Y. & Lau, Y. (2024). The Impact of Social Media on Children’s Mental Health: A Systematic Scoping Review. Healthcare, 12(23), 2391.

Massaroni, V., Donne, V.D., Marra, C., Arcangeli, V., & Chieffo, D.P.R. (2024). The Relationship between Language and Technology: How Screen Time Affects Language Development in Early Life—A Systematic Review. Brain Sciences, 14(1), 27.

PPTV Online. (2024). เปิดปม “สุขภาพจิต” ของวัยรุ่น รีบสังเกตเยียวยาก่อนรุนแรง!.

RobWords. (2025). The incredible way babies learn to talk.

The MATTER. (2024). ผลสำรวจพบ Gen Z และ Millennials ชอบพิมพ์ข้อความ มากกว่าโทรศัพท์ เพราะการโทรทำให้วิตกได้มากกว่า.

Wilson, S., & Dumornay, N.M. (2023). Rising Rates of Adolescent Depression in the United States: Challenges and Opportunities in the 2020s. Journal of Adolescent Health, 70(3), 354-355.World Health Organization [WHO]. (2024). Mental health of adolescents.

Tags:

โซเชียลมีเดียสมองพัฒนาการเด็กThe Anxious Generation

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Adolescent BrainSocial Issues
    The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Adolescent BrainSocial Issues
    The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • EF (executive function)Adolescent Brain
    ‘สัตว์เลี้ยง’ เพื่อนที่สอนเด็กเรื่องความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะปรับตัว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Adolescent Brain
    สมองแบบติ๊กต่อก: จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในร้านลูกกวาดที่กินเท่าไรก็ได้?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    FACETOOK: มา ‘เฟซทุกข์’ กันเถอะ เพราะลึกๆ แล้วเฟซบุ๊คไม่ได้มีแค่ความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

‘Lifelong Learning’ เรียนรู้จากประสบการณ์ รากฐานสู่ความงอกงามของชีวิต: ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช
Life Long LearningTransformative learning
17 July 2025

‘Lifelong Learning’ เรียนรู้จากประสบการณ์ รากฐานสู่ความงอกงามของชีวิต: ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช

เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • ‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ เป็นทักษะที่คนทุกช่วงวัยต้องให้ความสำคัญ เพราะการเรียนรู้นั้นไม่ได้สิ้นสุดลงหลังจากมนุษย์คนหนึ่งออกจากระบบการศึกษา แต่เกิดขึ้นตลอดทุกช่วงชีวิต
  • หัวใจสำคัญคือการวางรากฐานตั้งแต่ช่วงก่อนเข้าเรียน คือการเรียนรู้ในครอบครัว ชุมชน สังคม  และช่วงการศึกษาในระบบ ที่ครูควรออกแบบการเรียนรู้จากประสบการณ์ ฝึกทักษะในการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
  • เป้าหมายการศึกษา ต้องเปลี่ยนจาก ‘ค่านิยมแห่งความสำเร็จ’ ในลักษณะของการสอบได้คะแนนดี ไปสู่ ‘ค่านิยมแห่งการเติบโต’ ที่เน้นการงอกงามความเป็นมนุษย์อย่างรอบด้าน 

ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงพลิกผัน โดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มอัตราเร่งอยู่ตลอดเวลา ‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ถือเป็นทักษะที่ควรติดตั้งให้กับเด็กๆ เพราะการที่เด็กคนหนึ่งมีทักษะนี้จะส่งผลดีทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว และสังคม เขาจะใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และกลายเป็นบุคคลคุณภาพของสังคมต่อไป

ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการมอบทักษะนี้ให้กับเด็กๆ นอกจากครอบครัวแล้ว ‘คุณครู’ คือผู้วางรากฐานสำคัญให้เขากลายเป็นนักเรียนรู้ที่สามารถต่อยอดการเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด 

ในเวทีวิชาการในโครงการราชบัณฑิตสัญจร สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา บรรยายพิเศษเรื่อง ‘ครูกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต’ โดยชี้ให้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) พร้อมชวนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการศึกษาไทยที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยทั้งหมด 

ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตเกิดจากการวางรากฐานที่ดี

การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นทักษะสำคัญสำหรับคนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะการเรียนรู้นั้นไม่ได้สิ้นสุดลงหลังจากมนุษย์คนหนึ่งเรียนจบจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องตลอดทุกช่วงชีวิตของมนุษย์ ในภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็น Continuum

ศ. นพ.วิจารณ์ แบ่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตออกเป็น 3 ช่วง เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ 

“เริ่มต้นจาก ช่วงวางรากฐาน เป็นช่วงก่อนเข้าเรียนในระบบการศึกษา คือการเรียนรู้ในครอบครัว ชุมชน สังคม ตอนช่วงนี้จะเห็นว่าก่อนเข้าระบบการศึกษา เด็กจะได้รับการเรียนรู้จากจากที่บ้านมาก่อน ช่วงที่สองคือช่วงการศึกษาในระบบ และช่วงที่สาม ช่วงต่อยอดหลังทำงาน

จริงๆ มันไม่ได้แยกเป็น 3 ตอนออกจากกัน แต่จะเป็นการดำเนินต่อเนื่องกันไป ช่วงที่ต่อเนื่องจะมีการทับซ้อนกันด้วย เช่น ช่วงวางรากฐานจะทับกับช่วงการศึกษาในระบบ

หัวใจสำคัญคือถ้าหากวางรากฐานไม่ได้ในช่วงแรกๆ คือช่วงวางรากฐานและช่วงการศึกษาในระบบ Lifelong Learning (LLL) ที่เกิดขึ้นหลังจากไปทำงานจะไม่แข็งแรง 

เพราะฉะนั้น ‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาโฟกัสกันเฉพาะแค่ช่วงที่การศึกษาจบปริญญาไปแล้วหรือทำงานแล้ว แต่ต้องวางรากฐานตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา”

ศ. นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า เรื่องของการวางรากฐานเรียกว่า งอกงาม (Grow) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้าง 4 ทักษะที่สนับสนุนให้มนุษย์มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ประกอบด้วย

  1. Growth Mindset การที่มีจิตใจและความเชื่อว่าตัวเราและทุกอย่างพัฒนาได้ 

“Lifelong Learning ที่มีพลัง ต้องการ Growth Mindset หรือความเชื่อในความงอกงามของสมองและความสามารถของมนุษย์”

  1. Grit การชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เราสามารถมีพลังได้มากถ้าเรามี Grit ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ Passion ความหลงใหลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กับ Perseverance ความอดทน มานะพยายามที่จะทำเรื่องใดให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ 
  1. Hidden Potential พลังซ่อนเร้นของมนุษย์ การมีสมรรถนะในการใช้ประสบการณ์ชีวิตยกระดับศักยภาพในการเรียนรู้อย่างไร้ขีดจำกัด
  2. Learning Skills ทักษะในการเรียนรู้ หมายความว่า มนุษย์เราต้องฝึกทักษะในการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา การศึกษาต้องวางรากฐานทักษะในการเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนแบบจำ แต่ต้องเรียนแบบคิด สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ เพราะ Learning Skills คือ Thinking Skills

กระบวนการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องใส่ใจตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ของเด็กผ่านการจัดการเรียนรู้ โดยครูสามารถวางรากฐานและออกแบบ ‘การเรียนรู้จากประสบการณ์’ (Experiential Learning) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการเรียนรู้ที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต

‘การเรียนรู้จากประสบการณ์’ หมุนวรจรการเรียนรู้สู่ ‘การเรียนรู้ตลอดชีวิต’

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นศาสตร์การเรียนรู้ที่ถูกพัฒนาตลอด 30 ปี เริ่มต้นจากการพัฒนาศาสตร์การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Adult Learning) แต่เมื่อดำเนินการศึกษาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการนำไปเชื่อมโยงกับเรื่อง Learning Sciences ศาสตร์ว่าด้วยการเรียนรู้ ในที่สุดก็พบว่า Adult Learning แท้จริงแล้วคือ Human Learning  

“ธรรมชาติการเรียนรู้ของมนุษย์ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยมนุษย์ทุกวัยเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นหลักใหญ่ หัวใจสำคัญคือเมื่อปฏิบัติแล้ว ตัวเองจะได้สาระอะไรบางอย่างจากการปฏิบัติ ผ่านประสาทสัมผัส (Sensory) ที่หลากหลาย แล้วพยายามหาความหมายจากสิ่งที่ได้รับนั้นโดยการสะท้อนคิดแล้วทำอย่างเป็นวงจร”

โดยวงจรการเรียนรู้ที่ถูกกล่าวถึงนี้เรียกว่า Kolb’s Experiential Learning Cycle  คิดค้นโดย David A. Kolb หลักการสำคัญคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เมื่อเรามีประสบการณ์ตรง (Concrete Experience) มนุษย์ทุกคนจะสังเกตและสะท้อนคิด (Reflective Observation) โดยอาศัยวิธีการตั้งคำถาม จากนั้นต้องได้รับการสะท้อนคิดจนตกผลึกเป็นหลักการเชิงนามธรรม (Abstract Conceptualisation)

ศ.นพ.วิจารณ์เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพื่อนำไปทดลองใช้ (Active Experimentation) เรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรได้รับการพัฒนา เพื่อยกระดับการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลอย่างเป็นวงจรไปเรื่อยๆ 

“เมื่อทำอย่างนี้ไปจะทำให้เกิดปัญญา ผมคิดว่าเป็นวงจรที่สำคัญที่สุดในเรื่องของการเรียนรู้ตลอดชีวิตของมนุษย์”

นอกจากนี้ ศ. นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistic Learning) ไม่ใช่เรียนรู้เฉพาะ Knowledge หรือความรู้เท่านั้น แต่ต้องเรียนรู้ครบทั้ง VASK คือ ค่านิยม (Values) เจตคติ (Attitude) ทักษะ (Skills) และ ความรู้ (Knowledge)

“การเรียนรู้แบบองค์รวมทำให้เกิดทักษะที่สำคัญยิ่งต่อมนุษย์ในยุคปัจจุบันและอนาคต ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็คือ Future Skills ทักษะแห่งอนาคต”

การเรียนรู้แบบองค์รวมตอบโจทย์ต่อโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยข้อมูลหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการทักษะใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ผู้เรียนที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ครบทั้ง VASK คือผู้ที่พร้อมสำหรับอนาคตมากที่สุด

ปลดล็อกระบบที่กดทับ สนับสนุนความเป็นผู้ริเริ่ม เติมความกล้าเรียนรู้ตลอดชีวิต

“สิ่งที่ทำให้การเรียนรู้ของคนไทยและคนอีกกว่าครึ่งโลกไม่แข็งแรงเท่าที่ควร คือสิ่งที่เรียกว่า ‘การกดทับการเรียนรู้’ 

หนังสือเรื่อง Pedagogy of the Oppressed เขียนโดย เปาโล แฟร์ ชี้ให้เห็นว่า ระบบการศึกษา ระบบสังคม ระบบการเลี้ยงดู กดทับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ต้องการเรียนรู้จากทุกสิ่งรอบตัว ระบบเหล่านี้ลดทอน ‘ความเป็นผู้ริเริ่ม’ (Agency) ทำให้ความ ‘กล้า’ ที่การเรียนรู้ตลอดชีวิตลดน้อยลงไปด้วย” 

การสร้างพลเมืองที่มีความสามารถในการเรียนรู้ตลอดชีวิต จำเป็นต้องสร้างความเข้าใจแก่สังคม เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ปรับเปลี่ยนภาพจำว่า ‘การเรียนรู้’ จบแค่ในห้องเรียนหรือหลังจบการศึกษาเท่านั้น เป็นการเรียนรู้อยู่ทุกที่รอบตัวตลอดชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม แม้การเรียนรู้จะไม่ได้จำกัดแค่ในห้องเรียน แต่ระบบการศึกษาเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่แข็งแรง 

คำถามคือ ‘ระบบการศึกษาไทยควรปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต’ 

ศ. นพ.วิจารณ์ เสนอว่า ประเทศเราต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบของการเรียนรู้ หลักการคือ

1. ต้องหนุนศักยภาพในการเรียนรู้ของมนุษย์จากประสบการณ์ตรงไม่ใช่ ‘ควบคุม’ 

2. เป็นระบบที่หล่อเลี้ยงความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) การกล้าทดลอง (Exploration) การมีแรงบันดาลใจภายใน (Inner Motivation) 

3. เปลี่ยนจากระบบควบคุมจากภายนอก (External Control) ไปสู่ ระบบส่งเสริมจากภายใน (Internal Empowerment) เพื่อส่งเสริมให้ครูและโรงเรียนเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์วิธีการที่ทำให้เด็กและเยาวชนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง 

ปรับ ‘เป้าหมายการศึกษา’ จากการสอบ สู่การงอกงามความเป็นมนุษย์

ศ. นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า สังคมส่วนใหญ่มองว่าเป้าหมายในการศึกษา คือการเรียนเพื่อสอบเข้าคณะหรือมหาวิทยาลัยดีๆ เพียงเท่านั้น ฉะนั้นต้องเปลี่ยน ‘ค่านิยมแห่งความสำเร็จ’ ไปสู่ ‘ค่านิยมแห่งการเติบโต’ ในลักษณะของการสอบได้คะแนนดีไปสู่ค่านิยมของการที่ได้งอกงามความเป็นมนุษย์อย่างรอบด้าน 

สังคมต้องยุติการยกย่องแต่คนที่สอบได้อันดับดี คะแนนดี เปลี่ยนไปเน้นที่สมรรถนะครบด้าน โดยสร้างวัฒนธรรมที่เคารพความหลากหลายทางความสามารถและวิธีเรียนรู้

“ต้องวัดผลจากพฤติกรรมไม่ใช่ข้อสอบ สอนเพื่อสอบเป็นพิษร้าย ต้องส่งเสริมสมองส่วนหน้า (Executive Function) ผ่านการอภิปราย เล่นแบบ Freeplay การตั้งคำถาม หรือทำโครงงาน”

ปรับ ‘บทบาทครู’ จากผู้ควบคุมชั้นเรียน เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ 

ครูต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator of Human Growth) ไม่ใช่ผู้ควบคุมการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเติบโตและสามารถพัฒนาศักยภาพของตนอย่างไร้ขีดจำกัด

“ครูต้องไม่เป็นผู้สอน แต่เป็น ‘นักฟัง’ ฟังแล้วตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดในมิติที่ลึกและเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ได้รับ

เมื่อทำอะไรมี Action ต้องตามด้วย Reflection การสะท้อนคิดเกิดจากการตั้งคำถามเสมอ นั่นคือทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นครูต้องมีความเชื่อว่า สมรรถนะความสามารถของตัวเองพัฒนาได้อย่างไม่สิ้นสุด หัวใจสำคัญคือครูสามารถพัฒนาตัวเองได้จากการเรียนรู้ร่วมกับลูกศิษย์ เพื่อนครู หรือ Stakeholders อื่นๆ เช่น พ่อแม่เด็ก ผู้นำชุมชน

ครูต้องเป็นนักออกแบบประสบการณ์ที่จะทำให้เด็กมีประสบการณ์และได้สะท้อนคิดจากประสบการณ์นั้น ดังนั้นมันจะไปโยงถึง ‘ระบบผลิตครู’ ที่ต้องปรับใหม่ ต้องยึดโยงกับความเข้าใจมนุษย์ในมิติที่ลึก ไม่ใช่แค่เรียนเน้นตัววิชา”

ปรับ ‘โครงสร้างโรงเรียน’ จากสถานที่เรียนรู้เชิงวินัย สู่พื้นที่ทดลองงอกงาม 

“สนับสนุนให้โรงเรียนมี Learning Ecosystem ที่เด็กรู้สึกปลอดภัย ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่ง”

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวว่า โรงเรียนต้องเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ เอื้อต่อการเรียนรู้ หนุนให้เด็กงอกงามความเป็นมนุษย์ เพื่อสร้าง ‘ความเป็นผู้ริเริ่ม’ ให้เขากล้าทดลองหรือคิดอะไรที่แตกต่างจากที่สังคมโดยทั่วไปพูดถึงกัน 

“ให้เด็กได้มีโอกาสลองที่จะผิดพลาด ล้มเหลวแล้วนำเอาประสบการณ์ที่สำเร็จหรือผิดพลาด ล้มเหลว เอามาใคร่ครวญ ทบทวน ไตร่ตรอง (Eco Reflection) จะทำให้ห้องเรียนกลายเป็น Learning Studio ไม่ใช่ Classroom อย่างในอดีต”

การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้โรงเรียนเป็นระบบนิเวศการเรียนรู้ และครูคือนักออกแบบประสบการณ์ ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับเด็กอย่างแท้จริง

Tags:

ครูโรงเรียนการเรียนรู้ตลอดชีวิตlife long learningทักษะศ. นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

บุญญิสา รัตนมณี

Related Posts

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Tuber Teacher ครูนักเล่าเรื่อง : เวิร์กชอปที่จะเปลี่ยนให้คุณครูกลายเป็นยูทูบเบอร์

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘ข้อมูลที่ตรงจริง กับคุณครูที่มีหัวใจ’ โรงเรียนเปลี่ยนได้ด้วย Data Driven: ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูร
Transformative learning
15 July 2025

‘ข้อมูลที่ตรงจริง กับคุณครูที่มีหัวใจ’ โรงเรียนเปลี่ยนได้ด้วย Data Driven: ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูร

เรื่อง นิภาพร ทับหุ่น

  • แนวคิดหลักของ Data Driven School คือการตัดสินใจบนฐานข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือเด็กๆ ได้ตรงจุด ตามบริบทเฉพาะรายบุคคล ที่สำคัญจะช่วยพัฒนาโรงเรียนได้อย่างต่อเนื่องจากข้อมูลย้อนกลับ
  • ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูร ผู้อำนวยการโรงเรียนพินิจอนุสรณ์ จังหวัดนครสวรรค์ ให้ความสำคัญกับ ‘พลังของข้อมูล’ ที่ตรงจริง ในการใช้บริหารจัดการและนำมาพัฒนาคุณภาพผู้เรียน รวมถึงเชื่อมข้อมูลกับกระบวนทัศน์ ‘จิตศึกษา’ พัฒนาคุณค่าจากภายใน ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ข้อมูลได้ทำงาน
  • “ข้อมูลที่ตรงจริงจะเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนให้เราสามารถเรียนได้อย่างเป็นระบบ แล้วเด็กก็จะไม่หลุดออกจากการศึกษา เราจะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนได้ โรงเรียนจะไม่ใช่โรงสอนอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่แห่งความปลอดภัยให้เด็กได้เติบโตในสิ่งที่เขาเป็น”

“ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่ตรงจริง จะสามารถเปลี่ยนแปลงโรงเรียนได้อย่างแท้จริง”

นั่นเป็นแนวคิดของ ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูร ผู้อำนวยการโรงเรียนพินิจอนุสรณ์ จังหวัดนครสวรรค์ ที่กล่าวไว้บนเวทีการจัดการความรู้ School Zero Dropout ภาคเหนือ ‘พลังความร่วมมือ’ การขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQM) ณ จังหวัดพิษณุโลก 

“ผมอยากจะชวนพี่น้องการศึกษาทุกคนลองร่วมกันคิด ร่วมกันฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโรงเรียน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงด้วยงบประมาณนะครับ แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงนั้นได้คือ พลังของข้อมูล”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันนี้ ข้อมูล (Data) คือปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กระทั่งการศึกษาเองก็เช่นกัน โรงเรียนพินิจอนุสรณ์ เป็นโรงเรียนสามัญที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในแต่ละปีมีตัวเลขเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาอยู่บ้าง แต่ด้วยเพราะไม่มีข้อมูลที่ตรงจริง ปัญหาจึงยังไม่ได้รับการแก้ไข 

 “ผู้ที่มีข้อมูลที่ตรงจริง จะสามารถช่วยในการวิเคราะห์ วางแผน และกำหนดทิศทางได้อย่างชัดเจน โรงเรียนจึงจำเป็นต้องไปสู่การเป็น Data Driven School เพื่อที่จะนำข้อมูลนั้นเอาไปใช้ในการบริหารจัดการ และนำมาพัฒนาคุณภาพผู้เรียนของเรา เพราะว่าสิ่งสำคัญคือเด็ก เด็กของเราคือของขวัญล้ำค่าที่จักรวาลมอบให้ และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เรานำข้อมูลมาใช้”  

เมื่อโลกเปลี่ยน โรงเรียนก็ต้องเปลี่ยนตาม โรงเรียนพินิจอนุสรณ์ เลือกที่จะใช้ข้อมูลนำทางเพื่อการพัฒนา โดยแนวคิดหลักของ Data Driven School คือการตัดสินใจบนฐานข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือเด็กๆ ได้ตรงจุด ตามบริบทเฉพาะรายบุคคล ที่สำคัญจะช่วยพัฒนาโรงเรียนได้อย่างต่อเนื่องจากข้อมูลย้อนกลับ

“เรามีแนวคิดหลักเพื่อเปลี่ยนแปลง หนึ่งก็คือเพื่อใช้ในการตัดสินใจ สองเพื่อใช้ในการช่วยเหลือเด็ก และสามใช้ในการบริหารจัดการโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพ แนวคิดสำคัญทั้ง 3 แนวคิดนี้จะไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ถ้าข้อมูลนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เราจึงนำแนวคิด กระบวนทัศน์จิตศึกษา มาเชื่อมโยงกับข้อมูลที่มีหัวใจ ทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับข้อมูลนั้น ทำให้ครูเห็นเด็กได้อย่างแท้จริง ครูสามารถเปิดหูรับฟังเสียงของเด็ก 

ข้อมูลอาจจะไม่มีค่า ถ้าเราไม่ได้ฟังด้วยหัวใจ สิ่งสำคัญที่จะขับเคลื่อนข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือคุณครู”  

เมื่อมีข้อมูลและพื้นที่ปลอดภัยแล้ว จะใช้ข้อมูลนั้นอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ บอกว่า จะต้องเชื่อมข้อมูลกับกระบวนทัศน์ ‘จิตศึกษา’ พัฒนาคุณค่าจากภายใน ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ข้อมูลได้ทำงาน เน้นความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างครูกับเด็ก จัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น ที่สำคัญต้องแสดงข้อมูลที่มาจากเรื่องราวของชีวิตจริง ไม่ใช่แค่ตัวเลข 

“เรานำข้อมูลเข้ามาสู่ในวง PLC ที่มีคุณภาพที่ทุกคนร่วมกันวางแผน ร่วมกันวิเคราะห์ เพื่อที่จะช่วยเหลือนักเรียนของเรา แล้ววง PLC นั้นจะเกิดไม่ได้เลยถ้าเราไม่เห็นข้อมูลที่เหมือนกัน”

ระบบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ หรือ Q-info จะถูกรวบรวม วิเคราะห์ เพื่อช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที ซึ่งการนำข้อมูลเข้าสู่วง PLC คุณภาพนั้น จะช่วยเรื่องการวางแผน และลดอัตราเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบ เพราะมีข้อมูลที่ตรงจริง 

“มีเด็กอยู่คนหนึ่งครับ เด็กชาย ป.4 ที่โรงเรียนของผมเอง เขาเป็นเด็กที่เรียนดี แต่เราเริ่มสังเกต คุณครูประจำชั้นเริ่มสังเกตว่า เอ๊ะ..เด็กคนนี้ทำไมถึงขาดเรียน แล้วคะแนนลดลง เมื่อผมได้รับข้อมูลรายงานจากระบบสารสนเทศของโรงเรียน และวง PLC ครูทั้งโรงเรียนจึงไม่นิ่งนอนใจ ช่วยกันทั้งระบบ แล้วเด็กคนนั้นก็กลับมายืนได้อีกที เพราะว่าข้อมูลที่ตรงจริง กับคุณเป็นครูที่มีหัวใจ 

สิ่งนั้นที่เราทำ เราใช้เครื่องมือระบบสารสนเทศ Q-info มาใช้ในการจัดการ เมื่อเราสามารถช่วยเหลือเด็กได้จริง เด็กไม่หลุดออกจากระบบการศึกษา เราจึงเห็นว่าสิ่งนี้มันมีค่า เราจึงส่งต่อความสำเร็จหรือแนวคิด แนวทาง แบ่งปันกับเครือข่ายของเรา ก็คือเครือข่าย TSQM

เราไม่ได้ใช้ข้อมูลอยู่แค่โรงเรียนเดียว แต่เราสามารถขยับข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลเครือข่ายที่ใช้ร่วมกัน สิ่งนั้นอาจจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กของเราไม่หลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะเรามีข้อมูลที่มีหัวใจเชื่อมโยงกันและแบ่งปันกันใช้” 

แน่นอนว่า เมื่อ ‘ข้อมูลดี’ โรงเรียนก็สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากมี ‘ข้อมูลตรง’ ครูก็จะช่วยเด็กได้อย่างตรงจริง ที่สำคัญคือการมี ‘ข้อมูลที่เชื่อมโยง’ จะทำให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในพัฒนาและสร้างอนาคตของเด็กไปพร้อมๆ กัน 

“ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่มีข้อมูลที่ตรงจริง และข้อมูลที่ตรงจริงก็จะเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนให้เราสามารถเรียนได้อย่างเป็นระบบ แล้วเด็กก็จะไม่หลุดออกจากการศึกษา เราจะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนได้

โรงเรียนจะไม่ใช่โรงสอนอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่แห่งความปลอดภัยให้เด็กได้เติบโตในสิ่งที่เขาเป็น และเราเองจะไม่ใช่แค่ผู้บริหารโรงเรียน แต่เราจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นคนที่คอยปลุกพลังให้เด็กได้เห็นฝันอีกครั้ง”  

พลังของข้อมูลที่มีหัวใจจะทำให้โรงเรียนมองเห็นเด็กได้ชัดเจนทุกคน เมื่อหนึ่งโรงเรียนทำได้ การขยายผลสู่เครือข่าย TSQM-N เพื่อแบ่งปันระบบ ข้อมูล วิธีการใช้ และแนวคิด ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกจากระบบได้ เพราะเครือข่ายข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกัน

Tags:

พื้นที่ปลอดภัยโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQM)Q-infoData Driven Schoolผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูรโรงเรียนพินิจอนุสรณ์School Zero Dropoutการช่วยเหลือเด็ก

Author:

illustrator

นิภาพร ทับหุ่น

Related Posts

  • Social Issues
    ‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี ภาพ ปริสุทธิ์

  • Transformative learning
    เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง

    เรื่อง นิภาพร ทับหุ่น

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

แม้แผลใจจะยังไม่หายดี แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีได้นะ
Relationship
14 July 2025

แม้แผลใจจะยังไม่หายดี แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีได้นะ

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บาดแผลจากประสบการณ์ในวัยเด็ก ไม่เพียงทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำ แต่ยังฝังลึกลงไปในระดับจิตไร้สำนึก ค่อยๆ ก่อร่างเป็นแบบแผนบางอย่างที่เรามักไม่รู้ตัวว่าแบกมันติดตัวไปในทุกความสัมพันธ์
  • การฟื้นฟูความสามารถในการมีความสัมพันธ์อาจจะไม่ได้เริ่มจากการพยายามเลิกกลัว หรือเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาได้ทันที แต่ต้องเริ่มจากการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ปลอดภัยมากพอ ให้สมองได้ค่อยๆ เรียนรู้ใหม่ว่า ความสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องทำร้ายเขาเสมอไป
  • ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นการเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เขาไม่จำเป็นต้องดีหมดทุกอย่าง เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติความเทาๆ ของมนุษย์ เราจะโอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้น

“เมื่อเติบโตมาโดยไม่มีความรักที่ปลอดภัย เราจะยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้หรือไม่”


ผมมักจะได้ยินคำถามนี้จากหลายคนที่มีปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์ โดยเฉพาะคนที่มีบาดแผลทางใจจากประสบการณ์ในวัยเด็ก บาดแผลที่ไม่ได้เพียงทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำ แต่ยังฝังลึกลงไปในระดับจิตไร้สำนึก ค่อยๆ ก่อร่างเป็นแบบแผนบางอย่างที่เรามักไม่รู้ตัวว่าแบกมันติดตัวไปในทุกความสัมพันธ์ 

ทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ได้อธิบายไว้อย่างลึกซึ้งว่า ประสบการณ์ที่เรามีกับผู้เลี้ยงดูหลักในช่วงต้นของชีวิตจะหล่อหลอมเป็นสิ่งที่เรียกว่า มุมมองภายในใจเกี่ยวกับตัวเราเอง ผู้อื่น และโลกใบนี้ (Internal working model) 

แบบจำลองนี้จะกลายเป็นรากฐานที่เรานำไปใช้ในการรับรู้ ตีความ และตอบสนองต่อความสัมพันธ์ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กระทบใจ แม้เราจะลืมเหตุการณ์เหล่านั้นไปแล้วในระดับความจำแบบรู้ตัว แต่ความรู้สึกลึกๆ เหล่านั้นยังคงอยู่ในระบบความจำแบบไม่รู้ตัว (Implicit memory) และส่งอิทธิพลอย่างเงียบงันต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน

ความทรงจำแบบไม่รู้ตัวไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของคำพูด คำอธิบาย หรือเหตุผลที่ชัดเจน แต่จะแสดงตัวผ่านปฏิกิริยาทางอารมณ์หรือร่างกายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของเราที่มักเป็นส่วนที่จะเข้าถึงยาก เช่น เมื่อใครบางคนพูดเสียงดังใส่ เรารู้สึกตัวแข็ง หายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรที่อันตรายจริงๆ หรือเวลาคนที่เรารักขอเวลาส่วนตัว เรากลับรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ทั้งที่เราก็เข้าใจเหตุที่เขาทำเช่นนั้น 

ปฏิกิริยาเหล่านี้อาจดูเหมือนเกินจริง หรือไม่มีเหตุผลในสายตาคนอื่น หรือหากมองด้วยหลักเหตุผล แต่ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติการทำงานของสมอง เราจะรู้ว่าสมองของเราไม่ได้เรียนรู้หรือตีความสิ่งต่างๆ จากเหตุผลเป็นหลัก แต่เราตีความหรือคาดเดาสิ่งต่างๆ จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้น หากมองปัญหาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นด้วยมุมมองของหลักเหตุผลอาจทำความเข้าใจไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าหากมองผ่านเบื้องหลังของประสบการณ์ฝังแน่นที่คนหนึ่งเจอมา เหตุการณ์ต่างๆ จะสมเหตุสมผลขึ้น

หากมองปัญหาต่างๆ ในแง่ความสัมพันธ์จะพบความย้อนแย้งของมนุษย์ ธรรมชาติออกแบบมาให้มนุษย์มีความต้องการที่จะมีความผูกพันกับผู้อื่นเสมอ เราต้องการการยอมรับ การรัก และการเป็นส่วนหนึ่ง แต่หลายๆ ครั้งมนุษย์กลับเลือก (ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ที่จะหลีกเลี่ยงหรือถอยห่างจากความสัมพันธ์เหล่านั้นเสียเอง 

หากมองลึกลงไปเรา เราจะพบว่าเบื้องหลังความย้อนแย้งนั้นมักเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในอดีต โดยเฉพาะประสบการณ์ที่เจ็บปวดในความสัมพันธ์ เช่น เมื่อไหร่ที่เขาอยู่ใกล้คนในครอบครัว ก็มักจะถูกตะโกนหรือลงไม้ลงมือ และเมื่อเติบโตเข้าสู่วัยเรียน ก็ยังถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สมองค่อยๆ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นว่า ‘การมีความสัมพันธ์คือความเสี่ยง’ หรือแม้กระทั่ง ‘ความอันตราย’ บทเรียนนี้ไม่ได้เรียนรู้ด้วยเหตุผล แต่ฝังแน่นผ่านอารมณ์ ความรู้สึก และการตอบสนองอัตโนมัติ จนกลายเป็นแบบแผนในระดับจิตไร้สำนึก คนนั้นจึงอาจมีกำแพงขึ้นมาตามธรรมชาติ หรือที่ในทางจิตวิทยาเรียกว่า กลไกการป้องกันตนเอง (Defense mechanism) 

พัฒนาความสัมพันธ์อย่างไร ? 

แม้แบบจำลองภายในใจเหล่านั้นจะก่อตัวขึ้นมาจากอดีต และดูเหมือนจะหยั่งรากลึกในระดับจิตไร้สำนึก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย การฟื้นฟูความสามารถในการมีความสัมพันธ์อาจจะไม่ได้เริ่มจากการพยายามเลิกกลัว หรือเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาได้ทันที แต่ต้องเริ่มจากการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ปลอดภัยมากพอ ให้สมองได้ค่อยๆ เรียนรู้ใหม่ว่า ความสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องทำร้ายเขาเสมอไป

ผมต้องชี้แจงก่อนว่าการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ซับซ้อน ไม่ได้มีสูตรสำเร็จในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่อยากชวนเชิญผู้อ่านลองอ่านแต่ละแนวคิดแล้วนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตนเอง 

การทำจิตบำบัดแบบเน้นประสบการณ์ (Experiential therapy) เชื่อว่า ความทรงจำที่ฝังลึกโดยเฉพาะในระดับจิตไร้สำนึก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุผลหรือตรรกะเพียงอย่างเดียว แต่จะเปลี่ยนได้จริงเมื่อคนคนนั้น เผชิญกับประสบการณ์ใหม่ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่สมองเคยเชื่อ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยพอ 

ยกตัวอย่าง หากใครคนหนึ่งเติบโตมากับความเชื่อว่า ‘ถ้าเปิดใจ พูดความในใจ จะถูกเพิกเฉยหรือโดนตัดรำคาญ’ เขาอาจใช้ชีวิตโดยหลีกเลี่ยงการเปิดใจ ไม่แสดงความรู้สึก และรู้สึกโดดเดี่ยวโดยไม่เข้าใจว่าทำไม

การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาเริ่มรับรู้ว่า เขากลัวอะไร และความเชื่อนั้นมาจากไหน จากนั้นในพื้นที่ที่ปลอดภัย เช่น การทำจิตบำบัด หรือการมีความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจ เขาได้ค่อยๆ เริ่มทดลองเปิดใจ เช่น การเริ่มพูดว่า “ผมรู้สึกไม่มั่นใจเลย” แทนที่จะปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงไว้ เขาอาจจะลองเล่าเรื่องในอดีตที่เจ็บปวดให้ใครบางคนฟัง หรือแม้แต่ แค่ยอมรับต่อหน้าคนอื่นว่า “ผมกำลังกลัวว่าจะถูกทิ้ง” แล้วเมื่อเขาได้พบว่า อีกฝ่ายไม่เพิกเฉย ไม่ตัดบท ไม่หายไป กลับอยู่กับเขา ฟังเขาอย่างตั้งใจ และตอบสนองอย่างอบอุ่น

ประสบการณ์เหล่านี้ขัดแย้งกับสิ่งที่เคยเชื่ออย่างลึกซึ้ง และเมื่อมันเกิดซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยพอ สมองจะค่อยๆ เขียนความทรงจำเดิมใหม่ จากถ้าเปิดใจจะถูกทิ้ง กลายเป็นบางคนก็อยู่กับฉันได้นะ แม้ในวันที่ฉันเปราะบาง นี่คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงในเชิงลึก การที่เรา ‘รู้สึกใหม่’ ด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่เข้าใจใหม่ด้วยเหตุผล และการรู้สึกใหม่นี้ มักต้องเกิดในความสัมพันธ์กับใครบางคนที่ ‘ไม่เหมือนเดิม’ ซึ่งอาจเป็นนักบำบัด คู่รัก เพื่อนสนิท หรือใครบางคนที่เราไว้ใจได้จริงๆ

อีกหนึ่งทักษะที่สำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีคือ การเข้าใจว่าบางคนที่มีบาดแผลทางใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์อาจจะใช้กลไกป้องกันตนเองแบบแบ่งแยก (Splitting) ซึ่งหมายถึงการมองโลกและคนรอบตัวแบบสุดโต่ง ถ้าดีก็ดี ถ้าแย่ก็แย่ทั้งหมด ซึ่งกลไกเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง หรือความสับสน แต่เมื่อเติบโตขึ้น การมองแบบนี้จะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ เพราะไม่มีใครดีได้ทุกวันหรือแย่ได้ทุกวัน หากเรายังใช้กลไกนี้อยู่ เราจะผิดหวัง เสียใจ หรือโกรธได้ง่าย

การลดการใช้กลไกป้องกันตนเองแบบแบ่งแยก คือ การฝึกมองคนๆ หนึ่งแบบเทาๆ โดยไม่สุดโต่งไปทางด้านดำสุด หรือขาวสุด คือการที่เราค่อยๆ ยอมรับว่า คนที่เรารักอาจทำให้เราผิดหวังได้ โดยที่เขาก็ยังรักเราอยู่ และตัวเราเองก็อาจเผลอทำร้ายใครบางคนไป ทั้งที่เรามีเจตนาที่ดี

ความสัมพันธ์ที่ดีจึงเป็นการเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เขาไม่จำเป็นต้องดีหมดทุกอย่าง เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติความเทาๆ ของมนุษย์ เราจะโอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและคนรอบข้างได้ดีขึ้น 

การฝึกมองคนแบบเทาๆ คือการเข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดนะครับ โดยเฉพาะการที่เราต้องยอมรับว่าคนที่สำคัญในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ แฟน เพื่อน หรือคนรัก ก็เป็นคนเทาๆ เหมือนกัน มันเจ็บปวดเพราะเรามักคาดหวังว่าคนเหล่านี้ควรจะสมบูรณ์แบบ และเมื่อเขามีข้อบกพร่องหรือทำให้เราผิดหวัง ก็เหมือนกับโลกที่เราเคยยึดถือสั่นคลอน แต่ในขณะเดียวกัน นี่คือก้าวสำคัญของการเติบโต การที่เราสามารถเห็นทั้งความรักและข้อบกพร่องในตัวคนเหล่านั้นได้พร้อมกัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีความสัมพันธ์ที่แท้จริงและลึกซึ้งกับผู้คนรอบตัว

ชีวิตที่ดี 

ผมคิดว่าการเดินทางเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนที่เคยมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดและสูญเสียความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ถ้าหากเรายังเชื่อในความดีของผู้คน และเชื่อว่าตัวเองคู่ควรแก่การมีความสัมพันธ์ที่ดี ความเข้าใจในตนเองและความอดทนในการก้าวข้ามผ่านประสบการณ์ในอดีตคือกุญแจสำคัญในการพาเราออกจากความทรงจำเดิมๆ ที่เคยจำกัดเรา 

เพราะชีวิตที่ดีคือการมีความสัมพันธ์ที่ดี 

และความสัมพันธ์ที่ดีคือกระจกสะท้อนว่าเราก็เป็นคนที่ดีพอเหมือนกัน

Tags:

ทฤษฎีความผูกพัน(Attachment Theory)บาดแผลทางจิตใจความสัมพันธ์ที่ดี (Healthy relationship)ประสบการณ์ในวัยเด็กจิตบำบัดแบบเน้นประสบการณ์ (Experiential therapy)

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Stand By Me: เด็กทุกคนล้วนเคยเจ็บปวดเพราะผู้ใหญ่ ขอแค่ใครสักคนที่เชื่อมั่น ความฝันย่อมไม่ดับสลาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • RelationshipHow to enjoy life
    ความรักคืออะไร: รู้จัก เข้าใจ และรักใครสักคน

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’
Myth/Life/Crisis
11 July 2025

ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • มนุษย์หาวิธีจัดการความกลัวต่อความตายด้วยการสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้ชีวิตมีแบบแผนและมีความหมาย ทำให้ความตายเป็นเรื่องที่ห่างไกล  มุ่งเน้นการสร้าง ‘เกราะป้องกัน’ ความหวาดกลัวต่อความตาย แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบ
  • ประโยชน์ของการเจริญ ‘มรณสติ’ หรือ การระลึกถึงความตาย คือ ‘ความไม่ประมาท’ เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่าความตายจะมาหาเราเมื่อไร เราจึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
  • การระลึกถึงความตายไม่ใช่ความหดหู่ แต่คือการย้ำเตือนว่าชีวิตที่เรายังมีอยู่ในทุกวันนี้มีค่ามากแค่ไหน จงใช้มันให้คุ้มค่าอย่างที่เมื่อวันสุดท้ายมาถึงเราจะไม่นึกเสียดายในสิ่งไหนอีก

ตอนที่แล้วเราได้พูดถึงทฤษฎีว่าด้วยการจัดการความกลัวต่อความตายในมนุษย์ไปแล้วอย่าง ‘Terror Management Theory’ (TMT) ทำให้เราเข้าใจว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณกลัวตายไม่ต่างจากสัตว์ แต่สิ่งที่ต่างกันคือมนุษย์มีสติปัญญาที่สูงจนเข้าใจเรื่องเวลา และค้นพบว่าความตายจะต้องมาเยือนแก่ตนในสักวันหนึ่ง

มนุษย์จึงหาวิธีจัดการความกลัวนี้ด้วยการสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้ชีวิตมีแบบแผนและมีความหมาย ทำให้ความตายเป็นเรื่องที่ห่างไกล กล่าวได้ว่า TMT มุ่งเน้นการสร้าง ‘เกราะป้องกัน’ ความหวาดกลัวต่อความตาย วิธีนี้เป็นวิธีทั่วไปที่มนุษย์ใช้กัน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบ

ด้านบวกคือมนุษย์เกิดความสงบและใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย แต่ด้านลบคือมนุษย์กลับนำวัฒนธรรมมาใช้ในการแบ่งพรรคแบ่งพวก พยายามปกป้องความเชื่อของตัวเองจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ โดยละเลยการทำความเข้าใจถึงธรรมชาติที่ว่า ทุกชีวิตย่อมเดินไปสู่ความตาย

จะดีกว่าไหมหากมนุษย์เลือกที่จะ ‘ยอมรับ’ ความจริง แทนที่จะสร้าง ‘เกราะป้องกัน’ ?

ความตายเป็นสิ่งที่คนมักหลีกเลี่ยงการพูดถึง บ้างก็ว่าเป็นสิ่งอัปมงคล บ้างก็ว่าลางร้าย เพราะการพูดถึงความตายทำให้เกิดความหดหู่และหวาดกลัว เหตุที่เรากลัวเพราะเรายังไม่เข้าใจความตายอย่างแท้จริง ดังนั้นเราควรทำความเข้าใจความตายผ่านการเจริญ ‘มรณสติ’ หรือ ‘มรณานุสติ’

ในทางพุทธศาสนา ‘มรณสติ’ หมายถึง การระลึกถึงความตาย เป็นหนึ่งในสติที่ควรระลึกถึงอยู่บ่อยๆ (อนุสติ 10) เพื่อให้จิตใจเกิดความสงบ โดยมรณสติมี 2 ส่วนดังนี้

  1. การระลึกถึงความจริง – ตระหนักว่าเราทุกคนต้องตาย ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน แต่เวลาตายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราสามารถตายได้ทุกเมื่อ มีภาษิตทิเบตกล่าวไว้ว่า ‘ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาถึงก่อน’
  2. การถามตัวเองว่าพร้อมตายหรือยัง – ทบทวนว่าเราได้ทำสิ่งที่ควร สิ่งที่อยากทำแล้วหรือยัง เมื่อระลึกถึงส่วนนี้จะเกิดความรู้สึกกระตุ้นเร้าให้เร่งขวนขวาย เรียกว่า สังเวช* หากเรารู้สึกว่าชีวิตนี้ได้ทำในสิ่งที่ควรสิ่งที่อยากแล้ว เมื่อความตายมาถึงก็จะเกิดความสงบ ไม่ทุกข์ร้อนว่ายังเหลือสิ่งที่ค้างคาใจ เกิดการปล่อยวางในสังขารอย่างแท้จริง

*ในทางธรรม สังเวช คือความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้ ทำให้จิตใจหันมานึกถึงสิ่งที่ดีงาม ความสลดใจแล้วหงอยหรือหดหู่ไม่เรียกว่าเป็นสังเวช

พระไพศาล วิสาโล กล่าวว่า มรณสติในพุทธศาสนาจะต้องมี 2 ส่วนเสมอ การระลึกถึงความตายเพียงอย่างเดียวยังไม่ใช่มรณสติที่สมบูรณ์ มรณสติที่สมบูรณ์จะต้องโยงมาสู่การปฏิบัติ หรือใช้ความจริงของชีวิตนั้นเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติ ทั้งทำความดีและฝึกใจให้เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง

การเจริญมรณสติในแง่หนึ่งก็เหมือนกับ ‘การซ้อมตาย’ คนเราจะทำอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องซ้อมกันทั้งนั้น เมื่อความตายคือเรื่องใหญ่ในชีวิตของมนุษย์ เหตุใดเราจึงไม่ซ้อมตายกันเสียก่อน ถ้าเราซ้อมตายกันบ่อยๆ ก็ทำให้เรากลัวความตายน้อยลง พอถึงเวลาตายจริงๆ เราจะไม่ตื่นตระหนกมาก เรียกง่ายๆ ว่า ‘ตายดี’ นั่นแหละ

ประโยชน์ของการเจริญ ‘มรณสติ’

ผลพวงจากการเจริญมรณสติคือ ‘ความไม่ประมาท’ เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่าความตายจะมาหาเราเมื่อไร เราจึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง อีกทั้งการเจริญมรณสติยังช่วยทำให้เราขวนขวายในสิ่งที่เราชอบผัดผ่อน เพราะชีวิตของเรามีเส้นตาย ไม่ต่างอะไรจากการทำงานที่ก็มีเส้นตายเช่นกัน

หากมองในเชิงปรัชญาหรือคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล การกลัวความตายเป็นเรื่องประหลาด เพราะเมื่อความตายมาถึงเราไม่สามารถรับรู้อะไรได้แล้ว ไม่รู้สึก ไม่เจ็บปวด แล้วเรากลัวอะไรกันแน่? เรากลัวความตาย เพราะมันทำให้ชีวิตของเราจบลง เรากลัวชีวิตของเราจะจบลง เพราะเรายังทำสิ่งที่อยากทำไม่เสร็จสิ้น 

แท้จริงแล้วเราไม่ได้กลัวความตาย แต่เรากลัวการไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ยังไม่ได้ทำสิ่งโน้น ยังไม่ได้ทำสิ่งนี้ เช่นนั้นทำไมถึงไม่ลงมือทำสิ่งที่ต้องการตั้งแต่ตอนนี้เลย?

การระลึกถึงความตายทำให้เราตระหนักรู้ว่าชีวิตของเรามีจุดจบ และจุดจบนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้ สิ่งไหนที่อยากทำ สิ่งไหนที่ยังติดค้าง ก็ควรรีบจัดการให้แล้วเสร็จ อย่ามัวแต่ผัดผ่อนจนสายเกินไป

กล่าวอีกนัยได้ว่ามรณสติช่วยทำให้เรา ‘ปล่อยวางสิ่งที่ชอบยึดติด’ เพราะเมื่อเจริญมรณสติ เราจะรู้ว่ามีอะไรที่ยังติดค้างอยู่ในใจ เช่น ติดเรื่องลูก ติดเรื่องพ่อ ติดเรื่องทรัพย์สมบัติ ติดเรื่องงาน ทำให้มีแรงกระตุ้นให้เรารีบจัดการ ท้ายที่สุดเมื่อความตายมาถึง เราก็จะไม่รู้สึกเสียดาย เพราะเราได้ทำสิ่งที่ติดค้างเสร็จสิ้นแล้ว

นอกจากการปล่อยวางสิ่งที่รักแล้ว พระไพศาลยังรวมถึงการปล่อยวางสิ่งที่เราไม่รักด้วย เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความรู้สึกผิด เพราะถ้าเราไม่ปล่อยวาง เวลาตายจะทำให้เราทุรนทุรายและเจ็บปวด เวลามีความทุกข์ เรามักจะชอบเก็บความทุกข์ไว้ไม่อยากปล่อยวาง เช่น เวลาเศร้าก็จมอยู่ในความเศร้าผ่านการฟังเพลงเศร้าซ้ำไปซ้ำมา เวลาโกรธก็เอาแต่นึกถึงหน้าคนที่ทำให้เราโกรธ เวลารู้สึกผิดก็คิดถึงแต่เรื่องที่เราได้ทำผิดพลาดไป

หากอารมณ์เหล่านี้ทำให้เราทุกข์ใจนัก เหตุใดถึงยังยึดติดในอารมณ์เหล่านี้ เราหวงแหนไว้ไม่ยอมปล่อยมันไปทำไม?

เมื่อนึกถึงความตายจะทำให้เราปล่อยวางเรื่องเหล่านี้ได้ง่าย บางทีเรื่องที่เราทะเลาะกัน โกรธกัน อาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับความตาย อีกไม่นานก็ต้องตายจากกัน ทำไมถึงไม่รีบสะสางเรื่องทุกข์ใจเหล่านี้ให้เสร็จสิ้น เก็บเอาไว้จนถึงวันตายแล้วจะได้อะไร

นอกจากนี้ มรณสติยังช่วยทำให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้นผ่าน ‘การเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน’ เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของวันนี้หรือพรุ่งนี้ เพราะคิดว่าตัวเองยังมีเวลาอยู่ได้อีกหลายปี ทุกวันนี้เรามัวแต่ไปจดจ่อกับสิ่งที่ยังไม่มี ยังไม่มีบ้าน ยังไม่มีรถ ยังไม่มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ ยังไม่มีเงินร้อยล้านพันล้าน จนละเลยสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ในปัจจุบัน

พระไพศาลเปรียบว่า หากสักวันหนึ่งเราจะต้องตาบอด ในตอนนี้เราจะเข้าใจทันทีว่าดวงตาที่ทำให้เรามองเห็นมีค่ามากแค่ไหน เราจะดูแลดวงตาของเราเป็นอย่างดี ชีวิตของเราก็เช่นกัน หากเรารู้ว่าตัวเองจะต้องตายในคืนนี้ แต่ละนาทีที่ยังมีชีวิตอยู่จะกลายเป็นสิ่งที่มีค่า เราจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เราจะดูแลชีวิตของเราเป็นอย่างดีและใช้ทุกนาทีที่เหลือให้คุ้มค่ามากที่สุด

สุดท้าย หากเรายังรู้สึกกลัวความตายอยู่ ให้ลองถามตัวเองดีๆ ว่าตกลงเรากลัวอะไรกันแน่ กลัวว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า? กลัวว่าจะไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ? กลัวว่าจะไม่ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ากับคนที่เรารัก? หากเราแกะสิ่งที่กลัวจริงๆ ออกมาได้ เราจะเข้าใจและรีบขวนขวายทำสิ่งนั้นทันที โดยไม่ผัดผ่อนอีกต่อไป

การระลึกถึงความตายไม่ใช่ความหดหู่ แต่คือการย้ำเตือนว่าชีวิตที่เรายังมีอยู่ในทุกวันนี้มีค่ามากแค่ไหน จงใช้มันให้คุ้มค่าอย่างที่เมื่อวันสุดท้ายมาถึงเราจะไม่นึกเสียดายในสิ่งไหนอีก

อ้างอิง

พระไพศาล วิสาโล. (2552). มรณสติ.

พระไพศาล วิสาโล. (2563). มรณสติภาวนา.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. (2546). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ (พิมพ์ครั้งที่ 10).

Tags:

สติความตายชีวิตTerror Management Theoryการเจริญมรณสติ

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    เดอสแตดนิง (Döstädning): มากกว่าจัดบ้านคือจัดการชีวิต ศิลปะการละทิ้ง(ก่อนตาย) สไตล์ชาวสวีเดน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    อิจิโกะ อิจิเอะ: การพบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ปรัชญาที่ชวนเราตกหลุมรักชีวิตในทุกเช้าวันใหม่

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Book
    The Last Lecture: ปาฐกถาในวาระสุดท้ายที่บอกว่า ‘อะไรมีความหมายที่สุดในชีวิต’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

Overexplaining: แกะปมที่ซ่อนอยู่ในคำอธิบายอันท่วมท้นของใครบางคน
Healing the trauma
7 July 2025

Overexplaining: แกะปมที่ซ่อนอยู่ในคำอธิบายอันท่วมท้นของใครบางคน

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คนที่มักมีคำพูดยืดยาว (Overexplaining) เพื่ออธิบายบางอย่าง แต่กลับมีเนื้อหาน้อยมาก คนเหล่านี้มีความสับสนและกังวลใจอยู่ว่าคำตอบที่ตรงไปตรงมาและสั้นๆ อาจ ‘ไม่ดีพอ’ หรือ ‘ไม่มากพอ’ จึงเริ่มคิดมากจนสับสนและพยายามเติมข้อมูลให้เข้าไปให้มาก
  • ในทางจิตวิทยาอธิบายว่า มีความเป็นไปได้ที่รากที่มาของนิสัยแบบนี้อาจเกิดขึ้นในตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ และอาจเป็นกลไกการรับมือกับความบาดเจ็บทางจิตใจซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน
  • การพูดมากเกินจำเป็นส่งผลเสียได้มากมาย เช่น ทำให้คนฟังสับสนมากขึ้น จับสาระที่แท้จริงยากขึ้น และยังทำให้คนฟังเริ่มไม่สนใจหรือขาดความอดทนจะฟังต่อ นอกจากนี้ ยังทำให้คนอื่นมองดูว่าผู้นั้นเป็นคนขาดความมั่นใจ ไม่มั่นคงกับคำพูดหรือการตัดสินใจของตนเองได้อีกด้วย

เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีประสบการณ์ได้พูดคุยหรือบังเอิญ (หรืออาจโดนบังคับ) ให้ต้องไปฟังคนบางคนพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง เช่น หัวข้อที่ควรพูดจบใน 30 นาที กลับพูดล่วงเลยเวลาไปกว่า 1 ชั่วโมง แต่กลับมีเนื้อหาน้อยมาก อีกรูปแบบหนึ่งของคนจำพวกนี้คือ เวลาเจอคำถามหรือคำขอร้องให้เล่าให้ละเอียดเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากขึ้นอีกสักเล็กน้อย ก็กลับพูดเสียยืดยาว (Overexplaining) แต่กลับแทบไม่มีคำตอบอยู่ในนั้นเลย เรียกว่าพูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ  

อีกรูปแบบหนึ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง แต่ก็อาจจะพอจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันก็คือ ‘การออกตัว’ เสียมากมายก่อนจะพูดหรืออธิบายอะไรสักอย่าง

อาการแบบนี้ในทางจิตวิทยาระบุว่า บ่งบอกอะไรได้บ้าง?

ตอบแบบสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ “คนเหล่านี้มีความสับสนและความกังวลใจอยู่ครับ” ในขณะที่เราซึ่งเป็นคนถามอาจอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกแค่เพียงเล็กน้อย แต่ผู้ตอบอาจกังวลใจว่าคำตอบที่ตรงไปตรงมาและสั้นๆ อาจ ‘ไม่ดีพอ’ หรือ ‘ไม่มากพอ’ จึงเริ่มคิดมากจนสับสนและพยายามเติมข้อมูลให้เข้าไปให้มากๆ 

จนในที่สุดก็กลายเป็นว่า มากเกินไปและไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราถาม [1] 

ยกตัวอย่าง เพื่อนคนหนึ่งมาทำงานสายเป็นครั้งแรกในรอบปี เมื่อโดนถามว่าทำไมมาสาย? เขาหรือเธออาจตอบอย่างสั้นๆ ว่า ลูกไม่สบายเลยต้องจัดการหลายอย่างก่อนมาทำงาน แต่คุณกลับเล่าตั้งแต่ตัวเองตื่นมาแล้วพบว่าลูกตัวร้อน ก็เลยต้องให้นอนพัก แล้วก็เลยต้องเตรียมข้าวต้มเป็นอาหารกลางวันให้ เพราะให้นอนพักอยู่ที่บ้านคนเดียว กลัวว่าจะไม่มีอะไรกิน ทำจนเสร็จแล้วจึงสามารถมาทำงานได้ 

คำตอบทำนองนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลใจมากมาย ทั้งเรื่องความเจ็บป่วยของลูกและ ‘ความผิดปกติ’ ของการเป็นคนมาทำงานเช้าหรือมาทันเวลางานทุกวัน 

อีกสาเหตุที่พบบ่อยคือ ความเป็นคนยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) ดังนั้น จึงพยายามหาข้อแก้ต่างให้กับตัวเองเวลาที่ประสบกับปัญหาหรือทำไม่ได้ตามเป้าหมายหรือไม่เป็นไปตามอุดมคติ คำอธิบายจึงยืดยาวกว่าที่ควรจะเป็น [2] 

แม้เปลี่ยนหัวข้อคำถาม เช่น ทำไมส่งงานช้า? ทำไมชิ้นงานดูไม่ประณีตเหมือนเดิม? ทำไมยอดขายตก? ทำไมผลการเรียนไม่ดี? ฯลฯ แต่คำตอบก็ยังเป็นไปในทำนองเดียวกันหมดคือ มีข้อแก้ตัวมากมาย   

ทั้งนี้คนผู้นั้นจะไม่คิดในขณะนั้นเลยว่า ตอบสั้นๆ ตรงๆ ไปเลยน่าจะพอ หรือหากคนถามอยากรู้เพิ่ม ก็คงถามเพิ่มเองอีก แต่กลับคิดว่าน่าจะตอบแบบหมดไส้หมดพุง หรือมีแถมให้ครบถ้วน (จนล้น) ในคราวเดียว เพราะเกรงว่าคนฟังจะไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงความเป็นจริง 

ทำไมเรื่องแบบนี้จึงไม่ได้เกิดกับทุกคน? และทำไมบางคนจึงมีพฤติกรรมแบบนี้บ่อยกว่า?

ในทางจิตวิทยาอธิบายว่า มีความเป็นไปได้ที่รากที่มาของนิสัยแบบนี้อาจเกิดขึ้นในตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ และอาจเป็นกลไกการรับมือกับความบาดเจ็บทางจิตใจซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน  

ดังที่กล่าวไปแล้วว่า อาการอธิบายเป็นวรรคเป็นเวรนั้นเกิดจากความกระวนกระวายใจและความกังวลใจ จึงเป็นไปได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือหากมีก็มีน้อย (Low Self-Esteem) แต่คิดเอาว่าจำเป็นต้องแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่า ตนเป็นคนมีความสามารถ มีศักยภาพจริงมากกว่าที่เห็นจากหลักฐานตรงหน้า หากอาการหนักมากขึ้นไปอีกก็อาจจะถึงกับเป็น Imposter Syndrome คือ มีความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไร้ความสามารถ ทั้งที่ความจริงแล้วอาจทำได้ดีประมาณหนึ่ง คนแบบนี้จึงถูกกระตุ้นให้ต้องแสดงออกให้คนอื่นเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นคนเก่ง

อีกเรื่องหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ คนกลุ่มนี้มักเป็นพวก ‘ชอบเอาอกเอาใจคนอื่น’ มากเป็นพิเศษ 

เด็กที่โตมาในครอบครัวที่พ่อหรือแม่ไม่ค่อยรับฟังและถูกลงโทษบ่อย โดยไม่มีโอกาสได้พูดอธิบายหรือแก้ตัว ก็อาจเกิดเป็น ‘ปมชีวิต’ ที่ส่งผลกระทบในตอนโตได้เช่นกัน เพราะในจิตใจลึกๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่โดนลงโทษ หากมีโอกาสได้อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนและละเอียดลออ

การพูดเยอะ พูดมาก พูดวนมั่วซั่วไปหมด จึงอาจเป็นกลยุทธ์ที่จิตใจเลือกใช้เป็นกลไกป้องกันตัวหลังจากเผชิญหน้ากับการลงโทษหรือเรื่องร้ายๆ อยู่บ่อยครั้งในวัยเด็ก โดยเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามตัวเองได้ และอาจพบมากและมีอาการหนักหน่วงเป็นพิเศษ เมื่ออยู่ในภาวะกลัวการถูกปฏิเสธหรือทอดทิ้งจากคนรัก

สำหรับกลไกการป้องกันตัวเองนั้น ในทางจิตวิทยาชี้ว่าจะเป็นแบบ ‘ลุยหรือหลบ (fight or flight)’ การพูดมากมีลักษณะของ ‘การประจบ’ และ ‘ยอมลงให้’ ถือเป็นอาการแบบหลบประเภทหนึ่ง [3]  

การพูดมากเกินจำเป็นส่งผลเสียได้มากมาย เช่น แทนที่จะทำให้คำตอบชัดเจนมากขึ้น กลับทำให้คนฟังสับสนมากขึ้นจากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องที่เพิ่มเข้ามา ทำให้จับสาระที่แท้จริงยากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้คนฟังเริ่มไม่สนใจหรือขาดความอดทนจะฟังต่อ จนอาจนำไปสู่ความเสียหายในรูปแบบต่างๆ ได้ 

นอกจากนี้ ยังทำให้คนอื่นมองดูว่าผู้นั้นเป็นคนขาดความมั่นใจ ไม่มั่นคงกับคำพูดหรือการตัดสินใจของตนเองได้อีกด้วย [2] 

อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้คือ อาจเนื่องมาจากมีนิสัยเป็นคนคิดมากและขี้กลัว คนที่มีนิสัยแบบนี้จะคอยมองหาปฏิกิริยาตอบสนองในทางลบจากคนรอบข้าง และพยายามควบคุมสถานการณ์นั้นด้วยการอธิบายเพิ่มเติมให้มากขึ้น แม้ว่าบางครั้งการตีความดังกล่าวของคนเหล่านั้นอาจจะไม่ถูกต้องก็ตาม [3] 

จะเห็นได้ว่าที่มาของนิสัยแบบนี้อาจมีต้นเหตุได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุแบบเดียวกันหมด การแก้ไขจึงอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนด้วย   

จะแก้นิสัยแบบนี้ได้อย่างไร?

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าหากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ก็จะแก้ไขยากหน่อย วิธีการที่ตรงไปตรงมา แต่ไม่ง่ายคือ ฝึกสติให้รู้เท่าทันว่ากำลังทำแบบนั้นอยู่ (พูดมากเกินควร) ก็จะเริ่มเหยียบเบรกได้ แต่ความเคยชินก็อาจทำให้รู้สึกยากอยู่ไม่น้อย อาจรู้สึกคันปากยุบยิบอยากพูดใจจะขาด [1]

แต่เชื่อได้เลยว่ายิ่งฝึกก็จะยิ่งทำได้ง่ายขึ้น 

อีกวิธีก็ต้องฝึกเช่นกันคือ การฝึกเลือกคำและคำตอบที่สั้นกระชับกว่าที่ทำอยู่ สถานการณ์ที่ยากจริงๆ ก็คือ การปฏิเสธสั้นๆ ว่า “ไม่ (ครับ/ค่ะ)” เพราะการอธิบายเหตุผลพ่วงไปด้วย ทำให้เรารู้สึกดีกว่าพูดสั้นๆ ห้วนๆ และยังช่วยลดความรู้สึกผิดจากการไม่ช่วยเหลือคนอื่นได้อีกด้วย แต่ในหลายสถานการณ์นั้น  การตอบสั้นๆ ว่า ไม่สะดวก ไม่พร้อม หรือไม่สามารถช่วยได้ กลับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า และอันที่จริงแล้วก็ทำได้ แต่เรากลับคิดไปเองว่าทำได้ยากหรือทำไม่ได้ 

การถามตัวเองก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมว่า จำเป็นต้องแบ่งปันข้อมูลเพิ่มหรือขยายความสิ่งเหล่านั้นจริงหรือไม่ ก็อาจช่วยได้เช่นกัน [2] 

การใจดีกับตัวเอง โอบกอดตัวเองด้วยความรัก ลดหรือหยุดการตั้งข้อสงสัยหรือวิพากษ์ตัวเองซ้ำๆ ด้วยความคลางแคลงใจ โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจและการเลือกคำอธิบายก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง การยอมรับการตัดสินใจและไม่วนเวียนคิดสงสัยผลลัพธ์ของการกระทำของตัวเอง ก็อาจช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความสงบในจิตใจได้ [3] 

หากทำไปจนครบแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้น ก็อาจต้องอาศัยมืออาชีพเข้ามาช่วย โดยไปพบกับจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัด เพื่อคลี่คลายปมที่เป็นสาเหตุของพฤติกรรมแบบนี้ต่อไป 

เอกสารอ้างอิง

[1] Julie Bassett (2025) Let me (Over)explain, Psychology Now, Vol. 10, pages 24-25

[2] https://medium.com/survived-nation/the-psychology-behind-overexplaining-why-we-do-it-and-how-to-stop-263588421e7e เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ค. 2025

[3] https://soulmechanicstherapy.com/over-explaining-a-trauma-response/ เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ค. 2025

Tags:

Imposter SyndromeOverexplainingกลไกการป้องกันตัวจิตวิทยาปม(trauma)การพูด

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

  • Healing the trauma
    เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ถึงเวลาเอาคะแนน ‘ยกมือตอบในห้อง’ ออกได้หรือยัง?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ห้องเรียนฐานชุมชน (Social Lab) เมื่อครูไม่ได้เป็นผู้ให้คำตอบ แต่เปิดพื้นที่ ให้นักเรียนสร้างคำตอบเอง: ครูภัทร – ภัทฑริก เอียดเกลี้ยง
Creative learning
7 July 2025

ห้องเรียนฐานชุมชน (Social Lab) เมื่อครูไม่ได้เป็นผู้ให้คำตอบ แต่เปิดพื้นที่ ให้นักเรียนสร้างคำตอบเอง: ครูภัทร – ภัทฑริก เอียดเกลี้ยง

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • การเรียนรู้ไม่อาจจำกัดอยู่ในตำรา หรือภายในห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่ต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทำความเข้าใจโลกจริงรอบตัว ซึ่งรวมถึงชุมชนที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน
  • เปิดห้องเรียนฐานชุมชนของ ครูภัทร – ภัทฑริก เอียดเกลี้ยง โรงเรียนวัดเทพกระษัตรี ที่นำกระบวนการเรียนรู้แบบ VASK-PBL ควบคู่กับการใช้ ‘Social Lab’ พานักเรียนออกไปเรียนรู้จากพื้นที่จริง
  • Social Lab ในความหมายหนึ่งคือการเปิด ‘พื้นที่’ ให้ผู้คนสร้างการรับรู้และเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเครื่องมือทางสังคมศาสตร์ที่ถูกนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสสำรวจ วิเคราะห์ และทำความเข้าใจกับชุมชนของตนเองอย่างลึกซึ้ง

“การจัดการเรียนรู้ไม่ได้มีแค่ในห้องเรียนเพียงเท่านั้น แต่ต้องเชื่อมโยงไปยังบริบทในชีวิตจริง และพื้นที่ชุมชนของนักเรียน”


นี่คือแนวคิดสำคัญที่ ครูภัทร – ภัทฑริก เอียดเกลี้ยง จากโรงเรียนวัดเทพกระษัตรี จังหวัดภูเก็ต ได้นำมาถ่ายทอดในการเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียนการขับเคลื่อนโครงการ TSQM-A จังหวัดศรีสะเกษและภูเก็ต ซึ่งสะท้อนภาพของห้องเรียนที่กำลังเปลี่ยนไปพร้อมกับบริบทของสังคม

โรงเรียนวัดเทพกระษัตรี ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านดอน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนเก่าแก่ที่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและประชากรอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงมีเด็กในพื้นที่ แต่ยังมีนักเรียนจำนวนมากที่ย้ายตามผู้ปกครองมาอยู่ใหม่ ทำให้บริบทของผู้เรียนมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งวิถีชีวิตและความเข้าใจต่อพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่

ครูภัทรมองเห็นว่าสถานการณ์นี้คือโจทย์สำคัญที่การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนจะต้องปรับตัวให้เท่าทัน การเรียนรู้ไม่อาจจำกัดอยู่ในตำรา หรือภายในห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่ต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทำความเข้าใจโลกจริงรอบตัว ซึ่งรวมถึงชุมชนที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน

แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาการศึกษาของจังหวัดภูเก็ตที่ต้องการปลุกภาพฝัน ‘เด็กต่งห่อ’ ให้กลับมาเป็นเป้าหมายร่วมของสังคมอีกครั้ง เพื่อให้เด็กที่เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีรอบด้าน มีทักษะที่จำเป็นในโลกปัจจุบัน และยังสามารถรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของภูเก็ตไว้ได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่

ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนวัดเทพกระษัตรีจึงยึดแนวทางดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาผู้เรียน และครูภัทรก็ได้นำกระบวนการเรียนรู้แบบ VASK-PBL ควบคู่กับการใช้เครื่องมือทางสังคมศาสตร์ ‘Social Lab’ หรือกระบวนการห้องปฏิบัติการทางสังคม มาปรับเปลี่ยนห้องเรียนภูมิศาสตร์ ให้กลายเป็น ‘ห้องเรียนฐานชุมชน’ ที่นักเรียนได้ออกไปเรียนรู้จากพื้นที่จริง เข้าใจตนเอง เข้าใจชุมชน และสามารถตั้งคำถาม คิด วิเคราะห์ และสร้างองค์ความรู้จากสิ่งรอบตัว

“ในการจัดการเรียนการสอน เราใช้คำถามที่กระตุ้นการคิดขั้นสูงให้นักเรียนได้ฝึกคิด ฝึกตั้งคำถาม และเมื่อเขาเริ่มคุ้นเคย เขาก็จะสามารถคิดคำถามของตัวเองขึ้นมาได้ รวมถึงเลือกเรื่องที่ตัวเองสนใจมาศึกษาต่อได้เองด้วย 

เรามองว่าจุดนี้คือกระบวนการที่นักเรียนได้กลายเป็น ‘ผู้สร้างการเรียนรู้’ อย่างแท้จริง ส่วนครูก็มีหน้าที่คอยหนุนนำ สนับสนุน และเติมเต็มให้เขาไปได้ไกลที่สุด”

‘Social Lab’ ห้องเรียนฐานชุมชน เชื่อมโยงการเรียนรู้สู่ชีวิตจริง

Social Lab ในความหมายหนึ่งคือการเปิด ‘พื้นที่’ ให้ผู้คนสร้างการรับรู้และเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเครื่องมือทางสังคมศาสตร์ที่ถูกนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสสำรวจ วิเคราะห์ และทำความเข้าใจกับชุมชนของตนเองอย่างลึกซึ้ง 

โดยกิจกรรม Social Lab ในห้องเรียนของครูภัทร จะดำเนินการผ่านเครื่องมือ เช่น แผนที่เดินดิน แผนที่ทรัพยากร แผนที่ก้างปลา เส้นทางเวลา แผนผังผู้รู้ ต้นไม้เจ้าปัญหา และวีไดอะแกรม ซึ่งทั้งหมดเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง VASK-PBL ได้แก่

  1. ลงพื้นที่ศึกษาบริบทหรือปรากฏการณ์ที่อยู่รอบตัว
  2. จุดประกายความสนใจจากประสบการณ์จริง
  3. สืบค้นข้อมูล
  4. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาความเชื่อมโยงและตั้งคำถามใหม่
  5. เลือกโจทย์ที่จะศึกษาอย่างลึกซึ้งในขั้นต่อไป
  6. แนวคิดและทักษะที่เกี่ยวข้อง
  7. การออกแบบและวางแผนการศึกษา
  8. ลงมือปฏิบัติ
  9. สะท้อนการเรียนรู้
  10. นำเสนอผล

ครูภัทรเล่าว่า ปัจจุบันได้จัดการเรียนการสอนดำเนินถึงขั้นตอนที่ 5 และอยู่ระหว่างการเตรียมต่อยอดไปสู่ขั้นตอนที่ 6–10 ซึ่งจะเป็นกระบวนการที่นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง แก้ปัญหา และสะท้อนผลการเรียนรู้ โดยคุณครูจะค่อยๆ ดำเนินกิจกรรมให้ครบทุกขั้นตอนในกระบวนการ VASK-PBL อย่างเป็นระบบต่อไป

สำหรับการเรียนการสอนจะบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับบทเรียน เช่นให้เด็กๆ เปิดแผนที่ในแท็บเล็ต แล้วดูแผนที่ผ่าน Google Earth ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหาและทักษะการใช้เครื่องมือดิจิทัลควบคู่กันไป ที่สำคัญคือการได้ลงพื้นที่จริง เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้เข้ากับชีวิตจริงของนักเรียนเอง

‘แหล่งน้ำธรรมชาติ’ บทเรียนที่นักเรียนออกแบบเอง

ในบทเรียนหนึ่งเรื่อง ‘แหล่งน้ำในธรรมชาติ’ ครูภัทรจะไม่แจ้งล่วงหน้าว่าวันนี้เรียนเรื่องอะไร แต่เริ่มต้นโดยการกระตุ้นความสนใจผ่านเครื่องมือที่นักเรียนคุ้นเคยอย่าง Google Earth เปิดแผนที่เสมือนจริงให้เด็กสำรวจพื้นที่ของตนเองผ่านภาพถ่ายดาวเทียม และตั้งคำถามด้วยตนเอง เช่น

“เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชุมชนของเรามีแหล่งน้ำกี่แห่ง?”

“แหล่งน้ำแต่ละแห่งมีประเภทอย่างไร ใช้ประโยชน์ได้แบบไหน?”

คำถามเหล่านี้ไม่ได้ถูกป้อนจากครู แต่เกิดจากความสงสัยของนักเรียนเอง แล้วนักเรียนจึงร่วมกันวางแผนและเลือกใช้วิธีการนำเสนอผ่านการทำแผนที่ชุมชน ซึ่งคุณครูก็สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยเพิ่มเงื่อนไขให้เป็นความท้าทาย  เช่น นอกจากแสดงตำแหน่งแหล่งน้ำ นักเรียนแต่ละกลุ่มจะต้องระบุ ‘บ้านของสมาชิกในกลุ่ม’ ลงไปในแผนที่ด้วย เพื่อให้นักเรียนรู้สึกเกิดความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลที่เรียนกับชีวิตจริง

รูปแบบการจัดการเรียนรู้ลักษณะนี้ ทำให้นักเรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์ วางแผน และสร้างองค์ความรู้จากสิ่งที่อยู่รอบตัวในชุมชนของตนเอง

โดยครูไม่เพียงให้นักเรียนเรียนรู้แค่หัวข้อหลักในแผนที่เท่านั้น แต่ยังสอดแทรกหัวข้ออื่นๆ ลงไปพร้อมกันด้วย

เมื่อนักเรียนจัดทำแผนที่เสร็จ จะเข้าสู่ขั้นการนำเสนอ โดยครูจะตั้งคำถามขยายความเพิ่มเติมเพื่อให้นักเรียนได้ขุดลึกลงไปในประเด็นที่กำลังศึกษา และชวนให้พวกเขาคิดต่อว่ามีอะไรในชุมชนที่นักเรียนอยากรู้เพิ่มเติมอีก จากนั้น นักเรียนจะเขียนความสนใจเหล่านั้นไว้ และกลายเป็นโจทย์ในคาบเรียนถัดไป

“สิ่งนี้ทำให้นักเรียนรู้สึกตื่นเต้นและรอคอย เพราะบางคนไม่ได้สนใจเฉพาะเรื่องแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นเพียงหัวข้อที่คุณครูใช้เพื่อจุดประกายเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นอื่นๆ ในชุมชนที่เขาสนใจอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของโรงเรียน ซึ่งนักเรียนจำนวนมากมาจากครอบครัวที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ใหม่ นักเรียนบางคนจึงยังไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชุมชนของตนเองมีอะไรบ้าง หรือแม้แต่นักเรียนท้องถิ่นเองก็เพิ่งได้รู้ว่าแหล่งน้ำในชุมชนมีอยู่ตรงไหนบ้าง บางคนเพิ่งได้รู้เป็นครั้งแรกผ่านกิจกรรมในห้องเรียน การเรียนรู้ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ความรู้ในหนังสือ แต่เป็นการเชื่อมโยงกับชีวิตจริง”

เมื่อเข้าสู่ขั้นประเมิน นักเรียนจะได้สรุปสิ่งที่ค้นพบ เช่น แหล่งน้ำที่พบเป็นประเภทใด น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย หรือทะเล พร้อมอธิบายประโยชน์ของแหล่งน้ำแต่ละประเภท จากนั้น ครูจะเปิดโอกาสให้นักเรียนสะท้อนความรู้สึก เช่น อะไรคือสิ่งที่ได้เรียนรู้ สิ่งใดที่สนุกหรือชอบที่สุด และอยากให้การเรียนในลักษณะนี้ดำเนินต่อไปอย่างไร

ผลลัพธ์คือเด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ส่วนครูคือผู้หนุนนำ

กิจกรรมทั้งหมดนี้ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนอย่างชัดเจน เพราะเด็กๆ กะตือรือร้นที่จะเรียนรู้ กล้าคิด กล้าลองผิดถูก และเรียนรู้จากกันและกันมากขึ้น โดยครูภัทรเน้นว่า ครูไม่ได้เป็นผู้ให้คำตอบ แต่เป็นผู้เปิดพื้นที่ ให้นักเรียนได้สร้างคำตอบของตนเอง

“พอนักเรียนเขามีบทบาทมากขึ้น ครูก็เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ได้ศึกษาเรื่องที่เขาสนใจเอง ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากเดิมที่ครูจะสอนอย่างเดียว ตอนนี้เราเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ฟัง เป็นคนหนุนนำ และแนะนำให้นักเรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ นักเรียนมีความกระตือรือร้นมากขึ้น เวลาเราเข้าไปสอน เขาจะตื่นเต้น อยากรู้ว่าเราจะสอนอะไร เห็นได้จากแววตาและพฤติกรรมของเขา ว่าเขาอยากมีส่วนร่วม อยากแสดงความคิดเห็น และอยากเรียนรู้ร่วมกับเราจริงๆ ซึ่งมองว่านี่เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะเมื่อครูกับนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในห้องเรียน จะทำให้การเรียนรู้ดีขึ้นมากค่ะ”

แต่กว่าที่ห้องเรียนจะเปลี่ยนไปได้ถึงจุดนี้ ‘ครูต้องเปลี่ยนก่อน’ การขยับบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้ฟังและหนุนนำ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเทคนิคหรือเครื่องมือใหม่ๆ เท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดของครูเอง ครูภัทรเล่าว่า สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ คือ ‘การเปลี่ยนตัวเอง’ เพราะครูจะต้องเรียนรู้มาก เตรียมตัวมาก และเปิดใจพัฒนาตนเองก่อน จึงจะสามารถพัฒนานักเรียนให้เติบโตไปด้วยกันได้

“ก่อนที่เราจะก้าวไปสู่ห้องเรียน เราต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือเวลานักเรียนเขาอยากเรียนรู้อะไร อยากรู้เรื่องอะไร เราก็ควรเปิดโอกาสให้เขา ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาสนใจค่ะ” ครูภัทร ทิ้งท้าย

Tags:

เด็กตงห่อห้องเรียนฐานชุมชนครูภัทร – ภัทฑริก เอียดเกลี้ยงโรงเรียนวัดเทพกระษัตรีGoogle Earthภูมิศาสตร์Social Lab

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    ‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ‘Creative Drama’ กิจกรรมละครสร้างสรรค์ที่ชวนเด็กรู้จักตัวเองและพัฒนาสู่เวอร์ชั่นที่ดีขึ้น: ครูกล้วย-หรรษลักษณ์ จันทรประทิน

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Transformative learningSocial Issues
    ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

Elio:  ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน สุดท้ายความรู้สึกมีคุณค่า…เริ่มต้นจากหัวใจตัวเอง
Movie
4 July 2025

Elio:  ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน สุดท้ายความรู้สึกมีคุณค่า…เริ่มต้นจากหัวใจตัวเอง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Elio เอลิโอ เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันจากพิกซ่าร์ สตูดิโอส์  กำกับโดย แมดเดอลีน ชาราเฟียน (Burrow Sparkshort) โดมี ฉี (Bao, Turning Red และเอเดรียน โมลิน่า (Coco)
  • ‘เอลิโอ’ คือตัวแทนของเด็กชายที่รู้สึกเหงา โดดเดี่ยว แปลกแยก และคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ เขาจึงมีความหวังลึกๆ ว่าคงมีที่ไหนสักแห่งที่มองเห็นคุณค่าในแบบที่เขาเป็น
  • เอลิโอพยายามส่งสัญญาณถึงเอเลี่ยนเพื่อขอให้พาเขาออกเดินทางไปยังดาวดวงอื่น แต่แล้วเมื่อคำขอเป็นจริง สิ่งที่เขาค้นพบกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

“ผมจะไม่อยู่เกะกะอาแล้ว ไม่ต้องห่วง…นอกโลกมีดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยได้ตั้งห้าร้อยล้านดวง ต้องมีสักดวงที่ต้องการผม เพราะเห็นอยู่ว่าอาไม่ต้องการผม”

เสียงตัดพ้อของ ‘เอลิโอ’ เด็กชายกำพร้าในภาพยนตร์ Elio ผลงานล่าสุดจากพิกซาร์ ชวนให้ตั้งคำถามถึงความรู้สึกแปลกแยก ความเหงา ความโดดเดี่ยว และความหวังลึกๆ ที่อยากเป็น ‘ที่ต้องการ’ ของใครสักคนที่มองเห็นคุณค่าในแบบที่เขาเป็น

© Disney/Pixar | Elio | Image from disney.co.th

Elio บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เอลิโอ’ เด็กชายที่เพิ่งสูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุและต้องย้ายมาอยู่กับอาสาวที่เขาไม่รู้จักดีนัก ทั้งยังมองว่าอาไม่ใช่ ‘ครอบครัว’ ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวนำไปสู่ความอ้างว้าง และค่อยๆ ผลักให้เอลิโอกลายเป็น ‘เด็กมีปัญหา’ ในสายตาของอา เขาเริ่มหนีเรียน มีเรื่องชกต่อย รวมถึงทำไฟดับทั้งฐานทัพที่อาทำงานเป็นผู้พันอยู่ 

หากมองให้ลึกกว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ผมเห็นว่านี่คือสัญญาณของการร้องขอความรักและการยอมรับของเด็กชาย จากอา…ผู้ที่ดูเหมือนจะเข้มงวดกับเขาทุกเรื่อง แถมเพิ่งส่งเขาไปโรงเรียนประจำที่ไม่ต่างอะไรกับค่ายทหาร

ท่ามกลางจิตใจที่บอบช้ำและไร้ทางออก เด็กชายเลือกเบี่ยงเบนความรู้สึกเจ็บปวดผ่านการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการใช้วิทยุเพื่อติดต่อสื่อสารกับเอเลี่ยน และหวังว่าเอเลี่ยนที่ส่งสัญญาณติดต่อมายังฐานทัพของอาจะพาเขาหนีไปจากโลกใบนี้

และแล้ววันหนึ่ง มนุษย์ต่างดาวก็มารับเขาไปจริงๆ ก่อนเกิดเป็นเรื่องราวสุดโกลาหลเมื่อเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้นำของโลกมนุษย์ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าในมุมของผมคือ คำถามในใจที่ว่า หากได้ไปอยู่ในดาวดวงอื่นจริงๆ เขาจะมีความสุขขึ้นไหม?

© Disney/Pixar | Elio | Image from disney.co.th

 “คนหนุ่มสาวจำนวนมากต้องการมีเพื่อน พวกเขาต้องการค้นหาคนที่ใช่สำหรับพวกเขา แต่พวกเขาคิดว่าถ้าฉันอยู่ในสถานที่ที่สมบูรณ์แบบที่ทุกคนคิดเหมือนฉัน ทำตัวเหมือนฉัน ฉันก็จะเป็นส่วนหนึ่งของใครได้ นั่นจะเป็นทางออกสำหรับปัญหาทั้งหมดของฉัน แต่จริงๆ แล้ว วิธีแก้ปัญหานั้นมาจากภายใน มันเกี่ยวกับก้าวแรก นั่นคือการเข้าหาใครสักคน…”

ทีมผู้กำกับให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ IndieWire และนั่นทำให้ผมย้อนไปถึงฉากหนึ่งที่เอลิโอต้องทำโคลนนิ่งร่างตัวเอง เพื่อกลับไปแทนที่เขาบนโลก โดยร่างโคลนนิ่งนี้สามารถคัดลอกทั้งรูปร่าง ความคิด และอารมณ์ ดังนั้นฉากที่มันถามเอลิโอว่า “อะไรคือแรงจูงใจของฉัน ฉันควรเปลี่ยนตัวเองไหม หรือเป็นคนที่ไม่เห็นค่าตัวเอง อยู่ไปวันๆ เหมือนเดิม” ทำให้เอลิโอหน้าถอดสีด้วยความตกใจ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงของตัวเองอย่างซื่อตรง 

ถึงอย่างนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญจริงๆ ได้เกิดขึ้นเมื่อเขาอาสากลุ่มคอมมูนิเวิร์ส (กลุ่มเอเลี่ยนที่รับเขาขึ้นมาจากโลก) ในการเดินทางไปเจรจาเพื่อยุติสงครามกับ ‘ลอร์ดไกรกอน’ ผู้นำฝ่ายนักรบ ที่นั่นเขาได้พบกับ ‘กลอร์ดอน’ ลูกชายของลอร์ดไกรกอน ซึ่งตัวของกลอร์ดอนเองก็รู้สึกเป็น ‘ตัวปัญหา’ ในสายตาพ่อ เพราะพ่อหมายมั่นจะปั้นให้เขาเป็นเจ้าแห่งสงคราม ขณะที่เขาไม่อยากเป็นนักรบ ไม่อยากทำลายล้าง และเกลียดชุดเกราะที่ทุกคนในเผ่าจะต้องใส่เมื่อโตขึ้น

© Disney/Pixar | Elio | Image from disney.co.th

“แต่ไม่มีใครถอดชุดหรอกมันจะเผยจุดอ่อน เผยรูปร่าง มันจะทำให้ตัวนายและวงศ์ตระกูลเสื่อมเสียไปตลอด…ทุกคนจะต้องใส่ มันเป็นประเพณีแล้ว ถ้าฉันไม่ใส่พ่อต้องเกลียดฉันแน่…ฉันเลือกไม่ได้หรอก

…ฉันเป็นแค่ตัวร้าย ความผิดหวัง ตัวขายหน้า ฉันเคยเป็นตัวปริศนา ตัวปัญหา ตัวป่วน ช่วงหลังฉันโดนพ่อเมิน”

ผมเชื่อว่าคำพูดของกลอร์ดอนน่าจะดังแทนความรู้สึกของใครหลายคน โดยเฉพาะเด็กหรือวัยรุ่นที่รู้สึกว่าชีวิตไร้ค่าและเหนื่อยกับการต้องพยายามทำตัวให้เป็นที่รักของครอบครัว โรงเรียน หรือสังคมที่ให้ค่าคนๆ หนึ่งผ่านค่านิยมบางอย่าง 

นอกจากนี้ ผมมองว่าความรู้สึกไร้ทางเลือกของกลอร์ดอนมีความเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเอลิโออย่างลึกซึ้ง นั่นทำให้ทั้งสองเปิดใจให้กันในฐานะเพื่อน โดยเอลิโอเองก็สลับมาเล่าเรื่องของเขากับอา และได้รับมุมมองใหม่จากกลอร์ดอนว่า อาคือคนที่อยู่เคียงข้างและเสียสละเพื่อเขามาโดยตลอด เพียงแต่เขาไม่เคยเปิดใจยอมรับอามากพอ

แม้จะเดาทางของพิกซาร์ได้ว่าภาพยนตร์ต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ในตอนท้าย ปมในใจของเพื่อนซี้ต่างเผ่าพันธุ์ก็ได้รับการเยียวยา 

เริ่มจากกลอร์ดอนที่มีเหตุต้องนอนสลบบนยานของกลุ่มคอมมูนิเวิร์สด้วยอาการหนาวเหน็บปางตายเนื่องจากไม่มีชุดเกราะปรับอุณหภูมิ ปรากฏว่าลอร์ดไกรกอนผู้เป็นพ่อถึงกับยอมออกมาจากชุดเกราะในที่สาธารณะ (ซึ่งถือเป็นการกระทำอันอัปยศของเผ่า) เพื่อออกมาพ่นใยพันตัวลูกชายให้อุ่นขึ้นโดยไม่สนสายตาของคนอื่น 

นั่นทำให้ผมฉุกคิดได้ว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เราก็ไม่ต่างอะไรกับลอร์ดไกรกอนที่ถูกปลูกฝังว่าเป็นผู้ใหญ่ต้องมีเกราะหรือสวมหัวโขนที่ดูแกร่งกล้าตามค่านิยมเพื่อให้สังคมยอมรับ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับความรัก ซึ่งถือเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในสัญชาตญาณมนุษย์

© Disney/Pixar | Elio | Image from disney.co.th

ขณะเดียวกัน ฉากการตัดสินใจของเอลิโอที่ต้องเลือกว่า จะเดินทางท่องจักรวาลในฐานะสมาชิกกลุ่มคอมมูนิเวิร์ส หรือจะกลับไปยังโลก ก็ทำให้ผมซาบซึ้งไม่น้อย เพราะการตัดสินใจของเอลิโอทำให้รู้ว่าเขาเติบโตขึ้นแล้วจากการได้ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองนอกโลก

เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามหนีไปให้ไกลเพียงใด แต่ที่สุดแล้วปัญหาก็ไม่เคยหายไปไหน นอกจากจะกลับมาแก้ไขที่ใจตัวเอง มองตัวเองและคนอื่นด้วยสายตาใหม่ที่เห็นถึงคุณค่าในความเป็นมนุษย์ 

“ที่นี่น่าทึ่งมากเลยครับ แต่โลกคือบ้านผม ผมไม่ได้ให้โอกาสมัน แต่ว่าตอนนี้ผมอยากลองดู…กับอา เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”   

หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมนึกถึงท่อนฮุคของเพลง Live&Learn (บอย โกสิยพงษ์) ที่ร้องว่า “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน เติมความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด” เช่นเดียวกับความรักที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่มีใครสักคนที่มองเห็นคุณค่าในแบบที่เราเป็น…แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเราเองก็มีที่ยืนที่มั่นคงบนโลกใบนี้

Tags:

ภาพยนตร์ความเหงาเด็กElio

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ: ปาฏิหาริย์ของการรับฟัง ‘โดยไม่ตัดสิน’
3 July 2025

ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ: ปาฏิหาริย์ของการรับฟัง ‘โดยไม่ตัดสิน’

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ’ เป็นผลงานของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ นักเขียนนิยายชื่อดังชาวญี่ปุ่น ที่ได้รับแปลเป็นภาษาต่างๆ รวมทั้งภาษาไทย โดย น้ำพุสำนักพิมพ์ แปลโดย กนกวรรณ เกตุชัยมาศ อีกทั้งยังถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์ ละครเวที รวมทั้งภาพยนตร์
  • หนังสือเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มสามคนที่เข้าไปในบ้านร้างที่เป็นอดีตร้านชำ และพบจดหมายขอคำปรึกษาจากอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน จึงตัดสินใจตอบจดหมายแทนเจ้าของร้านเดิม โดยจดหมายเหล่านั้นเชื่อมโยงโลกปัจจุบันกับอดีต และได้เรียนรู้ความหมายของการฟังอย่างตั้งใจผ่านการตอบจดหมายเหล่านั้น
  • การรับฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่ด่วนตัดสิน ยังช่วยให้ผู้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา ได้เห็นและเข้าใจปัญหาจากมุมมองของผู้ที่มีปัญหา ไม่ใช่มองจากมุมของตัวเองเพียงอย่างเดียว

เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ปาฏิหาริย์’ เราจะนึกถึงความพิเศษที่ผิดปกติ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  เพราะโดยรากศัพท์แล้ว คำนี้หยิบยืมมาจากคำภาษาบาลีและสันสกฤต แปลว่า สิ่งอัศจรรย์ เหนือวิสัยที่คนธรรมดาสามัญสามารถทำได้

ขณะที่ในภาษาอังกฤษ คำที่ตรงกับคำว่า ปาฏิหาริย์ ก็คือ Miracle ซึ่งมีความหมายว่า เหตุการณ์อันน่ายินดีและน่าประหลาดใจ ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกฎธรรมชาติ หรือหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

ด้วยเหตุนี้ เวลาที่มีการใช้คำว่า ‘ปาฏิหาริย์’ เราก็มักจะนึกถึงสิ่งที่พิเศษ ไม่ธรรมดา ดีเลิศเกินจริง จนบางครั้ง เราก็หลงลืมไปว่า การกระทำที่เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาสามัญ ก็สามารถส่งผลให้เกิดสิ่งดีๆ อย่างเหลือเชื่อไม่แพ้ปาฏิหาริย์ได้เช่นกัน

หนังสือเรื่อง ‘ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ’ คือหนึ่งในผลงานการเขียนของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ นักเขียนนิยายชื่อดังชาวญี่ปุ่น ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลก ได้รับแปลเป็นภาษาต่างๆ (รวมทั้งภาษาไทย โดย น้ำพุสำนักพิมพ์ แปลโดย กนกวรรณ เกตุชัยมาศ) อีกทั้งยังถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์ ละครเวที รวมทั้งภาพยนตร์ ทั้งเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน

สำหรับในบ้านเรา หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มักจะถูกแนะนำเป็นลำดับต้นๆ เมื่อมีการตั้งคำถามถึงหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือนวนิยายฟีลกู้ดที่อ่านแล้วให้ความอิ่มเอมใจ รวมทั้งปลุกกำลังใจในการต่อสู้กับปัญหาชีวิต

ที่จริงแล้ว เคโงะ เป็นนักเขียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์ด้านนิยายสืบสวนสอบสวน ซึ่งเจ้าตัวเองก็ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ และยอมรับว่า นิยายแนวสืบสวนสอบสวน คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากเป็นนักเขียน

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผลงานของเคโงะ มีความโดดเด่นและแตกต่างจากนิยายสืบสวนสอบสวนทั่วๆ ไป ก็คือ เขามักจะสอดแทรกเรื่องราวดราม่า ปมปัญหาชีวิตของตัวละคร ซึ่งในหนังสือเรื่อง ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ เป็นผลงานที่ไม่ใช่แนวสืบสวนสอบสวน แต่เป็นนิยายดราม่าเต็มตัว เคลือบฉาบด้วยความแฟนตาซีเหนือจริง

ตัวละครหลักของหนังสือเล่มนี้ เป็นชายหนุ่มสามคน ประกอบด้วย โชตะ อัตสึยะ และโคเฮ ทั้งสามคือตัวแทนของคนขี้แพ้ สถานะจัดอยู่ในระดับล่างของสังคม เรียนก็ไม่จบ ทำงานก็ไม่ได้เรื่อง สิ่งเดียวที่ช่วยให้พวกเขาอยู่รอดได้ คือ การก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขโมยข้าวของตามบ้านคน เพื่อประทังชีวิตไปวันๆ

หลังจากงัดแงะบ้านหลังหนึ่งที่พวกเขาดูลาดเลาไว้ก่อนแล้ว แต่กลับไม่ได้ทรัพย์สินมากมายอย่างที่คิดไว้ ชายหนุ่มทั้งสาม จำเป็นต้องหาที่กบดานชั่วคราว เพื่อรอเวลาให้ถึงตอนเช้า จะได้โดยสารรถไฟหลบหนีพร้อมกับเงินสดที่ขโมยมาได้

ท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน หัวขโมยหนุ่มทั้งสาม พบกับบ้านร้างหลังหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นร้านขายของชำมาก่อน ทั้งสามเข้าไปในบ้านหลังนั้น หมายจะหลับสักงีบเอาแรง เพื่อรอให้ท้องฟ้าเริ่มสาง ทว่า ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดังมาจากกล่องรับไปรษณีย์ของบ้าน

เมื่อหายตกใจแล้ว อัตสึยะ เดินไปดูที่กล่องรับไปรษณีย์และพบจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนชื่อผู้ส่งว่า ‘กระต่ายในดวงจันทร์’ แต่ไม่ได้จ่าหน้าชื่อผู้รับ

เนื้อความในจดหมายฉบับดังกล่าว เป็นการขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า กระต่ายในดวงจันทร์ โดยเล่าว่า เธอเป็นนักกีฬา ผู้มีความฝันอยากเป็นตัวแทนของประเทศ ลงแข่งขันในรายการมหกรรมกีฬาโอลิมปิก แต่ปัญหาของเธอก็คือ ชายหนุ่มคนรักของเธอ ผู้คอยสนับสนุนและให้กำลังใจเธอทุกอย่าง ในการทำตามความฝันเพื่อเป็นตัวแทนประเทศลงแข่งโอลิมปิก ที่กำลังจะจัดขึ้นในปีหน้า เกิดล้มป่วยหนัก ซึ่งหมอบอกว่า เขามีโอกาสจะอยู่ได้เพียงแค่หกเดือนเท่านั้น

กระต่ายในดวงจันทร์ควรทำอย่างไร เธอควรจะทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ เพื่อทำตามความฝัน ซึ่งไม่ใช่แค่ความฝันของเธอคนเดียว แต่ยังเป็นความฝันของชายหนุ่มคนรักด้วย ที่อยากเห็นหญิงสาวได้ลงแข่งโอลิมปิก หรือ ควรจะเลิกล้มความฝันนั้นแล้วใช้เวลาอยู่กับชายหนุ่มคนรักจนถึงนาทีสุดท้ายในชีวิตของเขา

“ทุกวันนี้ฉันใช้ชีวิตโดยไม่รู้จะทำอย่างไรดี… ระหว่างที่กำลังกลุ้มใจอยู่คนเดียว ฉันบังเอิญไปได้ยินข่าวลือเรื่องร้านชำนามิยะของคุณเข้า ก็เลยเกิดความหวังขึ้นมารำไรว่า อาจจะได้รับคำแนะนำดีๆ… ได้โปรดช่วยฉันด้วยนะคะ”

หลังจากนั้น ชายหนุ่มทั้งสามเจอนิตยสารเล่มหนึ่ง ที่ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับร้านชำของคุณนามิยะ โดยในบทความระบุว่า จุดเริ่มต้นของการเป็นร้านชำที่ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต เริ่มมาจากชื่อ ‘นามิยะ’ ใกล้เคียงกับคำว่า ‘นายะมิ’ ที่แปลว่า ปัญหากลุ้มใจ ทำให้เด็กๆ ในละแวกนั้น เริ่มพูดเล่นกันว่า ร้านของคุณนามิยะ รับปรึกษาปัญหากลุ้มใจทุกชนิด

โดยในช่วงแรกๆ จะมีแต่พวกเด็กๆ ที่มาขอคำปรึกษาจากคุณนามิยะ ซึ่งปัญหากลุ้มใจของพวกเด็กๆ มักจะเป็นปัญหาทีเล่นทีจริง เช่น ถ้าผมไม่ชอบเรียนหนังสือเลย แต่อยากสอบได้ 100 คะแนนเต็ม จะต้องทำอย่างไร ทางด้านคุณนามิยะ แม้จะรู้ว่าเป็นแค่คำถามลองภูมิ แต่ก็ให้คำตอบที่ผ่านการคิดใคร่ครวญมาอย่างดี ทำให้ทุกคนที่ขอคำปรึกษา ต่างพอใจกับคำตอบที่ได้รับ

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นแค่การเล่นสนุกของเด็กๆ ค่อยๆ เติบโตกลายเป็นเรื่องจริงจัง คนที่มีปัญหาชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องความรัก การเรียน การทำงาน หรือปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น ต่างเชื่อว่า ถ้าเขียนจดหมายมาขอคำแนะนำจากคุณนามิยะ พวกเขาจะได้รับคำตอบ ที่อาจเป็นทางออกของชีวิตได้ ในรูปของจดหมายที่วางไว้ในกล่องส่งนมที่หลังร้านในวันรุ่งขึ้น

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ เรื่องราวของร้านชำนามิยะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ในปัจจุบัน ร้านชำแห่งนี้กลายเป็นบ้านร้างไม่มีคนอยู่ ตัวคุณนามิยะ เจ้าของร้านน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว ชายหนุ่มทั้งสาม แม้จะเป็นคนร้ายทำผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมีจิตใจที่ดี จึงตัดสินใจสวมบทบาทคุณนามิยะ เขียนจดหมายตอบเพื่อคลี่คลายปัญหาให้แก่หญิงสาว ผู้เรียกตัวเองว่า กระต่ายในดวงจันทร์ หรืออย่างน้อย ก็ช่วยให้หญิงสาวรู้สึกดีกว่าไม่ได้รับจดหมายตอบกลับเลย

หลังจากส่งจดหมายโต้ตอบกันหลายฉบับ ชายหนุ่มทั้งสาม (รวมทั้งคนอ่านหนังสือด้วย) ได้พบความจริงอันน่าตกใจว่า จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาจากอดีตเมื่อสี่สิบปีก่อน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ร้านขายของชำของคุณนามิยะ ได้กลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกปัจจุบันกับโลกอดีตไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่า เวลาในร้านชำของคุณนามิยะ แทบจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือเดินช้าลงมาก ตราบใดที่ชายหนุ่มทั้งสามยังอยู่ในบ้านหลังนี้ เวลาของพวกเขาแทบจะไม่เดินหน้าเลย ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเขาสามารถใช้เวลาเขียนจดหมายโต้ตอบกับผู้ส่งจดหมายได้นานเท่าที่ต้องการ

ข้อได้เปรียบของการอยู่คนละช่วงเวลา ก็คือ หัวขโมยทั้งสามรู้ว่า ประเทศญี่ปุ่นจะตัดสินใจคว่ำบาตรไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกที่สหภาพโซเวียตเป็นเจ้าภาพ ในปี 1980 นั่นหมายความว่า ต่อให้กระต่ายในดวงจันทร์ ทุ่มเทฝึกซ้อมจนได้เป็นตัวแทนของประเทศ เธอก็ไม่มีโอกาสได้ลงแข่งโอลิมปิกอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเขียนจดหมายบอกหญิงสาวด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่า จงทิ้งความฝันไปโอลิมปิกเสีย และใช้เวลาอยู่กับชายหนุ่มคนรักที่ป่วยหนักดีกว่า

“โอลิมปิกเป็นเพียงแค่งานกีฬาสีขนาดใหญ่เท่านั้น คงเป็นเรื่องน่าเสียดายมากหากคุณต้องเสียเวลาไปกับเรื่องนั้นทั้งที่เหลือเวลาอยู่ร่วมกับคนรักเพียงน้อยนิด”

ครับ ฟังดูน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดจริงๆ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกลังเล เพราะทุกครั้งที่ได้คุยกับชายคนรักว่า เธอทุ่มเทกับการฝึกซ้อมมากแค่ไหน ชายหนุ่มก็ยิ่งแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจน จนตัวเธอเองไม่แน่ใจแล้วว่า ควรจะเลิกฝึกซ้อมตามคำแนะนำของคุณนามิยะดีหรือไม่

ถ้าคุณเคยรับบทเป็นที่ปรึกษาให้กับเพื่อน คงรู้ดีว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะโดยปกติแล้ว การที่คนเราต้องการขอคำปรึกษาจากใครสักคน ก็เพราะความไม่แน่ใจ ลังเล สับสน ในคำตอบที่ตัวเองอาจจะมีอยู่ในใจแล้ว ดังนั้น หลายต่อหลายครั้งที่ได้คำตอบที่เหมือนจะดีที่สุดแล้ว เจ้าของปัญหา กลับยังไม่กล้าตัดสินใจเชื่อตามคำแนะนำนั้น

ชายหนุ่มทั้งสามรู้สึกโกรธที่กระต่ายในดวงจันทร์ ไม่ทำตามคำแนะนำที่ดีที่สุดที่พวกเขามีให้ จึงต่อว่าอย่างรุนแรงผ่านทางจดหมาย พร้อมทิ้งท้ายว่า ถ้าเธออยากทำอะไรก็เชิญ ทำอย่างที่ต้องการและเชิญเสียใจกับผลที่ตามมาให้พอ

จากนั้น จดหมายของกระต่ายในดวงจันทร์ก็หายไปพักใหญ่ๆ ก่อนจะส่งมาอีกฉบับ (ซึ่งถ้าจะยึดตามเวลาของกระต่ายในดวงจันทร์ ก็คือหลายเดือนหลังจากนั้น) โดยหญิงสาวได้เขียนจดหมายมาเพื่อขอบคุณคุณนามิยะ และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอ

กระต่ายในดวงจันทร์ เลือกที่จะไม่เชื่อคำแนะนำของคุณนามิยะ เธอตัดสินใจมุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็ไม่ผ่านการคัดตัว ขณะที่นักกีฬาคนอื่นที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของประเทศ ก็ไม่ได้ลงแข่งโอลิมปิก เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศคว่ำบาตรการแข่งขันที่สหภาพโซเวียตเป็นเจ้าภาพ

แต่สิ่งที่หญิงสาวอยากบอกที่สุด คือ ในช่วงนาทีสุดท้ายก่อนสิ้นใจ ชายคนรักของเธอได้พูดกับเธอว่า “ขอบคุณสำหรับความฝันนะ” ตอนนั้นเอง กระต่ายในดวงจันทร์ จึงรู้ว่า ความฝันที่เธอและเขามีร่วมกันนั้นเอง ที่ทำให้ชายคนรักยังมีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายจนวันสุดท้ายได้

อัตสึยะ โชตะ และโคเฮ ถึงกับหัวเราะออกมาที่เรื่องราวจบลงด้วยดี ทั้งที่ทุกอย่างผิดไปจากสิ่งที่คิดไว้ คำแนะนำที่ดีที่สุดของพวกเขา โดยเฉพาะประโยคเด็ดที่ว่า “โอลิมปิกก็แค่งานกีฬาสีเท่านั้น” กลับถูกหญิงสาวตีความว่า เป็นคำพูดลองใจเพื่อให้เธอค้นลึกลงไปในใจตัวเองว่า จริงๆ แล้ว เธอให้ค่ากับความฝันนั้นมากน้อยแค่ไหน

จริงๆ แล้ว การทำหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตของชายหนุ่มทั้งสาม (รวมถึงตัวคุณนามิยะ ที่มีการเล่าย้อนอดีตถึงด้วย) ยังมีอีกหลายเรื่องราว แต่ผมจะไม่หยิบยกขึ้นมาเล่าให้ฟังอีก เพราะหัวใจสำคัญของทุกเรื่องล้วนตรงกัน นั่นคือ การรับฟังอย่างตั้งใจ

ปาฏิหาริย์ที่ทำให้คุณนามิยะ และชายหนุ่มทั้งสาม กลายเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่โดนใจทุกคน ไม่ได้มาจากการใคร่ครวญหาคำตอบเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการรับฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ ‘การได้ยิน’ สิ่งที่เจ้าของปัญหาพูด แต่ยังเป็น ‘การให้ความสำคัญ’ หรือ ‘การให้คุณค่า’ กับความรู้สึกของคนที่กำลังมีปัญหาด้วย

ในช่วงแรกๆ ที่โคเฮ โชตะ อัตสึยะ ตอบจดหมายของกระต่ายในดวงจันทร์ พวกเขาอาจคิดแค่เพียงว่า ถ้าหญิงสาวได้จดหมายตอบ ก็น่าจะพอใจแล้ว และทุกอย่างก็น่าจะจบลง แต่กลับกลายเป็นว่า กระต่ายในดวงจันทร์ยังส่งจดหมายกลับมา ทำให้หัวขโมยทั้งสามต้องปรับบทบาทกลายเป็น ‘ผู้รับฟัง’ อย่างตั้งใจมากขึ้น เพื่อให้ได้รู้ว่า หญิงสาวเจ้าของปัญหา ต้องการอะไรกันแน่

การรับฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่ด่วนตัดสิน ยังช่วยให้ผู้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา ได้เห็นและเข้าใจปัญหาจากมุมมองของผู้ที่มีปัญหา ไม่ใช่มองจากมุมของตัวเองเพียงอย่างเดียว

และที่สำคัญที่สุด การที่ใครคนหนึ่ง ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะลังเล สับสน ไม่แน่ใจในตัวเอง ได้มีโอกาสบอกเล่าถึงปัญหาของตัวเองอย่างละเอียด ให้แก่ใครสักคนที่รับฟังอย่างตั้งใจ จะช่วยให้เขาได้ทบทวนและมองปัญหาได้ชัดเจนมากที่สุด ซึ่งบ่อยครั้งที่พบว่า หลังจากได้ระบายปัญหาออกไปแล้ว ผู้ที่ขอคำปรึกษา จะมองเห็นคำตอบด้วยตัวเอง หรือจะยิ่งมั่นใจในคำตอบที่เคยคิดไว้อยู่แล้ว

การรับฟัง จึงไม่ใช่แค่การอยู่เงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ระบายปัญหาเท่านั้น แต่เป็นการสร้างปาฏิหาริย์แห่งการรับฟัง  ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่า ที่ตรงนี้คือ พื้นที่ปลอดภัย ที่มีอีกใครอีกคนพร้อมจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเสมอในการค้นหาคำตอบของทุกปัญหา

Tags:

หนังสือการรับฟังNamiya Zakkaten no Kisekiปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะThe Miracles of the Namiya General Store

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 7. ลัทธิบูชาผลงาน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Gifted (2017) ‘ขอโทษ’ ของขวัญที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • RelationshipBook
    I HATE MY JOB: เราไม่ได้ถูกสร้างให้กระจอก เราถูกสร้างเพื่อให้ผ่านปัญหาไปได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ
  • มีเพียงหัวใจและการยอมรับตัวเองเท่านั้น ที่จะไขความลับของจักรวาลใจ: Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe
  • Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ
  • ‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel