Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: October 2024

สอนอ่านด้วย ‘โฟนิกส์’ ช่วยให้เด็กอ่านออก เขียนได้ เข้าใจความหมาย
Learning Theory
8 October 2024

สอนอ่านด้วย ‘โฟนิกส์’ ช่วยให้เด็กอ่านออก เขียนได้ เข้าใจความหมาย

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การสอนแบบโฟนิกส์ เป็นการสอนให้เด็กรู้จักการออกเสียงของอักษรแต่ละตัวและนำเสียงมาประสมกันเป็นคำได้ ไม่ใช่การท่องจำเพียงอย่างเดียว
  • เวลาอ่านเราจะดูว่าอักษรแต่ละตัว (หน่วยอักขระ) แทนเสียงอะไร (หน่วยเสียง) จากนั้นเราจึงรู้ว่าอักษรเหล่านั้นเมื่อรวมกันอ่านได้เป็นคำว่าอะไร ทำให้เราเข้าใจความหมายของสิ่งที่เขียนได้ สรุปง่าย ๆ คือ การอ่าน = เห็นคำ → ออกเสียง → เข้าถึงความหมาย
  • การสอนภาษาไทยโดยใช้หลักโฟนิกส์ประกอบด้วยขั้นตอนการสอน 4 ขั้น ได้แก่ 1) เรียนรู้เสียงตัวอักษร, 2) ฝึกการสอนประสมเสียง, 3) รู้จักการเทียบเคียง และ 4) หัดอ่านเขียนเข้าใจคำ

การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้การสื่อสารในปัจจุบันเน้นไปที่การเขียนหรือการพิมพ์มากขึ้น เช่น การโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดีย หรือการสนทนาผ่านห้องแชต แม้ว่าการอ่านจะเป็นทักษะสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตในยุคนี้ แต่ผลสำรวจกลับพบว่า คนไทยเกือบ 2 ใน 3 มีทักษะการอ่านที่ต่ำกว่าเกณฑ์

จากการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) พบว่า คนไทย 64.7% มีทักษะด้านการรู้หนังสือที่ต่ำกว่าเกณฑ์ กล่าวคือ คนกลุ่มนี้แทบจะไม่สามารถอ่านและทำความเข้าใจข้อความสั้นๆ ได้ เช่น ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งอย่างง่ายบนฉลากยาได้

การเสริมสร้างทักษะการอ่านควรเริ่มสอนตั้งแต่ยังเด็ก เพราะจะเป็นรากฐานสำคัญของการอ่านในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม การอ่านและการเขียนไม่เหมือนกับการฟังและการพูด เมื่อห้อมล้อมไปด้วยภาษา เด็กสามารถฟังและพูดตามคนอื่นได้อย่างง่ายดาย แต่เด็กกลับไม่สามารถอ่านและเขียนได้เองโดยปราศจากการสอน

การสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ต้องคำนึงถึงวิธีการที่เหมาะสมและมีความใส่ใจสูง การสอนในปัจจุบันที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ได้ดีคือ การสอนแบบโฟนิกส์ ซึ่งเป็นการสอนให้เด็กรู้จักการออกเสียงของอักษรแต่ละตัวและนำเสียงมาประสมกันเป็นคำได้ ไม่ใช่การท่องจำเพียงอย่างเดียว

การสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) คืออะไร?

โฟนิกส์ (Phonics) เป็นวิธีการสอนให้เด็กรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ตัวอักษร’ กับ ‘เสียง’ พูดง่ายๆ ก็คือ การสอนให้เด็กรู้ว่าอักษรแต่ละตัวในภาษาออกเสียงว่าอย่างไร ซึ่งเป็นคนละคำกับ โฟเนติกส์ (Phonetics) เพราะคำนั้นหมายถึงศาสตร์แขนงหนึ่งของภาษาศาสตร์ที่ศึกษาการออกเสียงของมนุษย์

การสอนอ่านโดยเน้นให้รู้จักการออกเสียง เป็นวิธีการที่สอดคล้องกับธรรมชาติการอ่านของมนุษย์ โดยงานวิจัยในวารสาร Scientific Studies of Reading พบว่า การอ่านคือการเชื่อมโยงระหว่าง ‘หน่วยอักขระ’ (grapheme) กับ ‘หน่วยเสียง’ (phoneme) 

กล่าวคือ เวลาอ่านเราจะดูว่าอักษรแต่ละตัว (หน่วยอักขระ) แทนเสียงอะไร (หน่วยเสียง) จากนั้นเราจึงรู้ว่าอักษรเหล่านั้นเมื่อรวมกันอ่านได้เป็นคำว่าอะไร ทำให้เราเข้าใจความหมายของสิ่งที่เขียนได้

แม้ว่าคำนั้นจะเป็นคำที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีชนิดที่ว่าเห็นปุ๊บรู้ความหมายปั๊บ ก็ยังมีการหาความเชื่อมโยงของหน่วยอักขระและหน่วยเสียงในหัวของเราอยู่ เพียงแต่กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ ทำให้เราแทบไม่รู้ตัว

สรุปง่าย ๆ คือ การอ่าน = เห็นคำ → ออกเสียง → เข้าถึงความหมาย

นอกจากนี้ การสอนแบบโฟนิกส์ควรใช้การสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit Teaching) คือ การสอนโดยตรงด้วยการย่อยทักษะที่ซับซ้อนให้ค่อยๆ ฝึกไปทีละขั้นตอน ซึ่งในแต่ละขั้นตอนครูก็จะอธิบายพร้อมสาธิตให้ดู การสอนในลักษณะนี้จะมุ่งเน้นให้นักเรียนกับครูมีปฏิสัมพันธ์กันตลอด เช่น ครูต้องใส่ใจว่านักเรียนเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่ พร้อมทั้งให้ฟีดแบ็กแก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ปรับปรุงต่อได้

การสอนภาษาไทยโดยใช้หลักโฟนิกส์

ชนินทร์ ทิมฤกษ์ และยุพิน ยืนยง (2565) ได้ศึกษาการสอนภาษาไทยโดยใช้หลักโฟนิกส์สำหรับนักเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนบางแค (เนื่องสังวาลย์อนุสรณ์) จำนวน 24 คน พบว่า หลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะนี้ นักเรียนสามารถอ่านและเขียนคําภาษาไทยได้ถูกต้องมากขึ้น

กิจกรรมการเรียนรู้นี้ประกอบด้วยขั้นตอนการสอน 4 ขั้น ได้แก่ 1) เรียนรู้เสียงตัวอักษร, 2) ฝึกการสอนประสมเสียง, 3) รู้จักการเทียบเคียง และ 4) หัดอ่านเขียนเข้าใจคำ

  1. เรียนรู้เสียงตัวอักษร (Analytic Phonics)

ครูจะอ่านออกเสียงอักษรแต่ละตัวให้นักเรียนฟังช้าๆ ชัดๆ และให้นักเรียนอ่านออกเสียงตาม เช่น ครูสอนนักเรียนว่า ก ไก่ อ่านออกเสียงว่า /ก/ และยกตัวอย่างคำที่มีเสียง /ก/ เช่น ไก่ กา แกะ เป็นต้น โดยในขั้นนี้จะมุ่งเน้นให้นักเรียนสามารถออกเสียงและจดจำได้ว่าอักษรแต่ละตัวออกเสียงว่าอย่างไร

เมื่อนักเรียนเข้าใจเสียงของแต่ละตัวอักษรก็สามารถนำความรู้ที่ได้มาเชื่อมโยงได้ ตัวอย่างคือ นักเรียนรู้ว่าอักษรตัวใดอ่านออกเสียงเหมือนกัน เช่น ค ควาย, ฅ คน และ ฆ ระฆัง อ่านออกเสียงว่า /ค/ เหมือนกัน แสดงให้เห็นว่านักเรียนเข้าใจจริงๆ ว่าอักษรแต่ละตัวออกเสียงว่าอย่างไร ไม่ใช่การท่องจำเพียงอย่างเดียว

  1. ฝึกการสอนประสมเสียง (Synthetic Phonics)

ครูจะอ่านออกเสียงคำต่างๆ ด้วยการสะกดและให้นักเรียนฝึกตาม เช่น คำว่า ‘กา’ ครูสอนว่าให้ออกเสียง /ก/ จากนั้นออกเสียง /า/ เมื่อนำเสียง /ก/ กับ /า/ มาประสมกันจะได้ว่า /กา/ เป็นต้น การสอนในลักษณะนี้เป็นการฝึกประสมเสียงระหว่างพยัญชนะกับสระ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจถึงเสียงของอักษรแต่ละตัวและนำมาผสมกันจนออกเสียงเป็นคำต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง

ในสัปดาห์ถัดๆ ไปครูจะเริ่มสอนสระที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น สระที่อยู่ข้างหน้าพยัญชนะ (เช่น เ-) สระที่มีหลายองค์ประกอบ (เช่น เ-ะ) หรือการเปลี่ยน/ลดรูปสระ (เช่น เ-ะ เมื่อมีตัวสะกดจะเปลี่ยนรูปเป็น เ-็-)

  1. รู้จักการเทียบเคียง (Analogy-Based Phonics)

ขั้นนี้จะเป็นการสอนให้นักเรียนนำคำมาเปรียบเทียบกันว่า เสียงต่าง ๆ ที่ประกอบในคำนั้นเหมือนหรือแตกต่างจากคำอื่นอย่างไรผ่านการแจกลูกคำ เช่น นำคำว่า /เผ็ด/, /เด็ก/, /เจ็ด/, /เม็ด/ มาเทียบเคียงกันโดยการแจกลูกคำจะได้ว่า

  • เผ็ด = ผอ – เอะ – ดอ – เผ็ด
  • เด็ก = ดอ – เอะ – กอ – เด็ก
  • เจ็ด = จอ – เอะ – ดอ – เจ็ด
  • เม็ด = มอ – เอะ – ดอ – เม็ด

จากการแจกลูกคำ นักเรียนจะเข้าใจได้ว่าคำทั้งหมดนี้มีเสียงที่เหมือนกันคือสระ /เ-ะ/ และเป็นสระเอะที่เปลี่ยนรูปเมื่อตามด้วยตัวสะกด (เ-็-)

ในขั้นนี้จะมีการสอนวรรณยุกต์ให้กับนักเรียนผ่านการเทียบเคียงเสียงด้วย เช่น ครูให้นักเรียนอ่านออกเสียงด้วยการผันเสียงวรรณยุกต์ /กา/, /ก่า/, /ก้า/, /ก๊า/, /ก๋า/ โดยคำเหล่านี้นักเรียนรู้ว่ามีเสียงพยัญชนะ /ก/ และเสียงสระ /า/ เหมือนกันผ่านการเทียบเคียง แต่แตกต่างกันที่เสียงวรรณยุกต์ โดย /กา/ เป็นเสียงสามัญ, /ก่า/ เป็นเสียงเอก, /ก้า/ เป็นเสียงโท, /ก๊า/ เป็นเสียงตรี และ /ก๋า/ เป็นเสียงจัตวา 

การเทียบเคียงเช่นนี้จะช่วยให้นักเรียนรู้จักการวิเคราะห์เสียงที่ประกอบอยู่ในคำนั้นๆ เมื่อเด็กเจอคำใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็สามารถนำหลักการนี้มาใช้ในการช่วยอ่านและสะกดคําไปพร้อมกันได้

นอกจากนี้ ครูที่สอนยังสังเกตว่า เมื่อนักเรียนสามารถออกเสียงคำได้ การเข้าใจความหมายก็ทำได้ไม่ยาก เช่น ครูเปิดเพลงสระเอะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำว่า ‘เด็ก’ ‘เป็ด’ และ ‘เผ็ด’ นักเรียนก็สามารถตอบครูได้ว่าทั้งสามคำนี้หมายความว่าอย่างไร ได้แก่ ‘เด็ก’ คือ คนที่มีอายุน้อย, ‘เป็ด’ คือ สัตว์เหมือนนกที่ชอบว่ายน้ำ และ ‘เผ็ด’ คือ รสชาติที่เกิดจากการกินอาหารที่มีพริก

  1. หัดอ่านเขียนเข้าใจคํา (Phonics Drill)

ในขั้นสุดท้าย ครูจะฝึกให้นักเรียนรู้จักการอ่านออกเสียงและการเขียนไปพร้อมๆ กัน โดยเมื่อนักเรียนรู้ว่าคำนั้นออกเสียงว่าอย่างไรก็สามารถเขียนให้ถูกต้องได้ไม่ยาก เช่น คำว่า /เกะ/ มีเสียงพยัญชนะต้นคือ /ก/ นักเรียนก็สามารถเขียนอักษร ก ได้

การฝึกฝนในขั้นนี้จะเป็นการฝึกซ้ำไปซ้ำมา (drill) เพื่อให้นักเรียนสามารถเขียนและออกเสียงได้ถูกต้อง เมื่อออกเสียงได้ถูกต้องก็นำไปสู่การเข้าใจความหมายได้ หรือหากพบคำใหม่นักเรียนก็สามารถเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมผ่านการเทียบเคียงได้ ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองในอนาคตต่อไปได้

อ้างอิง

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา [กสศ.]. (2567). ทิศทางพัฒนาทักษะพื้นฐานชีวิต เพื่ออนาคตที่เข้มแข็งและยั่งยืนของประเทศ.

ขวัญชัย โพธิ์ขวัญ. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยวิธีสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท วิชาเขียนแบบแม่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องการเขียนภาพสามมิติ ของนักศึกษาระดับปริญญาเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีแม่พิมพ์ วิทยาลัยเทคนิคชัยนาท สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 2. วารสารการอาชีวศึกษาภาคกลาง, 1(2), 25-33.

ชนินทร์ ทิมฤกษ์ และยุพิน ยืนยง. (2565). การพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทย โดยการจัดการเรียนรู้แบบโฟนิกส์ สำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1. วารสาร มจร เพชรบุรีปริทรรศน์, 5(2), 207-232.

Bella DiMarco. (2022). Sounding Out a Better Way to Teach Reading.

Ehri, L.C. (2005). Learning to Read Words: Theory, Findings, and Issues. Scientific Studies of Reading, 9(2), 167-188. 

Erica Brozovsky. (2024). You Were Probably Taught to Read Wrong | Otherwords.

Peter N. Ladefoged. (2024). Phonetics.

Rauno Parrila, Anne Castles, & Saskia Kohnen. (2024). Phonics and why it is used to teach reading.

Tags:

การอ่านการเขียนภาษาไทยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics)

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Kru-gar_cover 2
    Creative learning
    ‘ปล่อยให้เด็กอ่านโลกก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือ’ ใช้เวลาทองแห่งการเติบโตช่วงปฐมวัยให้คุ้มค่า: ครูก้า – กรองทอง บุญประคอง โรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    เรียนปนเล่น กับ ‘ก.ไก่กลายร่าง’ และ ‘เส้นนำสมอง’ ช่วยเด็กอ่านออกเขียนได้: ครูแชมป์-พุฒิพงศ์ ห้องสวัสดิ์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

วิชา ‘ขยะ’ วิชาของคนธรรมดาที่รักโลก การเรียนรู้ที่จะทำให้เราเป็นคนไม่รกโลก: พรหมโรจน์ วิมลกุล PoonSook.Craft
Everyone can be an EducatorSocial Issues
7 October 2024

วิชา ‘ขยะ’ วิชาของคนธรรมดาที่รักโลก การเรียนรู้ที่จะทำให้เราเป็นคนไม่รกโลก: พรหมโรจน์ วิมลกุล PoonSook.Craft

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • พรหมโรจน์ วิมลกุล หนุ่มนักออกแบบผลิตภัณฑ์ ผู้ก่อตั้ง PoonSook.Craft คือผู้เปลี่ยน ‘ขยะ’ ที่ถูกมองว่าไร้ค่าและเป็นปัญหาระดับโลก ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
  • ความมุ่งหวังของเขาไม่ใช่แค่เพียงสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน แต่ยังสร้างการมีส่วนร่วมและถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ เพื่อลดปริมาณขยะที่ต้นทาง
  • อุปสรรคสำคัญของการแก้ปัญหาขยะคือ จิตสำนึก ภารกิจต่อไปของ PoonSook.Craft จึงเป็นการออกแบบศูนย์เรียนรู้เพื่อสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันถึงความสำคัญของการจัดการขยะ

มีคำกล่าวว่า “สิ่งที่ไร้ค่าในสายตาเรา อาจเป็นโอกาสและทรัพย์สินที่มีค่าในมือของคนที่มองเห็นศักยภาพ”

เช่นเดียวกับ ‘ขยะ’ ที่นอกจากจะดูไร้ค่าในสายตาคนทั่วไปแล้ว มันยังสร้างปัญหาต่อธรรมชาติและการจัดการต่างๆ มากมาย

แต่สำหรับ พรหมโรจน์ วิมลกุล เขามองเห็นมูลค่าของขยะผ่านสายตาของนักออกแบบผลิตภัณฑ์ และเห็นคุณค่าของมันในฐานะ ‘โจทย์การเรียนรู้’ ที่จะเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมของผู้คนเกี่ยวกับการจัดการขยะไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ย้อนหลังกลับไปในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด 19 พรหมโรจน์ที่เวลานั้นทำงานอยู่ในต่างประเทศได้ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิดที่จังหวัดภูเก็ต และพบปัญหาใหญ่ที่หลายคนมองข้าม นั่นคือ ‘ปัญหาขยะ’ เขาจึงเริ่มต้นธุรกิจรีไซเคิลที่นำขยะพลาสติกมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนกลายเป็นที่มาของวิสาหกิจเพื่อสังคม PoonSook.Craft

“ตอนนั้นตัดสินใจลาออกจากงานช่วงโควิดเพื่อกลับมาอยู่เมืองไทย คือปกติภูเก็ตจะมีขยะเยอะอยู่แล้ว แต่พอมีโควิด ขยะก็เยอะขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะว่าภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกที่ล็อกดาวน์ ทำให้ธุรกิจต่างๆ ถูกชัตดาวน์ เอาแค่ออกนอกบ้านก็ไปได้ไกลสุดแค่ปากซอย เราเลยพยายามหาอะไรทำ เริ่มจากลองหาเศษนั่นเศษนี่ในห้องมาเย็บผ้าเย็บกระเป๋าต่างๆ แต่สุดท้ายก็เจ๊ง 

ระหว่างนั้น ททท. ก็มาจัดงานชวนคนไปเก็บขยะ ซึ่งเป็นโครงการของจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอยู่แล้ว เราก็ไปช่วยเก็บขยะ แต่เก็บยังไงก็เก็บไม่หมด เลยไปคุยกับททท. ขอให้เขาช่วยแยกขยะพลาสติกมาด้วยได้ไหม จะลองเอามาทำอะไรดู เพราะจากการเก็บขยะ 2 วัน ได้ขยะเยอะมาก อย่างขวดน้ำได้ประมาณ 3,000- 4,000 กว่าขวด ก็เกิดไอเดียลองเอาฝาขวดพลาสติกมาละลายในเตาปิ้งแล้วก็อัดเป็นแผ่น Surf Skate (เซิร์ฟสเกต) ที่ตอนนั้นกำลังเป็นกระแส พอทำเสร็จก็เอามาประกอบ ปรากฏว่าเล่นได้จริง เลยเอามาเล่นหน้าบ้านแล้วโพสต์ลงในโซเชียล วันรุ่งขึ้นอยู่ดีๆ มันก็กลายเป็นไวรัลทำให้คนรู้จัก”

เมื่อพลาสติกที่เอามาทำเซิร์ฟสเกตทำให้คนเริ่มสนใจและรู้จัก PoonSook.Craft พรหมโรจน์ก็ลองนำไมโครพลาสติกที่เก็บจากชายทะเลมาทำเครื่องประดับจิวเวลรี่โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ครั้งนี้กลับเงียบสนิทจนธุรกิจเกือบจะไปไม่รอด

“พอไม่ประสบความสำเร็จ ก็พยายามคิดว่าขยะพลาสติกมันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เราน่าจะหาอะไรที่ขายง่ายทำตลาดง่าย เลยลองทำพวงกุญแจแบบกดมือขายโดยเล่าปัญหาขยะผ่านการออกแบบเป็นสัตว์ทะเลต่างๆ ที่ใกล้สูญพันธุ์ ปรากฏว่ารอบนี้รอด ไม่นาน SCG (เอสซีจี) ก็มาขอสัมภาษณ์และออเดอร์สินค้าเราประมาณ 100 ชิ้น จากนั้นคนก็เริ่มเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็พัฒนาเครื่องมือต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองใช้ความรู้ที่มีทำเครื่องจักรออกมาจนมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทำให้เห็นว่าจริงๆ ขยะมันก็ไม่ขยะนะ ถ้ามันอยู่ถูกที่มันก็เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอย่างหนึ่ง”

เปลี่ยนขยะเป็นสินค้า ชวนชุมชนเห็นคุณค่าที่ถูกทิ้ง

แน่นอนว่าขยะพลาสติกจากชายทะเลคงไม่เพียงพอสำหรับการทำธุรกิจ พรหมโรจน์จึงเดินทางไปยังชุมชนต่างๆ เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการทำงานร่วมกันในฐานะวิสาหกิจเพื่อสังคม

“เราก็ไปคุยกับชาวบ้านว่าเขาอยากทำอะไร พอจะทำอะไรได้บ้าง แต่การพูดคุยกับชาวบ้านเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะเขามีอีโก้ มีมายด์เซ็ตของตัวเอง ทำให้ต้องใช้เวลาเป็นปี ก็เริ่มจากการไปถามซาเล้งว่าทำไมเขาไม่รับขยะบางอย่าง จนรู้ว่าเวลาเก็บขยะ ซาเล้งจะเก็บตามตลาดโลก คือถ้าคนรับซื้อ-ตลาดขายขยะบอกอยากได้ขวด ซาเล้งก็จะเก็บแต่ขวดไม่เอาฝา อย่างที่ตลาดรับซื้อพลาสติกสีดำกิโลกรัมละ 50 สตางค์ ขวดกิโลละ 7 บาท ที่ราคาต่ำเพราะโรงงานใหญ่เขาไม่รับซื้อ เราก็เลยรับซื้อสิ่งที่ซาเล้งไม่เอา และมาดูว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง

เราก็ลองทำของที่ระลึกแบบไม่แพงมาก วางขาย 75 บาทซึ่งถูกกว่าในห้าง ปรากฏว่ามีคนสนใจเยอะ เลยไปคุยกับชาวบ้านเพื่อให้เขาเห็นว่าขยะมันมีราคา เราก็เทียบให้ดูว่าตอนนี้มูลค่าขยะกิโลนึงเกือบพันบาทแล้วนะ ชาวบ้านก็เริ่มเปิดใจและมีรายได้จากการช่วยเราเก็บขยะ พอมีรายได้เขาก็เห็นคุณค่า พอเห็นคุณค่าเราก็คุยกับชาวบ้านรู้เรื่อง เราก็พยายามพูดคุยกับองค์กรที่สนับสนุนสินค้าของเราว่าสิ่งที่เราหวังมากที่สุดคือชุมชนจะต้องมีรายได้ต่อเนื่อง เพราะว่าเราจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมสมบูรณ์แบบ 100% คือเงินปันผลกำไรที่เราได้เราก็คืนให้ชาวบ้านทั้งหมด”

แต่กว่าจะชวนชาวบ้านมาทำงานร่วมกันและผลักดัน Poonsook.Craft ให้กลายเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้นั้น การให้ความรู้ชุมชนเรื่องการจัดการขยะถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืน ทั้งยังเพิ่มมูลค่าและคุณค่าของขยะด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจของคนในท้องถิ่น

“สิ่งที่ชุมชนต้องการหลักๆ จะมีอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือพวกเขาต้องการรายได้ สองคือเขาต้องการความปลอดภัย ทั้งเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยที่ยั่งยืน เพราะถ้าสัตว์ทะเลตาย เขาก็จะขาดรายได้และไม่รอด

ในการจัดการ เราให้องค์ความรู้ทั้งหมดกับเขา แยกไปเลยว่าขยะมีกี่ประเภท มีอะไรบ้าง เพื่อแยกขยะแต่ละชนิดออกมา บอกเขาว่าอันนี้เป็นขวดที่ขายได้ โดยเฉพาะการขายขวดแบบแยกฝามันจะได้อีกราคานึง ซึ่งบางทีซาเล้งเขาไม่บอกแต่ไปจัดการเพื่อรายได้ของเขาเอง เราเลยต้องทำตรงนี้เพื่อเอาส่วนต่างกลับคืนมาให้ชุมชน ชาวบ้านก็จะเห็นสิทธิและทวงสิทธิของเขากลับคืนมาบ้าง จากนั้นก็ลองเอาขยะไปขายถึงต้นทางเพื่อดูว่าจริงๆ เขารับซื้อกันยังไง เราก็ถามเขาถึงประเภทขยะที่รับและไม่รับซื้อ กลไกตลาดโลกตอนนี้เป็นยังไง เพราะพลาสติกบางชนิดอาจมีราคาสูงแต่ทำไมบางทีถึงไม่มีคนรับซื้อ

ในส่วนของซาเล้ง เราไม่ได้จะตัดเขาออกจะวงจร เราบอกชุมชนว่าอันไหนขายให้ซาเล้งได้ให้ขายซาเล้งไปก่อน เพราะซาเล้งเป็นหนึ่งในวงจรการขับเคลื่อน เราต้องรักษาวงจรเพื่อไม่ให้เกิดผลเสีย ซาเล้งต้องอยู่ ชาวบ้านต้องอยู่ แต่ชาวบ้านจะรู้แล้วว่าขยะแต่ละชนิดมีมูลค่าเท่าไหร่ หรือถ้าขยะชนิดไหนที่ซาเล้งไม่รับซื้อ เราก็เก็บข้อมูลแล้วมาดูว่าจะจัดการมันยังไง โดยวัสดุหลักๆ ที่เรานำมาใช้คือ ฝาขวดน้ำ ถาดอาหารไมโครเวฟ และตะกร้าขนมจีน ฯลฯ”

เปลี่ยนตะกร้าขนมจีนเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เปลี่ยนความเคยชินเป็นการเรียนรู้

พรหมโจน์ เล่าต่อว่าเนื่องจากภูเก็ตเป็นจังหวัดที่โดดเด่นในเรื่องเมนูขนมจีน ทำให้มีขยะที่เป็นตะกร้าขนมจีนเยอะมาก แถมราคาตกกิโลกรัมละ 3 บาทเท่านั้น เขาจึงนำโจทย์ดังกล่าวมาทบทวน และตกผลึกได้ว่าจะออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเรื่องเล่าในแบบของตัวเอง

“มีหลายคนบอกว่าทำไมไม่ลองทำที่เปิดขวด ก็เลยเขียนเรื่องออกมาเป็นสตอรี่ว่าคนภูเก็ตกินขนมจีนกัน 24 ชั่วโมง และตะกร้าขนมจีนมันเป็นอย่างนี้นะ จากนั้นก็นำตะกร้าเหล่านั้นมาหลอมเพื่อรีไซเคิลทำเป็นที่เปิดขวด แล้วบังเอิญที่สื่อต่างๆ มาเห็นและช่วยแชร์ต่อทำให้ที่เปิดขวดของเราเป็นที่รู้จัก ซึ่งทางททท.ก็เข้ามาชวนเราไปพูดตามเวทีต่างๆ ของต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าประเทศไทยเองก็แคร์เรื่องนี้” 

เมื่อมอบองค์ความรู้ให้กับชุมชนต่างๆ แล้ว พรหมโรจน์ยังตั้งใจส่งต่อองค์ความรู้เรื่องการจัดการขยะไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่สนใจ เพื่อสร้างความตระหนักเรื่องการจัดการขยะร่วมกัน 

“เราเข้าไปอบรมชุมชนเกือบทุกที่ แต่ในส่วนการทำงานร่วมกันจะมีหลักๆ ประมาณ 4 ชุมชน ซึ่งสลับหมุนเวียนกันมาเรื่อยๆ และต้องไม่เลียนแบบกัน บางที่ถนัดงานถักร้อย บางที่ถนัดคัดแยกขยะ หรือบางชุมชนจะทำเฉพาะเวลาที่ไม่ออกไปจับปลา 

ส่วนโรงเรียนหลายแห่งก็แวะมาคุยว่าถ้าอยากเป็นโรงเรียนสีเขียวหรือโรงเรียนปลอดขยะต้องทำยังไง แต่การจะให้ความรู้ เราต้องไปดูก่อนว่ามีถังขยะไว้คัดแยกไหม พฤติกรรมของนักเรียนเป็นยังไง ผู้อำนวยการมีอำนาจสั่งการหรือขับเคลื่อนทุกอย่างมากน้อยแค่ไหน เพราะบางโรงเรียนผู้อำนวยการก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรนอกจากนโยบายที่ข้างบนสั่งมาเท่านั้น

ในการให้ความรู้กับโรงเรียนมันค่อนข้างแตกต่างกับชุมชน เราต้องปรับหมดเลยและเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้เข้ากับแต่ละโรงเรียน ซึ่งหลักๆ จะเซ็ตหลักสูตรออกมาเป็น 6 หลักสูตร ประถมต้น ประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย ปริญญาตรี ปริญญาโท แต่ลึกลงไป เราก็ต้องแบ่งออกเป็นเด็กไทย เด็กต่างชาติ โรงเรียนไทย โรงเรียนอินเตอร์ เพราะว่าพื้นฐานความรู้ของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องเข้าไปสำรวจและถามอาจารย์ก่อนว่าเด็กๆ มีความรู้แค่ไหน”

สำหรับหัวข้อการเรียนรู้หลักๆ ที่เขาวางไว้เป็นเสาเข็มให้กับเด็กๆ คือเรื่อง Reduce Reuse และ Recycle แต่ทั้งนี้ถ้าถามว่าทุกคนควรจะเริ่มต้นอย่างไรก่อน คำตอบคือการลดการใช้ที่เกินจำเป็น

“Reduce คืออะไร คือการลดการใช้ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะว่าถ้าเราไม่ลดการใช้สิ่งที่ไม่จำเป็น มันก็จะกำจัดไม่หมดอยู่แบบนี้ ฉะนั้นการลดต้องมาอันดับ 1 หลอดดูด…ถ้าไม่จำเป็นก็ปฏิเสธได้เลย ถุงพลาสติก…ถ้าไม่จำเป็นก็ลดไปนะ เพราะอย่าลืมว่าพวกของเล็กๆ เนี่ยแหละที่ก่อปัญหาเยอะ

แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็จะมาพูดเรื่อง Reuse อะไรนำมาใช้ซ้ำได้ก็ใช้ซ้ำให้เยอะที่สุด ส่วน Recycle เป็นกระบวนการสุดท้ายที่เราจะพูดถึง เพราะมันเป็นสิ่งท้ายสุด 

ต่อให้ที่นี่รีไซเคิลได้วันละ 100 ตัน แต่ขยะมันมาวันละ 1,400 ตัน เราก็ไม่มีทางรีไซเคิลมันได้หมด ฉะนั้นเราพยายามสอนเด็กให้ลดขยะ 3 ชิ้นต่อวัน ซึ่งหากลดได้จริงๆ ปีนึงน้องก็จะลดขยะไปได้ 5 แสนชิ้น เด็กก็ตกใจว่าทำไมมันเยอะจัง เราก็แจกแจงให้เขาดู เขาก็จะเข้าใจ

เท่าที่เจอเด็กในโรงเรียนต่างๆ เราค่อนข้างประหลาดใจว่าเด็กประถมเขาเข้าใจดีมากและรักโลกสุดๆ เลย กลับกันเด็กมหาวิทยาลัยดูจะไม่ใส่ใจ ทำให้จากที่เราคิดว่าเด็กมหาวิทยาลัยมันควรจะโตจนมีจิตสำนึกจนใส่ใจ กลายเป็นว่าเด็กประถมนี่แหละใส่ใจ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เติบโตในออสเตรเลีย เราพบว่าเขาจะปลูกฝังให้ทุกคนใส่ใจโลกมาตั้งแต่เด็ก พอโตมาเขาก็จะมีจิตสำนึกที่ดี ไม่นับรวมตัวกฎหมายที่เข้ามาควบคุมและเข้มงวดทำให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ทีนี้เราเลยเข้าใจว่าเด็กมหาวิทยาลัยหลายคนคงไม่มีใครสอนเขาตอนประถม เพราะฉะนั้นหน้าที่เราคือสอนเด็กประถมให้ดีที่สุด พยายามให้เขาทำจนกลายเป็นนิสัยติดตัว เพื่อโตขึ้นเขาจะมีจิตสาธารณะโดยไม่ต้องสอนอีกต่อไป”

จุดเปลี่ยนปัญหาขยะ เริ่มต้นที่ ‘จิตสำนึก’

หลังจากที่ทำงานกับชุมชนและนักเรียน ภาครัฐและภาคเอกชนมาเป็นเวลานาน เขาพบคำจำกัดความสั้นๆ ของอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เป้าหมายของเขายากจะไปถึงฝั่งฝัน ซึ่งคำๆ นั้นคือคำว่า ‘จิตสำนึก’

“เราสรุปได้ 1 คำตามนี้ ‘จิตสำนึก’ ถ้าคนเรามีจิตสำนึกมันไปต่อได้แหละ แต่ทีนี้มันไม่ใช่สิ่งที่มีกันทุกคน แล้วคำว่าจิตสำนึกบางคนมีนะ รู้และเข้าใจ แต่ด้วยสภาวะทางสังคม สภาวะทางเศรษฐกิจมันบีบเข้ามาทำให้เขาต้องทำในสิ่งตรงข้าม เช่น นโยบายภาครัฐออกมาว่าตลาดต้องปลอดโฟมนะ แต่แม่ค้าก็ยังใช้โฟม ซึ่งแม่ค้าบอกว่ารู้ว่าโฟมไม่ดีมันอันตราย แต่มันทำให้ต้นทุนเขาถูกลง ภาครัฐจึงต้องเข้ามาสนับสนุนเขาตรงนี้ด้วย” 

ขณะที่เป้าหมายสูงสุดในการทำธุรกิจรีไซเคิลคือการทำให้บ้านเกิดของเขาสะอาดเทียบเท่ากับเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างสิงคโปร์

“เรื่องนี้เป็นไปได้แต่ไม่ใช่เร็วๆ นี้ ถ้าลองดูจะเห็นว่าในเมื่อขนาดของภูเก็ตใกล้เคียงกับสิงคโปร์ แต่ทำไมภูเก็ตเป็นอย่างสิงคโปร์ไม่ได้ ดังนั้นผมจึงหวังให้ภูเก็ตเป็นเมืองที่สะอาด คลีน เคลียร์ ซึ่งนอกจากสิ่งที่ทำอยู่ เรามีแผนจะทำศูนย์การเรียนรู้ และเราหวังว่าภาครัฐจะเข้ามาขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วยกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์และเข้มแข็ง เพราะกลายเป็นว่าที่นี่ถูกขับเคลื่อนด้วยเอกชน

สำหรับแผนที่วางไว้ในอนาคตคือการสร้างศูนย์การเรียนรู้จะมุ่งเน้นเรื่องการคัดแยกพลาสติก เพื่อให้เด็กๆ เข้ามาเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วเวลาคุณกลับบ้านไป คุณสามารถคัดแยกขยะได้นะ 

เพราะทุกวันนี้ถึงจะมีถังแยกขยะ แต่เรากลับพบข้าวเหนียวหมูปิ้งในถังรีไซเคิลอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเขามีความรู้แล้ว เขาก็จะแยกขยะได้มากขึ้น ทิ้งขยะอย่างถูกประเภทกว่าเดิม จากนั้นก็ค่อยป้อนข้อมูลว่าพอแยกขยะแล้วขยะไปไหนต่อ สร้างคุณค่าต่อไปยัง 

นอกจากนี้ ก็อยากจัดนิทรรศการที่ศูนย์การเรียนรู้ให้เด็กได้เห็นภาพว่าขยะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวยังไง เขาจะได้จำและนำไปใช้ หรือไปบอกต่อกับครอบครัวของเขา มากกว่าการสื่อสารที่สื่อมักจะพูดในเชิงความรุนแรงว่า ถ้าทิ้งขยะไม่เป็นที่ ขยะจะล้นเป็นกอง สัตว์น้ำสูญพันธุ์เป็นอันตรายนะ ทุกคนก็จะแบบตกใจ น่าสงสารจังเลยนะ แต่คำถามคือแล้วยังไงต่อ…

ดังนั้นศูนย์การเรียนรู้ที่เราคิดจะไม่ใช่สไตล์นั้น เพราะเราจะสอนว่าพลาสติกคืออะไร ถูกสร้างมาเพราะอะไร ทำไมคนถึงพัฒนาพลาสติกเป็นพันชนิด และพลาสติกมันสร้างปัญหาจริงหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ คือคนนี่แหละ ก็จะแลกเปลี่ยนกันว่าเราจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ยังไง” 

Tags:

พรหมโรจน์ วิมลกุลนักออกแบบผลิตภัณฑ์PoonSook.Craftวิชาขยะการจัดการขยะการตระหนักรู้

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Kru Jo
    Social Issues
    จากครูปกครองสุดเฮี้ยบที่ผลักเด็กจากระบบการศึกษา สู่ครูนางฟ้าที่สื่อสารด้วยหัวใจ: ครูโจ-วิฑูลย์ แซมสีม่วง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Kru Lisa
    Social Issues
    “การเป็นครูแปลว่าต้องดูแลเด็กตั้งแต่จิตใจ” ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ ครูนางฟ้าที่ใช้การสื่อสารเชิงบวก รับฟังและอยู่เคียงข้าง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

The Perks of Being A Wallflower : ความพิเศษของคนไม่พิเศษ
Book
3 October 2024

The Perks of Being A Wallflower : ความพิเศษของคนไม่พิเศษ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • The Perks of Being a Wallflower หรือ ขอให้วัยเยาว์ของเราเป็นนิรันดร์ เป็นนวนิยายวัยรุ่นที่เล่าเรื่องราวของ ‘ชาร์ลี’ เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมและอ่อนไหว ที่มักถูกเรียกว่า Wallflower หรือ นายไม้ประดับ เพราะเขาเป็นคนที่ดูเงียบๆ ไม่ค่อยเด่น จึงถูกมองข้ามในสังคม
  • ชาร์ลีต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดในอดีตที่ถูกกดไว้ลึกๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนและการบำบัด ชาร์ลีจึงสามารถเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเองและคนอื่นและก้าวต่อไปข้างหน้าได้
  • ในโลกที่ทุกคนล้วนต้องการเป็น Somebody ทุกคนล้วนมีความพิเศษ หรือโดดเด่นในทางใดทางหนึ่ง บางที การเป็น Nobody หรือคนธรรมดาที่อาจไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีความโดดเด่นเป็นที่สะดุดตาใครๆ แต่มีหัวใจที่อ่อนโยน ดีงาม และใส่ใจคนรอบข้าง ก็เป็นอะไรที่แสนพิเศษเช่นกัน

ผมได้ยินคำว่า Wallflower เป็นครั้งแรก จากชื่อวงดนตรี The Wallflower ที่มีนักร้องนำบุคลิกเงียบขรึม นัยน์ตาแสนเศร้าชื่อ Jakob Dylan ซึ่งในตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่า ชื่อวงดนตรีนี้หมายถึงอะไร สิ่งเดียวที่รู้คือ Jakob เป็นลูกชายของ Bob Dylan ตำนานดนตรีโฟล์คของอเมริกา แต่ผมไม่รู้ว่า ความเศร้าในแววตาของ Jakob มาจากไหน หรือจะเป็นเพราะเขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับพ่ออยู่ตลอด ไม่ว่าจะพยายามสร้างงานเพลงที่ดีสักแค่ไหนก็ตาม

ความหมายดั้งเดิมของคำว่า Wallflower ใช้เรียกไม้ดอกล้มลุกหลายชนิด ที่นิยมปลูกไว้ริมกำแพง ด้านหน้าผนังตัวอาคาร ไม้ดอกเหล่านี้มักจะมีสีเหลือง สวยงามแต่ไม่โดดเด่น ราวกับจะปลูกไว้แค่เป็นไม้ประดับ หรือเอาไว้บดบังทัศนียภาพที่ไม่ค่อยงดงามของตัวบ้าน

ต่อมาคำศัพท์นี้กลายเป็นคำแสลงที่ใช้เรียกคนที่ดูเงียบๆ ไม่มีความโดดเด่นสะดุดตา ไม่ได้เป็นที่สนใจของใคร ถ้าอยู่ในงานปาร์ตี ก็จะเป็นหญิงสาวที่หลบอยู่มุมห้อง ไม่มีใครชวนออกไปเต้นรำ หรืออาจจะเป็นชายหนุ่มท่าทางเงอะๆ งะๆ ไม่กล้าชวนใครคุยด้วย ได้แต่นั่งเงียบๆ ไร้ตัวตนอยู่ในห้อง

[บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของเนื้อเรื่องในหนังสือ]

หนังสือเล่มล่าสุดที่ผมเพิ่งอ่านจบ เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเหมือน Wallflower หรือถ้าเป็นซีรีส์เกาหลีก็คงเรียกว่า นายไม้ประดับ หรืออะไรทำนองนั้น

ชื่อของหนังสือเล่มนี้ คือ The Perks of Being A Wallflower (ในขณะที่ฉบับแปลไทย ใช้ชื่อไทยว่า ขอให้วัยเยาว์ของเราเป็นนิรันดร์) ซึ่งความหมายแบบตรงตัวของชื่อหนังสือเล่มนี้ ก็คือ คุณประโยชน์ของการเป็นไม้ประดับ แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด คือ ความพิเศษของคนที่ดูแสนธรรมดา และไม่น่ามีอะไรพิเศษ

ผลงานเขียนของ Stephen Chbosky เล่มนี้ ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในวรรณกรรมวัยรุ่นที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง และเมื่อหนังสือเล่มนี้ ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน ก็กวาดรางวัลต่างๆ มากมาย และกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายคน

อะไรคือความพิเศษ ในชีวิตที่แสนเรียบง่ายของเด็กหนุ่มที่ดูธรรมดาคนนั้น

…..

ย้อนนึกไปถึงช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราขลุกอยู่กับเพื่อนมากที่สุด ในกลุ่มแก๊งเพื่อนของเรา จะประกอบด้วยเด็กหนุ่มสาวที่มีบุคลิกแตกต่างกัน แต่มักจะมีอยู่คนหนึ่งที่หน้าตาดีที่สุด ป๊อปปูลาร์ที่สุด และจะมีอีกคนหนึ่งที่เป็นตัวฮาของกลุ่ม เรียกว่าพูดอะไรก็เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด หรืออาจจะมีอีกคนหนึ่ง ที่พูดจาน่าเชื่อถือ ดูเป็นการเป็นงาน และมักจะเป็นที่พึ่งพาของเพื่อนๆ ได้เสมอ

และสุดท้าย ในแทบทุกกลุ่มก้อนของความเป็นเพื่อน จะมีอยู่คนหนึ่งที่พูดน้อยที่สุด ไม่ค่อยปล่อยมุขตลกโปกฮา แต่จะเป็นคนที่รับรู้และได้รับฟังเรื่องราวของเพื่อนคนอื่นมากที่สุด

‘ชาร์ลี’ คือเด็กแบบนั้น เด็กที่เป็นเหมือนไม้ประดับริมกำแพง

เด็กหนุ่มวัยสิบห้า เพิ่งเข้าเรียนปีแรกในระดับชั้นไฮสกูล (เทียบได้กับชั้นมัธยมปลายในประเทศไทย แต่ไฮสกูลของอเมริกา จะเรียนทั้งหมด 4 ปี) ด้วยความที่เขาเป็นคนตัวเล็ก เงียบๆ และมักจะอยู่คนเดียว จึงตกเป็นเป้าในการรังแกของเด็กที่มีนิสัยอันธพาล

ถึงแม้จะตัวเล็ก และดูติ๋มๆ แต่ชาร์ลีรู้วิธีต่อสู้ป้องกันตัว แถมใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วด้วย เพราะพี่ชายที่เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลเคยสอนไว้ ทำให้เด็กอันธพาลที่เข้ามารังแกเขาต้องเจ็บตัวกลับไป ถึงแม้ว่าชาร์ลีจะไม่ถูกทำโทษ เพราะมีเพื่อนร่วมห้องบอกกับครูว่า เขาไม่ได้เป็นคนเริ่มการทะเลาะวิวาท แต่ทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ยิ่งทำให้ชาร์ลี กลายเป็นเด็กที่ดูแปลกๆ ในสายตาคนอื่น

ความแปลกของชาร์ลี ไม่ใช่เพราะเขาตัวเล็กแต่สู้ชนะคนที่มารังแกได้ แต่เป็นเพราะหลังจากเด็กอันธพาลถูกเขาเล่นงานกลับไป ชาร์ลีกลับร้องไห้เสียใจอย่างหนักที่ทำให้เพื่อนบาดเจ็บ จนพี่สาวของเขาที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ต้องมาพาเขากลับบ้าน

‘ชาร์ลี’ คือเด็กแบบนั้น เด็กที่เป็นเหมือนไม้ประดับริมกำแพง และมีจิตใจที่แสนอ่อนไหว

…..

อันที่จริงแล้ว ชาร์ลี ไม่ใช่เด็กที่ไม่มีเพื่อน หรือไม่มีใครคบ ตอนอยู่ชั้นประถม เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ ไมเคิล และในปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษาชั้นประถม ไมเคิล ฆ่าตัวตายโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ แม้กระทั่งชาร์ลี ผู้เป็นเพื่อนสนิทของเขา

ข่าวการสูญเสียเพื่อนสนิททำให้ชาร์ลีร้องไห้อย่างหนัก ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้ จนครูต้องบอกให้พี่ชายของเขาขับรถมารับเขากลับบ้าน

แม้ว่าในหนังสือเล่มนี้จะไม่ได้เขียนไว้อย่างชัดเจน แต่มีหลายบทความสันนิษฐานว่า ชาร์ลี มีอาการป่วยของโรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือ ความผิดปกติทางอารมณ์หลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ

ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า เป็นเรื่องปกติที่ผู้พบเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เช่น ภัยพิบัติร้ายแรง หรืออุบัติเหตุที่คร่าชีวิตคนใกล้ชิด จะมีอาการเครียดอย่างฉับพลัน หรือมีความผิดปกติทางอารมณ์ในรูปแบบอื่นๆ แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งอาการเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะหายไปเองภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน

แต่หากอาการเหล่านั้นยังคงอยู่ นั่นแปลว่า ผู้นั้นมีอาการป่วยของโรค PTSD ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ารับการบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก ที่บางครั้งไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองมีอาการ PTSD และนั่นทำให้ความผิดปกตินั้น ยิ่งฝังลึกไปจนโต

หลายครั้งที่การป่วยด้วยโรค PTSD ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหวาดระแวง บางคนก็มีอาการต่อต้านสังคม ขณะที่อีกหลายคนกลายเป็นโรคซึมเศร้า

การฆ่าตัวตายของเพื่อนรัก ไม่ใช่เป็นสาเหตุแรกที่ทำให้ชาร์ลีป่วย เรื่องราวในหนังสือ ค่อยๆ เผยให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้ว ชาร์ลีเคยพบเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญตั้งแต่วัยเด็ก ตอนเขาอายุเจ็ดขวบ ป้าเฮเลน พี่สาวของแม่ ซึ่งเป็นญาติที่เขารักที่สุดและป้าเฮเลนเองก็ดูจะรักเขามากที่สุด ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต

คืนนั้น ป้าเฮเลน ขับรถออกไปเพื่อซื้อของขวัญให้กับชาร์ลี

‘ชาร์ลี’ คือเด็กแบบนั้น เด็กที่เป็นเหมือนไม้ประดับริมกำแพง ผู้ป่วยด้วยโรค PTSD ตั้งแต่เด็ก

…..

จนวันหนึ่ง ชาร์ลี ได้พบที่ที่เหมาะกับเขาอย่างแท้จริง เขาได้รู้จักกับเด็กนักเรียนรุ่นพี่สองคน คือ แพทริก เด็กหนุ่มหน้าตาดี ผู้มีรสนิยมทางเพศชอบเพศเดียวกัน และ แซม เด็กสาวที่น่ารักที่สุดเท่าที่ชาร์ลีเคยพบเจอ

แพทริกและแซม เป็นพี่น้องคนละพ่อแม่ (พ่อของแพทริกแต่งงานกับแม่ของแซม) ทั้งคู่ต่างยอมรับชาร์ลีในแบบที่เขาเป็น พาเขาไปเที่ยวด้วยอยู่บ่อยๆ

ความสัมพันธ์ของทั้งสามคน ค่อนข้างซับซ้อน และวุ่นวายตามประสาวัยรุ่น เป็นเหมือนความรักสามเส้าที่แสนสับสน แต่ด้วยพื้นฐานอันแข็งแกร่งของความเป็นเพื่อน ทำให้ทั้งสามยังคบกันได้ตลอดรอดฝั่ง

ครั้งหนึ่ง ทั้งสามคนไปปาร์ตี้ด้วยกันที่บ้านเพื่อนอีกคนหนึ่ง ชื่อ บ๊อบ ซึ่งเป็นคนแรกที่บอกว่า ชาร์ลี คือ Wallflower หลังจากค้นพบว่า เขาคือคนที่ทุกคนไว้ใจและสามารถบอกความลับได้ โดยไม่ต้องระแวงว่าความลับจะรั่วไหล

แน่นอนครับ เรามักคิดว่า เพื่อนของเราคนที่พูดน้อยที่สุด คือคนที่เก็บความลับของเพื่อนได้ดีที่สุด แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราอาจไม่ได้คิดก็คือ เพื่อนของเราคนที่พูดน้อยที่สุด คือคนที่พร้อมรับฟังมากที่สุด ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ และไว้ใจมากพอที่เปิดเผยความลับให้ฟัง

‘ชาร์ลี’ คือเด็กแบบนั้น เด็กที่เป็นเหมือนไม้ประดับริมกำแพง ผลิบานอย่างเงียบๆ พูดน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่พร้อมรับฟังทุกเรื่องอย่างตั้งใจ

 …..

ในตอนท้ายของเรื่อง แพทริกและแซม จบการศึกษาจากชั้นไฮสกูล และเตรียมตัวย้ายออกจากเมืองเพื่อไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย

การสูญเสียเพื่อนที่รักที่สุดอีกครั้ง ทำให้อาการป่วยของชาร์ลี กำเริบขึ้นอีกครั้ง ในช่วงเวลาสำคัญที่เขาและแซม กำลังเปิดใจให้กัน ชาร์ลีมีอาการเหมือนคนเป็นลมใกล้หมดสติจนต้องนอนพักที่ห้องของแซม เขานอนหลับไปและฝันถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็ก เรื่องราวที่เขาลืมไปแล้ว เรื่องราวที่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ชาร์ลีป่วยด้วยโรค PTSD

ในความฝัน ซึ่งก็คือความทรงจำที่ถูกกดไว้ลึกๆ ของชาร์ลี ป้าเฮเลนที่เขารักที่สุด เคยล่วงละเมิดทางเพศต่อเขา ซึ่งหลังจากที่ชาร์ลีได้รับรู้ความทรงจำที่ถูกกดไว้จนลืมเลือนไป เขาไม่คิดโทษป้าเฮเลนว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้

“ถ้าฉันจะโทษป้าเฮเลน ฉันก็ต้องโทษพ่อของป้าที่ทุบตีเธอด้วย โทษเพื่อนของครอบครัวป้าที่ล่วงเกินตอนที่ป้ายังเด็กด้วย และต้องโทษใครสักคนที่เคยล่วงเกินเขาคนนั้นอีกทอดด้วย และก็ต้องโทษพระเจ้าที่ไม่ยอมหยุดเรื่องพวกนี้และเรื่องอื่นๆ ที่แย่กว่านี้”

ใช่ครับ ถ้าเราจะโทษคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุเรื่องแย่ๆ ที่เราพบเจอ เราก็คงสืบสาวราวเรื่องไม่รู้จบ ถ้าหากว่าทุกคนต่างอ้างว่า ความผิดพลาดของตัวเอง เป็นเพราะเคยถูกคนอื่นทำผิดพลาดแบบเดียวกันมาก่อน

อาจเป็นเพราะชาร์ลีจำสิ่งที่จิตแพทย์เคยเล่าให้ฟังว่า มีพี่น้องสองคนที่มีพ่อติดเหล้า คนหนึ่งเติบโตไปกลายเป็นคนขี้เหล้า โดยอ้างว่าเพราะเขาเห็นพ่อเป็นแบบนั้น เลยคุ้นชินกับเรื่องเลวร้ายแบบนั้น แต่อีกคนหนึ่งเติบโตไปเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้าเลย ด้วยเหตุผลว่า เพราะเขาเห็นพ่อเป็นแบบนั้น เลยตั้งใจว่าจะไม่กลายเป็นคนแบบนั้น

เราอาจจะเคยถูกคนอื่นกระทำสิ่งแย่ๆ หรือเรื่องเลวร้ายใส่ แต่เราสามารถเลือกได้ว่า จะส่งต่อความเลวร้าย ด้วยการกระทำสิ่งแย่ๆ นั้นกับคนอื่น หรือจะหยุดวงจรความเลวร้าย ด้วยการไม่กระทำสิ่งแย่ๆ แบบนั้นกับคนอื่น

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ชาร์ลี เป็นเด็กที่จิตใจดี อ่อนโยน และละเอียดอ่อน เขาใส่ใจคนอื่นอยู่เสมอ แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ตอนไปปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน เขาจะนั่งดูทุกคนอย่างใส่ใจ ถ้าทุกคนกำลังคุยกันสนุก เขาจะเปิดแผ่นเสียงเพลงเพราะๆ เบาๆ คลอไปด้วย แต่ถ้าทุกคนเริ่มมีสีหน้าเบื่อหน่าย ชาร์ลีจะเลือกเพลงสนุกๆ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ร่าเริงขึ้น

หรือตอนที่แซมกับแพทริกเรียนจบ ชาร์ลีซื้อหนังสือเรื่อง On The Road, Naked Lunch, The Stranger, This Side of Paradise, Peter Pan และ Separate Peace เป็นของขวัญให้กับแพทริก และซื้อหนังสือเรื่อง To Kill a Mockingbird, The Catcher in the Rye, The Great Gatsby, Walden, Hamlet และ The Fountainhead ให้กับแซม เขาบรรจงห่อของขวัญด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เป็นหน้าการ์ตูนสีสวย พร้อมแนบการ์ดที่มีข้อความว่า

“หนังสือเหล่านี้คือเล่มที่ฉันชอบที่สุดในโลก และฉันอยากให้แซมกับแพทริกได้มันไป เพราะพวกเขาคือคนสองคนที่ฉันชอบที่สุดในโลกใบนี้”

…..

‘ชาร์ลี’ คือเด็กแบบนั้น เด็กที่เป็นเหมือนไม้ประดับริมกำแพง เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ

ในโลกที่ทุกคนล้วนต้องการเป็น Somebody ทุกคนล้วนมีความพิเศษ หรือโดดเด่นในทางใดทางหนึ่ง บางที การเป็น Nobody หรือคนธรรมดาที่อาจไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีความโดดเด่นเป็นที่สะดุดตาใครๆ แต่มีหัวใจที่อ่อนโยน ดีงาม และใส่ใจคนรอบข้าง ก็เป็นอะไรที่แสนพิเศษเช่นกัน

และนั่นคือ ความพิเศษของคนที่ไม่มีอะไรพิเศษ

Tags:

PTSDThe Perks of Being a Wallflowerสุขภาพจิตเพื่อนเด็ก

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • IMG_0670 2
    Book
    เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Simone Blies Rising : นักกีฬาที่ยืนยันว่าความเจ็บปวดในจิตใจสำคัญไม่แพ้ความเจ็บปวดภายนอก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Movie
    Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

‘All for Education’ หยิบยื่นโอกาสผ่านนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์เงื่อนไขชีวิตที่แตกต่าง
3 October 2024

‘All for Education’ หยิบยื่นโอกาสผ่านนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์เงื่อนไขชีวิตที่แตกต่าง

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น’ เป็นการปรับรูปแบบการเรียนให้เข้ากับความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม และสามารถพัฒนาทักษะอาชีพให้สามารถเลี้ยงตนเองได้ตลอดชีวิต ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่มีเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่าง
  • ในเวทีเสวนาของ กสศ. ได้ยกตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จในการนำนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นมาประยุกต์ใช้ เช่น TK Park Yala ที่สร้างพื้นที่เรียนรู้ที่เปิดกว้าง บริษัทอัตลักษณ์ ที่พัฒนาทักษะอาชีพให้กับกลุ่มเปราะบาง และ Café Amazon For Chance ที่สร้างโอกาสในการทำงานให้กับผู้พิการทางการได้ยินและผู้สูงอายุ
  • ความสำเร็จของแต่ละโครงการ เกิดจากความร่วมมือกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ที่ทำให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม และช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับที่กว้างขึ้น

ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันเผชิญหน้ากับความท้าทายมากมาย หนึ่งในนั้นคือปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างการศึกษาที่อาจไม่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้เรียน ทำให้มีคนหลายกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาได้อย่างเต็มที่

หนึ่งในอุปสรรคที่ขัดขวางโอกาสในการเรียนรู้ก็คือการมีเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ หรือความพร้อมส่วนบุคคล ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือเรียนไม่จบตามเกณฑ์ที่กำหนด ยังรวมถึงการไม่สามารถกลับเข้าสู้เส้นทางการเรียนรู้ได้ ภายใต้โจทย์นี้ การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น (Flexible Learning) จึงเป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยเมื่อเร็วๆ นี้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เปิดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ ‘นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตด้วย Long Life Learning’ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอนวัตกรรมต่างๆ ที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับกลุ่มเปราะบางในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็น เด็กและเยาวชนในสถานพินิจ ผู้ต้องขัง ผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะถูกมองข้ามและขาดโอกาส ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาอย่างเหมาะสม

TK Park Yala จุดประกายความรู้ สู่สันติสุข

ศูนย์การเรียนรู้ ‘ทีเค ปาร์ค ยะลา’ (TK Park Yala)  นับเป็นหนึ่งโมเดลที่น่าสนใจของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่น ที่จะช่วยขับเคลื่อนการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดย วธนัน ถ้วนทวิล ผู้จัดการอุทยานการเรียนรู้ยะลา เล่าว่า ที่นี่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การศึกษาในพื้นที่เปราะบาง เพราะเล็งเห็นว่า การเข้าถึงการศึกษาอย่างเต็มที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนหลายกลุ่มในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องด้วยเป็นพื้นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และยังคงมีสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในพื้นที่อยู่เนืองๆ 

ทีเค ปาร์ค ยะลา จึงได้นำนวัตกรรมการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการและบริบทเฉพาะของชุมชน เพื่อสร้าง ‘สังคมแห่งการเรียนรู้’ ที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยเน้นการสร้างสรรค์พื้นที่เรียนรู้ที่เปิดกว้าง หลากหลายและยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เรียน

“ทีเค ปาร์ค ยะลา เป็น ‘การศึกษาตามอัธยาศัย’ จัดตั้งโดยเทศบาลจังหวัดยะลา เพื่ออำนวยให้ประชาชนทุกภาคส่วนที่อยากจะเรียนรู้ให้สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ค่ะ” วธนัน กล่าว

ที่นี่มีทรัพยากรและกิจกรรมที่หลากหลายรองรับ เช่น ห้องสมุดดิจิทัล ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ โรงภาพยนตร์และพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสนับสนุนการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้เกิดขึ้นจริง

ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.tkpark.or.th/tha/TK_Provincial_detail/อุทยานการเรียนรู้ยะลา

“นอกจากการทำทีเค ปาร์ค ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ก็มีการทำโครงการอื่นๆ เพื่อกระจายโอกาสทั้ง 4 มุมเมืองของยะลา โดยทำ มินิ ทีเค ตามโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ชายขอบ เพื่อแก้ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ผ่านกระบวนการทำกิจกรรม เพื่อช่วยดึงเด็กเหล่านั้นเข้ามาสู่การเรียนรู้ รวมถึงทำโครงการ Mobile Library & Activity จัดนิทรรศการให้โรงเรียนได้เรียนรู้ และส่งหนังสือให้ตามโรงเรียนต่างๆ อีกด้วย”

“และเราไม่ได้ทำแค่ในเขตเทศบาลนครยะลาอย่างเดียว แต่รวมไปถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เขาเข้ามาเรียนรู้กับเรา และนอกจากนั้น เราก็ทำภารกิจต่างๆ โดยจุดมุ่งหมายคือการทำให้เด็กและเยาวชนเกิดฉุกใจคิด และทำให้เขาเกิดการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของเขาเองได้ โดยทีเคปาร์ค ยะลา ก็เป็นศูนย์ในการส่งต่อการเรียนรู้ให้กลุ่มต่างๆ ที่เข้ามาเรียนรู้ด้วย” วรนัน เล่า

ทีเค ปาร์ค ยะลา จึงเป็นสถานที่ที่มากกว่าห้องสมุด เพราะมีการส่งเสริมทักษะอาชีพ สร้างโอกาสและความเท่าเทียมในการเข้าถึงการเรียนรู้ โดยมีกระบวนการทำงานและการจัดกิจกรรมต่างๆ จากโจทย์ของเทศบาลยะลา ที่ต้องการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้คนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย

‘อัตลักษณ์’ สร้างอาชีพ สร้างอนาคตให้กลุ่มเปราะบาง

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่มีการทำงานร่วมกับกลุ่มเปราะบาง คือ นวัตกรรมของ ‘บริษัทอัตลักษณ์’ ที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น แม่เลี้ยงเดี่ยว เด็กในสถานพินิจ ผู้ต้องขังในเรือนจำ และผู้พ้นโทษ ผ่านการพัฒนาหลักสูตรฝึกอาชีพและฝึกอาชีพให้กับกลุ่มต่างๆ ตามโจทย์ชีวิตที่แตกต่างกัน

จุดเด่นของบริษัทอัตลักษณ์อยู่ที่การนำเอาหลักการพัฒนาธุรกิจมาผสมผสานกับการทำงานเพื่อสังคม ควบคู่ไปกับการออกแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม เพื่อมอบโอกาสใหม่ให้กลุ่มเปราะบางพัฒนาทักษะอาชีพ จนสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น สร้างรายได้อย่างยั่งยืน และเลี้ยงชีพตนเองได้ไปตลอดชีวิต

ดนุดา ดวงกมลศานต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอัตลักษณ์ จำกัด (กลุ่มกิจการเพื่อสังคม) จังหวัดหนองบัวลำภู เล่าถึงจุดเริ่มต้นการก่อตั้งบริษัทว่า เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวในการเป็นศิษย์เก่าอาชีวะที่ได้กลับไปช่วยสอนน้องๆ ที่โรงเรียนอาชีวะ ทำให้เธอเห็นถึงศักยภาพและความสามารถของพวกเขา แต่ก็พบปัญหาว่าหลายคนที่สร้างสรรค์หรือผลิตผลงานขึ้นมานั้นขาดความรู้เกี่ยวกับช่องทางในการจำหน่าย เธอจึงริเริ่มก่อตั้งบริษัทอัตลักษณ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา โดยมุ่งหวังที่จะสร้างโอกาสให้กับคนในชุมชนและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และหลังจากนั้นก็มีการเข้าไปทำงานกับกลุ่มต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาทักษะอาชีพอย่างยั่งยืน

“ในปี 2563 เราได้รับโอกาสจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เลยลองเข้ามาทำดู ซึ่งในปีนั้นทำงานกับ ‘แม่เลี้ยงเดี่ยว’ เพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพให้กับกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำให้เราเข้าใจประเด็นของผู้หญิงมากขึ้น จนเกิดเป็น ‘กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านวังหินซา’ ซึ่งสามารถดูแลตัวเองได้มาถึงทุกวันนี้ 

ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.facebook.com/atthalak/

และในปี 2565 ก็ได้ไปทำงานกับ ‘กลุ่มเด็กในสถานพินิจอุดรธานี’ สร้างโครงการขึ้นมาชื่อว่า ‘สร้างอาชีพ เปลี่ยนแนวคิด พลิกชีวิตเด็กหลงทาง’ โดยคอนเซ็ปต์คือการใช้อาชีพที่เราเชี่ยวชาญเข้าไปเปลี่ยนทัศนคติ เพื่อให้น้องๆ มองเห็นว่าเขายังมีโอกาสอยู่ข้างหน้า เพราะเท่าที่เราเข้าไปทำงานมา น้องๆ หลายคนไม่ทราบเลยว่ามีอาชีพอะไรที่สามารถทำได้บ้าง หรือเขาต้องเรียนต่ออะไร เขาชอบอะไร ค้นพบอะไร ซึ่งเราใช้เทคนิคสร้าง ‘กระเช้าอาชีพ’ ที่หลากหลายจากผู้ประกอบการจริง และให้เขาเลือกสิ่งที่เขาอยากเป็น อยากทำ จนเกิดเป็น ‘ศูนย์การเรียนรู้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี’ 

สุดท้ายเราก็เข้าไปทำงานกับ ‘กลุ่มในเรือนจำ’ ซึ่งก็ได้เรียนรู้ว่า เราไม่ได้แค่จัดการเรียนรู้ให้เขาอย่างเดียว แต่เหมือนจัดการเรียนรู้ให้ตัวเองด้วย เพราะเราก็ได้เรียนรู้จากเขา ทำให้ทั้งวิทยากร ทีมงาน และทุกๆ คนที่ทำงานตรงนี้ ต่างก็เปลี่ยนทัศนคติของตัวเองไปเลย มีความเข้าอกเข้าใจมากขึ้นและอยากจะมาทำ เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกดีๆ และช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง ขยายโอกาสให้เขา”

ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.facebook.com/atthalak/

ดนุดา เล่าว่า ในการทำงานกับผู้ต้องขัง เธอมักจะได้รับคำถามว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ต้องขังจะไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก ซึ่งเธอให้ความเห็นว่า การที่จะรับประกันว่าบุคคลหนึ่งจะไม่กระทำผิดซ้ำอีกนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นซับซ้อนและมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ แต่อีกมุมหนึ่ง การฟื้นฟูและการให้โอกาสผู้ต้องขังกลับคืนสู่สังคมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน 

“เราชอบคำหนึ่งว่า ‘ผู้ต้องปล่อย’ พอได้ยินคำนี้ก็เอามาตีความลึกๆ ว่าหมายถึงการปลดปล่อยตัวเอง ซึ่ง ‘ปล่อย’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าปล่อยเขาออกสู่สังคมภายนอก แต่คือการที่เขาต้องปลดปล่อยตัวเองจากความคิดที่ว่าถูกมองในแง่ลบจากสายตาคนภายนอก รวมถึงสังคมก็ต้องปล่อยภาพจำทิ้งไปด้วย”

ในปี 2567 นี้ บริษัทอัตลักษณ์ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้พ้นโทษ มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้และสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพจริง ซึ่งภายในเรือนจำจะมีการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่และหน่วยงานภายนอก รวมถึงบริษัทอัตลักษณ์ โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำมีบทบาทสำคัญในการส่งต่อผู้ต้องขังเข้าสู่กระบวนการพัฒนาอาชีพ และเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาดำเนินโครงการ ขณะที่บริษัทอัตลักษณ์ก็จะเข้ามาเติมเต็มโดยการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมภายนอกให้มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อผู้พ้นโทษ

“เทคนิคที่เราใช้คือ ‘องค์กรกลาง’ เพราะจากการศึกษางานวิจัยและสัมภาษณ์พบว่าไม่อยากให้หน่วยงานจากเรือนจำเข้ามาติดต่อโดยตรงให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจทั้งผู้พ้นโทษและสังคมรอบข้าง องค์กรกลางนี้จึงเกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวผู้พ้นโทษและสังคม ซึ่งผู้ที่มาทำองค์กรกลางก็คือคือผู้พ้นโทษที่แข็งแรงแล้ว และมารวมกลุ่มกันผลักดันองค์กรไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ เขาต่อไป” ดนุดา เล่า

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของบริษัทอัตลักษณ์ ไม่เพียงช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีทักษะอาชีพและสามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้ แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชนและสังคม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในการนำหลักการของการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสังคม 

Café Amazon For Chance โอกาสที่รออยู่ในทุกๆ แก้ว

โครงการ Café Amazon For Chance เป็นโครงการที่นำหลักการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างโอกาสให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส โดยมีแนวคิดในการสร้างโอกาสให้กับผู้ที่ขาดโอกาสในสังคม ผ่านการฝึกอบรมในรูปแบบที่สอดคล้องกับข้อจำกัดของคนแต่ละกลุ่ม และพัฒนาทักษะให้สามารถเป็นบาริสต้าในร้านกาแฟอเมซอนได้ ซึ่งโครงการนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การสร้างอาชีพ แต่จะเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมศักยภาพของผู้เข้าร่วมโครงการอีกด้วย 

ขอบคุณรูปภาพจาก https://sarnpalung.pttgrp.com/web/project/1

ภูรี สมิทธิเนตย์ หัวหน้าโครงการ Café Amazon for Chance บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เล่าว่าจุดเริ่มต้นของโครงการมาจากความต้องการที่จะสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม โดยให้โอกาสกับกลุ่มคนที่อาจถูกมองข้าม เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เคยประสบปัญหาทางสังคม ได้มีโอกาสทำงานและมีรายได้ที่มั่นคง ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการ คือ การสร้างงาน สร้างอาชีพ และส่งเสริมการพัฒนาตนเองให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้พวกเขามีความมั่นใจในตนเอง และสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

“โครงการนี้เกิดเมื่อปี 2016 ช่วงที่ท่านเทวินทร์ วงศ์วานิช เป็นผู้บริหารปตท. ท่านบอกว่าเราได้ช่วยเหลือสังคมมาเยอะแล้ว แต่อยากทำโครงการช่วยสังคมในระยะยาวเพื่อที่จะทำให้เกิดการจ้างงาน เลยกลับมาดูความแข็งแกร่งของเรา ก็เห็นว่าเรามีร้าน Café Amazon ประมาณ 3,300 สาขา จึงอยากช่วยกลุ่มที่ด้อยโอกาส และมองเห็นว่า ‘กลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน’ นั้นเป็นกลุ่มที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ซึ่งมีประมาณ 300,000 กว่าค และเป็นกลุ่มที่โตเร็วมากที่สุด เนื่องจากเมื่อมีอายุมากขึ้นก็มีผู้สูงวัยที่สูญเสียความสามารถทางการได้ยินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราเลยไปศึกษากลุ่มนี้ว่าเขามีความต้องการอะไรเป็นพิเศษบ้าง  สิ่งที่พบคือ ความสามารถทางร่างกายด้านอื่นเขาก็ปกติเหมือนคนทั่วไปเลย แต่สิ่งแตกต่างคือความสามารถในการได้ยินและการสื่อสาร”

เพื่อทำความเข้าใจถึงความแตกต่างในการเรียนรู้ระหว่างผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกับผู้ที่มีการได้ยินปกติ อเมซอนจึงได้เข้าไปศึกษาที่ ‘วิทยาลัยราชสุดา’ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาสำหรับผู้พิการทางการได้ยินโดยเฉพาะ การศึกษาครั้งนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่า การสื่อสารและการเรียนรู้ของผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินนั้นมีความแตกต่างอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการอ่าน เนื่องจากภาษามือและภาษาไทยมีโครงสร้างทางภาษาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินต้องใช้เวลามากกว่าในการอ่านและเข้าใจภาษาไทย

การปรับรูปแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของผู้เรียนจึงนับเป็นก้าวสำคัญที่ต้องการความใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก เพื่อให้การเรียนรู้ของผู้เข้าร่วมโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อเมซอนได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนแบบเดิม โดยนำภาษามือมาใช้ในการสอนสูตรและคำศัพท์ต่างๆ แทนการใช้ภาษาเขียน เนื่องจากภาษามือเป็นภาษาแม่ของผู้พิการทางการได้ยิน ทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

ขอบคุณรูปภาพจาก https://sarnpalung.pttgrp.com/web/project/1

“เราต้องมีการจัดระบบการเรียนการสอนใหม่ เพื่อที่จะให้เขาอ่านเมนูหรือสูตรได้เข้าใจ โดยใช้ภาษามือมาสอนแทนสูตรภาษาไทย โดยที่ให้ล่ามภาษามือมาเรียนรู้กับเราก่อน จากนั้นก็ให้ถ่ายทอดต่อกับกลุ่มน้องๆ ในวิทยาลัยราชสุดา โดยเมื่อกลุ่มแรกเข้าใจ เขาก็จะกลายเป็นเทรนเนอร์ที่จะถ่ายทอดต่อให้คนอื่นๆ และวันนี้เราขยายโครงการ ‘Café Amazon For Chance’ ไปแล้ว 331 สาขา จ้างงานคนพิการ 200 กว่าคน และจ้างงานผู้สูงวัยเกือบ 400 คน

ซึ่งจริงๆ งานเกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมนี้มีประโยชน์ที่ทำให้เขาเกิดรายได้ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ เราช่วยพัฒนาในหลายๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน ทหารผ่านศึก กลุ่มเด็กออทิสติก ให้สามารถกลายเป็นผู้จัดการสาขาได้ และได้เงินเดือนที่มั่นคงมากขึ้น เพราะถ้าเราพัฒนาความสามารถให้กลุ่มต่างๆ ไปเรื่อยๆ เขาก็จะมีโอกาสได้เงินเดือนที่สูงขึ้นได้ตามวุฒิการศึกษาและความสามารถ”

ภูรี เล่าว่า โครงการ Café Amazon For Chance ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปี โดยเริ่มจากสาขาแรก และขยายสาขาออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาขาส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ที่เกิดจากความสนใจของภาคเอกชนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม การขยายตัวของโครงการนี้สะท้อนให้เห็นถึงกระแสความตื่นตัวของภาคเอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาส เช่น ผู้พิการทางการได้ยิน และผู้สูงอายุ

ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.facebook.com/cafeamazonofficial

ปัจจุบัน Café Amazon For Chance มีสาขากว่า 331 สาขา ในจำนวนนี้มีสาขาที่เป็นแฟรนไชส์ของภาคเอกชนประมาณ 50 สาขา และเพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อเมซอนจึงได้กำหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับแฟรนไชส์ รวมถึงจัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าของแฟรนไชส์และพนักงาน เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจและสามารถดูแลผู้พิการทางการได้ยินและผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำเร็จของโครงการ Café Amazon For Chance สะท้อนให้เห็นว่าการสร้างธุรกิจเพื่อสังคมเป็นไปได้และยั่งยืน การที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สังคมและการพัฒนาคน ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับผู้ด้อยโอกาสอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับองค์กรอื่นๆ ในการนำไปปรับใช้

โดยจุดเด่นของนวัตกรรมการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นในโครงการเหล่านี้คือการเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การออกแบบหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาสังคมและสร้างโอกาสให้กับทุกคน การสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

Tags:

การศึกษานวัตกรรมการศึกษาการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่นกลุ่มเปราะบาง

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • flexible learning-1
    Social Issues
    ‘ห้องเรียนระบบสอง’ การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตามโจทย์ชีวิตจริง:  นวัตกรรมการศึกษาแก้ปัญหาเด็ก Drop Out โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมฯ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    Border pedagogy การศึกษาที่ชายขอบเป็นศูนย์กลาง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    OMG2: ‘เพศศึกษา’ เรื่องที่ครูไม่ได้สอน แต่กลับคอยซ้ำเติมความเชื่อผิดๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    ‘เปิดเทอมที่ไม่ได้เรียนต่อ’ ทางออกอยู่ที่ไหน เมื่อเด็กตกอยู่ในการวนซ้ำของการหลุดจากระบบการศึกษา

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Learning Theory
    The Boy Who Harnessed the Wind เมื่อ ‘หนังสือเล่มหนึ่ง’ นำไปสู่ชัยชนะของเด็กชายต่อสายลม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

โมเดลการศึกษาเดนมาร์ก ‘เตรียมเด็กให้ตอบโจทย์สังคมโลก’ โจทย์ท้าทายการศึกษาไทย
Education trendSocial Issues
1 October 2024

โมเดลการศึกษาเดนมาร์ก ‘เตรียมเด็กให้ตอบโจทย์สังคมโลก’ โจทย์ท้าทายการศึกษาไทย

เรื่อง ศากุน บางกระ ภาพ ปริสุทธิ์

  • เสาหลักของระบบการศึกษามีสามเสาด้วยกัน คือ คุณภาพการศึกษา การมีส่วนร่วมอย่างเชิงรุก และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  • ระบบการศึกษาของเดนมาร์กเป็นระบบที่เตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เน้นสร้างคนให้ตอบโจทย์กับความต้องการของโลก และเป็นการศึกษาที่เท่าเทียม กล่าวคือ การศึกษาส่วนใหญ่นั้นจะไม่มีค่าใช้จ่าย
  • การไว้วางใจ (Trust) เป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาในเดนมาร์กให้ความสำคัญมาก ซึ่งคือ ความไว้ใจในตัวเด็ก ตัวครู และรวมไปถึงในวิธีการเรียนรู้ การศึกษาต้องทำให้ครูมีอิสระในการทำงาน ทำให้สร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละกลุ่มได้ 

เดนมาร์กเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่า มีระบบสวัสดิการที่ดี ยึดถือแนวคิดการใช้ชีวิตให้มีความสุข โดยเฉพาะชื่อเสียงด้านการศึกษานั้น จัดอยู่ในประเทศที่มีระบบการศึกษาคุณภาพระดับโลก มีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นไปที่การแก้ปัญหาในชีวิตจริงมากกว่าการท่องจำ และมีผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน 

บทความนี้จะพาไปรู้จักการศึกษาเดนมาร์กผ่านวิทยากรผู้มีความรู้ความเข้าใจแนวทางการจัดการศึกษาของเดนมาร์ก ที่ได้นำประสบการณ์มานำเสนอบนเวที ‘การอบรมเพื่อส่งเสริมการจัดการการศึกษาของโรงเรียนเอกชนที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมศึกษา’ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนและเครือข่าย ซึ่งมีเป้าหมายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาระบบการศึกษาไทยในอนาคต

การศึกษาต้องเท่าเทียม สร้างคนให้เป็นพลเมืองโลก

ในเวทีดังกล่าว แดนนี แอนนัน (Danny Annan) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเดนมาร์กประจำประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ ‘วิสัยทัศน์ของเดนมาร์กเพื่อการพัฒนามนุษย์’ ว่าระบบการศึกษาของเดนมาร์กเป็นระบบที่เตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ระบบการศึกษาเดนมาร์กนั้นเน้นสร้างคนให้ตอบโจทย์กับความต้องการของโลก และเป็นการศึกษาที่เท่าเทียม กล่าวคือ การศึกษาส่วนใหญ่นั้นจะไม่มีค่าใช้จ่าย 

เสาหลักของระบบการศึกษาจะมีสามเสาด้วยกัน เสาแรกคือ คุณภาพการศึกษา มาตรฐานการศึกษาของเดนมาร์กนั้นจะต้องทำให้การศึกษาเป็นของคนทุกกลุ่ม สร้างเด็กให้มีความรู้ ความสามารถเพื่อที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ 

“การศึกษาไม่ใช่เพียงแค่เพื่อการทำงานเท่านั้น แต่เพื่อที่จะทำให้คนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และสามารถที่จะสื่อสารในสิ่งที่ตัวเองคิดได้” 

เสาหลักต่อไปคือ การมีส่วนร่วมอย่างเชิงรุก เด็กในระบบการศึกษาของเดนมาร์กจะสามารถมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การศึกษานั้นจะต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้สื่อสารความคิดของตัวเองออกมา ซึ่งเด็กจะถูกกระตุ้นให้มีทักษะนี้ตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน รวมไปถึงการคิดเชิงวิเคราะห์ด้วย โดยระบบการศึกษาของเดนมาร์กจะใช้วิธีการนี้เพื่อให้เด็กได้เติบโตเป็นผู้ที่มองสังคมอย่างมีความรับผิดชอบ

อีกหนึ่งเสาหลักที่ถูกปลูกฝังมานานในระบบการศึกษาของเดนมาร์กก็คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้นั้นไม่ควรจะหยุดอยู่ที่วัยเด็กหรือวัยรุ่นเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จึงเกิดได้ตลอดเวลา แม้เมื่อทำงานแล้วก็ยังเกิดการเรียนรู้ได้อยู่เสมอ 

แดนนีอธิบายด้วยว่าการศึกษาของเดนมาร์กได้ให้ความสำคัญกับการเล่นเมื่อเด็กเริ่มเข้าอนุบาล โดยการเล่นนั้นจะต้องเป็นไปอย่างอิสระ (Free Play) ไม่จำเป็นต้องเน้นเรื่องทางวิชาการ แต่เน้นให้เด็กได้เรียนรู้

แดนนี แอนนัน (Danny Annan) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเดนมาร์กประจำประเทศไทย

“เด็กจะเรียนรู้ผ่านการเล่น ไม่ใช่การสั่ง การทำกิจกรรมของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง เดิน กระโดด สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ครูและผู้ปกครองควรที่จะปล่อยให้เด็กได้ลองเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านประสบการณ์ของตัวเอง” 

แดนนี่กล่าวเสริมว่า การเล่นแบบที่ให้เด็กได้เผชิญกับความเสี่ยง (Risky Play) ก็ส่งเสริมการเรียนรู้ได้ไม่แพ้กัน เด็กจะเข้าใจหัวใจสำคัญของความรับผิดชอบโดยการได้รู้จักประเมินความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยตัวเอง เช่น หากเด็กเลือกที่จะเล่นปีนต้นไม้ ความเสี่ยงก็คือการตกลงมาจากต้นไม้

เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่วัยประถม การศึกษาของเดนมาร์กจะไม่เน้นเรื่องการสอบหรือการท่องจำ แต่จะสนับสนุนให้เด็กทำงานเป็นกลุ่ม ให้ได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งประสบการณ์ตรงเช่นนี้จะช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของเด็กได้ ส่วนในระดับมัธยมจะเป็นการเตรียมพร้อมให้เด็กกลายเป็นผู้ใหญ่และเตรียมพร้อมทางวิชาการเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย 

อย่างไรก็ตาม การศึกษานั้นจะมีทางไปให้กับเด็กอีกกลุ่มที่ไม่ชอบด้านวิชาการด้วย นั่นคือการพัฒนาทักษะอาชีพ รวมไปถึงดนตรีหรือกีฬา นอกจากนี้เดนมาร์กยังมี Folk High Schools เป็นการศึกษานอกระบบที่เปิดโอกาสให้เด็กหรือผู้ใหญ่ได้เข้าเรียนหลังจากจบมัธยมฯ โดยมีวิชาที่หลากหลายเพื่อเพิ่มเติมความรู้ให้กับคนที่สนใจ และแนวคิดเรื่อง Gap Year ก็ยังเป็นที่นิยม สำหรับเด็กหลายๆ คน เมื่อเรียบจบระดับมัธยมฯ ก็เลือกที่จะพักการเรียนไว้ก่อน

“นักเรียนที่จบมัธยมศึกษาแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย จะใช้ช่วงเวลาในปีนั้นมองหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ เราเชื่อว่า เรื่องของการศึกษาไม่ควรที่จะเร่งรีบ ควรจะเปิดโอกาสให้เราสามารถทดลองว่าความสนใจของตัวเองจริงๆ คืออะไร” 

แดนนีอธิบายที่มาของแนวคิดนี้ว่า เพราะการศึกษาไม่เพียงแต่มีผลต่อระดับปัจเจกเท่านั้น แต่การศึกษาของเดนมาร์กจะต้องช่วยสร้างคนที่ตอบรับกับตลาดแรงงานของประเทศด้วย ตลาดแรงงานจะมองหาบุคคลที่เขาต้องการได้เสมอ หรือถ้าวันหนึ่งทักษะที่คนเหล่านั้นมีกลับไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ระบบการศึกษาจะต้องทำให้คนเหล่านั้นได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อที่จะให้ตัวเองเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอีกครั้ง

ภารกิจของโรงเรียนเพื่อ ‘การเรียนรู้’

ภารกิจและค่านิยมของโรงเรียนในเดนมาร์กสามารถมองเห็นได้ชัดจากโรงเรียนนานาชาติไวกิ้ง (Viking International School, VIS) แม้โรงเรียนแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียนไม่เกิน 100 คน และอยู่ในพื้นที่ชนบทของเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แต่แองเจลจิกา คัลเลน (Angelika Cullen) ผู้อำนวยการของโรงเรียน บอกว่า โรงเรียนของเธอมีเป้าหมายที่ใหญ่มาก วิสัยทัศน์ของโรงเรียนคือการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การสร้างพลเมืองโลก ซึ่งในเวทีเสวนาเดียวกัน เธอได้เล่าประสบการณ์การสร้างโรงเรียนแห่งนี้ โดยค่านิยมที่โรงเรียนต้องการปลูกฝังให้อยู่ในตัวเด็กทุกคนรวมไปถึงให้อยู่ในการทำงานในทุกๆ วันก็คือ นวัตกรรม (Innovation) ความเห็นอกเห็นใจ (Kindness) ความร่วมมือ (Collaboration) จินตนาการ (Imagination) และ แรงบันดาลใจ (Passion)

นวัตกรรมในที่นี้หมายถึงนวัตกรรมในการเรียนการสอนและหลักสูตรของโรงเรียน เช่น มีการสะท้อนความสำเร็จและความล้มเหลวจากการทำงานทุกสิ้นปี พร้อมประเมินดูว่าจะพัฒนาปรับปรุงอะไรได้บ้าง 

“บางการเปลี่ยนแปลงก็ทำได้ง่ายมาก เช่น การออกแบบห้องเรียนใหม่เพื่อช่วยสร้างสมาธิให้นักเรียน แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น หลักสูตร ที่จะต้องใช้การเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ก็จะค่อนข้างยาก” 

แองเจลิกาเล่าว่าที่ผ่านมา โรงเรียนได้พยายามปรับปรุงนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กๆ เสมอ เช่น การสร้าง Sensory Room เป็นพื้นที่สงบให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กได้ใช้ทำสมาธิ สงบจิตใจ หรือพักผ่อนเติมพลัง โดยเด็กสามารถที่จะขอครูออกไปพักและใช้เวลาในพื้นที่นั้นได้ 10 นาที นอกจากนี้ยังมีการใช้นวัตกรรมที่ส่งเสริมการเรียนอย่างการจัดรูปแบบการนั่ง การใช้เก้าอี้ที่น่านั่งและการทาสีห้องเรียนที่เหมาะสม

แองเจลจิกา คัลเลน (Angelika Cullen) ผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติไวกิ้ง (Viking International School, VIS)

“เราเป็นผู้ใหญ่ เรายังอยากพักเลย เราอาจจะไปเดินเล่น หรือว่าเล่นมือถือของเรา หรือว่าอาจจะคุยกับเพื่อน แต่ว่าเด็กๆ เขาไม่มีโอกาสได้พักแบบเรา ทีนี้ก็เลยตัดสินใจว่าเราต้องสอนเด็กว่า เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องการเวลาพัก บางครั้งเขารู้สึกเหนื่อย เขารู้ว่าต้องการที่จะพักผ่อน เขาก็จะไปให้มุมต่างๆ เหล่านั้นได้” แองเจลิกาเล่า

เธอบอกว่า สิ่งที่ทำให้การทำงานยากขึ้นก็คือ การเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้ปกครอง ผู้ปกครองบางคนอาจจะยังติดว่า การเรียนที่ดีคือการทำคะแนนสอบได้ดี และลังเลว่า นวัตกรรมที่สร้างขึ้นจะช่วยส่งเสริมความสำเร็จของเด็กได้จริงหรือไม่ ซึ่งจุดนี้กลายเป็นความท้าทายที่หลายโรงเรียนในยุโรปกำลังเผชิญอยู่ การค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวจึงสำคัญ เมื่อเวลาผ่านไปผู้ปกครองจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการเรียนรู้ของเด็กได้เอง ทั้งนี้โรงเรียนจะใช้การคุยกับผู้ปกครองให้เข้าใจว่าโรงเรียนอยากทำอะไรและเด็กจะได้ประโยชน์อะไร จากนั้นผู้ปกครองจะให้ความร่วมมือมากขึ้น 

สำหรับค่านิยมเรื่องความเห็นอกเห็นใจ ทางโรงเรียนนานาชาติไวกิ้งได้ให้ความหมายของคำนี้ว่า คือการสร้างความมั่นใจว่าเด็กทุกคนได้รับการดูแลทางจิตใจ ซึ่งทำได้โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่รู้สึกว่าเป็นเหมือนบ้าน สร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับเด็ก ทำให้ครูมีความเชื่อมโยงกับเด็กเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ทั้งนี้ยังรวมไปถึงทำให้เด็กได้รู้จักการบริหารอารมณ์ของตัวเอง

“จะต้องมีมุมสงบให้เด็ก แล้วให้เด็กสามารถที่จะรู้เองว่า เขาเป็นเจ้าของอารมณ์ของเขาเอง อย่างเช่นการเรียน เด็กอาจจะอยากจะทำความเข้าใจกับคณิตศาสตร์ เขาก็จะขอเวลาสักสิบนาทีในการที่จะควบคุมสติอารมณ์ก่อนที่จะเริ่มทำ เด็กควรจะมีสิทธิในการตัดสินใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้” แองเจลิกาเล่า

ด้าน เจนนี ฮัดสัน วิสมาร์ก (Jenny Hudson Vismark) รองผู้อำนวยการโรงเรียนฯ ได้เสริมว่า การที่เด็กจะเป็นพลเมืองของโลกได้ จะต้องสามารถในการร่วมมือกับคนอื่นๆ ได้ ซึ่งเป็นค่านิยมหนึ่งของโรงเรียน การจะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ เด็กจะต้องมีทั้งทักษะการแก้ไขปัญหาควบคู่ไปกับทักษะทางด้านวิชาการ

“เรามีโปรเจกต์ที่ให้เด็กคิดค้นเกมใหม่ขึ้นมา เกมอันนี้จะต้องเอานําไปเสนอให้กับนักลงทุนซึ่งนักลงทุนก็คือผู้ปกครอง เด็กก็ต้องช่วยกันคิดว่าเกมที่จะทำขึ้นมาเป็นอะไร อาจจะเป็นเกมกระดาน เกมไพ่ หรือเกมอะไรก็ได้ เด็กต้องวิจัยว่าในตลาดมีเกมอะไรบ้าง เกมมีเนื้อหาอะไร ใช้วัสดุอะไรทำ ใช้ต้นทุนเท่าไหร่ เด็กก็จะต้องทำแผนการตลาดแบบพื้นฐาน ลองเล่นเกมแล้วก็รับฟังคำติชม” เจนนียกตัวอย่าง

เจนนี ฮัดสัน วิสมาร์ก (Jenny Hudson Vismark) รองผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติไวกิ้ง (Viking International School, VIS)

ส่วนค่านิยมเรื่องจินตนาการนั้น ทางโรงเรียนจะเชื่อเสมอว่า เด็กต้องมีโอกาสทำผิด หรือสามารถที่จะทำผิดได้ 

หากให้เด็กรู้สึกปลอดภัยที่จะทำผิดได้ เด็กจะกล้าลองผิดลองถูก เพราะหากเด็กรู้สึกกลัว เด็กก็จะไม่กล้าเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมือนเป็นอีกทางที่ช่วยให้เด็กรู้จักมองนอกกรอบได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเราจะต้องหาพื้นที่ที่เด็กสามารถทำผิดได้

“ถ้าเด็กเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่เรื่องผิด” ที่กล่าวเช่นนี้เจนนีให้เหตุผลว่า เพราะเด็กๆ อาจจะเพียงไม่รู้คำตอบเท่านั้น หน้าที่ของครูก็คือเปิดโอกาสให้เด็กสามารถที่จะเรียนรู้จนกว่าจะหาคำตอบได้

และค่านิยมข้อสุดท้ายคือแรงบันดาลใจ (Passion) เจนนี่มองว่า ครูสามารถทำหน้าที่จุดประกายเล็กๆ น้อยๆ ให้เด็กได้ เช่น การหาหนังสือที่เด็กอยากอ่านหรือเหมาะสมให้กับเด็ก

“เด็กของเราเรียนรู้เรื่องของสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กก็จะอ่านข้อมูล ในขณะเดียวกันเราก็จะให้อ่านนิยายเรื่องของครอบครัวของชาวเดนมาร์กที่มีชีวิตอยู่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่สองด้วย แล้วเด็กก็จะได้มองในมุมว่าการที่ครอบครัวนั้นจะเอาชีวิตรอดในระหว่างช่วงสงครามจะต้องทำอย่างไร สิ่งที่น่าสนใจก็คือเวลาที่เด็กกลับไปบ้าน เด็กก็ไปอ่านเพิ่มเติมเองซึ่งครูไม่ได้บอกว่าให้ไปอ่านเพิ่ม แต่ว่าเด็กทำมาเป็นรายงานแล้วก็มาขอครูว่า เตรียมพาวเวอร์พอยต์มาในเรื่องของสงครามโลกครั้งที่สอง อยากจะมานำเสนอให้เพื่อนฟัง เด็กก็เริ่มที่จะเปรียบเทียบความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันว่ามีความเหมือนและต่างกันอย่างไร” เธอเล่าถึงการจุดประกายของครูที่นำไปสู่การต่อยอดทางความคิดของเด็กๆ 

เจนนีเชื่อว่า ค่านิยมทั้งหมดของโรงเรียนฯ จะส่งเสริมให้เด็กสามารถที่จะเติบโตขึ้นในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ เด็กจะปรับตัวได้ มีความสงสัยใคร่รู้ และมีความมั่นใจที่จะก้าวต่อไป

สะท้อนการศึกษาเดนมาร์กสู่การศึกษาไทย

ในเวทีนี้นอกจากวิทยากรจากเดนมาร์กที่มาเล่าถึงประสบการณ์การจัดการศึกษาแล้ว ในหัวข้อ ‘สะท้อนการศึกษาเดนมาร์กและผลกระทบต่อการศึกษาไทย’ อาจารย์สงกรานต์ จารึกวงศ์สวัสดิ์ หัวหน้าทีมวิชาภาษาอังกฤษ ระดับประถมศึกษา โรงเรียนรุ่งอรุณ ได้ชวนให้บุคลากรทางการศึกษาของไทยให้ตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ เมื่อเราเห็นว่าเดนมาร์กได้ยึดเอา ‘อารยวิถี (Wellbeing)’ และ ‘ความเรียบง่าย’ เป็นหัวใจสำคัญในการจัดการเรียนการสอน แล้วการศึกษาของไทยจะสามารถนำวิธีการหรือค่านิยมไหนไปปรับใช้ได้บ้าง

อาจารย์สงกรานต์ จารึกวงศ์สวัสดิ์ หัวหน้าทีมวิชาภาษาอังกฤษ ระดับประถมศึกษา โรงเรียนรุ่งอรุณ

“เดนมาร์กให้ความสำคัญกับสิ่งที่ใช้ได้จริงเพื่อที่จะส่งเสริมการเรียนรู้และความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก เราจะเห็นเลยว่าการศึกษาของเดนมาร์กให้ความสำคัญกับการใช้งานได้จริงมากกว่ารูปแบบที่เป็นทางการ ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ เกิดนวัตกรรมของการเรียนการสอนและการออกแบบหลักสูตรต่างๆ” 

อาจารย์สงกรานต์ย้ำว่า การไว้วางใจ (Trust) เป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาในเดนมาร์กให้ความสำคัญมาก ซึ่งคือ ความไว้ใจในตัวเด็ก ตัวครู และรวมไปถึงในวิธีการเรียนรู้ การศึกษาต้องทำให้ครูมีอิสระในการทำงาน มีอิสระในการเลือกรูปแบบการสอนหรือจัดการห้องเรียนได้ด้วยตัวเอง การมีอิสระเช่นนี้ทำให้ครูสามารถสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละกลุ่มได้ 

นอกจากนี้การให้ความสำคัญและตระหนักว่าการเรียนรู้ไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการการเรียนรู้ การส่งเสริมให้ให้เด็กเรียนรู้แบบเสี่ยงๆ บ้างจึงเป็นเรื่องของความท้าทายที่จะทำให้เด็กมีโอกาสในการเติบโต สามารถที่จะรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ รวมไปถึงการเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play-based learning) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญมากในแนวทางการเรียนการสอนของเดนมาร์ก เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ที่ทำให้เด็กพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และการเข้าสังคม 

“เป้าหมายหลักของเดนมาร์กกลับเป็นในเรื่องของการสร้างความเข้าใจในองค์ความรู้ที่มันอยู่ในชีวิตประจำ ความเรียบง่ายนี้ยังรวมไปถึงการเข้าถึงด้วย เขาจะไม่มีการสอบอย่างเป็นทางการจนกระทั่งถึงระดับมัธยมฯ ทำให้เด็กมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ เด็กจะรักการเรียนโดยไม่มีแรงกดดันในเรื่องทางวิชาการ”

อาจารย์สงกรานต์ชวนคิดต่อว่าแนวทางเหล่านี้อาจทำให้เราย้อนกลับมาตั้งคำถามกับกระบวนการศึกษาของไทยว่า เราจะสร้างความไว้ใจให้กับกระบวนการศึกษาได้อย่างไร และจะทำอย่างไรในการที่จะสร้างพลังของนักเรียนและครู ให้พวกเขาได้เป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้ของตัวเอง รวมไปถึงเราจะนำแนวคิดเรื่องการเล่นเข้าสู่กระบวนการเรียนของเราได้อย่างไร

“ไม่ว่าท่านจะเป็นคุณครู เป็นกระบวนกร เป็นผู้วางนโยบาย ท่านก็มีอำนาจอยู่ในมือที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อที่จะสร้างระบบการศึกษาที่ช่วยส่งเสริมความสุข ความมั่นใจ และมีผู้เรียนรู้ที่มีศักยภาพ สร้างระบบที่สามารถเตรียมเด็กได้ ไม่ใช่แค่เตรียมให้พร้อมสำหรับข้อสอบ แต่เตรียมเด็กให้สามารถเผชิญกับชีวิตได้”

Tags:

คุณภาพการศึกษาการเรียนรู้ตลอดชีวิตความเท่าเทียม (equality)พลเมืองโลกการศึกษาเดนมาร์กการมีส่วนร่วมเชิงรุก

Author:

illustrator

ศากุน บางกระ

Gen-Y ตอนปลาย จบวารสารฯ ธรรมศาสตร์ เคยทำงานทีวี หนังสือพิมพ์ เคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้เด็กชาติพันธุ์ ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ปัจจุบันเรียนโทด้าน Development Studies ที่ University of Melbourne ฝันอยากทำงานกับเด็กๆ

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Social Issues
    เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ทำให้วิถีประชาธิปไตยอยู่ในโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningSocial Issues
    การยกระดับคุณภาพการศึกษา เริ่มต้นที่ห้องเรียน การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มต้นที่ความเชื่อว่า ‘ทำได้’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Early childhood
    ถอดบทเรียนกรณีครูปฐมวัยทำร้ายเด็กเล็ก1: บทบาทครูปฐมวัยและการควบคุมคุณภาพ

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel