Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: May 2025

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’
Early childhoodFamily Psychology
14 May 2025

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • เด็กบางคนเมื่อไม่เป็นตามที่หวังหรือตามที่สังคมคาดหวัง อาจเริ่มจากความโกรธและไม่พอใจตัวเอง แต่เมื่อพยายามจนหมดแรง ความโกรธค่อยๆ กลายเป็นความเศร้าและผิดหวัง หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ ความเศร้าก็อาจพัฒนาเป็นโรคทางใจที่ทำร้ายตัวเองในที่สุด
  • เด็กไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งหรือแข็งแกร่งตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองกับใคร แม้แต่กับตัวเขาเองก็ตาม
  • การสร้าง ‘ตัวตนที่แข็งแรง’ ให้เด็กแข็งแรงทั้งกายใจ เริ่มจากพื้นฐานธรรมชาติที่เรียบง่ายที่สุดนั่นก็คือ ‘การมีสายสัมพันธ์ที่ดีในวัยเยาว์’ เด็กที่ได้รับความรักอย่างเพียงพอจากพ่อแม่ จะสามารถเติบโตและสร้างคุณค่าในตัวเอง

ในวันที่สังคมออนไลน์ที่ทำให้เปลือกภายนอก สำคัญกว่าแก่นภายใน

“ลูกป้าสอบติดหมอแล้ว เราล่ะสอบติดอะไร?”

“ในรูปทำไมดูอ้วนขึ้น ไปทำอะไรมา?”

ญาติผู้ใหญ่ในสังคมออนไลน์ทักมา

“นี่เพื่อนคนนั้นเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใหม่ คนมาดูให้หัวใจเต็มเลย”

เพื่อนที่ทักมาหาเราในวันที่ลงเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใหม่เหมือนกัน

จากป้าข้างบ้านในอดีตที่จะพูดคุยกันข้ามรั้วบ้าน มาถึงญาติผู้ใหญ่ในยุคสังคมออนไลน์ที่สอดส่องดูข้อมูลในโปรไฟล์ของเราใน Facebook ยังไม่วายเมื่อหนีจากแพลตฟอร์มเดิมไป ไปเล่น Instagram ก็ยังเจอสังคมออนไลน์ที่ให้ความสำคัญกับ ‘ยอดไลค์’ ‘ยอดแชร์’ ‘ยอดคนดู’ เพราะนั่นคือสัญลักษณ์ของการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น แม้ใจจริงไม่อยากจะสนใจเรื่องเหล่านี้เลย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกๆ วันที่คนรอบตัวเองเป็นไปตามกระแสหลัก ใช้ชีวิตผ่านโลกออนไลน์ไปพร้อมกับการใช้ชีวิตประจำวัน สังคมออนไลน์จึงมีอิทธิพลกับเด็กๆ มากกว่าที่เราคิด 

เด็กทุกคนต้องการ ‘ความรัก’ ‘การยอมรับ’ และ ‘ความสนใจ’ จากคนรอบตัว ยิ่งเด็กวัยรุ่นการยอมรับจากเพื่อนและสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะวัยนี้เป็นวัยที่พยายามค้นหาตัวตนของตัวเอง และกำลังทดลองใช้ชีวิตในสังคมจำลองอย่างโรงเรียน เด็กวัยรุ่นต้องการอิสระ และในขณะเดียวกันก็ต้องการทางเลือก หรือ มีคนแนะนำมากกว่าบีบบังคับให้เขาต้องทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง 

‘การค้นหาตัวเองในวัยรุ่น’ เป็นส่วนสำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

หากเด็กวัยรุ่นไม่สามารถรับรู้ความต้องการที่มีต่อตัวเอง หรือ แม้จะค้นพบความต้องการนั้น แต่ไม่สามารถทำตามที่ใจต้องการได้ เนื่องจาก…

(1) สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อ เช่น สังคมไม่ให้การยอมรับ ขัดกับค่านิยมของครอบครัว 

(2) ตัวเขาเองที่ไม่สามารถเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการได้

สิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลให้วัยรุ่นเกิดความกังวลและความคับข้องใจ ถ้าหากไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ปมที่ติดค้างจะนำไปสู่ ‘ความสับสนในบทบาทของตัวเอง’ วัยรุ่นจึงพยายามสุดกำลังเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพื่อตัวเองและคนที่เขารัก เมื่อพยายามเต็มที่แล้วทำไม่ได้ วัยรุ่นมีสองทางเลือก คือการเปลี่ยนเส้นทาง หรือ ปล่อยวาง ในวัยรุ่นบางคนที่หาทางออกให้กับปัญหานี้ไม่ได้ สุขภาพจิตของเขาจะได้รับการบั่นทอนลง

เบื้องหน้าที่สวยงาม อาจมีเบื้องหลังที่เปราะบาง

เบื้องหลังภาพที่ปรากฏในสังคมออนไลน์ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ยกเว้นเจ้าตัว เด็กวัยรุ่นบางคนไม่สามารถมีชีวิตสวยงามดังที่สังคมรอบตัวเป็น หรือเป็นดังตัวเองวาดฝันไว้ แต่เด็กบางคนเลือกที่จะสร้างภาพเหล่านั้นขึ้นมาในโลกออนไลน์ การโกหกเล็กๆ อาจจะไม่ทำร้ายใครในตอนแรก แต่ทุกการโกหกจะค่อยๆ ขยายตัวไปสู่การโกหกที่ใหญ่ขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น

เด็กหญิงคนหนึ่งอยากให้เพื่อนๆ รับรู้ว่าตัวเองมีฐานะที่ร่ำรวยจึงไปนำภาพบ้านจากในออนไลน์มาโพสต์ ลงโปรไฟล์ตัวเอง เพื่อให้เพื่อนๆ เห็นว่าบ้านของตัวเองนั้นสวยงามหลังใหญ่ ในตอนแรกทุกคนเชื่อเด็กหญิงสนิทใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนอยากไปเที่ยวที่บ้านของเธอเพื่อไปเห็นบ้านจริงๆ การโกหกจึงขยายตัวขึ้นจากบ้านหลังใหญ่ ก็ต้องโกหกต่อไปว่า “ที่บ้านห้ามเพื่อนมา” เมื่อเพื่อนไม่เชื่อเจ้าตัวก็เริ่มโกรธ 

สุดท้ายเพื่อนก็จับได้อยู่ดีว่าบ้านหลังนั้นไม่ใช่ของเธอ เด็กหญิงไม่ได้ทำลายความเชื่อมั่นของเพื่อนที่มีต่อเธอ แต่เธอทำลายความมั่นใจในตัวเธอเองด้วย

ความพยายามที่จะให้สังคมยอมรับมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ

  1. ความเชื่อมั่นในตัวเองและความเชื่อมั่นจากผู้อื่น 
  2. สุขภาพกายใจที่สูญเสียไป

เด็กบางคนไม่อาจรับได้เมื่อตัวเองไม่เป็นดังปรารถนา หรือดังที่สังคมคาดหวัง แรกเริ่มเด็กๆ อาจจะรู้สึกโกรธและไม่พอใจตัวเองและสังคม แต่เมื่อพยายามเต็มกำลังจนไม่อาจจะพยายามไปมากกว่านี้ การโกรธค่อยๆ แปลเปลี่ยนเป็นความเศร้า และผิดหวังในตัวเอง นานวันเข้าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือความเศร้าเพียงชั่วคราวค่อยๆ กลืนกินตัวตนของเด็กๆ และแปรเปลี่ยนเป็นโรคทางใจที่ทำร้ายตัวเด็กเอง 

ในวันที่สังคมขนาดย่อในมือ กลายเป็นโลกทั้งใบของเด็กและวัยรุ่น

ตั้งแต่โทรศัพท์มีอินเตอร์เน็ต และโลกสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรา สถิติของการเกิดโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่นพุ่งทะยานสูงขึ้น จากรายงานพบว่า เด็กและวัยรุ่นที่ใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า รวมถึงมีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากผลสำรวจล่าสุดระบุว่าวัยรุ่นใช้เวลากับโซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนั้นผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อการยอมรับรูปร่างหน้าตาหรือภาพลักษณ์ภายนอกของตัวเอง วัยรุ่นอายุ 13-17 ปี ร้อยละ 46 ตอบว่าโซเชียลมีเดียทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ และดูแย่กว่าค่าเฉลี่ย (Riehm, Feder,& Tormohlen, 2019)

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กกำลังป่วยใจและต้องการความช่วยเหลือ

(เมื่อพ่อแม่และผู้ใหญ่พบสัญญาณเหล่านี้ในลูกวัยรุ่น ควรให้ความช่วยเหลือกับวัยรุ่นทันที)

  1. การนอนที่ผิดปกติ นอนไม่หลับเลยหรือนอนมากเกินไป 
  2. เก็บตัวอยู่คนเดียว และแยกตัวจากสังคม ไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบทำ ไม่อยากออกไปใช้ชีวิตตามปกติ
  3.  ไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน 
  4. มีอาการเจ็บป่วยทางกายแบบหาสาเหตุไม่ได้ เช่น ปวดท้อง ปวดหัว เหนื่อยล้าทั้งวัน
  5. การกินผิดปกติ ได้แก่ เบื่ออาหาร หรือ กินไม่หยุด หรือกินมากเกินปกติ
  6. ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำได้ตามปกติ ความสามารถในการคิดอ่านลดลง ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องธรรมดาๆ ที่เคยทำได้
  7. มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ทำอะไรทันที ไม่คิดหน้าคิดหลัง
  8. มีอารมณ์ซึมเศร้า มีความคิดตนเองไม่มีอะไรดี และไม่อยากมีชีวิตอยู่

ภายนอกที่โตอย่างรวดเร็วเกินไป จนภายในไม่อาจเติบโตได้ทันการณ์

เด็กในปัจจุบันสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส โลกทั้งใบถูกย่อขนาดมาให้อยู่ในมือของพวกเขา แม้เด็กๆ จะเรียนรู้อย่างรวดเร็วและถือได้ว่าเก่งขึ้นมากในเรื่องของเทคโนโลยี และเป็นไปได้ว่าอาจจะเก่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก แต่ในทางกลับกันเด็กบางคนที่เก่งเทคโนโลยีเหล่านั้นกลับไม่สามารถทำเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่จำเป็นกับการเอาชีวิตรอด หรือ ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพกายใจที่ดี ความสมดุลในการใช้ชีวิตได้หายไป ไม่ต่างอะไรกับวัยเยาว์ที่สูญหายไปในโลกออนไลน์

สิ่งที่สูญหาย

  • เด็กบางคนสามารถรูปตัวเองและโพสต์ลงในสังคมออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่กลับไม่สามารถใช้มือถือช้อนส้อมเพื่อตักหรือหั่นอาหารในปริมาณที่เหมาะสมเข้าปากตัวเองได้
  • เด็กบางคนสามารถป้อนโปรแกรมสั่งหุ่นยนต์ทำอะไรก็ได้ แต่กลับไม่จัดการอารมณ์ตัวเองได้
  • เด็กบางคนสามารถตัดต่อวิดีโอได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่สามารถตัดเล็บหรือผูกเชือกรองเท้าได้ด้วยตัวเอง
  • เด็กบางคนสามารถสั่งซื้อของทางออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ไม่สามารถหุงข้าวหรือเดินข้ามถนนไปซื้ออาหารเองได้
  • เด็กบางคนสามารถสร้างรายการของตัวเองใน Youtube ได้ แต่ไม่สามารถส่งงานได้ตรงเวลา

ยังคงย้ำเตือนเสมอว่า ‘เทคโนโลยีไม่ใช่ผู้ร้าย’ แต่การใช้งานอย่างเหมาะสมตามวัยและรักษาสมดุลชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นยิ่งที่ต้องสอนเด็กๆ ทุกคน รวมทั้งผู้ใหญ่อย่างเราด้วยเช่นกัน พ่อแม่ที่มีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีตลอดเวลา ลูกจะมีแนวโน้มเป็นเช่นนั้นเช่นกัน ดังนั้นการสร้าง ‘ตัวตนที่แข็งแรง’ ให้เด็กๆ ตั้งแต่วัยเยาว์จำเป็นยิ่ง 

‘ตัวตนที่แข็งแรง’ ไม่ได้แปลว่าต้องแข็งแกร่งหรือเก่งที่สุด

เด็กไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งหรือแข็งแกร่งตลอดเวลา บางวันเหนื่อยล้าและอ่อนแอ ก็ควรหยุดพักแล้วค่อยไปต่อ

เด็กไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่างหรือต้องเป็นหนึ่งทุกเรื่อง เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองกับใคร แม้แต่กับตัวเขาเองก็ตาม ขอเพียงมีสักอย่างที่เขารักที่จะทำและเขารู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเขามองเห็นคุณค่าภายในตัวเองและยอมรับตัวเองอย่างจริงใจ

พ่อแม่และผู้ใหญ่ควรมอบ ‘ตัวตนที่แข็งแรง’ ให้เด็กๆ ตั้งแต่วัยเยาว์

(1) รักและยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น จิตใจของเด็กจึงได้รับการเติมเต็ม ‘รัก’ โดยการมีเวลาคุณภาพ เคียงข้าง สัมผัสด้วยรัก เล่น อ่าน ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ดังนั้นพ่อแม่จำเป็นต้องวางหน้าจอลง หรือ วางสิ่งต่างๆ ลง เพื่อใช้เวลากับลูกตรงนั้น

‘ให้การยอมรับ’ ไม่เปรียบเทียบ ไม่กดดัน ไม่คาดหวังเกินวัยหรือในสิ่งที่ไม่ตรงกับตัวเด็ก 

(2) สอนให้เขาช่วยเหลือตัวเองตามวัย ได้แก่ กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว เข้าห้องน้ำ และอื่นๆ เมื่อเด็กดูแลตัวเองได้ เขาจะสามารถพึ่งพาตัวเองและเอาตัวรอดได้

(3) สอนให้เขาดูแลและรับผิดชอบงานตามวัย ได้แก่ เก็บของเล่น งานบ้าน การบ้าน งานที่ได้รับมอบหมาย เด็กที่ทำสิ่งที่จำเป็นเสร็จแล้วค่อยไปทำสิ่งที่อยากทำ เขาจะพัฒนาการควบคุมตัวเองขึ้นมา (Self-control) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการยับยั้งชั่งใจ การตัดสินใจ และการสร้างสมดุลที่ดีในชีวิต

(4) สอนให้เขาทำทุกๆ อย่างอย่างเต็มที่ เน้นที่ความตั้งใจพยายามและกระบวนการระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์ปลายทาง เพื่อให้เด็กไม่ยอมแพ้และพยายามต่อไปในวันที่ยังทำไม่ได้ หรือ ผลลัพธ์ไม่เป็นดังหวัง

(5) สอนให้เขาชื่นชมตัวเองและผู้อื่นเป็น โดยเราชื่นชมเขาก่อน ชื่นชมที่ความพยายามและความตั้งใจระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์ที่ปลายทาง เพื่อให้เขามองเห็นคุณค่าในตัวเองและผู้อื่น

(6) เมื่อเขาทำผิดพลาดสอนให้เขาเรียนรู้และยอมรับความผิดพลาด และให้เขาลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง เพื่อแก้ไข รับผิดชอบ พัฒนา และเติบโตต่อไป เด็กจึงเกิดความทนทานด้านจิตใจ

(7) ไม่ปกป้องเขาจากความทุกข์ยากลำบาก แต่เคียงข้างและเผชิญปัญหาไปพร้อมกับเขาจนข้ามผ่านได้ การอดทนรอคอย เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ ถ้าเด็กไม่เคยรอคอยสิ่งใด เขาจะไม่สามารถอดทนจนไปถึงปลายทางได้

‘ภาพลักษณ์’ และ ‘รูปร่างหน้าตา’ คือสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนได้ไม่มาก แต่คุณค่าสามารถเติมเต็มความมั่นใจของเด็กๆ ได้ คุณค่าภายในตัวเองจึงสำคัญยิ่งเพื่อให้เด็กฝ่าฟันอคติและกระแสสังคมที่โหมกระหน่ำพวกเขาไปได้ ถ้าเด็กๆ รับรู้ตั้งแต่วัยเยาว์ว่าตัวเอง ‘ทำอะไรเพื่อตัวเองและผู้อื่นได้’ พวกเขาจะไม่หวั่นไหวต่อความคิดเห็นเชิงลบที่มีต่อตัวเขา และพัฒนาตัวเองต่อไป

‘ตัวตนที่แข็งแรง’ การสร้างเด็กที่แข็งแรงทั้งกายใจ จึงเริ่มจากพื้นฐานธรรมชาติที่เรียบง่ายที่สุดนั่นก็คือ ‘การมีสายสัมพันธ์ที่ดีในวัยเยาว์’ 

เด็กที่ได้รับความรักอย่างเพียงพอจากพ่อแม่ จะสามารถเติบโตและการสร้างคุณค่าในตัวเองเรื่อยมาจากการลงมือทำสิ่งต่างๆ ตามวัยอย่างที่ควรจะเป็น ที่สำคัญเมื่อเด็กเรียนรู้ว่าเขาเป็นที่รักและยอมรับ เขาจึงรักและยอมรับตัวเอง และเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่นเป็น

สุดท้าย ‘ในวันที่โลกหันหลังให้กับลูก ขอให้พ่อแม่อ้าแขนโอบกอดเขาไว้’

ไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านเรื่องราวหนักหนาสาหัสไปได้ แต่ในวันที่หนักหนามีมือทั้งสองที่จับเอาไว้ไม่ปล่อย และคนๆ นั้นที่รักและเชื่อมั่นในตัวเขา อยู่ตรงนั้นเคียงข้างไม่ห่าง ลูกรับรู้ถึงความรักเหล่านั้นได้ และแม้ว่าจะไม่พร้อมเดินหน้าต่อเดี๋ยวนั้น แต่เขาจะไม่หมดหวังกับตัวเอง เพราะพ่อแม่ยังไม่ยอมแพ้ในตัวเขา

อ้างอิง

Monitoring the Future: A Continuing Study of American Youth (8th- and 10th-Grade Surveys), 2021. (n.d.). Www.icpsr.umich.edu. https://www.icpsr.umich.edu/web/NAHDAP/studies/38502/versions/V1

Riehm, K. E., Feder, K. A., & Tormohlen, K. N. (2019). Associations between Time Spent Using Social Media and Internalizing and Externalizing Problems among US Youth. JAMA Psychiatry, 76(12), 1266–1273. https://doi.org/10.1001/jamapsychiatry.2019.2325

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยเด็กการเลี้ยงดู

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

‘วินัย’ ที่ใช้กำลังบังคับคือวินัยที่ไร้ความหมาย: บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก
Character buildingBook
12 May 2025

‘วินัย’ ที่ใช้กำลังบังคับคือวินัยที่ไร้ความหมาย: บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก เขียนโดยนายแพทย์ เอ็ม. สก็อตต์ เปค จิตแพทย์ชื่อดังชาวอเมริกัน แปลเป็นภาษาไทยโดยรองศาสตราจารย์ วิทยากร เชียงกูล สำนักพิมพ์โอ้มายก้อด (OMG BOOKS)
  • บทเรียนหนึ่งที่น่าสนใจคือ ‘วินัย’ (Self-Discipline) ซึ่งในความหมายนี้คือความกล้าในการเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต และผลักดันตัวเองไปข้างหน้า โดยอาศัยความพยายามอันแน่วแน่ไม่ย่อท้อ
  • จิตแพทย์เปค แนะนำเครื่องมือที่ช่วยให้ทุกคนเรียนรู้และฝึกฝนการมีวินัยในตนเอง ได้แก่  1.รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน 2.ยอมรับความรับผิดชอบ 3.ยึดถือความเป็นจริง 4.รักษาความสมดุล 

สมัยยังเด็ก หนึ่งในคุณสมบัติที่บ้านและโรงเรียนคาดหวังจากผมมากที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า ‘วินัย’ 

ห้ามตื่นสาย ห้ามเถียงผู้ใหญ่ ห้ามใจร้อน ตัดผมเกรียนสามด้าน แต่งกายให้เรียบร้อย อ่านหนังสือทุกวัน งานบ้านต้องช่วย ฯลฯ 

ในตอนนั้น เด็กชายตัวเล็กๆ อย่างผมไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก ทำได้ก็แค่เชื่อฟัง ทำตามโดยไม่มีสิทธิตั้งคำถาม ที่น่าแปลกคือ สิ่งที่ผู้ใหญ่สั่งให้เราทำนั้น หลายอย่างพวกเขากลับไม่เคยทำให้ดูเป็นตัวอย่างเลย 

ผมจึงเติบโตมากับความเชื่อว่าวินัยคือ ‘กฎศักดิ์สิทธิ์’ ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากไม่ทำตาม ก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ทำให้ผมอดทนทำตามวินัยต่างๆ ด้วยความกลัว

ทว่าในวันที่ผมโตขึ้น ผมกลับพบความย้อนแย้งซ่อนอยู่ โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ถูกปลูกฝังให้มีวินัยมาตั้งแต่เด็กกลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้วินัยในชีวิตอย่างน่าใจหาย 

บางคนอาจตื่นเช้า แต่กลับใช้เวลาไปกับการไถมือถืออย่างไร้จุดหมาย, บางคนทำงานไปวันๆ เพื่อรอเวลาเลิกงาน, บางคนอาจไม่กล้าเถียงเจ้านายต่อหน้า แต่ลับหลังกลับนินทาอย่างเมามัน หรือบางคนทำตามกฎอย่างเคร่งครัด แต่กลับไม่เข้าใจว่ากฎมีไว้เพื่ออะไร 

วินัยที่คนรุ่นก่อนพยายามสอนเราจึงคล้าย ‘พิธีกรรมที่ต้องทำตาม’ มากกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาชีวิต พวกเขาไม่ได้สอนให้เราฟังเสียงของตัวเอง และใช้วินัยมาจัดการมันอย่างเหมาะสม 

ยิ่งไปกว่านั้นวินัยยังถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือแสดงอำนาจ’ มากกว่าจะเป็นสะพานสู่ศักยภาพ ดังนั้นการปลูกฝังวินัยที่ควรสร้างคนกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ทิ่มแทงเราตั้งแต่เล็กจนโต…วันแล้ววันเล่า ราวกับว่าเราต่างใช้ชีวิตในแบบที่คนอื่นบอกให้ทำ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย แต่ลึกๆ ข้างในกลับรู้สึกว่างเปล่าและไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆ ครั้นจะหันไปถามพ่อแม่หรือครูที่อบรมสั่งสอนเรามา ก็ได้รับคำตอบประมาณว่า “เขาก็สอนกันมาแบบนี้  มันไม่ดีตรงไหน ใครๆ เขาก็ทำกัน แล้วที่ฉันทำแบบนั้นก็เพราะหวังดี” 

ทว่า ‘ความหวังดี’ ที่ปราศจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งนั้นเอง ทำให้เด็กหลายคนที่โตมาเป็นผู้ใหญ่กลัวการตั้งคำถาม ชอบทำตามสั่ง และค่อยๆ สูญเสียตัวตนไปทีละนิด 

นายแพทย์ เอ็ม. สก็อตต์ เปค (M. Scott Peck) จิตแพทย์ชื่อดังระดับโลก กล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่เราพบในวัยเด็ก ล้วนมีผลต่อสภาพจิตใจของเราในวันที่เติบโต เขาคือผู้ที่ทำให้ผมเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวินัย (Self-Discipline) ผ่านหนังสือเรื่อง ‘บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก’ โดยวินัยในความหมายนี้ไม่ใช่การยอมทำตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่คนอื่นเป็นผู้กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยปราศจากการตั้งคำถามหรือหาเหตุผล

แต่คือ ความกล้าในการเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต และผลักดันตัวเองไปข้างหน้า โดยอาศัยความพยายามอันแน่วแน่ไม่กย่อท้อ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราซื่อสัตย์ต่อตัวเอง รู้ว่าเราเป็นใคร รู้สึกอย่างไร มีปัญหาอะไร คุณค่าที่แท้จริงที่เราต้องการคืออะไร และจะเดินไปถึงสิ่งนั้นได้อย่างไร

“บ่อยครั้งที่เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมาโดยถูกพ่อแม่ลงโทษเป็นประจำหรือรุนแรง เช่น ถูกตบ ต่อย เตะ ทุบตี และเฆี่ยนด้วยสาเหตุเพียงเล็กน้อย แต่การสอนวินัยแบบนี้ไร้ความหมาย เพราะเป็นการใช้กำลังบีบบังคับ ไม่ใช่จากการเห็นตัวอย่างและเข้าใจถึงประโยชน์ของการมีวินัย 

ถ้าพ่อทุบตีแม่อยู่เป็นประจำ การที่แม่ตีลูกชายเพราะว่าเขาไปทุบตีน้องสาวจะมีเหตุผลที่มีความหมายอะไรสำหรับลูกชาย? มันจะมีความหมายอะไรที่จะสอนให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์? เนื่องจากเด็กๆ ไม่มีโอกาสเปรียบเทียบการกระทำของผู้ใหญ่ พ่อแม่จึงเปรียบเสมือนคนยิ่งใหญ่ระดับพระเจ้าในสายตาของลูกๆ   

สิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นเรื่องยาก คือกระบวนการเผชิญและแก้ไขปัญหานั้นทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด ผมเริ่มต้นกล่าวว่า วินัยคือเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นต่อการแก้ไขปัญหาชีวิต เราจะได้เห็นต่อไปว่าเครื่องมือนี้เป็นวิธีที่ช่วยให้เราผ่านความทุกข์ยากและแก้ไขปัญหาอย่างลุล่วง รวมถึงช่วยให้เราเรียนรู้และเจริญงอกงามเมื่อเราสอนตัวเองและลูกหลานให้มีวินัย เรากำลังสอนพวกเขาและตัวเราเองให้รู้จักวิธีผ่านความทุกข์ยากและวิธีเจริญงอกงามด้วยเช่นกัน”

สำหรับวินัยที่เปคเปรียบเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาชีวิตนั้น ประกอบไปด้วยวิธีการ 4 อย่าง โดยวิธีแรกเรียกว่า ‘การรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน’

“การชอบเพิกเฉยปัญหาคือสัญญาณของการไม่พร้อมที่จะ ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ การเผชิญปัญหานั้นเจ็บปวด การเต็มใจเผชิญปัญหาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่สถานการณ์จะบีบบังคับนั้นหมายความว่า เราต้องยอมวางสิ่งที่น่าอภิรมย์และสิ่งที่ไม่เจ็บปวดไว้ก่อน แล้วหันไปหาสิ่งที่เจ็บปวดหรือยากลำบากกว่า คือการเลือกเผชิญทุกข์ในปัจจุบันเพื่อหวังผลที่น่าพอใจในอนาคต แทนที่จะเลือกคงความสุขสบายในปัจจุบันแล้วหวังว่าความทุกข์ในอนาคตจะไม่เกิดขึ้น

การรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คือการจัดลำดับความเจ็บปวดและความพอใจของชีวิต ในแบบที่เพิ่มพูนความพอใจโดยเลือกความยากลำบากก่อน นี่เป็นวิธีใช้ชีวิตที่เหมาะสมที่สุดที่เราจะทำได้”

จิตแพทย์ชื่อดังได้ยกตัวอย่างเคสของผู้หญิงวัย 30 ปี มาปรึกษาเขาเรื่องปัญหาการผัดผ่อนการทำงาน โดยเฉพาะการผัดวันประกันพรุ่งกับงานที่ยากๆ และเลือกจะทำแต่งานที่ง่ายๆ (แม้จะไม่สำคัญเท่า)

“แต่ละวันเธอจะใช้ชั่วโมงแรกเลือกทำงานส่วนที่เธอพอใจมากที่สุดก่อน และใช้เวลาอีกหกชั่วโมงที่เหลือทำงานส่วนที่เธอพอใจน้อยที่สุด ผมเสนอว่า ถ้าเธอบังคับให้ตัวเองเอางานส่วนที่ไม่ชอบมากที่สุดมาทำในชั่วโมงแรก เธอจะมีอิสระที่จะใช้เวลาทำงานส่วนที่เธอพอใจในอีกหกชั่วโมงถัดจากนั้น ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าทำงานที่น่าพอใจหนึ่งชั่วโมงและทำงานที่น่าเบื่อหกชั่วโมง เธอเห็นด้วย และเนื่องจากเธอเป็นคนมุ่งมั่นเธอจึงเปลี่ยนอุปนิสัยนี้ได้ และเธอก็แก้ปัญหาผัดวันประกันพรุ่งที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ของเธอได้ในที่สุด”

วิธีการถัดมา เรียกว่า ‘การยอมรับความรับผิดชอบ’ เปคแนะนำให้เราตระหนักว่าไม่มีใครช่วยเราแก้ปัญหาได้นอกจากตัวเราเอง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดที่ต้องยอมรับว่า ปัญหาหลายอย่างนั้นเกิดจากการที่คนอื่นสร้างและโยนมันให้กับเรา

“เราไม่อาจแก้ปัญหาของชีวิตได้นอกจากจะลงมือแก้ไข ประโยคนี้ฟังดูเหมือนความจริงที่เห็นได้ชัดอยู่แล้ว แต่ความจริงคือคนจำนวนมากยังไม่เข้าใจ นั่นเป็นเพราะว่าเราต้องรับผิดชอบปัญหาก่อนเราถึงจะแก้ปัญหาได้ เราไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการพูดว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” เราไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการหวังว่าจะมีคนอื่นมาแก้ให้เรา ผมจะแก้ปัญหาได้ก็ต่อเมื่อผมพูดว่า “นี่คือปัญหาของผม และมันขึ้นอยู่กับผมที่จะแก้ไขมัน

มีน้อยคนที่จะมีสุขภาพจิตสมบูรณ์โดยไม่มีอาการของโรคประสาทหรือบุคลิกลักษณะผิดปรกติในระดับใดระดับหนึ่ง เหตุผลก็คือว่าในชีวิตจริงนั้น การแยกแยะว่าอะไรที่เราควรรับผิดชอบและอะไรที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรานั้น เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ เราไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะว่าตลอดชีวิตของเรา เราต้องประเมินอย่างต่อเนื่องว่าความรับผิดชอบของเราอยู่ตรงไหนในแต่ละขั้นตอนของเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และถึงแม้เราจะประเมินมากพอและถี่ถ้วนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ทำให้เราเจ็บปวด 

การจะผ่านกระบวนการประเมินอย่างเพียงพอ เราต้องเต็มใจและสามารถอดทนต่อการตรวจสอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความสามารถและความเต็มใจนี้ หากแต่ต้องเรียนรู้และสร้างมันขึ้นมา”

เครื่องมือถัดมาคือ ‘การยึดถือความเป็นจริง’ เป็นวิธีการจัดการกับความรู้สึกเจ็บปวดจากการแก้ปัญหา โดยเปคบอกว่า ยิ่งเราเห็นความเป็นจริงของโลกได้ชัดเจนเท่าไร เราก็จะพร้อมรับมือกับโลกและทำแผนที่ชีวิตได้ดีขึ้นเท่านั้น

“ปัญหาใหญ่ที่สุดของการทำแผนที่ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราต้องตั้งต้นจากศูนย์ แต่อยู่ที่ว่าหากเราต้องการทำแผนที่ชีวิตให้แม่นยำ เราจะต้องแก้ไขมันอยู่เสมอๆ โลกนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีและวัฒนธรรม ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตำแหน่งที่เรามองดูโลกจะเปลี่ยนไปอย่างสม่ำเสมอและรวดเร็ว 

อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากเราพยายามพัฒนาทัศนคติที่มีต่อโลกมายาวนานและเหนื่อยยาก จนได้แผนที่ชีวิตสำหรับตัวเราเองที่ดูมีประโยชน์และใช้การได้ดี แต่แล้วจู่ๆ ก็ต้องเผชิญข้อมูลใหม่ที่บอกเราว่าทัศนคติของเราผิดพลาด และเราต้องทำแผนที่ชีวิตฉบับใหม่ การลงทุนลงแรงครั้งใหม่ซึ่งแฝงความรู้สึกเจ็บปวดไว้นี้ดูน่ากลัว และแทบแบกรับไม่ไหว สิ่งที่เรามักทำโดยไม่ค่อยรู้ตัวก็คือ เพิกเฉยต่อข้อมูลใหม่นี้ บ่อยครั้งการเพิกเฉยนี้เป็นมากกว่าการไม่ยอมรับอย่างเงียบๆ เราอาจประณามข้อมูลใหม่ว่าผิดพลาด เป็นอันตราย นอกรีต เป็นผลงานของปีศาจ เราอาจรณรงค์ต่อต้านมัน หรือแม้แต่พยายามครอบงำปรับเปลี่ยนโลกให้เข้ากับทัศนคติมุมมองของตัวเรา

คนเราจะหลีกเลี่ยงความเป็นจริงเมื่อความจริงนั้นทำให้รู้สึกเจ็บปวด เราจะแก้ไขแผนที่ชีวิตเราได้ก็ต่อเมื่อเรามีวินัยมากพอที่จะเอาชนะความรู้สึกเจ็บปวดนั้น การจะสร้างวินัยได้เราต้องซื่อตรงต่อความจริงอย่างเต็มที่ นั่นก็คือเราจะต้องถือว่าความเป็นจริงนั้นสำคัญกว่าและจำเป็นต่อประโยชน์ของตัวเรามากกว่าความสะดวกสบายเฉพาะหน้า คิดในทางกลับกัน เราต้องมองว่าความไม่สะดวกสบายเฉพาะหน้านั้นมีความไม่สำคัญในเชิงเปรียบเทียบและเราควรยินดีต้อนรับมันด้วยซ้ำ หากว่ามันจะช่วยให้เราค้นพบความเป็นจริง 

การมีสุขภาพจิตที่ดีคือ กระบวนการอุทิศตนต่อความเป็นจริงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

วิธีการสุดท้ายสำหรับวินัยคือ ‘การรักษาความสมดุล’ ซึ่งการจะใช้ชีวิตอย่างมีวินัยได้นั้นจำเป็นต้องรักษาสมดุล มีความยืดหยุ่น และไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง 

“การมีวุฒิภาวะทางจิตใจต้องอาศัยความสามารถที่จะสร้างสมดุลครั้งแล้วครั้งเล่า ระหว่างความต้องการ เป้าหมาย หน้าที่ความรับผิดชอบ ทิศทาง ฯลฯ ที่ขัดแย้งกัน คุณลักษณะสำคัญอันหนึ่งของวินัยในการสร้างสมดุลนี้คือ การรู้จักยอมสละ (give up) เรื่องที่ควรสละในสถานการณ์ที่เหมาะสม

ข้อคิดประการสุดท้ายสำหรับวินัยในการสร้างสมดุลและแก่นแท้ของมันเรื่องการยอมสละก็คือ คุณต้องมีบางสิ่งอยู่เสียก่อน คุณถึงมีอะไรที่จะสละออกไปได้ คุณไม่อาจสละสิ่งที่คุณไม่มีอยู่ได้ ถ้าหากคุณยอมสละชัยชนะโดยที่คุณเองไม่เคยชนะมาก่อน คุณก็จะเป็นได้แค่สิ่งที่คุณเป็นมาตลอดคือ เป็นคนขี้แพ้ คุณต้องสร้างอัตลักษณ์ของคุณให้ได้ก่อนที่คุณจะสละมัน คุณต้องพัฒนาอัตตาของคุณให้ได้ก่อนที่คุณจะสลายมัน นี่ฟังดูเหมือนเป็นความเข้าใจในขั้นแบเบาะมากๆ แต่ผมคิดว่าจำเป็นต้องพูดออกมา เพราะมีคนหลายคนที่ผมรู้ว่าเขามีภาพของการเติบโตทางจิตใจอยู่ แต่ก็ไม่อยากลงทุนลงแรง 

พวกเขาอยาก (และเชื่อว่าเป็นไปได้) ข้ามขั้นตอนของการมีวินัยและหาทางลัดง่ายๆ ไปสู่การเป็นผู้สูงส่ง บางครั้งก็พยายามเลียนแบบลักษณะภายนอกของผู้สูงส่ง เช่น ไปใช้ชีวิตในทะเลทราย หรือฝึกเป็นช่างไม้ บางคนเชื่อว่าการเลียนแบบเช่นนี้ จะทำให้เขากลายเป็นนักบุญหรือศาสดาพยากรณ์ได้ แต่เขาไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเขายังเป็นแค่เด็กที่ยังไม่โต และจะต้องเผชิญ ความจริงที่เจ็บปวดกว่า เขาต้องเริ่มฝึกวินัยตั้งแต่ต้นและพัฒนาไปทีละขั้น”

Tags:

Self-Disciplineบทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอกการเผชิญหน้ากับความจริงหนังสือวินัยความสมดุล

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    พ่อแม่ไม่ใช่อรหันต์ ปล่อยวางความคาดหวังแล้วหันมา ‘ใจดีกับตัวเอง’ 

    เรื่อง อัฒภาค

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ที่ปลายขอบฟ้า มีขุมทรัพย์…และความฝัน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy lifeBook
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง
Movie
9 May 2025

โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • โหมโรงเขียนบทและกำกับโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง บอกเล่าเรื่องราวของศร เด็กหนุ่มผู้หลงใหลการเล่นระนาดมาตั้งแต่เด็ก
  • ศร เป็นตัวอย่างของการเดินตามความฝันที่พรสวรรค์อย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องอาศัยความมุ่งมั่น วินัยในการฝึกฝน ความรับผิดชอบต่อตนเอง การเรียนรู้ทั้งจากความพ่ายแพ้และชัยชนะ ที่สำคัญคือการเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น

“ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด ที่เริ่มจากตัวโน้ตเรียบง่าย ก่อนจะค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น หากเราเรียนรู้จังหวะของมัน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง และใช้กลเม็ดต่างๆ อย่างเหมาะสม เราจะสามารถร้อยเรียงบทเพลงของชีวิตได้อย่างไพเราะลื่นไหล แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือจังหวะที่คาดไม่ถึง”

นี่คือบทสรุปที่ผมบอกตัวเองหลังจากกลับมาชมภาพยนตร์โหมโรงในรอบ 19 ปี ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะทำให้มุมมองของผมเปลี่ยนไป และเข้าใจใหม่ว่าโหมโรงไม่ใช่เพียงภาพยนตร์สะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรมหรือการจุดกระแสดนตรีไทยเท่านั้น แต่ยังแฝงข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับความล้มเหลว การล้มแล้วลุก และการก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตผ่านเรื่องราวของนายศร หรือท่านครูในวัยชรา

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

ศรเกิดในครอบครัวนักดนตรีแห่งอัมพวา ซึ่งแวดล้อมไปด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะ พ่อของศรเป็นครูสอนดนตรีไทยชื่อดัง ส่วนพี่ชายเป็นมือระนาดเอก 

ศรเองก็มีพรสวรรค์นั้นเช่นกัน ตั้งแต่เด็กเขามักอาศัยการครูพักลักจำและฝึกซ้อมระนาดอย่างเงียบๆ ด้วยตัวเอง จนพ่อและพี่ชายทึ่งในความสามารถของเขา และหมายมั่นปั้นมือให้ศรกลายเป็นระนาดเอกคนต่อไป 

ในวันที่ศรจะเข้าร่วมพิธีไหว้ครูเพื่อเรียนดนตรีกับพ่อ พี่ชายกลับถูกคู่ปรับที่เป็นนักเลงระนาดดักฆ่าจนเสียชีวิต ทำให้พ่อของเขาสะเทือนใจและสั่งห้ามศรไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับระนาดอีก

แต่ด้วยความหลงใหลในเสียงระนาด ทุกคืนศรจะลอบขโมยผืนระนาดของพ่อไปฝึกฝนในวัดกลางป่า จนพระรูปหนึ่งเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นจึงหาทางเตือนสติพ่อของศร ทำให้พ่อใจอ่อนและยอมให้ศรทำพิธีไหว้ครูเพื่อรับเป็นลูกศิษย์

หลังจากได้รับการชี้แนะจากพ่อ ประกอบกับความมีวินัยทุ่มเทในการฝึกอย่างสม่ำเสมอ ศรในวัยหนุ่มจึงกลายเป็นระนาดเอกที่ไม่มีใครล้มได้ ซึ่งจุดนี้เองผมสังเกตว่าเขาเริ่มเสพติดชัยชนะ และลำพองในฝีมือตัวเองถึงขั้นขาดซ้อมเพื่อแอบไปเล่นพนัน

“เก่งมากแล้วสินะ ไอ้ศร ถึงไม่ได้ใส่ใจจะมาฝึกซ้อม ปล่อยให้ทั้งวงเขารอเอ็งอยู่คนเดียว” พ่อของศรตำหนิ

แทนที่จะรู้สึกผิด ศรกลับเถียงพ่อในทำนองว่า “ขาดซ้อมแค่หนสองหนคงไม่เป็นอะไร” ซึ่งคำพูดนี้ทำให้ผมนึกถึงนักกีฬาดาวรุ่งหลายคนที่แม้จะมีชื่อเสียงเร็วจากผลงานที่โดดเด่นเกินอายุ แต่พอถูกสิ่งเร้านอกสนามเข้ามายั่วยวนกลับไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองได้ และเลือกให้ค่ากับความสุขชั่วขณะมากกว่าผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว สิ่งที่ตามมาคือการไม่สามารถยืนระยะในวงการได้ และสถานะจากดาวรุ่งที่เคยรุ่งเรืองกลับกลายเป็นดาวร่วงที่ไม่มีใครสนใจในที่สุด

ศรเองก็เกือบจะมีโชคชะตาที่ไม่ต่างกัน แม้ว่าไม่กี่วันจากนั้นเขาจะยังดีพอที่จะประชันระนาดเอาชนะคู่ปรับจากราชบุรี แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ศรตามพ่อไปดูการแสดงวงปี่พาทย์ของเพื่อนที่กรุงเทพเป็นครั้งแรก เขากลับถูกมือระนาดเอกของวงหลอกให้ช่วยขึ้นแสดงฝีมือแทน (เพราะมือระนาดเอกรู้ว่าจะต้องแข่งกับขุนอิน) 

ศรจึงจับพลัดจับผลูได้ประชันระนาดกับขุนอิน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นระนาดเอกที่เก่งที่สุด แน่นอนว่าศรพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ พร้อมตระหนักว่าฝีมือระนาดของตนยังห่างไกลกับชั้นเชิงอันดุดันและทรงพลังของขุนอินอยู่หลายขุม 

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความภาคภูมิใจในตัวเองของศรพังทลายไปในชั่วข้ามคืน เขาซมซานกลับอัมพวาด้วยจิตใจที่บอบช้ำไปด้วยความผิดหวัง หวาดกลัว และวิตกกังวล ถึงขนาดที่เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ และไข้ขึ้นในที่สุด

เท่านั้นไม่พอ ศรเริ่มกลายเป็นคนติดเหล้า เขาใช้เวลาทั้งวันซ่อนตัวอยู่ในป่า ไม่กล้าออกไปเจอหน้าใคร และมักซ้อมตีระนาดอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยการเอาโซ่มามัดข้อมือทั้งสองข้าง เพื่อหวังจะตีระนาดได้ดุดันแบบขุนอิน แต่ยิ่งทำผลลัพธ์ก็ยิ่งแย่ลง และคิดจะเลิกเล่นระนาด 

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนของศรคือการที่เพื่อนของเขาแวะมาเตือนสติว่าคนทุกคนล้วนมีความเก่งและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน ศรจึงฉุกคิดได้ว่า หากเขาจะเอาชนะขุนอินด้วยการตีให้ดุดันกว่าและเล่นระนาดแบบเดิมคงเป็นไปไม่ได้ 

ไม่นาน ศรก็ค้นพบวิธีการเล่นดนตรีในแบบของตัวเองพร้อมกลวิธีใหม่ในการเอาชนะขุนอิน หลังจากสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของต้นมะพร้าวที่ถูกลมพัดไหวไปมา ซึ่งจังหวะการเคลื่อนไหวนี้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงบันดาลใจในการรังสรรค์วิธีการเล่นระนาดทางใหม่ที่สดใส เป็นธรรมชาติและมีจังหวะที่พลิ้วไหวอย่างมีอิสระ

ในเวลาเดียวกัน มีสมเด็จฯ พระองค์หนึ่งจากกรุงเทพเดินทางมาคัดเลือกระนาดเอกไปเล่นให้กับวงปี่พาทย์ในวังบูรพาภิรมย์ ศรจึงเดินทางไปคัดตัวพร้อมกับแสดงทางระนาดใหม่ที่เขาเพิ่งค้นพบ แม้ว่าท่วงทำนองระนาดของเขาจะฟังแปลกประหลาด ผิดจากแบบแผนการตีระนาดทั่วไป แต่ลึกลงไปกลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร สมเด็จฯ จึงทำการทาบทามกับพ่อเพื่อขอรับตัวศรไปชุบเลี้ยงในวังฯ

ศรดีใจเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง แต่ความดีใจก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเขารู้ว่า สมเด็จฯ ต้องการให้เขาลงประชันระนาดกับขุนอินที่เป็นระนาดเอกของเจ้านายอีกพระองค์หนึ่ง 

สิ่งที่น่าสนใจคือพอฝันร้ายกลับมา ศรก็จมดิ่งเข้าสู่โหมดวิตกกังวล กินไม่ได้นอนไม่หลับ ติดเหล้า และลามหนักถึงขั้นหนีออกจากวังฯ กลางดึก

ณ จุดนี้ ผมเข้าใจศรอย่างมาก เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยถูกทำลายความภาคภูมิใจไปแล้ว ดังนั้นหากครั้งนี้เขาถูกขุนอินสอนเชิงจนเป็นที่น่าอับอายขายหน้าอีก เขาอาจไม่มีหน้ากลับมาเล่นดนตรีอีกเลยก็ได้ 

ถึงอย่างนั้น การหนีปัญหาอาจทำได้เพียงชั่วคราว ยิ่งเราหลีกหนีความกลัวไปมากเท่าไหร่ มันกลับยิ่งทำให้ผลลัพธ์แย่ลงเท่านั้น เพราะ นอกจากจะไม่ทำให้เราชนะแล้ว มันจะยิ่งทำให้เราจมปลักอยู่กับความพ่ายแพ้ตลอดไป โดยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองด้วยซำ้

หลังหลบหนีมาพักใจ ศรก็พบว่าพ่อของเขาล้มป่วยทันทีที่ทราบว่าเขาหนีออกจากวังฯ เขาจึงไปเยี่ยมพ่อ แต่แทนที่พ่อจะโกรธ พ่อกลับเข้าใจศรและขอให้เขาทบทวนถึงสิ่งที่เขาต้องการในชีวิต ทั้งยังยินดีที่จะสนับสนุนศรในเส้นทางที่เขาเลือก

“เอ็งไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเอ็งแน่ใจว่าเอ็งต้องการอย่างนี้ ข้าก็จะไม่บังคับเอ็ง แล้วข้าจะไปทูลขออภัยโทษให้เอ็งเอง”

เมื่อทบทวนกับตัวเองดีแล้ว ศรจึงรีบกลับไปรับโทษกับสมเด็จฯ ซึ่งสมเด็จฯ ได้ให้อภัย พร้อมกับแนะนำให้เขารู้จักกับ ‘ครูเทียน’ ครูดนตรีไทยคนใหม่ ที่จะมาบ่มเพาะฝีมือของศรเพื่อให้เตรียมพร้อมรับมือกับขุนอิน

ผมมองว่าการได้ครูเทียนมาถือจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะขณะที่ครูดนตรีคนอื่นในวังฯ มักด่าศรว่าเขาตีระนาดแปลกๆ ราวกับ ‘หมาสะบัดน้ำร้อน’ และกดดันให้ศรกลับมาตีระนาดตามแนวทางดั้งเดิม แต่ครูเทียนกลับเข้าใจและเห็นถึงเสน่ห์ของทางระนาดที่แม้จะแปลกหู แต่ก็เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เขาจึงสนับสนุนศรในแบบที่ศรเป็น รวมถึงแบ่งปันข้อคิดในเรื่องแพ้ชนะ

“ไอ้ผิดน่ะ ไม่ผิดหรอก เอ็งตีได้แม่นยำทุกลูกนั่นแหละ แต่ข้าขอฟังที่มันเป็นดนตรีแท้ๆ งามๆ หน่อยได้ไหม ประชันครั้งนี้ ถึงเอ็งจะแพ้เขาย่อยยับ เอ็งก็คงไม่ได้แพ้เขาตลอดไปหรอก หรือถ้าเอ็งจะชนะ ชัยชนะของเอ็ง มันจะยั่งยืนสักแค่ไหนกันเชียว

แล้วไอ้เชือกนี่มันขึงตึงเกินไป ฟังแล้วรำคาญหูว่ะ ข้าผ่อนเชือกให้เอ็งแล้ว ส่วนเอ็งน่ะ พร้อมเมื่อไหร่ก็ลองดูอีกทีแล้วกัน”

ในวันประชัน วงปี่พาทย์ทั้งสองวงบรรเลงได้ดีและไร้ข้อผิดพลาด สมเด็จฯ ทั้งสองพระองค์จึงให้ตัดสินผลแพ้ชนะด้วยการให้ศรเดี่ยวเพลงเชิดแบบตัวต่อตัวกับขุนอิน ปรากฏว่ารอบนี้กลับเป็นขุนอินที่มีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเขาไม่เคยเจอทางระนาดที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน ขุนอินจึงตีระนาดด้วยความกังวลและพยายามเร่งจังหวะเพื่อปิดเกมให้เร็วที่สุด ต่างกับศรที่พยายามเร่งตามจังหวะให้ทัน หรือไม่ก็เร่งจังหวะแซงขุนอินเล็กน้อย จนมาถึงช่วงชิงดำที่ขุนอินเร่งสปีดข้อมือมากเกินไป จนเกิดอาการข้อมือค้างและแพ้ภัยตัวเองไปในที่สุด

สิ่งที่ผมประทับใจในฉากนี้คือการที่ศรเข้าไปกราบขอขมาขุนอินด้วยความเคารพ ซึ่งการที่ภาพยนตร์มีการตัดฉากสลับไปมาระหว่างศรในวัยหนุ่มกับวัยชรา ทำให้ผู้ชมเห็นรูปขุนอินที่แขวนไว้ในห้องพระของศร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ศรไม่ได้มองขุนอินเป็นคู่แข่งหรือศัตรู แต่กลับมองขุนอินในฐานะของครูคนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เขาสามารถเอาชนะความกลัว พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของตัวเองด้วยการตั้งใจฝึกฝนและสร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆ ในการเล่นระนาดจนประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน

ชีวิตของศรจึงสะท้อนบทเรียนสำคัญว่า พรสวรรค์อาจไม่เพียงพอหากขาดความพยายามและการฝึกฝน ขณะเดียวกัน ความล้มเหลวก็เป็นบททดสอบที่ต้องอาศัยความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความกลัวและอุปสรรค 

นอกจากนี้ เราอาจต้องการกัลยาณมิตรที่ดีสักคน เพื่อชี้แนะแนวทางให้เราเติบโตและสามารถสร้างสรรค์เส้นทางชีวิตของตัวเองได้สำเร็จ เหมือนกับบทสรุปที่ผมบอกกับตัวเอง…

“ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด ที่เริ่มจากตัวโน้ตเรียบง่าย ก่อนจะค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น หากเราเรียนรู้จังหวะของมัน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง และใช้กลเม็ดต่างๆ อย่างเหมาะสม เราจะสามารถร้อยเรียงบทเพลงของชีวิตได้อย่างไพเราะและลื่นไหล แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือจังหวะที่คาดไม่ถึง”

Tags:

โหมโรงดนตรีไทยระนาดภาพยนตร์ความพยายามพรสวรรค์

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    ลบมายาคติ ‘เด็กดี’ โอบรับความใจดีของ ‘เด็กดื้อ’: That Christmas

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    About time: ความสัมพันธ์ต้องไม่พยายามฝ่ายเดียว คนในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    รีวิวตัวละครเเม่ในหนังหลากสัญชาติที่บอกว่า ไม่ว่าหนังหรือชีวิตจริง แม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

    เรื่อง The Potentialณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์
RelationshipSocial Issues
6 May 2025

Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คำว่า Toxic Masculinity หมายถึง ‘แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นชาย’ บางอย่าง เช่น การสนับสนุนความรุนแรง การเลือกปฏิบัติ การกดขี่ทางเพศ ฯลฯ ส่งผลกระทบต่อคนทุกเพศสภาพ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม และก่อให้เกิดปัญหาในสังคมได้
  • แนวคิดความเป็นชายตามขนบมุ่งเน้นความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ พึ่งพาตัวเอง ทำให้เด็กไม่มีความรู้เท่าทันทางอารมณ์ เมื่อเด็กไม่รู้ว่าจะแสดงออกและจัดการอารมณ์อย่างไร จึงใช้ ‘ความรุนแรง’ หรือ ‘ความก้าวร้าว’ ในการระบายความคับข้องใจและความเครียด
  • เราควรยกเลิกความคิดแบบสองขั้ว เช่น ชายควรทำแบบหนึ่ง หญิงควรทำแบบหนึ่ง แต่ควรสอนว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีเรื่องเพศมาเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะนำไปสู่การเคารพผู้อื่นที่ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่เคารพเพราะว่าเขาเป็นเพศอะไร

ในขณะที่สังคมปัจจุบันกำลังให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศในบริบทต่างๆ มีการเรียกร้องสิทธิให้คนทุกเพศได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม แต่กลับมีกลุ่มผู้ชายจำนวนหนึ่งที่ยังคงภาคภูมิใจกับ ‘ความเป็นชายตามขนบ’ ที่สังคมได้หล่อหลอมมาอย่างยาวนาน

ผู้ชายกลุ่มนี้มักถูกเรียกในโลกออนไลน์ว่า ‘ชายแท้’ หรือ ‘ชายแทร่’ ซึ่งไม่ได้เป็นการกล่าวถึงเพศสภาพ แต่ใช้หมายถึงกลุ่มผู้ชายที่ยังยึดติดกับแนวคิดชายเป็นใหญ่ เช่น ผู้ชายต้องแข็งแกร่ง มีอำนาจเหนือเพศอื่น โดยแนวคิดของความเป็นชายเช่นนี้ก่อให้เกิด ‘ภาวะความเป็นชายที่เป็นพิษ’ หรือ ‘Toxic Masculinity’

‘Toxic Masculinity’ คืออะไร?

‘Toxic Masculinity’ หรือ ‘ภาวะความเป็นชายที่เป็นพิษ’ หมายถึง พฤติกรรมหรือความเชื่อใดๆ เกี่ยวกับความเป็นชายที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสังคมหรือแม้กระทั่งตัวผู้ชายเอง เช่น ‘ผู้ชายไม่ร้องไห้’ เป็นความเชื่อที่ทำให้ผู้ชายเกิดการเก็บกดทางอารมณ์และไม่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์อย่างเหมาะสม

คำว่า Toxic Masculinity ไม่ได้หมายความว่า ‘เพศชาย’ เป็นสิ่งที่ท็อกซิกหรือเป็นพิษ เพียงแต่หมายถึง ‘แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นชาย’ บางอย่างเป็นสิ่งที่ท็อกซิกและก่อให้เกิดปัญหาในสังคม เช่น การสนับสนุนความรุนแรง หรือพฤติกรรมกดขี่เพศอื่น

ส่วนใหญ่แล้วแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นชายที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษมักเกิดมาจากความเชื่อที่มีมานานแล้ว ซึ่งในทางวิชาการเรียกว่า ‘อุดมการณ์ความเป็นชายตามขนบ’ (Traditional Masculinity Ideology) โดย Toxic Masculinity จะอ้างถึงอุดมการณ์ความเป็นชายตามขนบใน 3 ประเด็นหลักๆ ได้แก่

  1. ความแข็งแกร่ง (Toughness) – ผู้ชายควรที่จะมีความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น มีร่างกายที่บึกบึน ไม่แสดงความอ่อนแอ
  2. การเป็นขั้วตรงข้ามกับผู้หญิง (Antifeminity) – ผู้ชายไม่ควรปฏิบัติในสิ่งที่ถือว่าเป็นพฤติกรรมของผู้หญิง เช่น เล่นตุ๊กตา แต่งหน้า แสดงความอ่อนโยน
  3. การมีอำนาจ (Power/Status) – ผู้ชายควรใฝ่หาความสำเร็จ มีตำแหน่งใหญ่โต และได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น

ต้นตอและผลกระทบของ Toxic Masculinity

กลุ่มผู้ชายที่ยึดติดกับ ‘อุดมการณ์ความเป็นชายตามขนบ’ และไม่ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น มักเกิดจากการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะในเรื่องบทบาททางเพศ เช่น ผู้ชายเป็นเพศที่แข็งแกร่ง เป็นเสาหลัก ส่วนผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอและต้องพึ่งพาผู้ชาย เป็นต้น

ความคิดเช่นนี้ทำให้เด็กมองว่าเพศชายมีศักดิ์ศรีและอำนาจเหนือกว่าเพศหญิง นำไปสู่การเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมในอนาคต

แนวคิดความเป็นชายตามขนบมุ่งเน้นความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ พึ่งพาตัวเอง ทำให้เด็กไม่มีความรู้เท่าทันทางอารมณ์ กล่าวคือ เด็กไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเอง ไม่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์ที่เหมาะสม เมื่อโตขึ้นบางคนมีความยากลำบากในการระบุและอธิบายอารมณ์ของตัวเอง เรียกว่า ‘Alexithymia’ หรือ ‘ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์’

เมื่อเด็กไม่รู้ว่าจะแสดงออกและจัดการอารมณ์อย่างไร จึงใช้ ‘ความรุนแรง’ หรือ ‘ความก้าวร้าว’ ในการระบายความคับข้องใจและความเครียด ซ้ำไปกว่านั้นในสังคมชายเป็นใหญ่ยังสนับสนุนว่าพฤติกรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ทำให้เด็กคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องและนำไปใช้ต่อไปเมื่อโตขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป ความรุนแรงในผู้ชายจะมีฟังก์ชันเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ใช้แสดงอำนาจเหนือผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อความเป็นชายถูกคุกคาม พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าอ่อนแอและไม่มีอำนาจ ความรุนแรงจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อยืนยันอำนาจของตัวเอง เช่น ถูกผู้หญิงปฏิเสธ แพ้การแข่งขัน แฟนไม่ยอมทำตามคำสั่ง ฯลฯ

นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปที่การเลี้ยงดู ครอบครัวที่ยึดติดกับอุดมการณ์ความเป็นชายตามขนบก็อาจขาดการแสดงความรักความใส่ใจเท่าที่ควรเพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่อ่อนแอ ทำให้เด็กรู้สึกไม่ได้รับความรักและถูกปฏิเสธ เด็กจึงพัฒนารูปแบบการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่เรียกว่า ‘ความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง’ (Avoidance Attachment)

John Bowlby บิดาแห่งทฤษฎีความผูกพัน กล่าวว่า ความผูกพันเป็นความเชื่อมโยงทางจิตวิทยาระหว่างมนุษย์ที่คงอยู่ได้ยาวนาน กล่าวคือ เมื่อบุคคลพัฒนาความผูกพันรูปแบบหนึ่งกับครอบครัวในวัยเด็กแล้ว บุคคลนั้นจะนำความผูกพันรูปแบบนั้นไปใช้กับบริบทอื่นๆ ในวัยผู้ใหญ่ด้วย

ผู้ใหญ่ที่มีความผูกพันแบบหลีกเลี่ยงจะประสบกับความยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์แบบลึกซึ้ง เนื่องจากขาดการใส่ใจในเรื่องของอารมณ์ ไม่อยากแบ่งปันความคิดความรู้สึกให้คนอื่นได้รับรู้ เกิดความผูกพันทางอารมณ์กับผู้อื่นได้ยาก และในบางครั้งก็ไม่อยากผูกมัดกับใคร

จากงานวิจัยในวารสาร Personal Relationships ปี 2004 พบว่า ผู้ใหญ่ที่มีความผูกพันแบบหลีกเลี่ยงมีแนวโน้มที่จะยอมรับการมีเพศสัมพันธ์แบบชั่วคราว (Casual Sex) เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ต้องการสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับอีกฝ่าย แต่ทำเพื่อเหตุผลภายนอกอื่นๆ เช่น ยกระดับตนเอง หรือทำให้คนในกลุ่มชื่นชม

จากทัศนคติเช่นนี้อาจอนุมานได้ว่า ผู้ชายที่ยึดติดกับอุดมการณ์ความเป็นชายตามขนบมีแนวโน้มที่จะมองคู่นอนซึ่งเป็นผู้หญิง เป็นเพียง ‘วัตถุทางเพศ’ (Sex Object) เนื่องจากผู้หญิงถูกลดทอนคุณค่าให้เหลือเพียงสิ่งที่ใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความเป็นชาย

เมื่อการมีเพศสัมพันธ์คือการยกระดับตนเองและเสริมสร้างความแข็งแกร่งดั่งชายชาตรี ทำให้ผู้ชายที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มามากย่อมรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ผ่านการพิสูจน์ความแข็งแกร่งมาแล้วหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้อุดมการณ์ความเป็นชายตามขนบจึงมองว่า ผู้ชายเจ้าชู้ มีบ้านเล็กบ้านน้อย เป็นเรื่องปกติ

แนวทางการแก้ไข Toxic Masculinity

เมื่อเราทราบว่าต้นตอของภาวะความเป็นชายที่เป็นพิษเริ่มมาจากการเลี้ยงดู พ่อแม่ควรปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกให้ส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์และการแสดงออกอย่างเหมาะสม เช่น ไม่เอาแต่พูดว่า ‘ต้องเข้มแข็ง’ เมื่อลูกร้องไห้ แต่ให้สอนลูกทำความเข้าใจว่าอารมณ์นี้คืออะไร และจะจัดการได้อย่างไร

อีกทั้งควรสร้างสมดุลระหว่าง ‘ความเป็นอิสระ’ กับ ‘การเชื่อมความสัมพันธ์’ ครอบครัวที่ยึดติดกับแนวคิดความเป็นชายตามขนบจะปลูกฝังให้เด็กผู้ชายเป็นผู้นำ เป็นเสาหลัก พึ่งพาตัวเอง โดยที่ละเลยการสร้างสายสัมพันธ์ของครอบครัว ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้วิธีการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น นำไปสู่การพัฒนารูปแบบความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง แทนที่จะเป็นความผูกพันแบบมั่นคง

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำได้ในเด็กและผู้ใหญ่คือการปรับเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเพศ เราควรเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเพศมีการแบ่งเป็น ‘เพศกำเนิด/เพศสรีระ’ (Sex) กับ ‘เพศภาวะ/เพศสภาพ’ (Gender) กล่าวคือ เพศกำเนิดหมายถึงลักษณะปรากฏทางชีววิทยาของร่างกายตอนเกิด ส่วนเพศภาวะหมายถึงชุดความคิดของสังคมหรือวัฒนธรรมที่กำหนดว่าเพศหนึ่งๆ ควรมีลักษณะอย่างไรและปฏิบัติตัวอย่างไร

หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเพศกำเนิดเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเพศหนึ่งๆ ต้องปฏิบัติอย่างไร เช่น เกิดมาเป็นผู้ชายก็ต้องเป็นผู้นำ ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น เพศภาวะต่างหากที่กำหนด เพราะเพศภาวะเป็นชุดความคิดที่สังคมประกอบสร้างขึ้นมาโดยนำไปผูกโยงกับเพศกำเนิด

เมื่อบุคคลหนึ่งเกิดมา เพศกำเนิดของบุคคลนั้นมิได้กำหนดว่าบุคคลนั้นต้องปฏิบัติตัวอย่างไร แต่สังคมต่างหากที่กำหนดว่าบุคคลที่เกิดมาในเพศนั้นควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

แล้วการสร้างชุดความคิดขึ้นมามีผลกับเราอย่างไร? 

มิเชล ฟูโกต์ นักคิดนักทฤษฎีสังคมยุคโพสต์โมเดิร์น เสนอว่า ในสังคมสมัยใหม่อำนาจไม่ได้ผูกโยงกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อำนาจเกิดมาจาก ‘ความรู้’ ที่เรายอมรับว่าเป็น ‘ความจริง’ เพราะความรู้นี้ก่อให้เกิด ‘อำนาจชีวะ’ (Biopower) อำนาจที่ควบคุมร่างกายและจิตใจของมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่ได้รู้สึกว่าถูกสั่งจากใคร

พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อมนุษย์ได้รับความรู้ใดแล้วเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มนุษย์จะควบคุมร่างกายของตัวเองให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความรู้นั้น เช่น เมื่อมนุษย์รู้ว่าการกินอาหารคลีนดีต่อสุขภาพ มนุษย์ก็จะควบคุมตัวเองให้กินอาหารคลีน ซึ่งในกรณีของเรื่องเพศก็ไม่ต่างกัน 

เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องเพศจากสังคมเข้าไปโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวและเชื่อว่าสิ่งนั้นคือความจริง เราจะควบคุมร่างกายและจิตใจของตัวเองให้ปฏิบัติตามความรู้นั้น เช่น เมื่อเด็กผู้ชายถูกสอนว่าคุณสมบัติของเพศชายคือความเข้มแข็ง เด็กคนนั้นก็จะควบคุมพฤติกรรมตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอ

ฟูโกต์ยังเสนอต่อว่า อำนาจชีวะจะมีการตอกย้ำความสัมพันธ์แบบคู่ตรงข้ามระหว่าง ‘ความปกติ’ กับ ‘ความผิดปกติ’ กล่าวคือ เมื่อความรู้ได้ถูกสร้างและเข้าไปควบคุมชีวิตของคนจำนวนมากแล้ว ความรู้นั้นจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ สิ่งที่เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานนี้คือความผิดปกติ ดังนั้นสังคมจึงต้องช่วยกันสอดส่องดูแลและกำจัดพฤติกรรมที่ผิดปกติ

เมื่อนำมาจับกับเรื่องเพศ ในสังคมชายเป็นใหญ่ก็มีการธำรงไว้ซึ่งความเป็นชายตามขนบผ่านการกำจัดพฤติกรรมที่ผิดแผก พูดง่ายๆ คือ พยายามกำจัดความไม่แมน หรือผู้ชายที่ไม่แมนออกจากสังคม เช่น บอกให้ผู้ชายร้องไห้เข้มแข็ง หรือใช้คำตีตราผู้ชายที่ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานว่า ‘ติ๋ม’ ‘ตุ๊ด’ ‘แต๋ว’ ฯลฯ

จากทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า ‘ความรู้’ เป็นสิ่งที่มีอำนาจ เราจึงควรทำความเข้าใจว่าสังคมตามขนบปลูกฝังเรื่องเพศมาอย่างไร เพื่อจะได้แก้ไขความรู้ให้เหมาะสมกับสังคมสมัยใหม่ อีกทั้งยังเป็นการลดพฤติกรรมที่ตัดสินว่าสิ่งใดปกติหรือผิดปกติ

ในขั้นต้นอาจเริ่มจากการยกเลิกความคิดแบบสองขั้ว (ทวิลักษณ์) เช่น ชายควรทำแบบหนึ่ง หญิงควรทำแบบหนึ่ง แต่ควรสอนว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีเรื่องเพศมาเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะนำไปสู่การเคารพผู้อื่นที่ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่เคารพเพราะว่าเขาเป็นเพศอะไร

การเปลี่ยนแปลงเรื่องเพศและความคาดหวังทางสังคมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากเราเริ่มตั้งคำถามกับ ‘ความจริง’ ที่เราเชื่อ และตั้งใจสร้างความรู้ใหม่ที่เอื้อให้ทุกคนเติบโตได้ในแบบของตัวเอง สังคมในวันหน้าก็จะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครต้องถูกบีบบังคับให้เป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป

อ้างอิง

กนกพิชญ์ อุ่นคง. (2024). ‘ชายแทร่’ Toxic masculinity เริ่มต้นที่บ้าน โรงเรียน หรืออื่นใด?: คุยกับ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน.

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2019). Attachment style – รูปแบบความผูกพัน.

จารุณี วงศ์ละคร. (2561). อำนาจชีวะในทัศนะของมิเชล ฟูโกต์. วารสารปณิธาน, 14(1), 135–162.

นิลุบล สุขวณิช. (2022). รับมือกับ Toxic Masculinity แนวคิดที่ไม่อนุญาตให้ผู้ชายเจ็บได้ร้องไห้เป็น.

สุชาดา ทวีสิทธิ์. (2562). ผู้หญิง ผู้ชาย และเพศวิถี: เพศภาวะศึกษาในงานมานุษยวิทยา. วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 19(1), 311–357.

American Psychological Association. (2018). APA guidelines for psychological practice with boys and men.

American Psychological Association. (2023). How to prevent harmful masculinity and violence.

Amy Morin. (2024). What Is Toxic Masculinity?

Fitzpatrick, B. (2016). Men in Groups: Attachment and Masculinity [Doctoral dissertation, Pacifica Graduate Institute].

iStrong team. (2025). เข้าใจ Toxic Masculinity ตัดวงจรทัศนคติที่พ่อแม่อาจส่งต่อถึงลูกๆ โดยไม่รู้ตัว.

Kendra Cherry. (2023). 4 Types of Attachment Styles.

Kristeen Cherney. (2024). Alexithymia: Difficulty Recognizing and Feeling Emotions.

Saldubehere, A. (2019). The Relationships Between Traditional Masculinity Ideology, Alexithymia, and Attachment among Male Millennials in the United States [Doctoral dissertation, Alliant International University].

Schachner, D.A., & Shaver P.R. (2004). Attachment dimensions and sexual motives. Personal Relationships, 11(2), 179–195.

Thompson, E.H., & Pleck, J.H. (1986). The Structure of Male Role Norms. American Behavioral Scientist, 29(5), 531–543.

Tags:

ชายเป็นใหญ่การเลี้ยงดูToxic masculinity'ชายแทร่' หรือ 'ชายแท้'เพศความรุนแรงในครอบครัว

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    ‘ชายแทร่’ Toxic masculinity เริ่มต้นที่บ้าน โรงเรียน หรืออื่นใด?: คุยกับ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ปลดกุญแจมือแล้วกอดเขา จนกว่าคนสีเทานั้นจะอ่อนแอลง: มองมุมกว้างเมื่อเด็กก้าวพลาด กับ ‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร 

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social Issues
    What When Where “Y” การเดินทางของซีรีส์วาย

    เรื่อง The Potential ภาพ รัตน์ชนก วงษ์สมบัติ

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก
Book
3 May 2025

ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ระลอกคลื่นยามค่ำคืน เขียนโดย คิซาระ อิซึมิ (นามปากการ่วมของนักเขียน 2 คน)  แปลเป็นภาษาไทยโดย ฤทัยวรรษ เกษสกุล เล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครที่ต้องเผชิญความเศร้า ความว่างเปล่า และการเรียนรู้ที่จะอยู่ต่อไปแม้ส่วนหนึ่งของชีวิตถูกพรากไป
  • คนที่สูญเสียคนที่รักไป อาจจะเป็นคนที่ต้องเผชิญหน้ากับความเศร้าที่รุนแรงที่สุด เพราะการที่เรารักใครสักคนหนึ่ง นั่นหมายถึงว่า ใครคนนั้น คือส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิต ดังนั้น การที่ใครคนนั้นตายจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ก็เท่ากับว่า ส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ถูกกระชากฉีกขาดออกไปตลอดกาลด้วย
  • ถึงอย่างไร คนที่ยังอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป แม้ว่าบางครั้งอาจเจ็บปวดเหมือนถูกรองเท้ากัด แต่มันก็คือชีวิตที่เราจะต้องใช้มันต่อไป

ความเศร้า คืออารมณ์พื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์ ที่มักเกิดขึ้นจากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ความผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวัง (เช่น การเรียนล้มเหลว ความรักพังทลาย) ความเหงาโดดเดี่ยว ขาดคนเคียงข้างที่เข้าใจ ความเสียใจจากสิ่งผิดพลาดที่ทำลงไป หรือเสียใจจากบางสิ่งที่ไม่ได้ทำลงไป

แต่ความเศร้าที่น่าจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและรุนแรงอย่างยิ่ง คือความเศร้าจากการพลัดพรากจากคนที่เรารัก หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง และสิ่งของที่เรารัก

ขณะที่ในทางพุทธศาสนา ให้นิยามของความเศร้า หรือ ‘โศกะ’ ว่า คือ อารมณ์โศก เสียใจ เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่สมหวัง หรือกระทั่งสูญเสียสิ่งที่รักไป

นอกจากนี้ ความเศร้า ยังเป็นผลมาจากตัณหา หรืออุปาทาน (ความยึดติด) และถือเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องพบเจอ

แน่นอนว่า ความเศร้า เป็นธรรมชาติของอารมณ์ที่คนทุกคนต้องพบเจอ และก็เช่นกัน การพลัดพรากหรือสูญเสียคนที่เรารัก ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ ตราบเท่าที่คนทุกคนเกิดมาต้องพบกับจุดจบของชีวิต ที่เรียกกันว่า ความตาย

นั่นหมายความว่า ในช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่ง (ที่อายุไขยืนยาวตามธรรมชาติ) มีโอกาสจะพบเจอความเศร้าจากการสูญเสียคนที่เรารักอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง

บางครั้ง ผมอดคิดไม่ได้ว่า คนที่สูญเสียคนที่เขารักไป อาจจะเป็นคนที่ต้องเผชิญหน้ากับความเศร้าที่รุนแรงที่สุด เพราะการที่เรารักใครสักคนหนึ่ง นั่นหมายถึงว่า ใครคนนั้น คือส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิต ดังนั้น การที่ใครคนนั้นตายจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ก็เท่ากับว่า ส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ถูกกระชากฉีกขาดออกไปตลอดกาลด้วย

แล้วคนที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากสูญเสียคนที่รักที่สุด เขาหรือเธอ จัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอย่างไร

หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเพิ่งอ่านจบ ชื่อเรื่องงดงามราวกับบทกวีว่า ‘ระลอกคลื่นยามค่ำคืน’ เขียนโดยนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ใช้นามปากการ่วมกันว่า คิซาระ อิซึมิ แปลเป็นภาษาไทยโดย ฤทัยวรรษ เกษสกุล บอกเล่าเรื่องราวของคนหลายคน ที่ต้องจัดการกับอารมณ์ความรู้สึก และที่สำคัญ ต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป หลังจากพวกเขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

โองุนิ นาสึมิ หญิงสาวสุดเท่ ผู้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตอนที่เธออายุเพียง 43 ปี เธอบอกกับทุกคนก่อนจะจากไปว่า เธอใช้ชีวิตมาครบถ้วนอย่างที่ควรจะใช้แล้ว ถึงขนาดว่า เคยพูดเล่นกับทาคาโกะ ผู้เป็นพี่สาวว่า “ฉันน่ะใช้ชีวิตคุ้มค่ากว่าคนอื่นตั้งห้าเท่า”

นาสึมิ เติบโตมาในครอบครัวที่มีพี่น้องสามคน ทาคาโกะ เป็นพี่สาวคนโต นาสึมิ เป็นคนที่สอง และสึคิมิ น้องสาวคนเล็ก ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน นาสึมิ คือ เด็กที่ดื้อที่สุด เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และมักจะพูดจาเสียงแข็งกับพ่อแม่บ่อยๆ แต่ถึงกระนั้น เธอคือลูกสาวที่แม่เป็นห่วงมากที่สุด ถึงขนาดว่า ตอนที่แม่ล้มป่วยหนัก ได้แอบเอาแหวนเพชรวงหนึ่งฝากให้กับป้าเอมิโกะ แอบส่งต่อให้นาสึมิ เพื่อเป็นเงินทุนเลี้ยงตัวในวันที่แม่ตายจากไป

“ไม่เอาหรอกค่ะ หนูจะรับมาคนเดียวได้ยังไง” นาสึมิ บอกกับป้าเอมิโกะ ก่อนจะขว้างแหวนวงนั้นเข้าไปในสวนนอกบ้าน ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืน

สุดท้าย ป้ากับหลานก็ต้องช่วยกันหาแหวนเพชรวงนั้นจนเจอ ก่อนที่นาสึมิจะยอมเก็บแหวนวงนั้นไว้

ถึงวันที่นาสึมิล้มป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล เธอกลัวว่า หากเธอต้องตายจากไป แล้วพี่สาวหรือน้องสาวมาพบเจอเพชรที่แม่ให้กับเธอ ทั้งคู่อาจรู้สึกน้อยใจว่า ทำไมแม่ถึงลำเอียงให้ของมีค่าแบบนี้กับนาสึมิเพียงคนเดียว เธอจึงขอให้ป้าเอมิโกะ วาดรูปดวงตาบนเสาไม้ที่อยู่กลางบ้าน แล้วเอาเพชรเม็ดนั้นไปฝังลงไปใจกลางดวงตา โดยนาสึมิบอกกับป้าว่า เพชรในรูปดวงตานั้น จะเป็นเหมือนหน้าต่างเชื่อมโลกนี้กับโลกวิญญาณ

“เมื่อหนูตายไปแล้วจะได้มองมาจากตรงนั้นได้ไงคะ ว่าใครทำอะไรอยู่ในครัว”

ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ ผมคิด นั่นคือความรู้สึกของคนทุกคนที่ใกล้จะจากโลกนี้ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ว่า แล้วคนที่ยังอยู่จะใช้ชีวิตอย่างไร ในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิต ถูกกระชากขาดไปโดยไม่มีวันหวนคืน

ฮิเดโอะ คือ สามีของนาสึมิ เขามีนิสัยคล้ายนาสึมิ ตรงที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ใช้ชีวิตแบบหัวหกก้นขวิดมาโดยตลอด จนกระทั่งมาพบกับนาสึมิ ความรู้สึกอยากใช้ชีวิตโลดโผนจึงหายไป สำหรับฮิเดโอะ นาสึมิ คือ รังที่เขาอยากจะกลับไปนอนพัก หรือแม้กระทั่งนอนตายที่นั่น

วันที่นาสึมิ ป่วยหนัก เธอตัดสินใจย้ายจากโตเกียวกลับไปใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายที่บ้านเกิด ฮิเดโอะ ตามมาด้วย เขาปรับตัวเข้ากับเมืองที่ไม่รู้จักได้อย่างง่ายดาย จนนาสึมิแซวเล่นว่า เขาเหมือนกับต้นไม้ที่สามารถขึ้นได้ทุกที่ ขณะที่เจ้าตัวพูดยิ้มๆ ว่า อาจเพราะเขาเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมาก

วันที่ลมหายสุดท้ายของนาสึมิหมดลงที่โรงพยาบาล ฮิเดโอะรู้สึกเหมือนคนหลงทางโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่มีน้ำตาสักหยด มีเพียงความสับสนและว่างเปล่า

จนกระทั่งตอนที่ทาคาโกะบอกให้เขาช่วยหารูปนาสึมิ เพื่อใช้ในงานศพ เขาเปิดค้นหาในโทรศัพท์มือถือ เจอคลิปวีดิโอที่ถ่ายไว้ในช่วงวันแรกๆ ที่นาสึมิเข้าโรงพยาบาล ในคลิปนั้น นาสึมิยิ้มร่าเริง พูดกับฮิเดโอะซึ่งเป็นคนถ่ายว่า

“คุณน่ะเป็นต้นไม้ ถ้าเบื่อเมื่อไรก็ถอนตัวออกไปได้เลยนะ แล้วไปลงหลักปักฐานอยู่ในที่ที่คุณสบายใจ จงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปนะ”

พลันเมื่อภาพในวีดิโอหยุดลง น้ำตาจึงไหลรินจากตาของฮิเดโอะ

อ่านถึงตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงวัยเด็กประถม วันที่ย่าของผมจากไปกะทันหันโดยที่ไม่มีใครคาดคิด วันนั้นผมคงรู้สึกคล้ายๆ กับฮิเดโอะ เหมือนคนหลงทางโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่มีน้ำตาสักหยด มีเพียงความสับสนและว่างเปล่า

จนหลายวันผ่านไป เมื่อนอนคนเดียวโดยไม่มีย่านอนอยู่ใกล้ ผมจึงนึกได้ว่า ย่าได้จากไปแล้วจริงๆ และตอนนั้นเอง น้ำตาจึงไหลรินออกมา

‘โอม วัชระ ธรรมะ ฮรี’ เป็นบทสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิม ความหมายของบทสวดนี้คือ ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงมีความสุข และบทสวดนี้ คือ สิ่งแรกที่สึคิมิ น้องสาวคนเล็กของบ้าน นึกถึงในวันที่นาสึมิ พี่สาวคนรอง จากโลกนี้ไป

“สวดมนต์บทนี้แล้ว แม้แต่คนที่ฉันเกลียดก็พลอยมีความสุขไปด้วยเหรอเนี่ย โหย ขาดทุนตายชัก” สึคิมิ จำได้ว่า นาสึมิ เคยพูดกับเธอแบบนี้ ซึ่งเธอก็เห็นด้วย แถมคิดต่ออีกว่า ไม่ใช่แค่คนที่ตัวเองเกลียดเท่านั้นนะ คนที่เกลียดตัวเรา ก็ยังพลอยมีความสุขไปด้วย แบบนี้รับไม่ได้เลย

แต่เมื่อทั้งคู่กลายเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยน และนาสึมิเป็นคนที่แนะให้น้องสาวสวดมนต์บทนี้ เวลาที่มีปัญหากับแม่สามี โดยพูดง่ายๆ แค่ว่า สวดไปเถอะ เดี๋ยวก็จะรู้เองว่า ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ

วันที่นาสึมิ อาการทรุดหนักด้วยโรคมะเร็ง นาสึมินึกถึงบทสวดนี้ เธอสวดมนต์บทนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส ด้วยหวังจะให้พี่สาวอาการดีขึ้น เธอไม่สนใจหรอกว่า คนที่เธอเกลียด หรือคนที่เกลียดเธอ จะพลอยมีความสุขไปด้วย

แต่สุดท้าย เมื่อหมอบอกให้ทุกคนทำใจ สึคิมินึกขึ้นได้ว่า สวดไปก็ไร้ค่า ถึงอย่างไรพี่สาวก็ต้องตาย และตัวเธอเองก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยปัญหา ทั้งกับสามีและแม่สามีต่อไป

เช้ามืด หลังคืนที่นาสึมิหมดลมหายใจ สึคิมิเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล ท่ามกลางความเงียบงันและมืดมิด เธอเห็นภาพตัวเองกับพี่สาวนั่งจิบชาด้วยกัน แล้วนาสึมิก็พูดกับเธอว่า

“สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงน่ะ หมายรวมถึงตัวเองด้วยจ้ะ”

ในตอนนั้นเอง สึคิมิ จึงนึกได้ว่า พี่สาวก็คงต้องการให้เธอใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีงาม ส่งต่อความรู้สึกดีๆให้แก่คนอื่นๆและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งก็มีตัวเราอยู่ในนั้นด้วย

เซย์จิ คือรักแรกในวัยมัธยมของนาสึมิ ทั้งคู่เคยนัดแนะจะหนีออกจากบ้านไปด้วยกัน แต่สุดท้าย นาสึมิก็เบี้ยวนัดหน้าตาเฉย โดยอ้างว่าติดงานที่บ้านปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย

หลังจากนั้น เส้นทางชีวิตของทั้งคู่ก็แยกไปคนละทาง นาสึมิไปใช้ชีวิตในโตเกียว ขณะที่เซย์จิรับช่วงกิจการร้านตัดผมของที่บ้าน แต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น เซย์จิแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาสึมิไปจนหมด

ทว่า เมื่อได้รู้ข่าวว่านาสึมิจากไปแล้ว ความทรงจำในอดีตค่อยๆ ผุดขึ้น พร้อมกับความคิดที่ว่า คนที่อยู่ในความทรงจำนั้น ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ตอนนั้นเองที่เซย์จิ ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่จนเจ้าตัวเองก็ยังตกใจ

เซย์จินึกถึงตอนที่นาสึมิเล่าให้ฟังว่า เธอไม่ได้เสียน้ำตาเลยสักหยดในวันที่แม่เธอเสียชีวิต อีกทั้งยังบอกว่า คงเพราะตัวเองเป็นคนเย็นชาล่ะมั้ง

“ไม่ใช่อย่างนั้น เวลาที่เราสูญเสียคนสำคัญไปจริงๆ มันร้องไห้ไม่ออกต่างหากล่ะ” เซย์จิ แก้ต่างให้

“งั้นจะร้องไห้ตอนไหนล่ะ”

“ก็คงร้องหลังจากเวลาผ่านไปแล้ว เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นคนสำคัญละมั้ง”

เซย์จิเองก็เช่นกัน เขาเพิ่งมารู้ว่านาสึมิเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิต ก็เมื่อวันที่เธอจากโลกนี้ไปแล้ว

ค่ำวันนั้น หลังจากงานศพ เซย์จิเดินกลับบ้านพร้อมอาการรองเท้ากัด เพราะต้องใส่รองเท้าหนังแบบสุภาพคู่ที่ไม่ค่อยได้ใส่ ยิ่งเดินก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะถอดใจ

ในตอนนั้นเอง เซย์จิเหมือนได้ยินเสียงของนาสึมิพูดขึ้นมา ซ้อนกับเสียงรำพึงของตัวเองในวันที่นาสึมิไม่มาตามนัด

“ยังไงซะก็ต้องไปต่อสินะ ชีวิตคนเราเนี่ย”

แม้ว่า ‘ระลอกคลื่นยามค่ำคืน’ จะไม่ใช่วรรณกรรมเชิงปรัชญาที่ว่าด้วยความตายของมนุษย์ แต่หลังจากปิดหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ลง สิ่งที่ค้างคาอยู่ในหัวของผม กลับมีแต่คำถามเรื่องความตาย และการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปของคนที่ถูกความตายพรากคนรักจากไป รวมไปถึงคำถามแปลกๆ ข้อหนึ่งที่ว่า 

ความเศร้าจากการที่คนรักตายจากไป กับความเศร้าจากการที่คนรักเดินจากไป และไม่มีวันหวนกลับมา มันเท่ากันหรือต่างกันอย่างไร

และยังมีคำถามแปลกๆ อีกข้อว่า การที่คนสำคัญในชีวิตของเราตายจากไป กับการที่คนๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ไปอยู่ในที่ไกลแสนไกลและไม่มีวันได้พบเจอกันอีก มันเหมือนกันหรือต่างกันแค่ไหน

คำถามเหล่านี้ ไม่มีคำตอบหรอกครับ และอาจไม่มีวันหาคำตอบพบด้วย เช่นเดียวกัน คำถามที่ผมเปิดไว้ในชื่อบทความว่า อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก ก็อาจจะไม่มีหาคำตอบ เพราะเป็นเรื่องของแต่ละปัจเจกบุคคลที่จะต้องหาวิธีจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นาสึมิ พยายามตอกย้ำกับเราหลายๆ ครั้ง ในการพบเจอกับตัวละครหลายๆ ตัว ก็คือ ประโยคที่ว่า ถึงอย่างไร คนที่ยังอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป แม้ว่าบางครั้งอาจเจ็บปวดเหมือนถูกรองเท้ากัด แต่มันก็คือชีวิตที่เราจะต้องใช้มันต่อไป

และที่สำคัญ “ทำชีวิตให้ดีๆ นะ” ซึ่งเป็นประโยคที่นาสึมิพูดกับเพื่อนคนหนึ่ง และอย่าลืม “ใช้ชีวิตให้มีความสุข” เหมือนเช่นความหมายในบทสวดที่ว่า ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงมีความสุข เพราะเราเองก็คือหนึ่งในสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นด้วย

Tags:

หนังสือชีวิตการสูญเสียความเศร้า

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel