Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: May 2023

Rethinking ‘คิดใหม่’ ในความ ‘เดิมๆ’ ของงานครู
Learning Theory
9 May 2023

Rethinking ‘คิดใหม่’ ในความ ‘เดิมๆ’ ของงานครู

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เป็นไปได้ไหมที่จะทำให้สมุดบันทึกของนักเรียนมีความหมายไปมากกว่าหลักฐานการให้คะแนน เป็นไปได้ไหมที่บันทึกการสอนจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การสอนของครูเติบโตขึ้นได้จริง และเป็นไปได้ไหมที่วิจัยในชั้นเรียนจะไม่มองเพียงแค่ในชั้นเรียน 
  • ในห้องเรียนมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยกลัวที่จะตอบคำถาม กลัวที่ครูจะเห็นคำตอบ เราต้องสร้างห้องเรียนที่ทำให้เขาเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองขึ้นมา ‘สมุดบันทึก’ จึงเป็นความเป็นไปได้แบบหนึ่งที่ครูสามารถนำไปสู่การพูดคุยและให้กำลังใจนักเรียนได้โดยตรง
  • ความสำคัญของบันทึกการสอนคือพาให้เราได้มองลึกไปในรายละเอียดของสิ่งที่เรารับรู้หรือมองข้ามไป เป็นเสมือนงานวิจัยในตัวมันเอง ที่ครูอย่างเราจะได้เรียนรู้จากเมื่อวาน เพื่อสร้างห้องเรียนของพรุ่งนี้ที่ดีขึ้น

หลายงานภายใต้นิยามคำว่า ‘งานครู’ ถูกกำหนดและทำซ้ำต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งที่ ‘ต้องทำ’ ไปตามธรรมเนียมมากกว่าจะถูกตั้งตำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า เราทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร? อะไรคือคุณค่าของมัน? และที่สำคัญที่สุด มันสามารถเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่? 

เมื่อปราศจากการตั้งคำถาม งานเหล่านั้นกลายเป็นเพียงพิธีกรรมหรือธรรมเนียมที่วางไว้ให้ครูอย่างเราๆ เดินตาม ราวกับว่านั่นเป็นทางเดินที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เป็นไปได้ไหมที่จะทำให้สมุดบันทึกของนักเรียนมีความหมายไปมากกว่าหลักฐานการให้คะแนน เป็นไปได้ไหมที่บันทึกการสอนจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การสอนของเราเติบโตขึ้นได้จริง และเป็นไปได้ไหมที่วิจัยในชั้นเรียนจะไม่มองเพียงแค่ในชั้นเรียน 

ในข้อเขียนนี้จึงอยากชวนมาคิดใหม่ (Rethinking) เกี่ยวกับงานทั้งสามนี้ เพื่อขยายความเป็นไปได้ของงานครู จากประสบการณ์การเป็นครูของตัวผมเองที่ผ่านมา

สมุดบันทึกของนักเรียน

เมื่อห้องเรียนเต็มไปด้วยความกลัว นักเรียนจำนวนไม่น้อยจึงกลัวที่จะตอบคำถาม กลัวที่ครูจะเห็นคำตอบ กลัวว่าหากตอบไปแล้ว เขาจะถูกหักคะแนนหรือถูกครูต่อว่าเมื่อตอบผิด แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนเป็นนักเรียนผมแทบจะใช้มือปิดสมุดทุกครั้งที่ครูเดินผ่าน ผมกลัวครูเห็นคำตอบที่อาจจะผิด ครั้งเมื่อผมเป็นครูและได้สอนนักเรียนของผมในวันแรกๆ อาการแบบนี้ก็เกิดขึ้นเช่นกัน นักเรียนเลือกที่จะหลบซ่อนความคิดของเขาจากผม บางครั้งเมื่อต้องตอบคำถามในห้องหรือตอบลงไปในสมุด พวกเขามักจะถามผมว่า “ครู คำตอบนี้อยู่ตรงหน้าไหน ครูช่วยบอกมาเลยได้ไหม” พวกเขากลัวว่าคำตอบของตัวเองจะผิดไปจากสิ่งที่หนังสือบอก

หากเราอยากเห็นนักเรียนของเราไม่กลัวที่จะตอบ อยากเห็นเขากล้าที่จะแสดงความคิดของเขาออกมา กล้าที่จะคิดต่างออกไปจากตำราเรียนหรือคำตอบสำเร็จรูปที่คุ้นชิน เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างห้องเรียนที่ทำให้เขาเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองขึ้นมา 

‘สมุดบันทึก’ (หรือสมุดจด) จึงเป็นความเป็นไปได้แบบหนึ่งที่ครูสามารถนำไปสู่การพูดคุยและให้กำลังใจนักเรียนได้โดยตรง 

ดังนั้น แทบทุกครั้งเมื่อจบหน่วยการเรียนรู้ ผมใช้เวลาในช่วงเย็นนั่งอ่านบันทึกทุกเล่มของนักเรียนแต่ละคน สำรวจความคิดหรือสิ่งที่เขาสะท้อนจากการเรียนรู้ พร้อมๆ กับให้กำลังใจและให้ข้อสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวพวกเขา “ครั้งนี้เราเขียนได้ยาวขึ้นกว่าเดิม ครูชื่นชมมากๆ” “เยี่ยม มีการยกตัวอย่างประกอบ” “ทำได้ดีเลย ถ้าเพิ่ม…งานจะสมบูรณ์ขึ้นได้อีกนะ” หรือ “ขอบคุณมากที่พยายาม ครูเชื่อว่าเราจะทำได้ดีกว่าเดิมในครั้งหน้า” 

 เมื่อสมุดถูกคืนไปในวันรุ่งขึ้น สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือนักเรียนหลายคนยิ้มด้วยความดีใจเมื่อเขาได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนให้กับเขา บางคนเดินมาสัญญาว่าครั้งหน้าเขาจะเขียนให้ดีขึ้นไปอีก จากที่นักเรียนเคยเชื่อว่าสมุดบันทึกเป็นเพียงแค่งานที่ต้องทำส่งครู เขียนไปแบบไหน อย่างไร ครูก็ไม่อ่าน ครูเพียงเช็คว่าใครส่งไม่ส่ง กลายเป็นสิ่งที่เขารอคอยว่าครูจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาอย่างไร ครูคิดอย่างไรกับคำตอบของเขา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ ยังแปรผันตรงกับบรรยากาศในห้องเรียน ที่ซึ่งกำแพงความกลัวเหล่านั้นได้พังลง และนักเรียนหลายคนกล้าที่จะยกมือตอบคำถามมากขึ้น พวกเขาเปลี่ยนจากการถามหาคำตอบในหนังสือ เป็นการโต้แย้งและแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนของเขาแทน 

บันทึกการสอน

จะว่าเป็นธรรมเนียมก็ว่าได้ ที่ในทุกๆ ท้ายเทอม ครูทุกคนจะถูกขอให้ส่งบันทึกหลังการสอน และผมก็ยอมรับเลยว่า ผมเบื่อที่จะเขียนมันมาก ผมจึงเขียนประโยคเดิมคล้ายๆ กันลงไปในทุกแผนการสอนเพื่อความรวดเร็ว เหตุผลก็เพราะเขียนไปก็ไม่มีใครอ่าน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเอกสารที่ต้องส่งตามระบบราชการเท่านั้น แต่หากถามผมว่าการเขียนบันทึกการสอนสำคัญไหม คำตอบก็คงต้องบอกว่า สำคัญมากๆ แต่ต้องไม่ใช่การบังคับทั้งรูปแบบและวิธีการเขียนอย่างที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือการสนทนา

การเขียนบันทึกเรื่องราวการสอนไม่ควรอยู่ในกรอบของการรายงานผลตามตัวชี้วัด แต่มันควรเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้มองย้อนกลับไปถึงการสอนของตัวเองในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ที่เกิดขึ้น เป็นการค่อยๆ ทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและกระบวนการสอนของเรา เราสังเกตเห็นอะไรบ้าง มีเหตุการณ์อะไรสำคัญ เราหลงลืมอะไรไปหรือไม่ ความคิดและความรู้สึกที่เราเผชิญหน้าเป็นอย่างไร เมื่อเราเริ่มมองย้อนหรือนึกถึงมัน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำคัญของบันทึกการสอนคือมันจะพาเราไปพบกับช่วงเวลาสำคัญที่อาจเป็นเรื่องน่ายินดี ความท้าทาย ความกลัว หรือความผิดหวังก็ได้ เราอาจมีความสุขที่นักเรียนกระตือรือร้นในบทเรียน หรือในวันนี้เราอาจกำลังสอนด้วยความกลัวเมื่อเราไม่มั่นใจในกระบวนการที่เราเตรียมมา มากไปกว่านั้น มันอาจพาให้เราได้มองลงลึกไปในรายละเอียดของสิ่งที่เรารับรู้หรือมองข้ามไป เช่น เราอาจพบว่า วันนี้เรามีอคติกับนักเรียนคนหนึ่งมากไป หรือเราเผลอเลือกปฏิบัติกับเขาโดยไม่รู้ตัว 

บันทึกเรื่องราวการสอนจึงเป็นเสมือนงานวิจัยในตัวมันเอง ที่ครูอย่างเราจะได้เรียนรู้จากเมื่อวาน เพื่อสร้างห้องเรียนของพรุ่งนี้ที่ดีขึ้น  

แน่นอนว่า มันอาจะดีขึ้นไปอีกหากมีพื้นที่หรือชุมชนที่เราได้บอกเล่าบันทึกเรื่องราวของเรา เพราะบทสนทนาเหล่านั้นจะทำให้เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวของคนอื่น ขณะเดียวกันคนอื่นก็ได้เรียนรู้จากเราเช่นกัน การได้บอกเล่าจะทำให้เราแต่ละคนได้มองเห็นบางสิ่งที่อาจมองข้ามไปในห้องเรียนของเรา และได้ทบทวนคุณค่าและความเชื่อในการสอนของตัวเองไปพร้อมกัน

วิจัย (ที่ไม่ต้อง) ในชั้นเรียน   

ผมอยากเล่าถึงช่วงที่ผมสอนในโรงเรียนย่านชานเมือง ในเย็นวันหนึ่งก่อนกลับบ้าน ผมได้พูดคุยกับนักเรียนคนหนึ่งถึงการเดินทางมาโรงเรียน เขาเล่าให้ฟังว่าเขาได้เงินมาโรงเรียนวันละ 100 บาท แต่ทว่า 70 บาทต้องใช้เป็นค่าเดินทางไปกลับ ส่วน 30 บาทที่เหลือนั้นเป็นค่าอาหารกลางวันที่เขาต้องจ่ายให้โรงเรียน ทำให้เขาต้องอดอาหารเช้า ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลถึงสมาธิในการเรียนช่วงเช้าของเขาเป็นอย่างมาก นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มมองเห็นถึงต้นทุนที่นักเรียนคนหนึ่งต้องแบกรับในการมาโรงเรียนซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยอย่างชัดเจน และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมได้เห็นว่า จริงๆ แล้ว ชีวิตของนักเรียนในรั้วโรงเรียนไม่ได้แยกขาดไปจากบริบททางสังคมที่เขาเติบโตมา เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรม ในระบบคุณค่าบางอย่าง เขาอยู่ภายใต้เงื่อนไขของโครงสร้างสังคมแบบหนึ่ง  สิ่งที่ครูสังเกตเห็นเมื่อเขาอยู่ในห้องเรียนจึงไม่ได้แยกขาดจากสิ่งที่อยู่นอกห้องเรียนหรือนอกรั้วโรงเรียนแต่อย่างใด

เมื่อตัดภาพมาที่วิจัยในชั้นเรียนที่เราคุ้นเคย แทบจะพูดได้ว่าเกือบทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่เรื่องของเทคนิควิธีการตามสูตรสำเร็จ เช่น ใช้เทคนิค A เพื่อผลลัพธ์ B ราวกับมีสมมติฐานว่า เรื่องราว ปัญหา หรือปรากฏการณ์ทางการศึกษานั้นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในชั้นเรียน ที่เพียงครูอย่างเราๆ พยายามทดลองสรรหาเทคนิควิธีการที่ดีที่สุดมาได้ ปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข  

เราควรเปลี่ยนการวิจัยให้เดินออกไปจากกรอบของเทคนิควิธีการในชั้นเรียน ด้วยการตั้งคำถามที่ต่างออกไป อาศัยการมองสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติที่ลึกและเชื่อมโยง ซึ่งอาจเริ่มจากความสงสัยเล็กๆ ในแต่ละวัน จากการสังเกตและพูดคุยกับนักเรียนถึงเรื่องราวต่างๆ จากจุดเล็กๆ (ที่อาจรวมถึงการไปเยี่ยมบ้าน) 

ซึ่งจะช่วยให้ครูในฐานะผู้วิจัยได้มาซึ่งข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ ตีความ และสรุปเป็นข้อค้นพบที่ถึงจะดูเล็กน้อยแต่มีความหมายขึ้นมาได้ 

ตัวอย่างเช่น เราอาจทำวิจัยเกี่ยวกับ ‘ความกลัวของนักเรียน’ ที่อาจช่วยให้ครูพบความกลัวหลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นในครอบครัวและโรงเรียนผ่านเรื่องราวของนักเรียน ความกลัวนั้นอาจสัมพันธ์กับอำนาจนิยม เช่น กลัวการบูลลี่ กลัวการถูกลงโทษ กลัวการถูกประจาน เป็นต้น ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และการใช้ชีวิตของนักเรียน หรือ เราอาจตั้งคำถามว่าทำไมนักเรียนถึงมีผลลัพธ์ในการเรียนที่แตกต่างกัน? ดังในงานวิจัยแนวมานุษยวิทยาการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ได้ลงไปศึกษาครอบครัวผู้อพยพ 4 ครอบครัวในแคนาดาและพบว่า พัฒนาการทางภาษาที่สองจะดีขึ้นหรือไม่ของนักเรียนนั้น เกี่ยวข้องกับทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมของแต่ละครอบครัวอย่างมีนัยยะสำคัญ (อ่านต่อได้ที่ https://thepotential.org/knowledge/sociology-of-education/) 

ทั้งหมดนี้อาจเป็นงานสำคัญที่ช่วยให้ครูทำความเข้าใจตัวนักเรียนไปมากกว่าแค่ผลลัพธ์ที่เห็น หรือเป็นแค่งานที่ทำเพื่อส่งๆ ไปเท่านั้น

Tags:

นักเรียนห้องเรียนคิดใหม่ (Rethinking)สมุดบันทึกวิจัยในชั้นเรียนบันทึกการสอนครูการสอน

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Narrative pedagogy: มองไปให้ถึงฉากหลังของนักเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    4 ไอเท็มที่ครูอาจจำเป็นต้องมี ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ทำอย่างไรให้ห้องเรียนน่าเบื่อน้อยลง?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล
9 May 2023

ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ผู้พิการทุกคนก็เหมือนคนทั่วไป เขาก็มีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำ แต่ด้วยข้อจำกัด เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตข้างนอกและการเดินทาง ทำให้ตัวเลือกในการเรียนและอาชีพมีน้อยกว่าคนทั่วไป
  • มะปราง – จิดาภา นิติวีระกุล หนึ่งในเยาวชนโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ แม้เธอจะมีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย แต่เมื่อได้รับโอกาสก็พยายามฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อที่เตรียมพร้อมสู่การใช้ชีวิตด้วยตัวเองในสังคมภายนอกต่อไป
  • สำหรับโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาอาชีพของเด็กและเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษในบ้านเรานั้น มะปรางมองว่า อาชีพที่รองรับผู้พิการยังมีไม่หลากหลายนัก ในสถานศึกษายังมีข้อจำกัดในการให้ผู้พิการเข้าถึงในหลายๆ สาขาการเรียน ด้วยเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ยังไม่เอื้อ ตัวเลือกในการเรียนจึงมีจำกัด

เมื่อพูดถึงเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำและการปฏิรูปการศึกษา กลุ่มคนที่เราอาจหลงลืมไปนั่นก็คือ ‘ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ’ หรือ ‘ผู้พิการ’ 

ซึ่งผู้พิการทุกคนก็เหมือนคนทั่วไป เขาก็มีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำ แต่ด้วยข้อจำกัด เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตข้างนอกและการเดินทาง ทำให้ตัวเลือกในการเรียนและอาชีพมีน้อยกว่าคนทั่วไป 

โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงมุ่งพัฒนาแนวทางการจัดการศึกษาสายอาชีพเพื่อการมีงานทำของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย ความบกพร่องทางด้านร่างกาย ความบกพร่องทางด้านสติปัญญา ความบกพร่องทางการเรียนรู้และมีภาวะออทิซึม ความบกพร่องทางการมองเห็น ความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ความบกพร่องทางพฤติกรรม

ด้วยแนวคิดและเป้าหมายคือ เปลี่ยน ‘ความพิเศษ’ เป็น ‘พลัง’ ส่งเสริมและให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษที่ขาดทุนทรัพย์รับทุนการศึกษาเข้าเรียนในหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือ ปวส. 2 ปี จบการศึกษาแล้วมีอาชีพ มีงานทำ พึ่งพาตนเองและดำรงชีวิตอย่างอิสระ เป็นสมาชิกของสังคมอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยการพัฒนาตัวแบบระบบการศึกษาเพื่อการมีงานทำที่ตอบโจทย์ชีวิตของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ โดยครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ 1.ระบบการจัดการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษที่มีความแตกต่างกัน 2.ระบบการเตรียมความพร้อมของนักศึกษา 3.ระบบการดูแลช่วยเหลือนักศึกษาทุกมิติ 4.ระบบการบริหารจัดการของสถานศึกษา 5.บทบาทและการมีส่วนร่วมของสถานประกอบการ 

โอกาสที่จำกัด 

“หากสถานประกอบการทุกที่หรือส่วนมากนะคะ สามารถที่จะทำงานออนไลน์หรือ Work from home ได้ และเปิดโอกาสให้กับผู้พิการ ทุกท่านคิดว่าจะเป็นอย่างไรคะ” มะปราง – จิดาภา นิติวีระกุล นักศึกษาระดับชั้นปวส. สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา จ.ชลบุรี หนึ่งในเยาวชนโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ตั้งคำถามในเวที Youth Talk ‘กสศ. กับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ’

เส้นทางชีวิตของมะปราง เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงตั้งแต่เด็ก ซึ่งโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงของมะปรางนั้นเธอบอกว่าไม่สามารถที่จะรักษาได้ ทำให้ต้องนั่งวีลแชร์จนถึงปัจจุบัน 

“โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงของหนูยิ่งเวลาที่เราโตขึ้นมันก็จะยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อยๆๆ ค่ะ จากที่แต่ก่อนที่พอจะสามารถเดินได้ ดูแลตัวเองได้ แต่พอเราโตขึ้นก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็ต้องนั่งวีลแชร์ไฟฟ้า และไม่สามารถที่จะเดินได้ และในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น การเข้าห้องน้ำ การอาบน้ำ การแต่งตัว ก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือหรือช่วยทำให้ค่ะ แต่ตั้งแต่ที่ได้เข้ามาศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา ก็ได้ฝึกทำอะไรด้วยตนเองหลายๆ อย่าง เพราะว่าทางวิทยาลัยได้ฝึกฝนให้นักเรียนพยายามทำอะไรด้วยตัวเอง และช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้มีความพร้อมเวลาที่เราออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองในสังคมภายนอกต่อไปค่ะ”

มะปรางเล่าต่อว่า แม้บางอย่างจะสามารถทำได้ด้วยตัวเองและก็มีบางอย่างที่ยังไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะข้อจำกัดทางด้านร่างกาย แต่ว่าเธอก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว 

“การมาเรียนที่นี่ก็ได้รับอะไรหลายๆ อย่าง ได้รับทั้งการศึกษา ได้รับทั้งความรู้จากอาจารย์ทุกท่าน ได้เจอกับเพื่อนๆ ทุกคน อยู่ที่นี่ก็มีกีฬาให้เล่น มีกิจกรรมให้ทำต่างๆ มากมายค่ะ เปิดโอกาสให้หนูได้แสดงความสามารถ ได้ฝึกฝนและพัฒนาตนเองอยู่ตลอด จนในปี 2562 หนูได้เป็นตัวแทนเยาวชนผู้พิการไทย ไปแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากลหรือ GICT 2019 ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี ก็ได้รับรางวัล 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และถัดมาในปี 2563 หนูก็ได้รับรางวัลนักเรียนพระราชทาน และในปี 2564 ก็ได้รับรางวัลยุวสตรีพิการดีเด่น ในวันสตรีสากล ซึ่งรางวัลเหล่านี้ก็เป็นความภาคภูมิใจมากๆ ค่ะ” 

เบื้องหลังของรางวัลต่างๆ ที่มะปรางได้รับ เต็มไปด้วยความพยายาม และการฝึกฝนซ้ำๆ จนได้ผลลัพธ์ที่ตัวเธอเองภาคภูมิใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถและศักยภาพของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถพัฒนาไปได้อีกไกล ถ้าได้รับโอกาสที่ดีจากสังคม 

เตรียมความพร้อมสู่การมีงานทำ

โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง นอกจากจะเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้พิการ ให้ทุนจนจบการเรียนในระดับชั้นปวส. ยังจัดกิจกรรมการอบรมให้ความรู้ ทั้งเรื่องการออมเงิน การลงทุน และการทำงานในสายอาชีพต่างๆ เพื่อให้เยาวชนผู้พิการสามารถค้นหาตัวเองได้ว่าอยากทำอะไร และก่อนจบการศึกษายังมีกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การมีงานทำด้วย

โดยในเทอมสุดท้ายของการเรียน วิชาสำคัญที่ถือเป็นประสบการณ์ชั้นดีก่อนออกไปเผชิญกับโลกการทำงานของจริงในฐานะมนุษย์เงินเดือนอย่างเต็มตัว นั่นก็คือ ‘การฝึกงาน’ ซึ่งมะปรางเล่าว่าเธอได้เป็นหนึ่งในเด็กฝึกงานของบริษัทใหญ่อย่างไมโครซอฟต์ (ประเทศไทย) จำกัด

“ในตอนนั้นทางบริษัทไมโครซอฟต์ได้ทำโครงการร่วมกับวิทยาลัยพระมหาไถ่ พัทยา เพื่อรับนักศึกษาไปฝึกงาน หนูก็ไปสมัครกับเพื่อนๆ ทั้ง 10 คนค่ะ แล้วก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสองคนในการไปฝึกงาน ซึ่งในการทำงานจะเป็นการทำงานออนไลน์หรือ Work from home ทำงานอยู่ที่บ้าน หรือจะทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้เลยค่ะ เพราะว่าทางบริษัทไมโครซอฟต์เห็นถึงความลำบาก แล้วก็ปัญหาในการเดินทางของผู้พิการที่นั่งรถวีลแชร์ แล้วตัวบริษัทเองก็อยู่ที่กรุงเทพฯ เวลาที่เรามาทำงานก็อาจจะมีปัญหาและอุปสรรคทั้งในเรื่องของที่พักอาศัย ในเรื่องของการเดินทางต่างๆ แต่ก็ยังเห็นถึงความสำคัญและเปิดโอกาสให้กับผู้พิการได้ทำงานออนไลน์ได้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ค่ะ 

เพราะอย่างตัวหนูเองที่มีความพิการค่อนข้างสูง มีความลำบากในเรื่องของการเดินทาง เวลาที่จะไปไหนก็ต้องมีคนที่คอยพาไป หรือการเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือ พอสามารถที่จะทำงานที่บ้านได้ก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ”

“ตลอดที่ฝึกงานกับไมโครซอฟต์ ก็ได้เรียนรู้ในเรื่องของ Power Platform (เป็นชุดเครื่องมือที่ใช้โค้ดน้อยสำหรับการสร้างแอป) ทั้งโปรแกรม Power BI และ Power Apps ได้มีโอกาสคุยกับพาทเนอร์ ได้แบ่งปันและแชร์ความรู้ในเรื่องของ Power BI ในงาน Power Platform Community Training Day และนอกจากการทำงานแล้ว ยังมีกิจกรรมทางออนไลน์ให้พวกเราได้คุยแลกเปลี่ยนกัน และในงานวันครบ 30 ปี พี่ๆ ได้ให้หนูไปเข้าร่วม ได้มีโอกาสไปชมการทำงานและชมบรรยากาศออฟฟิศ หนูได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้รับประสบการณ์ที่ดี และได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างที่จะเป็นประโยชน์และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดในอนาคตได้ค่ะ”

ประสบการณ์การฝึกงานของมะปรางครั้งนั้น นอกจากได้ up-skills ด้านคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้ว เธอบอกว่ายังได้เรียนรู้และฝึกฝนการทำงานเป็นทีม การอยู่ร่วมกันในสังคม และช่วยสร้างวินัยในการทำงานได้

“มันเป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับหนูค่ะ เพราะว่าเป็นการทำงานออนไลน์ คือปกติเราก็จะทำงานเข้าออฟฟิศเจอหน้าทุกคนใช่ไหมคะ ซึ่งเราก็จะต้องเรียนรู้การทำงานออนไลน์ เรียนรู้เรื่องโปรแกรม มันก็จะมีปัญหาบ้าง แล้วการทำงานออนไลน์เราไม่ได้เจอหน้าคนที่ทำงานด้วยกันค่ะ ปฏิสัมพันธ์ก็อาจจะยากกว่าการที่เราเจอหน้ากันที่ออฟฟิศ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากค่ะ แล้วพอมาทำงานจริงๆ เราได้เรียนรู้ถึงความรับผิดชอบเพราะว่าการทำงานออนไลน์ต้องมีความรับผิดชอบสูง เพราะว่าเขาไม่ได้มีเวลาเป๊ะว่าเราจะต้องเข้างานเวลานี้ออกงานเวลานี้ 

เราก็ต้องมีความรับผิดชอบในการทำงานของตัวเอง เพราะว่าบางทีคนทำงานออนไลน์อยู่บ้านก็อาจจะมีขี้เกียจบ้างค่ะ ด้วยสภาพแวดล้อม มันจะไม่ดูกระตือรือร้นหรือดูจริงจังเท่ากับเราไปทำในออฟฟิศ เราก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง รู้จักหน้าที่ค่ะ เป็นการฝึกวินัยในตัวเอง”

จะเห็นว่า โอกาสทางการศึกษาที่มะปรางได้รับไม่ว่าจะเป็นด้านทุนทรัพย์หรือประสบการณ์ด้านอาชีพ เป็นต้นทุนที่ดีที่จะสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต

หนึ่งเสียงสะท้อนจากผู้พิการในโอกาสการศึกษาและการพัฒนาอาชีพ

สำหรับโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาอาชีพของเด็กและเยาวชนที่มีความต้องการพิเศษในบ้านเรานั้น มะปรางมองว่า อาชีพที่รองรับผู้พิการยังมีไม่หลากหลายนัก ในสถานศึกษายังมีข้อจำกัดในการให้ผู้พิการเข้าถึงในหลายๆ สาขาการเรียน ด้วยเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ยังไม่เอื้อ ตัวเลือกในการเรียนจึงมีจำกัด

“เรื่องโอกาสทางการศึกษาและอาชีพของผู้พิการแม้จะมีมากกว่าแต่ก่อน แต่หนูอยากให้มันมีมากขึ้นกว่านี้ ให้มันมีตัวเลือกที่หลากหลาย ในแต่ละสถานศึกษาอยากให้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้พิการได้ไปเรียน มีทางเลือก มีสายอาชีพที่เลือกได้ว่าเราอยากจะทำงานอะไร เป็นอะไร มีการพัฒนาอาชีพต่อๆ ไป 

เพราะว่าคนพิการทุกคนก็เหมือนคนทั่วไป เขาก็มีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำ เหมือนอย่างหนูเองก็มีสิ่งที่อยากทำ แต่ว่าอย่างบางทีเขาก็จำกัดแค่ว่าเรียนได้แค่ในสาขานี้ แต่บางคนเขาก็อาจจะมีตัวเลือกที่เหมือนกับเพื่อนๆ คนอื่น แล้วก็ทุกๆ คนเขาก็มีความสามารถที่จะทำได้ แต่แค่โอกาสมันยังไม่มากพอ ก็อยากให้สังคมช่วยกันพัฒนา เปิดโอกาสต่อไปเรื่อยๆ ให้คนพิการเปรียบเสมือนคนปกติทั่วไปที่เราก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน อาจจะแค่เรามีความต้องการที่พิเศษมากกว่าคนอื่น”

ความต้องการที่พิเศษที่ว่าเธอหมายถึง การมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการอย่างทั่วถึง เพราะนั่นคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้พิการสามารถออกไปใช้ชีวิตข้างนอกได้ด้วยตัวเอง 

“ก็อยากให้เพิ่มอาชีพที่มันหลากหลายขึ้นที่รองรับผู้พิการ อย่างสถานศึกษาก็ให้ผู้พิการเข้าถึงได้ในหลายๆ สาขาการเรียน ไม่ต้องจำกัดว่าเรียนได้แค่สาขาไหน แล้วก็เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกค่ะ อย่างบางที่ บางมหาลัยเขาก็จะบอกว่าเราเรียนได้ในสาขานี้นะ เพราะว่าตึกนี้มีลิฟท์ อีกตึกนึงไม่มีลิฟท์ เราก็เลยเหมือนมีตัวเลือกว่าเรียนได้แค่นี้ มีข้อจำกัด”

“หลังจากที่หนูเรียนจบระดับชั้นปวส. ในสาขาเทคโนโลยีธุกิจดิจิทัลแล้ว หนูก็วางแผนไว้ว่า เป้าหมายต่อไปก็คืออยากทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยค่ะ หนูก็อยากจะจบปริญญาตรี ที่ฝันไว้ก็คืออยากจะรับปริญญาให้พ่อกับแม่ภูมิใจด้วย แล้วหนูก็อยากจะทำงานไปด้วย อยากจะเลี้ยงดูตัวเองได้ ส่งตัวเองเรียน แล้วก็พึ่งพาตัวเองได้ ก็เลยอยากจะทำงานแล้วก็หาเงินไปด้วย ตั้งใจว่าอยากจะหางานออนไลน์ทำ แล้วก็เรียนออนไลน์ควบคู่กันไปค่ะ ก็อยากทำงานด้านเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นี่แหละค่ะ เพราะว่าหนูรู้สึกว่ามันเหมาะกับหนูที่สุดแล้ว แล้วก็เป็นการต่อยอดสิ่งที่เราเรียนมาด้วย เพราะเรานั่งวีลแชร์เดินทางไปไหนก็ลำบาก 

แต่การทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เราทำแค่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่ต้องเดินทาง ทำออนไลน์อยู่ที่ไหนก็ได้ค่ะ แล้วอีกอย่างงานที่เกี่ยวกับด้านไอทีมันก็ค่อนข้างเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานค่ะ”

“ทุกท่านลองคิดดูนะคะว่าถ้าหากสถานประกอบการในทุกๆ ที่ หรือส่วนมากสามารถที่จะทำงานออนไลน์ได้ หรือทำงานที่บ้านได้ ทุกท่านคิดว่ามันจะช่วยลดปัญหาและลดอุปสรรคของการเดินทางหรือเรื่องห้องน้ำสำหรับผู้พิการนั่งวีลแชร์ได้มากแค่ไหนคะ 

ซึ่งพวกเราก็ย่อมทราบกันดีใช่ไหมค่ะ ว่าผู้พิการทุกคนมีความสามารถ มีทักษะ มีความถนัดของตัวเองอยู่แล้วค่ะ ซึ่งพวกเราทุกคนพร้อมแล้ว แล้วสถานประกอบการละคะ พวกคุณพร้อมหรือยังคะ” มะปราง – จิดาภา นิติวีระกุล หนึ่งในเยาวชนโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ทิ้งท้าย

มะปราง – จิดาภา นิติวีระกุล กับคุณแม่
โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาโครงการวิจัยเชิงระบบด้านการจัดการศึกษาสายอาชีพเพื่อการมีงานทำร่วมกับสถานศึกษาสายอาชีพทั้งหมด 11 แห่ง โดยทำมาแล้ว 4 ปี ปัจจุบันมีนักศึกษา 4 รุ่น รวม 439 คน และสำเร็จการศึกษาแล้ว 185 คน โดยมีพิธีมอบเกียรติบัตรแก่นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 123 คน จากสถานศึกษา 10 แห่ง จาก 7 จังหวัด ได้แก่
 
1) วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล จ.นครปฐม สาขาคอมพิวเตอร์กราฟฟิก สาขาไฟฟ้ากำลัง 
2) วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กรุงเทพมหานคร สาขางานการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์
3) วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา จ.ชลบุรี สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล
4) วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล
5) วิทยาลัยสารพัดช่างสุรินทร์ จ.สุรินทร์ สาขาช่างเทคนิคการผลิต สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัลสาขาอาหารและโภชนาการ
6) วิทยาลัยเทคนิคบางแสน จ.ชลบุรี สาขาการจัดการสำนักงาน
7) วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ หนองคาย จ.หนองคาย สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล
8) วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวกรุงเทพ กรุงเทพมหานคร สาขาธุรกิจค้าปลีก สาขาวิจิตรศิลป์
9) วิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี จ.อุดรธานี สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล สาขาดิจิทัลกราฟิก
10) วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ สาขาดิจิทัลกราฟิก สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล สาขาอาหารและโภชนาการ

Tags:

ผู้พิการโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษจิดาภา นิติวีระกุลอาชีพWork from homeโอกาสทางการศึกษากสศ.

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    โอกาสทางการศึกษา แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ ‘นัจมี หะเดร์’ ว่าที่พยาบาลผู้สานต่อความหวังให้ครอบครัว

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • เปลี่ยน ‘ผู้คุม’ เป็น ‘นักจัดการเรียนรู้’ สานฝันสร้างโอกาสให้เด็กก้าวพลาดได้เริ่มต้นใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Everyone can be an Educator
    ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Everyone can be an Educator
    RABBITHOOD ของโจ้ วชิรา ในวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าชอบงาน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

มากกว่ารักษ์ คือการเรียนรู้ที่เห็นคุณค่าตัวเองและมรดกภูมิปัญญา: โนรา Gen Z ‘ชาดา สังวรณ์’ 
Everyone can be an Educator
2 May 2023

มากกว่ารักษ์ คือการเรียนรู้ที่เห็นคุณค่าตัวเองและมรดกภูมิปัญญา: โนรา Gen Z ‘ชาดา สังวรณ์’ 

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • ‘เอเซีย’ ชาดา สังวรณ์ คือโนรารุ่นใหม่ แห่งคณะโนราเติม วิน-วาด ที่เริ่มต้นความฝันจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในครอบครัว และมุ่งมั่นบนเส้นทางที่แตกต่างด้วยความภูมิใจในตัวเอง
  • เธอปักธงอนาคตไว้ที่การพาโนราไปให้ถึงการยอมรับในระดับสากล ขณะเดียวกันก็ฝันอยากเห็นโนราเป็นการแสดงที่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่
  • เธอมองว่าโนราเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ หากนำมาออกแบบเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ นอกจากจะช่วยพัฒนาศักยภาพและทำให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเองแล้ว ยังน่าจะช่วยให้ห่างไกลจากความเสี่ยงได้

สีหน้าแววตามุ่งมั่น สีสันสดใสของเครื่องแต่งกายโนรา ลีลาการร่ายรำที่สง่างามสอดประสานไปกับเสียงดนตรี คือพลังการแสดงของ ‘เอเซีย’ โนรารุ่นใหม่แห่งคณะพิพิธภัณฑ์โนราเติม วิน-วาด ในงานโนราภูมิปัญญาแห่งแผ่นดิน ณ จังหวัดพัทลุง 

ด้วยวัยเพียง 18 ปี กับบทบาทนักแสดงและผู้ฝึกสอนโนรา คำถามที่เธอต้องตอบบ่อยครั้ง คือฉากหลังความมั่นใจในการเดินตามฝันบนเส้นทางนี้ที่ถูกแปะป้ายเป็นการแสดงพื้นบ้าน มรดกทางวัฒนธรรมที่ออกจะสวนทางกับกระแสความนิยมของคนรุ่นเดียวกัน

“เราเกิดพร้อมกับเสียงปี่เสียงกลอง ซึ่งเราก็ชอบมันและรู้สึกว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะประเทศไทย ในภาคใต้ ก็คิดว่าควรจะอนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญหายไป” ‘เอเซีย’ ชาดา สังวรณ์ พูดถึงความตั้งใจตั้งแต่เด็กที่ทำให้ตัวเองใกล้แตะหมุดหมายในฝันเข้าไปทุกที

ภาพ: ศิริโรจน์ ศิริแพทย์

‘ครอบครัวโนรา’ สายใยที่ถักทอความฝัน

เช่นเดียวกับเด็กหลายคน ความใฝ่ฝัน…เริ่มต้นที่ ‘บ้าน’

“ตอนเด็กๆ เราได้เห็นที่บ้านรำโนราก็รู้สึกว่าแปลกจัง มันไม่ได้อยู่ในกิจวัตรประจำวันทั่วไป รู้สึกว่าน่าสนใจ พอโตมาก็รู้ว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมที่อยู่มานานมากแล้ว และมันอยู่ในสายเลือดของครอบครัวเราก็ยิ่งทำให้รู้สึกภูมิใจมากที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”

แม้จะเกิดและเติบโตในบรรยากาศของการแสดงโนรา แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เอเซียปักธงชีวิตไว้กับการแสดงนี้ เธอว่าความรักและความผูกพันระหว่างเธอกับคุณยาย-วราภรณ์ อ๋องเซ่ง คือแรงส่งสำคัญที่ทำให้ตัวเองมั่นใจพอที่จะเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนวัยเดียวกัน

“ที่บ้านสอนให้รำตั้งแต่เด็ก ซึ่งเราก็ชอบด้วย คุณยายเริ่มดัดตัวให้ตั้งแต่ 3 ขวบ พอจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการแสดงจริงจัง คุณยายก็พาไปเรียน ไปฝึกรำโนรา ก็พอรำได้ จนคุณยายตัดสินใจมาเปิดคณะโนราของตนเอง เพื่อเป็นคณะสายตระกูลโดยเฉพาะของครอบครัวเรา ก็เริ่มช่วยยายสอนโนราให้น้องๆ ลูกศิษย์ในคณะด้วย ตอนที่เริ่มสอนอายุประมาณ 7-8 ขวบ เพราะเราเริ่มเรียนแต่เด็ก มันก็ซึมซับเร็ว” 

เอเซียบอกว่า การที่เธอค้นพบความสนใจของตัวเองได้เร็วและมีทัศนคติที่ดีน่าจะมาจากคุณยายที่เลี้ยงดูแบบไม่ได้ตึงหรือหย่อนเกินไป แม้จะต่างวัยต่างเจเนอเรชั่นแต่ก็สามารถพูดคุยกันได้เกือบทุกเรื่อง

“คุณยายก็จะเลี้ยงดูเราแบบค่อนข้างตามใจแต่ให้อยู่ในกรอบของวัฒนธรรม กิจกรรมที่ทำด้วยกันก็เช่น พาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ซึ่งก็มีเรื่องของการอนุรักษ์ด้วย ก็เลยไม่เครียดเวลาเราทำงานอะไรแบบนี้ 

ปกติจะใกล้ชิดกับคุณยาย อาจจะมีช่องว่างบ้าง แต่ต่างฝ่ายก็พยายามปรับตัวเขาหากัน คุณยายถึงจะเกิดในยุคที่ไม่มีนวัตกรรมอะไร แต่คุณยายก็พยายามเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ แล้วก็พยายามจะเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ด้วย ต่างคนต่างพยายามเข้าถึงซึ่งกันและกัน หรือว่าเราอาจจะมีโนราเป็นจุดเชื่อมโยง เพราะว่าเป็นสายเลือดของเรา และเราก็เป็นยายหลานกัน เราสนิทกัน ตอนเด็กๆ ก็ไปไหนด้วยกันตลอด ก็เลยคุยกันง่าย 

บางครั้งอาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่ก็ปรับเข้าหากันได้ด้วยมิตรภาพดีๆ เพราะเราใช้ชีวิตร่วมกัน ต่างคนต่างยอมรับและไว้ใจกัน ไม่มีอะไรปิดบัง แล้วบางเรื่องหนูก็มีความชอบคล้ายๆ กับคุณยาย เพราะคุณยายเลี้ยงมาตั้งแต่เกิดก็อาจจะซึมซับมาจากยายค่อนข้างมาก เกิดความเข้าใจกันเป็นพิเศษ” 

‘ฝึกโนรา’ สะสมทักษะชีวิต

เมื่อจุดเริ่มต้นมาจากความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว แม้การฝึกโนราจะค่อนข้างหนักหนาสำหรับเด็กคนหนึ่ง แต่เอเซียบอกว่าเธอไม่ได้รู้สึกกดดันหรือถูกบังคับ ตรงกันข้ามเธอว่าการฝึกโนราไม่เพียงทำให้ได้ใช้เวลากับคุณยายและคนในครอบครัว และยังเป็นการฝึกทักษะการใช้ชีวิตที่ดีอย่างหนึ่ง

“ทักษะที่ได้จากการรำโนรา อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้จักการแบ่งเวลา เพราะเราเรียนสายสามัญซึ่งค่อนข้างหนัก แล้วต้องแบ่งเวลามาฝึกรำ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะต้องเรียนรู้งานหัตถกรรม เช่น งานร้อยลูกปัดด้วย

แล้วเราก็มีเพื่อนที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับงานศิลปวัฒนธรรม ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนกัน พอเพื่อนเห็นว่าเราเป็นแค่คนไม่กี่คนที่มาทำด้านนี้ เขาก็มองว่าเราเก่ง เราก็ภูมิใจ”

แน่นอนว่า เส้นทางการเป็นโนราใช่ว่าจะไร้ซึ่งอุปสรรค ช่วงหนึ่งในชีวิตวัยรุ่น เอเซียเองก็ได้เจอกับแรงปะทะของอุตสาหกรรมการแสดงสมัยใหม่ ซึ่งอาจทำให้หวั่นไหวบ้างแต่ไม่เคยท้อถอย

“ที่ผ่านมาก็มีสับสนเหมือนกัน เพราะบางทีก็ไปเจอนวัตกรรมใหม่ ก็พยายามคิดว่าสองฝั่งนี้ควรจะเชื่อมกันยังไง เราก็เรียนในตัวเมือง นวัตกรรมก็ล้ำ ชมรมโนราในโรงเรียนก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าไหร่ ก็มองว่าทำไมโนราต้องมาเจอแบบนี้ด้วย น้องๆ ในคณะโนรา ก็ว่าควรจะไปต่อหรือหยุดดี เพราะเขาจะคิดว่าโนราเก่าแล้วมั้ย แล้วเราก็เป็นผู้นำที่ไม่ได้ทีสิทธิมีเสียงมากพอ …จริงๆ ก็ไม่ใช่ง่ายกว่าที่เราจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ก็ลำบาก ผ่านอะไรมาเยอะ

เหมือนเวลามีงาน open house พอมีเด็กมาเต้น เขาก็มาดู พอเราขึ้นรำโนรา เขาก็ลุกไป ก็เลยทำให้เด็กมีไฟน้อยลง เพราะเขาอาจจะยังไม่เห็นคุณค่าของโนรามากพอ เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง”

‘โนราล่าแสงเหนือ’ ฝันไกลไปให้ถึง

‘แสงเหนือ’ นอกจากจะเป็นหมุดหมายในฝันของเอเซีย ยังเป็นภาพสะท้อนความคาดหวังที่จะพาโนราไปให้ถึงการยอมรับในระดับสากล 

โครงการโนราล่าแสงเหนือ เป็นกิจกรรมที่เอเซียกับเพื่อนๆ ในวัยมัธยมฯลงทุนลงแรงร่วมกัน ด้วยความตั้งใจที่จะนำศิลปการแสดงนี้ไปให้คนได้รู้จักมากเท่าที่เรี่ยวแรงของเยาวชนอย่างพวกเธอจะทำได้

“ตอนนั้นประมาณปี 2562 โนรายังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็เลยคิดว่ายังไม่ใครรู้จักโนราเท่าไหร่ เรานำการแสดงโนราไปเผยแพร่ดีมั้ย เราก็เป็นนักเดินทางตัวน้อยอยู่แล้วด้วย บวกกับเรามีโนราอยู่ในมือ แล้วก็ได้ไปพบปะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับคนในพื้นที่อื่นๆ ด้วย

แล้วก็เป็นความฝันของพวกเราที่อยากไปรำโนราในภาคเหนือ ไปโชว์ให้เขาดู โดยเราเก็บเงินและไปกันเอง ไม่ได้ขอใคร ค่อยๆ เก็บทุกอาทิตย์ พอได้เงินทุนพอแล้ว ก็ออกเดินทางไปไปรำในที่ต่างๆ ไปรำให้ป่า ให้วัดก็มี  

จนถึงวันนี้ที่เราไปมาทั้งหมดก็มี กำแพงเพชร พิษณุโลก หัวหิน นครปฐม ปทุมธานี และตาก ไม่ใช่ภาคเหนือทั้งหมด คือตรงไหนที่มองว่าเป็นพื้นที่น่าสนใจ เราก็ปักธงว่าเราจะไป ไปถึงแล้วเราก็รำเลย ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครดูหรือเปล่า แบบฉันจะรำให้ดู ตอนนั้นไปกัน 10 กว่าคน มีทั้งรุ่นน้อง รุ่นพี่ เรียนระดับมัธยมนี่แหละ คุณยายก็ไปด้วยกัน แต่ว่าพอปีหลังๆ ก็เริ่มน้อยลง เพราะว่าบางคนติดเรียน แต่นี่ก็เริ่มมีคนชวนว่าให้เราไปอีกนะ”

ภาพ: ศิริโรจน์ ศิริแพทย์

‘วิชาโนรา’ การเรียนรู้ที่มากกว่ารักษ์

หลายคนอาจมองว่า โนราเป็นแค่ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน แต่จริงๆ แล้ว โนราเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่มีรากยึดโยงกับพิธีกรรมความเชื่อ รวมถึงองค์ความรู้ที่หลากหลาย 

“เราไม่ใช่แค่อยากอนุรักษ์เพื่อจะสืบสานภูมิปัญญาดั้งเดิมอย่างเดียว แต่อยากให้โนราเป็นกิจกรรมการเรียนรู้อีกทางเลือกหนึ่งให้แก่คนรุ่นใหม่ที่จะใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเองได้ เพราะโนราไม่ได้มีแค่การรำ แต่ยังมีศาสตร์เบื้องหลังอยู่อีกมาก 

โนราเหมือนเป็นการออกกำลังกาย และโนรายังมีศาสตร์ที่แยกออกมาอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพิธีกรรม การดูแลสุขภาพกายใจ และภาคบันเทิงที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจ ดูแล้วตลก แล้วก็มีเรื่องงานฝีมือเบื้องหลัง เช่น การร้อยลูกปัด ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เด็กมีสมาธิมากขึ้น ไม่เครียด แล้วเราก็ไม่ต้องไปใช้เวลางมอยู่กับอินเทอร์เน็ต”

ในความเห็นของเอเซีย การนำโนรามาออกแบบการเรียนรู้น่าจะช่วยให้เยาวชนเห็นคุณค่าและพัฒนาตัวเองได้อีกทางหนึ่ง

“อยากให้ศาสตร์โนราเปลี่ยนพฤติกรรมเยาวชนที่อยู่ในสิ่งล่อแหลม เช่น ยาเสพติด ความรุนแรง อบายมุขต่างๆ หนูคิดว่าโนราจะช่วยเยียวยาได้ เราอยากเป็นต้นแบบให้เห็นว่า การที่เรารำโนราทำให้เราไม่ไปมั่วสุมในปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ครอบครัวก็สบายใจ เราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม แต่ต้องไม่บังคับให้เยาวชนมาอนุรักษ์นะ ใช้โนราช่วยเปลี่ยนแปลงให้เยาวชนดีขึ้น และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข” 

ที่สำคัญการเรียนรู้รากและภูมิปัญญาของโนรายังน่าจะช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความแตกต่างของวิถีชีวิตวัฒนธรรมได้ดีขึ้น

“เพราะว่าโนราจะแตกต่างกันไปตามแต่ละจังหวัด แต่ละตำบล มีท่ารำที่ไม่เหมือนกัน ในเรื่องของพิธีกรรม บางคณะก็มีความเชื่อแตกต่างกัน เราก็ได้ไปเรียนรู้ ขณะเดียวกันหนูไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่ในคณะโนรา แต่เราไปเรียนก็เจอโลกภายนอกด้วย ทำให้เรามีความคิดสองแบบควบคู่กัน ไม่ได้ไปในทางใดทางหนึ่ง เราก็ต้องอยู่ให้ได้ในโลกที่มีสองด้าน ต้องเลือกดูเลือกเข้าใจ”

ฝันแค่เอื้อมของ ‘โนรา Gen Z’

ปัจจุบัน ‘โนรา’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ จากยูเนสโก เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย คนภาคใต้ รวมถึงความภูมิใจอย่างที่สุดของทายาทโนราคนนี้

“ตอนนี้โนราได้รับการยอมรับระดับโลก รู้สึกว่ายูเนสโกช่วยผลักเสียงเล็กๆ ของพวกเราด้วย ทำให้ได้รับการยอมรับ และมีการต่อยอด ก็รู้สึกดีใจ และภูมิใจในฐานะเด็กคนหนึ่งที่ได้รำโนรา”

พร้อมๆ กับก้าวสำคัญในเวทีในระดับนานาชาติของโนรา วันนี้ เอเซียเองก็กำลังก้าวต่อไปสู่อนาคตในรั้วมหาวิทยาลัย กับสถานภาพนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะศิลปกรรม สาขานวัตกรรมการจัดการศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเจ้าตัวมุ่งมั่นที่จะทำให้โนราไม่ใช่แค่มรดกที่ถูกเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นการแสดงที่ได้รับการยอมรับจากคนรุ่นใหม่ด้วย

“อยากให้คนรุ่นใหม่ที่ยังไม่รู้จักโนราได้มาช่วยกันสานต่อโนรา เพราะไม่ใช่แค่การอนุรักษ์ แต่โนรายังช่วยพัฒนาศักยภาพเราในหลายๆ อย่าง ทั้งได้ออกกำลังกาย ได้ฝึกสมาธิ เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจและอยากให้มาลองเรียนรู้ดู เผื่อว่าจะชอบ เพราะว่าเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ และช่วยกันรักษาศิลปวัฒนธรรมที่น่าภูมิใจของบ้านเรา”

แต่ถ้ามองไปถึงความฝันในด้านอาชีพแล้ว เอเซียพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กๆว่า “หนูอยากเป็นทูตวัฒนธรรม จะได้พาโนราไปโชว์ไกลๆ เลย”

ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวก็มีอีกบทบาทหนึ่งที่น่าจะถือเป็นการชิมลางการเป็นทูตวัฒนธรรม นั่นคือ การได้รับเชิญให้ไปพูดในเวทีต่างๆ 

“พอเขารู้ว่าเราทั้งเรียนทั้งรำ ก็ได้รับเชิญไปพูดเรื่องการลดปัจจัยเสี่ยงในตัวเยาวชน เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นเยาวชนที่ไม่อยู่ในปัจจัยเสี่ยงใดๆ เลย เพราะว่าเรารำโนรา ร้อยลูกปัด เหมือนเรามีภูมิคุ้มกันจากวัฒนธรรมด้านนี้อยู่ แล้วยิ่งวงพูดคุยที่เขาเชิญเอาไปลงสื่อ ทำให้ได้แชร์ทัศนคติต่อเพื่อนๆ คนอื่น เราก็ยิ่งภูมิใจ 

ตอนไปนำเสนอแรกๆ เราก็กลัว เพราะมีแต่คนเก่ง แต่ท่านผู้อาวุโสก็บอกว่าเราก็เป็นคนเก่งเหมือนกัน เหมือนเราเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังคงสืบสานวัฒนธรรม เขาก็สนใจ ให้เกียรติเรา เหมือนเราไม่ใช่แค่คนดีที่ปรับตัวอยู่ในสังคมได้ แต่เรายังพาวัฒนธรรมไปเผยแพร่ได้ อย่างน้อยยังสืบสานให้วัฒนธรรมยังคงอยู่ไม่จางหาย” 

เอเซียบอกว่า การได้รำโนราคือความสุข แต่ก็เหนื่อยมากเหมือนกัน พร้อมทั้งฝากถึงเด็กคนอื่นๆ ที่ยังค้นไม่เจอความชอบความหลงใหลของตัวเองว่า…อย่าเพิ่งท้อ สำหรับเธออาจจะโชคดีที่ความชอบนั้นเป็นสิ่งที่ครอบครัวสนับสนุนอยู่แล้ว

“การที่เราค้นพบตัวเอง ได้ทำตามฝัน อาจเพราะว่าโตมาก็เจอเสียงปี่เสียงกลองเลย เราได้ซึมซับมาตั้งแต่เด็ก เหมือนเรามีกรอบมาเรียบร้อยแล้ว แต่เราก็ไม่รู้สึกอึดอัด และครอบครัวก็ไม่ได้บังคับ 

หนูดีใจที่เกิดมาก็ได้ยินเสียงปี่เสียงกลอง แล้วเราก็ชอบ คุณยายก็สนับสนุนเต็มที่ แล้วเรายิ่งชอบยิ่งทำซ้ำๆ ฝันก็ยิ่งไกลออกไป ภูมิใจและเชื่อว่าฝันเราจะยังไปอีกไกลแน่นอน” 

ภาพ: ศิริโรจน์ ศิริแพทย์
งานโนราภูมิปัญญาแห่งแผ่นดิน จัดโดยศูนย์สื่อศิลปวัฒนธรรม องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, สสส. และ สกสว. ณ วัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 17-19 มีนาคม 2566  

Tags:

ความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem)ความฝันครอบครัวนาฏศิลป์มโนราห์ภูมิปัญญาวัฒนธรรมวัยรุ่นทักษะชีวิต

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Related Posts

  • Movie
    Inside Out 2: เมื่อไม่อาจหลีกหนีความวิตกกังวล สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันและไม่ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    No hard feelings : พ่อแม่ต้องยอมให้เขาล้มเหลว หรือสำเร็จได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Everyone can be an EducatorSpace
    วิชาตาลโตนด: ห้องเรียนเสียดฟ้าของ ‘อำนาจ ภู่เงิน’ ภูมิปัญญาหอมหวานที่รอคนสานต่อ

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Movie
    A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    The Makanai: cooking for the maiko house ประเทศที่คนจะทำอาชีพอะไรก็ได้

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Narrative pedagogy: มองไปให้ถึงฉากหลังของนักเรียน
Learning Theory
2 May 2023

Narrative pedagogy: มองไปให้ถึงฉากหลังของนักเรียน

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • นักเรียนไม่ใช่วัตถุที่ไร้ซึ่งเรื่องราวใดๆ แต่พวกเขาต่างก็มีโลกที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ โลกที่อาจเต็มไปด้วยความกลัว ความฝัน ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง ความท้อแท้ ที่ครูของพวกเขาจะสัมผัสและรับรู้มันได้ก็ต่อเมื่อการสนทนาเกิดขึ้น
  • การเข้าใจถึงเรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้นของนักเรียนแต่ละคนต้องอาศัยการสร้างพื้นที่ที่นักเรียนจะได้เล่าเรื่องราวของชีวิตตน และครูจะได้ยินถึงอารมณ์ความรู้สึกสิ่งที่นักเรียนกำลังเผชิญอยู่ นี่คือ ‘Narrative pedagogy’
  • ยกตัวอย่าง ครูคนหนึ่งอาจเติบโตมาจากประสบการณ์ที่ตนเองยินดีกับการถูกตีและเคี่ยวเข็ญ และเชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยพัฒนานักเรียนได้ จึงได้นำมาใช้กับนักเรียนของตน แต่นักเรียนกลับรู้กลัวและเจ็บปวด ไม่มีความสุขในการไปโรงเรียน

หลายครั้งเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ครูประเมินและตัดสินอย่างรวดเร็วว่าเป็นปัญหา ไม่ว่าในระดับชั้นเรียนหรือโรงเรียน การแก้ปัญหามักจบลงด้วยการที่ครูเร่งรีบหาเทคนิควิธีการที่หลากหลายทั้งเก่าใหม่เข้าไปแก้ไขทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อครูเห็นว่านักเรียนขาดความสนใจในบทเรียน และประเมินอย่างรวดเร็วว่าสาเหตุของปัญหาคือบทเรียนนั้นน่าเบื่อ ครูก็จะเปลี่ยนวิธีการเป็นการเรียนผ่านเกมหรือล่อใจด้วยของรางวัล หรือเมื่อครูด่วนสรุปว่าที่นักเรียนไม่ตั้งใจทำข้อสอบนั้นเป็นเพราะนักเรียนขี้เกียจอ่านหนังสือ ครูก็อาจจะแก้ปัญหาด้วยการออกข้อสอบให้ยากขึ้น 

ในข้อเขียนนี้ อยากชวนผู้อ่านทบทวนว่าแท้จริงแล้วมีอะไรซ่อนอยู่ลึกกว่าสิ่งที่เรามองเห็นหรือไม่?

ฉากหลังของนักเรียนมีอะไรซ่อนอยู่

ในทางจิตวิทยาการศึกษา การที่ครูประเมิน ตัดสิน และให้คำอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนอย่างรวดเร็วนั้น อาจเป็นผลมาจากความเข้าใจ ประสบการณ์ หรือชุดข้อมูลที่ครูมีมาก่อนหน้า ซึ่งกลายเป็นปัจจัยหลักที่ครูใช้ในการให้คำอธิบายและตัดสินปัญหาบางอย่าง เช่น นักเรียนบางคนถูกครูประเมินและตัดสินว่าเป็นวัตถุดิบที่ไม่ดีตั้งแต่ต้น เพราะแม้ว่าครูจะหาวิธีการที่ดีกว่ามาสอนแล้ว (เช่น active learning) ก็ไม่อาจทำให้เด็กกลุ่มนั้นสนใจในบทเรียนได้ ทั้งนี้ การตัดสินนั้นอาจมากจากประสบการณ์เดิมของครูเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ที่ตั้งใจเรียนเสมอแม้ว่าครูจะสอนด้วยวิธีการแบบไหนก็ตาม หรือครูบางคนก็เลือกที่จะโทษว่าเป็นเพราะตัวเองยังเป็นครูที่ไม่ดีพอ ทำให้นักเรียนสนใจไม่ได้ 

นักจิตวิทยาการศึกษาจึงเสนอว่าแทนที่ครูจะมองสถานการณ์เหล่านั้นจากประสบการณ์ที่มามาก่อนของตัวเองเพียงอย่างเดียว ครูจำเป็นต้องเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนให้มากกว่าที่เห็น ซึ่งอาจทำได้ด้วยการทำแฟ้มข้อมูล portfolio หรือการสอบถามพูดคุย เป็นต้น   

ในช่วงที่ผมฝึกสอนอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่  เด็กชายคนหนึ่งมักจะเข้ามาในห้องเรียนด้วยอาการที่เหม่อลอยแล้วก็ฟุบหลับลงกับโต๊ะ แทนที่ครูประจำชั้นจะต่อว่าที่เขาไม่ตั้งใจเรียนและลงโทษให้หลาบจำ ครูกลับเปิดโอกาสให้เด็กชายอธิบายและบอกเล่าสิ่งที่เขารู้สึกออกมา เขาเล่าว่าช่วงนี้แทบไม่ได้เจอแม่เลย เลิกเรียนกลับบ้านแม่ก็ไปทำงาน เขารู้สึกโดดเดี่ยว ขณะที่เล่าน้ำตาของนักเรียนก็ไหลไปด้วย ครูประจำชั้นได้โทรไปพูดคุยกับแม่ของเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และสถานการณ์ก็ค่อยๆ คลี่คลาย เมื่อแม่ของเด็กชายพยายามจัดสรรเวลาให้เขา 

นี่คือชั้นเรียนที่ไม่ได้เริ่มต้นการแก้ปัญหาด้วยข้อสรุปจากครูโดยทันที แต่เริ่มต้นด้วยการตั้งใจฟังอย่างเป็นมิตรถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของนักเรียนในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง 

Kincheloe นักการศึกษาเชิงวิพากษ์ มองว่า เราไม่อาจเข้าใจนักเรียนของเราได้เลยหากครูไม่รู้ว่านักเรียนของเรากำลังเผชิญกับอะไร เขากำลังรู้หรือไม่รู้อะไร เขามีความฝันและความกลัวอะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ครูและนักเรียนต้องร่วมกันมองให้เห็นว่าลึกๆ แล้วสาเหตุของปัญหาคืออะไรกันแน่ ถ้าเด็กคนหนึ่งรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อกลับบ้านเพราะแม่ต้องทำงาน หากเราสรุปอย่างรวดเร็วในเบื้องต้น เราอาจมองว่า แม่กำลังแบ่งเวลาไม่ดีพอจึงส่งผลเช่นนี้ หรือมองว่าเด็กคนนั้นอ่อนไหวเกินไป แต่หากมองให้ลึกซึ้งและรอบด้าน จะเห็นว่าคำถามสำคัญคือ สังคมแบบไหนกันที่ทำให้แม่คนหนึ่งต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลาได้อยู่กับลูกอย่างเต็มที่ 

ในมุมมองของ Kincheloe เราจึงไม่อาจมองนักเรียนเพียงแค่สิ่งที่เห็นตรงหน้าได้ แต่ต้องมองให้ลึกลงไปในความซับซ้อน เพราะว่านักเรียนแต่ละคนต่างมีโลกที่เขาเติบโตและเผชิญอยู่ และพวกเขาต่างก็อยู่ในบริบทสังคมที่สัมพันธ์กับอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม  ที่ส่งผลต่อตัวตนของพวกเขา  

ในบทสัมภาษณ์ ‘มุมมองโดมิโน ปัญหาสุขภาพจิตในโรงเรียน’ ของครูแนน ปาริชาต ที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักเรียนอยู่เป็นประจำ เธอพบว่านักเรียนจำนวนหนึ่งมาโรงเรียนพร้อมความรู้สึกเชิงลบ หลายคนโทษตัวเอง บางคนมีความรู้สึกเศร้าจากการเรียนเพราะตัวรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ บางคนมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง และสิ้นหวังต่อโลกที่กำลังอยู่ ครูแนนจึงมองว่า ปัญหาสุขภาพจิตหรือสภาวะซึมเศร้าที่พบได้มากในวัยรุ่นนั้น ไม่ใช่ปัญหาของนักเรียนคนใดคนหนึ่ง หรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่แท้จริงคือบริบทสังคมที่บีบให้นักเรียนทุกคนต้องแข่งขันและเป็นเลิศอยู่เสมอ ทำให้นักเรียนหลายคนแบกความพ่ายแพ้มาเรียน 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นของนักเรียนคนหนึ่งในชั้นเรียนนั้นแยกไม่ขาดจากสังคมที่เขาอยู่ มันคือฉากหลังที่ครูต้องมองให้ลึกลงไป ทำให้เธอเสนอว่า “ถ้าเราอยากให้เขา (นักเรียน) มีสุขภาพจิตที่ดี เราจำเป็นต้องพูดถึงโครงสร้างอื่นๆ ที่มนุษย์คนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างดีด้วย” 

เข้าไปสู่โลกที่นักเรียนของเรากำลังเผชิญอยู่ 

การเข้าใจถึงเรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้นของนักเรียนแต่ละคนจึงต้องอาศัยการสร้างพื้นที่ของการสนทนาพูดคุย (dialogue) ที่นักเรียนจะได้บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตตน และครูจะได้ยินได้ฟังถึงอารมณ์ความรู้สึกสิ่งที่นักเรียนกำลังเผชิญอยู่ หรือต่างคนต่างบอกเล่าซึ่งกันและกัน นี่คือ  ‘Narrative pedagogy’ ที่จะช่วยให้ครู (หรือผู้ร่วมสนทนา) ได้เรียนรู้และเห็นโลกต่างไปจากแง่มุมของตนเอง หรือจากที่ตนเองคุ้นชิน นี่ก็เพราะว่าตัวเราแต่ละคนก็เติบโตมาบนภูมิหลังทางสังคมแบบหนึ่งที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ของคุณค่าและความเชื่อแบบหนึ่ง และเข้ามากำกับวิธีการมองโลกของเราต่อสิ่งที่ต่างๆ จากตำแหน่งของเราเช่นกัน การได้สนทนากับคนอื่น (นักเรียน) ที่มีภูมิหลังทางประสบการณ์ มีประวัติศาสตร์ของชีวิตที่ต่างออกไป จะช่วยพาให้เราเห็นว่าขอบฟ้าความเข้าใจของเรามีข้อจำกัดอย่างไร มีอะไรบ้างที่เราไม่เคยมองเห็นหรือคิดจากมุมอื่น 

สิ่งนี้เป็นการเรียนรู้จากการเผชิญหน้ากับเรื่องเล่า ซึ่งนั่นจะทำให้ความเข้าใจของเราขยายออกไปเป็นขอบฟ้าใหม่ที่มีต่อเรื่องเดิมจากตำแหน่งของคนอื่น และแปรเปลี่ยนไปสู่การให้ความหมายใหม่กับสิ่งที่เราเคยเข้าใจ 

ในหนังสือ Narrative Pedagogy: Life History and Learning อธิบายว่า การสนทนากับคนอื่น (นักเรียน) ประสบการณ์ที่ถูกเล่าออกมาอย่างจริงแท้นั้นเปรียบเสมือนกับการคุยกับ ‘เอเลี่ยน’ หรือ ‘คนแปลกหน้า’ เพราะเขาเหล่านั้นมาจากโลกที่ต่างไปจากเรา เขามีเรื่องราวที่ต่างไปจากสิ่งที่เราคุ้นเคย ซึ่งการได้ยินได้ฟัง และสนทนากันจะเข้ามารบกวนสามัญสำนึก (common sense) ที่เราเคยมี และอาจนำมาสู่ความเข้าใจที่มีต่อคนอื่นหรือโลกที่เรากำลังเติบโตได้กว้างขึ้นกว่าเดิม 

ตัวอย่างเช่น ครูคนหนึ่งอาจเติบโตมาจากประสบการณ์ที่ตนเองยินดีกับการถูกตีและเคี่ยวเข็ญ และเชื่อว่าวิธีการนี้จะช่วยพัฒนานักเรียนได้ จึงได้นำมาใช้กับนักเรียนของตนเองอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าในอีกโลกหนึ่ง นักเรียนกลับมองเห็นประสบการณ์แบบเดียวกันนี้ในทางลบ เขามองว่าประสบการณ์เหล่านี้เต็มไปด้วยความกลัวและความเจ็บปวด ทำให้เขาไม่มีความสุขในการไปโรงเรียน 

ดังนั้น หากครูได้สนทนาเรียนรู้กับนักเรียนจากเรื่องนี้ถึงความสุขและความกลัวของนักเรียน ก็อาจช่วยให้ครูเห็นว่า การใช้ไม้เรียวในโลกที่ตัวเองยินดี อาจไม่ได้เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับนักเรียนหลายคน เพราะในโลกของพวกเขาไม้เรียวคือความรุนแรงในโลกของวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่น่ากลัวและอยากจะหลบหนี ห้องเรียนของครูก็อาจแปรเปลี่ยนไปสู่ความสัมพันธ์ที่ปราศจากความกลัว 

นักเรียนจึงไม่ใช่วัตถุที่ไร้ซึ่งเรื่องราวใดๆ แต่พวกเขาต่างก็มีโลกที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ โลกที่อาจเต็มไปด้วยความกลัว ความฝัน ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง ความท้อแท้ ที่ครูของพวกเขาจะสัมผัสและรับรู้มันได้ก็ต่อเมื่อการสนทนาเกิดขึ้น

อ้างอิง

หนังสือ  Narrative Pedagogy: Life History and Learning เขียนโดย Ivor F. Goodson และ Scherto R. Gill

หนังสือ Teachers as Researchers  เขียนโดย Joe L Kincheloe

Tags:

ครูนักเรียนจิตวิทยาการศึกษาNarrative pedagogy

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    Rethinking ‘คิดใหม่’ ในความ ‘เดิมๆ’ ของงานครู

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    4 ไอเท็มที่ครูอาจจำเป็นต้องมี ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel