Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: July 2023

หน้าตาของความกลัวในรั้วโรงเรียน
10 July 2023

หน้าตาของความกลัวในรั้วโรงเรียน

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บ่อยครั้งความกลัวถูกทำให้ดูเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่คู่ควรที่จะมีในระบบการศึกษา เพื่อใช้ควบคุมหรือสร้างบรรยากาศให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง
  • บทความนี้เล่าถึงประสบการณ์ ‘ความกลัว’ ในความทรงจำของ ครูพล – อรรถพล ประภาสโนบล ผู้เขียน จากนักเรียนประถม มัธยม สู่การเป็นน้องใหม่ เป็นความกลัวที่ทำให้นักเรียนคนหนึ่งต้องเผชิญประสบการณ์ทางลบ
  • “ผมเชื่อว่าความรู้สึกของความกลัวที่ถูกบอกเล่าจากนักเรียนจะช่วยให้ครูอย่างเราๆ เกิดคำถามว่า ห้องเรียน โรงเรียน ระบบการศึกษามันควรมีหน้าตาอย่างไร บทบาทครูที่มีต่อนักเรียนควรวางอยู่บนความสัมพันธ์แบบไหน และอะไรกันแน่คือสภาพแวดล้อมการเรียนที่จะเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง”

เรามีความกลัวอะไรกันบ้าง เมื่ออยู่ในโรงเรียน?

ความกลัวเหล่านั้นมีหน้าตาแบบไหน แล้วมันส่งผลอย่างไรกับเราบ้าง?

สำหรับผมแล้ว หน้าตาของความกลัวเป็นแบบนี้…..

ช่วงที่เรียนโรงเรียนประถม ความกลัวของผม (ซึ่งอาจจะเหมือนกับที่ใครหลายๆ คนเคยเป็น หรือยังเป็นอยู่ตอนนี้) คือเมื่อครูทำท่าจะเดินผ่านมาที่โต๊ะ ทั้งผมและเพื่อนที่นั่งข้างๆ จะใช้มือปิดสมุดแบบฝึกหัดที่กำลังทำอยู่ทันทีเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย ผมไม่อยากให้ครูเห็นคำตอบ กลัวครูจะดุ ตำหนิ หรือต่อว่า ห้องเรียนจึงเป็นสถานที่ที่ผมไม่รู้สึกปลอดภัยที่จะเรียนรู้เท่าไรนัก การจะยกมือตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่ขออนุญาตทำอะไรสักอย่างดูจะเป็นอะไรที่ ‘น่ากลัว’ เอาเสียมากๆ สำหรับผมในตอนนั้น

ตอนอยู่ ป.3 มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ที่สุด คาบเรียนในบ่ายวันหนึ่ง ผมต้องเข้าเรียนในวิชาของครูกอไก่ (นามสมมติ) ซึ่งต่างเป็นที่รู้กันดีว่าครูคนนี้ค่อนข้างเข้มงวดและลงโทษนักเรียนเป็นปกติวิสัย บรรยากาศในห้องเรียนวิชาครูกอไก่เต็มไปด้วยความกลัวและทำให้ผมหวาดระแวงอยู่เสมอ ผมกลัวว่าหากทำอะไรไม่ถูกต้องตามที่ครูคาดหวังขึ้นมา อาจจะถูกลงโทษได้ ดังนั้น การนั่งนิ่งโดยไม่ส่งเสียงและตั้งใจทำตามที่ครูบอกเท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ผมเลือกทำมาโดยตลอดเพื่อให้อยู่รอดในรายวิชานี้ แต่ในบ่ายวันนั้นผมรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาในระหว่างที่ครูกำลังสอนอยู่ แต่เพราะกลัวครูมากจนไม่กล้ายกมือขออนุญาตครูไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงพยายามกลั้นอย่างเต็มที่เพื่อรอให้หมดชั่วโมงเรียน แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ฉี่แตกกลางห้องเรียนจนได้ แน่นอนว่าผมรู้สึกอับอายมาก

หลายคนอาจคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเด็กคนหนึ่งที่ไม่กล้าขออนุญาตครู แต่สำหรับผม หากมองย้อนกลับ มันเป็นความกลัวที่เด็กชายมีต่อครูนั้นมากจนตัวเองไม่สามารถจะบอกสิ่งที่ตัวเองรู้สึกเป็นคำพูดได้ ความกลัวที่ทำให้เด็ก ป.3 อย่างผมในวันนั้นเลือกที่จะเงียบและยอมทนฝืนจนถึงที่สุด เพื่อที่จะ “เอาตัวรอด” ไปให้ได้ (แต่สุดท้ายก็ไม่รอด)

เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยม ตอนนั้นกฎระเบียบของโรงเรียนบังคับให้นักเรียนชายต้องตัดผมเกรียนขาวทั้งสามด้าน และผมด้านหน้าต้องไว้ให้สั้นตามที่โรงเรียนกำหนด นักเรียนอย่างเราๆ ไม่ว่าใครก็ตามจะต้องถูกตรวจผมในตอนเช้าช่วงเข้าแถวทุกต้นเดือน บางครั้งโรงเรียนก็มักจะสุ่มตรวจ หรือหากมีครูฝ่ายปกครองผ่านมาเห็นแล้วพิจารณาว่าผมยาวก็มีโอกาสถูกทำโทษได้ ภาพการทำโทษจึงเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และมีวิธีการตั้งแต่การใช้กรรไกรตัดผมให้แหว่ง ไปจนถึงการไถผมออกบางส่วนให้เห็นเป็นขั้นบันได ซึ่งหากใครถูกไถหัวตั้งแต่ช่วงเช้าก็จะต้องแบกความอับอายนั้นไปจนกว่าจะเลิกเรียน

ผมจำได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกอึดอัดมาก ผมอยากไว้ผมให้ยาวขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองเวลาไปเจอเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ผมในตอนนั้นไม่ได้คิดว่าอยากจะไว้ผมยาวให้หล่อเท่แต่อย่างใด แค่ไม่ต้องตัดผมเกรียน แต่ตัดแบบหวีรองเบอร์ 1 (ที่เด็กๆ ในช่วงเวลานั้นนิยมกัน) ก็เท่านั้น เพื่อนบางคนถึงขั้นที่ใช้สีดำมาทาหัว เพื่อพลางตาให้คนอื่นเห็นว่าเขาไม่ได้หัวเกรียน

ความกลัวว่าจะถูกครูทำโทษเมื่อไรก็ตามที่ลงความเห็นว่าผมยาว ทำให้ทุกๆ 2 สัปดาห์ ผมต้องไปร้านตัดผมเจ้าประจำ เพื่อให้มั่นใจว่าผมสั้นเกรียนอยู่ตลอดเวลา แต่ปรากฏว่าโรงเรียนเลื่อนกำหนดการตรวจระเบียบทรงผมมาเร็วขึ้น ตอนนั้นผมกลัวมากว่าจะถูกลงโทษ ทั้งที่ตัวเองก็รู้ดีว่าเพิ่งตัดมา แต่สุดท้ายก็ถูกตักเตือนไปว่าให้รีบไปตัดเพราะครูมองว่ามันยาวแล้ว เมื่อความกลัวเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แทบทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน ผมจะขอให้แม่ตรวจดูว่าผมยาวหรือไม่ หากยาวแม่จะใช้กรรไกรตัดออกหรือใช้เครื่องตัดผมที่ซื้อมาไถออกให้ จนบางครั้งแม่จำเป็นต้องพูดให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาว่ามันยังไม่ยาว ไม่ถูกลงโทษแน่นอน เหล่านี้กลายเป็นความทรงจำที่ชัดเจนเมื่อพูดถึงโรงเรียนที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ดีเอาเสียเลย เพราะตัวผมในวัยมัธยมกลายเป็นเด็กที่แพนิคเรื่องทรงผมอยู่ตลอดเวลา

ถึงแม้จะเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว แต่ความกลัวก็ไม่ได้หายไปไหน มันแค่มีหน้าตาอีกแบบ ผมถูกบังคับให้เข้าร่วมการรับน้องแบบโซตัส ในพิธีกรรมตลอดช่วงปี 1 ผมต้องห้อยป้ายชื่อขนาดใหญ่ รุ่นพี่มักจะสั่งทำโทษให้ผมและเพื่อนหมอบไปกับพื้นซีเมนต์ร้อนๆ บ้าง บางครั้งก็สั่งให้เดิน ลุกนั่ง วิดพื้น ทำเก้าอี้ลมบ้าง ใช้เสียงดังตะคอกใส่เพื่อสั่งให้เราทำตาม และมีบางกิจกรรมเราถูกสั่งให้คลานตามรุ่นพี่ไป ทุกวันๆ ชีวิตน้องใหม่ของผมจึงวนเวียนอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้ ผมกลัวมาก จำได้ว่าถึงขนาดที่เมื่อต้องเดินทางไปต่างอำเภอ ผมยังคงห้อยป้ายชื่ออยู่เพราะกลัวรุ่นพี่สักคนจะเห็นและสั่งลงโทษ บางครั้งผมถึงขั้นรู้สึกอยากจะลาออกเสียให้พ้นๆ เมื่อใครคนหนึ่งมีปัญหากับกิจกรรมเหล่านี้ พวกรุ่นพี่จะสั่งสอนเราว่า “หากแค่นี้ยังทนไม่ได้ จะไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกได้อย่างไร” 

นี่คงไม่ต่างจากประโยคทำนองเดียวกันกับที่โรงเรียนจะมักใช้กล่าวอ้างเมื่อมีนักเรียนไม่ทำตามด้วยการบอกว่า “นี่มันเป็นกฎหากรับไม่ได้ก็ไปอยู่ที่อื่น” อันที่จริงประโยคนี้ผมก็ได้ยินอีกครั้งเมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย

ผมไม่รู้ว่าผู้ที่กำลังอ่านอยู่นี้มีประสบการณ์และมองเห็นความกลัวในแง่ไหนอีกบ้าง แต่สำหรับผมสิ่งที่เกิดขึ้นในความทรงจำ จากนักเรียนประถม มัธยม สู่การเป็นน้องใหม่ มันเป็นความกลัวที่ทำงานลึกลงไปถึงร่ายกาย ที่ในตอนนั้นผมใช้มือปิดสมุดเพราะไม่อยากให้ครูเห็นคำตอบ ยกมือไม่ขึ้น ไม่กล้าเปล่งเสียงออกจากลำคอ จนกระทั่งฉี่แตกในห้องเรียน ความกังวลที่ต้องตัดผมแทบทุกสัปดาห์ ต้องห้อยป้ายชื่อและทนทำตามที่รุ่นพี่สั่งเพราะกลัวเขาจะตะคอกใส่ ล้วนแล้วแต่เป็นความกลัวที่ทำให้เราสยบยอมต่อความไร้เหตุผลทั้งสิ้น

บ่อยครั้งความกลัวถูกทำให้ดูเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่คู่ควรที่จะมีในระบบการศึกษา มันถูกเห็นเป็นเทคนิควิธีการสำคัญเพื่อใช้ควบคุมหรือสร้างบรรยากาศให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง หรือเพื่อให้มนุษย์คนอื่นๆเป็นไปตามคุณสมบัติที่วางไว้ 

เมื่อใครคนใดคนหนึ่งพยายามที่จะตั้งคำถามกับมันก็จะยิ่งถูกทำให้กลัวมากขึ้น จนบางครั้งผู้คนก็หลงลืมอีกด้านหนึ่งของความกลัว ว่ามันกำลังทำให้นักเรียนคนหนึ่งต้องเผชิญประสบการณ์ทางลบอย่างไร

บางทีเราอาจจำเป็นต้องกลับมาคิดทบทวนกับความกลัวอย่างจริงจัง ว่าที่ไหนบ้างในชีวิตของนักเรียนคนหนึ่งที่มีความกลัวเกิดขึ้น เขาแต่ละคนกำลังกลัวอะไรบ้างในแต่ละวันของการมาโรงเรียน กลัวไม่อิ่มท้อง กลัวสอบตก กลัวถูกเปรียบเทียบตัดสิน ฯลฯ ผมเชื่อว่าความรู้สึกของความกลัวที่ถูกบอกเล่าจากนักเรียนจะช่วยให้ครูอย่างเราๆ เกิดคำถามว่า ห้องเรียน โรงเรียน ระบบการศึกษามันควรมีหน้าตาอย่างไร บทบาทครูที่มีต่อนักเรียนควรวางอยู่บนความสัมพันธ์แบบไหน และอะไรกันแน่คือสภาพแวดล้อมการเรียนที่จะเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง

Tags:

ครูโรงเรียนความกลัว (Fear)นักเรียน

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    โสกราตีสสลับขั้ว: มีเพียงการตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะลดการตัดสินผู้อื่นลงได้

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Elemental: การแบกความฝันของครอบครัว ภาระอันหนักอึ้งในนามความรักและหวังดี
Movie
7 July 2023

Elemental: การแบกความฝันของครอบครัว ภาระอันหนักอึ้งในนามความรักและหวังดี

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Elemental เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของ Disney และ Pixar โดยได้ Peter Sohn (จาก The Good Dinosaur) นั่งแท่นผู้กำกับ
  • สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าความโรแมนติกของคู่พระนางคือการที่นางเอกต้องแบกรับความฝันของพ่อโดยคิดว่าสิ่งนี้คือความกตัญญูที่ต้องตอบแทน

ตอนเด็กๆ สิ่งที่ผมรู้สึกมีความสุขที่สุดคือเวลาที่พ่อแม่ชมผม และสิ่งที่เสียใจที่สุดคือการทำให้พ่อแม่ผิดหวัง 

พ่อมักสอนผมว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตคือ ‘ความกตัญญู’ ดังนั้นไม่ว่าพ่อแม่บอกให้ทำอะไร ต่อให้ขัดใจแค่ไหนผมก็ต้องทำ “ใช่ มึงอาจจะไม่ถูกใจ แต่กูกับแม่มึงหวังดีกับมึงเสมอ” 

ด้วยความที่บ้านของผมเป็นบ้านกึ่งโรงงานทอผ้า ประกอบกับพ่อของผมใช้วิธีเลี้ยงผมเหมือนกับที่ปู่เลี้ยงพ่อ คือการให้ลูกเข้าไปทำงานในโรงงานตั้งแต่เด็ก ถ้าถามผมแน่นอนว่าผมไม่ชอบสักนิดที่ต้องมาทำงานในที่ร้อนๆ ฝุ่นเยอะๆ แถมจะคุยกันทีก็ต้องตะโกนคุยแข่งกับเสียงเครื่องจักร แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่พึงพอใจของพ่อ หรือการที่พ่อเอาผมไปอวดกับคนอื่นว่าผมขยันเหมือนพ่อสมัยเด็กๆ ผมจึงพยายามลืมความเหนื่อยล้าและความอึดอัดทั้งหลายที่ตัวเองต้องเผชิญเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้พ่อผิดหวังหรือใช้คำพูดประเภท ‘เลี้ยงเสียข้าวสุก’ เพื่อประชดประชันผม

ถึงอย่างนั้นผมก็ทำงานตามที่พ่อสั่งจนตัวเองเข้ามหาวิทยาลัย แต่แล้วพ่อกลับปิดโรงงานหลังประสบปัญหาขาดทุนทำให้ความฝันที่พ่อวาดไว้เกี่ยวกับผมและการสืบทอดกิจการโรงงานหายวับไปในพริบตา ทว่าแทนที่จะเสียดายว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นเถ้าแก่โรงงานให้สมกับที่อดทนมาหลายปี ผมกลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดที่ไม่ต้องแบกรับความฝันของพ่ออีกต่อไป

แม้จะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่พล็อตที่ว่าลูกคนหนึ่งอยากทำให้พ่อภูมิใจด้วยการอาสารับช่วงต่อในธุรกิจครอบครัวโดยไม่ถามใจตัวเองในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของดิสนีย์เรื่อง Elemental ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมนึกถึงตัวเองในตอนนั้น

Elemental บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เอมเบอร์’ (Ember) สาวธาตุไฟจอมหัวร้อนที่อาศัยอยู่ในเมืองธาตุมหานครและอยากจะช่วยพ่อรับช่วงต่อธุรกิจร้านโชว์ห่วยของครอบครัว แต่ด้วยอุบัติเหตุน้ำประปารั่วทำให้เธอก็ได้พบกับ ‘เวด’ (Wade) หนุ่มธาตุน้ำผู้ร่าเริง ที่เข้ามาในชีวิตและเปลี่ยนทัศนคติของเธอไปตลอดกาล

เอมเบอร์เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ ‘เบอร์นีย์’(Bernie) ชาวธาตุไฟที่ตัดสินใจอพยพถิ่นฐานจากบ้านเกิดเมืองนอนมาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าเดิมในเมืองธาตุมหานคร แต่ด้วยความเป็นคนต่างด้าวทำให้เขาไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับจนต้องอาศัยอยู่บริเวณชานเมือง อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นคนขยันขันแข็งทำให้เบอร์นีย์สามารถทำร้านโชว์ห่วยจนประสบความสำเร็จและหวังให้ลูกสาวรับช่วงต่อในอนาคต 

ประเด็นแรกที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟังคือตลกร้ายของเอมเบอร์ที่เข้าใจตัวเองผิดมาตลอดว่าอยากเป็นเจ้าของร้านโชว์ห่วย เพราะในภาพยนตร์เธอมักหัวร้อนกับลูกค้าที่บ้างพูดมาก บ้างเอาแต่ใจ หรือไม่ก็กินขนมก่อนจ่ายเงิน เอมเบอร์จึงมักระบายอารมณ์ออกมาจนข้าวของในร้านเสียหายเป็นประจำ ทำให้พ่อไม่กล้ายกร้านให้กับเธอ

“ฉันคงจะทำไม่สำเร็จ พ่อควรจะเกษียณหลายปีแล้วแต่เขาคิดว่าฉันยังไม่พร้อม คุณนึกไม่ออกหรอกว่าพ่อทำงานหนักแค่ไหน หรือต้องทนกับอะไรบ้าง ต้องทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง เราจะตอบแทนความเสียสละขนาดนั้นได้ไง รู้สึกเป็นภาระหนักอึ้ง ฉันพูดอย่างงี้ได้ไง ฉันมันลูกที่ไม่เอาไหน” เอมเบอร์กล่าวกับเวด

ผมมองว่าคำพูดนี้แสดงให้เห็นว่านางเอกของเรื่องเป็นลูกที่รักพ่อมากและอยากจะตอบแทนความทุ่มเทของพ่อด้วยการรับช่วงต่อทางธุรกิจเพื่อให้พ่อได้พักผ่อน ซึ่งตอนดูฉากนี้ผมเองก็ได้หวนคิดว่าตัวเองในตอนเด็กก็รู้สึกไม่ต่างกับเอมเบอร์ที่ทั้งอยากทำให้พ่อภูมิใจจนลืมถามตัวเองว่าลึกๆ แล้วเราชอบอะไร เพราะความฝันของพ่อกับความฝันของเราอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

ประเด็นถัดมาคือความฝันหรือแพสชันของเราอาจมีอยู่ในชีวิตประจำวันเพียงแต่เราอาจต้องรอใครสักคนมาทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสิ่งนั้นให้กับเรา เหมือนกับตอนที่เอมเบอร์ไปดินเนอร์กับครอบครัวของเวดและช่วยหลอมเหยือกน้ำที่แตกกระจายให้กลับมามีสีสันสวยงามกว่าเก่าจนทุกคนต่างทึ่งในความสามารถ โดยเฉพาะแม่ของเวดที่ประทับใจฝีมือการหลอมแก้วของเอมเบอร์สุดๆ 

“เรื่องพรสวรรค์ของหนู ฉันพูดจริงนะ ฉันมีเพื่อนที่ทำบริษัทผลิตแก้วที่ดีที่สุดในโลก ระหว่างกินข้าวฉันแอบโทรไปหาเขาและเล่าเรื่องหนูให้ฟัง เขาหาเด็กฝึกงานพอดี งานนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็ได้ มันอยู่นอกเมืองก็จริง แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่วิเศษ อนาคตหนูสดใสมาก ดูสิฉันมีงานออริจินัลของเอมเบอร์ด้วย” แม่ของเวดกล่าว

ส่วนประเด็นสุดท้ายคือเรื่องการเปิดใจคุยกับคนที่เรารัก เมื่อเอมเบอร์รู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการรังสรรค์แก้ว เธอก็เกิดอยากไปฝึกงานกับบริษัทแก้ว แต่พอนึกถึงพ่อ เธอก็ล้มเลิกความฝันของตัวเองและคิดไปว่านี่คือวิธีการตอบแทนพระคุณของพ่อที่ดีที่สุด 

“ฉันว่าจริงๆ ฉันไม่ได้ชอบหรือว่าอยากทำร้าน เก็ตนะ นั่นแหละที่ความหัวร้อนพยายามจะบอกฉัน ฉันติดกับ แล้วที่บ้ามากคือตอนที่ฉันยังเด็กฉันเคยขอพรให้สักวันฉันเก่งจนทำงานแทนพ่อได้ เพราะฝันของพ่อคือร้านนี้ แต่ฉันไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าฉันอยากทำอะไรกันแน่…เพราะวิธีเดียวที่จะตอบแทนความเสียสละขนาดนั้นคือยอมเสียสละชีวิตของเราไปด้วย”

ทว่าดิสนีย์ก็คือดิสนีย์ พวกเขาพยายามหาทางออกให้เธอด้วยการสร้างสถานการณ์ให้สองพ่อลูกได้คุยกัน ทำให้พ่อรู้ว่าเอมเบอร์รักเขามากถึงขั้นยอมปฏิเสธความต้องการของตัวเองเพื่อสานต่อความฝันของเขา เขาจึงบอกลูกสาวไปว่าแท้จริงแล้วความฝันของเขาไม่ใช่ร้านแห่งนี้แต่เป็นการที่เห็นเอมเบอร์มีความสุข ซึ่งหลังจากดูฉากเรียกน้ำตาฉากนี้ผมรู้สึกว่าภาพยนตร์กำลังชวนให้ผู้ชมคิดตามว่า ‘การคิดแทนคนอื่น’ โดยเฉพาะคนที่เรารักไม่ได้ให้ผลดีเสมอไป เพราะหลายครั้งสิ่งที่ดีที่สุดที่เราคิด อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้รับ ดังนั้นการสื่อสารและเปิดใจพูดถึงความรู้สึกที่แท้จริงจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยประคับประคองความสัมพันธ์ของคนสองคนได้มากกว่าการคิดไปเองฝ่ายเดียว

เราจะได้ไม่สร้างแผลใจให้กันในนามของความหวังดี

Tags:

พ่อแม่ภาพยนตร์ครอบครัวElemental

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    The Unbreakable Boy: เพราะชีวิตคือสิ่งล้ำค่า ไม่ว่ามันจะแตกต่าง หรือแตกสลาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ลากอม (Lagom): ความพอดีแบบสวีเดนที่มาแตะไหล่ให้เราพอใจกับสิ่งที่มี
How to enjoy life
6 July 2023

ลากอม (Lagom): ความพอดีแบบสวีเดนที่มาแตะไหล่ให้เราพอใจกับสิ่งที่มี

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • ‘ลากอม’ คือศัพท์ที่มาจากเรื่องเล่าของชาวไวกิ้งที่อยู่ในสวีเดนสมัยโบราณ โดยมีรากความคิดในการแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดถึงการกระทำของตัวเองที่จะไปส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอีกที
  • นอกจากความหมายอันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งแล้ว อาจอยู่ที่ความหลากหลายในการนำไปใช้ โดยไม่เกี่ยงเพศ อายุ ฐานะ อาชีพ รสนิยม ซึ่งเรานำลากอมไปประยุกต์ใช้ได้ ‘ทุกเรื่อง’ ในชีวิตของคนเรา
  • ในโลกที่เต็มไปด้วยการไขว่คว้าไม่สิ้นสุด ลากอมจะมาแตะไหล่เตือนสติให้เราหยุดเบรกและซาบซึ้งกับสิ่งที่มี พอใจกับความพอดีที่มีอยู่แล้ว

เคยไหม? หลายครั้งที่เราทำอะไรแบบไม่มากจนเกินเบอร์และก็ไม่น้อยจนเกินไป ไม่ว่าจะทำงานแบบบาลานซ์หรือกินให้อิ่มแต่พอเหมาะ…มันกลับให้ความรู้สึกที่ดีที่ช่างลงตัวเสียจริงๆ ความรู้สึกที่ช่างพอดีลงตัวนี้คือหัวใจของ ‘ลากอม’ (Lagom) แนวคิดการใช้ชีวิตในแบบ ‘พอดี๊พอดี’ ของชาวสวีเดน ที่ถ้าเราเข้าใจถึงแก่นแล้ว…สามารถปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตเลยก็ยังได้!!

การยื่นส่งไวน์ที่นำมาสู่ลากอม

รากศัพท์ของ ‘ลากอม’ มาจากเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของสวีเดน ในสมัยโบราณที่มีชาวไวกิ้งเป็นผู้ที่ตั้งรกรากอยู่อาศัยในดินแดนที่ครอบคลุมถึงประเทศสวีเดนในปัจจุบัน ชาวไวกิ้งเหล่านั้นจะพูดคำว่า ‘ลากอม’ เวลา ‘ยื่นส่งไวน์’ ขนาดใหญ่ให้สมาชิกดื่มกินกันรอบวงโต๊ะอาหาร โดยแต่ละคนจะดื่มในปริมาณพอดีเพื่อให้ ‘พอเหลือ’ สำหรับคนอื่น 

ลากอมจึงมีรากความคิดในการแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดถึงการกระทำของตัวเองที่จะไปส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอีกที 

นอกจากนี้ เพราะความพอดี แต่ละคนจึงดื่มไวน์ในปริมาณที่ไม่เยอะจนเกินไปทำให้ไม่เมา กลายเป็นแค่อาการ ‘กรึ่มๆ’ ทุกคนยังสามารถพูดคุยสนทนากันอย่างมีสติได้ เพราะแนวคิดลากอม…ทุกอย่างจึงดูเหมือน วิน-วิน กับทุกฝ่าย

เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาถึงยุคปัจจุบัน ลากอมก็ได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดและวัฒนธรรมชาวสวีเดนส่วนใหญ่ไปแล้ว ถึงกับมีวลีสั้นๆ ที่พูดว่า ‘Lagom är bäst’ (The right amount is best) ซึ่งหมายถึงว่า “ความพอดีนั้นดีที่สุด”

คาแรกเตอร์ที่น่าสนใจของลากอม

เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน ความหมายของลากอมไม่ได้จำกัดแค่การยื่นส่งไวน์ในวงโต๊ะอาหารอีกต่อไป แต่คำๆ นี้แผ่ขยายความงดงามไปสู่ ‘ความพอดี’ ที่ช่างลงตัว ถ้าเราพิจารณาจะพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม ล้วนดีที่สุดเมื่อมันมีความพอดี 

มันคือความรู้สึกเชิงอารมณ์ที่ยากจะพรรณาออกมาเป็นคำพูด แต่เราอาจอุทานในใจทำนองว่า “…เพราะพอดีจึงดีต่อใจ”

ลากอมจะไม่มุ่งหาความสุดโต่ง ไม่ดันแท่นบาร์จนถึงลิมิต แต่จะแสวงหาการประนีประนอม มีทั้งการเหยียบคันเร่งและแตะเบรคผ่อนสลับกันไป จะว่าไปแล้ว มีความคล้ายกับแนวคิด ‘ทางสายกลาง’ ของพุทธศาสนาไม่น้อย ไม่หย่อนเกินไป และ ไม่ตึงเกินไป

ถ้าใครกำลังหาคีย์เวิร์ดจำขึ้นใจให้กับความเป็นลากอม ขอให้จำ 3 คำนี้ง่ายๆ

  • ดีพอแล้ว (Good enough)
  • ความพอดีเหมาะสม (Just right) ไม่มากไป-ไม่น้อยไป
  • ความสมดุลบาลานซ์ (Balance) ระหว่างหลายสิ่ง ไม่เทน้ำหนักไปสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

สะท้อนไปยังสถาปัตยกรรมบ้านเมืองของสวีเดน แทบทุกเมืองมีความสวยน่ารัก แต่ไม่ภูมิฐานโอ่อ่าเว่อร์วัง หรือวัฒนธรรมการทานอาหารที่เน้นความเรียบง่ายและโภชนาการโดยไม่ซีเรียสกับความหรูหราของจานชามภาชนะและพิธีรีตองอันชวนประหม่า หรืองานสังคมเวลาชวนเพื่อนฝูงมาปาร์ตี้ทำอาหารกินกันที่บ้าน เจ้าภาพจะไม่ได้จัดงานที่มีแต่ของแพงหรูหรา ทั้งกังวลว่าอีกฝ่ายจะเก้อเขินรึเปล่า ป้องกันอาการอิจฉาริษยา และคิดเผื่อล่วงหน้า ว่าถ้าโอกาสหน้าอีกฝ่ายเป็นคนชวนไปบ้างล่ะ? อาจจะกังวลใจรึเปล่าที่จัดได้ไม่หรูพอ? ซึ่งนำไปสู่ความฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ ลากอมมีอิทธิพลต่อความคิดชาวสวีเดนขนาดนี้เลยนะ!

ชาวสวีเดนมีรสนิยมไม่หรูหราจนเกินไป เรียบหรูแต่พองาม สังเกตได้ว่าชาวสวีเดนเป็นหนึ่งในชาติที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เวลาเราพูดถึงความหรูหรา-มั่งคั่ง-โออ่า ชาวสวีเดนจะไม่ได้เด้งขึ้นมาในหัวแรกๆ หรืออาจไม่ได้ติดโผเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่พวกเขามีศักยภาพในการซื้อหาครอบครองของแพงๆ ได้มากกว่าหลายชาติในโลกด้วยซ้ำ

ทั้งนี้เราต้องเข้าใจบริบทสังคมสวีเดนด้วยว่าเป็น ‘สังคมแห่งความเท่าเทียม’ ทั้งในด้านเพศหรือฐานะความเป็นอยู่ ซึ่งหล่อหลอมจนเกิดแนวคิดลากอมขึ้นมาได้ ส่วนหนึ่งผู้คนส่วนใหญ่อยู่ดีกินมากพอ ส่วนหนึ่งรัฐต้องมีสวัสดิการรองรับ

เมื่อชีวิตคนหนึ่งคนมีความมั่นคง มีความสงบทางจิตใจมากพอเป็นพื้นฐานแล้ว ลากอมจึงเกิดขึ้นได้ในสเกลระดับทั้งสังคม

โอบกอดลากอมเข้ามาในชีวิต

ความน่าสนใจที่สุดของแนวคิดลากอม นอกจากความหมายอันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งแล้ว อาจอยู่ที่ความหลากหลายในการนำไปใช้ โดยไม่เกี่ยงเพศ อายุ ฐานะ อาชีพ รสนิยม จะว่าไปแล้ว เรานำลากอมไปประยุกต์ใช้ได้ ‘ทุกเรื่อง’ ในชีวิตของคนเราจริงๆ

ศิลปะการจัดบ้าน

ลากอมนำพาความไฮบริดของหลากหลายสไตล์การแต่งบ้านเข้าไว้ด้วยกัน มันไม่ใช่ความมินิมอลอันราบเรียบว่างเปล่า และก็ไม่ใช่ความแม็กซิมอลอันหรูหรารุงรัง แต่จะอยู่กึ่งกลาง จัดวางวัสดุหลบเข้ามุมไม่เกะกะ แต่ก็เผื่อให้มีพื้นที่โล่งอยู่บ้าง หรือจัดแสงแดดให้บ้านสว่าง แต่ก็ใช้ผ้าม่านกรองแสงไม่ให้สว่างจ้าจนเกินไปเพราะแสงยูวีเข้ามาทำร้ายผิวพรรณได้

การออกกำลังกาย

เรานำลากอมมาใช้ออกกำลังกายแบบทางสายกลางได้โดยตรง ตั้งแต่การเลือกรูปแบบประเภทกีฬาที่ไม่หักโหมอันตรายจนเกินไปและไม่ซอฟต์จนเกินไป เราสามารถวิ่งคาร์ดิโอให้เหนื่อยแบบกำลังดีเพื่อให้หัวใจแข็งแรง ยกเวทให้ปวดเมื่อยกำลังดีเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ และใช้เวลาออกแบบกำลังดีเพื่อไม่ให้กระทบการดำเนินชีวิตเรื่องอื่น

การทำงานหาเงิน 

เรื่องนี้ชัดเจนมากๆ ชาวสวีเดนให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงาน-ชีวิต (Work-Life Balance) สูงมาก ใครที่อยู่ออฟฟิศถึงดึกดื่น ไม่ได้ถูกมองอย่างชื่นชม แต่จะถูกตั้งข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพการทำงานและการบริหารจัดการเวลาว่าไม่ดีพอรึเปล่า

ลากอมไม่ได้ปฏิเสธการแข่งขัน แต่แข่งเท่าที่จำเป็น เท่าที่สุขภาพร่างกายเราไหว โดยจะไม่แลกสุขภาพกับเงิน ในมุมกลับกัน ถ้าทำงานน้อยลง ได้เงินน้อยลง แต่ได้สุขภาพคืนมา พร้อมกับความเครียดความกดดันที่ลดลงและมีเวลากับคนรักมากขึ้น…คุณจะโอเครึเปล่า? ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง เพราะแต่ละคนมีบริบทต่างกัน จึงมีจุดที่รู้สึกพอดีต่างกันไป

เวลาเราคิดถึงความพอดี มันจุดประกายให้คิดถึงความ ‘จำเป็น’ ตามมาด้วยแบบเลี่ยงไม่ได้ เราอาจตั้งคำถามว่าสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา มันจำเป็นต้องมากไปกว่าเดิมอย่างงั้นเหรอ? หรือเราสามารถมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ต้องมีมากขึ้นได้รึเปล่าถ้าสิ่งที่มีมันดีพอหรือมากพอแล้ว?

ความมั่งคั่งร่ำรวย

ลากอมเหมาะเจาะกับยุคบริโภคนิยม (Consumerism) ที่อาจจะสุดโต่งไปหน่อย ไม่เคยตั้งคำถามถึงความอยาก ไม่เคยหยุดคิดว่าแค่ไหนถึงพอ และเพิกเฉยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ในสังคมที่คนส่วนใหญ่อยากร่ำรวยมีเงินทอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เราใช้ลากอมจี้ถามต่อไปได้ว่า แล้วต้องมีเงินมากแค่ไหนถึงเรียกว่า ‘รวย’? ในทางการเงินไม่มีเพดานของความมั่งคั่งร่ำรวยเพราะมันไต่ระดับขึ้นไปได้เรื่อยๆ โอเคไม่เป็นไร แล้วในแง่ค่าใช้จ่ายในชีวิตหรือทางจิตใจของเราล่ะ? แค่ไหนที่ตัวเรารู้สึกว่ามันดีมากพอ-มากพอแล้ว-สุขพอแล้ว? นี่เป็นคำถามสำคัญในชีวิตที่ไม่มีใครตอบได้นอกจากตัวของพวกเราเองแต่ละคน

ในโลกที่เต็มไปด้วยสปีด การไขว่คว้าไม่สิ้นสุด และการตักตวงที่ต้องมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น …ดูเหมือนว่าลากอมจะมาแตะไหล่เตือนสติให้เราหยุดเบรกและซาบซึ้งกับสิ่งที่มี พอใจกับความพอดีที่มีพออยู่แล้วโดยไม่ต้องดิ้นรนอะไรไปมากกว่านี้อีก อาจจะไม่มียุคไหนอีกแล้วที่ลากอมจะทรงพลังกับมนุษย์เรามากเท่ายุคนี้

อ้างอิง

https://scandification.com/what-is-lagom-the-meaning-of-swedish-lagom/

https://www.health.com/condition/stress/swedish-lagom-tips-for-balanced-happy-life

https://bigthink.com/thinking/swedish-philosophy-lagom-just-enough/

https://www.forbes.com/sites/davidnikel/2019/03/06/move-over-hygge-why-lagom-is-the-scandinavian-lifestyle-concept-we-really-need/?sh=2b4ec8cb3e10

Tags:

ความสุขความพอดีการใช้ชีวิตลากอมสวีเดนWork-Life Balanceความสมดุลความพอเพียง

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to enjoy life
    เซโรโทนิน-ออกซิโทซิน-โดพามีน: สูตร(ไม่)ลับ ปรับไลฟ์สไตล์โอบรับความสุขด้วยวิทยาศาสตร์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • How to enjoy life
    Joie de Vivre: เพลินใจกับสิ่งรอบตัว ปลดปล่อยแผนการสุดรัดกุม ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะแบบชาวฝรั่งเศส

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsMovie
    Stutz: เปิดอกสื่อสารออกไป ให้หัวใจได้บำบัด

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    New Year’s Resolutions: อ่าน 7 เล่ม เพื่อเป็นตัวเราที่ดีกว่าเดิม

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning
Creative learning
4 July 2023

‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • จากห้องเรียนที่เด็กบอกว่า “หนูโง่ภาษาอังกฤษ” และกลัวการเรียนภาษาอังกฤษ สู่ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เด็กๆ กล้าพูด กล้าแสดงออก
  • เปิดห้องเรียนภาษาอังกฤษของ ครูดาว – ปราณวรินทร์ ตันศิริเลิศ โรงเรียนบ้านโพธิ์เอน ที่ออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้สนุกกับภาษาอังกฤษ ได้พื้นฐานภาษาอย่างที่ควรจะได้ เด็กไม่กลัวและไม่เบื่อที่จะเรียนรู้ โดยใช้เพลงสากล ภาพยนตร์ บทความ เรื่องสั้น เป็นสื่อการสอน และกิจกรรมสนุกๆ ที่เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กอีกมากมาย
  • สำหรับครูดาวการที่คุณครูเห็นคุณค่าความเป็นนักเรียนมากขึ้น ลดการตัดสิน และเพิ่มการชื่นชมในเชิงบวก จะทำให้เด็กคุ้นชินและกล้าที่จะใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น

“คุณครูครับหนูโง่ภาษาอังกฤษครับ” 

“หนูรู้เลยค่ะว่าหนูไม่ฉลาดภาษาอังกฤษ” 

นี่คือประโยคแรกที่เด็กๆ ชั้นประถมศึกษา โรงเรียนบ้านโพธิ์เอน จังหวัดกำแพงเพชร พูดกับ ครูดาว – ปราณวรินทร์ ตันศิริเลิศ หรือที่เด็กๆ เรียกกันว่า ‘teacher ดาว’ ครูผู้สอนรายวิชาภาษาอังกฤษในระดับชั้นป.1 – ป.3 และบูรณาการ PBL และยังเป็นครูประจำชั้นป.2 เป็นครูรุ่นใหม่ไฟแรงวัย 26 ปีที่เพิ่งรับราชการได้เพียง 1 ปี 7 เดือน

จากการเจอกันครั้งแรกของครูสอนภาษาอังกฤษกับนักเรียน เด็กๆ ต่างก็เผยความในใจถึงวิชาภาษาอังกฤษเสียแล้ว โดยที่ความในใจนั้นพวกเขาตัดสินความสามารถของตัวเองไปด้วย สร้างความสงสัยให้กับครูสอนภาษาอังกฤษอย่างครูดาว ว่าทำไมเด็กๆ ถึงคิดเช่นนั้น แล้วพวกเขาไปเอาคลังคำศัพท์ที่ตัดสินว่าตัวเอง ‘โง่’ หรือ ‘ฉลาด’ มาจากไหนกัน? 

The Potential พาทุกคนไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคการจัดการเรียนการสอนในวิชาภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา จากเวที PLC Online Coaching ครั้งที่ 4 โรงเรียนบ้านปางเป๋ย จังหวัดน่าน มูลนิธิเพื่อทักษะแห่งอนาคต ในหัวข้อ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning): นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว

มาทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันว่า ปัญหาของนักเรียนที่พบในห้องเรียนมีอะไรบ้าง แล้วมีวิธีจัดการอย่างไร เพื่อสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้สนุกกับภาษาอังกฤษ และได้พื้นฐานภาษาอย่างที่ควรจะได้รับ เด็กไม่กลัวและไม่เบื่อที่จะเรียนรู้ ที่สำคัญคือการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่เข้าอกเข้าใจ ไม่ตัดสิน และชื่นชมเด็กในเชิงบวก

ครูดาว – ปราณวรินทร์ ตันศิริเลิศ

‘ภาวะเขียนช้า ไม่จดจ่อ หลุดโฟกัสง่าย และเด็กกลัวภาษาอังกฤษ’ ปัญหาที่พบในห้องเรียน

ก่อนจะไปถึงเทคนิคการจัดการเรียนการสอนในวิชาภาษาอังกฤษที่ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ครูดาว เล่าถึงปัญหาของนักเรียนที่พบในห้องเรียนว่า

“นักเรียนไม่กล้าเปล่งเสียงคำภาษาอังกฤษ ไม่รู้จักเสียงของตัวอักษร เนื่องจากก่อนหน้าที่เราจะเข้ามารับหน้าที่สอนภาษาอังกฤษที่นี่ไม่มีครูประจำรายวิชาภาษาอังกฤษ เลยไม่ได้เน้นวิชานี้เท่าที่ควร ทำให้เด็กๆ ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย และเด็กๆ ก็จะมีภาวะเขียนช้า ไม่จดจ่อ หลุดโฟกัสง่าย”

หลังจากนั้นครูดาวก็ใช้การสอนที่เน้นให้นักเรียนท่องจำ ทำตามคำบอกซ้ำๆ เพราะเชื่อว่าจะทำให้นักเรียนจดจำ และทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้

“เราก็สอนนักเรียนพูดแบบนกแก้วนกขุนทอง คือเราเข้าใจว่าการให้เด็กพูดอะไรซ้ำๆ เขาจะจำได้ ก็เลยให้เด็กๆ พูดตาม แล้วก็ให้คะแนนเด็กจากที่ใครเขียนหนังสือมาสะอาด เขียนหนังสือมาเต็ม เวลาสอนแล้วได้ยินเสียงเด็กคนไหนดังขึ้นมาแสดงว่าเขาจดจ่อกับเราแน่เลย คือเราตัดสินเขาแบบผิวเผิน มันเลยทำให้เรารู้จักเด็กแค่ที่เขาให้เราเห็น ไม่ได้รู้จักเขาจากข้างในลึกๆ แล้วมันก็ไปส่งผลกับเด็กตอนที่เขาไปทำแบบทดสอบ เลยได้รู้ทันทีว่าที่เราส่งไปให้เขามันไม่ถึงเลย เพราะเด็กเขียนไม่ได้ ทำแบบทดสอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนเรียนเขาก็จดครบตามที่เราบอกหมดเลย หนังสือเรียนเขาดูมีคุณภาพมาก แต่ผลลัพธ์คือเขาทำไม่ได้” 

ณ ตอนนั้น ครูดาวเองก็เกิดคำถามขึ้นในใจมากมายอย่างที่คุณครูหลายๆ คนมักจะชอบปรามาสนักเรียนที่ทำข้อสอบไม่ได้ หรือเรียนไม่เข้าใจว่า “ไม่ตั้งใจเหรอ ตอนที่ครูสอนไม่ได้ฟังอะไรเลยใช่ไหม” จึงเกิดการคาดคั้นขึ้นเล็กน้อย

“สิ่งนั้นเองทำให้นักเรียนกลัวเรา ไม่กล้ามาพูดกับเรา เพราะว่าเขาจะรู้สึกว่าเขาพูดไปจะผิดหรือเปล่า หรือไม่อีกนัยนึงเสียงของเราอาจจะเป็นสิ่งที่อันตรายกับเด็กไปเลยก็ได้ 

อันตรายในที่นี้หมายถึง สมองของเขาเหมือนจะหยุดไปเลยเมื่อได้ยินเสียงที่ทำให้เขารู้สึกกลัว เรารู้สึกว่าไปทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นกับนักเรียน มันก็เลยเกิดช่องว่างระว่างคุณครูกับนักเรียน”

นวัตกรรมจิตศึกษา และวง PLC หรือชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC: Professional Learning Community) ที่โรงเรียนบ้านโพธิ์เอนนำมาใช้ ช่วยนำทางให้ครูดาว ค่อยๆ หาทางออกจนเจอ

“เราก็เอาปัญหาทุกอย่างมาคุยในวง ผอ.เขาก็พยายามสอนให้เรารู้จักการเป็นผู้ฟัง เหมือนพอเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่พูดคล่อง ก็พูดๆ ไป แต่จริงๆ แล้วเราแทบจะไม่อยู่ในบริบทของการเป็นผู้ฟังเลย ผอ.เขาแนะนำว่า ให้ลองฟังเสียงจากนักเรียนดู ลองถอยออกมาสักก้าวนึงแล้วฟังว่าเขาคิดเห็นยังไงบ้าง ทำให้รู้สึกว่าวง PLC ที่เรานั่งกันในระดับพื้นราบทุกคนเท่ากัน แล้วเราคุยกันภาษาเดียวกัน คือโฟกัสไปที่นักเรียน เราสามารถแก้ปัญหาตรงนั้นได้”

สิ่งที่ครูดาวได้จากวง PLC และนำมาปรับใช้ในห้องเรียนของตัวเองก็คือ ‘การสร้างข้อตกลงในการเรียนร่วมกัน’ โดยฝึกให้มีความรับผิดชอบและทำให้ภาษาอังกฤษอยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น

“ข้อตกลงแรกคือมาแต่ตัวกับหัวใจก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาเลย เพราะว่าเราเจอปัญหาคือ คุณครูคะ/ครับ หนูลืมดินสอ หนูลืมยางลบ หนูลืมทุกอย่าง แล้วปกติที่เด็กเคยชินก็คือจะถูกครูตัดสินว่า เอาไว้ให้พ่อแม่เรียนเหรอ แล้วเราก็ไม่อยากเป็นคุณครูที่บอกกับเด็กๆ แบบนั้นค่ะ ก็เลยซื้อกล่องใส่เครื่องเขียนเล็กๆ เอามาติดไว้กับทุกโต๊ะเลย ใส่สีลงไป 12 สี กบเหลา 1 อัน ยางลบ แล้วก็ดินสอสองแท่ง แต่ว่าที่กล่องจะมีเลขที่เขาอยู่ เพราะฉะนั้นเด็กๆ ที่อยู่เลขที่เดียวกันในแต่ละชั้นเขาจะรักษาของสิ่งนั้น เพราะว่าสร้างข้อตกลงกับเขาไว้ว่า ถ้ามีของหายไปครูจะขอให้เลขที่นั้นๆ ในแต่ละชั้นมารวมเงินกันแล้วก็ซื้อมาใส่ไว้ที่เดิม จนถึงปัจจุบันนี้ของก็ยังคงอยู่ครบ” 

และอีกข้อตกลงคือ การจะเข้าห้องเรียนต้องขออนุญาตเข้า – ออก เป็นภาษาอังกฤษด้วย สร้างความเคยชินกับการใช้ภาษาอังกฤษในทุกวัน

“เราก็ติดป้ายไปเลยค่ะประโยคขออนุญาตเข้าห้องเป็นภาษาอังกฤษ May I come in please. แต่เด็กพูดไม่ได้เลย เงียบกริบ จะพูดได้ก็คือมองคุณครูแล้วก็พูดตาม ก็เลยใช้วิธีเขียนคำอ่านเป็นภาษาไทย ติดไปเลย เม ไอ คัม อิน พลีส / เม ไอ คัม เอ้าท พลีส แล้วก็บอกเขาว่าถ้าพี่ๆ จะเข้าห้อง ทุกครั้งจะต้องขออนุญาต และออกก็จะต้องขออนุญาต ให้เขาเคยชินกับการใช้ภาษาอังกฤษในทุกๆ วัน ตอนนี้พี่ๆ ป.1 – ป.3 ของเราก็คือพูดคล่องแล้ว เขาเข้า 10 ครั้ง เขาก็ขอ 10 ครั้ง ก็เป็นอะไรที่สนุกสนาน บังเทิงหูคุณครูดี ได้ฟังภาษาอังกฤษตลอด”

Step by Step ค่อยๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านเสียงเพลงและภาพยนตร์ 

สำหรับการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นป.1 – ป.3  ครูดาวเล่าว่าพาเด็กๆ ออกนอกกรอบการเรียนภาษาอังกฤษแบบเดิมๆ ใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยกิจกรรมแรกในห้องเรียนของ teacher ดาว คือ ‘เช้ามาต้อง…ร้องรำทำเพลง’ ใช้ดนตรีและเสียงเพลงกระตุ้นความอยากเรียนรู้ โดยเป็นเพลงสากลที่ทุกคนฟังกันทั่วไป ซึ่งนักเรียนบางคนร้องได้ บางคนฮัมเพลงคลอตาม แต่ทุกคนต่างเอนจอยไปด้วยกัน 

“จะมีเด็กอยู่คนนึง ตอนที่มาแรกๆ เขาจะกลัวเรามาก เขาจะไม่เข้าใกล้เลย เพราะเราอาจจะมีคาแรกเตอร์ที่ดุสำหรับเขา เขารู้สึกว่าถ้าเขาพูดอะไรแล้วมันจะผิด ด้วยความที่เขาเป็นเด็กขี้ลืมด้วย แต่ว่าตอนนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไร เด็กคนนี้เขาจะพยายามกระเถิบขึ้นมา แล้วก็จะเป็นคนที่กล้าแสดงออกขึ้น ไม่ว่าจะถามอะไรเขาจะยกมือตอบ แสดงความคิดเห็นแบบเสียงดังมากๆ อารมณ์เหมือนเน้นเข้าร่วมไม่เน้นเข้ารอบ แล้วอีกอย่างก็คือเราเลือกใช้เพลงที่ฟังกันในชีวิตประจำวันมาให้พี่ๆ เขาได้ร้อง แทนที่จะเป็น A B C การทำแบบนี้ทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วศักยภาพเขาถึงแม้จะอยู่ป.1 2 3 แต่เขาก็สามารถทำได้ เราแค่ไปจำกัดว่าเขาควรรู้เท่านี้ ตอนนี้พี่ๆ เขาก็สามารถร้องเพลงสากลที่เราฟังทั่วไปได้จนจบเพลง”

หลังจากนั้นก็จะมาเริ่ม ‘ท่อง Alphabet ทุกเช้า’ โดย Alphabet ของครูดาวนั้น จะไม่ใช่แค่การท่องตัวอักษรภาษาอังกฤษแบบ A – Z เท่านั้น 

“Alphabet ของเราจะเป็น Aa (แอะ) apple, Bb (เบอะ) bird, Cc (เคอะ) cat, Dd (เดอะ) dog การให้เด็กท่องแบบนี้มันทำให้เวลาที่เขาไปเจอคำที่เราต้องผสมเขาจะนึกถึงเสียงของตัวนั้นได้ ซึ่งปัญหาทีแรกคือเขาไม่รู้เลย เขาท่องได้แค่ A B C D และแน่นอนว่ายังมีเด็กที่หลุดโฟกัสอยู่ เราก็ไม่ได้มาการันตีว่า teacher ดาวทำแล้วประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ มีค่ะเด็กที่หลุดโฟกัส แต่จะใช้วิธีชมคนข้างๆ เช่น อู้หู…พี่โทมัสตั้งใจมากเลยครับ หนึ่งเลยก็คือเราไม่ทำให้คนที่เขาหลุดโฟกัสรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ผิด หรือเขาเป็นหลุมดำ เขาทำอะไรครูก็เรียกชื่อแล้วก็ดุๆๆ 

ครูส่วนมากจะชอบเรียกชื่อนักเรียนที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ แต่โรงเรียนเราจะใช้วิธีการชื่นชมคนที่มีพฤติกรรมพึงประสงค์ 

เด็กยังไงก็ตามเขาต้องการคำชื่นชมจากครูอยู่แล้ว เขาก็จะหันมาว่าคนนั้นทำอะไรทำไมคุณครูถึงชม แล้วเขาก็กลับมาโฟกัสกับสิ่งที่เราต้องเรียนจนได้ อันนี้ก็เป็นการสร้างพลังบวกให้เด็กเขาเกิดความรู้สึกว่าคุณครูปลอดภัยกับความรู้สึกของเขา”

ครูดาวยกตัวอย่างโปรเจกต์ของตัวเองที่เพิ่งเริ่มมาได้ราวๆ หนึ่งเดือนกับกิจกรรม ‘Movie together’ ในทุกๆ วันพฤหัสบดี

“พาเด็กๆ ดูภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ เลยค่ะ ไม่มีคำแปล คือให้เขาดูไปเลยที่เป็นเสียงของต้นฉบับจริงๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาหยิบบ้างคำมาพูด มาถามกับเรา เช่น teacher ครับ ทำไมมัน fly ได้ ซึ่งเรายังไม่เคยสอนคำพวกนี้ มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า เขาไม่ใช่ฟังไม่ออกนะ เขาได้คำมาด้วย แล้วก็การที่เขาได้ลองฟังเสียงต้นฉบับเราว่ามันก็พัฒนาเขาไปอีกสเต็ปนึง”

‘ระบายสีแบบ อิ้ง อิ้ง’ คลาสภาษาอังกฤษของน้องป.1 

สำหรับกิจกรรมของนักเรียนชั้นป.1 ครูดาวใช้กิจกรรมระบายสีให้เด็กๆ ได้ลงมือทำ และฝึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ ใช้ชื่อกิจกรรมว่า ‘ระบายสีแบบ อิ้ง อิ้ง’ 

“ก่อนอื่นจะเลือกรูปภาพที่มีขนาดของรายละเอียดภาพที่มันเท่าๆ กัน เพราะต้องการฝึกเขาเรื่องการลงสีค่ะ จากนั้นจะให้อาวุธกับพี่ๆ บอกว่า อันนี้ teacher ดาว เรียกว่า ชาร์ตสี (chart – ตารางสี) ถ้าพี่ๆ อยากได้ต้องมาขอชาร์ตสีกับ teacher ดาว ซึ่งในชาร์ตนั้นจะมีคำศัพท์สีต่างๆ ควบคู่ไปด้วย จากนั้นจะทำความเข้าใจกับพี่ๆ และให้เวลาเขาได้ลองทำตามสิ่งที่เขาเข้าใจ ก็คืออธิบายกติกาว่า ถ้าพี่ๆ ต้องการที่จะระบายภาพภาพนี้ ต้องวางแผนมาส่ง teacher ดาวก่อน เช่นจะระบายก้อนเมฆเป็นสี blue ให้เขียน บี-แอล-ยู-อี (b-l-u-e) ใส่มาในก้อนเมฆค่ะ แล้วก็มาส่ง ถ้า teacher ดาวอนุมัติว่าผ่านก็สามารถไปลงสีได้” 

กิจกรรมนี้ teacher ดาว บอกว่า จากห้องเรียนไม่เคยเงียบตามแบบฉบับเด็กประถมฯ ณ ขณะที่กิจกรรมนี้เริ่มต้นขึ้น กลายเป็นว่าเด็กๆ ต่างจดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง ซึ่งช่วยเติมเต็มทักษะอย่างการคิด วางแผน และการเป็นคนช่างสังเกต

“หนึ่งเลยคือเขาต้องสังเกต เพราะว่าถ้าเขาอยากจะระบายสีนั้นจริงๆ คือเขาต้องเขียนคำนั้นลงไปให้ได้ สองเขาจดจ่อและก็อดทน ถ้าเขาเข้าใจ เขาจะจดจ่อและอดทนกับสิ่งนั้นได้นานมากๆ เลย แล้วเขาก็ได้รู้จักการวางแผนค่ะ เขาต้องวางแผนทุกอันเลยไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เขาจะเขียนๆ ไว้ก่อน แล้วก็ต้องส่งคุณครูว่าแผนการนั้นสำเร็จไหม ถ้าสำเร็จเขาถึงจะไปทำตามสิ่งที่เขาตั้งใจได้ค่ะ”

และจากปัญหาที่ครูดาวรู้สึกมาตลอดว่า “สอนแล้วเด็กเขาไม่เข้าใจ เราสอนแล้วเด็กเขาไม่รับ” วันนี้นักเรียนได้รับและแสดงออกผ่านชิ้นงานท้ายคาบ ที่ทำด้วยความเข้าใจและตั้งใจ

“แล้วก็มากไปกว่านั้นค่ะ สิ่งที่พี่ๆ ให้มากกว่าการเข้าใจคือ เขาคิดนอกกรอบ มีเด็กคนนึงเขาเขียนคำว่า green ที่แปลว่าสีเขียว แต่เขาใช้สีเขียวเขียน ซี่งเราก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้ดินสอเขียน หรือว่าอะไรเขียน มันเหมือนความลึกซึ้งของเด็กที่ตัวเราเองตั้งไว้ว่าเด็กเขาควรจะได้เท่านี้ แต่เขาทำให้เห็นว่าลึกๆ แล้วเขาเข้าใจได้มากกว่านั้นอีก”

นอกจากนี้ teacher ดาว ยังได้เห็นภาพน่ารักๆ ที่เด็กๆ เกิดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน 

“มีเด็กที่เขาทำเสร็จแล้วเขาก็ไปช่วยเพื่อน พอเขาช่วยเพื่อนปุ๊บ เราถึงได้เห็นว่าเด็กป.1 อายุ 7 ขวบคนนี้ เขาเป็นคนมีน้ำใจ เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ส่งเสริมน้ำใจเขาค่ะ ก็ empower เขาเลยว่า “ชื่นชมพี่นะครับ ที่เมื่อพี่ว่างจากภาระงานของตัวเองแล้วเนี่ย พี่ก็ยังที่จะไปมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อน ให้เพื่อนทำงานเสร็จไปพร้อมกับเรา” แค่นั้นแหละค่ะคนอื่นๆ ที่กำลังจะเสร็จ หรือคนที่เสร็จแล้วลุกแล้วก็ไปช่วยเพื่อนคนอื่นต่อ นี่ไงค่ะที่เราคาดหวังกันว่าจะให้เขาเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน หรือว่าการเรียนแบบเป็นกลุ่มก้อน เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันเล็ก แต่มันตอบโจทย์ไปหมดเลยค่ะ”

หยิบนิทาน เรื่องสั้น ฝึกน้องป.2 พี่ป.3 อ่านและแปล 

มาถึงห้องเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นป.2 ซึ่งต้องเน้นไปที่การอ่านและเขียน ครูดาวใช้กิจกรรมที่ชื่อว่า ‘Learning sound from short stories’ หยิบนิทาน เรื่องสั้น มาฝึกให้เด็กๆ อ่านออกเสียง และแปลความหมายขอคำๆ นั้นไปพร้อมกัน 

“เราเอานิทาน เรื่องสั้นต่างๆ ที่เป็นแบบสั้นๆ ไม่กี่บรรทัดมาสอน แต่วิธีการของเราคือจะสอน Learning sound ค่ะ เราเรียนรู้เสียงของคำเหล่านั้น ก็เขียนคำอ่านไปเลยค่ะว่า ว๊อ-เท่อร (Waters) พิคซฺ (picks) เขียนไปเลยให้เขารู้ว่าอันนี้คือเสียงของตัวอักษรตัวนี้นะ ถ้าเจอตัวนี้หนูต้องอ่านแบบนี้นะ แล้วก็มีการยิง empower เหมือนยอเขานิดนึง ประมาณว่าคนเราเนี่ยเขาจะมีความฉลาด แต่ว่าจะมีอีกคนหนึ่งที่เก่งกว่าคนฉลาด เรียกว่าคนเฉลียวลูก  คนเฉลียวเขาจะรู้ว่าถ้าเขาเจอตัวนี้ตรงอื่นก็ต้องเขียนคำเดียวกัน แค่นี้แหละค่ะเด็กเขาก็จะมองหาแล้วสมมติว่า เขาเขียนคำว่า He (ฮี) ไปใช่ไหมคะ เราจะแกล้งทิ้งระยะว่า เอ่อ…เดี๋ยว teacher ทำอะไรแป๊บนึงนะลูก เขาก็จะหันไปเติมคำว่า He (ฮี) ที่เขามีในกระดาษทั้งหมดด้วยตัวของเขาเอง แล้วทุกคนก็เหมือนแข่งกัน เพราะเขาต้องการเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็เฉลียวด้วย มันก็เลยทำให้ห้องเรียนของเราค่อนข้างจะครึกครื้น” 

“และสิ่งหนึ่งเลยก็คือเราจะไม่แปลเป็นภาษาไทย อาจจะพูดไปขณะที่แปลไปกับเขาแต่จะไม่ให้เขาเขียนลงไปเหมือนซับไตเติลข้างใต้ว่ามันแปลว่าอะไร เราก็ทำแบบนี้ไปในทุกๆ บทความที่เราหยิบออกมา เพราะว่าเราต้องการฝึกให้เขารู้ว่าตัวนี้มันคือเสียงอะไร ช่วงแรกๆ มีการใส่ซับรอเลยค่ะ เดี๋ยวเข้าไปปุ๊บนักเรียนจะได้สามารถจดได้เลย ก็เกิดปัญหา เหมือนนักเรียนรู้สึกว่าเขาต้องตามหลังคุณครู เขาไม่รู้สึกว่าเรากำลังเรียนไปด้วยกัน เหมือนเขาไม่มีแรงใจที่จะจด ก็เลยจะเปลี่ยนหน่อย เราจะจดไปพร้อมกัน แล้วเราก็ต้องแกล้งเป็นผู้แพ้นิดนึง เอ่อ…อันนี้อะไรนะ แล้วพอไปถึงจุดหนึ่งที่เขาสังเกตว่ามีคำว่า He (ฮี) เยอะๆ เขาจะพูดขึ้นมาทันทีเลยค่ะ หนูเขียนแล้วๆ คำนี้หนูเขียนก่อน teacher การที่เขาได้ชนะคุณครูเหมือนเขารู้สึกว่าเขามีแรงที่จะทำเพิ่ม ไม่เป็นไรครูแกล้งแพ้ให้ก็ได้เพื่อที่นักเรียนเราจะได้ไปถึง goal ไวๆ”

“นอกจากนี้ก็จะมีพี่ป.4 ซึ่งเราเคยสอนเขาสอนป.3 ชวนเขามาลองอ่านภาษาอังกฤษกัน เขาก็มา ซึ่งเขาสามารถอ่านได้จนจบเลย และที่มากไปกว่านั้นคือ เราก็แกล้งถามเขาไป เช่น คำว่า coffin ภาษาไทยแปลว่าอะไรหรอคะ ซึ่งเขาก็สามารถบอกได้ เขาก็บอกว่า มันแปลว่าโลงศพค่ะ แล้ว blood ก็แปลว่าเลือดค่ะ และสามารถแปลเป็นประโยคได้ด้วย เช่น He fears crosses. เขาก็บอกว่า เขากลัวไม้กางเขนค่ะ”

“แต่ปัญหาคือเมื่อเราสอนเป็นซับภาษาไทย เป็นตัวคาราโอเกะด้านบน นักเรียนจะติดการอ่านแบบท่องอาขยาน อ่านแบบยืดๆ ก็เลยใช้วิธีการแก้ปัญหาคือ โรงเรียนเราใช้นวัตกรรมจิตศึกษาค่ะ 

เราพยายามลดช่องว่างการแข่งขันของนักเรียนให้มากที่สุด เพราะมันมีผลแพ้ชนะก็จริง แต่ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เด็กทุกคนจะอัพตัวเองจากความพ่ายแพ้ บางคนอาจจะรู้สึกด้อยค่าตัวเองไปเลยก็ได้ว่า เขาไม่ดี เขาไม่เก่ง 

ก็เลยได้ไอเดียขึ้นมาว่า งั้นก็แข่งกับ teacher ดาวไปเลย แข่งกันอ่านเรื่องสั้นแบบจับเวลา เลยทำให้เขาสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้โดยไม่ท่องอาขยานแล้ว”

และสุดท้ายห้องเรียนของชั้นป.3 ซึ่ง teacher ดาว มีโอกาสเป็นครูประจำชั้นด้วย แม้จะเน้นการอ่านและเขียนตามเดิม แต่เปลี่ยนเป็น ‘Learning word meaning from shot stories’ โดยเพิ่มความหมายของคำเข้าไป 

“เราไม่มานั่งอ่านแล้วว่า He (ฮอ-อี-ฮี) ไม่แล้วค่ะ เราหยิบยกเรื่องที่มากกว่าเดิมมา เพื่อเป็นการท้าทายเขา แล้วก็มีบางอันหยิบเอาข้อสอบที่เราเจอตามอินเทอร์เน็ต เราอยากรู้ว่าโรงเรียนอื่นเขาเรียนยังไงบ้าง ก็ลองเอามาสอนดูว่า ถ้าเราเอามาสอนนักเรียนเรานักเรียนเราจะเข้าใจไหม ว่าเด็กข้างนอกเขาสอบเขาใช้บทความที่ยากๆ แบบนี้เลย ห้องเรียนก็จะตึงๆ นิดนึงนะคะ เพราะว่าเริ่มโตเป็นพี่ใหญ่ละ ปลุกปั้นมาตั้งแต่เด็กน้อยนะคะ พอเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเริ่มมีความแบบคุยน้อยนิดนึง แต่ถามว่าถ้าเสร็จภารกิจแล้วนี่คุยไม่หยุดเลยค่ะ” 

“แล้ววิธีการเรียนไม่ใช่เปิดมาถามเขาว่า นี่แปลว่าอะไรลูก ไม่ใช่ค่ะ เราเขียนทีละคำเลยค่ะ เช่น goes แปลว่าไป แล้วเขาก็จะรีบไปสังเกตเลยจากพื้นฐานที่เขาเรียน sound มาแล้ว เขาก็จะรู้ว่าแสดงว่าคำที่เหมือนกันแบบนี้ความหมายเดียวกัน เขาก็จะไปไล่เขียนเต็มเลย เขียนนำ teacher ดาวไปอีก แล้วเขาก็จะมีความภูมิใจมากที่ชนะเรา เลยทำให้เขาได้รู้ว่าแต่ละคำความหมายว่าอะไร จากนั้นเราก็มาแกล้งแย็บเขาว่า ภาษาไทยเขาไม่พูดกันแบบนี้นะคะ จะมาพูด แดน ไป ถึง หนึ่ง ร้านหนังสือ (Dan goes to the bookshop…) แบบนี้ไม่ได้นะคะ เขาก็มาขยับ 

แล้วสิ่งที่เขาทำให้เราเซอร์ไพสซ์ก็คือ เขาเรียงเป็นประโยคที่สวยงามได้ มีไหมที่ผิด มีค่ะ เราก็บอกเขาว่าขออีกสักหนึ่งแนวทางได้ไหม ถ้าไม่เรียงเป็นแพทเทิร์นนี้จะเป็นแบบไหนได้อีก เขาก็จะพยายามคิดพัฒนา แก้ไขไปเรื่อยๆ จนถูก

ถ้าเราไปเร็วแล้วเขาไม่ทัน เขาก็จะบอกเลยว่า หนูไม่ทันค่ะ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมากไปกว่านั้นคือพอเริ่มโตแล้วก็เริ่มรู้มากขึ้น เริ่มมีแบบว่า เอ…เราไม่เขียนคำนี้ได้ไหมคะ เราลดหน่อยได้ไหม มันต้องเขียนซ้ำอ่ะ หนูรู้แล้วหนูไม่เขียนได้ไหมคะ อะไรอย่างนี้ค่ะ”

ในส่วนของการวัดและประเมินผลนั้น ครูดาวมีวิธีการในการประเมินพัฒนาการของเด็กๆ ที่นอกจากจะคอยสังเกตการณ์ทักษะต่างๆ ที่เด็กๆ ทำได้ เช่น การคิด การอ่าน การเขียน ตามกิจกรรมที่ทำแล้ว ครูดาวยังทำให้การสอบของนักเรียนเป็นเรื่องที่สนุกอีกด้วย  

“ถ้าเอาจริงๆ เลยก็คือ ดูว่าเขาทำได้ไหม แล้วเราก็มีการออกแบบการสอบแบบใหม่ ไม่ได้สอบแบบเอากระดาษไป มีเวลา 30 นาที แต่เราเอาสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ ทำใส่กระดาษ แล้วก็เอาไปใส่ในกล่องปริศนาไว้ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงกล่องสุ่มด้วย ก็ให้เด็กเอามือล้วงลงไปในกล่องนั้น ถ้าเขาหยิบออกมาแล้วเขาได้คำว่าอะไร ก็ให้เขาช่วยอ่านให้ฟังหน่อยว่าสิ่งที่หยิบมามันคืออะไร ภาษาอังกฤษพูดว่าอะไร แล้วก็มีทั้งเทสบทความภาษาอังกฤษที่เขาได้แปล ให้เขาหยิบออกมาแล้วก็ช่วยแปลให้หน่อยว่ามันแปลว่าอะไร ซึ่งถ้าเขาทำได้นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเข้าใจค่ะ แล้วเป็นอะไรที่เอนจอยมาก เพราะเด็กๆ เขาบอกว่า นี่เราสอบแล้วหรอครับ เหมือนหนูมาเล่นเลย”  

ครูลดการตัดสิน เพิ่มการชื่นชมเชิงบวก ช่วยเพิ่มความกล้าในการใช้ภาษาอังกฤษให้กับเด็ก

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้เด็กคุ้นชินและกล้าที่จะใช้ภาษาอังกฤษ? สำหรับ ครูดาวคือ การที่คุณครูเห็นคุณค่าความเป็นนักเรียนมากขึ้น ลดการตัดสิน และเพิ่มการชื่นชมในเชิงบวก

“เราแทบไม่ตัดสินในสิ่งที่เขาพูด (ภาษาอังกฤษ) เลย ผิดไม่เป็นไรเราก็เริ่มใหม่ จะไม่มานั่งตัดสินว่าเนี่ยทำไมผิด ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันเลยทำให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยระหว่างครูกับนักเรียน เห็นได้ชัดว่าวันนี้เขากล้าที่จะคุยกับเรา กล้าที่จะบอกเมื่อเห็นว่าเราผิด สามารถแย้งขึ้นมาได้” 

ซึ่งครูดาวได้ปั้นให้เด็กๆ เป็น ‘นักเรียนรู้’ อย่างแท้จริง เด็กๆ เริ่มค้นหาความรู้ด้วยตัวเอง เข้าหาหนังสือเรียนด้วยตัวของเขาเอง

“หนังสือเรียนที่เขาได้เรียนทุกๆ ปี ปกติเด็กๆ เขาจะเปิดก็ต่อเมื่อคุณครูบอกให้เขาเปิดแล้วเราเรียนไปพร้อมๆ กัน แต่ตอนนี้เหมือนเขามีสะสมใบงานที่เราเรียน shot stories มาเรื่อยๆ เขาเอาสิ่งนี้เหมือนเป็นดิกชั่นนารีส่วนตัวเขาเลยค่ะ เขาเอาหนังสือเรียนมานั่งแปล แล้วเขาก็ภูมิใจว่า เขาแปลเสร็จเขาก็จะเอามาใช้ดู teacher หนูแปลอันนี้มาด้วยนะ เสร็จแล้ว หนูทำได้ด้วย แต่ว่าอันนี้หนูก็ไม่รู้ว่าถูกไหม เพราะว่ามันไม่มี ไม่มีในที่นี้คือไม่มีในสิ่งที่เขาเคยเรียนมาก่อน บางทีเขาก็จะเว้นเอาไว้ค่ะ เรารู้สึกว่านี่คือการพาให้เด็กก้าวเข้าหาหนังสือ โดยที่เขาก้าวเข้าไปเอง มันเป็นการที่เราไม่ต้องมานั่งแปลทุกอย่างในหนังสือให้นักเรียนฟัง แต่เขาไปแปลมาด้วยตัวเขาเอง แล้วเขาก็เกิดความภาคภูมิใจที่จะทำมันมากขึ้น”

“ตอนนี้เด็กมาขอการบ้านกับ teacher ดาวกันเต็มเลย แล้วเราเป็นครูคนนึงในโรงเรียนบ้านโพธิ์เอนที่แทบจะไม่ให้การบ้านกลับบ้านเลย พยายามสอนทุกอย่างให้จบในคาบ ถ้าไม่จบจริงๆ เรามาต่อกันในช่วงเวลาว่างอีกคาบนึงที่ยังเหลือเวลาก็ได้ แต่จะพยายามไม่ให้เป็นการบ้าน เพราะไม่อยากให้เป็นภาระเขา”

นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของคาบเรียน ครูดาวจะมีกิจกรรมคล้ายๆ กับการแจกรางวัลกับเด็กๆ ด้วย 

“ถ้ามีเวลาใช่ไหมคะ จะเสริม ‘กิจกรรมเสริมเติมใจ’ เช่น ตักไข่ ฮีลใจ ในนั้นจะใส่คำว่าช็อกโกแลต แคนดี้ เป็นภาษาอังกฤษนะคะ ถ้าเขาทำอะไรสำเร็จเขาสามารถมาตักไข่ได้ ซึ่งถ้าเขาตักได้แคนดี้ teacher ดาวก็จะให้แคนดี้กับพี่ๆ แต่ถ้าเขาไม่อยากตักไข่แล้วก็สามารถที่จะเลือกไปเที่ยวต่างประเทศได้ด้วย 

พาเขาเข้า google earth เด็กที่นี่ค่อนข้างจะขาดประมาณนึงเลยกับเทคโนโลยี ว่าด้วยสภาพภาพความเป็นอยู่หลายๆ อย่างทำให้เขาเข้าไม่ค่อยถึงเทคโนโลยี เวลา teacher ดาว เอาอะไรที่แปลกใหม่มาเขาก็จะตื่นเต้นมาก อย่างอันนี้ก็คือเราเห็นโลกทั้งใบเลย เราจะไปแคนนาดา เราจะไปญี่ปุ่น แล้วก็มีการฟังเพลงรอบโลกด้วยผ่าน app radio garden แล้วก็จะมีต่างๆ ให้เขาได้เลือกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบายสีฉบับ teacher ดาว เล่นของเล่น ฟังเพลงสากล เล่นเกม Word wall แปลเพลง ให้เขาได้เลือกในสิ่งที่เขารู้สึกว่าเขากำลังสนใจ” 

ครูดาวทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้นักเรียนโรงเรียนบ้านโพธิ์เอนเห็นชาวต่างชาติเมื่อไร มักจะพุ่งเข้าหามากกว่าเขินอาย แม้จะยังสื่อสารไม่เข้าใจบ้าง แต่เด็กๆ เปิดใจเต็มร้อย

“มีครั้งนึงตอนไปทัศนศึกษาเมื่อปีที่แล้ว เราไปสุโขทัยไปเจอชาวต่างชาติ เด็กเราเจอชาวต่างชาติ เขาทักเลยค่ะ Hello แล้วก็ยิ้ม แล้วก็กลับมาบอกเราว่า teacher เขาทักกลับหนูด้วย เราก็ถามว่า แล้วเขาพูดกับหนูว่ายังไงคะ เด็กบอกว่า ไม่รู้หนูฟังไม่ออก หนูจะถามเขาว่าเขามาจากที่ไหนหนูจะถามเขายังไงคะ พอเราบอกไปเสร็จเขาก็ไปถาม คือเด็กเราเห็นชาวต่างชาติแล้ววิ่งเข้าหาเลย แล้วเราก็รับบทเป็นไกด์ เป็นทูตไปเลย ที่แบบต้องคอยคุยกับชาวต่างชาติให้เขา” 

เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ PLC Online Coaching ครั้งที่ 4 โรงเรียนบ้านปางเป๋ย จังหวัดน่าน มูลนิธิเพื่อทักษะแห่งอนาคต 

ภายใต้โครงการขับเคลื่อนชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชาชีพครูสู่การพัฒนาโรงเรียนแกนนำ (Online PLC Coaching) สนับสนุนโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล 

ในหัวข้อ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning): นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว โดยครูต้นเรื่อง ครูปราณวรินทร์ ตันศิริเลิศ โรงเรียนบ้านโพธิ์เอน จังหวัดกำแพงเพชร เมื่อวันเสาร์ ที่ 17 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00 น. – 12.00 น. 

รับชมถ่ายทอดสดย้อนได้ที่ https://www.facebook.com/PangpoeiSchool/videos/212999221662033 

Tags:

เทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)จิตศึกษาคำชื่นชมนักเรียนความกลัวภาษาอังกฤษครูดาว - ปราณวรินทร์ ตันศิริเลิศครู

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    โสกราตีสสลับขั้ว: มีเพียงการตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะลดการตัดสินผู้อื่นลงได้

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Unique Teacher
    ‘ครูงอกงามจากเด็ก’ พรสวรรค์ ศิริวัฒน์: ครูเกษียณผู้ใช้จิตศึกษาและ PBL เปลี่ยนมายเซ็ตให้ทั้งครูและเด็กเป็นนักเรียนรู้

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
  • “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel