Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: October 2022

ความรักคืออะไร: รู้จัก เข้าใจ และรักใครสักคน
RelationshipHow to enjoy life
18 October 2022

ความรักคืออะไร: รู้จัก เข้าใจ และรักใครสักคน

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • แต่ละคนมีประสบการณ์เรื่องความรักที่แตกต่างกัน คำว่า “รัก” ของแต่ละคนจึงมีความหมายต่างกัน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีสิ่งที่เป็น “จุดร่วมของความรักที่ดี” ที่เอามาชวนคุยกันได้
  • การรักใครสักคนหนึ่ง มันคือการยอมรับเขาแม้เขาจะไม่ได้ดีไปทุกอย่าง ยอมรับไม่ใช่การมองผ่านข้อเสียโดยไม่สนใจ แต่คือเราจะไม่เอาข้อเสียของเขาไป ‘ตัดสิน’ หรือทำร้ายให้เขารู้สึกแย่กับตัวเอง
  • พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูหลักมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยสร้างให้คนๆ หนึ่งเป็นคนที่ ‘มีความรักในหัวใจ’ เด็กที่ถูกทอดทิ้งและเพิกเฉยทั้งทางร่างกายและอารมณ์ มักจะไม่ค่อยมีความรัก หรือสานสัมพันธ์กับใครได้อย่างลึกซึ้ง

ความรักเป็นหัวข้อที่ถูกศึกษามาอย่างยาวนาน และปรากฏอยู่ในแทบจะทุกแง่มุมของชีวิตเราทั้งหนัง เพลง ละคร งานเขียน บทกวี งานศิลปะ ถึงอย่างนั้น ความรักก็ยังเป็นความซับซ้อนที่สุดสิ่งหนึ่งของมนุษย์ ความรักเป็นเหมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งมันช่วยเปลี่ยนโลกทั้งใบของคนหนึ่งให้สดใส มีความหมาย มีพลังได้ แต่อีกด้านก็สามารถทำลายชีวิตคนหนึ่งให้พังทลายได้เช่นเดียวกัน ความรักเป็นสิ่งสำคัญตั้งแต่คนเรายังไม่ออกจากท้องแม่ และสำคัญในทุกแง่มุมของชีวิต 

ความรักถูกสร้างภาพให้สวยงามหอมหวานผ่านนิยาย หนัง ละคร แต่ความจริงแล้ว ความรักเองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือข้ออ้างในการทำร้าย ควบคุม บงการคนอื่นเช่นเดียว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่บอกให้ลูกต้องทำตามความต้องตัวเองเพราะบอกลูกว่านั่นคือความรัก สามีที่บังคับให้ภรรยาทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการโดยใช้ความรักเป็นข้ออ้าง เราอยู่ในสังคมที่พยายามบอกเราว่าความรักคืออะไรอยู่เสมอ โฆษณาอาจบอกว่าแหวนเพชรคือความรักที่นิรันดร์ เทศกาลวาเลนไทน์อาจบอกว่าดอกไม้สีแดงช่อโตคือความรัก เราถูกกรอกหูอยู่แทบตลอดเวลา การมีนิยามความรักของตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันจะไม่ทำให้เราหลงไปกับอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง และนำมาซึ่งความว่างเปล่าในที่สุด

ความรักเป็นสิ่งที่มีนิยามที่หลากหลาย บางคนบอกว่ามันคือความผูกพัน บางคนบางบอกมันคือการอยากอยู่ใกล้ บางคนบอกว่ามันคือการคิดถึงเขาทุกวินาที แต่ละคนล้วนมีนิยามความรักในแบบของตัวเอง

เราบอกได้ยากว่าอะไรคือความรักเพราะมันคือกลุ่มความรู้สึกที่มีความซับซ้อนที่สุดสิ่งหนึ่งในมนุษย์ แต่เราสามารถบอกได้ว่าอะไรที่ไม่ใช่ความรัก 

สิ่งที่ถูกเข้าใจผิดบ่อยๆ ว่าเป็นความรัก 

  1. ความคิดถึง บางครั้งเราคิดถึงคนบางคนก็เพียงเพราะความเคยชินที่เขาตอบสนองความรู้สึกได้ จึงต้องระวังเพราะถ้าไม่รู้ทันความรู้สึกอาจหลงคิดว่านั่นคือความรัก
  2. เซ็กส์ การมีเซ็กส์กับคนหนึ่งแล้วรู้สึกดีไม่ได้แปลว่ารักเสมอไป บางครั้งอาจหมายความว่าเขารู้ใจว่าคุณชอบอะไร
  3. ความตื่นเต้น ความตื่นเต้นดีใจเวลาที่ได้อยู่ใกล้เขา เขาทำดีด้วย ไม่ได้แปลว่านั่นคือความรักเสมอไป เรื่องแบบนี้หลายครั้งก็เหมือนการเล่นการพนันตรงที่เรารู้สึกดีรู้สึกลุ้นที่จะได้บางสิ่งจากการพนันแต่ก็ไม่ได้แปลว่าการพนันนั้นทำให้เรารู้สึกดีจริงๆ มันเป็นเพียงแค่ความตื่นเต้นเพียงชั่วคราว
  4. รักเพราะเขาทำบางสิ่งให้ เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ผมพึ่งเข้าใจผ่านการทำจิตบำบัด (self-analysis) ได้ไม่นาน เพราะต้องแยกให้ดีว่านั่นคือเรารักเขาเพราะเขาทำบางสิ่งให้ หรือรักที่เขาเป็นเขา แน่นอนว่าเราต่างก็ต้องการให้เขาทำดีด้วย แต่ต้องระวังว่ามันจะเป็นเงื่อนไขที่ผูกมัดแค่ว่า ถ้าคุณไม่ตอบสนองในสิ่งที่เราต้องการ เราก็จะไม่รักคุณ และใช้ความกลัวไม่ถูกรักของเขาเป็นการควบคุมให้เขาทำสิ่งต่างๆ ตามที่เราต้องการ เพราะนั่นไม่ใช่ความรัก แต่คือการต้องการได้รับการตอบสนอง

นิยามความรักของแต่ละคนแตกต่างตามประสบการณ์ที่ผ่านมา เด็กมักจะเรียนรู้นิยามความรัก หรือความหมายของความรักจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูหลัก พ่อแม่ที่ให้ความรักอย่างสม่ำเสมอ คอยอยู่ข้างๆ ไม่ตัดสิน พยายามทำความเข้าใจ ให้พื้นที่แต่ก็ไม่ห่างเหิน ก็จะทำให้เด็กเห็นภาพความรักแบบที่เขาถูกเลี้ยงดูมา ส่วนเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ โมโหร้าย ใจร้อน ทำร้ายจิตใจ ก็มักจะนิยามความรักตามรูปแบบความรักที่คุ้นเคยในอดีต แต่เมื่อโตขึ้นเราไม่ได้เรียนรู้ความรักจากพ่อแม่เท่านั้น บางคนอาจเรียนรู้จากคุณครูที่สนิท บางคนเรียนรู้จากเพื่อน บางคนก็เห็นภาพจากคู่รักตัวเอง 

นิยามความรักที่แต่ละคนมีอาจเป็นสิ่งที่เรียนรู้โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ คนเรามักมีแนวโน้มมองหารูปแบบความสัมพันธ์ที่คุ้นเคย ดังนั้นการสังเกตรูปแบบความสัมพันธ์ที่ผ่านมากับพ่อแม่หรือคนรักจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการมีความรักที่ดี 

ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับคำนี้ที่บอกว่า ‘จงรักตัวเองก่อน ก่อนที่จะรักคนอื่น’ ประโยคนี้มีสองมุม หนึ่งคือ การที่เรารักตัวเองจะทำให้เรามีความรักเพียงพอที่จะรักคนอื่นได้ เหมือนการที่เรารักและดูแลตัวเองได้ดี เราก็น่าจะให้ความรักและดูแลคนอื่นได้ดีเช่นเดียวกัน อีกมุมหนึ่งคือ การที่เราจะรักตัวเองได้ก็ต้องเกิดจากการที่คนสำคัญในชีวิตเห็นคุณค่าในตัวเราด้วยเช่นเดียวกัน แล้วเราก็จะเรียนรู้ว่าตัวเองก็มีคุณค่าพอที่จะถูกรักเหมือนกัน และพัฒนาความรู้สึกนั้นเป็นการรักตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรักตัวเองก่อนค่อยรักคนอื่นเสมอไป เพราะถ้าเรารักคนอื่น แล้วคนอื่นมารักเรา เราเห็นคุณค่าตัวเองจนรู้สึกรักตัวเอง เราก็จะเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นได้ด้วยเช่นกัน

ความรักที่ดี

แต่ละคนมีประสบการณ์เรื่องความรักที่แตกต่างกัน คำว่า “รัก” ของแต่ละคนจึงมีความหมายต่างกัน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีสิ่งที่เป็น “จุดร่วมของความรักที่ดี” ที่เอามาชวนคุยกันได้ 

เวลาพูดถึงการรักตัวเอง เรามักจะเห็นบทความที่พูดถึงการกลับมามองข้อดีของตัวเอง กลับมาขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อให้เราได้ดื่มด่ำและรู้สึกดีกับข้อดีของตัวเอง นั่นไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่มันอาจไม่ใช่การรักตัวเองอย่างแท้จริง เพราะมันยังคงไม่ได้มีการโอบกอด ยอมรับและทำความเข้าใจด้านมืดในตัวเองด้วย ซึ่งหมายถึง ด้านที่เราปกปิดไม่อยากนึกถึง ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าเราเป็นแบบนี้ ด้านที่เรารู้สึกเกลียดตัวเองอยู่ลึกๆ และบางทีเราเองก็ไม่อยากรับรู้ด้วย หากเราสามารถโอบกอด ยอมรับ และไม่ผลักไสด้านเหล่านี้ในตัวเอง แต่ทำความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าตัวตนที่ปลอม (false self) เหล่านั้นล้วนหล่อหลอมให้เรากกลายเป็นเราในวันนี้ และการที่เราเคยมีตัวตนที่ปลอมมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เข้าใจความเจ็บปวด ความน่าเกลียดของมนุษย์ นั่นอาจเรียกว่า ‘การรักตัวเอง’ 

การรักคนอื่นก็เช่นกัน มันไม่ใช่เพียงแค่การมองเห็นข้อดีของเขาแล้วก็สนใจหรือชอบ การเห็นข้อดีของอีกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญในหลายงานวิจัยทางจิตวิทยาของคู่รักที่ประสบความสำเร็จ แต่การโอบกอดและยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ความรักจะทำให้เรารู้สึกว่า เราเห็นข้อเสียของคุณนะ แต่เราก็เห็นว่าคุณมีข้อดีเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเราไม่หงุดหงิดกับข้อเสียของคุณ เพียงแค่เรารู้ว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดของคุณและความรักก็ทำให้เราอยากยอมรับคุณแบบไร้เงื่อนไข แล้วเราก็พร้อมที่จะปรับปรุง พัฒนา อยู่ข้างๆ คุณ – ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียนั้น

เวลาพูดถึงความรักที่ไร้เงื่อนไข (unconditional love) ผมจะนึกถึงแม่เสมอ แม่เป็นคนที่เห็นข้อดีของผม แต่ก็เห็นข้อเสียอันมากมายด้วย แต่แม่ก็ยังยอมรับแม้ผมจะไม่สมบูรณ์แบบ การรักใครสักคนหนึ่งก็เป็นเช่นนั้น มันคือการยอมรับเขาแม้เขาจะไม่ได้ดีไปทุกอย่าง ยอมรับไม่ใช่การมองผ่านข้อเสียโดยไม่สนใจ แต่คือเราจะไม่เอาข้อเสียของเขาไป ‘ตัดสิน’ หรือทำร้ายให้เขารู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะเรารู้ว่าความรักที่ไร้เงื่อนไขจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดี ความรักที่ไร้เงื่อนไขอีกอย่างที่ผมค้นพบในการทำจิตบำบัดคือ การที่เรารักใครสักคนโดยที่ไม่หวังผลตอบแทน ไม่คิดว่าเขาจะให้สิ่งนี้ฉันไหม สิ่งที่ฉันให้มันจะคุ้มค่าไหม

อันที่จริงเรื่องการยอมรับอย่างไร้เงื่อนไขเป็นเคล็ดลับสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์เลย คุณลองนึกถึงคนที่คุณรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น เข้าอกเข้าใจดูสิ เขาน่าจะมีคุณสมบัตินี้อยู่ในตัว นักจิตวิทยาหรือนักบำบัดหลายคนที่ต้องทำงานกับผู้ใช้บริการที่มีบาดแผลทางจิตใจก็ใช้แนวคิดนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใช้บริการเช่นเดียวกัน

อันที่จริงความลับของการมีความรักอย่างไร้เงื่อนไขอาจเป็นการที่เราพยายามสำรวจความสัมพันธ์ดูว่า ‘อะไรคือเงื่อนไขในการรักของเรา’ อะไรคือสิ่งที่ถ้าเขาไม่ทำให้แล้วเราจะไม่รัก 

ถึงอย่างนั้น ความรักอย่างไร้เงื่อนไขก็ไม่ใช่การยอมเสียสละตัวเองทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ในความสัมพันธ์ มันควรจะเป็นการเสียสละที่สมเหตุสมผล ถ้าสิ่งที่คุณต้องเสียสละคือ ความรัก คุณค่า ความหมายชีวิต นั่นอาจไม่คุ้มที่จะแลกโดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (toxic relationship)

ความรักที่ดีจะทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น ไว้ใจ ไม่กังวลจนเกินไป และการรักใครสักคนก็คือการทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น จากที่ได้อ่านงานทางจิตวิทยาหลายชิ้น ผมพบว่า จุดร่วมหนึ่งของความรักที่มักถูกพูดถึงคือ การดูแลความรู้สึก ความต้องการ ความสุข ความทุกข์ของเขาเหมือนที่เราอยากให้เขาทำให้เรา ความรักจะทำให้เราใส่ใจในความเป็นเขา ความใส่ใจคือ ‘ความรู้สึก’ และ ‘การกระทำ’ ที่แสดงถึงความใส่ใจ บางคนอาจพูดว่าฉันแคร์เธอนะ ฉันรักเธอนะ ฉันก็ไปรับไปส่ง แต่ข้างในความรู้สึกกลับไม่ได้รู้สึกสนใจจริงเขาก็จะรับรู้ได้ ดร.แนท ฐิตาภา นักจิตบำบัด บอกผมระหว่างทำจิตบำบัดว่า (self-analysis)  ความรักคือ ‘ความรู้สึกซาบซึ้ง’ ในความเป็นเขา จนเราอยากดูแลและใส่ใจให้เขามีความสุข ผมก็คิดเช่นนั้น 

สมัยก่อนการมีความรักอาจหมายถึงการมีฐานะที่ดี มีความปลอดภัยทางร่างกาย ไม่ยากจนหิวโหย แต่รูปแบบความรักเปลี่ยนไป ค่านิยมของความรักสมัยนี้ คือการที่คู่รักช่วยให้มีการเติมเต็มทางจิตใจ การได้พัฒนาตัวเอง การมีความภาคภูมิใจในตัวเองของกันและกัน  

ด้านมืดของความรัก 

  1. สิ่งที่ต้องระวังของความรักคือ ความรักทำให้คนตาบอด เพราะเวลาที่เราเริ่มตกหลุมรักใครสักคนช่วงเริ่มต้นสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ ประเมินสถานการณ์และบุคคลจะทำงานได้น้อยลง ช่วงนั้นเราจะเห็นแต่ข้อดีของเขาเต็มไปหมด สัญญาอันตรายหรือ redflag ก็มักจะถูกมองข้ามไป ช่วงนี้ความรักจะมีทั้งความสุขแบบล้นเอ่อและความเครียดวิตกกังวล เพราะสารแห่งความสุข (dopamine) และสารแห่งความเครียด (cortisol) ในสมองหลั่งเยอะ
  1. นอกจากความรักจะทำให้คนหลงหัวปักหัวปำแล้ว ความรักก็ยังเป็นความเจ็บปวดอีกแบบหนึ่งด้วย ความรักจะเกิดขึ้นได้เมื่อคนหนึ่งกล้าเปิดเผยความเป็นตัวเอง ไม่ปกปิดหรือเก็บซ่อนความรู้สึก เพราะความลึกซึ้งในความผูกพันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากคนหนึ่งมีกำแพงในความสัมพันธ์ กำแพงที่ถูกทำลายนั้นทำให้เราเห็นถึงความเปราะบาง (vulnerability) ของกันและกัน

    เบรนเน่ บราวน์ (Brene Brown) นักวิจัยเรื่องความเปราะบาง เคยกล่าวว่า ความเปราะบางเป็นแก่นของอารมณ์เชิงลบที่เราไม่ชอบกัน พูดง่ายๆ คือ เราไม่ชอบอารมณ์เชิงลบเพราะมันทำให้เรารู้สึกเปราะบาง ถึงอย่างนั้นความเปราะบางก็เป็นจุดกำเนิดของอารมณ์เชิงบวกต่างๆ ด้วย ถ้าเราไม่อนุญาตให้ตัวเองเปราะบางกับใครสักคน เราก็จะไม่เจอความผูกพันที่ลึกซึ้ง ด้านหนึ่งของการรักใครสักคนคือการตื่นเช้าขึ้นมาในทุกวันอย่างมีความหมาย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็คือความเสี่ยงที่อาจถูกหักหลัง และเจ็บปวดในความสัมพันธ์ ทุกสิ่งมีข้อดีและข้อเสียหมด และถึงแม้จะเลือกที่จะไม่มีความสัมพันธ์เพราะไม่อยากเจ็บปวด แต่ความชินชา (numbness) และการวิ่งหนีความสัมพันธ์ก็คือความเจ็บปวดรูปแบบหนึ่งเช่นกัน ในเมื่อทางไหนก็เจ็บปวด ดังนั้นการตัดสินใจเลือกความเจ็บปวดที่คุ้มค่าและมีความหมายที่จะทำก็น่าจะดี 
  1. เวลาผ่านไปความลุ่มหลง (passion) ก็อาจจางหายไปตามเวลา สารแห่งความสุข (dopamine) ที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเวลาเจอเขาก็จะน้อยลง บางคนที่เสพติดความรู้สึกตื่นเต้นใจฟูก็อาจเผลอเข้าใจว่าเราหมดรักแล้วจึงตัดสินใจจบความสัมพันธ์ หากเข้าใจกลไกสมองจะรู้ว่าความรักอาจไม่ได้หมดเสมอไป เพียงแต่ความรักเปลี่ยนรูปแบบจากความตื่นเต้น เป็นความเข้าใจ ความอบอุ่นและความมั่นคงแทน 
  1. ความรักเป็นสิ่งที่ท้าทายบาดแผลทางใจในความสัมพันธ์อย่างมาก บาดแผลทางใจต่างๆ มักแสดงออกมาหลังจากที่ความลุ่มหลงน้อยลง และเมื่อต่างคนต่างเริ่มแสดงความเป็นตัวเองมากขึ้น หากคุณเคยถูกหักหลังจากคนสำคัญ คุณก็อาจแสดงความงี่เง่าและหวาดระแวง ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมักจะเป็นสิ่งที่ท้าทายบาดแผลทางใจ แต่ความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่ดีก็เป็นสิ่งที่เยียวยาบาดแผลทางใจได้เช่นกัน 

บาดแผลทางใจที่ขัดขวางความรัก

สำหรับหลายคนความรักเป็นสิ่งที่ได้พบเห็นและสัมผัสจากครอบครัว แต่สำหรับหลายคนก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น บาดแผลทางจิตใจ (trauma) ทำให้เขามีประสบการณ์ที่โหดร้ายกับโลกภายนอก จึงทำให้เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ปลอดภัย ทำให้ต้องระวังตัว ตีความเชิงลบไว้ก่อน สัมผัสความรักไม่ได้ ไม่รู้ทำไมตัวเองต้องรัก หรืออาจบอกว่ารักแต่จริงๆ ไม่ได้รู้สึก การเชื่อใจใครสักคนว่าจะคนรักเขาหรือเชื่อว่าตัวเองจะเป็นที่รัก (lovable) จึงเป็นเรื่องยาก แม้จะได้อ่านหรือเห็นว่าความรักเป็นอย่างไร เขาก็อาจเข้าใจได้ด้วยหัว (intellectual) แต่ไม่อาจสัมผัสมันได้ด้วยหัวใจ มันจึงยากที่เขาจะรับรู้ถึงความรัก หรือส่งต่อความรักให้คนรอบข้าง ภาพตลกที่ผมนึกในหัวตอนนี้คือ ถ้าคุณกำลังอยู่ในสนามรบคุณคงไม่มีอารมณ์มาสัมผัสความรักอะไรใช่ไหม มันก็เหมือนคนที่รู้สึกตัวเองไม่ปลอดภัยแหละ สมองเขากำลังอยู่ในโหมดปกป้องตัวเอง (fight-flight-freeze system) จะมาส่งต่อความรักก็คงเป็นเรื่องแปลก 

จะเห็นได้ว่า พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูหลักมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยสร้างให้คนๆ หนึ่งเป็นคนที่ ‘มีความรักในหัวใจ’ เด็กที่ถูกทอดทิ้งและเพิกเฉยทั้งทางร่างกายและอารมณ์ มักจะไม่ค่อยตกหลุมรัก มีความรัก หรือสานสัมพันธ์กับใครได้อย่างลึกซึ้ง 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะมีต้นทุนทางครอบครัวที่ดี ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ข่าวดีคือ เราทุกคนสามารถเรียนรู้ความรักรูปแบบใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านการอ่าน การเจอนักจิตบำบัด หรือการเจอคนที่มีความรักที่ดี แล้วค่อยๆ เรียนรู้ผ่านการซึมซาบความรู้สึกรัก ผมไม่ได้เขียนบทความนี้ในฐานะผู้รู้ที่เข้าใจความรักอย่างแจ่มแจ้ง ผมศึกษาเรื่องนี้ร่วมกับนักจิตบำบัดอย่างจริงจังได้ประมาณปีกว่า เอาเข้าจริงผมกลัวที่จะเขียนด้วยซ้ำเพราะรู้สึกว่าตัวเองก็ล้มเหลวในเรื่องความรัก แต่ก็ได้คำตอบว่า ไม่มีใครเก่งเรื่องความรักหรอก เราต่างล้มเหลวกันมาทั้งนั้น ความรักล้มเหลวก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตล้มเหลว คนเราสามารถเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ อดีตไม่ได้ใช่สิ่งที่กำหนดชีวิตเราแม้มันจะมีผลต่อตัวเราก็ตาม 

วิธีแสดงความรัก

  1. หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ พระนิกายเซน พูดอยู่เสมอว่า ‘คุณจะรักใครสักคนได้อย่างไร หากคุณไม่อยู่ตรงนั้น ณ ปัจจุบันกับเขา’ ความรักอาศัยการหล่อเลี้ยง การอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายแต่คือจิตใจที่เรารับฟังเขาด้วยตัวตน ณ ปัจจุบัน เด็กจะ ‘รู้สึก’ ว่าพ่อแม่รักเขาก็ต่อเมื่อพ่อแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เนื่องจากสมองของเด็กยังไม่ได้พัฒนาพอที่จะเข้าใจความคิดที่ซับซ้อน เด็กจะไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าพ่อแม่ไม่ใช้เวลากับเขาเพราะต้องทำงานหาเงินให้เขา
  2. เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองทั้งในด้านดี ด้านเปราะบาง ด้านมืด คนเราเชื่อมโยงกันด้วยเรื่องราว เรื่องราวต่างๆ จะทำให้เราเข้าใจกันและสนิทใจกันมากขึ้น บนพื้นฐานของการไม่ตัดสินและตีตรากันและกัน
  3. คำชื่นชมและบริการเล็กๆ น้อยมีความสำคัญมากในความสัมพันธ์ คนเรามักมองข้ามเรื่องเล็กน้อย เพราะคิดว่ามันเล็กน้อย แล้วรอให้อะไรที่มันพิเศษไปเลย แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าสุดท้ายเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่ถึงวันที่พิเศษไหม 
  4. ตั้งใจรับฟังเขา พยายามทำความเข้าใจความคิดและความรู้สึกโดยเอาไม่ตัวเองไปตัดสิน
  5. นึกถึงความสุขของกันและกันให้เยอะๆ แล้วคอยใส่ใจเรื่องเล็กน้อยของเขาและตัวเอง
  6. ตั้งใจดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองคือการกระทำสำคัญที่บอกว่าเรารักเขา เราอยากมีเวลาอยู่กับเขามากขึ้น เหมือนที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เคยให้สัมภาษณ์ว่าที่เขาดูแลร่างกายตัวเองออกไปวิ่งทุกวันก็เพราะเขารักลูก 

ความรักอาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ บางทีพ่อแม่ก็มีความรักให้ลูกได้เลยแม้จะยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตา บางคนอาจเริ่มจากความไม่ชอบหน้ากันแล้วค่อยๆ เปิดใจเรียนรู้จนเป็นความรักในแบบเพื่อนที่มีความสนิทสนมและการให้ใจกัน คู่รักบางคู่อาจเริ่มจากความหลงใหล บางคู่เริ่มจากความสนิทสนม บางคู่เริ่มจากการตัดสินใจอยู่ด้วยกันแล้วค่อยพัฒนาเป็นความรัก จะเห็นเลยว่าความรู้สึกรักสามารถพัฒนาจากความรู้สึกอื่นที่ไม่ใช่ความรักก็ได้ จากนั้นเวลาและการหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็น ‘ความรู้สึกรัก’

ความรักในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึงแค่หนุ่มสาวเพียงเท่านั้น มันสามารถเอาไปใช้ได้ทั้งในครอบครัว คู่รัก เพื่อน พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ผมคิดว่าความรักในทุกความสัมพันธ์อาจมีรายละเอียดต่างกันบ้างหน่อย แต่แก่นความรักในทุกความสัมพันธ์มีความคล้ายคลึงกัน หากเรารู้จักความรักจากครอบครัว เราก็นำความรู้สึกรักนั้นไปส่งต่อให้คู่รักก็ได้ บางคนอาจรู้จักความรักจากการอยู่กับเพื่อนสนิทเขาก็อาจเอาความรู้สึกนั้นไปส่งต่อให้เพื่อนร่วมงานก็ได้ 

ความหมายของชีวิตอาจเป็นการที่เราสามารถรักและโอบกอดใครสักคนหนึ่งได้อย่างหมดหัวใจ จนเราได้เรียนรู้คำว่า ‘รัก’ ผ่านการออกไปรักใครสักคนจริงๆ 

นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่า สัตว์มีความรักไหม เราไม่รู้หรอก เรารู้เพียงแค่ว่าสัตว์มีความผูกพัน เป็นห่วง ต้องการใกล้ชิด แต่เรารู้ว่ามนุษย์มีความรักอย่างแน่นอน ความรักของมนุษย์เป็นหนึ่งในสิ่งที่วิเศษและพิศวง เพราะความรักมันทำให้มีทั้งความเครียด การเสพติด การหมกหมุ่น แต่ในขณะเดียวกันความรักก็ทำให้เรามีความปลอดภัย อบอุ่น ใกล้ชิด เมตตา ทุ่มเท เสียสละ และรู้สึกมีความหมาย 

‘ความรัก’ เป็นของขวัญพิเศษสำหรับมนุษย์มันทำให้เรากล้าทำในสิ่งที่เราไม่แม้กระทั่งจะทำให้ตัวเองด้วยซ้ำ กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าต่อสู้ 

ทำไมจะไม่ลองรักใครสักคนดูล่ะ ? 

คนนั้นอาจเป็นตัวคุณ หรือคนรอบข้างที่มีความหมายสำหรับคุณก็ได้ 

ขอให้มีความรักในหัวใจครับ 

อ้างอิง 

Finkel, E. J., Hui, C. M., Carswell, K. L., & Larson, G. M. (2014). The suffocation of marriage: Climbing Mount Maslow without enough oxygen. Psychological Inquiry, 25(1), 1-41.

Gabb, J., Klett-Davies, M., Fink, J., & Thomae, M. (2013). Enduring love? Couple relationships in the 21st century. Survey Findings Report. Milton Keynes: The Open University. Retrieved January, 1, 2014.

Majdic, G. (2021). Brain in Love. In Soul Mate Biology (pp. 193-198). Springer, Cham.

Majdic, G. (2021). Emphatic Rats. In Soul Mate Biology (pp. 167-172). Springer, Cham.

Majdic, G. (2021). Man and Woman Madly in Love. In Soul Mate Biology (pp. 183-191). Springer, Cham.

Majdic, G. (2021). What Is Love?. In Soul Mate Biology (pp. 193-198). Springer, Cham.

Tags:

ความรักที่ไร้เงื่อนไข (unconditional love)ความสัมพันธ์ความรักวิธีแสดงความรักบาดแผลทางจิตใจ

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Relationship
    รักดีๆ อยู่ที่ไหน : ฟ้าลิขิตหรือความพยายาม?

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Indian Matchmaking เมื่อการเลือกคู่ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก
Dear ParentsMovie
14 October 2022

The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • รักแห่งสยาม คือ เรื่องราวของ ‘โต้ง’ กับ ‘มิว’ เด็กผู้ชายวัยประถมปลายสองคนที่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน กระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่พี่สาวของโต้งหายตัวไป ทำให้โต้งย้ายบ้านและขาดการติดต่อกันไป
  • แม่ของโต้งเหมือนเป็น ‘เดอะแบก’ ให้กับครอบครัวอยู่คนเดียว แต่ด้วยความที่แทบจะไม่แสดงความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด พ่อและโต้งจึงไม่เคยรู้ว่าแม่เป็นห่วง ทั้งที่ทั้งสามคนนั้นรักกันมาก แต่กลับไม่มีใครแสดงความรักออกมา
  • หนังเล่าเรื่องการเติบโตของ ‘โต้ง’ และคนรอบๆ ตัวโต้งได้อย่างดี ดูเป็นมากกว่าหนังรักวัยรุ่นอย่างที่เคยเข้าใจ เพราะแสดงให้เห็นถึงความรักหลายรูปแบบ ทั้งความรักของคนในครอบครัว ความรักที่ไม่สมหวัง และรักแบบเพื่อนที่มีมิตรภาพดีๆ ให้กันเสมอ

Tags:

ความรู้สึกการปรับความเข้าใจรักแห่งสยามThe love of Siamพ่อแม่การเติบโตความรักครอบครัว

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Family PsychologyEarly childhood
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย
Early childhoodFamily Psychology
13 October 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • บาดแผลจากการถูกประจานนั้นร้ายแรง เพราะแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ความรู้สึกไม่ดียังชัดเจนในใจของเด็กเสมอ เด็กบางคนอาจจะเสียความมั่นใจในตัวเองไป และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับโลกใบนี้
  • การสอนให้เด็ก ‘ขอโทษ’ ‘รับผิดชอบต่อการกระทำ’ และ ‘ไม่ทำผิดซ้ำสอง’ เป็นสิ่งที่ควรทำกว่า ‘การประจาน’ ที่นอกจากจะไม่ได้สอนที่ทำให้เด็กเรียนรู้แล้ว ยังทำร้ายจิตใจและละเมิดความเป็นมนุษย์ของเด็กอีกด้วย
  • เด็กทุกคนมีชีวิตและจิตใจ และการเป็นเด็กไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกน้อยกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นอย่ามองข้ามและเหยียบย่ำความรู้สึกของพวกเขา เพราะเด็กทุกคนต้องการความรักและโอกาสในการเรียนรู้

‘ในวันที่ถูกประจานให้อับอาย’

ครั้งหนึ่งในวันที่เรียนลูกเสือ 

แม้เด็กหญิงจะจัดตารางสอนและมีการเตรียมพร้อมที่ดีมากแล้ว แต่ก็ดันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจนได้ในมื้อกลางวันก่อนคาบเรียนลูกเสือ

เด็กหญิงดันทำอาหารหกเลอะตัวเอง ผ้าพันคอชุ่มไปด้วยแกงสีเข้มและกลิ่นแรง เพื่อนชวนให้เด็กหญิงถอดผ้าพันคอนั้นไปซักแล้วตากไว้หลังห้องเรียน พอถึงคาบเรียนลูกเสือ คุณครูเข้ามาตรวจทีละนักเรียนทีละหมู่ว่าใครลืมใส่อะไรมา เพื่อนบางคนไม่มีหมวก บางคนไม่มีเข็มกลัด บางคนก็ทำวอกเกิ้ลหาย ส่วนเด็กหญิงคิดว่าถ้าตนเองมีเหตุผลเพียงพอ คุณครูคงไม่ลงโทษอะไร เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นน้ัน คุณครูไม่ฟังเหตุผลใดๆ แล้วให้ออกไปที่หน้ากองเฉกเช่น เพื่อนคนอื่นๆ ที่ลืมใส่บางอย่างมา 

“นี่คือคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ ทุกคนอย่าทำตาม” คุณครูชี้มาที่เด็กทุกคนที่ยืนอยู่ ซึ่งในใจของเด็กหญิงตอนนั้นรู้สึกอับอายมากและรู้สึกผิดที่ตนเองไม่สามารถดูแลผ้าพันคอผืนนั้นได้ดี 

ในความเป็นจริงแล้ว เด็กแต่ละคนอาจจะมีเหตุผลที่แตกต่างกันที่ไม่ได้ใส่ชุดมาตรงวันหรือใส่ชุดมาไม่ครบ บางคนอาจจะลืมจัดตารางสอนจนลืมจริงๆ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่รับผิดชอบ หรือตั้งใจลืม เพราะบางคนอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ไม่มีใส่ และที่แย่ไปกว่านั้นบางคนอาจจะไม่มีทุนทรัพย์พอที่จะซื้อของหรือชุดเหล่านั้น 

แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ความรู้สึกไม่ดียังชัดเจนในใจของเด็กเสมอ

ผู้ใหญ่ควรหันกลับมาทบทวน 5 บทเรียนสำคัญ

บทเรียนที่ 1 ‘บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย’ 

บาดแผลจากการถูกประจานนั้นร้ายแรง เด็กบางคนอาจจะเสียความมั่นใจในตัวเองไป และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับโลกใบนี้

ทุกคนแตกต่างกัน แต่ละคนเติบโตมาด้วยต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การรับมือกับปัญหาและความไวต่อความรู้สึกไม่เท่ากัน

บางคนรู้สึกมาก เพราะเขาอาจจะรับเรื่องราวมามากพอแล้ว

บางคนรู้สึกน้อย เพราะเขาอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น

บางคนข้ามผ่านความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นไปไม่ได้

แต่บางคนยังมีความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นติดตัวมาจนถึงวันนี้ 

ดังนั้นดีที่สุดคือการไม่สร้างบาดแผลให้กับใครโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับเด็กๆ เพราะพวกเขาควรจะมีโอกาสใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อีกนาน 

บทเรียนที่ 2 สิ่งที่เด็กทำนั้นเป็น ‘สิ่งที่ผิด’ หรือ ‘แค่ไม่ตรงใจเรา’

กฎกติกาคือสิ่งที่ทุกสถานที่ควรมี และทุกคนควรปฏิบัติตาม ซึ่งกฎกติกาที่ดีควรเป็นไปเพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ด้วยการความเคารพซึ่งกันและกัน

ดังนั้นกฎที่ดีทุกคนควรทำตามได้ เช่น กฎ 3 ข้อ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำลายข้าวของ แต่ถ้ากฎกติกานั้นถูกตั้งขึ้นมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ผู้ใหญ่อย่างเราอาจจะต้องกลับมาทบทวนว่าควรปรับเปลี่ยนอย่างไรให้เหมาะสมต่อไป 

การแต่งกายให้ตรงตามวันหรือการแต่งเครื่องแบบครบส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่? 

หากไม่ได้กระทบขนาดนั้น เรายังควรมองว่าเด็กทำผิดร้ายแรงหรือ? ในทางกลับกัน หากเด็กทำผิด ผู้ใหญ่ควรให้ความช่วยเหลือก่อนจะสอนเขา เพราะการสอนรอได้เสมอ 

บทเรียนที่ 3 โรงเรียนควรเป็นบ้านหลังที่สองที่เด็กๆ อยากมาเรียนรู้ ไม่ใช่หวาดกลัวที่จะมา ที่สำคัญโรงเรียนและบ้านควรสื่อสารและเป็นทีมเดียวกัน 

โรงเรียนควรเป็นที่จุดประกายให้เด็กอยากเรียนรู้และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ที่สำคัญเพื่อจำลองการใช้ชีวิตในสังคมให้กับเด็กๆ ก่อนก้าวไปสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในวัยทำงาน

ดังนั้นผู้ใหญ่ควรตั้งเป้าหมายให้ตรงกันเสียก่อนว่า ‘เราควรทำให้เด็กอยากมาโรงเรียน ไม่ใช่หวาดกลัวโรงเรียน’ 

‘โรงเรียน’ ควรสื่อสารกับ ‘บ้าน’ 

การสื่อสารที่ดีคือเครื่องมือที่ทรงพลัง หากบ้านและโรงเรียนมีการสื่อสารกันเสมอ 

พ่อแม่และคุณครูจะเข้าใจกันมากขึ้น เราสามารถแบ่งเบาภาระทางใจกัน 

เมื่อเกิดปัญหา เราจะเลือกที่จะหันหน้ามาคุยกันเพื่อหาทางออก ไม่ใช่ใส่อารมณ์กันและกัน เพราะสุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบและกลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของผู้ใหญ่ทุกคน คือ ‘เด็ก’ 

การแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อทุกฝ่ายช่วยกัน

ความเห็นอกเห็นใจคือหัวใจสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างพ่อแม่และคุณครู

บทเรียนที่ 4 วินัยสร้างได้ แม้จะไม่ได้แต่งกายเหมือนกัน เพราะวินัยอยู่ในวิถีชีวิต 

คำถาม 1 : วินัยคืออะไร?

คำตอบ 1 : วินัย คือ สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี กล่าวคือ มีสุขภาพกายท่ีแข็งแรง มีสุขภาพใจที่ดี ซึ่งวินัยมีส่วนช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่าและความหมายทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่น 

คำถามที่ 2 : วินัยที่สำคัญสำหรับเด็กคืออะไร? 

คำตอบที่ 2 : วินัยที่สำคัญสำหรับเด็ก คือ การฝึกฝนดูแลตัวเองและรับผิดชอบตนเองตามวัย เพื่อพัฒนาไปสู่การดูแลและรับผิดชอบสิ่งที่มากขึ้นในอนาคต เช่น สำหรับเด็กปฐมวัย งานที่ต้องทำคือ การฝึกช่วยช่วยเหลือตัวเองและดูแลของที่ตัวเอง ใช้ เช่น เก็บของเล่น เช็ดโต๊ะหลังกินข้าวเสร็จ ล้างจานของตัวเอง และอื่น ๆ

สำหรับเด็กโต งานที่ต้องทำคือ กิจวัตรประจำวันอย่างการช่วยเหลือตัวเองและงานที่ได้รับมอบหมาย เช่น การบ้าน งานบ้าน เวรทำความสะอาดในห้องเรียน และอื่น ๆ

เมื่อดูแลตัวเองได้ ตัวเองก็จะไม่เป็นภาระต่อสังคม และค่อยๆ แผ่ขยายไปสู่การดูแล หน้าที่ของตัวเองในสังคมต่อไป 

คำถาม 3 : ต้องสอนอย่างไร? 

คำตอบ 3 : ทำให้ดู ทำด้วยกันและให้ทำด้วยตนเอง โดยมีเราทำอยู่เคียงข้าง ที่สำคัญต้องใช้เวลาในการสร้างวินัยไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงข้ามคืน ช่วงแรกแม้จะเหนื่อยหน่อย แต่เมื่อวินัยเกิดในตัวของเด็ก ๆ แล้วจะเกิดขึ้นไปตลอดชีวิต เพราะวินัยกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของเด็กๆ แล้ว

‘วินัย’ เป็นเรื่องของคนทุกคน 

สภาพแวดล้อมมีผลกับเด็กเป็นอย่างมาก ผู้ใหญ่ทำเช่นไร เด็กๆ มีแนวโน้มจะเลียนแบบการกระทำของเรา ดังนั้นหากต้องการให้เด็กๆ มีวินัย เราควรทำให้เขาเห็น เป็นให้เขาดู และลงมือทำไปด้วยกัน 

บทเรียนที่ 5 ถ้าสิ่งที่เด็กทำนั้นผิดจริง ผู้ใหญ่ควรสอนเขา ไม่ใช่ลงโทษให้อับอายหรือหวาดกลัว 

การประจานไม่ใช่การสอนที่ทำให้เด็กเรียนรู้ แต่การประจานทำร้ายจิตใจและละเมิดความเป็นมนุษย์ของเด็กเสียด้วยซ้ำ บาดแผลที่ผู้ใหญ่สร้างในหัวใจเด็กในวันนั้นไม่เคยจางหายไปไหน ดังนั้นอย่าทำเช่นนั้นเลย 

เมื่อเด็กทำผิดพลาด แล้วทำให้ผู้ใหญ่มีอารมณ์โกรธ เราควรถอยออกตั้งสติ ขอเวลานอกให้ตัวเองก่อนจะกลับไปสอนเด็กอีกครั้ง 

ยกตัวอย่าง เมื่อเด็กทำผิดต่อผู้อื่น เราควรสอนให้เด็ก ‘ขอโทษ’ ‘รับผิดชอบต่อการกระทำ’ และ ‘ไม่ทำผิดซ้ำสอง’ 

‘การขอโทษ’ คือขั้นแรกของการรับรู้ว่า ‘สิ่งที่ทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ผิด’ แต่ ‘การรับผิดชอบต่อการกระทำ’ คือการรู้สึกสำนึกผิดและพยายามชดเชยอย่างสุดความสามารถเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น แม้การรับผิดชอบต่อการกระทำด้วยการทำอะไรบางอย่างเพื่อชดเชยในสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่ทำลงไปแล้วได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ความรู้สึกผิดในใจเราและความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นของอีกฝ่ายเบาบางลงไปบ้างเท่าน้ันเอง 

ขั้นสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของการสำนึกผิดอย่างแท้จริงคือ ‘การไม่ทำผิดซ้ำสอง’ นั่นเอง 

คำถาม : ทำไมเราไม่ควรลงโทษอย่างรุนแรงเพื่อให้เด็กหยุดทำสิ่งที่ผิด

คำตอบ : แม้การลงโทษที่รุนแรงจะทำให้เด็กหยุดทำพฤติกรรมในทันที แต่เด็กไม่ได้หยุดเพราะเรียนรู้ เขาหยุดด้วยความกลัวถูกลงโทษ ดังนั้นการลงโทษที่รุนแรงทำได้ เพียงหยุดไว้ชั่วคราว เขาอาจจะไม่ทำพฤติกรรมนั้นต่อหน้าเรา พอไม่มีเราอยู่ตรงนั้น ลับหลังเขาอาจจะแอบทำเมื่อมีโอกาส ที่สำคัญการลงโทษที่รุนแรงนำไปสู่การเลียนแบบพฤติกรรมที่รุนแรง เด็กอาจจะนำไปใช้กับเพื่อนหรือคนที่มีอำนาจน้อยกว่าเขาได้

สิ่งที่ดีที่สุดคือการสอนเด็กให้ทำพฤติกรรมที่เหมาะสม

ทำให้ดู 

พาเขาทำ 

ทำด้วยกัน 

ปล่อยเขาทำเอง 

ฝึกฝนเป็นประจำ

ทำได้ด้วยตัวเองแล้วอย่าลืมชื่นชมเขา 

(6) ทางเลือกที่ดีกว่าการลงโทษให้เด็กฟัง คือการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเขาตั้งแต่ต้น

การสอนเด็กที่ดีที่สุดคือการสร้างความสัมพันธ์กับเขา 

สายสัมพันธ์ที่มีอยู่จริง ทำให้เขามองเห็นตัวเขาเองและตัวผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น เด็กจะ อยากฟังเพราะเขารับรู้ได้ว่า ‘เสียงของเรามีอยู่จริง’ และเขาอยากจะทำตาม เพราะ ‘เขารู้สึกรักและผูกพันกับเรา’ 

ที่สำคัญอยากให้เด็กเป็นเช่นไร เราควรเป็นเช่นนั้นก่อน 

อยากให้เขาเคารพเรา เราควรเคารพเขาเช่นกัน 

อยากให้เขาฟังเรา เราก็ควรฟังเขาด้วย 

ไม่ใช่ให้ตามใจหรือปล่อยปละละเลย แต่ให้เป็นแบบอย่าง ทำไปกับเขา และสอนเขาเมื่อทำผิด

เด็กเรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมั่นคง 

 

เด็กทุกคนมีชีวิตและจิตใจ การเป็นเด็กไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกน้อยกว่าผู้ใหญ่ 

ดังนั้นอย่ามองข้ามและเหยียบย่ำความรู้สึกของพวกเขา เพราะเด็กทุกคนต้องการความรักและโอกาสในการเรียนรู้

ผู้ใหญ่ทุกคนควรช่วยกันปกป้องหัวใจของเด็กทุกคน

Tags:

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไปความผิดพลาดสุขภาพจิตตามใจนักจิตวิทยาพัฒนาการพ่อแม่เมริษา ยอดมณฑปการเรียนรู้บาดแผลทางจิตใจ

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร
Education trendTransformative learning
11 October 2022

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ’ ตอนที่ ๒. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช
  • ครูผู้ก่อการคือครูที่สั่งสมอุดมการณ์ (values & attitude) ความรู้ (knowledge) ทักษะ (skills) และสั่งสมทรัพยากร (resources) จากการปฏิบัติงาน ที่เป็นการสั่งสมอย่างซับซ้อนหลากหลายด้าน
  • ความเป็นผู้ก่อการจึงมีความซับซ้อนมาก และต้องการระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสั่งสม และการนำออกมาใช้ ณ ปัจจุบันขณะที่ต้องการผู้ลงมือทำ
  • ความเข้าใจ หรือความคาดหวังที่สำคัญคือ ครูต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ไม่ใช่ผู้รับเอานวัตกรรมที่ผู้อื่นสร้างไว้เอามาใช้เท่านั้น คือครูต้องเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ใช้นวัตกรรมการศึกษา

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Teacher Agency : An Ecological Approach (2015)  เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย ให้เป็นหลักสูตรที่มีครูเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator) โดยขอย้ำว่า ผมเขียนบันทึกชุดนี้แบบตีความสุดๆ ในหลายส่วนได้เสนอมุมมองของตนเองลงไปด้วย ท่านผู้อ่านจึงพึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ อย่าเชื่อโดยง่าย 

บันทึกที่ ๒ นี้ ตีความจากบทที่ 1. Understanding Teacher Agency เป็นบทที่ว่าด้วยการทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “ความเป็นผู้ก่อการของครู” (teacher agency)  

หนังสือบอกว่า เรามักเข้าใจผิด ว่าความเป็นผู้ก่อการ (agency) เป็นคุณสมบัติภายในตัวคน แต่ในความเป็นจริง และเป็นจุดเน้นของหนังสือเล่มนี้ ความเป็นผู้ก่อการ เป็นเรื่องของพฤติกรรมหรือการกระทำ  โดยได้เสนอการทบทวนวรรณกรรมวิชาการเรื่องความหมายของคำว่า agency ลงรายละเอียดมากมาย สรุปโดยย่อได้ว่า คำนี้มีความหมายได้ ๓ นัย คือ (๑) ด้านเป็นตัวแปร (variable) (๒) ด้านเป็นขีดความสามารถ (capacity) และ (๓) ด้านเป็นปรากฏการณ์ (phenomenon) หนังสือเล่มนี้เน้นนัยที่ ๓ คือ “ความเป็นผู้ก่อการที่ผุดบังเกิด” (emergent phenomenon) ขึ้นในสถานการณ์ที่ซับซ้อน จากการกระทำของบุคคลหรือกลุ่มคน ณ ปัจจุบันขณะนั้น ในท่ามกลางบริบทที่จำเพาะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางปฏิสัมพันธ์ทางสังคมนั้น 

ความเป็นผู้ก่อการของบุคคลหรือกลุ่มคนจึงเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ของ ๒ องค์ประกอบ คือ คุณสมบัติหรือขีดความสามารถของบุคคลหรือกลุ่มคน กับ บริบทที่เอื้อหรือขัดขวางการก่อการ และปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมองว่าความเป็นผู้ก่อการค่อยๆ ก่อตัว หรือบ่มเพาะ ขึ้นโดยใช้เวลา เมื่อถึงจังหวะเหมาะจึงแสดงผลออกมา    

หนังสือเล่มนี้ เน้นทำความเข้าใจบริบทหรือสภาพแวดล้อม (ระบบนิเวศ) ที่เอื้อหรือขัดขวางการบ่มเพาะความเป็นผู้ก่อการของบุคคลและกลุ่มบุคคล ซึ่งในที่นี้คือครู และพบว่าระบบการศึกษา หรือแนวทางบริหารระบบการศึกษามีส่วนสำคัญยิ่งต่อการบ่มเพาะความเป็นผู้ประกอบการของครู โดยแนวทางที่ขัดขวางคือแนวทางบริหารการศึกษาแบบ เน้นผลประกอบการ (performativity) เป็นเป้าหมายหลัก  

ผมจึงสรุปแบบตีความเองว่า ครูผู้ก่อการคือครูที่สั่งสมอุดมการณ์ (values & attitude) ความรู้ (knowledge) ทักษะ (skills) และสั่งสมทรัพยากร (resources) จากการปฏิบัติงาน ที่เป็นการสั่งสมอย่างซับซ้อนหลากหลายด้าน ที่เมื่อถึงจังหวะก็นำไปสู่การตัดสินใจ ลงมือทำ และฟันฝ่าจนบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายอุดมการณ์ของความเป็นครู ซึ่งเมื่อพิจารณาลึกๆ นี่คือเป้าหมายของการพัฒนาวิชาชีพครู (professional development) นั่นเอง โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเป็นนักสู้ ลงมือทำ และเพียรพยายามฟันฝ่า จนบรรลุความสำเร็จ โดยที่ไม่ใช่เป็นกิจกรรมของครูคนเดียว แต่เป็นการรวมตัวกันผ่านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือปฏิสัมพันธ์ทางวิชาชีพ  

ความหมายของ “การพัฒนาวิชาชีพครู” ที่เราใช้กันอยู่ จึงตื้นเกินไป บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ จะช่วยให้วงการการศึกษาไทยนิยามความหมายเสียใหม่ ให้ทรงคุณค่าและทรงพลังยิ่งขึ้น  

แนวความคิดเกี่ยวกับคำว่า agency (ความเป็นผู้ก่อการ) 

มีการตีความเพื่อทำความเข้าใจคำว่า agency (ความเป็นผู้ก่อการ) จากมุมมองหลากหลายศาสตร์ (สังคมวิทยา ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ และมานุษยวิทยา) มาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี รวมทั้งมีการให้มุมมองจากกระบวนทัศน์ทางสังคมหลากหลายแบบ (postmodern, poststructural, sociocultural, identity, life-course perspective) ในลักษณะของการโต้แย้งกันเพื่อทำความเข้าใจหลักการหรือแนวความคิดที่มองได้หลายมุม หลายมิติ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่เราจะทำความเข้าใจลึกลงไปเชิงทฤษฎีขนาดนั้น 

ข้อโต้แย้งที่น่าสนใจ และควรนำมาเสนอในที่นี้คือ ข้อถกเถียงเรื่องอิทธิพลเชิงโครงสร้าง กับอิทธิพลของบริบทจำเพาะหรือเฉพาะกรณี ต่อความเป็นผู้ก่อการ (structure – agency debate) เป็นข้อถกเถียงที่ทำให้เราเข้าใจว่า ความเป็นผู้ก่อการนั้น ขึ้นกับทั้งอิทธิพลของระบบใหญ่ (macro) และอิทธิพลของปัจจัยเฉพาะกรณี (micro)  

กล่าวใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ว่า ความเป็นผู้ก่อการ ถูกกำหนดจากอิทธิพลของปัจจัยที่กำหนดลงมาจากหน่วยเหนือ (top-down) และจากอิทธิพลของปัจจัยที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลระดับปฏิบัติการร่วมกันกำหนดเอง (bottom-up) ปัจจัยที่ซับซ้อนแนว top-down และ bottom-up มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนและเป็นพลวัต และส่งผลต่อปรากฏการณ์ความเป็นผู้ก่อการของครู  

ขอยกตัวอย่างนิยามคำว่าความเป็นผู้ก่อการ (agency) ที่มีผู้ให้ไว้หลากหลายนิยาม และแตกต่างกันมาก สำนักหนึ่งเสนอว่า หมายถึง “ขีดความสามารถในการกำหนดเป้าหมายของการดำเนินการของตน และขีดความสามารถในการประเมินความสำเร็จ” อีกสำนักหนึ่งนิยามว่า “หมายถึงพลังของการสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ (transformation) และมีความสามารถต้านทานกระแสหลักในขณะนั้น และสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ต่อกระแสหลักนั้นได้” 

แต่ผู้เขียนหนังสือ Teacher Agency เสนอว่า ความเป็นผู้ก่อการเกิดจากปฏิสัมพันธ์ของขีดความสามารถภายในคนกับปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในขณะนั้น โดยที่สภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศมีอิทธิพลต่อความเป็นผู้ก่อการของบุคคล ๒ มิติ คือมิติของการสั่งสมศักยภาพหรือขีดความสามารถ (อิทธิพลระยะยาว) กับมิติของการลงมือกระทำ ณ ปัจจุบันขณะนั้น (อิทธิพลต่อการตัดสินใจ ณ ปัจจุบันขณะ)  

ความเป็นผู้ก่อการจึงมีความซับซ้อนมาก และต้องการระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสั่งสม และการนำออกมาใช้ ณ ปัจจุบันขณะที่ต้องการผู้ลงมือทำ     

ทฤษฎี agency (ความเป็นผู้ก่อการ) แนวระบบนิเวศ

มีการเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับ agency หลายแนว แต่หนังสือเล่มนี้ใช้แนวระบบนิเวศ ที่มองการเป็นผู้ก่อการว่าเป็นกระบวนการทางสังคม หรือปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มากกว่าเป็นกระบวนการของปัจเจกบุคคล และเป็นกระบวนการที่มีมิติครบ ๓ ด้านของเวลา คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต  

คนเรามีการสั่งสมหลากหลายด้านจากประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน ยิ่งมีเวลาสั่งสมนาน และสั่งสมเป็น หรือมีการสนับสนุนการสั่งสมจากระบบงาน การสั่งสมความเป็นผู้ก่อการก็จะยิ่งมีพลังหรือคุณค่าสูง ผมตีความว่าระบบการทำงาน หรือหน่วยงานต้นสังกัด ต้องเอาใจใส่ส่งเสริมการสั่งสม ๕ ด้านแก่พนักงาน ได้แก่ (๑) เจตคติ (attitude) (๒) คุณค่า (values) (๓) ทักษะ (skills) (๔) ความรู้ (knowledge) (๕) ทรัพยากร (resources) เพื่อการเป็นผู้ก่อการตามภารกิจของตน  

การพัฒนาและสั่งสมเจตคติและคุณค่าที่เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่ของตน จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายสูงส่ง (aspiration) ต่องาน ซึ่งจะมีผลต่อมิติเชิงอนาคตของการเป็นผู้ก่อการ คือเป็นคนที่มีอุดมการณ์ในการกระทำการเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของหน่วยงาน และของสังคม จะเห็นว่าการเป็นผู้ก่อการ มีมิติทางสังคม คือเป็นคนที่คิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่เป็นคนที่คิดแคบเฉพาะเพื่อตนเองเท่านั้น  

การสั่งสมและพัฒนาเจตคติและคุณค่า เป็นมิติด้านในของมนุษย์ ส่วนการสั่งสมและพัฒนาทักษะและความรู้ เป็นมิติด้านนอกของบุคคล ที่เห็นชัดจากการกระทำ ส่วนการสั่งสมทรัพยากรเป็นมิติภายนอกกาย ที่มนุษย์แต่ละคนสั่งสมไว้และสามารถนำมาใช้เป็นพลังในการดำเนินการกิจกรรมยากๆ ที่เฉพาะตนเองและเพื่อนร่วมงานไม่สามารถดำเนินการให้ลุล่วงได้ มิตินี้ในสมัยนี้เราเรียกว่า มี connection หรือมีทุนสังคมหรือความเชื่อถือจากคนอื่นและสังคมวงกว้าง ว่าสำหรับคนคนนี้ หรือคนกลุ่มนี้แล้ว เชื่อได้ว่า ทำเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนหรือกลุ่มตน เมื่อได้รับความเชื่อถือในระดับนี้ ก็จะกล้าตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่ยากและมีความขัดแย้งสูง กล้าเป็นผู้ก่อการในเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่เชิงระบบหรือเชิงสังคมได้    

ความเป็นผู้ก่อการจึงมีความซับซ้อนสูงมาก มีองค์ประกอบที่หลากหลาย รวมทั้งจินตนาการ คนที่มีความเป็นผู้ก่อการสูง จะมีจินตนาการสู่อนาคตเชิงระบบ ที่ต้องการการเปลี่ยนใหญ่ (transformation) ที่จะทำได้สำเร็จต้องการพลังเจตคติ คุณค่า ทักษะ ความรู้ และทรัพยากรสนับสนุนสูงมาก หากบุคคลที่เกี่ยวข้องประมาณการณ์ว่ามีพลังทั้ง ๕ ไม่ครบถ้วนแข็งแรงพอ ก็จะไม่กล้าตัดสินใจลงมือก่อการหรือกระทำการ แต่หากประเมินว่าปัจจัยด้านระบบนิเวศภาพใหญ่สนับสนุน ก็จะกล้าเสี่ยงลงมือกระทำการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่นั้น  

แต่การลงมือเป็นผู้ก่อการส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เชิงระบบ แต่เป็นประเด็นหน้างาน คนที่ได้สั่งสมพลังทั้ง ๕ จะมีจริตของผู้ก่อการพียงพอที่จะลงมือดำเนินการ ในภาษาไทยเราเรียกคนเหล่านี้ว่า ผู้ไม่นิ่งดูดาย โดยต้องตระหนักว่าความเป็นผู้ก่อการมีระดับจากอ่อนสู่แก่ และขึ้นกับสถานการณ์ด้วย บุคคลคนเดียวกัน ในสถานการณ์หนึ่งอาจเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการแก้ไขอย่างกระตือรือร้น แต่ในอีกสถานการณ์หนึ่งอาจเป็นผู้เฉื่อยชาหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนร่วม ความเป็นผู้ก่อการขึ้นกับเงื่อนไขที่ซับซ้อน ทั้งที่เป็นเงื่อนไขในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  

ทำความเข้าใจ agency (ความเป็นผู้ก่อการ) ของครู

หนังสือ Teacher Agency บอกว่า เรื่องความเป็นผู้ก่อการในภาพใหญ่ได้รับความสนใจมาก แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจศึกษาหรือทำความเข้าใจความเป็นผู้ก่อการของครู  ผมคิดต่อว่า อาจเนื่องจากสังคมคาดหวังให้ครูเป็นผู้ทำงานตามบทที่มีผู้กำหนดให้ทำ โดยไม่คาดหวังการเป็นผู้ก่อการจากครู กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า อาจเป็นเพราะวงการศึกษาคาดหวังให้ครูเป็นผู้ดำเนินการตามที่หลักสูตรกำหนด ไม่คาดหวังบทบาท “การเป็นผู้ร่วมสร้างหลักสูตร” (curriculum co-creator) จากครู

ในท่ามกลางการทำงานหนักของภาคีผู้เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษา และการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย การทำความเข้าใจความเป็นผู้ก่อการของครู และคุณค่าของความเป็นผู้ก่อการของครูไทย จึงมีความสำคัญยิ่ง และบันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ มุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมพลังก่อการของครู  

ความเข้าใจ หรือความคาดหวังที่สำคัญคือ ครูต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ไม่ใช่ผู้รับเอานวัตกรรมที่ผู้อื่นสร้างไว้เอามาใช้เท่านั้น คือ ครูต้องเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ใช้นวัตกรรมการศึกษา หวังว่าจะเป็นผู้สร้างมากกว่าเป็นผู้เสพ  

หนังสือบอกว่า เรื่องครูผู้ก่อการ (teacher agency) มักได้รับการพิจารณาคู่ไปกับเรื่องวิชาชีพครู (professionalism) และมักถูกดูดกลืนหายไปในเรื่องวิชาชีพ และมีข้อสังเกตสำคัญ ๒ ข้อคือ (๑) เมื่อเอ่ยเรื่องความเป็นครูผู้ก่อการ มักเชื่อมไปสู่การปฏิรูประดับโรงเรียน ซึ่งมักนำไปสู่การตีความผิดๆ ต่อความหมายของความเป็นผู้ก่อการ เพราะการปฏิรูประดับโรงเรียนมักเป็นกิจกรรมที่คนอื่นกำหนดให้ทำ และ (๒) มีความเข้าใจผิดว่า การเป็นผู้ก่อการหมายถึงการเป็นผู้ต่อต้าน (resistance) โดยไม่มีการระบุให้ชัดเจนว่า ความเป็นผู้ก่อการของครูมีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้าง

หนังสือ Teacher Agency รวบรวมข้อเสนอการตีความความเป็นผู้ก่อการของครูไว้ ชี้ให้เห็นความแตกต่างหลากหลาย  และสรุปประเด็นสำคัญว่า ความเป็นผู้ก่อการของครูแต่ละคนไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ (fix) แต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเหตุปัจจัยที่หลากหลายซับซ้อน คือเกิดจากปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน นักเรียน พ่อแม่ และภาคีอื่นๆ ของโรงเรียน จึงมีข้อเสนอว่า ความเป็นผู้ก่อการของครูมีมิติที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ ความสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับภาคีเครือข่าย (relational agency)  หรือในอีกถ้อยคำหนึ่งคือ ขีดความสามารถในการดึงเอา “สินทรัพย์ทางสังคม” (social capital) มาใช้งาน  

จึงมีการเสนอโมเดล หรือกรอบแนวคิด (framework) สำหรับทำความเข้าใจความเป็นผู้ก่อการของครู ว่าประกอบด้วย ๓ ส่วนที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันคือ (๑) ปัจจัยแห่งอดีต (iterational) (๒) ปัจจัยเชิงปฏิบัติ (practical-evaluative) (๓) ปัจจัยเชิงมองอนาคต (projective) ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยปัจจัยที่ (๑) และ (๓) ส่งผลต่อปัจจัยที่ (๒) ซึ่งส่งผลต่อความเป็นผู้ก่อการอีกต่อหนึ่ง โดยปัจจัยที่ (๒) มี ๓ ปัจจัยย่อย คือ ปัจจัยเชิงวัฒนธรรม ปัจจัยเชิงโครงสร้าง และปัจจัยเชิงวัตถุ  ดูแผนผังของโมเดลได้ที่ https://core.ac.uk/download/pdf/42544019.pdf 

สามปัจจัย ที่มีผลต่อความเป็นผู้ก่อการของครู 

สามปัจจัยดังกล่าวได้แก่ ปัจจัยแห่งอดีต ปัจจัยแห่งปัจจุบัน และ ปัจจัยแห่งอนาคต

ปัจจัยแห่งอดีต (The Iterational Dimension)

ชื่อปัจจัยนี้ในภาษาอังกฤษ (iterational) แปลว่าเกิดซ้ำๆ หมายถึงประสบการณ์ของการเรียนรู้ภาคการศึกษาพื้นฐาน การเรียนรู้และฝึกอบรมวิชาชีพครูช่วงก่อนทำงาน และการพัฒนาวิชาชีพครูต่อเนื่อง (CPD – continuous professional development) รวมทั้งการเรียนรู้ระหว่างปฏิบัติงานจริง เป็นปัจจัยเอื้อหรือปิดกั้นการสั่งสมศักยภาพความเป็นผู้ก่อการของครู ครูคนใดได้รับการฝึกฝนให้เป็นคนขี้สงสัย หรือเป็นนักตั้งคำถาม ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว รวมทั้งตั้งคำถามต่อระบบการศึกษา ทั้งภาพใหญ่ และวิถีปฏิบัติในโรงเรียนที่ตนปฏิบัติงานอยู่ ครูคนนั้นได้สั่งสมความเป็นผู้ก่อการไว้ใช้ในการทำงาน ทั้งยามปกติ และยามคับขันหรือมีวิกฤติ เราเรียกคนแบบนี้ว่า เป็นคนมีกระบวนทัศน์เชิงนวัตกรรมและตั้งคำถาม (innovative and questioning mindset)  

มีข้อสังเกตว่า ประสบการณ์เชิงวิชาชีพ (ครู) มีอิทธิพลน้อยกว่าประสบการณ์ชีวิตทั่วๆ ไป ในการหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการของครู  

มีผลงานวิจัยชี้ว่าครูที่มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับคนในวิชาชีพอื่นอยู่เสมอ น่าจะได้สั่งสมขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายและความไม่ชัดเจนในชีวิตประจำวันของการทำหน้าที่ครูได้ดีกว่า   

ปัจจัยเชิงอนาคต (The Projective Dimension) 

นี่คือปณิธานความมุ่งมั่นของครู ในการทำหน้าที่ของตน เป็นปัจจัยที่มีรากฐานมาจากความเชื่อและคุณค่า เขาบอกว่า ในช่วงเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมา มิติด้านนี้ของครูในสหราชอาณาจักรได้ถูกบั่นทอนลงไปมาก จากวัฒนธรรมมุ่งผลงาน (performativity)     

ปัจจัยแห่งปัจจุบัน (The Practical-Evaluative Dimension) 

นี่คือปัจจัยด้านบรรยากาศการปฏิบัติงานประจำวันของครู ซึ่งหนังสือบอกว่าเป็นที่ตระหนักกันดีว่า เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน ความขัดแย้งเชิงอารมณ์ระหว่างผู้ร่วมงาน ขึ้นกับปัจจัยด้านบริบท และเป้าหมายที่เถียงได้ ครูต้องตัดสินใจในเรื่องยากๆ หลายครั้งต้องประนีประนอม ซึ่งหลายกรณีขัดกันกับปณิธานความมุ่งมั่นส่วนตัวของตน รวมทั้งมีความอึดอัดขัดข้องที่มีการล้ำแดนความรับผิดชอบของตนอย่างไม่น่าเกิด และไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับร่วมกันใคร่ครวญสะท้อนคิดร่วมกันกับเพื่อนครู  

สรุปได้ว่า ปัจจัยด้านบรรยากาศการทำงาน ที่มีผลต่อการทำงานอย่างริเริ่มสร้างสรรค์ ที่เรียกว่าอย่างเป็นผู้ก่อการของครู คือปัจจัยด้านโครงสร้างองค์กร และด้านวัฒนธรรมองค์กร  

มี ๒ ประเด็นสำคัญที่ท้าทายการทำงานอย่างมีความเป็นผู้ก่อการของครูสก็อตแลนด์ คือ (๑) นโยบายของหน่วยเหนือที่ขัดกันเองโดยไม่รู้ตัว ที่หลักสูตรใหม่ระบุชัดเจนว่าต้องการส่งเสริมให้ครูใช้ความริเริ่มสร้างสรรค์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษา ที่เน้นการตรวจสอบ การประเมินตนเอง และการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้  (๒) โครงสร้างการบริหารในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนมัธยม ที่เน้นการสั่งการและปฏิสัมพันธ์แนวดิ่ง และจำกัดความสัมพันธ์แนวราบระหว่างครู  

มีผลงานวิจัยบ่งชี้ว่า โรงเรียนที่มีวัฒนธรรมปฏิสัมพันธ์แนวราบ มีความสามารถสนองนโยบายใหม่ได้ดีกว่า เพราะครูจะมีความสามารถนำเอานโยบายนั้นมาสานเสวนา (dialogue) ระหว่างกัน เพื่อหาความหมายที่แท้จริงของนโยบายนั้น นำไปสู่ความเข้มแข็ง ๒ ด้าน คือ (๑) เพิ่มความสามัคคีกลมเกลียวระหว่างครูในโรงเรียน จากการได้ร่วมกันหาทางรับมือความท้าทายจากภายนอก (คือนโยบายของหน่วยเหนือ) และ (๒) เพิ่มความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับภาคีภายนอกโรงเรียน ช่วยลดข้อจำกัดของการมีมุมมองแบบ “คิดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน” (inward looking หรือ inbreeding of ideas) และช่วยให้มีความสามารถใช้ความรู้ความสามารถจากภายนอกโรงเรียนได้มากขึ้น   

สามารถอ่านบทความ เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ ตอนที่ 1 ได้ที่นี่ เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย – The Potential

Tags:

หนังสือเอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการTeacher AgencyTeacher Agency : An Ecological ApproachAgentic Teacherครูผู้ก่อการครูผู้กระทำการPriestleyครูหนังสือ-วิจารณ์

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trendTransformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมเครื่องเพาะเมล็ดแคคตัส วิทยาลัยเทคนิคแพร่
11 October 2022

‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมเครื่องเพาะเมล็ดแคคตัส วิทยาลัยเทคนิคแพร่

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘พัฒนาคนผ่านผลงาน’ คือหัวใจและเป้าหมายหลักของ ‘โครงการต่อกล้าอาชีวะ’ โดยโจทย์ในปีนี้คือ ‘อาชีวเกษตร’ ที่เปิดพื้นที่ให้กลุ่มนักเรียนอาชีวะทั่วประเทศ สร้างสรรค์ผลงานมาแก้ปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่หรือในชุมชนของตนเอง
  • เครื่องเพาะเมล็ดแคคตัสระบบปิด (วิทยาลัยเทคนิคแพร่) เป็นหนึ่งในผลงานจากโครงการ ‘ต่อกล้าอาชีวะ’ พัฒนาโดยกลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคแพร่ โดยสามารถควบคุมผ่านระบบ IoT เพื่อเพาะเมล็ดแคคตัสให้มีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น
  • นอกเหนือจากความสำเร็จของโครงการและนวัตกรรมแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้กลับไปมีมากกว่านั้น ทั้งประสบการณ์และทักษะที่ได้จากการทำงานร่วมกันเป็นทีม

‘พัฒนาคนผ่านผลงาน’ คือหัวใจและเป้าหมายหลักของ ‘โครงการต่อกล้าอาชีวะ’ ซึ่งโจทย์ในปีนี้คือ ‘อาชีวเกษตร’ ที่เปิดพื้นที่ให้กลุ่มนักเรียนอาชีวะทั่วประเทศ สร้างสรรค์ผลงานมาแก้ปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่หรือในชุมชนของตนเอง ด้วยการนำความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและด้านอิเล็กทรอนิกส์มาประยุกต์ใช้ และได้เรียนรู้จากการทำงานจริงไปตลอดเส้นทางการเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่การเริ่มต้นส่งผลงาน ไปจนถึงการคิดไอเดียเพื่อตอบโจทย์เกษตรกร

กลุ่ม เครื่องเพาะเมล็ดแคคตัสระบบปิด (วิทยาลัยเทคนิคแพร่) เป็นหนึ่งในผลงานจากโครงการ ‘ต่อกล้าอาชีวะ’ ที่รังสรรค์ไอเดียออกมาได้น่าสนใจไม่แพ้ใคร เพราะนำโจทย์จากชีวิตประจำวันมาพัฒนาออกมาเป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ

‘เครื่องเพาะเมล็ดแคคตัสระบบปิด’ สามารถควบคุมผ่านระบบ IoT หรือควบคุมผ่านโทรศัพท์มือถือได้ และทำให้การเพาะเมล็ดแคคตัสมีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น ช่วยลดระยะเวลาของการเพาะเมล็ดแคคตัสให้ลดลง 

พัฒนาโดยกลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคแพร่ ซึ่งประกอบไปด้วย บาส-ศิริพงศ์ บุญประสิทธิ์, นุ่น-ธิดาลักษณ์ เรือนมูล, มิก-ณัฐนนท์ ปัญญาไว และ โอเว่น-กิตตินันท์ วุฒิ โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการคือ อาจารย์เจ-ว่าที่ ร.ต. ธวัชชัย สุเขื่อน และอาจารย์เอก-เอกชัย ศรชัย 

แต่นอกเหนือจากความสำเร็จของโครงการและนวัตกรรมแล้ว จากคำบอกเล่าของสมาชิกในกลุ่ม ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่พวกเขาได้กลับไปมีมากกว่านั้น 

เพราะการได้เข้าร่วมในโครงการนี้ทำให้ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และได้เครื่องมือสร้างทักษะสำคัญ ที่เปรียบเสมือนกุญแจในการเปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง รวมถึงยังเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่สร้างประสบการณ์ชีวิตซึ่งไม่สามารถหาได้จากตำราไหนๆ

“ผมภูมิใจที่ได้ทำอะไรสักอย่างให้กับวิทยาลัยและกับตัวผมเอง รวมถึงกับผู้อื่นที่นำนวัตกรรมของเราไปใช้ต่อ ผมได้เรียนรู้การเข้าสังคมการทำงาน มันเปรียบเสมือนกับว่าเราได้ทำงานในชีวิตจริง ซึ่งไม่มีในตำรา และสอนกันไม่ได้เพราะต้องใช้ประสบการณ์ครับ” บาส กล่าว

จากโจทย์ในชีวิตประจำวันสู่ ‘เครื่องเพาะเมล็ดแคคตัสระบบปิด’

“จริงๆ ผมก็มีความสนใจในการเพาะเลี้ยง ‘แคคตัส’ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะว่าที่บ้าน คุณพ่อก็เลี้ยงแคคตัสเป็นอดิเรก บวกกับการที่ในภูมิภาคของเรานั้นมีผู้ที่เลี้ยงแคคตัสอยู่หลายกลุ่มในหลายๆ พื้นที่อยู่แล้ว

การที่ได้มาเห็นโครงการต่อกล้าอาชีวะ ก็ทำให้ผมปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า ‘ทำไมเราไม่ลองใส่ความชอบในงานอดิเรกของเราส่งไปในงานต่อกล้านี้ดูล่ะ?’ บวกกับสาขาที่พวกเราเรียนอยู่นั้นก็เป็นสาขาเทคนิคคอมพิวเตอร์ เลยมีความคิดที่อยากจะประยุกต์สองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน 

ซึ่งโจทย์ในการออกแบบโครงการนี้เริ่มจากงานอดิเรกของเรานี่แหละครับ โดยจากการสอบถามคุณพ่อของผมที่เป็นผู้เลี้ยงแคคตัส ก็พบว่าเขาประสบปัญหาในการเพาะเลี้ยงแคคตัส เพราะแคคตัสนั้นใช้ระยะเวลาในการเติบโตค่อนข้างนาน อีกอย่างคือบางทีก็เพาะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง มีตายและขาดทุนบ้าง ทำให้พวกเราได้เล็งเห็นถึงปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วครับ ” บาส-ศิริพงศ์ บุญประสิทธิ์ กล่าว

หาคำตอบที่ใช่ด้วยทักษะการแก้ปัญหา

หลังจากเลือกแคคตัสมาเป็นโจทย์ในการสร้างนวัตกรรมภายใต้โครงการนี้ ทีมอาชีวศึกษาวิทยาลัยแพร่ไม่เพียงใช้การตั้งสมมติฐานและทดลองกันเอง พวกเขายังอาศัยการค้นคว้าจากงานวิจัยอื่นๆ ที่คล้ายกันเพื่อออกแบบการทดลองด้วย 

“สิ่งที่เรานึกถึงอย่างแรกคือเรื่องแสงค่ะ เพราะปัจจัยสำคัญในการเติบโตของพืชคือแสง เราก็ต้องมาคิดก่อนว่า อะไรที่สามารถมาทดแทนแหล่งกำเนิดแสงหรือดวงอาทิตย์ได้ และทำให้ต้นแคคตัสของเราเติบโตได้ตลอดเวลา รวมถึงตอนกลางคืนด้วย

เราจึงเลือกใช้ Led Grow Light ที่มีหลักการเหมือนโรงเรือนที่เอาไว้ใช้ปลูกพืช โดยเราเลือกใช้ Led สีแดงม่วงนี้ เพราะเป็นสีที่ค่าสเปกตรัมความถี่ของแสงมีประสิทธิภาพต่อแคคตัสมากที่สุดค่ะ” นุ่น-ธิดาลักษณ์ เรือนมูล อธิบาย โดยในการทดลองนั้นพวกเขาเลือกใช้ ‘วิธีเปรียบเทียบ’ เพื่อหาข้อสรุปสุดท้าย

“เราจะมีการเพาะ 2 รูปแบบ คือ การเพาะแบบปกติที่เกษตรกรเพาะกัน คือเพาะอยู่ในถุง ส่วนแบบที่สองคือ ใช้เครื่องนี้ของเรามาเพาะค่ะ จะมีการจดบันทึกและถ่ายรูปรายสัปดาห์ เพื่อที่จะสามารถนำมาเปรียบเทียบให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า 2 รูปแบบนี้มีความแตกต่างในการเติบโตอย่างไรบ้าง” นุ่นอธิบาย

ก่อนหน้านั้นก็มีการทดลองเพื่อหาค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมที่สุด โดยทดลองทำทั้งหมด 6 เครื่อง เครื่องละ 3 สายพันธุ์ และตั้งค่าพารามิเตอร์ให้แตกต่างกัน เพื่อหาประสิทธิภาพว่าแต่ละสายพันธุ์นั้นมีค่าพารามิเตอร์หรือปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตในช่วงใด

โดยดูค่าพารามิเตอร์ที่ได้จากการเก็บข้อมูลการเพาะที่ทดลองในเครื่อง มาเทียบกับการทดลองแบบดั้งเดิม เพื่อหาประสิทธิภาพว่าเครื่องของเราสามารถลดระยะเวลาในการเพาะและเพิ่มอัตราการงอกได้หรือไม่ หลังจากนั้นจึงนำค่านั้นมาพัฒนาเครื่องต่อไป

ทุกคนแสดงความมั่นใจว่า นวัตกรรมของพวกเขาจะสามารถช่วยแก้ปัญหาการเพาะพันธุ์ต้นแคคตัสได้ไม่มากก็น้อย เพราะตัวเครื่องมีจุดเด่นคือ เป็นการเพาะในระบบปิด มีระบบ IoT ช่วยควบคุมและบันทึกข้อมูลสภาพแวดล้อมภายในเครื่อง อีกทั้งยังสามารถควบคุมปัจจัยการเจริญเติบโตให้เหมาะสมต่อสายพันธุ์ของแคคตัส รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการตลาดและการขายต้นแคคตัสได้ 

“เราเคยเอาตัวเครื่องไปลงพื้นที่และทดลองใช้กับเกษตรกรที่เขามีพื้นที่ในการปลูกแคคตัสครับ ผลตอบรับก็คือเกษตรกรพอใจในการใช้นวัตกรรมของเรา แต่ว่าอุปสรรคคือตัวเครื่องมีพื้นที่ในการเพาะค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการของเกษตรกร เบื้องต้นเราคิดว่านวัตกรรมของเราจึงเหมาะกับผู้ที่เลี้ยงแคคตัสในพื้นที่จำกัดและเพาะเลี้ยงในจำนวนที่ไม่มาก เช่น กลุ่มที่เลี้ยงแคคตัสมือสมัครเล่น หรือกลุ่มที่เลี้ยงที่บ้าน ซึ่งเราก็มีแผนที่จะทำตัวเครื่องที่ใหญ่กว่านี้และตอบโจทย์ต่อความต้องการของเกษตรกรมากขึ้นครับ” บาสอธิบาย

เรียนรู้ร่วมกันจากการทำงานเป็นทีม

หลังจากได้ไอเดียแล้วก็จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือเพื่อทำชิ้นงานกันต่อไป และแม้ว่าทุกคนจะมีเรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ แต่ก็หาเวลารวมตัวกันได้โดยในทีมมีการแบ่งการทำงานอย่างชัดเจนเป็น 3 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ และแคคตัส

“ถ้าเป็นวันเรียนปกติ เราก็มีเรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ แต่ก็จะมีวิชาที่เราว่างพร้อมกันทั้ง 4 คน เราก็จะมานั่งคุยเรื่องโปรเจกต์นี้ด้วยกัน ประมาณอาทิตย์ละ 1 ถึง 1 วันครึ่ง โดยเครื่องนี้เราใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ในการแก้ไขปรับปรุงเครื่องให้เสร็จสมบูรณ์ ส่วนระยะเวลาถ้ารวมช่วงการคิดตั้งแต่ต้นก็ราวๆ 7-8 เดือนได้ครับ” บาส กล่าว

แน่นอนว่าในทุกการทำงานกลุ่ม เป็นเรื่องปกติที่แต่ละคนจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกันและมีข้อขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็มีการปรับความเข้าใจกันและช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อให้งานเดินต่อไปได้

โอเว่น-กิตตินันท์ วุฒิ เล่าว่า เวลาเกิดปัญหาขึ้น ทุกคนในกลุ่มก็จะเคารพเสียงส่วนมากเป็นหลัก ช่วยกันคิดและแก้ปัญหาทีละขั้นตอน จนออกมาเป็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์

ผลลัพธ์ของโครงการคือผลงานและการพัฒนาตนเอง

หลังจากใช้เวลาร่วมกันในการพัฒนาโครงการจนสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นหนึ่งใน 15 ผลงานที่ได้รับคัดเลือกให้มาจัดแสดงในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) สิ่งที่แต่ละคนได้รับนอกจากความรู้นอกห้องเรียนจากการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง คือประสบการณ์และทักษะชีวิต ที่สร้างพื้นฐานและความมั่นใจในการเดินต่อไปสู่เส้นทางที่ตนเองคาดหวัง

“สำหรับนุ่น คิดว่าตัวเองได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการนำเสนอ เพราะส่วนตัวเราเป็นคนชอบเกี่ยวกับเรื่องการนำเสนออยู่แล้ว รู้สึกว่าตัวเองได้ฝึกทักษะการพูด พูดเก่งขึ้น สื่อสารเก่งขึ้น และกล้าที่จะพูดมากขึ้นค่ะ”

บาสกล่าวต่อว่า “ส่วนผมได้เรียนรู้การแบ่งเวลาให้เหมาะสมครับ เพราะเราไม่ได้ดูแลแค่ตัวเครื่องเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องมีเวลาดูแลตัวเอง ให้เวลากับคนอื่น และให้เวลากับงานด้วย 

ความเอาใจใส่นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นตัววัดว่างานของเราจะออกมาดีได้ขนาดไหนครับ ผมคิดว่ามันอยู่ที่ความใส่ใจครับ”

“จริงๆ ปกติแล้วผมก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพืชสักเท่าไหร่ แต่ผมจะค่อนข้างที่จะรู้เกี่ยวกับ​ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์เป็นหลัก หลังจากที่ได้มาทำงานนี้ผมก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับพืช ผมเลยต้องไปศึกษาเพิ่มเติมและถามจากเพื่อนๆ เอาอีกที ทำให้ผมมีความรู้ความชำนาญเรื่องพืชมากขึ้น และมีความกล้าในการพรีเซนต์ นำเสนอ และกล้าแสดงออกมากขึ้นหลังจากที่ได้เข้าร่วมงานต่อกล้าอาชีวะนี้ครับ” โอเว่น กล่าว

อีกหนึ่งในสมาชิกทีมฯ มิก-ณัฐนนท์ ปัญญาไว กล่าวเสริมว่า แม้ปกติตนเองนั้นไม่ได้เลี้ยงแคคตัส แต่การได้เข้าร่วมโครงการและพัฒนานวัตกรรมเครื่องเพาะเมล็ดแคคตัสระบบปิด ก็ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องต้นไม้และแคคตัสมากขึ้นจากการค้นคว้าและทดลอง และคิดว่านวัตกรรมนี้จะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างอาชีพได้

“ผมว่าสามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพได้ครับ เพราะว่าเครื่องนี้ทำให้ผลผลิตเยอะขึ้นมากว่าเดิม และใช้ระยะเวลาสั้นลงกว่าเดิม เราก็สามารถนำผลผลิตไปขายในท้องตลาดได้เร็วขึ้นด้วยครับ”

ความรู้สึกหลังจากเข้าร่วมโครงการต่อกล้าอาชีวะ 

“รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจค่ะ ที่ได้เป็นตัวแทนมาเข้าร่วมโครงการและกิจกรรมที่นี่ รู้สึกว่าเรามีความกล้ามากขึ้น เพราะว่ามีน้อยคนที่จะสามารถเดินเข้ามาทำงานหรือร่วมกิจกรรมนี้ได้ รู้สึกภูมิใจมากที่ทางคณะเลือกเรามาค่ะ” นุ่น กล่าว

“อย่างน้อยผมก็ภูมิใจที่ได้ทำอะไรสักอย่างให้กับวิทยาลัยและกับตัวผมเอง รวมถึงกับผู้อื่นที่นำนวัตกรรมของเราไปใช้ต่อ ผมได้เรียนรู้การเข้าสังคมการทำงาน มันเปรียบเสมือนกับว่าเราได้ทำงานในชีวิตจริง ซึ่งไม่มีในตำรา มันสอนกันไม่ได้เพราะต้องใช้ประสบการณ์ครับ” อีกหนึ่งความเห็นจากบาส

นอกจากนี้แต่ละคนก็ได้แสดงความคิดเห็นในฐานะที่พวกเขาเป็นนักเรียนอาชีวะว่า แม้การเรียนในห้องเรียนจะสำคัญ แต่การแสวงหาความรู้นอกห้องเรียนเพื่อเปิดประสบการณ์และสั่งสมความรู้ใหม่ให้กับตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะการเรียนในห้องเรียนอาจจะยังไม่พอ

“การที่เรามีความรู้แค่ในห้องเรียนอาจจะไม่เพียงพอ เราต้องเปิดโลกให้กว้างขึ้น ยอมรับมุมมองใหม่ๆ เข้ามา เพราะอาจจะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้รอเราอยู่ข้างนอก มากกว่าการที่เราจะมานั่งแช่อยู่แค่ในห้องเรียนค่ะ” นุ่น บอก

“รู้สึกว่าการเรียนแค่ในห้องเรียนไม่พอครับ เพราะการเรียนในห้องเรียนก็ได้แค่ในหนังสือในห้องเรียนของเราครับ การที่เราได้ออกมาทำอะไรแบบนี้ก็เหมือนเราได้ออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนอื่นๆ ครับ” มิก ยืนยันอีกเสียง

ขณะที่โอเว่นมองว่า “การเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวอาจไม่ค่อยทำให้เราได้รับประสบการณ์มากเท่าที่ควรครับ แต่เมื่อเราออกมาทำสิ่งต่างๆ ออกมาเวิร์กช็อปหรือร่วมกิจกรรมแบบนี้ ก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์หลายๆ อย่างมากขึ้นครับ” 

บาสเองก็เห็นด้วยกับทั้ง นุ่น มิก และโอเว่น ว่าการเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรจะต้องเสริมประสบการณ์เพิ่มจากที่อื่น และแสดงความเห็นในมุมของตัวเองว่า

“สำหรับผมถ้าเรียนแค่ในห้องเรียนอย่างเดียว คุณก็อาจจะได้ความรู้สึกแค่ในส่วนของห้องเรียนครับ ผมก็อาจจะได้แค่ส่วนในห้องเรียน แต่ในยุคนี้อินเทอร์เน็ตมันเปิดกว้างมาก ทุกคนสามารถมีความรู้และรับความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้หลายช่องทาง ซึ่งผมเชื่อว่า หลายๆ คนที่เขาอาจจะไม่ได้เรียนจบ อาจจะมีความรู้มากกว่าผมด้วยซ้ำ เพราะความรู้ต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยครับ” 

โครงการต่อกล้าอาชีวะ เป็นโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาศักยภาพของตนเองผ่านการพัฒนาผลงาน ผ่านการพัฒนาทักษะ 4C ได้แก่ Critical Thinking, Communication, Creativity และ Collaboration 
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
โดยปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบให้แก่กลุ่มนักเรียนอาชีวะจากทุกสถาบันส่งผลงานเข้ามา และคัดเลือกเหลือเพียง 15 ผลงานสุดท้ายจากทั่วประเทศ เพื่อนำมาจัดแสดงในพิธีปิดโครงการต่อกล้าอาชีวะ ประจำปี 2564 พร้อมพิธีมอบโล่ เกียรติบัตร และการนำเสนอสรุปผลในการพัฒนาต่อยอดผลงาน ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี จัดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2565

Tags:

4Csทักษะศตวรรษที่ 21โครงการต่อกล้าอาชีวะอาชีวศึกษาเกษตรเครื่องเพาะเมล็ดแคคตัสระบบปิดวิทยาลัยเทคนิคแพร่

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Young Smart IoT Technician-nologo
    Social Issues
    ต่อกล้าอาชีวะ #12 ‘Young Smart IoT Technician’ พัฒนาทักษะรอบด้านผ่านโจทย์จริงจากการทำงาน

    เรื่อง The Potential

  • ‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมโรงเรือนจิ้งหรีด วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • 21st Century skills
    พัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ด้วยศิลปะ: ไม่ตั้งหลักที่หัว แต่คืนเวลาให้ออกไปรับประสบการณ์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    ฮอมสุข สตูดิโอ: แค่เห็นปลาว่ายอยู่ในคลองแม่ข่าสักตัว เราก็ดีใจแล้ว

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

พระอาจารย์ชยสาโร: พุทธศาสนาคือระบบการศึกษาที่อุดมสมบูรณ์ เกื้อกูลต่อการพัฒนาทุกด้านของชีวิตพร้อมกัน
Everyone can be an EducatorLife Long Learning
10 October 2022

พระอาจารย์ชยสาโร: พุทธศาสนาคือระบบการศึกษาที่อุดมสมบูรณ์ เกื้อกูลต่อการพัฒนาทุกด้านของชีวิตพร้อมกัน

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือ พระอาจารย์ชยสาโร เป็นชาวอังกฤษที่สนใจในพุทธศาสนาตั้งแต่วัยรุ่น ท่านได้ออกเดินทางเพื่อหาความหมายของชีวิตในหลายประเทศ ก่อนจะเข้ามาในเมืองไทยเมื่อปี พ.ศ. 2521 เพื่อเตรียมอุปสมบท
  • นอกจากชื่อเสียงเรื่องการเทศน์และการปฏิบัติธรรม พระอาจารย์ยังเป็นองค์ประธานที่ปรึกษาของโรงเรียนวิถีพุทธ โดยการนำหลักพุทธธรรมมาปรับใช้ในระบบการศึกษาโดยมุ่งเน้นวิชาชีวิตและความฉลาดทางอารมณ์
  • พระอาจารย์มองว่าหนึ่งในทักษะสำคัญของเด็กในศตวรรษ 21 คือการมี ‘โยนิโสมนสิการ’ หรือกรอบความคิดอันแยบคาย ที่ช่วยให้สุขง่ายทุกข์ยาก และสามารถปรับตัวได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงพลิกผัน

ตอนอายุ 13 ปี ผมเป็นเด็กแสบประจำบ้านที่ถูกคุณพ่อพาไปปฏิบัติธรรมขัดเกลานิสัยเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับ พระอาจารย์ชยสาโร หรือที่ใครหลายคนในเวลานั้นเรียกติดปากว่า ‘พระฝรั่ง’

ณ เวลานั้น ผมสงสัยว่าทำไมฝรั่งคนหนึ่งถึงต้องเดินทางดั้งด้นมาจากประเทศอังกฤษเพื่ออุปสมบทเป็นพระในประเทศไทย แถมสไตล์การเทศน์ของท่านก็เข้าใจง่าย มีการอุปมาให้เห็นภาพจนผมพอเข้าใจและสามารถนำคำสอนต่างๆ มาใช้กับชีวิตประจำวันได้จริง 

ด้วยความสงสัยต่างๆ ประกอบกับการเห็นบทบาทของท่านที่ไม่ใช่แค่พระนักเทศน์นักปฏิบัติ แต่รวมถึงบทบาทการเป็นองค์ประธานที่ปรึกษาให้กับโรงเรียนวิถีพุทธ วันนี้ผมจึงกลับมาขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ชยสาโรอีกครั้ง

‘เด็กชายฌอน’ ผู้สงสัยในชีวิต

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ประเทศอังกฤษ เด็กชายฌอน ชิเวอร์ตัน กำลังนั่งอ่านหนังสือคนเดียวในบ้านอย่างตั้งใจ ต่างกับเด็กวัยเดียวกันหลายคนที่กำลังเรียนหนังสือในโรงเรียนหรือไม่ก็เตะฟุตบอลอย่างสนุกสนาน เพียงเพราะเขาถูกโรคหอบหืดเล่นงานจนต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง 

แต่ในความโชคร้าย การอ่านหนังสือทำให้เขามีความคิดที่ละเอียดลึกซึ้งกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน รวมถึงการเป็นคนช่างคิดช่างค้นคว้าทำให้ผลการเรียนของฌอนโดดเด่นไม่แพ้นักเรียนเรียนดีคนอื่นๆ

วันเวลาผ่านไปพร้อมๆ กับร่างกายและความคิดที่เติบโตขึ้น ในที่สุด หนุ่มน้อยในวัย 12 ปี ก็เลิกขอเงินจากพ่อแม่ และรู้จักหาเงินค่าขนมให้ตัวเองนับจากนั้น ขณะเดียวกันประเภทของหนังสือที่เขาสนใจก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะหนังสือแนวปรัชญาและความหมายของการมีชีวิต 

“พอวัยรุ่น อาตมาก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดมาทำไม เกิดเป็นมนุษย์แล้วชีวิตที่ดีที่สุดควรจะเป็นอย่างไร และเราจะเอาอะไรเป็นเครื่องตัดสิน ซึ่งนำไปสู่ความคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ 

อาตมาสงสัยว่าในเมื่อทุกคนต้องการความสุข ไม่ต้องการเป็นทุกข์ แต่ทำไมคนที่กล้ายืนยันตัวเองว่าเจอความสุขแล้วน้อยมาก ทำไมความทุกข์มีเยอะเหลือเกิน 

ทั้งการรบราฆ่าฟันกัน ความไม่ยุติธรรม เรื่องราวทุกอย่างทำไมโลกมันเป็นอย่างนี้ มันจำเป็นไหมที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่จำเป็นโลกจะดีกว่านี้ได้ไหม ถ้าโลกดีกว่านี้ได้แล้ว เราแต่ละคนต้องรับผิดชอบในการทำโลกให้ดีขึ้นอย่างไร สุดท้ายอาตมาเจอคำสอนของพระพุทธเจ้าและตอบโจทย์ของอาตมาทุกข้อ ก็เกิดสนใจในพุทธศาสนา”   

นั่นจึงเป็นแรงบันดาลใจให้หนุ่มน้อยมุ่งมั่นที่จะหาประสบการณ์ในต่างแดนเพื่อค้นหาสัจธรรมชีวิต เขาพากเพียรเรียนหนังสืออย่างตั้งใจจนจบมัธยมปลายตั้งแต่อายุ 17 ปี จากนั้นก็เร่งหาเงินด้วยการทำงานในโกดังบ้าง ไซต์งานก่อสร้างต่างๆ บ้าง กระทั่งปลายปี พ.ศ. 2518 ฌอนจึงแบกเป้เดินทางไปยัง ‘อินเดีย’ ดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดของศาสนาหลายศาสนาที่ชาวตะวันตกนิยมเรียกว่า ‘ศาสนาตะวันออก’

“ก่อนออกเดินทาง อาตมาจะมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่ของเรา มันจะมีความดึงดูดมาทางเอเชีย ก็เดินทางบนบกไปอินเดีย ส่วนมากใช้วิธีโบกรถ ใช้เวลาในอินเดีย 1 ปี (ประพฤติตนตามวิถีฤาษี) ใช้เวลาในอิหร่าน 3-4 เดือน ทั้งหมดกว่าจะกลับถึงอังกฤษก็เกือบสองปี”

พอกลับถึงอังกฤษ มิสเตอร์ฌอนตัดสินใจไม่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย เพราะต้องการทุ่มเทเวลาให้กับการเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมกับโค้ชชาวอังกฤษที่เพิ่งลาสิกขาจากเมืองไทย ซึ่งในการบรรยายธรรมแต่ละครั้ง โค้ชมักเล่าถึงประสบการณ์สมัยเป็นพระในเมืองไทย ทำให้เด็กหนุ่มตาเป็นประกายด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เมื่อรู้สึกได้ว่านี่คือสิ่งที่แสวงหาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา

“พออาตมาตัดสินใจมาอุปสมบทที่เมืองไทย แต่ระหว่างหาสตางค์ซื้อตั๋วเครื่องบิน อาตมามีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อสุเมโธ (พระฝรั่งองค์แรกที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง) ได้อยู่กับหลวงพ่อสุเมโธและคณะของท่านจนถึงปลายปี พ.ศ. 2521 ออกพรรษาแล้วอาตมาจึงเดินทางมายังเมืองไทย แล้วก็ไปอุบลฯ ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา (พระโพธิญาณเถร) และได้อยู่เมืองไทยตลอด” 

พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือ พระอาจารย์ชยสาโร

‘พระช้อน’ แห่งวัดหนองป่าพง  

จากมิสเตอร์ฌอนแห่งอังกฤษ ในที่สุดเขาได้รับการอุปสมบทจากพระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา) เป็น ‘พระช้อน’ แห่งวัดหนองป่าพง โดยได้รับฉายาว่า ‘ชยสาโร’ 

สำหรับการปรับตัวในแง่ของภาษา วัฒนธรรม ระบบอาวุโส และวัตรปฏิบัติของพระป่า พระอาจารย์ชยสาโรมองว่าไม่ใช่ปัญหาเพราะท่านมีศรัทธาอันแรงกล้า อีกทั้งยังคุ้นชินกับการอยู่แบบง่ายๆ ทำให้ท่านมีความสุขนับตั้งแต่วันแรกและไม่รู้สึกว่าการปรับตัวเป็นเรื่องยาก

“อาตมามาเพื่ออุปสมบทโดยเฉพาะ ตรงไปที่วัดเลย (แต่ต้องนุ่งขาวห่มขาวก่อน เพื่อทดสอบว่าเป็นพระแล้วจะอยู่ได้ไหม) สำหรับอาตมาคือเราพอใจที่จะอยู่ตรงนี้และรู้สึกว่าเรามีบุญหนอที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา เพราะเชื่อมั่นตั้งแต่แรกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นการจะอดทนปรับตัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ตรงนี้ ตอนนั้นอายุแค่ 20 ปี เราก็มีแรงบันดาลใจมากในเรื่องการเรียนภาษา ภายในหนึ่งปีกว่าๆ ก็พอสื่อสารเข้าใจ”

แม้จะสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่พระอาจารย์ก็ยอมรับว่า ‘ผิดคาดอยู่บ้าง’ กับความเป็นคนพุทธแบบไทยๆ

“ก่อนจะมาเข้าวัดอาตมาจะอ่านหนังสือเยอะ ทำให้ทฤษฎีพร้อมอยู่แล้ว ที่แปลกใจคือ อาตมาเข้าใจว่ามาตรฐานต่ำสุดของพุทธมามกะ(ผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ) คือศีลห้า แต่พอมาเมืองไทย จะหาคนรักษาศีลห้านี่ยากพอสมควร นอกจากนี้ที่ผิดหวังจริงๆ คือเรื่องอิทธิพลของพุทธธรรมต่อการพัฒนาสังคมประเทศชาติซึ่งมีน้อยมาก”

อย่างไรก็ตาม พระอาจารย์ชยสาโรไม่ใช่ชาวพุทธประเภทใกล้เกลือกินด่าง ท่านยังคงตั้งใจศึกษาพระธรรมควบคู่ไปกับการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จนค่อยๆ แตกฉานในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และกลายเป็นพระฝรั่งที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนาและทำคุณประโยชน์มากมายแก่ประเทศไทย 

พุทธศาสนากับระบบการศึกษา

หลังจากอยู่เมืองไทยได้ประมาณ 20 ปี วันหนึ่งลูกศิษย์ของท่านคือ ‘ครูอ้อน’ บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์ ครูใหญ่แห่งโรงเรียนทอสีได้เข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์ชยสาโรและขอคำปรึกษาเรื่องแนวทางการจัดการศึกษา ก่อนได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะผลักดันโรงเรียนทอสีสู่การเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ โดยมีพระอาจารย์ชยสาโรรับหน้าที่เป็นองค์ประธานที่ปรึกษา

“อาตมามองว่าพุทธศาสนาเป็น Education System (ระบบการศึกษา) ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดที่เคยมีในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นระบบองค์รวมที่พัฒนาในทุกๆ ด้านของชีวิตพร้อมกัน ไม่ว่าเรื่องจริยธรรม ความประพฤติ การอยู่ร่วมกันในสังคม เรื่องจิต เรื่องกุศลธรรม-อกุศลธรรม หรือในเรื่องปัญญา 

เมื่อมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ทำไมเราไม่เอาปัญญาในระบบหลักๆ ของพุทธธรรมไปใช้ในระบบการศึกษา นี่ก็เป็นแรงบันดาลใจ ทีนี้พุทธธรรมก็จะยืนยันในหลักว่า ‘มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึกตน’ คือต้องฝึกทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจพร้อมกัน”

ในการนำวิถีพุทธปัญญาหรือพุทธธรรมมาใช้กับการศึกษาในโรงเรียน พระอาจารย์ชยสาโรตระหนักว่าจุดอ่อนอย่างหนึ่งของคนไทยคือพอได้ยินคำว่าพุทธศาสนาก็มองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อทันที ทำให้พระอาจารย์พยายามค้นคว้าพระไตรปิฎก รวมถึงหนังสือของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) ผู้เป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนา เพื่อวางแนวทางการจัดการเรียนรู้วิถีพุทธที่ไม่ใช่สถานปฏิบัติธรรมรุ่นเยาว์ แต่เป็น ‘ชุมชนกัลยาณมิตร’ ที่ทุกฝ่ายช่วยกันพัฒนาเยาวชนในทุกด้านของชีวิต

“ถ้าเป็นวิถีพุทธอย่างอุดมสมบูรณ์ก็นำไปสู่มรรคผลนิพพาน ทีนี้โรงเรียนไม่ได้ต้องการถึงระดับนั้น เพียงแต่ว่าเราต้องปรับบางอย่างให้เหมาะสมกับเด็ก อาตมามีหลักว่าต้องพัฒนาทางวิชาการ(ด้านนอก)และวิชาชีวิต(ด้านใน)พร้อมกัน แต่วิถีพุทธไม่ได้อยู่ที่การสอนหรือเนื้อหาอย่างเดียว แต่ถือหลักว่าทุกคนเป็นนักศึกษา โดยมีนักศึกษา 3 กลุ่ม คือเด็กนักเรียน คุณครู และผู้ปกครอง 

ที่นี่ครูจะเหนื่อยหน่อยเพราะไม่ใช่แค่ให้ความรู้อย่างเดียว ต้องเป็นกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนที่ดีทั้งกับเด็กและผู้ปกครอง ครูต้องถือศีลห้า และมีการปฏิบัติธรรมประจำปี แต่ว่าไม่ได้เข้มงวดมาก เพราะคุณครูบางท่านต้องดูแลผู้ใหญ่หรือมีลูกเล็ก แต่ขอให้เขามีความจริงใจ ค่อยๆ เรียนรู้ตามบริบท ส่วนผู้ปกครองก็มีการสอบผู้ปกครอง บางทีถ้าเด็กเก่งแต่ถ้าพ่อแม่ไม่ผ่านก็ไม่รับ เพราะว่าถ้าโรงเรียนสอนอย่างหนึ่ง กลับบ้านพ่อแม่สอนอย่างหนึ่ง เด็กจะสับสนและไม่เป็นผล”  

เมื่อคุณครูกับผู้ปกครองร่วมมือกันแล้ว ก็ถึงเวลาของเด็กนักเรียนที่ต้องเรียนรู้ระบบการศึกษาแบบวิถีพุทธ โดยพระอาจารย์ชยสาโรได้ทำการบ้านอย่างหนักเพื่อสื่อสารคำสอนพุทธธรรมในสำนวนที่เข้าใจง่ายและไม่เป็นภาษาพระจนเกินไป

“วิถีพุทธต้องพัฒนาใน 4 ด้าน เป็นเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา อย่างปัญญาก็คือการพัฒนาปัญญา ที่น่าสนใจคือศีล อาตมาก็แปลแยกออกเป็นสองส่วน คือหนึ่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลกวัตถุ เริ่มจากวัตถุที่ใกล้ชิดที่สุดคือร่างกายของเราเอง ซึ่งเป็นการศึกษาดูแลร่างกายตั้งแต่โภชนาการ การออกกำลังกาย กีฬา รวมถึงเพศศึกษา ต่อมาคือโลกวัตถุรอบตัวที่เกี่ยวกับปัจจัยสี่และเทคโนโลยี และสุดท้ายคือธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อม”

ต่อจากโลกวัตถุ ข้อที่สองคือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งรายละเอียดที่ผมสนใจเป็นพิเศษในหัวข้อนี้คือเรื่องความสามารถในการสื่อสารที่พระอาจารย์มองว่าเป็นปัญหาสำคัญของหลายๆ องค์กร

“พระพุทธเจ้าบอกว่าการพูดที่ดี หนึ่งต้องเป็นจริง สองเป็นประโยชน์ สามถูกกาลเทศะ สี่พูดด้วยความหวังดี ห้าพูดอย่างสุภาพ อันนี้เป็นการฝึกตน 

หรือบางทีเวลาใครพูดกับเรา ก็ดูว่าเขาพูดจริงไหม จริงแล้วมีประโยชน์ไหม แต่ถ้าเขาพูดไม่สุภาพ ก็ระวังนะอย่าไปปฏิเสธสิ่งที่เขาพูดเพียงแค่ว่าไม่ชอบลักษณะการพูด เพราะถ้าสิ่งที่พูดเป็นจริงเป็นประโยชน์ให้รับไว้ บางคนพูดจริงเป็นประโยชน์ด้วยความหวังดีต่อเรา แต่มันไม่ใช่เวลาใช่ไหม เพราะฉะนั้นกาลเทศะสำคัญมาก อย่างเช่นถ้าจะตักเตือนใคร เราจะพูดสองต่อสองดีไหม พูดกลุ่มเล็กไหม หรือพูดที่สาธารณะไหม จะระบุชื่อคนนั้นไหม ดังนั้นกาลเทศะเป็นปัจจัยสำคัญมากในการสื่อสารที่ได้ผล ถ้าเรามีอารมณ์แล้วพูด คนก็สัมผัสอารมณ์ก่อนสัมผัสคำพูด พอสัมผัสอารมณ์เขาก็ต่อต้านและไม่ยอมรับมัน”

ข้อที่สามคือการพัฒนาจิต ไล่ตั้งแต่การฝึกคุณภาพจิต สุขภาพจิต และสมรรถภาพของจิต ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้าที่ถือเป็นปัญหาทางใจของเด็กหลายคน

“เรื่องนี้ระบบการศึกษาทั่วไปจะตกหรือขาดไป โดยเฉพาะการสอนเด็กเรื่องอารมณ์ ทำยังไงเราถึงจะป้องกันความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความคิดผิดต่างๆ 

ซึ่งเรื่องนี้วิเคราะห์ยาก เพราะมีทั้งความซึมเศร้าเรื้อรังและความซึมเศร้าที่เกิดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่ที่ชัดเจนคือโทรศัพท์มือถือมีส่วน โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง จะได้รับผลกระทบจากพวกโซเชียลมีเดียมาก เพราะเด็กผู้หญิงจะให้ความสำคัญกับหมู่(กลุ่ม) ในการเป็นที่ยอมรับของเพื่อนมากเป็นพิเศษ รวมถึงทุกวันนี้การเปรียบเทียบ ค่านิยมต่างๆ ล้วนซึมซับจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นผลร้ายต่อสุขภาพจิตมาก เรื่องซึมเศร้านี่สำคัญ ทุกวันนี้หนึ่งในวิธีที่รักษาโรคซึมเศร้าที่ได้ผลมากที่สุด เรียกว่า MBCT เป็นสาขาจิตบำบัดที่ถือว่าโรคต่างๆ เกิดจากความคิดผิด ซึ่งตอนหลังเขาเอาวิถีของพุทธมาบูรณาการกับแนวความคิด เพื่อให้คนเห็นว่าความคิดไม่ใช่ของเรา”

และข้อที่สี่คือการพัฒนาปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งประเด็นนี้จะสอดคล้องกับการพัฒนาจิต โดยพระอาจารย์จะฉีดวัคซีนทางใจที่ชื่อว่า ‘โยนิโสมนสิการ’ ให้กับเด็กๆ ตั้งแต่อนุบาล

“การฝึกจิตพัฒนาปัญญาไม่ใช่การนั่งหลับตาทุกวัน มันอยู่ที่การดำเนินชีวิต การฝึกรู้จักช่วยคนอื่น ให้ทาน รักษาศีล รู้จักคิดพิจารณาชีวิต หรือที่เรียกว่า ‘โยนิโสมนสิการ’ แปลว่าความคิดแยบคาย แต่ว่ามันไม่ใช่ความคิดอย่างเดียว แต่เป็นกรอบความคิดซึ่งอันนี้สำคัญมาก เช่น สมมติเด็กคนหนึ่งมีกรอบความคิดว่า “หนูมันแย่ ทำอะไรก็ไม่เก่งไม่เป็น สู้เขาไม่ได้ ทำอะไรในที่สุดก็ล้มเหลวทุกครั้ง” อันนี้คือกรอบความคิด พอเจออุปสรรคแล้วไม่สู้ “เอาอีกแล้ว เห็นไหมทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรนิดเดียวก็ไม่มีบุญถึงเจออุปสรรคทุกครั้ง”…ก็เศร้า อีกคนหนึ่งกรอบความคิดก็คือคนเราจะฉลาดจะเก่งเพราะการชนะอุปสรรค จะเรียนรู้จะได้อะไรดีๆ จากอุปสรรคเยอะ คือมองอุปสรรคอีกแบบหนึ่ง แม้จะเจอปัญหาเดียวกัน แต่เพราะกรอบความคิดต่างกันก็พร้อมที่จะสู้พร้อมที่จะชนะอุปสรรค นี่ก็คือโยนิโสมนสิการ คือการฝึกให้เราเท่าทันและปรับกรอบความคิดตัวเอง”

พระอาจารย์อธิบายเพิ่มเติมว่าชาวพุทธมักจะเน้นคุณธรรมฝ่าย Soft ว่าชาวพุทธต้องเมตตาและสงบ ซึ่งเรื่องนี้ท่านไม่เห็นด้วยทีเดียว

“อาตมาว่ามันไม่ค่อยสมดุลนะ เพราะพร้อมกันนั้นเราต้องมีความอดทนต้องมีความตั้งใจ แต่เรื่องนี้มักจะขาดไป อาตมาจึงขอให้คุณครูสอนเด็กตั้งแต่อนุบาลว่า ‘เป็นพุทธต้องสู้…ใจสู้’ และตอนหลังๆ พออาตมามาเยี่ยมเด็กๆ คุณครูจะให้เด็กๆ เล่าถวายพระอาจารย์ว่าใจสู้ยังไง ชนะกิเลสอย่างไร มีเด็กคนหนึ่งบอกว่า “หนูกำลังหัดเขียนตัวอักษรไทย หนูเขียนบางตัวไม่ได้เลย หนูท้อแท้มาก แต่พอนึกถึงที่คุณครูสอนว่า ‘เป็นพุทธต้องสู้’ หนูก็สู้สุดๆ จนตอนนี้หนูก็เขียนได้แล้ว” คือถ้าเราเริ่มตั้งแต่เล็กอย่างนี้ โดยเริ่มจากเรื่องที่เราสู้ได้ ดังนั้นเราต้องสู้ ชาวพุทธต้องสู้ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ อันนั้นไม่ใช่พุทธแท้ เพราะสิ่งที่ควรปลงก็มี สิ่งที่ไม่ควรปลงก็มี”

ไม่มีอะไรมีค่ากว่าความสำเร็จในการเป็นมนุษย์

นอกจากการนำคำสอนพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ พระอาจารย์ยังเชื่อมโยงให้เห็นว่าพุทธธรรมช่วยให้มนุษย์มองโลกมองชีวิตอย่างเข้าใจยิ่งขึ้น เช่น เรื่องแพสชัน (Passion) ที่หลายคนให้ความสนใจและพยายามตามหาจนกลายเป็นความกดดันที่ทำให้หลายคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เกิดอาการเครียดและรู้สึกขาดหายหากยังค้นไม่เจอแพสชันของตัวเอง

“เรื่องที่อาตมาไม่ค่อยเห็นด้วยคือทุกวันนี้พอเด็กขึ้น ม.1 ม.2 จะเริ่มมีความรู้สึกว่าต้องหาแพสชันของตัวเอง เด็กๆ ถามอาตมาบ่อยว่า “หนูไม่มีแพสชัน หนูไม่รู้จะเรียนอะไร จะประกอบอาชีพอะไร” อาตมาบอกว่าอายุแค่นี้ยังไม่ต้องมีก็ได้นะ ที่สำคัญคือคนที่จะมีแพสชันก่อนทำงานมีน้อยมาก หลายคนพอเลือกวิชาที่พอไปได้ เรียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำงานด้วยความตั้งอกตั้งใจ…แพสชันมาทีหลัง ดังนั้นความต้องการแพสชันก่อนลงมือทำอะไร โห…นี่มันหนึ่งในร้อยหนึ่งในพัน ที่จะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าไม่มีอะไรผิด 

อีกอย่างหนึ่งคือทุกวันนี้อาชีพหายไปทุกวัน และมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นทุกวัน การที่จะวางแผนว่าทำอาชีพนั้นอาชีพนี้ในอนาคต ไม่รู้จะยังมีหรือเปล่า บางที AI ก็ทดแทนมนุษย์ได้หมดแล้ว 

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องการคือเด็กที่รักการเรียนรู้ รักการศึกษา เรียนเป็น และมีทักษะในการเรียน สามารถปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง เป็น Soft Skills (ทักษะมนุษย์ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ อุปนิสัย และทัศนคติที่ดี ฯลฯ)  

ไม่ว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงยังไง ฉันก็พร้อมเพราะฉันรู้จักวิธีเรียนรู้ปรับได้เปลี่ยนได้ ต้องการให้เด็กมีคุณสมบัติอย่างนี้มากกว่าที่จะเชี่ยวชาญหรือลงเฉพาะในเรื่องนี้ ทุกวันนี้อาตมาว่าระบบทั่วไปมันแคบเกินไป”

นอกจากแพสชัน อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมสนใจคือ มุมมองต่อ ‘ความสำเร็จ’ ที่หลายคนมองว่าความสำเร็จคือการเป็นที่หนึ่ง หรือการมีลาภยศสรรเสริญ แต่พระอาจารย์กลับมองว่าการประสบความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่จุดหมายเหล่านั้น หากอยู่ที่การประสบความสำเร็จในความเป็นมนุษย์

“อาตมามีลูกศิษย์เป็นคนยโสธรที่ไปแต่งงานกับภรรยาชาวอิตาลี ทีนี้มีลูกสองคน ลูกสองคนนี้เล่นสกีคอสคันทรีเก่งมากๆ ก็ติดทีมชาติอิตาลี แต่หลังๆ การแข่งขันมันสูงมาก สุดท้ายก็คุยกับเขา ชวนเขามาเล่นทีมชาติไทยดีกว่า 

ล่าสุด เขาไปโอลิมปิกฤดูหนาว เราก็คุยกันเรื่องความสำคัญระหว่างพรสวรรค์กับการศึกษาด้วยความเพียร ว่ามันมีผลมากน้อยแค่ไหน เขาเล่าว่าวันแรกที่แข่ง ลูกชายกลับมาหมดแรง อยากนวดอย่างเดียว ซึ่งเขาก็โอเค (สองสามีภรรยาเป็นหมอกายภาพทีมชาติ) พอสักห้าหกทุ่ม เขากลับขึ้นไปห้องข้างบน ก็ได้ยินเสียงเพราะมียิมอยู่ตรงนั้น ปรากฏว่าเห็นผู้ที่ได้ที่หนึ่งกำลังถีบจักรยาน คือมีฉันทะ มีแพสชัน เขาบอกว่าลูกชายไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นพรสวรรค์เทียบกันได้ แต่ไม่มีความตั้งอกตั้งใจขนาดนั้น แบบนี้ก็คงไม่ได้เหรียญทอง อาตมาบอกว่า “ดีแล้ว” เพราะลูกของเขาเป็นคนที่น่ารักมีคุณธรรม และประสบความสำเร็จในความเป็นมนุษย์มากกว่า 

ผู้ที่มุ่งกีฬาอย่างเดียว พอชีวิตการเป็นนักกีฬาระดับสูงมีไม่กี่ปี เสร็จแล้วก็จะมีปัญหาทางจิตใจมาก คือไม่มีเวลาจะทำอะไร ก็ซึมเศร้ากันเป็นแถว เพราะการเป็นนักกีฬาระดับนี้มันดับเบิ้ล คือชีวิตนี้เพื่อกีฬาอย่างเดียว แต่ว่าเรื่องอีคิว (ความฉลาดทางอารมณ์) บางทีก็จะขาด พอแข่งไม่ได้แล้วไม่รู้จะทำอะไรต่อ อาตมาว่าที่จริงเรื่องการประสบความสำเร็จเนี่ย อาตมาว่าลูกได้มากกว่าคนที่ได้เหรียญทองนะ ถ้ามองชีวิตทั้งชีวิต…ไม่ได้มองโดยเอาแต่เฉพาะเหรียญทองเป็นที่ตั้ง”

ขอโอกาสให้พุทธธรรมค้ำจุนชีวิต

สำหรับผม ‘ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน’ (อนิจจัง) คือสัจธรรมข้อหนึ่งที่เป็นจริงเสมอ ยิ่งในโลกศตวรรษที่ 21 ที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วและพลิกผัน พระอาจารย์เน้นย้ำว่าเป็นโอกาสดีที่ทุกฝ่ายจะนำหลักพุทธธรรมมาปรับใช้กับระบบการศึกษา เพราะพุทธธรรมทำให้จิตใจสุขง่ายทุกข์ยาก ทั้งยังเป็นหลักคิดในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

“ส่วนมากเราต้องมีทุกข์หรือมีปัญหาจนมุมจริงๆ ถึงจะสนใจ อาตมาว่าทุกวันนี้คนไม่ให้เวลา ไม่แบ่งเวลามาศึกษาว่าจริงๆ แล้วคำสอนของพระพุทธเจ้ามีอะไรบ้าง ถ้าศึกษาแล้วไม่ประทับใจไม่เห็นเป็นประโยชน์ก็ไม่ว่าอะไร 

อย่างน้อยที่สุดก็ให้โอกาสพุทธธรรมบ้าง คือให้เวลาศึกษา ไม่ใช่เปิด Wikipedia อ่านหน้าเดียว แบบนี้ก็ไม่ถูกจุด หรือมองพุทธศาสนาผ่านสายตาของตะวันตก 

สำหรับอาตมา ‘พุทธธรรม’ เป็นทรัพยากรล้ำค่าซึ่งน่าจะทำให้เมืองไทยได้เปรียบประเทศอื่นในหลายด้าน แต่กลับกลายเป็นว่าทิ้งไม่เอาเลย กลับเลือกไปเลียนแบบทางตะวันตก เนื่องจากส่วนมากดูเผินๆ ที่รับมาก็ไม่ได้รับทั้งระบบ รับเป็นบางส่วน ซึ่งกลายเป็นว่าของตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์ ของเขาก็ไม่ได้ประโยชน์ แทนที่จะเป็น Win-Win ก็กลายเป็น Lose-Lose 

อาตมาว่าในเมื่อเราอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้วก็มีสิ่งท้าทายมากมาย ผู้ที่จะเอาตัวรอดแล้วเป็นที่พึ่งของตัวเองและคนอื่นต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง จิตใจที่สงบได้ มีสติมีปัญญา ซึ่งพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ให้วิชาในการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ได้ดีมาก แต่เสียดาย…เสียดายว่ามีสิ่งล้ำค่าอยู่ตรงนี้เอง ทำไมไม่ดูบ้าง”

ปัจจุบัน (พ.ศ.2565) พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือ พระอาจารย์ชยสาโร มีอายุ 64 ปี โดยในปี พ.ศ. 2563 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แปลง ‘สัญชาติไทย’ เป็นกรณีพิเศษแก่พระอาจารย์ชยสาโร ในฐานะที่ได้เข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน เป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย แตกฉานในพระธรรมคำสอน และมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ธรรมะทั้งในประเทศไทยและนานาชาติ

Tags:

ระบบการศึกษาวิชาชีวิตพระพุทธศาสนาความฉลาดทางอารมณ์ทักษะศตวรรษที่ 21พระอาจารย์ชยสาโร

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Education trend
    เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนทอสี’ กัลยาณมิตรบนเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กศตวรรษที่ 21: ‘ครูอ้อน’ บุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • 21st Century skills
    Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (2)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningLearning Theory
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

จิตวิทยาของการกราดยิง (mass shooting): บาดแผลทางใจและการรับมือกับเหตุการณ์เลวร้าย
Healing the trauma
7 October 2022

จิตวิทยาของการกราดยิง (mass shooting): บาดแผลทางใจและการรับมือกับเหตุการณ์เลวร้าย

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การกราดยิง (mass shooting) เป็นการสูญเสียที่น่าหดหู่ใจ นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนใจสลาย โดยเฉพาะหากบุคคลสำคัญในชีวิตของคุณมีลักษณะคล้ายผู้เสียชีวิต
  • มนุษย์มีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้าง เวลาที่คนรอบข้างเศร้า สังคมเศร้าเราก็มีแนวโน้มจะรู้สึกเศร้าไปด้วย เหตุการณ์แบบนี้สามารถทำให้เกิดบาดแผลทางใจได้ (trauma)
  • ปัญหาการกราดยิงไม่ใช่ปัญหาแค่ของบุคคลแต่คือปัญหาของทุกคน และสังคมด้วย นอกจากเราจะแก้ปัญหาเบื้องต้นที่เกิดขึ้นในเชิงจิตใจและร่างกายแล้ว เรายังจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงปัญหาในระดับของโครงสร้างด้วย

การกราดยิง (mass shooting) เป็นการสูญเสียที่น่าหดหู่ใจ เราต่างรู้สึกเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์แม้จะรู้จักหรือไม่รู้จักกันก็ตาม ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่นี้อาจกำลังทำให้รู้สึกโกรธเพราะรู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น โลกนี้ไม่ควรมีผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนใจสลาย โดยเฉพาะหากบุคคลสำคัญในชีวิตของคุณมีลักษณะคล้ายผู้เสียชีวิต เช่น ผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก แล้วคุณเองก็มีลูก คุณคงเข้าใจดีว่าการที่พ่อแม่ต้องเสียลูกที่รักที่สุดในชีวิตไปเป็นอย่างไร 

การกราดยิงไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้ที่เผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย แต่ยังส่งผลถึงคนในสังคมด้วย แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ตาม มนุษย์มีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้าง เวลาที่คนรอบข้างเศร้า สังคมเศร้าเราก็มีแนวโน้มจะรู้สึกเศร้าไปด้วย เหตุการณ์แบบนี้สามารถทำให้เกิดบาดแผลทางใจได้ (trauma) เพราะมันคือการทำลายความรู้สึกปลอดภัยทางร่างกาย ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานอันดับแรกของมนุษย์ หากเรารู้สึกว่าเราอาจถูกทำร้าย สถานที่อยู่ไม่ปลอดภัยก็คงยากที่ผู้คนในสังคมนั้นจะมีสุขภาพจิตที่ดี

ผลกระทบทางจิตใจ

ผู้หญิง เด็ก ผู้รอดชีวิต คนที่ยากจน มีปัญหาสุขภาพจิต ไม่ค่อยมีความมั่นคงทางการเงิน ไม่ค่อยมีคนรอบข้างที่คอยดูแลทางจิตใจ เคยเจอเหตุการณ์ที่เลวร้าย ควบคุมอารมณ์ไม่ดี คือกลุ่มคนที่น่าเป็นห่วงและต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสที่เขาจะมีบาดแผลทางจิตใจ (Trauma) โดยสามารถสังเกตผลกระทบต่างๆ ได้ดังนี้ 

  1. ภาวะซึมเศร้า (depression) ที่มักจะมีความเศร้า เครียด นอนไม่หลับหรือนอนเยอะ การกินเปลี่ยนไป มีความก้าวร้าว รู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่มีสมาธิ ย้ำโทษตัวเอง
  2. ภาวะวิตกกังวล (anxiety) มักมีอาการกระสับกระส่าย หยุดความคิดไม่ได้ หงุดหงิดง่าย และอาจมีอาการแสดงออกมาทางร่างกายร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง ปวดหัว คลื่นไส้ กล้ามเนื้อตึงเกร็ง
  3. ภาวะความเครียดหลังเหตุการณ์เลวร้าย (post-traumatic stress symptoms) รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ (flashback) ทำให้รู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอน มีความกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ ความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้น บางคนอาจเป็นปัญหาการนอน เช่น ฝันร้าย นอนไม่หลับ ตื่นตลอดจนกระสับกระส่าย
  4. บางคนที่รับมือกับอารมณ์ที่ท่วมท้นไม่ไหวอาจเกิดภาวะช็อก หมดสติ ตาค้าง หายใจเร็ว ชินชา (numbness) และด้วยความเจ็บปวดที่หนัก เขาอาจใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์เพื่อทำให้ตัวเองเจ็บปวดน้อยลงด้วย

เด็กมีความเปราะบางอย่างมาก เพราะสมองของเด็กยังไม่พัฒนาดีพอที่จะรับมือสถานการณ์ที่ตึงเครียดขนาดนี้ได้ นอกจากนั้นเด็กยังไม่ได้มีความเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกมากด้วย เขาอาจรู้สึกสิ้นหวัง วิตกกังวล แต่ก็ไม่รู้จะแสดงความรู้สึกอย่างไร เด็กอาจแสดงความเครียดออกมาผ่านความก้าวร้าว การนอนร้องไห้ไม่หยุด ไม่มีพัฒนาการตามอายุที่ควรเป็น พฤติกรรมที่ถดถอย เช่น ดูดนิ้ว

บางคนอาจไม่แสดงอาการเหล่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีอาการเสมอไป บางคนอาจใช้เวลาสักพักกว่าอาการต่างๆ จะเกิดขึ้น สิ่งที่อยากบอกคือ อาการทางจิตใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นกลไกของมนุษย์ในการรับมือกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย โดยปกติอาการมักจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่สำหรับบางคนที่ยังคงมีอาการอยู่ อาจต้องพบแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อรักษาต่อไป

ในทางจิตวิทยา อาการเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่ประสบเหตุการณ์เลวร้ายนี้เท่านั้น แต่อาจเกิดขึ้นกับคนที่ได้ยิน ได้ฟัง และมีสภาพจิตใจไม่พร้อมด้วย หรือที่เรียกว่า Secondary Trauma เพราะฉะนั้นอย่าชะล่าใจคิดว่าตัวเองจะไม่เป็นไรเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น 

การรับมือกับเหตุการณ์ที่โหดร้าย

  1. คุณต้องประเมินอาการตัวเองได้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอย่างไรบ้าง ไหวไหม โดยอาจใช้อาการที่กล่าวถึงด้านบนก็ได้ ถ้าคุณรู้สึกไม่ไหวคุณควรไปหาผู้เชี่ยวชาญ เพราะเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่รับมือง่ายเหมือนความเครียดทั่วไป ความเครียดระดับนี้มักส่งผลกระทบถึงระบบประสาท (nervous system)
  2. ทำความเข้าใจว่าความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้เป็นกลไกการรับมือความเหตุการณ์ที่เลวร้ายของมนุษย์ ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือรู้สึกแย่ที่ตัวเองรู้สึกสิ่งต่างๆ อย่ามองว่าเรากำลังมีอารมณ์เชิงลบ เพราะความจริงไม่มีอารมณ์ไหนที่เป็นลบหรือบวก ทุกอารมณ์มีประโยชน์ต่อตัวเราเสมอ 

ความเศร้าก็มีหน้าที่ช่วยให้เราได้ระบายความรู้สึกที่ท่วมท้นในระบบประสาท ความโกรธก็บอกว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ยุติธรรมและไม่ควรเกิดขึ้น สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องเร่งรีบให้ตัวเองต้องกลับมารู้สึกดีเหมือนเดิมให้เวลากับความรู้สึกต่างๆ ให้เวลาตัวเองได้รู้สึกในสิ่งที่ควรรู้สึก

  1. พยายามตระหนักรู้และเข้าใจสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกต่างๆ รวมถึงเข้าใจว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร และหาวิธีรับมือกับความรู้สึกด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น ระบายความรู้สึกให้คนรอบข้างฟัง อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้
  2. แม้เหตุการณ์นี้จะทำให้รู้สึกหมดหวังในชีวิต แต่ก็อยากให้ย้ำเตือนตัวเองเพื่อหาความหวัง หรือความหมายในชีวิต พูดแบบนี้ผมเข้าใจว่าไม่ได้ง่ายเลย แต่ความหวังและความหมายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการที่เราจะใช้ชีวิตต่อไป
  3. อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียว ความรู้สึกว่าเรายังเชื่อมโยงกับคนอื่นอยู่เป็นสิ่งสำคัญ ให้พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่รู้สึกปลอดภัย และอยู่ใกล้คนที่รู้สึกอบอุ่นใจ หากไม่มีอาจลองไปพบ
    ผู้เชี่ยวชาญ เพราะสิ่งที่ทำให้บาดแผลทางใจเจ็บปวดไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกท่วมท้น แต่เป็นการที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวกับความรู้สึกเหล่านั้น การมีคนรอบข้างเป็นสิ่งจำเป็นมาก คนรอบข้างไม่ได้เพียงแค่อยู่ข้างๆ เท่านั้น แต่เขายังทำให้คุณรู้สึกด้วยว่าคุณไม่ได้อยู่อยู่เพียงลำพังในความรู้สึกที่หนักหนาเช่นนี้
  1. พูดถึงความรู้สึก ความคิด สิ่งที่อัดอั้นใจ กรีดร้อง ร้องไห้ ระบายสิ่งต่างๆ ออกมาอย่าเก็บมันไว้ในใจ ถ้าไม่อยากพูดก็ให้วาดรูป ระบายสี ฟังเพลง เล่นดนตรีอะไรก็ได้ที่จะทำให้รู้สึกปลอดปล่อย หลักการหนึ่งของการรักษาบาดแผลทางใจคือ การชวนให้คนนั้นทำสิ่งที่เขาอยากทำเพื่อระบายความรู้สึกที่อัดอั้นในจิตใจ
  1. สำหรับคนที่ติดตามข่าว หากรู้สึกเครียด หรือรู้สึกหมกหมุ่นจนเกินไปให้ปิดข่าวก่อน การไม่ติดตามข่าวไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้ไม่สนใจปัญหาสังคมหรือเห็นแก่ตัวแต่อย่างใด แอบสารภาพว่าผมก็ไม่ค่อยได้ตามข่าวเหมือนกัน บางทีเราเองก็ต้องการปกป้องสุขภาพจิตเราด้วยเหมือนกัน ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ไม่ได้ติดตาม แต่สำหรับคนที่ติดตามข่าวให้มีขอบเขตให้ตัวเองว่าคุณไหวแค่ไหน ถ้าเริ่มรู้สึกเครียดก็ให้หยุดก่อน ไปหาทำอะไรที่ผ่อนคลาย เบาสมอง

การช่วยเหลือคนรอบข้าง

สิ่งที่ต้องระวังอย่างแรกของการที่เราเป็นห่วงคนใกล้ชิดที่เจอเหตุการณ์คือ การแสดงความเป็นห่วงมากเกินไป หรือรู้สึกร่วมมากเกินไป (sympathy) จนทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย จากที่เขาจะได้แสดงความรู้สึกเสียใจ กลับต้องมานั่งปลอบคนที่มาปลอบ เราควรท่องไว้อยู่ในใจเสมอว่าเขากำลังอยู่ในความรู้สึกเปราะบางและอ่อนไหว (sensitivity) ดังนั้น เราไม่ควรเร่งรีบ ให้คำแนะนำหรือกระตุ้นให้เขาเล่าถึงเหตุการณ์ เพราะนั่นยิ่งจะไปกระตุ้นความเจ็บปวด จากที่จะช่วยให้เขาระบายกลับกลายเป็นการไปทำร้ายเขายิ่งกว่าเดิม 

คุณอาจถามเขาก็ได้ว่า ‘อยากเล่าอะไรไหม’ การถามนี้ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาที่เขาจะได้ระบายความท่วมท้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเองที่อยากรู้เหตุการณ์ ถ้าเขาอยากเล่าก็รับฟังไม่ต้องไปพูดขัด พยายามทำความเข้าใจเขา อยู่ข้างๆ เขา แต่ถ้าเขายังไม่พร้อมเล่าก็ให้เวลาเขาก่อน ท่องไว้ว่า ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ บาดแผลทางจิตใจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเร่งเกินไปอาจไปเปิดแผลให้เขาเจ็บกว่าเดิมได้

ผมเข้าใจว่าบางคนอาจต้องการแชร์รูปเหตุการณ์เพื่อแสดงความเสียใจ แต่การทำแบบนั้นส่งผลเสียทั้งต่อครอบครัวผู้เสียหายที่เหมือนเป็นการตอกย้ำความรู้สึกสูญเสีย และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนที่แชร์รูปเหตุการณ์นั้นด้วย 

ความโกรธแค้นอาจทำให้เรารู้สึกอยากอยากแชร์รูปผู้ร้ายเพื่อประจาน แต่นั่นยิ่งจะทำให้ผู้ร้ายได้ใจและรู้สึกว่ามีคนให้ความสนใจ บางทีเขาอาจมีความรู้สึกว่าอยากแก้แค้นหรือทำให้ผู้คนโกรธแค้น ถ้ายิ่งคนสนใจเขาเขาก็จะยิ่งรู้สึกสะใจเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จ แต่การรับมือที่ดีสุดคือการที่เราไม่ให้ความสนใจในความเป็นตัวเขา ไม่แชร์รูปของเขา และทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนให้เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำอะไรเราได้ และหันมาให้กำลังใจผู้ที่กำลังประสบเหตุการณ์นี้และคนในสังคมที่กำลังรู้สึกเศร้าไปด้วยกัน 

แรงจูงหรือสาเหตุของการกราดยิง 

การกราดยิงเป็นการกระทำที่ดูบ้าคลั่ง ไร้ความเป็นมนุษย์ ดูไม่ปกติ คนในสังคมจึงมักเข้าใจว่าคนที่กราดยิงเป็นคนที่มีปัญหาทางจิตใจ หรือเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช แต่จากการศึกษาหลายชิ้น พบว่า คนที่กราดยิงส่วนใหญ่มักไม่ใช่คนที่มีอาการทางจิตเวชส่วนใหญ่ หรือพูดง่ายๆ ว่า การกราดยิงกับอาการทางจิตเวชมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างน้อยมาก ความเข้าใจที่ผิดนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลเพราะจะทำให้เกิดการตีตรา การแบ่งแยก การเหยียดในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชทั้งที่เขาไม่ได้มีพิษภัยอะไร และความเข้าใจผิดอีกอย่างคือ การเล่นเกมส่งผลต่อการตัดสินใจกราดยิง แต่ความจริงแล้วการเล่นเกมเพียงแค่เพิ่มพฤติกรรมความรุนแรง แต่ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจกราดอย่างแต่อย่างใด

การกราดยิงเป็นความเลวร้ายที่เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคม สิ้นหวัง การถูกแบ่งแยกกีดกัน การที่เคยถูกบูลลี่ การมีความคิดหรือความเชื่อที่สุดโต่งในทางการเมืองหรือศาสนา ความรู้สึกโกรธแค้นที่ต้องการระบายไปสู่สังคม ความยากจน ระบบช่วยเหลือทางสุขภาพจิตที่น้อย ปัญหายาเสพติด การใช้แอลกอฮอล์ การถูกทารุณกรรม (abuse) การควบคุมของการเข้าถึงปืน หรือพกพาอาวุธของหน่วยงานรัฐบาล รัฐที่มีการควบคุมการครอบครองอาวุธปืนที่หนาแน่นมักมีเหตุกราดยิงน้อยกว่ารัฐที่การควบคุมหลวม 

การเกิดเหตุกราดยิงหนึ่งเหตุการณ์สามารถทำให้เกิดการลอกเลียนแบบได้ จากประวัติผู้ก่อเหตุหลายคนพบว่า ผู้ก่อเหตุมักศึกษาพฤติกรรม วิธี รูปแบบการกราดยิงของเหตุการณ์ก่อนหน้า และเมื่อเกิดเหตุกราดยิงก็มีแนวโน้มว่าเหตุนี้จะเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเปรียบเทียบจากการกราดยิงในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือพูดง่ายๆ ว่า การกราดยิงเป็นเหมือนโรคติดต่อที่เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นก็มักจะมีเหตุเกิดขึ้นอีกประมาณ 2 สัปดาห์ 

ปัญหาการกราดยิงไม่ใช่ปัญหาแค่ของบุคคลแต่คือปัญหาของทุกคน และปัญหาของสังคมด้วย นอกจากเราจะแก้ปัญหาเบื้องต้นที่เกิดขึ้นในเชิงจิตใจและร่างกายแล้ว เรายังต้องจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงปัญหาในระดับของโครงสร้างด้วย นอกจากนี้ การสร้างสังคมที่ปลอดภัยที่ไม่ได้เพียงหน้าที่ของประชาชนแต่ยังรวมถึงหน่วยงานรัฐที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะหากสังคมเราไม่ปลอดภัยก็คงยากที่เราจะมีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม มีแรงบันดาลใจ และเป็นสังคมมีความสุขอย่างแท้จริง 

ขอแสดงความเสียใจกับทุกเหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่ควรเกิดขึ้น

เราจะผ่านไปมันไปด้วยกัน จับมือกันครับ 

อ้างอิง

Lowe, S. R., & Galea, S. (2017). The mental health consequences of mass shootings. Trauma, Violence, & Abuse, 18(1), 62-82.

Mathur, M. B., & VanderWeele, T. J. (2019). Finding common ground in meta-analysis “wars” on violent video games. Perspectives on psychological science, 14(4), 705-708.

Parks, J., Bechtold, D., Shelp, F., Lieberman, J., & Coffey, S. (2019). Mass violence in America: Causes, impacts and solutions.

Reeping, P. M., Cerdá, M., Kalesan, B., Wiebe, D. J., Galea, S., & Branas, C. C. (2019). State gun laws, gun ownership, and mass shootings in the US: cross sectional time series. bmj, 364. 

Towers, S., Gomez-Lievano, A., Khan, M., Mubayi, A., & Castillo-Chavez, C. (2015). Contagion in mass killings and school shootings. PLoS one, 10(7), e0117259.

Valentina, C., Schmitz, J., & Sood, A. B. (2021). Effects of Mass Shootings on the Mental Health of Children and Adolescents. Current Psychiatry Reports, 23(3).

Tags:

สุขภาพจิตจิตวิทยาบาดแผลทางจิตใจการรับมือจิตใจการสูญเสียปัญหาสังคม

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • IMG_3795
    Healing the trauma
    เมื่อบาดแผลหล่อหลอมชีวิต: การเติบโตงอกงามจากความเจ็บปวด (Post-traumatic Growth)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Book
    วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    ‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

    เรื่อง อัฒภาค

  • Movie
    Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Character building
    ระบุที่มาของความสุขและทุกข์ด้วยหลัก PERMA และจงวาดวงกลมความทุกข์ให้เต็มกระดาษเอสี่!

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ
Dear ParentsMovie
6 October 2022

We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • We’re here เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์ที่ให้แก๊งแดร็กควีนช่วยคนทั่วไปในเมืองเล็กๆ ของอเมริกาได้มาลองแต่งแดร็กและขึ้นโชว์ในเมืองของตัวเอง
  • หลายคนที่ทีม We’re here ไปช่วย ต่างมีเหตุผลในการแต่งแดร็กที่ต่างกันไป มีทั้งคนอยากเป็นตัวเองได้อย่างเฉิดฉายและมั่นใจมากขึ้น หรือบางคนก็ต้องการที่จะเป็นตัวแทนของชุมชนชาว lgbtq+ 
  • การแต่งแดร็กควีนไม่ใช่แค่เพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ทำให้คนแต่งรู้สึกมีอำนาจ (power) สอดแทรกเรื่องความมั่นใจในตัวเอง การแสดงตัวตน และยังทำให้เห็นว่าครอบครัวเป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างภูมิคุ้มกันในจิตใจของแต่ละคนจริงๆ

Tags:

พ่อแม่เพศการยอมรับครอบครัวLGBTQA+Drag Queenอำนาจความมั่นใจ

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    คุยเรื่องเพศไม่ต้องกระซิบ: สร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ให้ลูกกลัวถูกตำหนิ สบายใจที่จะแชร์

    เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย
Transformative learningEducation trend
5 October 2022

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ’ ตอนที่ ๑. ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ของไทย  โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช
  • ครูคือพลังสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ระบบการศึกษาเป็นระบบที่เรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
  • ระบบนิเวศ หรือสภาพแวดล้อม ในการทำงานของครู มีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมความเป็นตัวของตัวเองของครู
  • ปฏิบัติการในฐานะการเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการของครู ไม่ได้ขึ้นกับตัวครูที่เป็นปัจเจกบุคคลเท่านั้น ยังขึ้นกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างครูด้วยกัน และระหว่างครูกับสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ในระบบการศึกษา และในสังคมวงกว้างด้วย

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้  ตีความจากหนังสือ Teacher Agency : An Ecological Approach (2015) ที่เขียนโดยศาสตราจารย์ ๓ ท่าน คือ Mark Priestley, Gert Biesta, และ Sarah Robinson โดยสองท่านแรกทำงานในมหาวิทยาลัยสเตอร์ลิง ในสก็อตแลนด์ ท่านที่สามอยู่ที่ Aarhus University เดนมาร์ก เป็นหนังสือที่ผู้อ่านประเมินระดับคุณภาพ ๕ ดาว และเขียนจากผลงานวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change Project (2011 – 2012) ที่ดำเนินการโดยทีมงานของ University of Stirling, Scotland ร่วมกับ Scottish Local Authority ได้รับทุนวิจัยจาก UK Economic and Social Research Council เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรการศึกษาใหม่ ที่เรียกว่า “Curriculum for Excellence” ของ สก็อตแลนด์     

ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ปิ๊งว่าเป็นความรู้ที่เหมาะแก่ยุคสมัยของการพัฒนาระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันอย่างยิ่ง จึงเขียนบันทึกชุดนี้โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อหนุนการประยุกต์ใช้ หลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้    

หนังสือ Teacher Agency บอกชัดเจนว่า ในอดีตประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมา ระบบการศึกษาของสหราชอาณาจักร รวมทั้งของสก็อตแลนด์ เดินผิดทาง    ในเรื่องท่าทีหรือความคาดหวังต่อครู หรือบทบาทของครู  มีผลให้คุณภาพการศึกษาถูกลดทอน     เพราะไปหลงใช้ระบบการจัดการระบบการศึกษาตามแนวทางของระบบธุรกิจแนว neo-liberal ที่บูชาผลงาน (performance) ที่เขาเรียกว่า performativity  ที่นำไปสู่วิธีการจัดการที่เน้นพลังของการจัดการผลงาน ผ่านการประเมินผลลัพธ์    เหนือการจัดการเพื่อใช้พลังของมิติความเป็นมนุษย์ของครู ที่เวลานี้พบว่าเป็นแนวทางที่ผิด คือมีผลลดทอนคุณภาพของการศึกษา และลดทอนคุณภาพครู ผ่านการลดทอนความมั่นใจในตัวเองและความเป็นตัวของตัวเองของครู    

หลักสูตรใหม่ของ สก็อตแลนด์  ที่เรียกว่า “Curriculum for Excellence” ระบุชัดเจนว่า มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง  โดยมองว่าโรงเรียนและครูเป็นผู้ร่วมสร้าง (co-creator) หลักสูตร โปรดสังเกตว่า หลักสูตรใหม่ของเขาเปลี่ยนมุมมองต่อครูและโรงเรียน จากผู้ปฏิบัติตามหลักสูตร (curriculum implementer) มาเป็น ผู้ร่วมสร้างหลักสูตร (curriculum co-creator) และเขามองว่าการสร้างหลักสูตรเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ต้องพัฒนาเรื่อยไปไม่รู้จบ และบุคคลสำคัญที่สุดในการร่วมกันสร้างหลักสูตรอย่างต่อเนื่องนี้ คือครู   

ผมขอเพิ่มเติมว่า ครูคือพลังสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ระบบการศึกษาเป็นระบบที่เรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และระบบการบริหารการศึกษาไทยตามแนวทางปัจจุบัน ก็เดินตามแนวทาง performativity เหมือนของสหราชอาณาจักร ที่เขากำลังพยายามเปลี่ยน แนวทางที่ไทยเรากำลังใช้อยู่นี้ มีผลทำให้ระบบการศึกษาเป็นระบบที่ไม่เรียนรู้ หรือมีระดับการเรียนรู้ต่ำ และทำลายหรือลดทอนศักยภาพการเป็นตัวของตัวเอง และพลังความสร้างสรรค์ของครู รวมทั้งมีผลลดทอนศักดิ์ศรีครู

อธิบายจากการตีความในมิติที่ลึกยิ่งขึ้นได้ว่า การบริหารระบบการศึกษาแบบเน้นผลงาน (performativity) ตกขอบ มีผลสร้าง fixed mindset ให้แก่ครูและบุคลากรการศึกษา ชักนำให้ผู้ปฏิบัติงานมุ่งผลงานระยะสั้นที่หน่วยเหนือกำหนดอย่างตายตัว ไม่เอาใจใส่มิติเชิงอนาคต ที่เน้นการพัฒนา ไม่สนใจทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งขับเคลื่อนด้วย growth mindset สรุปได้ว่า การบริหารระบบการศึกษาแบบเน้นผลงาน (performativity) ตกขอบ อย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หล่อหลอมให้ครูและบุคลากรการศึกษาสมาทาน fixed mindset       

ภายใต้ความเชื่อใหม่ ว่าครูต้องทำหน้าที่เชิงสร้างสรรค์ นี้ ต้องหาทางฟื้นความมั่นใจในตัวเองของครู ให้ครูเป็นผู้ก่อการ หรือผู้กระทำการ ที่เขาเรียกว่า agency ครูที่มีพฤติกรรมริเริ่มดำเนินการในหน้าที่ของตนเรียกว่า agentic teacher จึงเกิดโครงการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจว่า ความเป็นตัวของตัวเองของครู (teacher agency) มาจากไหน มีทางหนุนหรือเอื้อให้เกิดและยกระดับหรือพัฒนาขึ้นได้อย่างไร  หรือมองมุมกลับ ปัจจัยอะไรที่ดับหรือลดทอนความเป็นตัวของตัวเองของครู จากผลงานวิจัย นำสู่การเขียนหนังสือ Teacher Agency : An Ecological Approach ที่ชี้ให้เห็นมิติที่ลึกของการหนุนให้เกิดพลังครู เพื่อเป็นผู้ร่วมสร้างหลักสูตร  และร่วมสร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพสูง   

ข้อค้นพบสำคัญยิ่งคือชื่อรองของหนังสือ “An Ecological Approach”  ซึ่งหมายความว่า ระบบนิเวศ หรือสภาพแวดล้อม ในการทำงานของครู มีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมความเป็นตัวของตัวเองของครู แนวความคิดหรือกระบวนทัศน์ performativity ที่วงการศึกษารับถ่ายทอดมาจากวงการธุรกิจ  เป็นตัวการที่สร้างบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมในการทำงานของครู  ที่ปิดกั้นความเป็นตัวของตัวเอง มีผลลดทอนความริเริ่มสร้างสรรค์ นำไปสู่พฤติกรรมการทำงานตามวิธีการที่มีการกำหนดตายตัว เพื่อให้สอดคล้องกับกลไกการประเมินผลลัพธ์ที่กำหนดโดยหน่วยเหนืออย่างตายตัว มีผลต่อเนื่องให้ครูปฏิบัติตามข้อกำหนดโดยไม่คิด

นานๆ เข้าครูก็เคยชินกับการทำงานตามแบบแผนที่หน่วยเหนือกำหนดให้  เกิดวัฒนธรรมการทำงานตามรูปแบบตายตัว ไม่มีความคิดริเริ่มที่จะใช้การเรียนรู้จากการทำงานเพื่อพัฒนางานของตน เป็นวัฒนธรรมการทำงานตามสูตรสำเร็จ  เพื่อการประเมินผลการปฏิบัติตามสูตรสำเร็จนั้น ไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงานสร้างสรรค์ ที่ออกนอกกรอบ    

เท่ากับลัทธิบริหารการศึกษาแบบ performativity เป็นตัวลดทอนความเป็นตัวของตัวเองและความสร้างสรรค์ของครู  ที่หลักสูตรใหม่ คือ “Curriculum for Excellence” ต้องการแก้ไข  เพื่อใช้พลังครูในการสร้างผลสำเร็จตามหลักสูตรใหม่นี้  และงานวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change Project (2011 – 2012) รวมทั้งหนังสือเล่มนี้ มุ่งให้ความเข้าใจเชิงลึก ถึงที่มาที่ไปของความเป็นตัวของตัวเอง หรือการเป็นผู้ก่อการของครู  สำหรับนำความเข้าใจนี้ มาใช้เปลี่ยนแนวทางการจัดการระบบการศึกษาของประเทศ      

ย้ำว่า ข้อค้นพบคือ ความเป็นตัวของตัวเอง หรือความเป็นผู้ก่อการของครูนั้น ไม่ใช่ขึ้นกับสมรรถนะหรือขีดความสามารถของครูล้วนๆ  แต่เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของตัวครูกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่มีผล ๓ ชั้นต่อความเป็นผู้ลงมือก่อการของครู คือ  (๑) การสั่งสมประสบการณ์และการเรียนรู้จากการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของครู  (๒) การตัดสินใจลงมือปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติของครู ณ จุดของการดำเนินการ และ (๓) การมองหรือคาดการณ์ไปในอนาคตของครู    

กล่าวใหม่ว่า ปฏิบัติการในฐานะการเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการของครู ไม่ได้ขึ้นกับตัวครูที่เป็นปัจเจกบุคคลเท่านั้น ยังขึ้นกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างครูด้วยกัน และระหว่างครูกับสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ในระบบการศึกษา และในสังคมวงกว้างด้วย      

กล่าวย้ำอีกที ว่าพฤติกรรมของครูที่มุ่งหวัง ไม่ได้เกิดขึ้นในสภาพตรงไปตรงมา ไม่ได้เป็นสมการชั้นเดียว แต่เป็นสภาพที่ซับซ้อน มีหลายเหตุปัจจัยมาประกอบกัน พฤติกรรมของครู ขึ้นกับบริบทที่ซับซ้อนและจำเพาะสำหรับแต่ละกรณี  หนังสือ Teacher Agency : An Ecological Approach มุ่งคลี่ภาพความซับซ้อนนั้นออกมาเสนอให้เข้าใจง่าย และผมตีความนำมาเสนอใน บล็อก ชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้  เพื่อเสนอต่อวงการศึกษาไทย ว่าน่าจะมีแนวทางส่งเสริมให้ครูไทยมีพลัง และใช้พลังนั้นในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาไทย ผ่านหลักสูตรฐานสมรรถนะได้อย่างไร    

เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เพื่อเป็นแนวร่วมในการยกระดับศักดิ์ศรีวิชาชีพครู  ผ่านการส่งเสริมให้ครูร่วมกันทำงานในมิติของการริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นผู้ร่วมสร้างมิติใหม่ๆ ให้แก่ระบบการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลักสูตรฐานสมรรถนะ

ผมหวังให้บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ มีส่วนยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยในภาพรวม ผ่านแนวความคิดหรือกระบวนทัศน์ว่า คนในวงการศึกษา  องคาพยพของระบบการศึกษา และกลไกต่างๆ ในระบบการศึกษา ต้องเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้ง (growth mindset)  ผ่านปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ (การศึกษา) และปฏิสัมพันธ์กับระบบอื่นๆ หรือเหตุปัจจัยภายนอก

Tags:

หนังสือเอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการTeacher AgencyTeacher Agency : An Ecological ApproachAgentic Teacherครูผู้ก่อการครูผู้กระทำการPriestleyครูหนังสือ-วิจารณ์

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trendTransformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel