Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: May 2025

Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
Movie
31 May 2025

Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Eighth Grade คือภาพยนตร์อเมริกันแนว Coming Of Age ในปี 2018 ที่ถ่ายทอดช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์สุดท้ายของ ‘เคย์ลา’ เด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งในชั้นเกรด 8 (มัธยมต้น) ก่อนจะก้าวสู่มัธยมปลาย 
  • ภาพยนตร์สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นได้อย่างละเมียดละไม ผ่านชีวิตของเคย์ลาที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักในการปรับตัวเข้ากับสังคม
  • แม้เด็กจะแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนหรือคนรอบตัว แต่ลึกๆ แล้วการยอมรับจากพ่อแม่คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของการเห็นคุณค่าในตัวเอง

สำหรับวัยรุ่นตอนต้น การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจนั้นแจ่มชัดพอที่จะทำให้ ‘ภาพลักษณ์’ กลายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต เด็กในวัยนี้เริ่มหันมากับความคิดเห็นและปฏิกิริยาของผู้อื่น และมักคิดว่าโลกทั้งใบกำลังเฝ้าดูพวกเขาอยู่ตลอดเวลา จึงไม่แน่แปลกใจที่เคย์ลา เด็กสาวเกรด 8 จากภาพยนตร์เรื่อง Eighth Grade จะต้องเผชิญกับปัญหาการปรับตัวเข้าสังคม

ภาพยนตร์เล่าถึงชีวิตในรั้วโรงเรียนของเคย์ลา สาวน้อยขี้อายที่โดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนสนิท จนถูกเพื่อนในรุ่นโหวตให้คว้าตำแหน่ง ‘คนที่เงียบที่สุดในรุ่น’ อย่างไม่เต็มใจ เธอพยายามค้นหาตัวเอง และคิดว่าการเป็น Somebody จะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากความรู้สึกที่เป็นอยู่ แม้สิ่งที่พยายามแสดงออกจะขัดแย้งกับความรู้สึกที่แท้จริงก็ตาม

ความน่าสนใจคือ ภาพยนตร์แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ ‘โซเชียลมีเดีย’ ที่กลายเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างภาพลักษณ์ที่เราอยากให้คนอื่นจดจำ แม้มันจะไม่ได้สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของผู้โพสต์

ในหลายๆ ฉาก ผมสัมผัสได้ถึงความย้อนแย้งของเคย์ลาที่พยายามปิดบังจุดอ่อนของตัวเอง ผ่านการโพสต์คลิปวิดีโอราวกับตนเป็นไลฟ์โค้ช เช่น การสอนคนอื่นเกี่ยวกับการเป็นตัวของตัวเองอย่างมั่นใจ…ทั้งที่ในชีวิตจริงตัวเธอเองหวั่นไหวเสียงวิจารณ์กว่าใคร หรือคลิปที่เธอพูดถึงข้อดีของการเข้าสังคม…แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์จริงในงานปาร์ตี้ เธอกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนและวิตกกังวลตลอดเวลาจนต้องโทรเรียกพ่อมารับกลับบ้าน 

ไม่เพียงเท่านั้น เวลาอยู่บ้าน เคย์ลามักเลือกจมอยู่กับโลกออนไลน์มากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อของเธอ โดยเฉพาะฉากที่ทั้งคู่ร่วมโต๊ะกินข้าว พ่อพยายามเริ่มบทสนทนาด้วยความห่วงใย แต่เคย์ลากลับจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์โดยไม่แม้แต่จะสบตา หรือหากคุยกันเธอก็จะเป็นคนประเภทถามคำตอบคำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด (ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการที่เธอส่องโซเชียลของเพื่อนเพื่อเปรียบเทียบกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา)

แม้ภาพยนตร์จะไม่ได้เปิดเผยถึงสาเหตุของความขี้อายและความวิตกกังวลโดยตรง แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเคย์ลาน่าจะเป็นคนที่มี Self-Esteem ต่ำ เธอมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับ แม้ต้องแลกมาด้วยการฝืนความรู้สึก เช่น การพยายามไปตีสนิทกับดาวประจำรุ่นที่มักทำตัวไม่น่ารักหรือเชิดใส่เธอ โดยเคย์ลาอาจหวังเพียงว่าการได้เป็นเพื่อนกับสาวป๊อบจะช่วยให้เธอได้รับเศษเสี้ยวของแสงสว่างมายกระดับภาพลักษณ์ของตัวเองให้พิเศษขึ้นในสายตาของคนรอบข้าง

หรือตอนที่เคย์ลารู้ว่าหนุ่มฮอตที่เธอชอบมีรสนิยมชอบดูภาพเปลือยของสาวๆ เธอถึงกับไปบอกหนุ่มคนนั้นว่าเธอเองก็มีรูปแบบนั้นเยอะแยะไปหมดในโทรศัพท์ เพราะหากได้หนุ่มคนนี้เป็นแฟน ทุกคนในโรงเรียนคงหันมามองเธอด้วยความอิจฉา 

ถึงอย่างนั้น จุดที่น่าเจ็บปวดแทนเคย์ลามากที่สุด คือฉากที่เธอเกือบโดนรุ่นพี่ม.ปลายล่วงละเมิดบนรถ แม้เธอจะรอดพ้นจากเหตุการณ์นั้น แต่กลับกลายเป็นเธอที่เอ่ยปากขอโทษรุ่นพี่คนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับขอร้องไม่ให้รุ่นพี่เล่าเรื่องดังกล่าวให้คนอื่นฟัง ซึ่งในมุมมองของคนทั่วไป สิ่งนี้อาจดูไม่สมเหตุสมผล แต่หากมองผ่านเลนส์ของคนที่มี Self-Esteem ต่ำ เคย์ลาน่าจะจมอยู่กับความกลัวว่าคนอื่นจะมองตัวเองไม่ดี เพราะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอมาตลอดชีวิต เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้น กลไกการโทษตัวเองของเธอก็จะตอบสนองโดยอัตโนมัติว่า “ฉันเป็นสาเหตุของปัญหา” ส่งผลให้เธอยอมจำนนต่อการคุกคาม กลั่นแกล้งรังแก หรือการเอารัดเอาเปรียบในรูปแบบต่างๆ โดยไม่กล้าลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเอง   

อย่างไรก็ดี ผู้กำกับไม่ได้ปล่อยให้นางเอกต้องเผชิญกับโลกนี้เพียงลำพัง ในตอนท้ายเรื่อง เคย์ลาได้คลี่คลายปมภายในใจตัวเอง ผ่านการเปิดใจคุยกับพ่อว่าถ้าเธอมีลูกแบบตัวเอง เธอคงเป็นแม่ที่เศร้ามากๆ ซึ่งคำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าแม้เด็กจะแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนหรือคนรอบตัว แต่ลึกๆ แล้วการยอมรับจากพ่อแม่คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของการเห็นคุณค่าในตัวเอง

เมื่อได้ยินความในใจของลูกสาว ผมชมปฏิกิริยาของพ่อที่รับฟังเคย์ลาอย่างตั้งใจ ไม่ขัดจังหวะหรือบีบคั้น ทั้งยังจับไหล่ สบตา และอธิบายช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่าเขารู้สึกภูมิใจในตัวเธอมากแค่ไหน ซึ่งสิ่งนี้เป็นเหมือนกุญแจที่สามารถปลดล็อกความรู้สึกไม่ดีพอของเคย์ลา และเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้เธอมีความมั่นใจในตัวเอง เพราะเธอรู้ว่าพ่อใส่ใจและเห็นคุณค่าของสิ่งที่เธอทำมาตลอดชีวิต

“ลูกคิดผิด เคย์ลา มองหน้าพ่อ ลูกคิดผิด ถ้าโตขึ้นลูกมีลูกสาวแบบลูก เธอจะทำให้ลูกมีความสุขที่สุด 

พ่อมีความสุขที่ได้เป็นพ่อของลูก ลูกไม่รู้หรอกว่าลูกทำให้พ่อมีความสุขแค่ไหน มันง่ายมากที่จะรักลูก ง่ายมากที่จะภูมิใจในตัวลูก 

ที่พ่อพูดไม่ใช่เพื่อจะปลอบลูก พ่อสาบานได้ พ่อหมายความตามนั้น จริงอยู่ เวลาเห็นลูกไม่สบายใจ หรือเจอเรื่องแย่ๆ พ่ออาจเศร้า แต่มันก็เป็นแค่ความเศร้าที่เกิดในวันนั้น 

เคย์ลา ข้างในลึกๆ แล้ว พ่อมีความสุขเหลือล้นที่ได้เป็นพ่อของลูก ตอนแม่ทิ้งเราไปพ่อกลัวมาก กลัวอย่างไม่เคยกลัวมาก่อน กลัวว่าลูกจะขาดความอบอุ่น จากนั้นพอลูกเริ่มโตขึ้น พอลูกเดินก้าวแรก หัดพูดคำแรก และมีเพื่อนคนแรก ทุกอย่างที่พ่อคิดว่าจะต้องสอนลูก หัดมีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน เห็นอกเห็นใจคนอื่น ลูกกลับเรียนรู้ทั้งหมดด้วยตัวเอง 

บรรดาคุณครูชอบบอกพ่อว่า “ลูกสาวคุณเป็นเด็กน่ารักมาก คุณสอนเธอมาดีจริงๆ” แต่พ่อไม่ต้องสอนลูกเลย จริงๆ นะ พ่อไม่ได้ทำอะไร แค่เฝ้าดูลูก และยิ่งเฝ้าดูมากเท่าไหร่ พ่อก็ยิ่งหมดห่วง เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม พ่อเลิกกลัวว่าโตขึ้นลูกจะเป็นไรไหมมานานมากแล้ว ลูกรู้ไหมทำไม ก็เพราะลูก ลูกมอบความกล้าให้พ่อ ถ้าลูกได้เห็นตัวเองแบบที่พ่อเห็น ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของลูกมาตลอด  สาบานกับพระเจ้าได้ ลูกก็จะไม่กลัว”

ช่วงเวลานี้จึงไม่ใช่แค่ฉากชวนซาบซึ้งระหว่างพ่อกับลูกสาวเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนทางจิตใจที่สำคัญที่สุดในเรื่อง เพราะหัวใจของเคย์ลาได้รับการโอบอุ้มอย่างเต็มที่จากพ่อ…คนที่เธอรักที่สุด และนั่นทำให้เธอหันกลับมารักตัวเอง เลิกพยายามไขว่คว้าหาการยอมรับจากคนที่ไม่ให้คุณค่า และเปิดใจกับมิตรภาพที่แท้จริงแทน โดยสิ่งที่ยืนยันว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ คือการอัดคลิปวิดีโอล่วงหน้าเพื่อฝากถึงตัวเองในวันที่จบชั้นมัธยมปลายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่าเธอไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เพียงแค่ทำทุกๆ วันให้เป็นวันที่ดีที่สุด

“เฮ้ เคย์ลา นี่เธอเองตอนอยู่เกรดแปด ยินดีด้วยที่จบม.ปลาย ฉันภูมิใจในตัวเธอจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าเธอใกล้จะสิบแปดแล้ว…ฉันรู้ว่าเธอคงไม่อยากได้คำแนะนำจากเด็กม.ต้นโง่ๆ แต่ถ้าชีวิตม.ปลายเธอห่วยแตก ฉันเสียใจด้วย เซ็งแย่เลย แต่ช่างมันเถอะ ฉันหมายความว่าชีวิตม.ต้น ฉันก็ขรุขระ แต่ฉันก็ผ่านมาได้ และเดินหน้าต่อ เธอเองก็ต้องทำเหมือนกัน 

ถ้าชีวิตม.ปลายห่วยแตก ตอนนี้ชีวิตเธออาจไม่ลงตัว ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นแบบนั้นไปตลอด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ เราไม่มีทางรู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นไง นั่นทำให้ชีวิตน่าตื่นเต้น น่ากลัว และน่าสนุก ฉะนั้นทำใจให้สบาย และอยากเป็นเธอเร็วๆ จัง รักนะ เคย์ลา”

Tags:

พ่อแม่ภาพยนตร์Self-Esteem

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Elemental: การแบกความฝันของครอบครัว ภาระอันหนักอึ้งในนามความรักและหวังดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Inside Out: เมื่อความเศร้าไม่ใช่วายร้าย แต่อาจเป็นทางบังคับที่พาเราไปพบความสุข

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
30 May 2025

‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เด็กๆ มีความสามารถในการซึมซับและเลียนแบบผู้เลี้ยงดู ทั้งการกระทำแบบเฉพาะกรณี และนิสัยที่คนเลี้ยงดูใช้สอนและปฏิบัติต่อเด็กเอง นิสัยของเด็กจึงสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเอาแต่ใจของพ่อแม่และผู้เลี้ยง
  • นิสัยและปฏิกิริยาการตอบสนองของเด็กคนใดคนหนึ่งขึ้นกับปัจจัยต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ลักษณะนิสัยส่วนตัว ความมั่นใจในตัวเอง ระดับความสนใจในเรื่องต่างๆ และความจำหรือความรู้ที่มีสะสมไว้ในตัว 
  • อยากให้เด็กทำตัวดี คนในครอบครัวก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างด้วย ต้องปลูกฝังนิสัยดีๆ ให้อยู่เป็นประจำ และตระหนักเสมอว่านิสัยเสียของลูกของคุณ บ่อยครั้งก็มีต้นตอมาจากตัวคุณ หรือคนในบ้าน

ถ้าคุณเป็นคนเมือง เรื่องที่คงต้องเคยพบเจอในสถานที่สาธารณะอย่างห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตก็คือ การพบเห็นเด็กบางคนลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นพร้อมกับร้องไห้งอแงส่งเสียงดัง ร้องอยากได้อะไรสักอย่างหรือไม่พอใจอะไรสักอย่าง พร้อมๆ กันนั้นคุณก็จะได้ยินพ่อหรือแม่หรือญาติที่พาเด็กมาตะโกนโหวกเหวกบอกให้เด็กหยุดทำสิ่งเหล่านั้นเสีย โดยบ้างก็ขู่อะไรบางอย่าง บ้างที่ตั้งรางวัลเพื่อให้เลิกงอแงโยเยเสีย และอาจมีบางคนถึงกับทำท่าจะเดินหนีไปเสียจากตรงนั้นจริงๆ  

ถึงตอนนี้คุณก็อาจรำคาญ บางคนอาจรำคาญมาก บางคนอาจรำคาญน้อย แต่ก็อาจมีบางคนนึกสงสัยว่า นิสัยของเด็กแบบนี้เกิดมาได้อย่างไร? และอันที่จริงแล้วอาจแก้ไขได้อย่างไร?

ปกติเด็กสักคนจะสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่ โดยจะมีความสามารถในการจดจำรูปแบบของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ สมองของเด็กจะแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ และพยายามจะนำข้อมูลนี้มาประยุกต์ใช้ทำตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เผชิญอยู่ 

ในทางภาษาจิตวิทยาเรียกว่าเป็นการเรียนรู้แบบอุปนัย (inductive learning) 

วิธีการเรียนรู้แบบนี้ช่วยให้เด็กเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าและสามารถรับมือกับเรื่องท้าทายต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคยได้ ทารกทุกคนจะเรียนรู้แบบนี้ไปพร้อมๆ กับการที่สมองสร้างเซลล์สมองเพิ่มเติมและขนาดของสมองที่ใหญ่โตมโหฬารมากขึ้น ทำให้เรียนรู้เรื่องราวที่ซับซ้อนได้มากขึ้น 

ปกติสมองของทารกจะเติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วงขวบปีแรกๆ หากได้รับอาหารอย่างเหมาะสม โดยจะมีขนาดสมองใหญ่ขึ้นราว 4 เท่าในช่วงอายุ 5 ปีแรกของชีวิตเทียบกับเมื่อแรกเกิด [1] 

นับเป็นช่วงที่สมองเพิ่มทั้งขนาดและจำนวนเซลล์ประสาทอย่างน่าอัศจรรย์ใจ 

ทารกอายุน้อยจะมีความสามารถน้อยมากในการ ‘ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก’ เมื่อถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้า เด็กจึงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการฝึกฝนนิสัยให้ตอบสนองเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม 

การควบคุมตัวเองจึงเป็นพฤติกรรมที่ต้องการการฝึกฝนที่เหมาะสมในช่วงเวลาดังกล่าวนี้และความบกพร่องของพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูที่จะจัดการการอบรมบ่มนิสัยอย่างเหมาะสมในห้วงเวลาสำคัญนี้ก็จะมีส่วนในมุมกลับเป็นการปลูกฝังนิสัยเสียที่ยากจะแก้ให้เด็กไปอีกอย่างยาวนานเช่นกัน  

ทีนี้มาดูกันว่าจะทำให้เด็ก ‘ควบคุมตัวเองได้’ ยังไง?

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีปัจจัยหลักอยู่ 3 อย่างที่จำเป็นในการสร้างความสามารถในการควบคุมตัวเองให้กับตัวเด็กประกอบด้วย ความทรงจำเพื่อใช้งาน (working memory) ความยับยั้งชั่งใจ (inhibition ability) และความยืดหยุ่นของการใส่ใจ (attentional flexibility) [1]

ความทรงจำเพื่อใช้งานคือ ความสามารถในการจดจำข้อมูลบ้างอย่างเพื่อนำมาใช้งานในขณะนั้นๆ ความยับยั้งชั่งใจคือ ความสามารถในการกดหรือยับยั้งความต้องการตามธรรมชาติ เอาชนะสัญชาตญาณหรือความต้องการตามธรรมชาติ เพื่อทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป ส่วนความยืดหยุ่นของการใส่ใจคือ ความสามารถในการสลับสับเปลี่ยนความสนใจระหว่างสิ่งของ เรื่องราว หรือความคิดบางอย่างไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว 

เมื่อรวมความสามารถทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันแล้ว เด็กน้อยก็จะสามารถควบคุมตัวเองและสามารถคิดหรือทำเรื่องที่จำเป็น จนสามารถเรียนรู้ วางแผน และเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องได้ 

ปกติความสามารถสองข้อหลังจะดีขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงอายุ 3-4 ขวบ [1] พูดอีกอย่างคือ หากไม่ปลูกฝังความสามารถเหล่านี้ในช่วงอายุนี้แล้ว หลังจากนั้นก็จะถือเป็นเรื่องยากขึ้นมาก 

คำชมจากพ่อแม่และความประทับใจของเพื่อนๆ เป็นอีกแรงจูงใจสำคัญให้เด็กในวัยนี้อยากทำหรือมีนิสัยดีๆ ส่วนนิสัยแย่ๆ บางอย่างก็อาจมีฟังก์ชันของมัน ไม่ว่าจะเป็นการกัดเล็บ การม้วนผมเล่น หรือการเต้นเร่าๆ มักเป็นอาการที่เกิดจากความเครียด เบื่อ อึดอัด หรือเหลือทนกับสภาวการณ์ตรงหน้า เมื่อทำแล้วเด็กก็จะผ่อนคลายมากขึ้น หรือไม่ก็สะท้อนภาวะที่สมองประมวลข้อมูลจนทำอะไรไม่ถูก

หากเรื่องคับข้องใจน้อยลงหรือหมดไป อาการเหล่านี้ควรลดลงเรื่อยๆ ตามอายุเด็กที่เพิ่มมากขึ้น

แต่เด็กก็เหมือนลูกของสัตว์ต่างๆ ในแง่ที่ว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่มาจากการเรียนรู้และเลียนแบบ จากนั้นจึงนำมาใช้แบบลองผิดลองถูก หากวิธีการใดใช้ได้ผล เซลล์สมองก็จะสร้างเส้นทางสื่อกระแสประสาทให้วิ่งไปทางนั้น เด็กก็จะอยากทำอย่างนั้นเรื่อยๆ การเลียนแบบส่วนใหญ่อาจดูง่ายสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กที่สมองยังไม่เติบโตดีนัก ถือว่าเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะทำท่าทำทางหรือส่งเสียงเลียนแบบ 

‘ระบบเซลล์ประสาทแบบกระจกเงา (mirror neuron system)’ เป็นตัวควบคุมดูแลการกระทำแบบนี้ โดยพัฒนาทักษะการเลียนแบบทั้งการแสดงออกทางใบหน้าและคำพูด เด็กที่แสดงอาการเอาแต่ใจ ในแง่หนึ่งจึงระบบเซลล์ประสาทแบบกระจกเงาบกพร่อง 

เด็กไม่สนใจและอาจไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร สอนอะไร แต่เรียนรู้และทำความเข้าใจจากสิ่งที่คุณทำ นิสัยของเด็กจึงสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเอาแต่ใจของพ่อหรือแม่ (หรือทั้งสองคน) และพี่เลี้ยง (ซึ่งอาจรวมถึงปู่ย่าตายยายลุงป้าน้าอาที่ช่วยเลี้ยงด้วย) นั่นเอง! 

นิสัยและปฏิกิริยาการตอบสนองของเด็กคนใดคนหนึ่งจึงขึ้นกับปัจจัยต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ลักษณะนิสัยส่วนตัว (ซึ่งพันธุกรรมก็มีผล) ความมั่นใจในตัวเอง ระดับความสนใจในเรื่องต่างๆ และความจำหรือความรู้ที่มีสะสมไว้ในตัว      

ข้อสุดท้ายนี้เองที่ส่งผลมาก เนื่องจากเด็กเล็กส่วนใหญ่ใช้เวลากับคนในครอบครัว สิ่งที่ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อนิสัยของเด็กจึงได้แก่ สไตล์การเลี้ยงดู (parental style) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเจ้ากี้เจ้าการ การถืออำนาจบาตรใหญ่ วิธีการตอบสนองคำสั่ง การผ่อนผันผ่อนปรนในเรื่องต่างๆ และความเจ้าอารมณ์ 

เท่านั้นยังไม่พอ เด็กยังสนใจวิธีเลี้ยงดูตนเอง (parenting practices) ของผู้เลี้ยงดูอีกด้วย ทั้งการกระทำแบบเฉพาะกรณี และนิสัยที่คนเลี้ยงดูใช้สอนและปฏิบัติต่อเด็กเอง พูดง่ายๆ คือ นิสัยที่คนรอบตัวเด็กๆ ทำกันเป็นปกติ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวนั้น 

พวกเด็กๆ มีความสามารถในการซึมซับและเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในตัว 

มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2014 ที่ระบุว่า เมื่อศึกษาในครอบครัวคนอเมริกันมากกว่า 46,000 ครอบครัว ทำให้รู้ว่านิสัยที่ทำกันอยู่เป็นกิจวัตรในครอบครัว ได้ฝังอยู่ในตัวเด็กตลอดเวลา และจะแก้ไขได้ยากหากเด็กอายุ 9 ปีไปแล้ว [2] 

โดยดูจากงานบ้านที่มอบหมายให้เด็กๆ รับผิดชอบ และหากผ่านอายุนี้ไปแล้ว ก็หวังได้ยากว่าเด็กจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น (ในที่นี้คือทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมาย)  

การปลูกฝังนิสัยความรับผิดชอบให้กับเด็กจึงจำเป็นต้องค่อยๆ ให้เด็กได้เรียนรู้และทำตั้งแต่เด็กเริ่มรู้ความจนกลายเป็นปกติวิสัยของพวกเขาในที่สุด 

ความยากที่สุดของเรื่องนี้คือ ในตอนต้นๆ ของการรับผิดชอบงาน เด็กๆ อาจทำได้ไม่ดีนัก เช่น ล้างจานไม่สะอาด หรือทำจานตกแตกบ้าง แต่ผู้ปกครองหรือคนดูแลเด็กต้องใจแข็ง ไม่เข้าไปแทรกแซง และให้เด็กค่อยๆ เรียนรู้ จนจัดการดีขึ้นเองในที่สุด  

ดังนั้น อยากให้เด็กทำตัวดี คนในครอบครัวก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างด้วย ต้องปลูกฝังนิสัยดีๆ ให้อยู่เป็นประจำ และตระหนักเสมอว่านิสัยเสียของลูกของคุณ บ่อยครั้งก็มีต้นตอมาจากตัวคุณหรือสามี/ภรรยาหรือพี่เลี้ยงเด็กของคุณนั่นเอง    

เอกสารอ้างอิง

[1] Understanding Habits: Discover How to Stop Your Worst Habit Now, 2003, 4th Edition. 

[2] Pressman, R. M., Owens, J. A., Evans, A. S., & Nemon, M. L. (2014). Examining the Interface of Family and Personal Traits, Media, and Academic Imperatives Using the Learning Habit Study. The American Journal of Family Therapy, 42(5), 347–363. https://doi.org/10.1080/01926187.2014.935684

Tags:

พ่อแม่การเลี้ยงลูกจิตวิทยาเด็กพัฒนาการเด็ก

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Online Parenting Theory-nologo (2)
    Family Psychology
    สารพัดทฤษฎีเลี้ยงลูกออนไลน์ พ่อแม่ควรทำอย่างไรท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.6 ลูกจะฟังและเชื่อใจพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่พูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.2 ‘6 วิธี เปลี่ยนวิกฤตวัยทอง 2 ขวบ (Terrible 2) ให้เป็นช่วงเวลาทองแห่งการเติบโตของพ่อแม่ลูก’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
Early childhoodFamily Psychology
29 May 2025

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ทักษะที่ทำให้เด็กไปถึงฝั่งฝัน หรือ แม้จะไม่ถึงฝั่งฝันก็ยังเติบโตต่อไปได้โดยไม่แหลกสลายไปก่อนระหว่างทาง ทักษะนั้นก็คือ ‘การล้มแล้วลุก’ ซึ่งมาจากการมีความทนทานและความยืดหยุ่นทางจิตใจ หรือ ที่เราเรียกว่า ‘Resilience’
  • เมื่อผิดหวังก็ต้องเรียนรู้ที่จะล้มแล้วลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง เพราะโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกครั้งที่พยายามจะสำเร็จ และก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะได้ดังหวัง
  • Resilience คือภูมิคุ้มกันทางใจที่ช่วยให้เด็กๆ เติบโตเป็นตัวเองและยังคงคุณค่าภายในตัวเองไว้ได้ แม้ในวันที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหา ความท้าทาย ที่นำไปสู่ความผิดหวังอีกมากมายในชีวิต

‘ความฝัน’ จุดเริ่มต้นของการตั้งเป้าหมาย

เด็กทุกคนมีความฝัน แม้บางฝันอาจจะดูไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ทุกฝันก็มีค่าและมีความสำคัญกับเด็กๆ ทุกคน เพื่อที่พวกเขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีคุณค่าและมีจุดมุ่งหมาย 

ฝันเล็กๆ ที่ทำได้แน่นอนในเร็ววัน เช่น 

  • อยากเป็นพี่ประถมเสียที จะได้ไม่ต้องนอนกลางวันอีกต่อไป
  • อยากกินเผ็ดเป็น จะได้กินอาหารเหมือนพี่โตๆ และผู้ใหญ่
  • อยากซื้อไอศกรีมเอง โดยไม่ต้องให้พ่อแม่ไปด้วย
  • อยากปั่นจักรยานสองล้อได้ โดยไม่ล้ม และอยากลองปล่อยมือสองข้างขณะปั่นด้วย

ไปจนถึงฝันใหญ่ๆ ที่ต้องใช้ความพร้อม เวลายาวนาน แต่ก็ยังไม่แน่ไม่นอนว่าปลายทางจะสำเร็จไหม เช่น

  • อยากเป็นหมอ เพื่อจะได้มารักษาทุกคน
  • อยากเป็นนักบินอวกาศ ไปสำรวจดาวดวงใหม่
  • อยากเป็นคนดัง ที่มีคนติดตามในโซเชียลเน็ตเวิร์กมากมาย
  • อยากเป็นเศรษฐี มีบ้านหลังโต และรถคันใหญ่เป็นของตัวเอง

หลายความฝันเกิดจาก ‘ความต้องการ’ เพราะตอนนี้ยังไม่มี หรือ ยังทำไม่ได้ แต่ความฝันจะเป็นจริงไหมนั้น ต้องใช้ ‘ความอดทนพยายาม’ ‘ความมั่นคงทางกายใจ’ และ อีกหลายๆ ปัจจัยภายนอกที่เด็กๆ ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่าฝันนั้นจะทำได้หรือไม่ จนกว่าจะได้ลองทำอย่างเต็มที่และพยายามอย่างสุดกำลัง จนไม่เหลือสิ่งที่เจ้าตัวสามารถทำได้แล้ว เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถปล่อยวางจากความฝันนั้นไปสู่ความฝันอื่นได้ 

‘กว่าฝันจะสำเร็จ’ ระหว่างทางต้องไม่แหลกสลายไปเสียก่อน

ระหว่างทางเด็กๆ ต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย บางอุปสรรคเหมือนกำแพงสูงหนาที่กั้นพวกเขาเอาไว้ และบางอุปสรรคอาจจะทำให้พวกเขาอาจจะล้มลุกคลุกคลานไปหลายๆ ต่อหลายหน เด็กบางคนข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ แต่เด็กบางคนไม่สามารถข้ามผ่านไปได้

ซึ่งทักษะที่ทำให้เด็กไปถึงฝั่งฝัน หรือ แม้จะไม่ถึงฝั่งฝันก็ยังเติบโตต่อไปได้โดยไม่แหลกสลายไปก่อนระหว่างทาง ทักษะนั้นก็คือ ‘การล้มแล้วลุก’ ซึ่งมาจากการมีความทนทานและความยืดหยุ่นทางจิตใจ หรือ ที่เราเรียกว่า ‘Resilience’ นั่นเอง

‘Resilience’ คือ ความสามารถในการฟื้นตัวหรือความยืดหยุ่นทางจิตใจ เมื่อเจออุปสรรคหรือความท้าทาย จะกล้าเผชิญและไม่ยอมแพ้ เมื่อล้มลงหรือพ่ายแพ้ จะลุกขึ้นมาใหม่และพร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อเติบโตต่อไป โดยยังคงความเชื่อมั่นและคุณค่าภายในตนเองไว้ได้เสมอ

แนวทางสร้าง Resilience ให้เกิดขึ้นในตัวเด็กต้องเริ่มสร้างตั้งแต่วัยเยาว์

จุดเริ่มต้นของเด็กที่มีฐานกายใจที่แข็งแรงคือ ‘พ่อแม่ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับลูก’

ขั้นที่ 1 สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีและแข็งแกร่งระหว่างพ่อแม่ลูก

สายสัมพันธ์เริ่มต้นสร้างได้ตั้งแต่วินาทีที่พ่อแม่รับรู้ว่าลูกอยู่ในท้องของเรา บทสนทนาระหว่างที่ยังไม่ลืมตาดูโลก การมอบความรักผ่านเสียงพูดคุย เล่านิทาน ร้องเพลงขับกล่อม และเฝ้ารอวันที่จะได้เติบโตไปด้วยกัน คือจุดเริ่มของสายสัมพันธ์ทางกายใจ

เมื่อลูกเกิดมา ช่วงระยะเวลา 0-3 ปี จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงให้กับลูก เพราะก่อนวัย 3 ปี เด็กต้องพึ่งพาพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูแทบจะตลอดเวลา เกือบทุกงานและกิจกรรมต้องมีผู้ใหญ่อยู่กับเขา และสอนเขาทำสิ่งเหล่านั้น หากพ่อแม่อยู่ตรงนั้นเพื่อลูก สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขาจะค่อยๆ เติบโต

‘สายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง’ ต้องอาศัย 3 สิ่งสำคัญ ได้แก่

(1) ‘เวลาคุณภาพ’ ถ้าหากเราไม่มีเวลา เราจะไม่ได้อยู่กับลูกตรงนั้น เด็กเล็กๆ รับรู้ความรักก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา และใช้เวลาอยู่กับเขา อุ้ม กอด บอกรัก อ่านนิทาน พาเล่น พาทำกิจกรรม ไปโรงเรียน ไปเที่ยว ส่งเข้านอน ร่วมทุกข์และสุขในทุกคืนวัน

(2) ‘ความมั่นคงปลอดภัยทางกายใจ’ ลูกรับรู้ว่าอยู่กับพ่อแม่แล้วได้รับความรักและความมั่นคงทางใจ เพราะพ่อแม่พร้อมจะปกป้องเขาจากภัยอันตรายต่างๆ ที่สำคัญการพูดคำไหนคำนั้น พูดความจริง และรักษาสัญญาเสมอ การกระทำที่มั่นคง ชัดเจน และสม่ำเสมอ ทำให้ลูกเชื่อใจและวางใจในตัวพ่อแม่ เขาจะรู้สึกปลอดภัยในสายสัมพันธ์ระหว่างเรา

(3) ‘ใจดี แต่ไม่ใจอ่อน’ ลูกไม่ต้องการคนตามใจ แต่เขาต้องการคนที่สนใจ และพร้อมจะสอนเขาในสิ่งที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ที่กล้ายืนหยัดปกป้องลูกจากอันตราย ต้องกล้ายืนหยัดสอนลูกให้ทำสิ่งที่จำเป็นและถูกต้องด้วยเช่นกัน อะไรทำได้เราให้ทำ อะไรทำไม่ได้ เราบอกชัดเจนและเข้าไปหยุดทันที 

เพราะถึงแม้ลูกจะไม่พอใจ เรายอมรับในความรู้สึกลูกที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าเขาไม่พอใจ แต่จะไม่ใจอ่อน ยอมให้ลูกทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ซึ่งกฎที่ทุกครอบครัวควรมีคือ ‘กฎ 3 ข้อ’ ได้แก่ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น และไม่ทำลายข้าวของ

เมื่อลูกรับรู้ว่าตัวเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีทำให้เขากล้าออกไปเผชิญโลกภายนอก 

‘พ่อแม่ต้องกล้าให้ลูกออกไปลงมือทำ’

ขั้นที่ 2 สร้างความไว้วางใจในตัวลูกด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกลงมือทำ

เด็กวัย 2-3 ปี ขึ้นไปจะเริ่มใช้ร่างกายของตัวเองออกไปสำรวจโลกภายนอก และเรียนรู้ว่าร่างกายของเขาทำอะไรได้บ้าง เด็กวัยนี้ไม่เคยลงมือทำอะไรมาก่อน ดังนั้นพวกเขาย่อมมีทั้งความกล้าและความหวั่นวิตก แต่ถ้าพ่อแม่ผู้ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางกายใจของเขาคอยให้กำลังใจและอนุญาตให้เขาเผชิญและลงมือทำมากที่สุด เด็กจะเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้มากมาย

พ่อแม่ต้องสร้างความไว้วางใจและการยอมรับในกันและกัน ผ่านการวางใจให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตามวัย และได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองมากขึ้น แม้ลูกจะทำได้ไม่ได้คล่องแคล่วและช้าไปบ้าง ขอให้เราอดทนและมอบเปิดโอกาสให้เขาลงมือทำให้มากที่สุด โดยไม่คาดหวังผลลัพธ์เป็นสำคัญ

การสอนที่จะช่วยให้เด็กทำได้

  1. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
  2. จับมือเขาทำหรือพาเขาทำสิ่งนั้น
  3. ทำด้วยกัน โดยที่ต่างคนต่างทำสิ่งนั้น
  4. ให้เขาทำเอง โดยมีเราอยู่เคียงข้าง
  5. ให้เขาทำเอง แม้เราจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นตลอดเวลา

ฝึกฝนซ้ำๆ จนสามารถทำได้เอง โดยที่เราไม่ต้องอยู่ตรงนั้นกับเขา

เมื่อเด็กลงมือทำมากพอ เขาจะช่วยเหลือและพึ่งพาตัวเองได้ตามวัย เมื่อนั้นเด็กจะแผ่ขยายความสามารถไปสู่การสร้างคุณค่าให้ตัวเองผ่านการช่วยเหลือผู้อื่น เริ่มจากภายในบ้านก่อนจะไปสู่โรงเรียนและสังคมต่อไป

‘พ่อแม่ต้องให้ลูกช่วยงาน จากงานง่ายๆ แต่มีคุณค่ามหาศาลอย่างงานบ้าน’

ขั้นที่ 3 สร้างการรับรู้คุณค่าภายในตนเอง (Self-value)

เด็กวัย 3-5 ปี สามารถสร้างการรับรู้คุณค่าภายในตนเองผ่านรูปธรรม กล่าวคือเมื่อเด็กลงมือทำบางอย่าง แล้วสิ่งนั้นมีคุณค่าต่อตัวเองและผู้อื่น พวกเขาจะค่อยๆ รับรู้ถึงคุณค่าที่เกิดขึ้นจากภายนอก เพื่อนำสู่คุณค่าภายในตนเอง

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกช่วยทำงานบางอย่างที่เป็นประโยชน์ พ่อแม่ให้การชื่นชมเขา ทำให้ลูกรับรู้ว่า สิ่งที่เขาทำนั้นมีคุณค่าต่อผู้อื่น โดยเฉพาะพ่อแม่ที่เขารัก แม้การชื่นชมจะเป็นการยืนยันจากบุคคลภายนอก

แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกมองเห็นคุณค่าภายในตัวเขาอย่างเป็นรูปธรรม

คุณค่าภายในตัวที่งอกงามเติบโตภายใน ระหว่างทางทักษะหนึ่งที่เด็กๆ ได้พัฒนาไปด้วยกันคือ “การควบคุมตัวเอง” เพราะต้องอดทนทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จก่อน ทั้งกิจวัตรประจำวัน (ช่วยเหลือตัวเอง) และงานบ้าน (งานส่วนรวม) จึงจะไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้ เด็กจึงพัฒนาทักษะนี้ไปโดยปริยาย

‘พ่อแม่ต้องแนะนำและช่วยให้เด็กเรียงลำดับความสำคัญ’

ขั้นที่ 4 สร้างการควบคุมตนเอง (Self-control)

เด็กวัย 5-6 ปีไปจนถึงวัยประถมตอนต้น พวกเขาเต็มไปด้วยพลังอันล้นเหลือ และพร้อมจะเรียนรู้ และทำสิ่งต่างๆ มากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขาไปได้ถึงเป้าหมายโดยไม่ไขว้เขวไปเสียก่อน คือ ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ หรือ การควบคุมตนเอง

ความสามารถในการควบคุมตนเอง สามารถเกิดขึ้นได้จากการปลูกฝังและฝึกฝนตั้งแต่เล็กๆ

(1) ‘ทำสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นก่อนสิ่งที่อยากทำ’

แม้สิ่งนั้นจะไม่ชอบ ไม่อยากทำ หรือ ไม่เคยทำ แต่เด็กๆ ต้องฝึกฝนที่จะทำสิ่งนั้นจนเสร็จ ก่อนจะไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เพราะสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ส่งผลให้เด็กๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดี หากไม่ทำจะส่งผลให้เขาเดือดร้อน และผู้อื่นเดือดร้อน เช่น

  • ทำการบ้านก่อนไปดูการ์ตูน
  • ทำงานบ้านก่อนออกไปเล่นกับเพื่อน

(2) ‘ฝึกการรอคอยตามวัย เพื่อให้ลูกมีความอดทนต่อสิ่งเร้า’

เพราะไม่ใช่ทุกอย่างที่จะได้ทันทีทันใจ และบางอย่างทุกคนก็อยากได้ ดังนั้นต้องรอคอยเพื่อให้ถึงตาของตัวเองก่อนได้มา เช่น

  • อยากเล่นสไลเดอร์ แต่เพื่อนๆ มาก่อน เด็กต้องต่อแถวรอถึงตาตัวเองถึงจะได้เล่น
  • อยากได้ของเล่น แต่ต้องเก็บเงินค่าขนมทีละน้อยเพื่อไปซื้อด้วยตนเอง

เมื่อเด็กได้ลงมือทำ ประสบการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ‘ความผิดหวัง’ เมื่อผิดหวังก็ต้องเรียนรู้ที่จะล้มแล้วลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง เพราะโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกครั้งที่พยายามจะสำเร็จ และก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะได้ดังหวัง

‘พ่อแม่ต้องไม่ปกป้องลูกจากความผิดหวัง ให้ลูกได้ล้มบ้าง และเคียงข้างให้เขาลุกด้วยตัวเอง’

ขั้นที่ 5 เปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ประสบการณ์ ‘ล้มแล้วลุก’

พ่อแม่ต้องกล้าปล่อยมือให้ลูกได้ลงมือทำและเผชิญปัญหาตามวัยของเขา ยิ่งเด็กๆ ลงมือทำมาก ยิ่งเผชิญบ่อย เด็กๆ จะสามารถพัฒนาทักษะที่สำคัญในการสร้าง Resilience

ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับอาจจะมีทั้งดีและไม่ดี ได้รับชัยชนะ สมดังหวัง และประสบความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับความพ่ายแพ้ ผิดหวัง และทำไม่สำเร็จ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และฝึกฝน ‘ความยืดหยุ่นทางใจ’  ‘การปรับตัวกับสถานการณ์’ ‘การแก้ปัญหา’ และสุดท้ายเด็กๆ อาจจะต้องเรียนรู้ ‘การปล่อยวางเพื่อก้าวต่อไป’ เพราะไม่ใช่ทุกความฝันที่มุ่งไว้จะเป็นจริง หรือ ทุกปลายทางจะมีความสำเร็จที่รอเขาอยู่

หัวใจสำคัญ ‘พ่อแม่ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะทางใจผ่านการเคียงข้างในยามที่ลูกต้องการ’

เมื่อผ่านประสบการณ์การล้มลงและผิดหวังผ่านไปได้เด็กๆ จะเกิดภูมิคุ้มกันทางใจที่นำไปสู่การเกิด Resilience ในอนาคตหากเขาล้มอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถลุกขึ้นมาใหม่ และเรียนรู้ท่ีจะเติบโตต่อไปได้ด้วยตัวเขาเอง

เด็กๆ ที่ผ่านประสบการณ์การลงมือทำ เจออุปสรรค ล้มลงระหว่างทาง จนลุกขึ้นเดินต่อไปใหม่ พวกเขาจะกล้าทำสิ่งใหม่ๆ ต่อไปในอนาคต แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเขาพัฒนาได้ไม่สิ้นสุดไม่ใช่เพียงความกล้าและความพยายาม แต่คือหัวใจที่เปิดรับประสบการณ์ การรับฟังคำแนะนำ และการสอนจากผู้มีประสบการณ์คือสิ่งที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้

‘พ่อแม่สอนให้เด็กๆ ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว’

ขั้นสุดท้าย ปลูกฝังความคิดที่เติบโตต่อไป ผ่านการรับฟัง เรียนรู้ และปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่เสมอ

Resilience จะเติบโตภายในตัวเด็กๆ ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่เสมอ เพราะทุกๆ การเรียนรู้และประสบการณ์จะทำให้เด็กๆ เติบโตมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีวุฒิภาวะตามวัย ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึง  ‘ความเก่ง’ ​หรือ ‘ความฉลาด’ ที่มากขึ้น แต่หมายถึง “การน้อมรับ รับฟังคำติชมโดยปราศจากอคติ” “การยอมรับความแตกต่างและปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้” สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กทนทานต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบใจของเขาได้เป็นอย่างดี เพราะสำหรับเขา “คำติชมจะทำให้เขาพัฒนาขึ้น” และ “ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเข้าใจ เขายิ่งเติบโตขึ้น”

‘ฟ้าหลังฝนมีอยู่จริง และทำให้ต้นไม้เติบโตงอกงามเสมอ’

แม้ความผิดหวัง หรือ การไม่ได้ทำตามความฝันอาจจะเป็นเรื่องน่าเสียดายและทำให้เสียใจ แต่ทุกอย่างที่ทำไปไม่เคยเสียเปล่า เพราะสิ่งเหล่านั้นได้แปลเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ และทุกความรู้สึกที่เด็กๆ ผ่านมาได้กลายเป็นภูมิคุ้มกันทางใจชั้นเลิศ สิ่งสำคัญไม่ใช่การแพ้หรือชนะ สำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่คือทุกครั้งที่ทำแล้วผ่านไปได้ เด็กๆ จะเติบโตงอกงามเป็นตัวเขาที่แข็งแกร่งมากขึ้นเสมอ

พ่อแม่และผู้ใหญ่ไม่สามารถปกป้องเด็กๆ ไปได้ตลอดชีวิต แต่เราสามารถสร้างสายสัมพันธ์และสอนสิ่งสำคัญผ่านการให้เด็กๆ มีประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง ในขณะที่เรายังอยู่ตรงนั้นเพื่อเขาได้ สิ่งเหล่านี้จะติดตัวลูกไปตลอดชีวิตของเขา

Resilience คือภูมิคุ้มกันทางใจที่ช่วยให้เด็กๆ เติบโตเป็นตัวเองและยังคงคุณค่าภายในตัวเองไว้ได้ แม้ในวันที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหา ความท้าทาย ที่นำไปสู่ความผิดหวังอีกมากมายในชีวิต

อ้างอิง

American Psychological Association. (2020, August 26). Resilience Guide for Parents and Teachers. American Psychological Association. Retrieved Apr. 13, 2025, from https://www.apa.org/topics/resilience/guide-parents-teachers

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยResilienceเด็กทักษะ

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

“ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ
Transformative learning
28 May 2025

“ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • โจทย์ใหญ่ในการทำงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คือ การที่เด็กและเยาวชนทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้เต็มตามศักยภาพ
  • The Potential ชวน ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา พูดคุยถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังและแนวทางในการทำงาน
  • “กสศ. เชื่อว่าการ Movement ในเชิง Area จะสร้างพลังและเกิดความยั่งยืนได้มากที่สุด ที่คิดเช่นนั้นเพราะว่าถ้าโรงเรียนมีหน่วยงานที่มีอำนาจทั้งในเรื่องของทรัพยากร งบประมาณ หรือแม้แต่การสั่งการมาร่วมขับเคลื่อนจะทำให้เขาวิ่งได้เร็ว มั่นใจและมั่นคงมากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ”

-เด็กและเยาวชนทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้เต็มตามศักยภาพ

-ลดช่องว่างคุณภาพโรงเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนต่างเศรษฐฐานะ

-ป้องกันและแก้ปัญหาการหลุดออกนอกระบบการศึกษา

นี่คือโจทย์ใหญ่ในการทำงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่ง The Potential ชวน ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา มาพูดคุยถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังและแนวทางในการทำงาน

จากจุดเริ่มต้น ‘โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ Teacher and School Quality Program (TSQP)’ ที่เน้นการปรับเปลี่ยนชั้นเรียนหรือการจัดการเรียนรู้ผ่านนวัตกรรมต่างๆ  มาสู่ ‘การขับเคลื่อน’ ภายใต้โครงการ ‘TSQM : Teacher and School Quality Movement’ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเชิงพื้นที่ TSQM-A, เครือข่าย TSQM-N และในเชิงประเด็น TSQM-I 

ถึงวันนี้โครงการทั้งหมดมีความก้าวหน้าไปมากน้อยแค่ไหน อะไรคือจุดวัดความสำเร็จ และข้อท้าทายในการเดินไปให้ถึงหมุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างยั่งยืน

ก่อนอื่นอยากย้อนไปถึงที่มาของการขับเคลื่อน ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ ว่าเกิดขึ้นจากอะไร

โรงเรียนพัฒนาตนเองเป็นแนวคิดที่เกิดจากการคิดงานเรื่องการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนซึ่งอยู่บนฐานของข้อมูลที่ว่า ประเทศไทยมีโรงเรียนอยู่ 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งขนาดของโรงเรียนที่แตกต่างกันมีผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก เช่น โรงเรียนขนาดใหญ่มีความพร้อมสูง รองลงมาคือโรงรียนขนาดกลางซึ่งอาจมีทั้งความพร้อมหรือไม่พร้อม มีแต่ปริมาณเด็ก แต่คุณภาพอาจจะไม่ดี และสุดท้ายคือโรงเรียนขนาดเล็กไปเลย

โรงเรียนในประเทศไทยมีประมาณ 30,000 โรงเรียน ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ วิธีการทำงานของ กสศ. คือถ้าช่วยได้ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่พอจำเป็นต้องทำงานเพื่อสร้างคุณภาพ ก็ต้องมีวิธีทำงานที่ต่างกันไป โรงเรียนขนาดใหญ่ เราไม่ค่อยไปยุ่งเท่าไหร่ เพราะเขามีความพร้อม ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กไปเลยถือเป็นงานยาก เพราะครูยังไม่พอ คุณภาพก็ยิ่งแย่ ต้องมีการทำงานเชิงลึกแบบอื่น 

พอมาดูโรงเรียนขนาดกลางซึ่งมีอยู่ประมาณ 7,000 แห่งทั่วประเทศ หรือถ้านับง่ายๆ คือมีจำนวนเท่ากับตำบล วิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จน่าจะง่ายขึ้นกว่าโรงเรียนขนาดเล็กมาก เราก็เลยมาจับจุดนี้และเป็นที่มาของ ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ โดยตั้งเป้าว่าลองทำสัก 10 เปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนขนาดกลาง คือ 700 แห่ง ถ้ามองในแง่ของการเริ่มต้นถือว่าค่อนข้างเยอะ ตอนนั้น กสศ. ก็เริ่มศึกษาว่า ถ้าจะพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดกลาง ควรต้องทำงานทั้งระบบโรงเรียน จึงเป็นที่มาของ ‘Whole School Approach หรือ การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ’

การทำงานเพื่อพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ ในช่วงแรกวางแนวทางการดำเนินการไว้อย่างไร 

การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบเริ่มคิดมาตั้งแต่ปี 61-62 เรียกว่า ‘TSQP’ หรือ Teacher School Quality Program หรือ Project ตอนนั้นประเทศไทยมีเรื่อง ‘คูปองครู’ ก็นำมาคิดเทียบกันว่า ถ้าครูคนหนึ่งมีงบประมาณเพียงพอในการพัฒนาตนเองแล้วกลับมาพัฒนาโรงเรียนได้จะเป็นเรื่องดีเยี่ยมเลย แต่ปรากฏว่าเป็นการพัฒนาเฉพาะตัวเสียส่วนใหญ่ ครูไปเรียนรู้ เก่งกลับมา แต่พอทำงาน ต้องทำอยู่คนเดียว สุดท้ายก็หมดแรง ทำให้เรามีแนวคิดเรื่อง Whole School ซึ่งช่วงแรกของโครงการมีโรงเรียนเข้าร่วมประมาณ 400 โรงเรียน ดังนั้นคำถามแรกที่ต้องถามทั้ง 400 โรงเรียน คือ ผู้อำนวยการทำไหม เพื่อนครูทั้งโรงเรียนทำด้วยไหม ถ้าไม่ทำ เอาไว้ก่อน 

นอกจากนี้ ในการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ กสศ. ได้ศึกษาทบทวนว่าต้องมี ‘เครื่องมือสนับสนุน’ ในการพัฒนาตนเองด้วย คือ ‘เครื่องมือสนับสนุน 6 มาตรการ’ ซึ่งความจริงแล้วแรกเริ่มเลยมี 5 มาตรการ ส่วนมาตรการที่ 6 มาจากโรงเรียนที่ทำงานร่วมกันคิดเพิ่มขึ้นมา ถือว่าเป็นข้อดีอย่างมาก 

เครื่องมือสนับสนุน 6 มาตรการ มีอะไรบ้าง  

มาตรการที่ 1 คือ โรงเรียนต้องมีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีคุณภาพ นั่นคือมาตรการที่ 2 เรื่อง Q-Info มาตรการที่ 3 คือ กระบวนการ PLC ต้องมีการพูดคุยกันในโรงเรียน มาตรการที่ 4 คือ Q-Network มีการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียน และมาตรการที่ 5 คือ Q-Classroom เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมในชั้นเรียนสำหรับพัฒนาเด็ก ทั้งหมดนี้คือ 5 มาตรการแรก ทีนี้พอโรงเรียนทำงานไปสักปีกว่า ๆ ปรากฏว่ามีหลายโรงเรียนพูดถึงระบบดูแลช่วยเหลือเด็ก ที่ต้องทำงานกับผู้ปกครองและชุมชน ก็เลยเพิ่มเป็นมาตรการที่ 6 ขึ้นมา 

หลังจากนั้น TSQP ขยับมาสู่ TSQM ได้อย่างไร 

TSQP รุ่นที่ 1 มีโรงเรียนเข้าร่วมทั้งหมด 400 กว่าโรงเรียน รุ่นที่ 2 เข้ามาเพิ่มอีก 300 โรงเรียน รวมทั้งหมดมีประมาณ 727 โรงเรียน โดยเราทำงานกันในช่วงเวลาสัก 3 ปี เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงระดับโรงเรียน แต่ในระหว่างนั้นมีครูและผู้อำนวยการต้องย้ายโรงเรียนกันไปบ้าง ซึ่งในการทำงาน นอกจากมีเครื่องมือหนุนเสริมแล้ว กสศ. ยังมีครูแกนนำ มีโค้ชที่เข้าไปประกบตามโรงเรียนอยู่ถึง 11 ทีม เพื่อช่วยส่งเสริมเรื่องของ Q- Classroom 

ทีนี้ พอผ่านไป 3 ปี ก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโรงเรียน โรงเรียนที่มาเข้าร่วมกับเราจาก 727 แห่ง ก็มาจบที่ 500 ปลายๆ หายไปบางส่วน แต่หายไปแบบมีความหมาย คือมาเรียนรู้แล้วถอยไปทำเอง อันนี้อาจเป็นอีกนิยามหนึ่งว่า ‘พัฒนาตนเองอย่างแท้จริง’ และพอปิดโครงการ TSQP หรือหมดเฟสการทำงาน ก็มองว่าถ้าจะขับเคลื่อนต่อในลักษณะของ Movement รูปแบบของการเคลื่อนจะอยู่ที่โรงเรียนหรือพื้นที่แล้วว่าชอบแบบไหน ซึ่งตอนนั้นพยายามทำออกมา 3 แนวทาง เรียกว่า ‘3 Approach’ คือ 1. เคลื่อนแบบทั้งจังหวัด หรือ TSQM-A (Area-based) โดยใช้ต้นทุน TSQP 2. ทำเป็นกลุ่มเครือข่ายของโรงเรียน หรือ TSQM-N (Network-based) และ 3. มีประเด็นอะไรที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรค หรืออยากยกระดับคุณภาพแล้วมาทำวิจัยในชั้นเรียน หรือทำงานกับผู้เชี่ยวชาญ เป็น TSQM-I (Issue-based) 

ทั้งนี้ การเคลื่อนเพื่อไปแตะถึงตัวโรงเรียนกับเชิงระบบในพื้นที่จะมีการเคลื่อนแบบ Movement ในเชิง Area คือยกจังหวัด กับ Movement ในเชิงเครือข่าย คือ 10 โรงเรียนโดยประมาณรวมกันขยับเอง แต่ว่าต้องมีความเข้าใจตรงกันว่า 6 มาตรการยังคงหมุนอยู่ในโรงเรียนเหล่านี้ ซึ่งเราก็เลยชวนว่า ในชุดแรกนี้ จังหวัดไหนที่มีความพร้อมก็เชิญมา ตอนนั้นซาวด์เสียงไปทั่วประเทศมีอยู่ 17 จังหวัด มาเวิร์กชอปกัน คุยไปคุยมา เงื่อนไขการทำงานคือต้องเชื่อมกับต้นสังกัดให้ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเล่นด้วย ก็เลยมี 10 จังหวัด ทีนี้ 10 จังหวัดถ้าขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ (Area) จะมีพลังสูงตรงที่ว่า ถ้ายกจังหวัดจะได้ปริมาณโรงเรียนเยอะ ส่วนคุณภาพต้องทำงานต่อ ซึ่ง 10 จังหวัดนี้มีโรงเรียนที่ร่วมขบวนอยู่ประมาณ 800 โรงเรียน เราก็เห็นขบวนที่เขาทำงาน 

อะไรคือความยากของการขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่

ความยากคือการทำงานกับหน่วยงานต้นสังกัดที่เป็นภาคราชการ ภาคสังคม หรือแม้กระทั่งภาคเอกชน การทำความเข้าใจหรือว่าเหนี่ยวนำให้เขาเห็นความสำคัญและมาร่วมขบวน อาจต้องใช้การทำความเข้าใจค่อนข้างมาก แต่หลายจังหวัดก็ขับเคลื่อนแบบก้าวกระโดด เพราะบังเอิญไปเจอผู้ว่าราชการจังหวัดที่ใส่ใจเรื่องการศึกษามาก ศึกษาธิการจังหวัดทำงานกับเขตพื้นที่ได้ทุกเขต ไม่มีช่องว่าง ทำให้เดินหน้าไปได้ไว เช่น จังหวัดเพชรบูรณ์ หรือแม้กระทั่งภูเก็ต ศรีสะเกษ โดยเฉพาะภูเก็ตกับศรีสะเกษนั้น มี พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรม ก็นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นภาพการทำงานการขับเคลื่อนในเชิง Area หรือว่า TSQM-A 

การทำงานขับเคลื่อน TSQM-A ของภูเก็ตและศรีสะเกษมีจุดแข็ง และข้อท้าทายอะไรบ้างที่สามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาให้แก่พื้นที่อื่นๆ 

จุดแข็งของสองจังหวัดนี้ที่เหมือนกัน อันดับแรกคือมี พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สองมีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ คือมหาวิทยาลัยราชภัฏ ทีนี้ถ้ามองจังหวัดศรีสะเกษ นอกจากเป็นพื้นที่นวัตกรรมแล้ว ยังมีฐานการทำงานจาก TSQP แบบที่เรียกว่าจำลองประเทศไทยลงไปในจังหวัดศรีสะเกษ เพราะศรีสะเกษมีโค้ชลงไปช่วยเรื่องนวัตกรรมในชั้นเรียนถึง 6 ทีม นั่นหมายถึงว่าเขามีนวัตกรรมให้เลือกใช้ บางโรงเรียนพอทำไปสัก 1-2 ปี ผมเชื่อว่าอาจจะ mix and match นวัตกรรม เป็นจุดแข็งหนึ่งที่ศรีสะเกษใช้ ซึ่งวิธีการนี้เป็นภาพฝันของ กสศ. คือเราอยากให้ทั้งประเทศเลือกนวัตกรรมใช้เองได้ในระดับโรงเรียน แต่ว่าศรีสะเกษอาจมีความท้าทายสักเล็กน้อย เรื่องการทำงานกับหน่วยงานต้นสังกัด หนึ่งคือโรงเรียนมายังเขตพื้นที่ เขตพื้นที่มายังศึกษาธิการจังหวัด หรือแม้กระทั่งเขตพื้นที่มายัง สพฐ. ในส่วนกลาง ตรงนี้อาจมีความท้าทายในการประสานงาน หรือการทำความเข้าใจงานให้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ว่าพอถึงวันนี้ จาก Program มาเป็น Movement เขาก็ทะลุทะลวงมาได้

แล้วในส่วนของจังหวัดภูเก็ตมีแง่มุมอะไรที่น่าสนใจบ้าง

สำหรับภูเก็ต นอกจากมีความเป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาแล้ว ภูเก็ตยังมีแผนพัฒนาจังหวัดที่เอาทุกงานมากางบนโต๊ะโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนั่ง เพราะฉะนั้นจุดแข็งของภูเก็ตนอกจากมี TSQP เดิมอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง ยังมีแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดโดยท้องถิ่นที่เข้มแข็ง มีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตที่ผลิตครูในโครงการครูรักษ์ถิ่น แล้วยังมีอีกหลายๆ งานใน 10 เสาหลักของจังหวัดภูเก็ต ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาทำแผนพัฒนาร่วมกัน ฉะนั้นแล้วขบวนของภูเก็ตมีความเข้มแข็งมากในการทำงาน และที่สำคัญคือ ภูเก็ตทำงานใช้หลักทางวิชาการค่อนข้างสูง เนื่องจากอาจารย์ในคณะครุศาสตร์ คณบดีคณะครุศาสตร์จับมือกันแน่นกับเขตพื้นที่ 

นอกจากนี้ ภูเก็ตยังเป็นจังหวัดที่เราเรียกว่าทำอะไรก็ยกเกาะได้ เพราะว่ามี สพป. สพม. อันเดียวกัน ไม่ได้มีการกระจายไปในพื้นที่กว้างมากนัก โรงเรียนทั้งจังหวัดมีไม่ถึง 100 โรงเรียน ทำให้ทำงานได้ทั่วถึง แต่ว่าความท้าทายของภูเก็ตคือมีประชากรแฝงค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นแล้วเวลาเกิดเหตุการณ์หรือผลกระทบเกี่ยวกับการโยกย้ายประชากร จำนวนของเด็กนักเรียน กับจำนวนของทรัพยากรอาจมีการแปรผันไปตามนั้น

ในส่วนของ TSQM-A จำนวนจังหวัดที่เข้าร่วมคิดว่าจะมีโอกาสขยายเพิ่มอีกไหม

แนวคิดแรก กสศ. เชื่อว่าการ Movement ในเชิง Area จะเป็นการ Movement ที่สร้างพลังและเกิดความยั่งยืนได้มากที่สุด ที่คิดเช่นนั้นเพราะว่าถ้าโรงเรียนมีหน่วยงานที่มีอำนาจทั้งในเรื่องของทรัพยากร งบประมาณ หรือแม้แต่การสั่งการมาร่วมขับเคลื่อนจะทำให้เขาวิ่งได้เร็ว มั่นใจและมั่นคงมากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ การเคลื่อนในลักษณะของ Area-based แบบนี้ เป็นลักษณะของการกระจายอำนาจ ระบบการปกครอง ระบบการศึกษาของประเทศ สิ่งนี้เป็นภาพฝันที่เราอยากเห็นและเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าจาก 10 จังหวัด สามารถขยายเพิ่มขึ้นเป็น 11, 12, 13, 14 ในแผน 3 ปี กสศ. ยินดีสนับสนุน หรือแม้กระทั่งจังหวัดที่ Movement จาก TSQM-N หรือเครือข่ายโรงเรียน ถ้ามองว่ามีโอกาสขยับเป็น TSQM-A ได้ เป็นเรื่องที่ดีมาก 

ส่วนบางจังหวัดที่ไม่ได้มีเครือข่ายอยู่เลย อาจจะเริ่มจาก N ก่อน หรือจะกระโจนมาเป็น A เลยก็ได้ ถ้ามีความพร้อม เพราะเวลา กสศ. สนับสนุนในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เราค่อนข้างเปิดกว้าง หลายจังหวัดสนใจก็เข้ามา เพราะหัวเชื้อของ TSQP ยังกระจายอยู่ในหลายจังหวัด เช่น พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท ซึ่งยังไม่ได้ปรากฏข้อมูลว่าเข้ามาเป็น N หรือ A เลย แต่ผมเชื่อว่าเชื้อ TSQP เหล่านี้มีอยู่ และอาจจะกำลังก่อตัวขยับขึ้นมาเป็น N หรือ A ได้ในอนาคต 

ขณะที่ TSQM-A แข็งแรงในเรื่องการหนุนเสริมของหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง TSQM-N มีจุดแข็งอย่างไร และมีก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน

จุดแข็งของ TSQM-N ถ้าพูดแบบชัดๆ คือเป็นการทำงาน Bottom-up ที่แข็งแรงมาก จากระดับหรือว่าระนาบของโรงเรียนที่จับมือไปด้วยกัน ฉะนั้นเวลากระโจนจะมีพลังสูง และเป็นการทำงานที่เหมือนกับระเบิดมาจากข้างใน เพราะเป็นความต้องการของโรงเรียน แล้วทั้ง 715 โรงเรียนที่เข้าร่วมเรียกว่า ‘ทีมเดียวกัน’ แม้ว่าเด็กจะมากหรือน้อย แต่ก็ยังอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่น อำเภอเดียวกันหรืออำเภอข้างเคียง เพราะฉะนั้นจุดแข็งคือ โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร คุณครู นักเรียน หรือผู้ปกครอง ได้พัฒนาตนเองในแบบที่เป็นความเฉพาะของตนเองค่อนข้างสูง 

TSQM-N เขาทำการบ้านในเชิงรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ในเรื่องเป้าหมายของการพัฒนาเด็กให้มีทักษะ อาจจะสำหรับศตวรรษนี้หรือศตวรรษหน้า ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะก็ดี หรือหลักสูตรอิงความสามารถของเด็ก 

เขาจะกลับมาคิดว่าจะออกแบบการเรียนรู้อย่างไร ที่สำคัญยังเป็นกลุ่มที่แสวงหาโค้ชด้วยตนเอง บนความเชื่อและความคิดที่ว่ามีประโยชน์กับนักเรียนของเขา ถือว่าเป็นจุดแข็งที่เกิดขึ้นในระดับโรงเรียน ชั้นเรียน หรือแม้แต่ชุมชน 

แต่ก็มีความท้าทายตรงที่ว่า ถ้าจำเป็นต้องทำงานกับหน่วยงานที่เป็นเชิงนโยบาย เขาอาจใช้อำนาจในการต่อรองในเชิงของเครือข่าย ซึ่งอาจจะมีทั้งบวกและลบ เพราะว่าอย่างน้อยต้องสมดุลให้ได้ระหว่างนโยบายกับระดับปฏิบัติการ อย่างที่ผมบอกว่าการทำงาน ใจผมคิดว่า Bottom-up เป็นสิ่งที่เราหนุนเต็มที่ แต่ว่า Top-down ก็ต้องดูหน่อยว่าจะไปในทิศทางไหน 

ปัจจุบันนี้พอเราเริ่มต้น A แล้วมี N ตามมา ก็มีการเปรียบเทียบ โดย N จะบอกว่า ทำแบบเครือข่ายไม่ต้องไปติดพันธนาการของการต้องแจ้งคนนั้น บอกคนนี้ หรือต้องรอคนนั้นมาบอก ลุยเลยเพื่อเด็ก เป็นแนวคิดของ N ที่มองเรื่องความคล่องตัวเป็นจุดแข็ง แต่ A จะบอกว่า เราทำอะไรก็มีนโยบายหนุนหลัง เพราะฉะนั้นผู้บริหาร คุณครู ผู้ปกครอง จะมีความมั่นใจสูง 

จังหวะของปี 68 เลยเป็นปีของการพยายามมองจุดแข็งของตัวเองเพื่อเคลื่อนงานไปข้างหน้า แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมคิดว่าการผสมผสานของสองเรื่องนี้ โดยมีเป้าหมายที่ตัวเด็กจะเกิดขึ้นแน่ในอนาคต

แนวทางขับเคลื่อนตัวสุดท้ายคือ ‘I’ หรือเชิงประเด็น มีความแตกต่างอย่างไร 

TSQM-I  ซึ่ง I คือ Issue เป็นการ Movement ในเชิง Issue หรือเชิงประเด็น เป็น 1 ใน 3 Approach ที่เราคิด แต่ว่าค่อนข้างเป็นอิสระแยกออกมาจากการทำงาน ไม่ได้เป็นขบวนของโรงเรียนหรือว่าองคาพยพในระดับจังหวัด แต่เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ สภาพปัญหา หรือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะบริบทของประเทศไทย ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมามีการนำโจทย์ของประเทศหรือว่าโรงเรียน เช่น เรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เรื่องที่ 2 คือเทคโนโลยีที่เข้าสู่ระบบการเรียนรู้ของเด็กแล้วมีผลทั้งทางบวกและลบ ไม่ว่าจะเป็น เอไอ หรือว่าสื่อโซเชียล ส่วนประเด็นถัดมาอาจเป็นเรื่องทักษะทางภาษา เป็นตัวอย่างของ Issue ที่เกิดขึ้นจากโรงเรียน 

สำหรับการทำงาน เราไม่ได้บอกว่าทุกโรงเรียนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ในช่วงของการวิจัย พัฒนา หรือว่าการพยายามหาทางออก แต่ว่าอาจจะมาให้ Input เช่น ใน Issue ที่ผ่านมา โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการทั้ง A และ N มีตัวแทนเข้ามาพูดคุยกันเพื่อคอนเฟิร์มประเด็นว่าใช่หรือไม่ใช่ และประเด็นที่ตั้งมานั้นมันมีรากของปัญหาอย่างไรบ้าง

จากเวทีที่เราจัดใน TSQM-I ตัวอย่างเรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ครูบอกว่าเด็กคนนี้อ่านไม่คล่อง คนนี้อ่านไม่ได้ คนนี้พูดไม่รู้เรื่อง อ่านมาแล้วสรุปความไม่ได้ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอวิเคราะห์ไปแล้วปรากฏว่า เด็กคนนี้มาจากครอบครัวที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ไม่ได้อ่านหนังสือภาษาไทย เด็กคนนี้มีพัฒนาการทางร่างกายหรือว่าสมองช้า เด็กคนนี้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว กลายเป็นว่า Issue ที่หยิบยกมาเป็นปรากฏการณ์ แต่มันเกิดประเด็นของการทำงานย่อยๆ เกิดแนวคิดที่ว่า แล้วถ้าเราจะทำงานเรื่องพวกนี้ให้ดีขึ้น การรู้พัฒนาการของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การคัดกรองเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้นเป็นเรื่องสำคัญที่ครูควรมีความรู้ กลายเป็นว่าจาก Issue เหล่านี้ นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญพอวิเคราะห์แล้วก็ได้นำเครื่องมือการคัดกรองเด็กไปใช้ในโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมต้น คือชั้นช่วง ป.1-ป.3 

ประเด็นที่ 2 เด็กบางคนที่มีอาการเกินกำลังของครู ก็มีระบบการส่งต่อเด็กนักเรียนไปสู่โรงเรียนที่มีความเฉพาะ หรือแม้กระทั่งไปปรึกษาทางการแพทย์ เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการทำงานในเชิงประเด็นในปัจจุบันที่จะเป็นเวทีเชิญผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยกันกับคุณครูที่มองเห็นปรากฏการณ์ 1-2-3-4 ในโรงเรียน แต่บางครั้ง เช่นตัวอย่างเรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จะมีเครื่องมือที่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย หรือการใช้ภาษาถิ่นหรือภาษาแม่มาเทียบเคียงกัน คิดออกมา และผลิตเป็นสื่อเพื่อให้โรงเรียนได้นำไปใช้แก้ไขปัญหา อันนี้เป็นตัวอย่างการทำงานในเชิงประเด็น หรือ TSQM-I 

หลายโรงเรียนตอนนี้อาสาเป็นโรงเรียนนำร่องในการแก้ปัญหาเรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เราไม่ได้ทำเฉพาะโรงเรียนในสังกัด สพฐ. แต่โรงเรียนของสังกัด กทม. นำแนวคิด TSQM-I ไปใช้วิเคราะห์ 3 เรื่อง โดยเรื่องที่ 1 คือ ปรากฏการณ์อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของเด็ก เรื่องที่ 2 คือ การเรียนรวมหรือเรียนคละชั้นระหว่างเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกัน และเรื่องที่ 3 คือ สุขภาวะของเด็กที่อาจจะมีปัญหา เช่น การมีเหา โรคผิวหนัง 

ซึ่งโรงเรียน กทม. ประมาณ 40 โรงเรียน ได้นำแนวคิดนี้ไปใช้ เพราะว่าประเด็นเหล่านี้ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก บางอย่างก็เป็นเส้นผมบังภูเขา 

ในทางปฏิบัติทั้ง TSQM-A, N, และ I ต่างหนุนเสริมกันได้หมด ซึ่งถ้าขับเคลื่อนไปด้วยกันก็คือการขับเคลื่อนระบบการศึกษา?

ถ้าเรามองเด็กนักเรียนเป็นตัวตั้ง แนวคิดหรือวิธีการทำงานจะเป็นอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วไปวัดที่ตัวเด็กว่ามีการเปลี่ยนแปลงไหม เด็กพัฒนาไหม ผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือ Learning Outcomes ที่บอกว่าเกิดขึ้นกับเด็กมีผลสัมฤทธิ์หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นตัวค่านิยมของเด็กที่มองเห็นเรื่องการเรียน หรือสิ่งที่ได้รับนั้นมีคุณค่ากับตัวเอง แล้วก็ไปสร้างคุณค่ากับสังคม ทัศนคติก็คือตัวเองมีความคิดที่ดีต่อประเทศชาติไหม มีทักษะที่จำเป็น หรือแม้กระทั่งจบ ม. 3 แล้วไม่เรียนต่อ แต่จะไปทำมาหากินแถวบ้าน แล้วตัวเองมีทักษะเหล่านั้นหรือเปล่า โรงเรียนทำให้เด็กอยู่รอดได้ไหม 

ส่วนตัวองค์ความรู้ที่เป็น Knowledge เดิมประเทศไทยให้ความสำคัญมาก จำได้ ทำข้อสอบได้ คะแนนต้องสูงสุดไปเลย ก็มีสุภาษิตว่า ‘ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด’ ตอนนั้นเราให้ความสำคัญกับ Knowledge ค่อนข้างมาก แต่มาตอนนี้แค่ให้รู้เอาไว้เป็นพื้นฐานในการที่จะไปพัฒนาทักษะ ไปสร้าง Attitude ที่ดีต่อตัวเองและให้เห็นคุณค่ากับสิ่งต่างๆ  

โรงเรียนที่อยู่ในเครือข่ายที่ทำงานกับเรา มีแค่พันกว่าแห่ง แต่โรงเรียนทั้งประเทศมีเป็นหมื่น เขาอาจจะมี Approach อื่นๆ ในการทำงานก็ได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่เหมือนกันที่สุดคือ การวัดผลที่เด็ก เด็กดีขึ้น เด็กเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าถ้าเด็กเปลี่ยน มองย้อนกลับมา ครูใช้วิธีการอะไร เปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า ผู้อำนวยการมีมุมมองในการบริหารอย่างไร ดูย้อนกลับขึ้นไปได้หมดเลย 

แน่นอนว่าผลลัพธ์ของโครงการ เราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เด็ก ทีนี้ถ้าถามความคาดหวังในแง่ขององค์กร กสศ. มีธง หรือภาพฝันอะไรที่อยากผลักดันให้เป็นจริง

ความจริงแล้ว กสศ. ทำงานแต่ละชิ้น เรามีช่วงระยะเวลาในการทำงานที่เรียกว่า ‘เฟส’ อย่างงานวิจัยจาก TSQP ที่คิดว่า 6 มาตรการนั้นเป็นตัวเดินเรื่องการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบได้จริง จะพลัสเป็น 7-8-9 อะไรก็แล้วแต่บริบท ผมว่าเรื่องที่ 1 อยากให้โรงเรียนที่เห็นความสำคัญในการพัฒนาโรงเรียน นำองค์ความรู้ตรงนี้ไปใช้ประโยชน์ 

เรื่องที่ 2 พอเรามองเข้าไปในแต่ละมาตรการ มีตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ คือเรื่องของข้อมูลของโรงเรียน ที่จะนำไปสู่การตั้งเป้าหมายได้ชัด เพราะว่ามีข้อมูลตัวนี้บ่งชี้ พอมีข้อมูลแล้ว ระบบดูแลช่วยเหลือเด็กจะทำได้ดี เพราะมีการเก็บสถิติเอาไว้ มี Base line บางอย่าง มีข้อมูลในการไป PLC แลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือสร้างเครือข่ายกับเพื่อน 

เราจึงมองว่าระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมา ที่เรียกว่าโปรแกรม Q-Info ถ้ามีโอกาสเป็นระบบหลักในการทำข้อมูลระบบการศึกษาของประเทศ จะเป็นประโยชน์มาก

ตอนนี้พยายามทำงานกับ สพฐ. ต้นสังกัดที่มีโรงเรียนมากที่สุด โรงเรียนทำงานกับเราพันเศษๆ ก็จริง แต่ตอนนี้ใช้ระบบ Q-Info ที่เป็นฟรีแวร์ของเราประมาณ 4,000 โรงเรียนแล้ว เรามองว่าเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของ 30,000 โรงเรียนในสังกัด สพฐ. แล้ว ความยั่งยืนอันหนึ่งที่คิดว่าเป็นเป้าหมายสำคัญ คือ การใช้ข้อมูลร่วมกันของระบบการศึกษาของประเทศ จะไม่ใช่ต่างคนต่างทำแล้ว 

เพราะฉะนั้น เราพยายามขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลชุดเดียวกันทั้งประเทศให้ได้ กสศ.บอกว่ามีเด็ก Drop Out เด็กนอกระบบเป็นล้าน แต่ว่าในกระทรวงศึกษาธิการบอกว่ามีแค่เรือนหมื่น ฉะนั้นไม่ใช่ใครถูกหรือใครผิด เพียงแต่การจัดการชุดข้อมูลควรเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน สิ่งนี้เป็นภาพฝันภาพใหญ่ที่เราอยากให้ประเทศมีระบบการใช้ข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว แต่ไม่ใช่หนึ่งเดียวที่เชื่อเหมือนกันทั้งหมด อาจจะมีการตั้งคำถามได้ในบางจุด 

ดังนั้น ถ้าเรามองการเคลื่อนจาก TSQM ก็คือ Q-Info ผมไม่ได้บังคับว่าทุกโรงเรียนต้องใช้ระบบโปรแกรมฟรีแวร์ Q-Info ที่ กสศ. ทำ แต่ยังไงก็ได้ที่ให้ทุกโรงเรียนมีข้อมูลคุณภาพ แล้วเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลสำคัญของประเทศในเรื่องของการพัฒนาการศึกษา ก็จะลดการถกเถียงกันเรื่องข้อมูลว่า อันนั้นใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง แต่เอาข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกัน ดังนั้นถ้าเกิดว่าต้นสังกัดหรือกระทรวงศึกษาธิการจับมือกับ กสศ. ขับเคลื่อนเรื่องระบบ Q-Info อย่างต่อเนื่อง จากหน่วยระดับโรงเรียนขึ้นมา มี Dashboard ระดับเขต ระดับจังหวัด และระดับภูมิภาคใช้ หรือว่า สพฐ.ใช้ ผมว่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยยกระดับคุณภาพได้จากการใช้ข้อมูล 

แล้วในส่วนของ TSQM เฟสต่อไป หรือก้าวต่อไป หมุดหมายอยู่ตรงไหน 

เฟสของ TSQM เรามองภาพไปถึงปี 70 แต่ว่าในปี 68-69-70 นั้น กสศ. จะค่อยๆ ถอยหลังตัวเองในเรื่องของงบประมาณ เพราะเราวิเคราะห์ได้แล้วว่าการใส่งบประมาณลงไปในจุดไหนจึงจะเป็นจุดที่เรียกว่ามีประสิทธิภาพที่สุด เรื่องที่ 2 คือการหนุนให้ใช้เครื่องมือ DE กับ PLC เดิมนั้นเหมือนกับเป็นภาคบังคับว่าทุกโรงเรียนต้องเข้าสู่กระบวนการนี้ ใช้เครื่องมือนี้ แต่พอถัดจากปี 70 เราจะขยับออกมาเป็นทางเลือก จะใช้หรือไม่ใช้หรือใช้แบบไหน คุณสามารถจัดการตัวเองได้ แต่ว่าถ้าต้องการคลินิก เราอาจจะเปิดคลินิกเล็กๆ ไว้คอยให้คำปรึกษา กับเรื่องของการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บางครั้งหน่วยงานต้นสังกัดหรือโรงเรียนเองอาจจะมีงบประมาณจำนวนหนึ่ง เราก็สนับสนุนบางส่วน ก็จะเป็นระยะๆ ในการทำงานต่อไป 

อีกเรื่องคือเราจะมองทิศทางเหมือนกับการทำงานวิจัยระบบการศึกษาของประเทศ เพราะว่า กสศ. มี วสศ. คือ สถาบันวิจัยการศึกษาเพื่อความเสมอภาคอยู่ ก็เป็น Issue ระดับนานาชาติ เพื่อดูทิศทางการไปข้างหน้าของระบบการศึกษาของประเทศไทย ต้องไม่ตกขบวน บทบาทของ กสศ. เราพยายามทำงานเรื่องนี้เพื่อเชื่อมโยงกับองค์กรทั้งในและต่างประเทศ 

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางคร่าวๆ ว่าถ้าสมมติเราเคลื่อนงานจนมีโรงเรียนประมาณสัก 2,000-3,000 แห่งที่อยู่ในขบวน ทั้ง A ทั้ง N มองว่าเขาน่าจะเชิญชวนเพื่อนในพื้นที่ทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ เรียกว่าไม่ต้องไปบอกแล้วว่า หนึ่งต้องไปคูณสอง สองต้องไปคูณสี่ แต่ว่าเขาจะเคลื่อนกันไปเอง วันที่เราเช็คความก้าวหน้าได้นั้นคือ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่เรียกว่ามหกรรมการศึกษาที่ กสศ. จัด ซึ่งจัดมา 2 ครั้งแล้ว

สำหรับฝันในวันข้างหน้า อยากให้ประเทศไทยมีการรับรองคุณภาพโรงเรียนเหมือนโรงพยาบาล เพราะว่าตอนนี้เรามีระบบประเมินตนเองของโรงเรียนแล้ว อาจจะเป็น SAR (Self-Assessment Report รายงานการประเมินตนเอง) เพื่อที่จะให้ สมศ. (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา) แต่ก่อนที่จะให้ สมศ. เข้าไปตรวจ 

เราอยากให้มีแรงระเบิดจากการที่มองว่า โรงเรียนต้องมีคุณภาพเพื่อรองรับเด็กที่จะเข้ามาใช้บริการ 

อาจใช้คำนี้นะครับ ‘ผู้ใช้บริการ’ แล้วก็ออกไปอย่างมีคุณภาพ เหมือนกับการที่จะเดินเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล ต้องมั่นใจในคุณภาพ เครื่องมือ แพทย์ พยาบาล เพื่อที่จะออกไปด้วยสุขภาพดี เป็นแนวคิดในปี 68-69-70 แล้วก็ขยับไปข้างหน้าอีก อาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น ในเรื่องของการพยายามรับรองคุณภาพโรงเรียน นำแนวคิดของต่างประเทศมาใช้ แต่ไม่ใช่แค่ตราแสตมป์อย่างเดียว ต้องเป็นคุณภาพของจริง อาจจะเป็นงานต่อไปในปี 70-71-72 ก็ได้

สุดท้ายอยากสื่อสารอะไรไปถึงคนที่อาจกำลังรู้สึกผิดหวังต่อระบบการศึกษาไทย

ผมฟังข่าวมันก็เป็นความจริงในมุมที่เขานำข้อมูลผลสอบไปเปรียบเทียบกับประเทศนั้นประเทศนี้ แต่พอทำงานลึกๆ กับโรงเรียน ผมก็เห็นโรงเรียนที่เรียกว่าเป็นของจริงอยู่ไม่น้อย ส่วนตัวก็เลยไม่ได้ตกใจแล้วก็ผิดหวังกับผลที่ถูกนำเสนอในลักษณะนั้น แต่มองว่ายังมีอีกหลายโรงเรียน หลายพื้นที่ ที่ทำงานด้านนี้ได้เข้มแข็ง และเป็นความหวังได้

ผมเองไม่เคยหมดหวังกับระบบการศึกษา และอยากให้ทุกคนคิดว่า ยังมีพื้นที่การเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาเด็กตามแบบที่เด็กต้องการ หรือผู้ปกครองอยากเห็นอีกเยอะ แล้วก็ผมก็ยังเชื่อว่าโดยค่าเฉลี่ยแล้ว ประเทศไทยเรายังมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผมเชื่ออย่างนั้นครับ

Tags:

Q-infoพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาการศึกษากสศ.TSQMเด็กหลุดระบบการศึกษาดร.อุดม วงษ์สิงห์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • micheal-apple-nologo
    Transformative learning
    Michael Apple ในช่วงเวลาที่เราต้องคำถามว่าการศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หรือไม่ ?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Education trend
    การศึกษาจะไปทางไหนและปรับตัวอย่างไร เมื่อโควิด-19 ยังไม่จบลงง่ายๆ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    SISAKET ASTECS: กรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ หมุดหมายการสร้างเมืองและคนศรีสะเกษในระยะ 10 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’
Transformative learning
26 May 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023) เขียนโดย Adam Grant นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย โดยผมไม่ได้คัดลอกข้อความจากปัญญาประดิษฐ์โดยตรง แต่ใช้ข้อมูลจากปัญญาประดิษฐ์ช่วยการเขียนของผม    

ชีวิตที่ยาวนาน 82 ปี บอกผมว่า มนุษย์เราทุกคนมีพลังซ่อนเร้นอยู่มากมาย ที่หากรู้จักดึงออกมาใช้ จะเป็นคุณทั้งต่อเจ้าของพลังนั้น ต่อครอบครัว วงศ์ตระกูล ชุมชนโดยรอบ บ้านเมือง และต่อโลก แต่เมื่ออ่านหนังสือ Hidden Potential ก็พบว่ายังมีมิติพลังซ่อนเร้นของมนุษย์ที่ผมไม่เข้าใจ และไม่ตระหนักอีกมากมาย รวมทั้งมีวิธีปลดปล่อยพลังนั้นออกมา ที่มาจากผลงานวิจัย โดยที่ทั้งเป้าหมายและวิธีการเหล่านั้นจำนวนมากใช้ความเชื่อที่แตกต่าง หรือตรงกันข้ามกับที่เราเคยชิน

และที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นแนวทางและวิธีการที่ต่างจากความเชื่อและวิธีการที่ใช้กันอยู่ในระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน ที่เน้นการเรียนวิชา ผ่านการบอกสอนของครู ให้นักเรียนจดจำ 

ผมจึงเขียนบันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ เพื่อกระตุ้นการพลิกโฉม (transformation) ระบบการศึกษาไทย ให้จัดการศึกษาที่เอื้อให้ผู้เรียนปลุกพลังซ่อนเร้นของตนออกมากระทำการ เพื่อยกระดับคุณภาพพลเมืองไทยในอนาคต สำหรับช่วยกันยกระดับสังคมไทยสู่ประเทศรายได้สูงสังคมดี     

พลังซ่อนเร้น หรือศักยภาพของมนุษย์นี้ เกือบจะกล่าวได้ว่า ไร้ขีดจำกัด คือเมื่อบรรลุศักยภาพในระดับหนึ่งไปแล้ว ก็จะมีศักยภาพหรือพลังซ่อนเร้นในระดับที่สูงขึ้นรออยู่ เป็นไปตามหลักการ Zone of Proximal Development ของ Lev Vygotsky  

ประเทศที่ระบบการศึกษามีความก้าวหน้า ต่างก็พยายามค้นหาวิธีการที่ช่วยเอื้อการปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนเร้นดังกล่าว โดยที่ผู้ปลดปล่อยคือเจ้าตัวเอง ผ่านความรู้สึกมั่นใจหรือเป็นตัวของตัวเอง (agency) ผ่านการกระทำ (action) ของตนเอง ตามด้วยการสะท้อนคิด (reflection) สู่ความเข้าใจหลักการมิติต่างๆ ของการเรียนรู้อย่างบูรณาการ รวมทั้งความเข้าใจผิดชอบชั่วดี หรือที่เรียกว่า ค่านิยมศึกษา (VbE – Values-Based Education) ที่จะทำหน้าที่หางเสือชีวิต นำพาสู่ชีวิตที่ดี ที่เป็นกุศล    หลีกเลี่ยงอบายมุขได้          

บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ จะค่อยๆ บอกท่านผู้อ่านว่า 

ทุกย่างก้าวของชีวิตมนุษย์ และทุกสถานการณ์ของชีวิตจริงที่แต่ละคนเผชิญ ทั้งที่เป็นสถานการณ์ที่ให้ความสุขหรือความพึงพอใจ และที่เป็นสถานการณ์ที่ก่อความทุกข์ยากแสนสาหัส  ต่างก็เป็นประสบการณ์ที่ให้การเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ยิ่งทุกข์ยากสูง ยิ่งเป็นโอกาสเรียนรู้สูง    

คนที่ประสบความสำเร็จสูงในชีวิต มักเป็นผู้ที่มีทักษะเรียนรู้จากความล้มเหลว รู้จักนำมาสะท้อนคิดเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าสำหรับอนาคต สำหรับนำข้อเรียนรู้มาพลิกแพลงใช้ในต่างสถานการณ์ ที่เรียกว่าทักษะเพื่ออนาคต (future skills) และมองอีกมุมหนึ่งได้ว่า เป็น soft skills      

ข้อเรียนรู้สำคัญต่อวงการศึกษาไทย คือ การปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ ไม่สามารถทำได้โดยการศึกษาที่เน้นการบอกสอน หรือการเรียนรู้เชิงรับ (passive learning) ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนเชื่อตามที่ครูบอก และจดจำไว้ตอบข้อสอบ ต้องทำโดยนักเรียนทำกิจกรรม แล้วสะท้อนคิด ที่เรียกว่า การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) โดยครูเน้นทำหน้าที่ตั้งคำถาม สำหรับเป็น ‘นั่งร้าน’ (scaffolding) ให้นักเรียนไต่การเรียนรู้สู่มิติที่เป็นการเรียนรู้ขั้นสูง ตาม Bloom’s Taxonomy of Learning

นักเรียนควรได้ฝึกทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่หลากหลาย โดยต้องมีทั้งประสบการณ์ที่ราบรื่น และประสบการณ์ที่มีความทุกข์ยาก ผสมความล้มเหลว         

ซึ่งในกระบวนการนี้ นักเรียนจะได้ฝึกการตั้งคำถาม หรือฝึกเป็นคนช่างสงสัย (inquiry) แบบไม่รู้ตัว ที่จะมีทักษะของการใช้ข้อสังเกตจากกิจกรรมหรือประสบการณ์ นำมาตั้งคำถามสู่การสะท้อนคิด (reflection) สู่การตกผลึกหลักการเชิงนามธรรม (abstract conceptualization) ด้วยตนเอง   

พลังซ่อนเร้นในมนุษย์ ส่วนที่สำคัญยิ่ง คือพลังของการตีความ ทำความเข้าใจหลักการหรือทฤษฎี จากประสบการณ์ตรงของตนเอง ซึ่งก็คือการตกผลึกหลักการ หรือทฤษฎี ด้วยตนเอง ที่จะเป็นสมรรถนะแห่งอนาคต สำหรับนำไปใช้ในสถานการณ์ในอนาคตที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน   

เท่ากับศักยภาพซ่อนเร้นของมนุษย์คือ การมีสมรรถนะในการใช้ประสบการณ์ชีวิตยกระดับศักยภาพในการเรียนรู้ของตนขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดจบหรือขีดจำกัด ยิ่งประสบการณ์นั้นเข้มข้นและสดใหม่ การยกระดับศักยภาพในการเรียนรู้และพัฒนาของผู้นั้นก็ยิ่งสูง    

หัวใจสำคัญคือ ผู้นั้นต้องมีสติตั้งมั่นไม่เสียขวัญ เมื่อเผชิญประสบการณ์ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย หรือเป็นประสบการณ์ที่ขู่ขวัญหรือยากลำบากแสนสาหัส ยิ่งประสบการณ์มีความท้าทายสูง ข่มชวัญสูง ยิ่งเป็นโอกาสสูงต่อการเรียนรู้ตีความทำความเข้าใจหลักการจากประสบการณ์นั้นในมิติที่สูง แต่คนโดยทั่วไปมักสติแตกจากการถูกข่มชวัญนั้น และไม่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ยากลำบากแสนสาหัสนั้นได้   

บันทึกชุดนี้จะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจ ว่าความทุกข์ยากแสนเข็ญ จะช่วยให้ท่านเรียนรู้และยกระดับศักยภาพหรือสมรรถนะในตัวของท่านได้อย่างไร ท่านต้องทำอย่างไร ตั้งสติอย่างไร กำหนดท่าทีอย่างไร และมีสมรรถนะอะไร จึงจะสามารถเปลี่ยนความทุกข์ยากให้กลายเป็นพลังบวกยิ่งใหญ่แห่งชีวิตได้     

ท่านจะได้เรียนรู้ว่า ความเชื่อหลากหลายเรื่องที่คนเรายึดถือสืบทอดกันมา เป็นสิ่งผิดพลาดและปิดกั้นการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์อย่างไร จะทำอย่างไรจึงจะก้าวข้ามความเชื่อ และการปฏิบัติผิดๆ นั้นได้ โดยที่ในความเป็นจริงแล้วมีคนที่เข้าใจและสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้นได้ แต่ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นได้รับประโยชน์ด้วย 

หนังสือ Hidden Potential ได้ช่วยรวบรวมผลงานวิจัย ที่อธิบายปรากฏการณ์การปลดปล่อยพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ ในภาษาที่ไม่เป็นวิชาการและเข้าใจง่าย มีตัวอย่างจริงประกอบ และเมื่อผมค้นคว้าเพิ่มเติม โดยการตั้งคำถาม ให้ Generative AI หลายสำนักช่วยให้ข้อมูล นำมาเสนอให้สอดคล้องกับบริบทไทย ก็เชื่อว่าจะช่วยกระตุกความคิด กระตุ้นการปฏิบัติ ที่นำสู่การสะท้อนคิดจากประสบการณ์ของคนในวงการศึกษาไทย ที่จะนำสู่การพลิกโฉมการศีกษาไทย   

Tags:

ระบบการศึกษาActive Learningปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ค่านิยมศึกษาทักษะเพื่ออนาคต (future skills)หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ครบรอบ 20 ปี หนังสือ ‘ไชลด์เซ็นเตอร์ สำนวนซ้ำซากของการศึกษาไทย’ กับคำถามที่ว่า การศึกษายังคงเป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

‘เด็กฮู้จักควม’ คิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ    
Transformative learningSocial Issues
26 May 2025

‘เด็กฮู้จักควม’ คิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ    

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ‘เด็กฮู้จักควม’ หรือ ‘เด็กรู้จักความ’ เป็นภาษาอีสาน หมายถึง เด็กที่รู้จักหน้าที่ มีมารยาทดี รู้กาลเทศะ เป็นคุณลักษณะ 6 ด้าน ที่มุ่งพัฒนาเด็กและเยาวชนจังหวัดศรีสะเกษ
  • คุณลักษณะของ ‘เด็กฮู้จักควม’ จะเกิดขึ้นได้ โรงเรียน/ห้องเรียนต้องเปลี่ยนก่อน โดยต้องมีบริบทสภาพแวดล้อมที่สะอาดปลอดภัยทั้งกายและใจ มีหลักสูตรที่ส่งเสริมผู้เรียนเต็มศักยภาพตามความชอบและความถนัด
  • ผอ.วิชุดา ชัยชาญ โรงเรียนตะดอบวิทยา กล่าวว่า “เราได้กระบวนการทำงานที่สร้างแผน DE เครือข่าย แล้วเราก็ได้ผู้เรียนที่ตอบโจทย์ ‘เด็กฮู้จักควม’ นั่นหมายถึงว่า เด็กเขาสามารถที่จะดึงเอาความรู้ ทักษะ คุณลักษณะต่างๆ มาสร้างคุณค่าของเขาจากเด็กที่อาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เขากลายเป็นเด็กที่ถูกยอมรับในด้านที่เขามีความสามารถ”

“เด็กทุกวันนี้เขาเจอสถานการณ์ต่างๆ ที่ทั้งยุ่งยากและท้าทาย เราจะต้องสร้างเด็กให้มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ แยกแยะได้ว่าสิ่งที่เขาเจอนั้นมีที่มาอย่างไร แล้วก็คิดสังเคราะห์ นำไปสู่การออกแบบสร้างสรรค์ แก้ปัญหา แล้วก็เลือกตัดสินได้อย่างถูกต้องเหมาะสม”

วิชุดา ชัยชาญ ผู้อำนวยการโรงเรียนตะดอบวิทยา จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวถึงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยมุ่งเน้นส่งเสริมให้เด็กมีคุณลักษณะที่ดี มีทักษะสำคัญในการใช้ชีวิต พร้อมรับมือกับสถานการณ์ท้าทายในอนาคต หลอมรวมเป็น ‘เด็กฮู้จักควม’ เด็กศรีสะเกษ เป็นพลเมืองดี มีความคิด สื่อสารสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี เป็นนวัตกรประกอบการ บนฐานการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข

ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดประสบการณ์การขับเคลื่อนโครงการ TSQM-A จังหวัดศรีสะเกษ และภูเก็ต ช่วง ‘ถอดบทเรียนการสร้างการมีส่วนร่วม กรณีศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ’ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 อันเป็นกิจกรรมภายใต้ ‘โครงการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (TSQM-A)’ โดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ชวนภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของจังหวัด ผ่านการสนับสนุนให้โรงเรียนมีคุณภาพ โดยสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ ตลอดจนสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของประเทศและโลก

ผอ.วิชุดา ชัยชาญ โรงเรียนตะดอบวิทยา จังหวัดศรีสะเกษ และ ศน.ศิริประภา ษรจันทร์ศรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ

ถอดคุณลักษณะ 6 ด้านของ ‘เด็กฮู้จักควม’ 

ผอ. วิชุดา อธิบายว่า คำว่า ‘เด็กฮู้จักควม’ หรือ ‘เด็กรู้จักความ’ เป็นภาษาอีสาน หมายถึง เด็กที่รู้จักหน้าที่ มีมารยาทดี รู้กาลเทศะ เป็นคำชมที่มักได้ยินกันบ่อยๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผู้ใหญ่มักจะชมว่า “เด็กบ้านนี้ฮู้จักควม” คือเป็นเด็กที่รู้ประสีประสา รู้กาลเทศะ เป็นเด็กดี นั่นเอง

โดยการที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์ให้ ‘เด็กฮู้จักควม’ เติบโตขึ้นเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงนั้น ประกอบไปด้วยคุณลักษณะ 6 ด้าน ได้แก่ ความเป็นพลเมืองดี (Active Citizen), มีทักษะในการคิดขั้นสูง (Higher Order Thinking Skill: HOTS), ทักษะในการสื่อสาร (Communication), มีความฉลาดรู้ด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI (Digital Literacy), มีความเป็นนวัตกรและผู้ประกอบการที่ดี (Innovative Entrepreneur) และมีสุขภาวะดีทั้งกายและใจ (Good Health and well-being) ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้มาจากดินและปุ๋ยที่ดี นั่นก็คือ ฐานทุนของจังหวัดศรีสะเกษ

“เรามีต้นทุนด้านเกษตรกรรม การแปรรูปทางการเกษตร เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม มีภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย มีปราชญ์ชาวบ้านในด้านต่างๆ”

“ดังนั้นการจะสร้างเด็กฮู้จักควม เราก็จะไปดูว่าเด็กที่เป็นพลเมืองดี เขาต้องจัดการตัวเองได้นะ เวลาเขาเจอสถานการณ์ที่ยุ่งยาก หรือท้าทาย เขาจะทำยังไงให้รับมือกับสถานการณ์ตรงนั้นได้ เขารับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำ 

ที่สำคัญเขาต้องถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เป็นฐานทุนของศรีสะเกษ ทักษะการสื่อสารจึงสำคัญมากในการถ่ายทอดถึงความสำคัญ รู้ที่ไปที่มาของวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และภาษาถิ่นที่หลากหลาย เรามีทั้ง เขมร ลาว ส่วย กูย เยอ รวมไปถึงกระบวนการคิด การแก้ปัญหา 

คือเด็กทุกวันนี้เขาจะเจอสถานการณ์ต่างๆ ที่ทั้งยุ่งยากและท้าทาย เราจะต้องสร้างเด็กให้เขามีกระบวนการคิดวิเคราะห์ แยกแยะได้ว่าสิ่งที่เขาเจอนั้นมันมีที่มาอย่างไร แล้วก็คิดสังเคราะห์ นำไปสู่การคิดออกแบบสร้างสรรค์ แก้ปัญหา แล้วก็เลือกตัดสินได้อย่างถูกต้องเหมาะสม”

เพราะโลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามีส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น การมีความฉลาดรู้ เท่าทันต่อเทคโนโลยี และสื่อสารเป็น จึงเป็นทักษะสำคัญที่ทั้งผอ.วิชุดา และภาคีเครือข่ายทางการศึกษาพื้นที่ศรีสะเกษต่างมองเห็นเป็นภาพเดียวกันว่าจำเป็นอย่างมาก

“ทำอย่างไรให้เด็กเราใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร แล้วก็ไปสร้างการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งศรีสะเกษมีของดีเยอะมาก มีทุเรียนภูเขาไฟ ทำยังไงที่เขาสามารถสร้างนวัตกรรม หรือมีการสื่อสาร มีการตลาดที่ทันสมัยที่โดนใจเข้าถึงกลุ่มผู้คน แล้วทำให้ชุมชนของเขามีความเจริญงอกงาม หลุดพ้นจากจังหวัดที่ยากจนที่สุด 

ที่สำคัญอีกอันคือเรื่องการจัดการการเงิน อันนี้ต้องสร้างให้เกิดกับเด็กศรีสะเกษให้ได้ และท้ายที่สุดคนศรีสะเกษ เด็กศรีสะเกษ ต้องมีความสุขทั้งกายและใจ เรื่องใจนี่สำคัญมากเลย ทำยังไงเด็กถึงจะมีความฉลาดทางอารมณ์ ความคิด สามารถที่จะป้องกันตนเอง ดูแลสุขภาพ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงสอดคล้องกับภูมิสังคมของเขา 

สิ่งเหล่านี้แหละถ้าเราสามารถที่จะสร้างเด็กฮู้จักควมได้เยอะๆ ต่อไปศรีสะเกษจะกลายเป็นจังหวัดที่มีความงอกงามทั้งด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม แแล้วก็เรื่องของการประกอบอาชีพ เทคโนโลยีต่างๆ จะต้องเข้ามา สิ่งเหล่านี้เป็นภาพฝัน 10 ข้างหน้าของพวกเรา” ผอ. วิชุดา พูดถึงเป้าหมายสำคัญในการสร้าง ‘เด็กฮู้จักควม’

โรงเรียนร่วมออกแบบการเรียนรู้ ตอบโจทย์ ‘เด็กฮู้จักควม’

การทำงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ในส่วนของสถานศึกษาหรือโรงเรียน ผอ.วิชุดา เล่าว่า ใช้กระบวนการห้องปฏิบัติการทางสังคม หรือ Social Lab และ Developmental Evaluation (DE) การประเมินเชิงพัฒนา โดยเน้น 3 ด้าน คือ เน้นการมีส่วนร่วม การเรียนรู้ และการเสริมพลังคนทำโครงการให้ใช้ข้อมูล เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานนี้

“DE เป็นการดึงการมีส่วนร่วมจริงๆ ร่วมตระหนัก ร่วมรับรู้ ร่วมรับผิดชอบ คือทุกคนรู้สึกร่วมกันว่าอะไรเป็น Red Zone (ตัวบ่งชี้สำคัญที่สถานศึกษาจะบกพร่องไม่ได้/ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข) ดังนั้นพอทำงานขับเคลื่อนจึงเหมือนทุกคนเป็นเจ้าของปัญหานั้น มันทำให้การทำงานไม่เหนื่อย ไม่ใช่ผู้บริหารจะต้องไปชักจูงหรือไปคอยกำกับอย่างเดียว แต่เขากำกับตัวเองด้วย ในขณะเดียวกับเขาก็ร่วมประเมิน ร่วมสะท้อนว่าสิ่งที่ทำนั้นมันไปถึงไหน นั่นหมายถึงว่ามีเป้าที่ชัดเจน แล้วก็เป็นเป้าที่เกิดจากการคิดร่วมกัน แล้วก็มีแผนที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่จริงๆ”

อย่างเช่นโรงเรียนบ้านตะดอบวิทยา ของ ผอ. วิชุดา พบปัญหาเรื่อง การอ่านออกเขียนได้ เนื่องจากเด็กๆ ในพื้นที่ส่วนใหญ่ใช้ภาษาส่วยในการสื่อสาร เมื่อทุกฝ่ายต่างตระหนักถึงปัญหานี้ จึงเกิดเป็น KPI หรือตัวชี้วัดที่สามารถวัดได้และสะท้อนประสิทธิภาพของโรงเรียนในการบรรลุเป้าหมาย 

“ปัญหาจริงๆ ก็คือเรื่องการอ่านออกเขียนได้เลย ผู้ปกครองเองก็ตระหนัก ครูเองก็ตระหนัก ตัวผู้บริหารเองก็ตระหนัก มันจึงเกิด KPI (ตัวชี้วัด) ที่ชัดเลยว่า แล้วต่อไปนี้นักเรียนต้องเป็นยังไง ผอ.ต้องเป็นยังไง ครูต้องเป็นยังไง ผู้ปกครองต้องทำยังไงจึงจะแก้ปัญหานี้ได้ สุดท้ายจริงๆ มันเกิดผลลัพธ์กับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 

ในฐานะผู้บริหารโรงเรียนเราได้กระบวนการทำงานที่สร้างแผน DE เครือข่าย แล้วเราก็ได้ผู้เรียนที่ตอบโจทย์ ‘เด็กฮู้จักควม’ นั่นหมายถึงว่า เด็กเขาสามารถที่จะดึงเอาความรู้ ทักษะ คุณลักษณะต่างๆ มาสร้างคุณค่าของเขาจากเด็กที่อาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เขากลายเป็นเด็กที่ถูกยอมรับในด้านที่เขามีความสามารถ”

ศึกษานิเทศก์เป็นเพื่อนคู่คิด วางแผนและพัฒนาการศึกษาเชิงพื้นที่

นอกจาก ‘เด็กฮู้จักควม’ จะมาจากความคาดหวังที่จะเห็นเด็กศรีสะเกษเติบโตเป็นต้นกล้าที่เข้มแข็งพร้อมเผชิญกับโลกกว้างแล้ว คุณลักษณะนี้ส่วนหนึ่งมาจากเสียงของเด็กและเยาวชนจังหวัดศรีสะเกษเองด้วย 

ศน.ศิริประภา ษรจันทร์ศรี ศึกษานิเทศก์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่า เสียงของเด็กๆ มาจากกระบวนการ Focus group ฟังเสียงจากตัวแทนเด็กและเยาวชนจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้ตอบโจทย์คนในพื้นที่

“เด็กและเยาวชนในพื้นที่ของศรีสะเกษเองก็มีความหลากหลาย ของเราเป็นความหลากหลายทางเชื้อชาติ มีทั้งเขมร ส่วย กูย ลาว แล้วก็เยอ แล้วก็นำข้อมูลจากกลุ่มเด็กๆ มารวมกลุ่มกับผู้ใหญ่ในพื้นที่ ใช้การมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ พี่เลี้ยงเวทีมิสแกรนด์จังหวัด ก็มาทำ Social Lab วางแผน DE ของจังหวัดศรีสะเกษ จากนั้นก็มาสังเคราะห์ข้อมูลเป็นกระบวนการ DE ต้นน้ำทำแผน 1 ปี แล้วเราก็มาช่วยกันออกแบบ Motto หรือสโลแกนเก๋ๆ ของพวกเรา”

“จากนั้นเราเอาทุกความคิด ทุกเสียงที่มีความหมาย มาหลอมรวมเกิดเป็น Sisaket City ในอีก 10 ปีข้างหน้า เราก็ขยับรวมมาได้ 4 มิติ ก็คือในเรื่อง ต้องเป็นเมืองปลอดภัยและน่าอยู่ (Safe City) ต้องเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) ต้องเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และต้องเป็นเมืองเศรษฐกิจก้าวหน้า (Innovative and Economic City)” 

จากข้อมูลที่ ศน. ศิริประภา กล่าวข้างต้น นำไปสู่คุณลักษณะของ ‘เด็กฮู้จักควม’ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ โรงเรียน/ห้องเรียนต้องเปลี่ยนก่อน โดยบริบทสภาพแวดล้อม บรรยากาศในโรงเรียนต้องสะอาด ปลอดภัย มีสีสัน น่าเรียนรู้ มีแหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกห้องเรียน มีความปลอดภัยด้านร่างกายจิตใจทรัพย์สินสารเสพติดและอบายมุข ปลอดความรุนแรงด้านคำพูดการลงโทษ มีห้องปฏิบัติการ/สื่อที่พร้อม เช่น สระว่ายน้ำ สนามกีฬา ห้องสมุด ห้องทดลองหนังสือ อุปกรณ์ ทีวี อินเทอร์เน็ต มีพลังงานสะอาดน้ำแสงสว่างในห้องเรียนเพียงพอ 

นอกจากนี้ มีการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ มีลานแสดงความสามารถของนักเรียน มี Makerspace พื้นที่เรียนรู้ด้วยการลงมือสร้างสรรค์ มีเมนูอาหารกลางวันที่มีคุณภาพถูกหลักโภชนาการ รวมถึงด้านหลักสูตรและการจัดการการเรียนรู้ที่ทันยุคทันสมัย มุ่งเน้นสมรรถนะ สอดคล้องกับบริบทของนักเรียน โรงเรียน ผู้ปกครอง/ชุมชน และ DOE: Desired Outcomes of Education ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาของชาติ และจังหวัด คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกประสบการณ์อาชีพ ส่งเสริมความสามารถพิเศษ เช่น ด้านร้องเพลง ศิลปะการแสดง กีฬา เป็นต้น 

ด้านหลักสูตรต้องมีการบริหารจัดการพัฒนาให้ทันสมัย ส่งเสริมผู้เรียนเต็มศักยภาพ ตามความชอบและความถนัด เปิดรายวิชา ชุมนุม ชมรม วิชาเลือกอิสระที่หลากหลาย มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทั้ง Online และ Onsite มีการวัดและประเมินผลสอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้และหลากหลาย 

ที่สำคัญบุคลากร จำเป็นต้องมีความรู้ในการใช้จิตวิทยาเชิงบวก การสร้างพื้นที่ปลอดภัย รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่ภายนอก โรงเรียน ที่ควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับนักเรียนด้วย จึงจะนำไปสู่ ‘เด็กฮู้จักควม’ ได้ในอนาคต 

Tags:

ศน.ศิริประภา ษรจันทร์ศรีผอ.วิชุดา ชัยชาญศรีสะเกษDE (Developmental Evaluation)เด็กฮู้จักควมโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (TSQM-A)การพัฒนาคุณภาพการศึกษาคุณลักษณะ 6 ด้านการกำหนดเป้าหมาย

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Transformative learningSocial Issues
    ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Transformative learningSocial Issues
    การยกระดับคุณภาพการศึกษา เริ่มต้นที่ห้องเรียน การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มต้นที่ความเชื่อว่า ‘ทำได้’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Unique Teacher
    ยอดรัก ธรรมกิจ: สอนแบบเดียวกับวิถีที่เด็กใช้ชีวิต อยากเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Voice of New Gen
    SODLAWAY SILK แบรนด์ผ้าไหมที่ทอลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  
Social Issues
25 May 2025

ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

เรื่อง The Potential

  • กสศ. ร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เดินหน้าแก้ปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา ด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย ตั้งเป้าพาเด็กกว่า 5.5 หมื่นคนกลับสู่เส้นทางการเรียนภายในปี 2568 ผ่านแนวคิด Thailand Zero Dropout
  • เปิดโอกาสให้การศึกษาไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ขยายไปสู่แหล่งเรียนรู้จากอาชีพจริง ชุมชน และชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ทักษะชีวิตและอาชีพ ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้และได้รับวุฒิการศึกษาที่เทียบเท่าการเรียนปกติ
  • เรื่องราวของ ‘ฮักแพง’ และ ‘เบส’ เป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ว่าการศึกษายืดหยุ่นช่วยให้เด็กกลับมาพร้อมความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในชีวิต และเปลี่ยนแปลงตนเองได้จริง 

เด็กทุกคนควรได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม ซึ่งการศึกษาที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ให้โรงเรียนหรือห้องเรียน แต่คือการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตเพื่อบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง 

หากนี่คือโจทย์ของการสร้างคนเพื่อปูทางไปสู่การสร้างสังคมคุณภาพ การส่งเสริมให้เด็กไทยทุกคนอยู่ในเส้นทางการเรียนรู้ ถือเป็นภารกิจที่สำคัญ

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม ขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) โดยตั้งเป้าใช้การศึกษายืดหยุ่นช่วยเด็กกลับมาเรียนไม่น้อยกว่า 5.5 หมื่นคน ในปีการศึกษา 2568 นี้

พัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า เปิดเรียนครั้งนี้ มีเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา และไม่สามารถกลับเข้าสู่การเรียนในระบบโรงเรียนได้ เพราะปัญหาที่มีความซับซ้อน เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเดินทาง  และข้อจำกัดในชีวิตอื่นๆ  ราว 1,000 คน สามารถกลับมาเรียนด้วยแนวทางการจัดการศึกษายืดหยุ่น เรียนได้ทุกที่ มีรายได้ มีวุฒิการศึกษา  ผ่านโครงการโรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School ที่ กสศ. ร่วมมือ สพฐ. และเครือข่ายศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม ตามมาตรา 12 แห่งพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542   ซึ่งเป็นหนึ่งใน13รูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิต ภายใต้แนวคิดนำการเรียนไปให้น้องตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการที่ร่วมมือกับกสศ.   

พัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ.

“ปัจจุบันประเทศไทยยังมีเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา กว่า 8.8 แสนคน เป็นตัวเลขที่ลดจากปีการศึกษา 2567 ที่มีอยู่ราว 1.02 ล้านคน ข้อค้นพบจากการทำงานช่วยเหลือน้องๆ คือ ระบบการศึกษาและการเรียนรู้ต้องปรับให้ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิต และปากท้อง 

ปัจจุบันเรามีตาข่ายการศึกษาที่ช่วยโอบอุ้มรับเด็กๆ ในทุกข้อจำกัดไว้ ตั้งแต่โรงเรียนที่มีนวัตกรรม 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ  สกร.(กรมส่งเสริมการเรียนรู้) และศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม ที่จัดการศึกษาเหมือนกับสกร. แต่ต่างกันที่ผู้จัดการศึกษาไม่ใช่รัฐแต่เป็นสถาบันทางสังคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร อยู่ภายใต้สังกัด สพฐ. เป็นการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับผู้เรียนรายบุคคล และบริบทชุมชน มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาและสถานที่  ที่สำคัญคือทุกคนเป็นครูของผู้เรียนได้ (มาตรา 53 พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542)”

ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า เปิดเทอมใหม่ เรียนได้ทุกที่ มีรายได้ มีวุฒิการศึกษา คือ การเรียนรู้ที่ไม่ต้องเรียนที่โรงเรียน แต่เรียนรู้ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ทักษะวิชาการและประสบการณ์ต่างๆ จากแหล่งเรียนรู้อื่น ตามความถนัด ความสนใจของแต่ละคน และสอดคล้องกับบริบทพื้นที่เช่น ฟาร์มเกษตร  นาข้าว ผืนป่า สวนผัก สวนผลไม้  ตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านตัดผม วงดนตรีหมอลำ หรือแม้แต่ผู้เรียนที่มีข้อจำกัดเรื่องสุขภาพ ก็สามารถออกแบบวิธีการเรียนให้น้องๆ สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้  โดยคุณครูจากศูนย์การเรียนฯ จะวางแผนการจัดการเรียนการสอน ร่วมกับนักวิชาชีพต่างๆ ที่เป็นเจ้าของความรู้ในอาชีพนั้นๆ ไม่ว่าจะพ่อแม่ ปราชญ์ชุมชน กลุ่มแม่บ้าน ผู้นำชุมชน อบต. ท้องถิ่น นักวิชาชีพ ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน ฯลฯ  มีการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ร่วมกับหน่วยงาน องค์กร นักวิชาชีพต่างๆ ที่ร่วมจัดการศึกษา  ที่สำคัญน้องๆ จะมีรายได้จากการได้ลงมือทำงานจริงในเส้นทางเรียนรู้รูปแบบนี้ด้วย 

“ในปีการศึกษา 2568 กสศ. ได้รับความร่วมมือจากหุ้นส่วนการศึกษาทั้ง ชุมชนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ร่วมจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ให้แก่น้องๆ ที่หลุดจากระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นร้านไก่ทอด KFC  สำนักข่าวออนไลน์ The Reporters  New Gen Entertainment หมอลำไอดอล   แพลตฟอร์มShopee ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือ Sea Thailand  ฟาร์มไก่โคราช พลูโตฟาร์ม สหกรณ์การเกษตรพืชผักอินทรีย์หนองสนิทจำกัด สวนทุเรียนแปลงใหญ่ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี และอื่นๆ”

‘ฮักแพง’  วรัญญาภรณ์ วันทา อายุ 18 ปี เป็นตัวอย่างหนึ่งของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา และสามารถกลับสู่เส้นทางการเรียนรู้ ภายใต้แนวคิดการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น ซึ่งปัจจุบันเธอกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย หลักสูตรหมอลำศึกษา ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ พร้อมกับทำงานในตำแหน่งศิลปินผู้แสดงไปด้วย

ฮักแพง-วรัญญาภรณ์ วันทา

 โจทย์เรียนรู้ของฮักแพงคือการปรับจากการทำตาม ‘หน้าที่’ หรือมุมมองเฉพาะตามบทบาท สู่การคิดที่เชื่อมโยงมากขึ้น เช่น เรียนวิชาคณิตศาสตร์จากการหาพื้นที่ หรือสัดส่วนความกว้างยาวของเวที หรือเรื่องการแสดงก็จะโยงกับวิชาสังคมศึกษา วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสืบค้นไปได้ถึงรากวิถีชีวิตของคนในแถบภาคอีสาน  การเรียนรู้ที่ผสมผสานมาจากงานที่ทำ สามารถดัดแปลงใช้ได้กับทุกอาชีพ และน่าจะช่วยได้มากสำหรับคนที่หลุดจากระบบการศึกษาไปแล้วให้มีช่องทางกลับมาเรียนอีกครั้ง เพื่อมีความหวังที่จะนำวุฒิไปเรียนต่อ มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ และดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น   

“การติดตามบทเรียนต่างๆ แทบไม่ต่างจากการเรียนในห้องเลยค่ะ แค่วิธีนี้เราใช้ออนไลน์เป็นหลักและมีเวลาเรียนที่ไม่ตายตัวเท่านั้น ข้อดีของวิธีการนี้คือเราได้รับคำแนะนำจากครูได้ทันที และเป็นคำแนะนำรายคนที่ทำให้เห็นความก้าวหน้าหรือจุดบกพร่องของตัวเองทุกสัปดาห์ ไม่ต้องรอให้ถึงช่วงสอบและวัดผลทีเดียว นอกเหนือจากบทเรียน การที่ครูจัดกิจกรรมกลุ่มเป็นบางช่วง ยังช่วยเรื่องความรู้สึกว่าตนได้กลับสู่ safe zone ของ ‘ระบบการศึกษา’ อีกครั้ง เนื่องจากชีวิตที่เข้าสู่การทำงานแล้ว จะมีโอกาสน้อยมากสำหรับการพบเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่ ขณะที่การได้เข้ากลุ่ม ได้ทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนๆ ที่ตั้งใจกลับมาเรียนเหมือนกัน สามารถนำพาประสบการณ์ทางสังคมที่เคยได้รับในโรงเรียนกลับมา”

อีกหนึ่งรูปแบบของการเรียนรู้ที่ไม่ถูกจำกัดไว้แค่โรงเรียน ‘เบส’ คติกร ทองนรินทร์ นักเรียนโรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile school ศูนย์การเรียนซีวายเอฟ อบต.หนองสนิท จ.สุรินทร์  เล่าว่าการเรียนในรูปแบบนี้ เป็นการเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว เรียนรู้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน และสิ่งที่สนใจ ผ่านโครงงานหรือกิจวัตรประจำวันในชีวิต ทั้งในส่วนของงานบ้านและการประกอบอาชีพ

เบส-คติกร ทองนรินทร์ นักเรียนโรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile school ศูนย์การเรียนซีวายเอฟ อบต.หนองสนิท จ.สุรินทร์ 

“งานหลักของผมคือ เป็นช่างตัดผม การเรียนแต่ละครั้ง จะมีการตั้งหัวข้อ ตั้งโจทย์การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับ 8 กลุ่มสาระวิชาหลักของ สพฐ. เพื่อให้สามารถนำไปวัดประเมินผลลัพธ์ เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ก็จะมีการตั้งโจทย์ ให้ผมลองทำบัญชี รายรับรายจ่าย ของร้านตัดผม คำนวณต้นทุน ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเปิดร้าน วิชาศิลปะก็จะให้โจทย์เรื่องการออกแบบทรงผม ตามความต้องการของลูกค้า”  

เบส บอกว่า Mobile school ช่วยให้เขามีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดขึ้น สานฝันในการเป็นช่วงตัดผมประจำหมู่บ้านให้เป็นจริง เปลี่ยนชีวิตจากเด็กเกเรที่ไม่มีความรับผิดชอบ ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งในหน้าที่การเรียนและการทำงาน 

“ทุกวันนี้ผมตัดผมได้วันละ 4-5 คน ผู้ใหญ่ผมตัดหัวละ 40 บาท ถ้าเด็กๆ เป็นทรงนักเรียนอยู่ที่หัวละ 20 บาท ก็อยู่ได้ครับ บางวันผมออกไปตัดผมให้คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนถึงที่บ้าน เพราะหลายท่านเดินทางมาที่ร้านไม่ได้ ผมดีใจที่งานที่ผมชอบทำให้ทุกคนรักผม และเรื่องนี้สำคัญมาก มันเปลี่ยนโลกทั้งหมดของผมไปเลยครับ”

Tags:

การศึกษาThailand Zero Dropoutเด็กหลุดระบบการศึกษาการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Dr. Udom-nologo
    Transformative learning
    “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘เด็กทุกคนมีศักยภาพขอเพียงอย่าปิดกั้นโอกาส’  ชีวิตไม่หยุดฝันในวัน Dropout:  ‘กัน’ บัณฑิตา มากบำรุง

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Transformative learning
    ทำไมครูควรมีมุมมอง พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education)

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    การเรียนออนไลน์ : สมองของเด็กที่ชำรุดและสุขภาพจิตที่แปรปรวนของพ่อแม่

    เรื่อง The Potential

เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’
Book
24 May 2025

เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘เพื่อนยาก’ (Of Mice and Men) โดย จอห์น สไตน์เบ็ค เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างจอร์จและเลนนี่ สองชายผู้แตกต่างสุดขั้วที่ร่อนเร่พเนจรทำงานรับจ้าง และมีความฝันร่วมกันที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าในยุคเศรษฐกิจตกต่ำของอเมริกา ความสัมพันธ์ของพวกเขาเต็มไปด้วยความผูกพัน ความหวัง และความเปราะบางที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกสะเทือนใจ
  • หนังสือสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่มากับมิตรภาพ ผ่านเรื่องราวของจอร์จที่ต้องดูแลเลนนี่ ซึ่งมีความคิดเท่าเด็กน้อยแต่พละกำลังมหาศาล และแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของชีวิตจริงที่มักไม่เปิดโอกาสให้คนชายขอบหรือความฝันเล็กๆ เป็นจริงได้ในสังคมที่ไร้ความเมตตา
  • บางครั้งความรักและมิตรภาพที่แท้จริงก็อาจต้องแลกมาด้วยการเสียสละอย่างสุดหัวใจ จอร์จเลือกเส้นทางให้เลนนี่ ไม่ใช่เพราะมันง่ายหรือดีที่สุด แต่เพราะมันคือหนทางเดียวที่จะให้เพื่อนได้สัมผัสความฝันที่งดงามที่สุด แม้ต้องแลกกับความฝันของตัวเองที่แตกสลาย

ภายใต้คำนิยามทั่วไป ‘มิตรภาพ’ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนขึ้นไป ประกอบด้วยความผูกพัน ความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และพร้อมช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน

ขณะที่ในวรรณกรรมเด็กเรื่อง ‘เจ้าชายน้อย’ ตัวละครที่เป็นสุนัขจิ้งจอก พูดกับเจ้าชายน้อยว่า 

“เมื่อใดที่เราสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น เราจะต้องรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์นั้นด้วย เพื่อให้ความสัมพันธ์นั้นคงอยู่อย่างยั่งยืนและงดงาม”

คำพูดของสุนัขจิ้งจอก ครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนรัก ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘มิตรภาพ’

ในโลกวรรณกรรม มีหนังสือหลายเล่มที่หยิบยกเอาเรื่องมิตรภาพมาเป็นแก่นหลักของเรื่อง แต่อาจจะมีไม่กี่เล่มที่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนในใจคนอ่านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจุดประกายการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ถึงเรื่องราวของมิตรภาพ และความรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ของคนสองคนในเรื่อง

หนังสือเรื่อง ‘เพื่อนยาก’ หรือ Of Mice and Men ผลงานของ จอห์น สไตน์เบ็ค (John Steinbeck) นักเขียนรางวัลโนเบลชาวอเมริกัน นับเป็นหนึ่งในหนังสือที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอยู่เสมอ แทบทุกครั้งที่มีการพูดถึงเรื่องราวของมิตรภาพในโลกวรรณกรรม

หนังสือเรื่อง ‘เพื่อนยาก’ เป็นผลงานที่สไตน์เบ็คนำเอาประสบการณ์ช่วงหนึ่งของชีวิต ที่เคยทำงานเป็นแรงงานรับจ้างในไร่ เป็นเรื่องราวของชายสองคนที่ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจร รับจ้างทำงานตามไร่ต่างๆ โดยมีความฝันร่วมกันว่า สักวันหนึ่ง ทั้งสองจะสามารถเก็บเงินได้เพียงพอที่จะซื้อที่ดินทำไร่เลี้ยงสัตว์เป็นของตนเอง

จอร์จ และ เลนนี่ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่คือคู่ที่แตกต่าง ต่างคนต่างเป็นด้านตรงข้ามของกันและกัน แต่ก็ช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์

จอร์จ มิลตัน เป็นชายตัวเล็ก ท่าทางคล่องแคล่ว ฉลาดเฉลียว ส่วน เลนนี่ สมอล เป็นชายร่างยักษ์ ท่าทางงุ่มง่าม และมีอาการของคนปัญญาอ่อน เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกัน จอร์จจะทำหน้าที่เป็นมันสมองและปาก คอยคิดและคอยพูดแทนเพื่อนตัวโตของเขา ขณะที่เลนนี่จะทำหน้าที่เป็นร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ใช้แรงงานทำทุกอย่างที่จอร์จบอก แม้กระทั่งกระโดดลงน้ำทั้งที่ตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น

ดูเหมือนว่า ชีวิตของทั้งคู่น่าจะไปได้สวย แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พละกำลังที่มหาศาล บวกกับสติปัญญาที่น้อยนิดของเลนนี่ ทำให้เจ้าตัวมักจะก่อเรื่องร้ายแรงโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่เสมอ และทุกครั้งก็ส่งผลให้ทั้งคู่ต้องเผ่นหนีออกจากเมือง ก่อนที่จะถูกตำรวจจับ หรือไม่ก็ถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์เสียก่อน

จุดอ่อนของเลนนี่ คือ เขาชอบลูบคลำวัตถุที่นุ่มนิ่ม ไม่ว่าจะเป็นขนสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเช่น หนู กระต่าย ลูกสุนัข และยังรวมไปถึงกระโปรงผ้าที่แสนบอบบางของผู้หญิง ทุกครั้งที่เจอของนุ่มนิ่ม เลนนี่จะลูบมันอย่างอ่อนโยน เพราะมันให้สัมผัสที่ทำให้รู้สึกดี แต่น่าเศร้าที่เขาไม่เคยควบคุมพละกำลังของตัวเองได้เลย สัตว์ตัวเล็กที่ถูกเลนนี่จับมาลูบคลำ จึงมักจะตายไปในระหว่างที่พยายามดิ้นรนหนีจากการถูกเลนนี่ลูบ

ครั้งหนึ่ง เลนนี่หวุดหวิดจะถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ ในข้อหาพยายามลวนลามผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งที่ความจริงแล้ว ยักษ์ใหญ่ผู้มีสติปัญญาเท่าเด็กวัยอนุบาล ต้องการแค่จะสัมผัสความนุ่มนิ่มจากกระโปรงของหญิงสาวคนนั้นเท่านั้นเอง

เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ทั้งคู่ต้องซ่อนตัวในคูระบายน้ำทั้งวัน ก่อนจะเผ่นหนีออกจากเมืองเมื่อยามค่ำคืนอันมืดมิดมาถึง

แน่นอนว่า จอร์จ ผู้รับหน้าที่เป็นสติสัมปะชัญญะของเลนนี่ พยายามห้ามปรามและคอยดูแลไม่ให้เพื่อนร่างยักษ์ก่อเรื่องร้ายแรงเช่นนี้มาโดยตลอด แต่เลนนี่ไม่เคยจดจำอะไรได้เลย เพราะมันยากเกินกว่าที่สมองของเขาจะสามารถทำได้

“ถ้าฉันอยู่ตามลำพังล่ะก็ ฉันสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายมากเลย ฉันสามารถไปหางานทำแล้วทำงานและไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น… พอถึงสิ้นเดือนฉันก็จะได้เงินห้าสิบดอลลาร์… ไปซื้ออะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ” ครั้งหนึ่ง จอร์จ พูดโพล่งออกมาด้วยความโมโห “แล้วดูสิว่าฉันมีอะไร ฉันมีนาย! และนายก็ทำให้ฉันเสียงานทุกงานที่ฉันหาได้… นายทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากตลอดเวลาเลย!”

แต่พอเลนนี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ว่า “ถ้านายไม่ต้องการฉันนายก็แค่พูดออกมา แล้วฉันจะไปอยู่บนภูเขาโน่น แล้วใช้ชีวิตตามลำพัง”

เพียงเท่านั้น โทสะเบาบาง-จางหาย จอร์จ รู้สึกตัวและคิดขึ้นได้ว่า ถ้าไม่มีเขาอยู่ข้างๆ เลนนี่จะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าไม่มีเขาคอยตักเตือน คอยปกป้องคุ้มครอง เลนนี่ ซึ่งไม่ต่างจากเด็กอนุบาลในร่างยักษ์ ก็คงไม่มีทางอยู่รอดในโลกใบนี้ได้แน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกใบที่จอร์จและเลนนี่เกิดมา ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของอเมริกา คนที่ไร้การศึกษา ไร้ต้นทุนหรือแต้มต่อใดๆ แค่เพียงการเอาตัวรอดไปวันๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก

แต่ถึงจะไม่มีทรัพย์สินเงินทองใดๆ ทั้งคู่ก็ยังมีความฝัน ฝันที่จะเป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆสักผืน ที่ดินสักสองเอเคอร์ พร้อมกระต๊อบเล็กๆ สักหลัง ทำไร่ปลูกผักเลี้ยงสัตว์แค่พออยู่พอกิน ไม่ต้องเป็นแรงงานเร่ร่อนรับจ้างเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวัน และที่สำคัญ เลนนี่ ก็จะได้เลี้ยงกระต่ายของตัวเอง กระต่ายขนนุ่มนิ่มที่เขาสามารถลูบคลำได้ทั้งวัน

นอกเหนือจากการได้สัมผัสของที่มีความนุ่มนิ่มแล้ว สิ่งที่เลนนี่รักที่สุด ก็คือ ความฝันที่เขาและจอร์จมีร่วมกัน เขามักรบเร้าให้จอร์จบรรยายความฝันนั้นให้ฟังบ่อยๆ ซึ่งหากจอร์จอารมณ์ดี เขาจะเล่าด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำที่แทบเหมือนเดิมทุกครั้งว่า…

“คนอย่างพวกเราที่ทำงานในไร่ เป็นคนที่เปล่าเปลี่ยวที่สุดในโลก พวกเขาไม่มีครอบครัว พวกเขาไม่เป็นส่วนหนึ่งของที่ใด… พวกเขาไม่มีอนาคตอะไรให้มองหา

“ส่วนเราไม่เหมือนอย่างนั้น เรามีอนาคต เรามีใครบางคนให้พูดคุยและคอยใส่ใจ… สักวันหนึ่ง เราจะมีเงินด้วยกัน และเราจะมีบ้านหลังเล็กๆ กับที่ดินสักสองเอเคอร์ วัวตัวหนึ่งกับหมูสองสามตัว… เราจะมีแปลงผักขนาดใหญ่ และกรงกระต่าย”

นั่นคือความฝันของจอร์จและเลนนี่ ความฝันที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนความฝันของคนอเมริกัน (American Dream คือ ค่านิยมของคนอเมริกันที่เชื่อว่า หากทุ่มเททำงานหนักอย่างไม่ย่อท้อ ทุกคนจะสามารถประสบความสำเร็จ มีบ้าน มีรถ และครอบครัวที่อบอุ่นได้) แต่ก็เป็นความฝันที่ใหญ่โตเหลือเกินสำหรับคนชายขอบของสังคมอย่างจอร์จและเลนนี่

และความฝันนี้เอง ที่ทำให้มิตรภาพของชายสองคนยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น

และความฝันนี้เอง ที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนชายขอบคนอื่นๆ

เพราะพวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า…ความหวัง

ความฝันของจอร์จและเลนนี่ เข้าใกล้ความจริงมากที่สุด เมื่อทั้งคู่เข้าทำงานเป็นแรงงานรับจ้างที่ไร่แห่งหนึ่ง นอกเมืองโซลิแดด ตามแผนที่จอร์จคิดไว้ ทั้งคู่จะตั้งใจทำงานหนักเพื่อแลกกับค่าแรงเดือนละห้าสิบดอลลาร์ พยายามเก็บหอมรอมริบเพื่อนำเงินสะสมไปซื้อที่จากชายชราคนหนึ่ง ที่บอกขายในราคาหกร้อยดอลลาร์

แม้ว่าทั้งคู่จะมีเงินเก็บรวมกันเพียงสิบดอลลาร์ แต่แคนดี้ ชายชราผู้รับจ้างทำความสะอาดในไร่ อยากเข้าร่วมหุ้นเพื่อทำไร่แห่งความฝันด้วย หลังจากบังเอิญได้ยินเลนนี่หลุดปากพูดเรื่องนี้ โดยที่แคนดี้ มีเงินสะสมอยู่ถึงสามร้อยห้าสิบดอลลาร์

ตาเฒ่าแคนดี้ เต็มใจยกเงินของตัวเองให้กับจอร์จและเลนนี่ เพื่อแลกกับการได้เข้าร่วมในความฝันเล็กๆ นั้น เพราะรู้ตัวดีว่า ร่างกายที่พิการของตัวเอง บวกกับอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นาน แกก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์สำหรับไร่แห่งนี้

ในโลกความจริงที่แสนโหดร้าย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอย สิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ มักจะถูกกำจัดทิ้งอย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากสุนัขต้อนแกะของตาเฒ่าแคนดี้ ซึ่งแก่จนแทบลุกไม่ไหว และถูกคนงานในไร่ยิงทิ้ง ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ความฝันของทั้งสามคนจะกลายเป็นความจริง เลนนี่ ก็ก่อเรื่องอีกจนได้ และครั้งนี้ เขาพลั้งมือทำให้หญิงสาวที่เป็นภรรยาของลูกชายเจ้าของไร่เสียชีวิต ด้วยสาเหตุเพียงเพราะหญิงสาวนางนั้น เอ่ยปากชวนให้เลนนี่สัมผัสเส้นผมอันอ่อนนุ่มของเธอ

หากมีการทำโพลล์สำรวจความคิดเห็นว่า ฉากจบของหนังสือเล่มใดสะเทือนใจคนอ่านมากที่สุด ผมเชื่อว่า ฉากจบของ ‘เพื่อนยาก’ น่าจะติดในอันดับต้นๆ

จอร์จ เป็นคนเดียวที่รู้ว่า เลนนี่จะหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขารีบไปพบเลนนี่ก่อนหน้าที่คนอื่นๆ จะไปถึง

“นายจะไม่ทิ้งฉันใช่ไหมจอร์จ ฉันรู้ว่านายจะไม่ทำ” เลนนี่พูดเสียงดัง เมื่อเห็นหน้าจอร์จ

“ไม่หรอก”

“เอ้อ ฉันจากไปได้นะ ฉันจะขึ้นเขาไปเลยแล้วหาถ้ำอยู่ถ้านายไม่ต้องการฉัน”

“ไม่” จอร์จ พูด “ฉันอยากให้นายอยู่กับฉันที่นี่”

จอร์จ เริ่มต้นเล่าความฝันให้เลนนี่ฟังอีกครั้ง พลางชี้ชวนให้เพื่อนร่างยักษ์มองไปที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ เลนนี่มองเห็นภาพไร่เล็กๆ ของพวกเขา พร้อมฝูงกระต่ายที่เลี้ยงไว้ จอร์จล้วงหยิบปืนออกมาอย่างเงียบๆ ขณะที่คนงานคนอื่นๆ ในไร่ กำลังเดินเข้ามาใกล้ที่หลบซ่อนของเลนนี่

เสียงปืนดังขึ้น เลนนี่จากไป พร้อมกับความฝันที่สมจริงราวกับมีชีวิต จอร์จยังคงอยู่ พร้อมกับความฝันที่แตกสลาย

ว่ากันว่า หนังสือเล่มเดิมที่เราหยิบขึ้นมาอ่านในแต่ละครั้ง จะให้ความรู้สึกและข้อคิดที่ไม่ซ้ำกัน หนังสือเรื่อง “เพื่อนยาก” ก็เช่นกัน

ผมจำได้ว่า ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรก ผมรู้สึกสงสารเลนนี่ ในตอนนั้น อดคิดไม่ได้ว่า จอร์จถือสิทธิ์อะไรในการคิดแทนเลนนี่ว่า การจบชีวิตไปขณะที่ยังมีภาพความฝันอันงดงาม คือทางออกที่ดีที่สุด ทำไมไม่คิดว่า ถ้าสามารถเลือกได้ เลนนี่อาจเลือกหนีไปอยู่บนภูเขาเพียงลำพัง ถึงจะอยู่อย่างลำบากยากแค้น แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่

หรือต่อให้ถูกจับตัวส่งตำรวจ ก็ไม่ได้หมายความว่า เลนนี่จะต้องถูกลงโทษประหารชีวิตเพียงอย่างเดียว ศาลอาจพิพากษาลงโทษเขาในสถานเบากว่านั้น ด้วยเหตุผลเรื่องสติไม่สมประกอบ ซึ่งอาจทำให้เลนนี่ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลก็ได้

ไม่มีใครตอบได้ เพราะไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าว่าทางเลือกที่เราเลือกจะนำไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดี หรือยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม

ในการหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านครั้งล่าสุด ผมกลับนึกสงสารจอร์จมากกว่า สิ่งที่เขาทำ อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่มันคือการแสดงความรับผิดชอบต่อมิตรภาพ และความไว้เนื้อเชื่อใจที่เลนนี่มีให้เขา

ไม่มีใครบอกได้ว่า หากเลนนี่มีโอกาสเลือกเอง เขาจะเลือกเส้นทางไหน แล้วเส้นทางนั้นจะนำไปสู่จุดหมายปลายทางเช่นไร แต่ในความคิดของจอร์จ เส้นทางที่เขาเลือกให้ อาจจะเป็นเส้นทางเดียวที่นำพาเลนนี่ไปพบภาพที่เขาวาดฝันไว้

และนั่นคือ การแสดงความรับผิดชอบต่อมิตรภาพที่จอร์จมอบให้กับเลนนี่ด้วยการช่วยให้ความฝันของเพื่อนใกล้เคียงความจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้ความฝันในส่วนของจอร์จสูญสลายหายไปก็ตาม

Tags:

ความสัมพันธ์เพื่อนชายขอบหนังสือ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Cover
    Book
    The Wild Robot: ชีวิตที่ลิขิตเอง ไม่ต้องรอโปรแกรมคำสั่ง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Weaponized-Incompetence-1
    Relationship
    Weaponized Incompetence: ทำไมการ ‘แกล้งทำไม่เป็น’ เพื่อโยนงานให้คนอื่น ถึงเป็นเรื่องท็อกซิกในความสัมพันธ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์
How to enjoy life
21 May 2025

พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความยากในการระบุว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรเป็นลักษณะสำคัญของภาวะที่เรียกว่า ‘Alexithymia’ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตและนำไปสู่ปัญหาในความสัมพันธ์ได้
  • คนที่มีอาการ Alexithymia อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนไร้อารมณ์ เนื่องจากมักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาให้คนอื่นรับรู้ แต่แท้จริงแล้วยังมีอารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าอารมณ์เหล่านั้นคืออะไร และควรจะแสดงออกมาอย่างไร
  • การเกิดภาวะ Alexithymia มี ‘ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม’ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การเลี้ยงดู ประสบการณ์วัยเด็ก สังคมรอบข้าง ฯลฯ หากครอบครัวและสังคมส่งเสริมให้เด็กมีความรู้เท่าทันทางอารมณ์จะช่วยลดการเกิดภาวะ Alexithymia ในอนาคตได้

หลายครั้งในช่วงชีวิตของเราอาจพบเจอกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดหรือไม่สบายใจ เพียงแต่ในบางครั้งเรากลับบอกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ร่างกายของเรามีความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างผิดที่ผิดทาง แต่กลับอธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้คืออะไร 

ประสบการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นกับใครหลายคน บ้างก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ บ้างก็ก่อให้เกิดความสับสนทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง ความยากในการระบุว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรเป็นลักษณะสำคัญของภาวะที่เรียกว่า ‘Alexithymia’ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตและนำไปสู่ปัญหาในความสัมพันธ์ได้

Alexithymia คืออะไร?

‘Alexithymia’ หรือที่แปลว่า ‘ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์’ หมายถึง ภาวะที่บุคคลมีความยากลำบากในการระบุ ทำความเข้าใจ และแสดงออกถึงอารมณ์ของตนเอง พูดง่ายๆ คือ ขาดความตระหนักรู้ในอารมณ์ของตัวเอง หรือในภาษาทั่วไปเรียกว่าเป็น ‘ภาวะมองไม่เห็นอารมณ์’ (Emotional Blindness)

ภาวะ Alexithymia ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิต (Mental Disorder) ตามคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตฉบับที่ 5 (DSM-5) อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้มักเป็นอาการที่เกิดร่วมกับโรคทางจิต (เช่น ซึมเศร้า, PTSD) และโรคทางกายอื่นๆ (เช่น สมองบาดเจ็บ, พาร์กินสัน)

อาการหลักๆ ของ Alexithymia

  • มีปัญหาในการพินิจภายใน (Introspection) ไม่สามารถตรวจสอบความคิดความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเองได้
  • สับสนว่าการตอบสนองทางร่างกายเชื่อมโยงกับอารมณ์อย่างไร เช่น ไม่แน่ใจว่า ‘ใจเต้นแรง’ เพราะกำลังตื่นเต้นหรือกลัว
  • ยากลำบากในการสื่อสารอารมณ์ของตัวเองให้ผู้อื่นรับรู้ มักใช้การคิดแบบมุ่งเน้นภายนอก (Externally Oriented Thinking) เช่น เน้นพูดถึงสิ่งที่จับต้องได้ โดยละเลยความรู้สึกหรือการใช้จินตนาการ
  • ยากลำบากในการระบุและตอบสนองอารมณ์ของผู้อื่น เช่น อ่านสีหน้าไม่ออก ไม่เข้าใจความแตกต่างของน้ำเสียง

ทั้งนี้ คนที่มีอาการ Alexithymia อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนไร้อารมณ์ เนื่องจากมักไม่ค่อยแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาให้คนอื่นรับรู้ จึงอาจดูเหมือนเป็นคนด้านชา 

แต่แท้จริงแล้ว Alexithymia ยังมีอารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าอารมณ์เหล่านั้นคืออะไร และควรจะแสดงออกมาอย่างไร

แนวโน้มการพบ Alexithymia

จากงานศึกษาขนาดใหญ่ในปี 2006 พบว่า ภาวะ Alexithymia พบได้ใน 9.9% ของประชากร หรือพูดง่ายๆ คือจากประชากรทั้งหมด 100 คน อาจพบคนที่มีภาวะ Alexithymia ได้ประมาณ 10 คน อีกทั้งยังพบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

Dr. Ronald F. Levant นักจิตวิทยาและอดีตประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ได้ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับการพบภาวะ Alexithymia ในเพศชายมากกว่าเพศหญิงว่า ‘Normative Male Alexithymia’ หรือแปลว่า ‘ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์ในชายตามบรรทัดฐาน’ 

‘ชายตามบรรทัดฐาน’ ในที่นี้หมายถึงผู้ชายที่ยึดติดกับ ‘ความเป็นชายตามขนบ’ (Traditional Masculinity) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าผู้ชายเป็นเพศที่แข็งแกร่ง มีอำนาจ และเป็นขั้วตรงข้ามกับผู้หญิง ทำให้ผู้ชายไม่ได้รับการปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับอารมณ์ในวัยเด็ก อีกทั้งสังคมยังไม่ส่งเสริมให้ผู้ชายเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ เพราะมองว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง

โดยในปี 2020 มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่าสมมุติฐาน ‘Normative Male Alexithymia’ ของ Dr. Levant เป็นจริง เนื่องจากพบว่าความเป็นชายตามขนบมีความสัมพันธ์กับภาวะ Alexithymia ในเพศชาย

กล่าวโดยสรุปคือ การเกิดภาวะ Alexithymia มี ‘ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม’ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การเลี้ยงดู ประสบการณ์วัยเด็ก สังคมรอบข้าง ฯลฯ หากครอบครัวและสังคมส่งเสริมให้เด็กมีความรู้เท่าทันทางอารมณ์จะช่วยลดการเกิดภาวะ Alexithymia ในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม การเกิดภาวะ Alexithymia ก็ไม่ได้มีแค่ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังมี ‘ปัจจัยด้านร่างกาย’ ด้วย เช่น พันธุกรรม คนที่มีญาติพี่น้องเป็น Alexithymia ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นภาวะนี้ด้วย หรือการบาดเจ็บในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ก็อาจก่อให้เกิด Alexithymia ได้เช่นกัน

ผลกระทบจาก Alexithymia 

Dr. Brett Marroquin นักจิตวิทยาคลินิก กล่าวว่า การระบุอารมณ์ไม่ได้ ทำให้เราปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยากลำบาก เพราะอารมณ์เป็นสิ่งที่เราใช้รับรู้ถึงสถานการณ์ต่างๆ เช่น ปลอดภัย/อันตราย, เร่งรีบ/ไม่เร่งรีบ คนที่ระบุอารมณ์ไม่ได้อาจทำให้ตีความสถานการณ์ได้ไม่ดีและนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด

หากอธิบายในเชิงจิตวิเคราะห์ อารมณ์ในตอนแรกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายที่ระดับ ‘จิตก่อนสำนึก’ (Preconscious) ซึ่งเป็นส่วนของจิตใจที่เราไม่ได้ตระหนักถึง แต่หากใช้ความตั้งใจก็จะสามารถดึงขึ้นมาที่ระดับ ‘จิตสำนึก’ (Conscious) ให้เรารับรู้ได้

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของนักประสาทวิทยา Sigmund Freud แบ่งจิตของมนุษย์เป็น 3 ระดับ

แม้อารมณ์ที่เกิดขึ้นในระดับจิตก่อนสำนึกจะไม่ได้ทำให้เราตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของมัน แต่อารมณ์ในระดับนี้ก็ส่งผลต่อร่างกายแล้ว เช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เกิดพฤติกรรมที่ตอบสนองอารมณ์นั้น การจะดึงอารมณ์ขึ้นมาในจิตสำนึก เราจะต้องใช้ความพยายามในการระบุว่ามันคืออารมณ์อะไร 

เมื่ออารมณ์ขึ้นมาอยู่ในระดับจิตสำนึก การพยายามควบคุมอารมณ์จึงเกิดขึ้น โดยการควบคุมในที่นี้อาจหมายถึงการคงอารมณ์นั้นไว้ หรือพยายามลด-เพิ่มระดับของอารมณ์นั้น ดังนั้นคนที่มีภาวะ Alexithymia ที่ไม่ทราบว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร จึงไม่สามารถดึงอารมณ์ขึ้นมาในจิตสำนึกได้ ทำให้ควบคุมอารมณ์ได้ยาก 

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีภาวะ Alexithymia อาจเกิดการสะสมของอารมณ์ กล่าวคือ ร่างกายเกิดการกระตุ้นเร้าจากอารมณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการอยู่ต่อเนื่อง จนนำไปสู่ความเจ็บป่วยทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง แน่นหน้าอก ฯลฯ โดยอาการในลักษณะนี้เรียกว่า ‘กายวิปริตด้วยจิตเป็นเหตุ’ (Psychosomatic Disorder) 

นอกจากนี้ คนที่มีภาวะ Alexithymia อาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดย Dr. Cynthia King นักจิตวิทยาคลินิก กล่าวว่า คนที่มีภาวะนี้มักมีปัญหาในการรับรู้และเข้าใจอารมณ์ของคนอื่น ทำให้ไม่รู้ว่าต้องตอบสนองอย่างไรจึงจะเหมาะสม อีกทั้งอีกฝ่ายก็อาจไม่เข้าใจคนที่มีภาวะนี้ด้วย เพราะไม่สามารถอธิบายอารมณ์ของตัวเองและไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร อีกฝ่ายเลยไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร

เมื่อไม่มีความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย การทำความเข้าใจกันจึงเป็นเรื่องยาก 

เพราะคนเราจะสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งได้ก็ต้องมี ‘การเปิดเผยตนเอง’ (Self-disclosure) เปิดเผยความคิด ความรู้สึก และข้อมูลของตัวเอง เพื่อทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเราเป็นคนอย่างไรและสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ความใกล้ชิดสนิทสนมและความไว้วางใจในที่สุด

การวินิจฉัย Alexithymia

เนื่องจาก Alexithymia ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตตามคู่มือ DSM-5 ทำให้ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการวินิจฉัย โดยแนวทางที่นิยมในปัจจุบันคือการใช้แบบประเมินตนเองเพื่อตรวจสอบว่ามีอาการเข้าข่ายภาวะนี้มากน้อยแค่ไหน

หนึ่งในแบบประเมินที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันคือ ‘Toronto Alexithymia Scale’ (TAS-20) ซึ่งประกอบด้วยคำถาม 20 ข้อที่เป็นการให้คะแนน 1-5 ว่าเห็นด้วยกับประโยคที่ยกมาหรือไม่ เช่น ฉันมักจะสับสนว่าฉันกำลังรู้สึกอารมณ์อะไรอยู่, ฉันมักจะไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงโกรธ

ด้วยความที่แบบประเมินมีคำถามเพียง 20 ข้อ ทำให้คนทั่วไปสามารถประเมินได้ด้วยตัวเองโดยใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น และแม้ว่าจะไม่มีเวอร์ชันภาษาไทย แต่คำศัพท์ที่ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ยากมากนัก ทำให้คนทั่วไปสามารถประเมินได้ในเบื้องต้นว่าตัวเองมีภาวะ Alexithymia ในระดับไหน เพื่อจะได้วางแผนถึงแนวทางการแก้ไขได้

ทั้งนี้ หากพบว่ามีแนวโน้มจะเป็น Alexithymia และเคยมีประวัติบาดเจ็บทางสมอง หรือมีความเสี่ยงที่จะมีความเจ็บป่วยทางจิต (เช่น ซึมเศร้า, PTSD) แนะนำให้ไปพบผู้เชี่ยวชาญ เพราะ Alexithymia ก็อาจเป็นอาการที่พบร่วมกับโรคอื่นๆ ได้

การรักษา Alexithymia

การแก้ไขภาวะ Alexithymia ในขั้นต้นควรเริ่มจากการฝึกฝนการระบุอารมณ์ของตัวเองผ่านการใช้ ‘วงล้ออารมณ์’ (Wheel of Emotions) วิธีใช้คือสำรวจตัวเองว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร โดยเริ่มจากเลือกอารมณ์พื้นฐานที่อยู่ตรงกลางของวงล้อ จากนั้นค่อยๆ ขยับออกไปทีละขั้น เพื่อเลือกอารมณ์ที่เจาะจงมากขึ้น

วงล้ออารมณ์จากสหประชาชาติ ประเทศไทย (2021)

การพยายามเรียกชื่ออารมณ์เป็นเทคนิคที่เรียกว่า ‘Name it to Tame it’ (เรียกมันเพื่อทำให้มันเชื่อง) ของจิตแพทย์ Dr. Dan Siegel โดยเขาได้อธิบายว่า การเรียกชื่ออารมณ์ทำให้สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์สงบลงและกลับสู่สภาวะที่สมดุล ทั้งนี้ เราอาจฝึกเรียกชื่ออารมณ์ได้จากการมองย้อนกลับไปที่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ววิเคราะห์ว่าตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไรกันแน่

นอกจากนี้ ‘การสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย’ ก็เป็นอีกเทคนิคที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงอารมณ์ เพราะอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้ร่างกายของเราเกิดความเปลี่ยนแปลงไปโดยอัตโนมัติ เช่น ใจเต้นแรง หายใจแรง กล้ามเนื้อตึง เหงื่อออก มือเย็น ฯลฯ

อีกทั้ง ‘การสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย’ พร้อมกับ ‘การสำรวจบริบทแวดล้อม’ ก็จะช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร เพราะอารมณ์บางอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เหมือนกัน เช่น ‘ใจเต้นแรง’ อาจเกิดจากความตื่นเต้นหรือความกลัว ถ้าเราดูบริบทรอบตัวไปด้วยก็จะช่วยให้เราเจาะจงได้มากขึ้นว่าอารมณ์นี้คืออะไรกันแน่

อย่างไรก็ตาม หากภาวะ Alexithymia เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บทางสมอง วิธีการเหล่านี้ก็อาจใช้ไม่ได้ผล ทางที่ดีที่สุดคือการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการประเมินที่ละเอียดมากขึ้น และรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมกับเรามากที่สุด เพราะวิธีการรักษาแบบหนึ่งก็อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป

แม้ว่า Alexithymia จะไม่ใช่ความผิดปกติทางจิต แต่ภาวะนี้ก็ส่งผลต่อการเข้าใจตัวเองและผู้อื่น รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ การไม่สามารถระบุหรือแสดงออกถึงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมอาจเป็นสัญญาณของโรคทางจิตหรือโรคทางกายได้ ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้ภาวะนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข

อ้างอิง

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2024). การเปิดเผยตนเอง – Self-disclosure.

มาโนช หล่อตระกูล. (2011). ทฤษฎีจิตวิเคราะห์.

วีระวัฒน์ อุทัยรัตน์. (2517). กายวิปริตด้วยจิตเป็นเหตุ PSYCHOSOMATIC DISORDERS. วารสารครุศาสตร์, 4(5), 60-66.

สหประชาชาติ ประเทศไทย. (2021). วันนี้คุณได้ลองถามตัวเองบ้างหรือยังว่าคุณรู้สึกยังไง?

Dan Siegel. (2014). Name it to Tame it.

Edupedia Publications. (2021). THE THREE LEVELS OF HUMAN CONSCIOUSNESS: The Unknown Inside You.

Jayne Leonard. (2025). What to know about alexithymia (emotional blindness).

Kristeen Cherney. (2024). Alexithymia: Difficulty Recognizing and Feeling Emotions.

Liaqat, H., Malik, T.A., & Bilal, A. (2020). Impact of Masculinity and Normative Male Alexithymia on Interpersonal Difficulties in Young Adult Males. Mediterranean Journal of Clinical Psychology, 8(2), 

Mattila, A.K., Salminen, J.K., Nummi, T., & Joukamaa, M. (2006). Age is strongly associated with alexithymia in the general population. Journal of Psychosomatic Research, 61(5), 629-635.

Natalie Engelbrecht. (2024). Toronto Alexithymia Scale.

Panayiotou, G. (2018). Alexithymia as a core trait in psychosomatic and other psychological disorders. In Charis, C., & Panayiotou, G. (Eds.), Somatoform and other psychosomatic disorders: A dialogue between contemporary psychodynamic psychotherapy and cognitive behavioral therapy perspectives (pp. 89-106). Springer International Publishing/Springer Nature.Wendy Wisner. (2023). Alexithymia Might Be the Reason It’s Hard to Label Your Emotions.

Tags:

การสื่อสารการเลี้ยงดูAlexithymiaภาวะมองไม่เห็นอารมณ์’ (Emotional Blindness)วงล้ออารมณ์จิตวิทยาความสัมพันธ์

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Curse Child Star-nologo
    Healing the trauma
    จิตวิทยาของ ‘เด็กดัง’: ทำไมดาวดวงน้อยถึงดิ่งลงเหวเมื่อพวกเขาเติบโต?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘แม่โสสะ’ แม่ที่มีอยู่จริงของลูก 16 คนที่เธอไม่ได้ให้กำเนิด แต่รักหมดหัวใจ: แม่อ้อย- ลักษณี เลื่อนล่อง

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Relationship
    ปัดจอจนเหนื่อยใจ แล้วไหนล่ะคู่ฉัน

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

‘วิทยาลัยส้มจุก’ พื้นที่ปลูกความหวัง สร้างการเรียนรู้ ปูทางสู่อนาคตกลุ่มเปราะบาง: อะหมัด หลีขาหรี
Life Long Learning
19 May 2025

‘วิทยาลัยส้มจุก’ พื้นที่ปลูกความหวัง สร้างการเรียนรู้ ปูทางสู่อนาคตกลุ่มเปราะบาง: อะหมัด หลีขาหรี

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ศูนย์การเรียนรู้ ‘วิทยาลัยส้มจุก’ เป็นพื้นที่เรียนรู้ที่ไม่มีเกรด ไม่มีตำรา แต่เปลี่ยนคนได้จริง โดยมีการออกแบบกระบวนการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในการสร้างอาชีพ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้หลายคนกลับมายืนบนลำแข้งของตัวเอง ยังวางรากฐานของความยั่งยืนให้กับชุมชนในระยะยาวด้วย
  • แรกเริ่มเป้าหมายคือเพื่อรักษา ‘ส้มจุก’ สิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งใกล้สูญพันธุ์ให้คงอยู่ต่อไป กลายเป็นการจัดการเรียนรู้ของคนในชุมชน ทั้งเด็กนอกระบบ เยาวชน และผู้สูงอายุ 
  • สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ กลับกลายเป็นคนที่ดูแลต้นไม้เองได้ มีอาชีพ มีรายได้ แม้จะเล็กน้อยในตอนแรก แต่เขาเริ่มเห็นคุณค่าของตัวเอง และมองเห็นศักยภาพในสิ่งเล็กๆ ที่ทำ

“วันนี้ส้มจุกจะนะไม่ใช่ระบบธุรกิจ แต่มันคือโรงเรียน มันกลายเป็นสถาบันการศึกษาไปแล้ว”

อะหมัด หลีขาหรี แกนนำชุมชนบ้านแคเหนือ และครูโรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ใครจะคาดคิดว่า ‘ส้มจุก’ ผลไม้พื้นถิ่นรสหวานอมเปรี้ยว จะกลายมาเป็นแกนกลางของการเปลี่ยนแปลงในชุมชนไม่ใช่แค่การฟื้นคืนพืชเศรษฐกิจ แต่คือการรื้อฟื้นศักยภาพของคนในพื้นที่ เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิด และยกระดับการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม

ในวันนั้นส้มจุกแทบจะหายไปจากพื้นที่ อะหมัด หลีขาหรี จึงพยายามรวมกลุ่มชาวบ้านก่อตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนส้มจุกจะนะ โดยเขารับหน้าที่เป็นเลขานุการ ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะอนุรักษ์และขยายพันธุ์ ‘ส้มจุก’ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของ ‘จะนะ’ 

ประจวบเหมาะกับในปี 2562 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มีโครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน พวกเขาจึงขอรับทุน ‘โครงการพัฒนาทักษะอาชีพการขยายพันธุ์และดูแลสวนส้มจุก ชุมชนบ้านแคเหนือ ต.แค อ.จะนะ จ.สงขลา’ 

หลังจากนั้น ในปี 2564 โครงการพัฒนาทักษะอาชีพฯ ได้ยกระดับเป็นศูนย์การเรียนรู้ ‘วิทยาลัยส้มจุก’ ภายใต้ชื่อ ‘โครงการพัฒนาทักษะอาชีพการขยายพันธุ์และดูแลสวนส้มจุกจะนะ’ ซึ่งมีการออกแบบกระบวนการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในการสร้างอาชีพ และให้ความสำคัญต่อการทำงานกับเด็กและเยาวชนมากขึ้น โดยมี ‘โค้ช’ ในชุมชนทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ และเป็นพี่เลี้ยงที่คอยรับฟัง ชี้แนะ และเป็นกำลังใจให้ผู้ร่วมเรียนรู้ได้ค่อยๆ ค้นพบเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเอง พัฒนาเป็นอาชีพและผู้ประกอบการ

ที่แห่งนี้จึงไม่ใช่แค่พื้นที่ปลูกส้มจุก แต่คือพื้นที่ส่งเสริมอาชีพ ที่ปลูกความหวัง และปลูกความสัมพันธ์ใหม่ในชุมชน ฟื้นฟูทั้งเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กัน 

ผลไม้ลูกเล็กๆ ที่เกือบจะกลายเป็นแค่ความทรงจำของคนจะนะ จึงกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ ที่คนทุกวัยสามารถเข้ามาเติมเต็มศักยภาพของตัวเองได้ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้หลายคนกลับมายืนบนลำแข้งของตัวเอง และต่อยอดเป็นอาชีพได้ ยังวางรากฐานของความยั่งยืนให้กับชุมชนในระยะยาวด้วย

อะหมัด หลีขาหรี แกนนำชุมชนบ้านแคเหนือ และครูโรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา

‘ส้มจุก’ จากพันธุ์ไม้ที่กำลังหายไป สู่การค้นพบความหมายของชีวิต

“จุดประสงค์หลักเริ่มแรกคือตั้งใจจะสร้างขึ้นมาเพื่อขยายพันธุ์ ‘ส้มจุก’ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของอำเภอจะนะ เป็นพืชที่มีความโดดเด่น เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือ ส้มจุกหายไปและใกล้จะสูญพันธุ์ เลยเริ่มรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา ซึ่งก็ได้เกษตรอำเภอช่วยในการตั้งกลุ่มขึ้นมา โดยการดำเนินการช่วงแรกคือ เริ่มจากการสรรหาสมาชิกว่าบ้านไหนยังมีส้มจุกอยู่บ้าง เราก็รวมตัวกัน เพื่อที่จะขยายพันธุ์”

อะหมัด เล่าว่า เป้าหมายแรกคือเพื่อรักษาสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของจะนะให้คงอยู่ต่อไป เพราะส้มจุกจะนะในอดีตเคยมีวางขายที่สถานีรถไฟจะนะ และเป็นที่จดจำในฐานะของฝากประจำถิ่น 

ซึ่งการแจกจ่ายต้นพันธุ์ในช่วงแรก ไม่ได้เป็นเพียงการปลูกต้นไม้ แต่เป็นการปลูกความหวังว่า ชุมชนจะสามารถกลับมายืนหยัดได้จากรากฐานที่เคยมีอยู่ เพราะสำหรับเขา การขยายพันธุ์ส้มจุก ไม่ใช่แค่เรื่องพืชผล แต่คือการฟื้นกลับของจิตวิญญาณชุมชน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชุมชนประสบปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องราคายางพาราตกต่ำ ทำให้ชาวบ้านหลายคนไม่มีรายได้แน่นอน บางคนต้องเดินทางไปทำงานต่างถิ่น บางคนตกงานเพราะพิษเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมาเจอสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้เด็กหลายคนหลุดออกจากระบบการศึกษา ครอบครัวหลายครัวต้องกลับมาอยู่บ้านโดยไม่มีทางเลือกมากนัก 

ท่ามกลางความเปราะบางเหล่านี้ ‘ส้มจุก’ จึงกลายมาเป็นความหวังเล็กๆ ที่สามารถหยั่งรากลึกลงในใจของคนในชุมชนอีกครั้ง ทำให้จากแค่การฟื้นฟูพันธุ์ กลายเป็นการพัฒนาทักษะอาชีพในการขยายพันธุ์และอาชีพเสริมทั่วไป และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นการสร้างศูนย์เรียนรู้ ‘วิทยาลัยส้มจุก’ ให้กับคนในชุมชน 

“พอเราทำไปทำมา กลายเป็นการจัดการเรียนรู้ขึ้นมาด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องอาชีพเพียงอย่างเดียว เป็นการเรียนรู้ของคนในชุมชน ทั้งเด็กนอกระบบ เยาวชน และผู้สูงอายุ ก็เข้ามาเรียนรู้เยอะมาก”

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัดในด้านกำลังคน แต่อะหมัดและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนของเขาไม่เคยหยุด พวกเขาใช้ส้มจุกเป็นเครื่องมือเล็กๆ ในการเชื่อมโยงครอบครัวให้กลับมาเรียนรู้และดูแลชีวิตตัวเอง

“เรามีปรัชญาเบื้องหลังจากตรงนี้ว่า ถ้าเขาสามารถดูแลพันธุ์ไม้ที่ให้ไปได้ เขาก็จะดูแลชีวิตตัวเองได้ เพราะถ้าเขาดูแลให้มันออกดอกออกผล มันก็เป็นหลักฐานว่าเขาดูแลตัวเองได้”

พื้นที่เรียนรู้ที่ไม่มีเกรด ไม่มีตำรา แต่เปลี่ยนคนได้จริง

หลังจากได้เข้าร่วมโครงการทุนพัฒนาอาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ของกสศ. ในปี 2562 อะหมัดและทีมงานเริ่มออกแบบกระบวนการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเยาวชนนอกระบบและกลุ่มแรงงานนอกระบบที่มีรายได้น้อย ไม่มีวุฒิการศึกษาสูง และไม่มีต้นทุนในการเริ่มอาชีพ โดยใช้อาชีพส้มจุกเป็นตัวตั้ง

“โจทย์ของ กสศ. คือกลุ่มที่จบ ม.6 รายได้ไม่เกิน 6,500 บาทต่อเดือน ไม่มีต้นทุน ซึ่งเราก็เห็นว่ามันตรงกับคนในพื้นที่ของเราหลายคนมากๆ” อะหมัดเล่า

กระบวนการเริ่มจากการลงพื้นที่สแกนชุมชนจริง โดยโค้ชที่ผ่านการอบรมจะพูดคุยและคัดกรองผู้ที่สนใจร่วมโครงการ เน้นกลุ่มที่หลุดจากระบบ ไม่มีชื่อในระบบการศึกษา ไม่มีรายได้ประจำ และพร้อมเรียนรู้ โดยโค้ชจะช่วยแนะนำให้แต่ละคนได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเหมาะกับอาชีพแบบใด

“เราจะสกรีนว่าคนที่มาสมัครตรงนี้เขาเป็นคนที่ไม่มีชื่อในระบบ ไม่มีชื่อในกศน. เป็นกลุ่มที่หลุดออกจากระบบการศึกษาจริงๆ รวมถึงกลุ่มที่เป็นแรงงานนอกระบบ เราก็ให้ผู้ใหญ่บ้านและ อบต. ช่วยกรองอีกที”

ซึ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหา ‘เด็กหลุดจากระบบการศึกษา’ กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ และในตำบลแคก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อะหมัดบอกว่าปัญหาสำคัญคือเมื่อเด็กเหล่านี้หลุดออกมาแล้ว การพาเขากลับเข้าสู่ระบบอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย

“โชคดีที่ตำบลแคของเรามีจำนวนเด็กหลุดออกนอกระบบไม่เยอะมาก เพราะว่าในพื้นที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับระบบการศึกษาพอสมควร รวมทั้งในพื้นที่ของเราก็มีทางเลือกทางการศึกษาค่อนข้างหลากหลาย ทั้งเรียนในระบบสามัญ เรียนเอกชน โรงเรียนศาสนาอิสลาม กศน. (การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) หรือ ปอเนาะ (ศูนย์การเรียนศาสนาแบบดั้งเดิมของมุสลิมในภาคใต้)  แต่เท่าที่เราดึงกลับให้มาอยู่ในโครงการส้มจุกก็ประมาณ 14-15 คน”

แม้จะมีความพร้อมในเชิงโครงสร้าง สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ คือบริบทของครอบครัว อะหมัดอธิบายว่า เด็กบางคนไม่สามารถเข้าถึงโอกาสได้ เพราะครอบครัวย้ายถิ่นฐาน หรือเด็กบางคนไปอยู่ต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย จึงยากต่อการตามหาและดึงกลับมาเข้าสู่ระบบอีกครั้ง

“กสศ. เขาให้งบสำหรับอุปกรณ์คนละ 2,500 บาท ว่าอยากทำอาชีพอะไร ต้องการอุปกรณ์อะไร เราก็จัดหาให้ แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นได้ โค้ชต้องคุยกับเขาก่อน ว่าเขาชอบอะไร สนใจอะไร ฐานเดิมของเขาคืออะไร แล้วเราก็พยายามให้เขาทำของเดิมให้ดีขึ้น บางคนไม่มีแม้แต่ความมั่นใจในตัวเอง ไม่เคยมีอาชีพเป็นของตัวเองแต่พอได้มีคนเข้ามานั่งคุย ฟังความต้องการจริงๆ ก็เริ่มเกิดแรงบันดาลใจเล็กๆ ว่า เราก็ทำได้”  อะหมัดอธิบาย

โครงการไม่ได้หยุดแค่การมอบอุปกรณ์ แต่ตามด้วยการติดตามอย่างใกล้ชิดผ่านโค้ช และมีเกณฑ์ประเมินความก้าวหน้า เช่น ความสม่ำเสมอ ความใส่ใจ การใช้อุปกรณ์อย่างเหมาะสม และการมีส่วนร่วมในชุมชน หากใครมีความรับผิดชอบมากขึ้น จะได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม เช่น เข้าฝึกอบรม สอนคนอื่น หรือนำสินค้ามาขายที่ ‘หลาดส้มจุก’ ตลาดที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนในชุมชนนำผลผลิตที่ได้จากการเรียนรู้มาสร้างรายได้ทุกวันอาทิตย์ ให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน

“เราไม่ได้ให้เขานั่งเรียนอย่างเดียว แต่เราดูว่าเขาอยากทำอะไร แล้วเราหาโค้ชให้เขา มีเครื่องมือให้เขา แล้วให้เขาลงมือเลย” อะหมัดสรุปหัวใจสำคัญของการจัดการเรียนรู้ในโครงการนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ กลับกลายเป็นคนที่ดูแลต้นไม้เองได้ มีอาชีพ มีรายได้ แม้จะเล็กน้อยในตอนแรก แต่เขาเริ่มเห็นคุณค่าของตัวเอง และมองเห็นศักยภาพในสิ่งเล็กๆ ที่ทำ นอกจากนี้โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมเรียนรู้ได้เป็นโค้ชต่อ สอนคนอื่น ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองเคยได้รับ จนกลายเป็นระบบเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง แต่พัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ

“ปีแรกเรามีผู้ร่วมเรียนรู้ 50 คน ปีที่สอง 50 คน รวมเป็น 100 คน แล้วปีที่สามมี 80 คน ปีล่าสุด 100 คน และปีนี้ 150 คน ซึ่งปีล่าสุดเป็นโครงการขยายผลครอบคลุม 3 พื้นที่ ตำบลคู ตำบลแค และตำบลท่าหมอไทร” อะหมัดเล่าถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเครือข่ายผู้ร่วมเรียนรู้

“สองปีแรกเรามี 100 คน เป็นคนใหม่หมดเลย แต่ปีที่ 3 จะมีผู้ร่วมเรียนรู้เดิมเข้าร่วมด้วย เพราะเราก็ให้ผู้ร่วมเรียนรู้ที่ดูมีหน่วยก้านดีมาเป็นโค้ชต่อ แต่ว่าสัดส่วนของผู้ร่วมเรียนรู้ใหม่จะสูงกว่าผู้ร่วมเรียนรู้เดิมประมาณ 80 ต่อ 20 เพราะเราอยากเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ ด้วย” 

โดยบทบาทของโค้ชจะไม่ใช่แค่สอนงาน แต่รวมถึงการเป็นเพื่อนร่วมคิด พี่เลี้ยง และคอยให้กำลังใจระหว่างทาง

“เขาไม่ได้อยู่ในฐานะครู แต่เป็นเพื่อนร่วมทาง เป็นคนที่ถามว่า เธออยากทำอะไร แล้วช่วยคิด ช่วยจัดหาให้ และอยู่ด้วยกันในกระบวนการทั้งหมด เพราะกระบวนการที่สอนคนอื่น ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองเคยได้รับ จะกลายเป็นระบบเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง แต่พัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ”

เมื่อผลลัพธ์ไม่ได้วัดที่รายได้ แต่คือการลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองอีกครั้ง

สิ่งที่เกิดขึ้นในจะนะ ไม่ใช่แค่การมีตลาดให้ขายของ แต่คือการมีพื้นที่ให้คนธรรมดาได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าทำได้ และที่สำคัญคือมีใครสักคนคอยเชื่อว่า ‘เขาจะทำได้’

โดยช่วงปี 2564 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ กสศ. เปลี่ยนบทบาทจากการมุ่งส่งเสริมอาชีพ เป็นการสนับสนุน ‘โอกาสในการเรียนรู้’ โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน อาชีพจึงไม่ได้เป็นเป้าหมายปลายทางอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องมือกลางทางในการพัฒนาคน กระบวนการทั้งหมดจึงเปิดกว้างขึ้น และหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วย

อะหมัดเล่าว่า เมื่อโจทย์เปลี่ยนจาก ‘อาชีพ’ เป็น ‘การเรียนรู้’ ก็เริ่มออกแบบ ‘สายพานอาชีพ’ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของส้มจุกอีกต่อไป แต่รวมถึงกิจกรรมทุกอย่างที่คนในชุมชนสามารถเรียนรู้และต่อยอดเป็นอาชีพได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงไส้เดือน ทำปุ๋ยหมัก ดูแลสวน ปลูกผัก หรือ เพาะเห็ด 

“คนที่เข้าร่วมโครงการกับเรามีอาชีพ 100% ตอนนี้เรามี 15 อาชีพ ซึ่งก็มีหลากหลายมาก แต่พอตอนหลัง กสศ. ให้โจทย์ว่าจะต้องดูแลเยาวชนนอกระบบด้วย ปัญหาคือวัยรุ่นหลายๆ คนไม่ชอบทำการเกษตร เพราะมันไม่ใช่จริตของเยาวชนยุคนี้ เราเลยจะให้เขาเลือกสิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุข เขาก็สามารถอยู่กับครอบครัวไปพร้อมกับการทำงานได้ด้วย เราพยายามส่งเสริมในรูปแบบนี้”

อะหมัดเล่าถึงที่มาของการปรับกระบวนการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยในปี 2566 ภายใต้ ‘โครงการพัฒนากลไกการสร้างครอบครัวตื่นรู้ตำบลแคโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน’ ก็ได้มีการปรับอาชีพตามความถนัดและความสนใจของผู้ร่วมเรียนรู้ เช่น การขายของออนไลน์ การลับมีดกรีดยาง ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอยู่ในหลักคิดเดิม คือ ‘ให้อาชีพที่ทำแล้วมีความสุข’ และยังคงสอดคล้องกับบริบทของชุมชน

บทเรียนจากส้มจุก คือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

“วันนี้ส้มจุกจะนะไม่ใช่ระบบธุรกิจ แต่มันคือโรงเรียน มันกลายเป็นสถาบันการศึกษาไปแล้ว”

บทเรียนจากส้มจุกไม่ใช่เพียงการเกษตร ไม่ใช่แค่การมีตลาด ไม่ใช่แค่การมีโค้ช หากแต่คือการสร้างพื้นที่ที่คนสามารถเริ่มต้นใหม่ในแบบของตัวเองได้ โดยมีความเชื่อมั่นเล็กๆ ว่า ต้นไม้ต้นหนึ่ง อาจเปลี่ยนทั้งชีวิตของใครบางคนได้

อะหมัดเองก็ได้รับบทเรียนใหม่จากเส้นทางนี้เช่นกัน ในฐานะครูที่เติบโตมากับระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม เขาได้เรียนรู้ว่าการศึกษาไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องมีเกรด ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ตำราเสมอไป

“ผมเป็นครูในระบบสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งคลุกคลีกับระบบการศึกษาในระบบ พอมาเจอกสศ. มันเป็นศึกษาในรูปแบบใหม่ ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง เราเองก็นำไปใช้กับในระบบด้วย ซึ่งผมก็ชวนผู้บริหารให้เข้าเป็นโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมของจังหวัด เป็นโรงเรียนนำร่อง คือเราเห็นทางเลือกของกสศ. ที่นำเสนอการศึกษารูปแบบใหม่ๆ”

ถึงวันนี้ อะหมัดบอกว่าความฝันของเขาคือ การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 

“เราเห็นว่าจริงๆ แล้วความรู้มันก็ง่ายๆ ไม่ได้ซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องไปอิงกับตำราตลอดเวลา ทุกครั้งที่จัดกระบวนการให้ผู้ร่วมเรียนรู้ มันเห็นได้ชัดเลยว่าความรู้นั้นอยู่ในตัวเรา และเราก็นำสิ่งที่มีในตัวเองมาแลกเปลี่ยนกัน”

Tags:

โครงการพัฒนาทักษะอาชีพเศรษฐกิจวิทยาลัยส้มจุกอะหมัด หลีขาหรีการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Transformative learningSocial Issues
    ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Dek-Hoo-Jak-Kuam_nologo
    Transformative learningSocial Issues
    ‘เด็กฮู้จักควม’ คิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ    

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ‘เปลี่ยนความพิเศษเป็นพลัง’ ลบคำว่า ‘สงเคราะห์’ ออกจากการศึกษาของเด็กพิเศษ: ผศ.ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘เปิดเทอมที่ไม่ได้เรียนต่อ’ ทางออกอยู่ที่ไหน เมื่อเด็กตกอยู่ในการวนซ้ำของการหลุดจากระบบการศึกษา

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel