Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2022

Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง
Movie
9 September 2022

Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Precious (พรีเชียส) เป็นภาพยนตร์แนวดราม่า ปี 2009 นำเสนอเรื่องราวของสาวน้อยวัย 16 ปีที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนมัธยม หลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองกับพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง
  • นอกจากพ่อที่ข่มขืนเธอเป็นประจำ แม่เองก็มักด่าว่าและตบตีเธอราวกับปีศาจร้าย จนพรีเชียสมองไม่เห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตและไร้ซึ่งความภาคภูมิใจในตัวเอง
  • หลังถูกไล่ออกจากโรงเรียนมัธยม พรีเชียสได้ไปสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนทางเลือกและได้พบกับครูเรน ผู้สอนให้พรีเชียสตระหนักถึงคุณค่าและศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง     

ขึ้นชื่อว่าบาดแผลทางร่างกายเจ็บแค่ไหนก็พอจะรักษาได้ แต่บาดแผลทางใจกลับตรงกันข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบาดแผลนั้นเกิดขึ้นจากพ่อแม่

เหมือนกับเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Precious (2009) ซึ่งคว้าสองรางวัลใหญ่ในงานออสการ์ครั้งที่ 82 ทั้งบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

นางเอกของเรื่องมีชื่อว่า ‘พรีเชียส’ เธอเป็นเด็กอายุ 16 ปี ที่มีผิวสีและเจ้าเนื้อ ครอบครัวของเธอยากจนและอาศัยอยู่ในชุมชนเสื่อมโทรมแห่งหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก 

ครอบครัวไม่ดีทำชีวิตติดลบ

ในวัยเด็กพรีเชียสมักถูกพ่อแม่ทารุณกรรมร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงเสมอ ทั้งแม่ที่ด่าทอต่อว่า ซ้ำยังขว้างปาสิ่งของ ใช้กำลังทำร้ายร่างกายราวกับเธอเป็นเพียงทาสรับใช้ ส่วนพ่อก็ใจร้ายไม่แพ้กัน เพราะเขาทำเรื่องผิดมนุษย์ด้วยการข่มขืนพรีเชียสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งในความวิปริตนั้น แม่ผู้เห็นเหตุการณ์กลับไม่เคยห้ามปรามสามีตัวเองสักครั้ง 

ผลลัพธ์จากการถูกพ่อบังเกิดเกล้าข่มขืน ในที่สุดพรีเชียสในวัย 12 ปี ก็ตั้งครรภ์และคลอดลูกคนแรกที่เป็น ‘ดาวน์ซินโดรม’ แต่ด้วยความไม่พร้อมหลายๆ อย่าง ทำให้ยายของพรีเชียสรับเหลนไปเลี้ยงแทน

“หนูไม่รู้ว่าหนูคลอดลูกคนแรกบนพื้นห้องครัวได้ยังไง ในตอนที่แม่เตะเข้าที่หัวของหนู”  

สี่ปีถัดมา พรีเชียสตั้งครรภ์กับพ่ออีกครั้ง คราวนี้โรงเรียนมัธยมทราบข่าวและไล่เธอออกทันที ส่วนแม่ที่น่าจะเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกันมากที่สุด กลับเหยียบย่ำซ้ำเติม และแสดงพฤติกรรมที่รุนแรงกับเธอมากขึ้น เพียงเพราะแม่มองว่า ‘พรีเชียสคือคนที่มาแย่งความรักไปจากสามี’ หนำซ้ำในเวลาที่แม่มีความต้องการทางเพศ แม่มักจะใช้พรีเชียสเป็นเครื่องตอบสนองความต้องการนั้น

ในประโยคด่าทอทั้งหมดทั้งมวลที่แม่พ่นใส่หน้าพรีเชียสตลอดทั้งเรื่อง ผมเจ็บปวดมากกับคำพูดของแม่ที่เปรียบเปรยหลานสาวดาวน์ซินโดรมว่าเป็น ‘สัตว์โง่’ และด่าพรีเชียสว่า “แกมันก็แค่นังโง่ที่ไม่ต่างอะไรกับสัตว์โง่ๆ ของแก” 

นอกจากนี้ หลายครั้งที่ถูกแม่ด่าทอหรือทำร้ายร่างกาย ผมสังเกตว่าพรีเชียสมักจินตนาการถึงภาพที่ตัวเองเป็นคนดังที่ผู้คนให้การยอมรับชื่นชม หรือไม่ก็วาดฝันถึงแม่ที่เข้าอกเข้าใจและปฏิบัติต่อเธออย่างนุ่มนวล ซึ่งบางคนอาจมองว่าพรีเชียสมีอาการเพี้ยนหรือผิดปกติทางจิต หากผมมองว่าสิ่งนี้เป็น ‘กลไกปกป้องตัวเอง’ เพื่อซ่อนความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดจากการกระทำของแม่

ท่ามกลางบาดแผลในใจที่พ่อแม่สร้างไว้ ดูเหมือนว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้พรีเชียสลืมความทุกข์ได้ชั่วขณะ นั่นคือการอุ้มท้องไปเรียนในโรงเรียนทางเลือก(คล้ายกับกศน.) แม้ว่าแม่จะพยายามบังคับให้เธอลาออกเพียงเพื่อจะได้รับเงินสวัสดิการจากภาครัฐ

“ฉันยังจำวันที่หมออุ้มแกลงบนมือฉันได้เลย แกมันไม่มีอะไรดีสักอย่าง…อยากเรียนสูงๆ น่ะเหรอ? แกมันก็แค่นังโง่…”

ก้าวแห่งการเรียนรู้เพื่อรักตัวเอง 

 ณ โรงเรียนทางเลือก สิ่งแรกหลังจากก้าวเข้ามาเป็นนักเรียนคือการทำแบบทดสอบวัดระดับ ผมตกใจพอสมควรที่พรีเชียสในวัย 16 ปี อ่านหนังสือไม่ออกจนต้องวงกลมสุ่มเลือกคำตอบ 

ผมไม่มั่นใจนักว่าทำไมเธอถึงอ่านหนังสือไม่ออก แต่สิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พรีเชียสขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง และทุกครั้งที่ต้องสอบ พรีเชียสจะมองว่า ข้อสอบคือสิ่งการันตีว่าเธอนั้นน่าเกลียด อ้วน ดำ และโง่ จนเธอแทบไม่อยากมีชีวิตต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในห้องเรียนเล็กๆ ที่มีนักเรียนทั้งห้องแค่ 6 คน พรีเชียสได้พบกับครูประจำชั้นใจดีที่ชื่อ ‘ครูเรน’  ผู้เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ครูเรนสอนให้นักเรียนฝึกอ่านฝึกเขียนหนังสืออย่างใจเย็น แม้ว่าพรีเชียสดูจะมีพัฒนาการที่เชื่องช้า แต่ครูเรนก็มักให้กำลังใจพรีเชียสว่า “ทุกการเดินทางอันแสนยาวไกล ล้วนเริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ”

แม้ชีวิตในห้องเรียนจะเริ่มต้นอย่างสวยงาม แต่ชีวิตหลังเลิกเรียนของพรีเชียสยังคงหดหู่เพราะนอกจากคำพูดและการลงไม้ลงมือ แม่มักหาเรื่องมากวนใจเธอเสมอ เช่น เวลาหิว แม่จะใช้เธอไปทำกับข้าว แต่พอยกมาเสิรฟ์ แม่กลับบอกว่าไม่อยากกินและบังคับให้พรีเชียสกินอาหารจานนั้นให้หมด โดยไม่แคร์ว่าพรีเชียสยังคงอิ่มจากอาหารมื้อก่อน

“หนูแค่อยากมีทีวีของตัวเอง จะได้เปิดดูในห้องของหนู ถ้าหนูมีทีวีของตัวเอง หนูก็จะได้ไม่ต้องนั่งดูทีวีกับแม่ แม่หนูเหมือนปลาวาฬบนโซฟา แม่บอกว่าหนูกินตลอดเวลาแต่ก็ชอบบังคับให้หนูกินตลอด แล้วแม่ก็ชอบเรียกหนูว่ายัยอ้วน แม่บอกว่าอพาร์ตเม้นต์มันเล็กเพราะหนู”

พรีเชียสยังคงใช้ชีวิตวนลูประหว่างบ้านกับโรงเรียนทางเลือก ทว่าสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือพัฒนาการด้านการอ่านการเขียน พรีเชียสเริ่มจดบันทึกเรื่องราวในแต่ละวันได้ดีขึ้น…ถึงขั้นเริ่มแต่งนิทานเด็กได้ด้วยตัวเอง ส่วนในคาบเรียน เธอก็มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและกล้ายกมือแสดงความเห็นเวลาครูเรนตั้งคำถาม…ต่างกับสมัยเรียนโรงเรียนมัธยมที่พรีเชียสเป็นเพียงเด็กจ๋อยๆ หลังห้องที่ไม่มีใครสนใจ

“ฉันพยายามอย่างหนักเพื่อจะจำเสียงตัวอักษร เขียนลงสมุด และอ่านตัวหนังสือเล็กๆ ในหนังสือเล่มใหญ่ แล้วก็พบว่าทางอำเภอมอบรางวัลการรู้หนังสือให้ฉันพร้อมกับแนบเช็คมาด้วย”

มูฟออนจากอดีตอันมืดมิด

ไม่นาน พรีเชียสก็คลอดลูกคนที่สอง ปรากฏว่าครั้งนี้เธอได้ลูกชายที่แข็งแรงน่ารัก ทั้งครูเรนและเพื่อนๆ เอ็นดูลูกชายของเธออย่างมาก และคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาหาพรีเชียสที่โรงพยาบาล สวนทางกับแม่…แม่ที่ต้องทนเห็นหลานที่เกิดจากสามีและลูกสาวเป็นครั้งที่สอง

“แกทำลายชีวิตของฉัน แย่งผัวฉัน แล้วยังมีหน้าคลอดเด็กพวกนี้ออกมา แกทำให้ฉันโดนตัดเงินสวัสดิการ (เพราะพรีเชียสหลุดปากพูดเรื่องความโหดร้ายของแม่กับเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์) เพราะปากอ้วนๆ ของแกที่พูดไม่คิด”

ดังนั้นเมื่อพรีเชียสออกจาโรงพยาบาล แม่จึงอาละวาดโยนหลานลงพื้นและพุ่งเข้ามาตะลุมบอนกับพรีเชียส ทำให้พรีเชียสรีบอุ้มลูกชายวิ่งลงจากอพาร์ตเมนท์ ทว่าแม่ก็คือแม่ เธอพุ่งไปยกโทรทัศน์เครื่องโตจากห้องนั่งเล่น และทุ่มมันลงมาเฉียดหัวพรีเชียสและหลานชายไปอย่างหวุดหวิด ทำให้ผมรู้เลยว่าแท้จริงแล้วแม่คือคนที่ขาดความยับยั้งช่างใจใช้แต่อารมณ์ไม่ต่างจาก ‘สัตว์โง่ๆ’ ที่แม่มักพร่ำด่าพรีเชียสเวลาโมโห

เมื่อหนีออกจากบ้าน ครูเรนจึงเป็นที่พึ่งเดียวของพรีเชียส และช่วยเป็นธุระนำเธอไปฝากไว้กับบ้านของเพื่อนสนิท แต่ก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะหลังจากนั้นไม่นานพรีเชียสก็ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ HIV (พ่อเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์) 

“พยาบาลบอกว่าหนูมีผลเลือด HIV เป็นบวก หนูต้องหยุดให้นมลูกแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าหนูเจออะไรมาบ้าง หนูไม่เคยมีแฟน พ่อบอกว่าจะแต่งงานกับหนู เขาจะทำได้ยังไง มันผิดกฎหมาย หนูท้อเหลือเกิน ไม่มีใครรักหนู ความรักไม่ได้ช่วยอะไรหนูเลย ความรักปราบหนูข่ม ขืนหนู และเรียกหนูว่าเป็นสัตว์ ทำให้หนูรู้สึกไร้ค่า”

สิ่งที่น่าสนใจคือครูเรนรับฟังเธออย่างตั้งใจ ไม่พูดแทรก ทั้งยังหลั่งน้ำตาร่วมกับพรีเชียส ก่อนที่ครูเรนจะปลอบใจพรีเชียสว่าสิ่งเหล่านั้นที่พ่อแม่ทำกับเธอไม่ใช่ความรัก อย่างน้อยเธอยังมีลูกๆ และมีครูเรนที่รักและเป็นห่วงเธอเสมอ

ผมประทับใจฉากนี้มากและมองว่าในเวลาที่เรารู้สึกทุกข์ใจหรืออ่อนแอ สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่คำปลอบประโลม แต่เป็นใครสักคนที่นั่งข้างๆ พูดกับเราเพราะๆ และฟังเราระบายความอัดอั้นด้วยความเข้าอกเข้าใจ

หลังจากเหตุการณ์เรื่องแม่และการตรวจเจอ HIV พรีเชียสยังคงตั้งใจใช้ชีวิตและเขียนบันทึกตามที่ครูเรนสั่งต่อไป แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกได้ว่าพรีเชียสไม่ได้ท้อแท้สิ้นหวังเหมือนที่ผ่านมา กลับกันเธอกลับมีความฝัน และฝันนั้นก็ทำให้พรีเชียสตั้งใจมีชีวิตอยู่ต่อไป 

“หนูทำแบบทดสอบอีกครั้ง หนูได้ 7.8 คะแนน จากที่เคยได้ 2.8 ผลการทดสอบระบุว่าหนูมีทักษะการอ่านในระดับม.2 ม.3  ปีหน้าหนูจะเรียนมัธยม ต่อด้วยมหาวิทยาลัย”

นอกจากผลคะแนนที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของพรีเชียสแล้ว ผมมองว่าในที่สุด พรีเชียสก็ได้พบกับภาวะ ‘ความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ’ (Posttraumatic growth) ซึ่งแสดงออกผ่านการที่เธอรู้ซึ้งถึงคุณค่าตัวเองมากขึ้น และเมื่อเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น เธอก็ตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแม่อีกต่อไป

“สัปดาห์ที่แล้วครูเรนบอกให้ฉันเขียนสิ่งที่อยากเป็นลงไป ฉันเขียนว่าอยากผอม ผิวขาว และผมยาวสวย ครูเรนอ่านแล้วบอกว่าฉันสวยในแบบที่ฉันเป็น แต่บางทีฉันไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ฉันคิดว่าเธอพูดถูก”

จากเด็กสาวที่ชีวิตพังทลายด้วยเงื้อมมือของพ่อแม่ สู่เด็กสาวที่มีความฝันและความหวังในชีวิต แม้จะเป็นเพียงภาพยนตร์ แต่ในใจผมยังคงรู้สึกขอบคุณครูเรนที่เป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าอกเข้าใจ เห็นถึงคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ และฉุดมือพรีเชียสขึ้นมาจากขุมนรกอย่างแท้จริง   

Tags:

ภาพยนตร์บาดแผลทางจิตใจPreciousการทำร้ายรักตัวเองสุขภาพจิตพ่อแม่

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
How to enjoy life
7 September 2022

Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘Midlife Crisis’ หรือ ‘วิกฤตวัยกลางคน’ มักจะเจอกับความเครียด ความซึมเศร้า ความผิดหวัง และความสับสนในชีวิตจนถึงขั้นวิกฤต
  • สิ่งหลักๆ ที่ทำให้คนรู้สึกแย่ เพราะความรู้สึกไม่สำเร็จ ไม่ได้ในสิ่งที่หวัง ที่ฝัน เราต้องทำความเข้าใจว่า ความทุกข์จากความรู้สึกว่าพลาดอะไรไปนั้น เกิดขึ้นเพราะเราคิดว่า “ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้ เราจะไม่มีความสุข”
  • ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเจอวิกฤตในชีวิตเสมอไป และไม่จำเป็นต้องเกิดในวัยกลางคนแต่เป็นวัยอื่นก็ได้  สิ่งสำคัญคือถ้ารู้สึกว่าชีวิตเกิดวิกฤตทางอารมณ์ทางจิตใจ เราต้องหาทางจัดการ

หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘Midlife Crisis’ หรือ ‘วิกฤตวัยกลางคน’ กันมาบ้าง และน่าจะเคยได้ยินว่าพอเข้าถึงช่วงวัยกลางคน มักจะเจอกับความเครียด ความซึมเศร้า ความผิดหวัง และความสับสนในชีวิตจนถึงขั้นวิกฤต บางคนเมื่อผ่านวัยผู้ใหญ่มาสักพักอาจจะรู้สึกว่าที่ชีวิตมันแย่ขนาดนี้เพราะฉันกำลังจะเข้าสู่ช่วง Midlife Crisis หรือเปล่า บางคนอายุเพิ่งขึ้นด้วยเลข 3 ยังไม่ถึงวัยกลางคนเลยก็รู้สึกว่าชีวิตวิกฤตแล้ว แบบนี้จะเรียก Midlife Crisis ได้ไหม แล้วถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ จะอันตรายไหม ต้องทำอย่างไรต่อ เราจะมาหาคำตอบในบทความนี้ที่จะพูดถึง Midlife Crisis กันครับ

Midlife Crisis นั้นเป็นคำที่นักจิตวิทยาชาวแคนาดา อีเลียต ชาค คิดขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1965 นู่นเลยครับ แต่คำนี้ก็กลายเป็นคำที่ได้รับความนิยมใช้กันแพร่หลายทั้งในแวดวงวิชาการจนถึงสื่อต่างๆ แม้แต่ในสื่อบันเทิงอย่างเช่น ละคร หรือภาพยนตร์จนเป็นคำที่ติดปากจนถึงตอนนี้ แต่ถ้าถามว่าแล้ว Midlife Crisis คืออะไรนั้น เป็นคำตอบที่แวดวงวิชาการเองก็ยังคงถกเถียงกันอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งนักจิตวิทยาบางคนถึงกับกล่าวว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีจริงๆ มันก็เหมือนกับความเครียดความทุกข์ในวัยอื่นๆ แต่จากงานวิจัยและสถิติแล้วก็ยังคงพอมีแนวโน้มได้ว่าวัยกลางคนนั้นมันนำวิกฤตครั้งใหญ่มาให้ชีวิตได้สูงทีเดียว Midlife Crisis เองจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่คิดไปเอง แต่ทำไมชีวิตมันต้องเจอกับวิกฤตเมื่อถึงวัยกลางคน

ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ชอบประเมินสิ่งรอบตัวว่าดีหรือไม่ดี และแน่นอนว่า ‘ชีวิตของเราเอง’ ก็เป็นหนึ่งในการประเมินว่า ชีวิตของเรานั้นดีแค่ไหน ประสบความสำเร็จไหม มีความสุขหรือไม่ ถ้าจะให้เด็กหรือวัยรุ่นประเมินชีวิตก็คงเร็วไป เราควรจะผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนก่อนและช่วงวัยกลางคนก็เลยเป็นเหมือน ‘ครึ่งทาง’ ที่คนเรามักจะเริ่มย้อนกลับมาประเมินชีวิตที่ผ่านมา เรื่องนี้สอดคล้องกับทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการที่พูดถึงความแตกต่างในแต่ละช่วงวัยหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีคลาสสิก ที่ชื่อว่า ‘พัฒนาการทางจิตสังคม’ (Erikson’s stages of psychosocial development) ของนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน อีริค อีริคสัน ซึ่งกล่าวไว้ว่าในแต่ละช่วงวัย คนเรามี ‘งานที่สำคัญ’ ที่ต้องทำให้ลุล่วง อย่างเช่น วัยรุ่นนั้นต้องเริ่มหาตัวตนให้เจอว่าชอบไม่ชอบอะไร เพื่อที่จะรู้ว่าควรเรียนหรือทำงานอะไรต่อ 

ส่วนวัยกลางคนคือช่วงอายุราว ๆ 45-64 ปีนั้น งานของวัยนี้ คือการประเมินตนเองว่าชีวิตที่ผ่านมานั้นสร้างสรรค์สิ่งอะไรไว้มากแค่ไหนเพื่อที่จะมอบแก่โลกและคนรุ่นหลังต่อไป ซึ่งหากไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นคนที่ยังหมกมุ่นอยู่กับตนเองจนไม่ได้คิดถึงคนรุ่นหลัง ที่การมอบอะไรที่มีค่าทิ้งไว้เลย สิ่งสำคัญที่เราคาดหวังจากตนเองในวัยนี้เพราะวัยต่อไปก็คือบั้นปลายชีวิตที่ต้องเตรียมลาจากแล้ว 

แต่หากเราเองยังไม่เต็ม ยังรู้สึกที่ผ่านมาชีวิตไม่มีความสุข ที่ผ่านมายังประสบความสำเร็จไม่พอสำหรับตัวเองด้วยซ้ำ จะไปมอบอะไรให้ใครต่อได้ มันก็รู้สึกด้อยค่าและจะเกิดวิกฤตได้

มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาและพบว่าอายุที่มากขึ้นนั้นจะพาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติของชีวิต และเหตุการณ์ไม่ดีที่จะสร้างความเครียด ความเศร้าและทำให้ชีวิตวิกฤต หลายๆ อย่างมันมักจะเกิดในช่วงวัยกลางคน หากเรามองสิ่งแรกคือร่างกาย ร่างกายของมนุษย์นั้นจะเริ่มถดถอยอย่างช้าๆ เมื่อเราเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ก็คือตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปี พอถึงวัยกลางคนความถดถอยของร่างกายหลายๆ อย่างจะชัดเจนขึ้น (แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองด้วย) สังขารที่ไม่เที่ยงผนวกกับการเห็นคนล้มหายตายจากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ญาติผู้ใหญ่ หรือคนใกล้ตัวที่อายุมาก ก็มักจะเริ่มบ่อยขึ้นในวัยนี้ บางคนอาจจะเสียคนรุ่นปู่ย่าตายาย บางคนที่พ่อแม่อายุมากหน่อยก็อาจจะเสียพ่อหรือแม่ไป หรือบางคนก็เสียคนใกล้ตัวก่อนถึงวัยอันควรเพราะอุบัติเหตุหรือโรคร้าย ความสูญเสียเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้บ่อยขึ้นเป็นธรรมดาตอนอายุมากขึ้น 

ความตายที่เริ่มใกล้เข้ามาในชีวิตนั้นอาจทำให้หลายๆ คนตระหนักถึงความตายของตัวเอง และทำให้นึกถึงคุณค่าหรือความหมายของชีวิต และนั่นก็อาจจะทำให้เริ่มมีความเครียด ความวิตกขึ้นได้ และยังรวมถึงความเศร้าโศกเสียใจอีก หากสนิทหรือใกล้ชิดกับผู้ที่ล่วงลับไป 

การจากไปไม่ได้มีแต่เรื่องไม่ดี เรื่องน่ายินดีก็มีแต่ก็อาจจะไม่ได้น่ายินเดียเสียทุกๆ ด้าน ใครมีลูกเร็วหน่อยก็อาจจะมีเหตุการณ์เช่น ลูกแต่งงานและออกไปตั้งครอบครัวที่อื่นซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่ความเงียบเหงา และบางครั้งก็ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าขึ้นมาเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคนที่มีเป้าหมายที่จะมุ่งมั่นทำงานเพื่ออนาคตของลูก การที่ลูกโตแล้วออกจากบ้านไปเป้าหมายตรงนี้เลยหาย ไปด้วย ทำให้รู้สึกเหมือนสิ่งที่เป็นทิศทางหลักๆ ในชีวิตนั้นหายไป 

ความเปลี่ยนแปลงที่มักจะไม่ค่อยดีที่มากับอายุของหลายๆ คนคือเรื่องหน้าที่การงานและความสำเร็จ ตอนยังวัยรุ่นนั้น เราอาจจะไม่ได้คิดถึงเรื่องว่าตอนนั้นต้องประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หรือมีตำแหน่งใหญ่โตอะไร เพราะชีวิตยังมีเวลาเหลืออีกมาก โอกาสยังรออยู่อีกเยอะ แต่พอเราเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน เวลาที่เหลือที่จะไล่ตามความความฝันมันก็เริ่มน้อยลง โอกาสต่างๆ ก็หายากยิ่งขึ้น การจะเปลี่ยนงานใหม่ก็ยากมากกับคนวัยนี้ ตำแหน่งสูงๆ ที่ถึงตอนนี้ยังไม่ได้เลื่อนก็อาจจะไม่ได้อีกแล้ว 

คำถามที่ตามมากดดันในใจคือ งานที่อยากทำได้ทำหรือยัง สิ่งที่อยากเป็นได้เป็นหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ทำมาทำตอนนี้มันสายไปหรือเปล่า และถ้ามันสายไปแล้วเราจะเป็นบุคคลที่ล้มเหลวในชีวิตไหม 

คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องหนักหนาที่อาจเกิดขึ้นได้พอถึงวัยนี้

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่าคนเรานั้นมีชีวิตได้ด้วยความหวังและความฝัน แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น หลายๆ ครั้งเราจะได้พบกับประสบการณ์ที่ทำให้เรารู้ว่าโลกความจริงไม่ใช่สิ่งที่ฝันไว้เลย เราได้เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หลายอย่างมากขึ้นไปตามอายุ และนั่นทำให้เรารู้ถึงข้อจำกัดของตัวเราเอง เช่น คนที่คิดว่าสักวันจะได้เป็นนักร้อง นักดนตรี มีผลงานที่คนรู้จักบ้าง ก็อาจจะพบว่าการจะแจ้งเกิดในแวดวงนี้มันหินมากจนมีคนมากมายที่ล้มเหลวและถอดใจไป คนที่สมัยเด็กๆ อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเรียนก็จะยิ่งรู้ว่าการจะสำเร็จและเป็นที่ยอมรับในวงการเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เราอ่านในหนังสือนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยกับเรา การที่ต้องรู้ถึงข้อจำกัดเหล่านี้ วัยกลางคนนั้นอาจจะเรียกได้ว่าวัยที่เรา ‘ตื่นจากภาพลวงตา’ ได้ชัดที่สุดเพราะเจอกับอะไรมามากพอตัวแล้ว และการต้องละทิ้งความฝันและต้องยอมรับความจริงนี้ก็สร้างความหดหู่ ความเศร้ามาได้เหมือนกัน 

ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่ความฝันของคนเราบางครั้งคือเรื่องของคนรอบตัว การมีความรักที่สวยงาม การมีครอบครัวที่อบอุ่น การมีลูกที่เชื่อฟังและประสบความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นความหวังที่บางคนไม่อาจคว้ามาได้ พอถึงวัยกลางคนแล้ว หลายคนน่าจะชัดเจนกับตัวเองแล้วว่า อาจจะไม่ได้แต่งงานแล้วในชีวิตนี้ คนที่ยังไม่มีลูกก็คงมีไม่ทันแล้วเพราะร่างกายไม่เอื้อ หรือบางคนมีครอบครัวพร้อมแต่คนรักที่อยู่กันมานานก็ระหองระแหงมีปากมีเสียงประจำ ลูกๆ ก็ไม่ได้เดินตามทางที่เราอยากให้เขาเดินเลย ความชัดเจนว่าไม่มีทางได้สิ่งที่ฝันไว้อีกแล้วเลยนำมาสู่วิกฤตทางความรู้สึกของเราได้ 

บางทีปัญหานั้นไม่ได้ใหญ่โตกับคนนั้นเท่าไร แต่มีสิ่งที่มากดดันให้รู้สึกแย่กับตนเองที่หนีไม่พ้นคือสังคมรอบตัว แน่นอนว่าในสังคมนั้นมีทั้งคนที่ผิดหวังและสมหวัง สำเร็จและล้มเหลว คนที่ล้มเหลวหลายคนไม่ได้หมายความว่ามีชีวิตต่อไปไม่ได้ แต่ก็ทำงานที่ไม่ได้ชอบนักและตำแหน่งไม่ได้สูง ไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีแต่ก็พอเลี้ยงตัวเองได้ ครอบครัวไม่ได้อบอุ่นแต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่เผาผี ซึ่งถ้าไม่ได้เทียบกับใครมันก็พอยอมรับได้ แต่สังคมมักจะมีแบบแผนชีวิตตายตัวของ ‘คนที่ประสบความสำเร็จ’ ที่กรอกหูเราตลอดเวลา ทั้งทางสื่อ ทางการพูดคุยกับคนอื่นๆ ทั้งเพื่อน ทั้งญาติ ทั้งป้าข้างบ้าน และวัยกลางคนนั้นมักจะมีความคาดหวังอันหนักหน่วงที่สังคมคิดว่าควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นควรมีตำแหน่งการเงินที่ดี ต้องแต่งงาน ต้องมีลูก วัยนี้ต้องมีแพสซีฟอินคัม ต้องมีหลักประกันชีวิตบั้นปลาย และสิ่งอื่นๆ สารพัด 

การไม่มี หรือมีแต่ไม่ดีในด้านเหล่านี้ ก็กดดันตัวเองว่าไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ ยังรู้สึกขาด รู้สึกไม่พอ และนั่นก็สร้างความทุกข์มาให้

จนถึงตอนนี้เราคงเห็นแล้วว่าชีวิตที่เข้าสู่วัยกลางคนนั้น มันมักจะพาเรื่องเครียดๆ มามากมายจนทำให้เกิดวิกฤตได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยก็พบว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องเกิดวิกฤตในวัยกลางคน เหตุการณ์บางอย่างทำให้คนหนึ่งเกิดวิกฤต แต่กับบางคนก็ไม่ และบางครั้งเหตุการณ์ที่มากระตุ้นให้เกิดวิกฤตมันก็มาไม่ตรงเวลาของมัน บางคนอาจจะต้องพบกับการสูญเสียคนใกล้ตัวไวกว่าปกติเพราะโรคร้าย บางคนก็ต้องเจอกับวิกฤตทางการงานที่ไม่มีทางไปต่อตั้งแต่อายุ 30 อย่างคนที่เป็นนักกีฬา ดารา หรืออาชีพที่จำกัดด้านอายุ ความรู้สึกล้มเหลวในชีวิต การงาน ครอบครัวนั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างไปตามคน บางคนโชคดีหน่อยตรงอาจจะไม่เจอบางเรื่อง หรือบางคนโชคร้ายหน่อยเกิดทุกเรื่องพร้อมกัน หรือบางคนโชคร้ายที่เกิดเรื่องแต่ว่าใจเข้มแข็งพอเลยรับไหวก็เลยไม่รู้สึกวิกฤต 

ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเจอวิกฤตในชีวิตเสมอไป และไม่จำเป็นต้องเกิดในวัยกลางคนแต่เป็นวัยอื่นก็ได้ 

และคนเรานั้นมีแนวทางจัดการกับปัญหาและความเครียดแตกต่างกัน คนที่จัดการได้ดีกว่า ก็อาจจะเครียดน้อยกว่า คนที่อ่อนไหวกว่าก็อาจจะเกิดวิกฤตได้ง่ายกว่า บุคลิกภาพหรือความแตกต่างระหว่างบุคคลในการรับความเครียดได้มากน้อยก็ต่างกันไปอีกด้วย

ผมเล่าถึงเรื่องไม่ดีที่มาพร้อมอายุมาเยอะ แต่อายุที่เยอะขึ้นก็ไม่ได้นำมาแต่เรื่องร้ายๆ และอย่างที่บอกว่าไม่ได้นำวิกฤตมาให้ทุกคน จากงานวิจัยก็พบว่าช่วงวัยกลางคนนั้นก็มีแง่มุมที่ทำให้บางคนรู้สึกว่าเป็นวัยที่มีความสุขที่สุดได้เหมือนกัน เพราะพอถึงวัยกลางคน แล้วบางคนเริ่มมีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น ตอนนี้อยากซื้ออะไรที่อยากได้ก็มีโอกาสมากขึ้น ไม่ต้องจำกัดจำเขี่ยเหมือนวัยรุ่น ในเรื่องการงานความสามารถ ก็ถือว่าเป็นวัยที่มีประสบการณ์ มีทักษะจากการทำงานมานาน ทำให้มีความมั่นใจในตนเองเรื่องนี้มากขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอายุที่มากขึ้นกับบางคนนั้นทำให้เกิดความทุกข์ แต่กับบางคนกลับทำให้ชีวิตดีขึ้นด้วยซ้ำ อย่างการที่ลูกแต่งงานออกจากบ้านไป พ่อแม่บางคนก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่ฉันจะหาความสุขใส่ตัวเอง ได้ทำสิ่งที่ชอบเสียทีเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องลูกแล้ว

คำถามที่ยังค้างอยู่คือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหากเราทุกข์ใจ เครียด วิตก ซึมเศร้าอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะ Midlife Crisis หรือเปล่า คำตอบคือไม่ต้องแยกหรอกครับว่าความทุกข์ตอนนี้จะเรียกว่า Midlife Crisis หรือไม่ อย่างที่บอกคือวิกฤตนั้นเกิดเพราะมีเหตุการณ์ไม่ดีมากระตุ้น ซึ่งการจะเกิดวัยไหนบางครั้งก็แล้วแต่คน เพียงแต่วัยกลางคนมีโอกาสที่เหตุการณ์นั้นจะเข้ามาง่ายกว่าวัยอื่น แต่กับเราจะเข้ามาเร็วกว่าปกติ หรือช้ากว่าปกติก็ไม่แปลก หรือเข้ามาแต่ไม่เกิดวิกฤตก็ได้ หรือไม่มีอะไรหนักหนามากแต่ชีวิตวิกฤตก็เป็นไปได้เหมือนกัน 

สิ่งสำคัญคือถ้ารู้สึกว่าชีวิตเกิดวิกฤตทางอารมณ์ทางจิตใจ เราต้องหาทางจัดการ หรือถ้าเราอยู่วัยกลางคนแล้วเกิดวิกฤตและรับมือไม่ไหว ก็อย่าคิดว่าเดี๋ยวมันจะหายไปเองตามอายุ ไม่ได้แปลว่าพอพ้นจาก Midlife แล้ว Crisis จะหายไป จะเกิดรู้สึกทุกข์จนวิกฤตตอนไหนวัยไหน หากมันกระทบต่อชีวิต สุขภาพ ความสัมพันธ์ หรือการงาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือใครก็ตามที่เรารู้สึกว่าช่วยเหลือเราทางเรื่องสุขภาพจิตได้ อย่าปล่อยให้เรื้อรังเพราะหากมันมากจนกลายเป็นอาการที่หนักขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า การรักษาอาจจะยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้น และผลเสียต่อสุขภาพกายและใจบางครั้งมันกู้คืนมาไม่ได้ครับ

สิ่งสุดท้ายที่หลายๆ คนน่าจะอยากรู้คือ แล้วมีทางป้องกันไม่ให้เจอกับ Midlife Crisis ไหม เรื่องนี้ก็เหมือนความทุกข์อื่นๆ คือยากที่จะป้องกัน 100 เปอร์เซ็นต์ คงน้อยคนมากที่เกิดมาแล้วไม่ต้องเจอเหตุการณ์ที่หนักหนาเลย แต่ความเข้าใจก็อาจช่วยบรรเทาไม่ให้ความทุกข์มาสร้างวิกฤตได้บ้าง Midlife Crisis นั้นสิ่งหลักๆ ที่ทำให้มันทำให้คนรู้สึกแย่ เพราะความรู้สึกไม่สำเร็จ ไม่ได้ในสิ่งที่หวัง ที่ฝัน ซึ่งบางครั้งเราต้องทำความเข้าใจว่า 

ความทุกข์จากความรู้สึกว่าพลาดอะไรไปนั้น เกิดขึ้นเพราะเราคิดว่า “ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้ เราจะไม่มีความสุข” ซึ่งในหลายๆ ครั้ง คนเรามักจะนึกว่าได้สิ่งอะไรมาแล้วจะมีผลกับชีวิตมากเกินจริง 

คนเราชอบคิดว่าการได้เลื่อนขั้น การได้แต่งงาน การได้มีลูก จะสร้างความสุขล้นเหลือ แบบอิ่มเอมไปจนวันตาย แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่เราอยากได้ โหยหา พอได้มาจริงๆ มันไม่ได้ทำให้มีความสุขหรือเต็มอิ่มนานเท่าที่คาดหวัง ได้มาก็เป็นเรื่องดี แต่แน่นอนว่าถ้าไม่ได้ มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตแย่ลงมากหรือบางทีก็ไม่ได้ทำชีวิตแย่ลงเลย ความทุกข์มันมาจากการประเมินของเราเองมากกว่า ว่าเรา ‘ล้มเหลว’ ‘พลาด’ ‘ไม่มี’ ซึ่งถ้าหากพยายามมองในแต่ละวันแล้ว จริงๆ อาจไม่มีอะไรเลวร้ายแบบที่คิด

ความคาดหวังที่สังคมพร่ำบอกนั้น มักจะทำให้เรายึดติดว่าชีวิตที่มีความสุขนั้นต้องได้อะไร มีอะไร สำเร็จอะไร แต่ในความเป็นจริง ความสุขของคนเกิดจากสิ่งหลากหลายรูปแบบ การที่เราไม่มีในแบบที่สังคมคาดหวัง ไม่ได้แปลว่าเราไม่สำเร็จหรือไม่มีความสุข และบางคนตั้งเป้าหมายตามสังคมบอกอย่างเดียว แต่ไม่เคยสนใจความรู้สึกลึกๆ ของตนเองเลยว่าอยากได้อะไร สุดท้ายพอได้มากลับรู้สึกว่าไม่มีความสุข และยิ่งรู้สึกหลงทาง

นอกจากนี้อย่าลืมว่าใจกับกายเชื่อมกันเสมอ ใจอ่อนแอกายก็อ่อนแอตาม กายอ่อนแอใจก็อ่อนแอตาม อายุเพิ่มขึ้น ร่างกายก็ถดถอยลง ทำให้เราเหนื่อยง่ายกว่าเดิม รู้สึกลำบากในการทำอะไรมากขึ้น เวลาเจอปัญหามันก็ยิ่งเหนื่อยยิ่งหนักขึ้น แต่อย่าลืมว่าเราก็ชะลอความถดถอยนั้นได้บ้าง หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่เหมาะสม ดูแลตัวเองให้สุขภาพดี หรือใครที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วก็อย่าเพิ่งถอดใจ ดูแลตัวเองให้ดีไว้ ร่างกายเราอาจจะไม่ได้อยู่ในภาวะที่ดีเท่าคนอื่น แต่ก็ขอให้อยู่ในแบบที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้วกันครับ ใจในร่างกายแข็งแรงที่แข็งแรงกว่ามักจะมีแรงสู้มากกว่าอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอกว่า

เหตุการณ์เลวร้ายที่เข้ามานั้น แน่นอนว่าคงไม่ทำให้เรารู้สึกดี แต่ไม่ใช่ว่ามีแต่ข้อเสีย ความวิกฤตของชีวิตทำให้เราได้รับ ‘ความเฉลียวฉลาดแบบผู้ใหญ่’ 

การจะเป็นคนที่เติบโตอย่างสมบูรณ์เต็มที่ คือได้รับรู้ประสบการณ์ทั้งดีทั้งร้ายมามาก และผ่านพ้นมันมาได้ 

ภาษาอังกฤษมีคำว่า ‘wisdom’ ที่ไม่ได้หมายถึงความฉลาดแบบรู้เยอะ เรียนเก่ง ทำเรื่องยากๆ ได้ แต่เป็นความฉลาดจากวุฒิภาวะรู้ว่า ‘โลกความจริง’ คืออะไร เช่น การรู้ว่า ชีวิตคนเราไม่ได้ทุกอย่างที่เราต้องการทั้งหมด ไม่มีสูตรสำเร็จของความสุข อย่างเช่น การแต่งงาน การได้ยอมรับถึงความสูญเสีย ความผิดพลาด และทำให้ตนเองรับมือไหวกับปัญหาแบบเดียวกันในอนาคต wisdom ล้วนแต่จะเกิดขึ้นหากมีประสบการณ์เท่านั้น และทำให้คนที่ผ่านมาแล้วเป็น ‘ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน’ ซึ่งเข้าใจโลกและเป็นที่พึ่งของคนรุ่นหลังได้หากมีโอกาส

เอกสารอ้างอิง

Aldwin, C. M., & Levenson, M. R. (2001). Stress, coping, and health at mid-life. The handbook of midlife development, 188-214.

Brim Jr, O. G. (1976). Theories of the male mid-life crisis. The Counseling Psychologist, 6(1), 2-9.

Freund, A. M., & Ritter, J. O. (2009). Midlife crisis: A debate. Gerontology, 55(5), 582-591.

Tags:

ความเครียดการเรียนรู้สุขภาพกายใจคุณค่าความสำเร็จการเติบโตMidlife crisis

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Marshmallow
    How to enjoy life
    ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    ‘หนังพาไป’ 13 ปีของคู่หูนักเดินทาง ‘บอล-ยอด’ ที่ชวนเรามองโลกมุมต่าง ตั้งคำถามกับตัวเองและเติบโตไปด้วยกัน

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    ‘สุขสำเร็จ’ เมื่อสมดุลของความสำเร็จคือความทะเยอทะยานและความสุข

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    Imposter Syndrome: แด่ความรู้สึกว่าตัวเอง ‘เก่งไม่พอ’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน
Early childhoodFamily Psychology
7 September 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ‘บาดแผลในวัยเยาว์’ นั้นง่ายที่จะสร้าง แต่กลับยากที่จะลืม ผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วยทางใจหลายคน ครั้งหนึ่งก็คือเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับบาดแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งสำหรับบางคนแม้จะผ่านไปหลายปี แต่ภาพฝันร้ายในวันนั้นยังคงชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
  • มนุษย์เรามักจดจำความทรงจำเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้แม่นยำกว่าความทรงจำดีๆ หลายงานวิจัยพบว่า สาเหตุที่ทำให้สมองเราเลือก จดจำสิ่งที่เลวร้ายอย่างละเอียดและแม่นยำ เพราะความจำเป็นเพื่อการอยู่รอด
  • ความทรงจำเลวร้ายก่อให้เกิด ‘ความกลัว’ ‘ความเศร้า’ ที่จะทำสิ่งใดๆ ต่อ ที่สำคัญคือพัฒนาการในเด็กมักจะถดถอย เมื่อเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต พ่อแม่และผู้ใหญ่ จึงไม่ควรสอนเด็กโดยทำให้เขากลัว เพราะเราอาจจะสร้างบาดเเผลให้กับเด็กคนนั้นโดยที่เราไม่ได้เจตนา

‘บาดแผลในวัยเยาว์’ ง่ายที่จะสร้าง แต่กลับยากที่จะลืม

บาดแผลเหล่านั้นทิ้งร่องรอยฝังลึกไว้เสมอ ผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วยทางใจหลายคน ครั้งหนึ่งก็คือเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับบาดแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยา

ตัวอย่างเคส: ‘เด็กชายกับความทรงจำเลวร้าย’ 

เด็กชายวัย 9 ปีคนหนึ่งได้รับการอุปการะไปอยู่กับครอบครัวใหม่ เนื่องจากครอบครัว เก่าของเขาไม่สามารถดูแลเขาได้อย่างเหมาะสม แม้ครอบครัวจะเลี้ยงดูเด็กชายอย่างดี แต่ประสบการณ์เลวร้ายยังทิ้งร่องรอยบาดแผลฝังลึกในใจของเขามาเสมอ แม้เด็กชาย จะยังเล็กมากๆ ตอนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น จนผู้ใหญ่หลายคนเชื่อว่าเขาคงยังไม่โตพอจะเข้าใจถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถึงกระนั้นเด็กชายกลับจดจำความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ในช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นาน 

ทันทีที่นักบำบัดถามเด็กชายถึงสิ่งที่เขาไม่ชอบ 

สิ่งที่เด็กชายตอบกลับมานั้น 

“ผมไม่เสียงดัง ไม่ชอบไม้แขวนเสื้อ และกลิ่นเหล้า” 

เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชาย หัวใจของนักบำบัดอย่างเราก็ปวดร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็น มาก่อน เพราะสิ่งที่เด็กชายไม่ชอบทั้งหมดนี้ ล้วนเเล้วเเต่เป็นสิ่งที่พ่อแท้ๆ ใช้ทำร้ายเขา เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก 

พ่อของเด็กชายติดแอลกอฮอล์เรื้อรัง ทุกครั้งที่เขาเมา เขาจะระบายอารมณ์กับลูกที่อยู่ ในวัยปฐมวัย ทั้งตะคอกด้วยเสียงอันดังและลงไม้ลงมือกับลูกอย่างไร้เหตุผล ซึ่งเด็กชาย ตัวเล็กๆ ไม่มีทางสู้หรือหนีไปไหนได้เลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นไม่มีผู้ใหญ่คนใดกล้าเข้าไป ช่วยหรือขัดขวางเด็กชายจากพ่อของเขาได้ 

“เรารู้สึกอย่างไรบ้าง?” 

“กลัว” คำตอบสั้นๆ ที่สะท้อนทุกความรู้สึกได้กระจ่างชัดที่สุด 

แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะผ่านมานานหลายปีแล้ว และปัจจุบันเด็กชายไม่ได้อยู่กับพ่อของ เขาอีกแล้ว และเด็กชายไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ได้ชัดเจน แต่เด็กชายกลับยังจดจำ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เขาจดจำกลิ่นของแอลกอฮอล์ อุปกรณ์ที่สร้างแผลเป็นบนหลังและท้องแขนของเขา และแม้แต่เสียงอันดังของพ่อได้ และความทรงจำนี้ยังคงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว 

คำถาม ‘ทำไมมนุษย์เราจดจำความทรงจำที่เลวร้ายได้กว่าความทรงจำที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก?’

คำตอบ มนุษย์เรามักจดจำความทรงจำเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้แม่นยำกว่าความทรงจำดีๆ เพราะ สมองของเรามักจัดการข้อมูลเชิงลบและเชิงบวกในบริเวณซีกสมองที่แตกต่างกัน (Nass, 2012) 

อารมณ์เชิงลบต้องใช้สมองประมวลความคิดมากกว่าอารมณ์เชิงบวก ลองสังเกตเวลา เราจะเล่าเหตุการณ์ที่เจอ เรามักจะใช้เวลาในการหาคำมาอธิบายเหตุการณ์เลวร้าย มากกว่าเหตุการณ์ที่ทำให้เรามีความสุข เพราะ ‘ความทุกข์ใจ’ จากความกลัว ความเศร้า ความเครียด ความเจ็บปวด มักพูดออกมาได้ยากกว่า ‘ความสุขใจ’ ที่เต็มไปด้วย ความยินดี 

สมองมนุษย์เราซับซ้อนมากนัก มีหลายงานวิจัยพบว่า สาเหตุที่ทำให้สมองเราเลือกจดจำสิ่งที่เลวร้ายอย่างละเอียดและแม่นยำ เพราะความจำเป็นเพื่อการอยู่รอด (Evolutionary standpoint) 

งานวิจัยของ Elizabeth Kenzinger (2007) อธิบายผ่านการยกตัวอย่างว่า ถ้าครั้งหนึ่ง มีคนนำปืนมาจ่อที่หน้าเรา แน่นอนเราคงตกใจกลัวมาก ณ เวลานั้น (บังเอิญถ้าเรารอด จากเหตุการณ์ดังกล่าวมาได้) แม้เวลาผ่านไปเรายังจดจำรายละเอียดของเหตุการณ์ก่อนเกิด ระหว่างเกิด และหลังเกิดขึ้นได้อย่างค่อนข้างแม่นย ดังนั้นเมื่อเราเจอเหตุการณ์ครั้งใหม่ที่มีกลิ่นอายคล้ายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสัญชาตญาณก็จะคอยเตือนเราผ่านการฉายภาพความทรงจำสะท้อนขึ้นมาให้เรามองหาทางหนี เพื่อจะได้ไม่โดนปืนจ่อหน้าอีก 

ถ้าหากเหตุการณ์นั้นเลวร้ายมากๆ บางทีแค่เราเห็นบางอย่างที่ปรากฏในเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ กลิ่น เสียง ลักษณะอากาศที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในวันดังกล่าว ภาพความทรงจำเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมาหาเราทันที โดยที่เราไม่ต้องพยายามนึกถึงมันเสียด้วยซ้ำ

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเหตุผลของการอยู่รอดของเรา แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจจะไปขัดขวาง การก้าวไปข้างหน้าของเราเหมือนกัน เราอาจจะกลัวการเผชิญหน้ากับบางอย่าง ทำให้เราหยุดเดินต่อ

‘จดจำเรื่องราวไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าจดจำความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ได้’ 

บางคนบอกว่า “เด็กๆ ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรอก พวกเขายังเด็กเกินไป”

เราอาจจะลืมนึกไปว่า ‘เด็กมีจินตนาการที่ยอดเยี่ยม’ นั่นยิ่งทวีความรุนแรงของ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเขา เพราะในเมื่อเขาไม่เข้าใจว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ สมองจะทำหน้าที่ตีความตามประสบการณ์(น้อยนิด) ที่เขามีมา ผนวกเข้ากับจินตนาการไร้ขอบเขต เหตุการณ์อาจจะเลวร้ายและน่ากลัวเกินจากเหตุการณ์จริงมากสำหรับเขา 

ซึ่งความทรงจำเลวร้ายก่อให้เกิด ‘ความกลัว’ ‘ความเศร้า’ ที่จะทำสิ่งใดๆ ต่อพัฒนาการในเด็กมักจะถดถอยเมื่อเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต 

Baumeister (2001) กล่าวว่า “เด็กได้รับอิทธิพลจากด้านที่ไม่ดีของพ่อแม่มากกว่าด้านที่ดี” 

ดังนั้น การลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ เช่น การฟาดตี การตะคอกด่า การประจานให้ อับอาย การทำลายสิ่งของหรือบุคคลที่เด็กรัก การขู่ให้หวาดกลัว การไม่ได้รับความรัก และการทำโทษที่เกิดขึ้นโดยใช้อารมณ์เหนือเหตุผลเป็นตัวตั้ง นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เพื่อพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าแล้ว ความกลัวที่เกิดขึ้นในตัวเด็กยังนำไปสู่พัฒนาการถดถอย(Regression) ได้ เช่น 

ในเด็กบางคนที่สามารถเข้าห้องน้ำได้เองแล้ว แต่กลับมาปัสสาวะรดกางเกงหรือที่นอน ในเด็กที่เลิกดูดนิ้วมือแล้วกลับมาดูดนิ้วอีกครั้ง และพฤติกรรมอื่นๆที่ถดถอยลงไปจากเดิม จากที่เคยทำสิ่งใดได้ แต่มาตอนนี้กลับทำไม่ได้ 

ดังนั้น พ่อแม่และผู้ใหญ่ไม่ควรสอนเด็กโดยทำให้เขากลัว เพราะเราอาจจะสร้างบาดเเผลให้กับเด็กคนนั้นโดยที่เราไม่ได้เจตนา

แนวทางในการช่วยเหลือเด็กและผู้ที่มีบาดแผลทางใจ

ซึ่งเกิดจากการได้รับประสบการณ์ที่เลวร้าย มีดังนี้

1. จัดสภาพแวดล้อมให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา 

จัดสภาพแวดล้อมที่สงบมั่นคง เช่น ห้องนอนที่มีเตียง หมอน และผ้าห่มอุ่นๆ มีแสงไฟสีเหลืองนวล มีตุ๊กตานุ่มๆ ให้กอด และมีกลิ่นที่สะอาด ไม่อับชื้น

2. เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา 

เราสามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับใครสักคนได้ โดยเริ่มจาก 

  • ให้การรับฟัง 
  • ให้การยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น 
  • ให้ความรักและการสนับสนุนทางใจ 
  • ให้อภัยและการสอน 
  • ให้ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ 

การเยียวยาจิตใจที่ดีที่สุดคือการทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยเพียงพอที่ไม่ต้องพยายาม ทำตัวแข็งแกร่งหรือสร้างกำแพงหนาขึ้นมาอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขามีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือและปกป้องเขา 

‘ในวันที่อีกฝ่ายเหนื่อยล้า โปรดโอบกอดเขาด้วยความรักและความเข้าใจ’ 

3. ขอความช่วยเหลือ 

การประสบกับเหตุการณ์ที่รุนแรงมากๆ เช่น สงคราม การประสบอุบัติเหตุ การเห็นผู้เสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา และความรุนแรงต่างๆ 

เหตุการณ์ที่ประสบสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจมหาศาล และผู้ที่ประสบอาจจะกลายเป็นโรคจิตเวชได้ ได้แก่ โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (Post Traumatic  Stress Disorder; PTSD) ตามเกณฑ์การวินิจฉัยโรค DSM-5 ของสมาคมจิตแพทย์ อเมริกัน โรคนี้จัดอยู่ในกลุ่ม Trauma and Stressor Related Disorders ซึ่งผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็น PTSD จะมีอาการดังนี้ 

  • ยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ราวกับว่าเหตุการณ์ยังคงเกิดขึ้น 
  • พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือ สิ่งที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์
  • อารมณ์และความคิดเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ 
  • มีอาการตื่นตระหนกกลัว โดยมีอาการเช่นนี้ปรากฏอยู่นานมากกว่า 1 เดือนหลัง เหตุการณ์ผ่านไป 

ถึงแม้เวลาจะผ่านไปหลายปี คนบางคนยังภาพฝันร้ายในวันนั้นยังคงชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ผู้ที่มีอาการ PTSD ควรได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักบำบัดต่างๆ เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม ต่อไป 

สุดท้าย เราทุกคนต่างอยากเป็นความทรงจำที่ดีของคนที่เรารัก ดังนั้นในวันนี้ที่เราเป็นผู้ใหญ่ อย่าลืมรักษาใจเราให้ดี และไม่สร้างบาดแผลให้กับใครโดยไม่จำเป็น 

อ้างอิง 

American Psychiatric Association (2013) Diagnostic and statistical manual of   mental disorders (DSM-5®) American Psychiatric Pub 

Baumeister, R F, Bratslavsky, E, Finkenauer, C, & Vohs, K D (2001) Bad is   stronger than good Review of general psychology, 5(4), 323 

The New York Times. (2012, March 23). why people remember negative  events more than positive ones. The New York Times. Retrieved August  18, 2022, from https://www.nytimes.com/2012/03/24/your-money/why people-remember-negative-events-more-than-positive-ones.html

Tags:

บาดแผลทางจิตใจความทรงจำการเลี้ยงดูเข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไปวัยเด็กPTSDความกลัวพัฒนาการปฐมวัย

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • MovieDear Parents
    Stutz: เปิดอกสื่อสารออกไป ให้หัวใจได้บำบัด

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family PsychologyEarly childhood
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.5 ‘เด็กพูดโกหก’ 

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

‘เข้าใจ ไม่ตัดสิน ให้โอกาส’ สร้างการเรียนรู้ เปิดประตูอนาคตพ่อแม่วัยรุ่น: สุดาพร นาคฟัก กลุ่มฅนวัยใส เชียงใหม่
Everyone can be an Educator
6 September 2022

‘เข้าใจ ไม่ตัดสิน ให้โอกาส’ สร้างการเรียนรู้ เปิดประตูอนาคตพ่อแม่วัยรุ่น: สุดาพร นาคฟัก กลุ่มฅนวัยใส เชียงใหม่

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • การสร้างการเรียนรู้ของ ‘กลุ่มฅนวัยใส’ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบศักยภาพ พัฒนาตนเอง มีอาชีพ มีรายได้ดูแลครอบครัว ตลอดจนเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
  • ถ้าพ่อแม่วัยรุ่นสามารถพัฒนาตนเอง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ได้หนึ่งคน คนคนนั้นจะหลุดพ้นจากความยากจน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงลูกของเขาก็จะได้รับการพัฒนาเป็นเด็กคุณภาพที่เข้าสู่ระบบการศึกษาจนสำเร็จ
  • บทบาทการทำงานกับเยาวชนนอกระบบการศึกษา สิ่งสำคัญคือต้องมีความเมตตา เข้าใจ ไม่ตัดสิน และให้โอกาส รวมถึงจัดกระบวนการเรียนรู้ตามความสนใจ ตอบโจทย์แก้ปัญหาชีวิตของเขาให้ได้

“ถ้าท้องของคนเรามันหิว ประตูแห่งการเรียนรู้ทุกอย่างมันจะถูกปิด เพราะฉะนั้นมันเป็นปัญหาเร่งด่วน ก็เลยพยายามจัดกระบวนการเรียนรู้ให้พ่อแม่วัยรุ่น เพื่อให้เขามีอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูลูกตัวเองให้ได้” 

นี่คือเสียงสะท้อนของคนที่ทำงานกับ ‘พ่อแม่วัยรุ่น’ ในเวทีเสวนาออนไลน์ Little Big Communities Talk season 2 EP.4 หัวข้อ ‘สร้างการเรียนรู้ ให้พ่อแม่วัยรุ่น เพื่อแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่น’ จัดโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) 

The Potential หยิบหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ที่น่าสนใจ จากโครงการส่งเสริมโอกาสทางการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเยาวชนและแรงงานนอกระบบ กลุ่มฅนวัยใส จังหวัดเชียงใหม่ มาเล่าสู่กันฟังผ่านมุมมองของ สุดาพร นาคฟัก ‘กลุ่มฅนวัยใส’ จังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการฯ ที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบศักยภาพ พัฒนาตนเอง มีอาชีพ มีรายได้ดูแลครอบครัว ตลอดจนเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง 

“สิ่งที่เราร่วมลงมือ ลงแรงกันไป เวลาผ่านไปมันออกดอก เห็นผล แล้วชีวิตเขาดีขึ้น นี่คือเป้าหมายหลักของการทำงานของเรา” 

สุดาพร นาคฟัก ‘กลุ่มฅนวัยใส’ จังหวัดเชียงใหม่

หลักสูตรการเรียนรู้ ‘พ่อแม่วัยรุ่น’ สู่การสร้างอาชีพ 

‘ป้องกันท้องซ้ำในวัยรุ่น ดูแลสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ เสริมทักษะชีวิต พัฒนาสู่การสร้างอาชีพสร้างรายได้’ นี่น่าจะเป็นคอนเซปต์ที่ฉายให้เห็นภาพการทำงานของ สุดาพร นาคฟัก กับ ‘กลุ่มฅนวัยใส’ จังหวัดเชียงใหม่ ได้ชัดเจนทีเดียว 

“เดิมเราทำงานด้านสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ในกลุ่มคนทุกคนที่อยู่ในชุมชนและโรงเรียน ตั้งแต่เด็กเล็ก วัยพรีทีน วัยรุ่น พ่อแม่ผู้ปกครอง ก็จะเป็นการจัดกระบวนการให้ความรู้ แต่ด้วยสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีจำนวนกลุ่มพ่อแม่วัยรุ่น สถิติที่สูงขึ้น และในพื้นที่ที่เราทำงานเองก็มีสถานการณ์ที่พ่อแม่วัยรุ่นเพิ่มเยอะมาก พอทำงานเชิงลึกกับเขาจะเห็นเลยว่า ชีวิตของเขามันมีอุปสรรคปัญหาเยอะมาก แล้วช่องว่างก็คือว่า มันไม่เคยมีใครหรือองค์กรไหนที่ทำงานกับกลุ่มนี้แบบจริงจัง กลุ่มเราก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายขององค์กรไปทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกับกลุ่มพ่อแม่วัยรุ่นโดยเฉพาะ โดยการสนับสนุนจาก กสศ.” 

จากการทำงานเชิงลึก ทำให้เธอมองเห็นแนวทางและศักยภาพของเด็กกลุ่มนี้ว่า บางคนยังมีความฝัน แววตายังมีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่พร้อมจะเรียนรู้อีกครั้ง แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหลักคือเรื่องปากท้อง  

“เมื่อก่อนประเด็นเริ่มต้นในการทำงานคือระวังในเรื่องการท้องซ้ำ เรื่องการดูแลลูก พัฒนาการเด็ก และเรื่องการส่งเสริมการอ่านนิทาน แล้วทุกครั้งที่เราชวนเขามาทำกิจกรรม ปัญหาหลักๆ ที่เป็นทุกครอบครัวคือเรื่องเงิน ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาที่จัดการยาก ถึงขั้นที่เขาไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ไม่มีเงินซื้อนมให้ลูก” 

“ถ้าท้องของคนเรามันหิว ประตูแห่งการเรียนรู้ทุกอย่างมันจะถูกปิด เพราะฉะนั้นมันเป็นปัญหาเร่งด่วน ก็เลยพยายามจัดกระบวนการเรียนรู้ให้พ่อแม่วัยรุ่น เพื่อให้เขามีอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูลูกตัวเองให้ได้” 

‘ปิดจุดด้อย เสริมจุดเด่น’ กระบวนการทำงานกับพ่อแม่วัยรุ่น

อย่างไรเสีย ‘พ่อแม่วัยรุ่น’ ก็คือ ‘มนุษย์วัยรุ่น’ คนหนึ่ง ที่วันนี้กลายมาเป็นพ่อแม่ กระบวนการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาศักยภาพ ทั้งในบทบาทของความเป็นพ่อแม่ที่จำเป็นต้องเลี้ยงดูอีกชีวิตให้เติบโตอย่างดีที่สุด ในบทบาทของความเป็นลูกที่ต้องดูแลพ่อแม่ และในบทบาทของความเป็นพลเมืองที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จึงต้องเริ่มจากการทำความรู้จักกันเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้

โดยภาคีเครือข่ายที่ทำงานร่วมกัน เช่น โรงพยาบาลสารภีกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ ทำงานร่วมกันในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและการประสานงานลงพื้นที่เยี่ยมบ้านพ่อแม่วัยรุ่นเหล่านั้น 

“กลุ่มเด็กวัยใสเขาจะเหมือนมีตราบาป เวลามีใครติดต่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดใจยอมให้คนภายนอกเข้ามาเรียนรู้ปัญหาของตนเองและครอบครัวของตนเอง ค่อนข้างจะปิด เพราะฉะนั้นเราจะใช้แรงพลังในการหาและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้” 

ในการลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เป็นการเข้าไปทำความรู้จักกัน เริ่มจากแนะนำตัวเองในฐานะคนทำงาน เพื่อหาแนวร่วมว่าในครอบครัวนี้ มีญาติพี่น้องหรือใครที่เป็นแนวร่วมเพื่อทำงานพัฒนาศักยภาพเขาได้บ้าง จากนั้นจึงกลับมาวางแผนกระบวนการทำงาน

“แล้วก็จะมีเวทีชวนเข้ามาทำความรู้จักเราเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้ว่าเด็กกลุ่มนี้ สมมติว่าเขาไปเรียนรู้หรือว่าเขาไปที่ไหนแล้ว เขารู้สึกว่าพื้นที่แห่งนั้น หรือว่าคนที่อยู่ที่นั่นตีตราซ้ำเติม ดูถูกเหยียดหยามเขา มันไม่มีทางที่เขาจะเปิดตัวเองก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซน เพื่อไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในการพัฒนาตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีกระบวนการที่ทำความรู้จักคุ้นเคยกับเขา กับเพื่อนๆ” 

“เด็กแต่ละคนจะมีเบื้องหลังของชีวิตที่ค่อนข้างต่างกัน แม้ว่าเขาจะมีสถานการณ์ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเหมือนกัน มันต้องมีกระบวนการสร้างพื้นที่ปลอดภัย แล้วก็ออกแบบกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับวิถีและความต้องการของเขาจริงๆ สามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตของเขาให้ได้”

บทบาทการทำงานกับเยาวชนนอกระบบการศึกษา สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องมีความเมตตา เข้าใจ ไม่ตัดสิน และให้โอกาส 

“ความรู้ของตัวเราเองที่จะต้องหาเติมอยู่ตลอดเวลาให้ทันกับสภาพปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย ที่สำคัญก็คือต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ตามความสนใจ แล้วก็ตอบโจทย์แก้ปัญหาชีวิตของเขาให้ได้ รวมถึงครอบครัวของเขา ถ้าเขาเข้าใจกันกลับไปสู่ครอบครัวได้ แล้วครอบครัวช่วยเหลือ กลุ่มนี้จะไปได้ไกล”

จุดประกายฝัน จัดการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิต 

จุดเด่นที่เข้มแข็งของเด็กๆ เยาวชนกลุ่มนี้ คือ มีความฝันและมีพลังในการขับเคลื่อน แต่อีกมุมหนึ่งก็ไม่ใช่ทุกบ้านที่อยากเปิดแผล หรือให้ใครมาเรียนรู้ปัญหาของตนเอง เพราะสิ่งที่เจอก็หนักหนาพอแล้ว

ในการช่วยเหลือนั้น จะแบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน กลุ่มที่ยังมีครอบครัวคอยสนับสนุน และกลุ่มที่ไม่เอาอะไรเลย ซึ่งกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่ไม่มีความมั่นใจพอที่จะเปิดตัวเอง เปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้สิ่งอื่น แบ่งกลุ่มเพื่อดูแลเป็นรายบุคคล ส่วนกลุ่มที่พอจะสามารถเรียนรู้ได้ ก็จัดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของเขา 

เพราะการจัดการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนนั้นสำคัญมาก ต่อให้กระบวนการดีเพียงใดหากไม่มีคนสนใจหรือไม่ตอบโจทย์ความต้องการ ก็จะเป็นการทำงานที่ไร้ประโยชน์เสียเปล่าๆ 

“สมมติเขาอยากเรียนรู้เรื่องทำอาหาร แต่เราชวนเขาไปเรียนรู้เรื่องการตากผ้า แล้วสมาชิกในกลุ่มมันไม่มีใครสนใจเลย แม้ว่าเราจะมีกระบวนการหลักสูตรตั้งไว้ 1-5 ถ้าเขาไม่สนใจ เขาไม่มาเรียน ดังนั้นการออกแบบกระบวนการของเรามันต้องตอบโจทย์ชีวิตของเขาจริงๆ สามารถนำความรู้หรือทักษะที่เราฝึกให้ไปใช้ได้จริงๆ” 

กระบวนการนี้จะทำให้เห็นว่า ความสนใจ ความต้องการ ความฝันของพวกเขา จากนั้นจึงเสริมด้วยการพาไปเปิดโลกทัศน์ตามสิ่งที่เขาสนใจ หรือให้ข้อมูลในการประกอบอาชีพนั้นโดยการพาไปสัมผัสจากคนที่มีประสบการณ์ เมื่อเขาเลือกอาชีพหรือเส้นทางได้แล้วจึงสนับสนุน 

“พอเขาเลือกอาชีพได้เสร็จ ก็สอนให้เขาคำนวณเรื่องรายรับ-รายจ่าย วางแผนที่จะขายสินค้า ไม่ใช่ว่าเขาอยากขายลูกชิ้น ก็ไปซื้อลูกชิ้นมา แล้วก็ไปขายเลย มันก็ไม่ได้ แต่เราก็จะสอนให้เขาคิด วิเคราะห์ออกแบบอาชีพ คำนวณต้นทุน กำไร หาวัตถุดิบ แล้วถ้าต้องการอุปกรณ์ ที่ไหนมีขาย เราก็พาไปซื้ออุปกรณ์ ทดลองทำ ทำแล้วเอามาชิม ชิมเสร็จ ทุกคนโอเค เห็นว่าสินค้านี้สามารถนำสู่ตลาดได้ ก็เริ่มสนับสนุนให้ขาย พอสนับสนุนอาชีพเสร็จ ก็ต้องมีกระบวนการในการติดตามหนุนเสริม ดูแลให้คำปรึกษาเป็นระยะ ให้เขาประกอบธุรกิจหรืออาชีพของเขาให้นานที่สุดให้ได้” 

ซึ่งจากการทำงาน 2 ปี ที่ผ่านมาของกลุ่มฅนวัยใส ทำให้มองเห็นปัญหาว่า “เด็กกลุ่มนี้ยังมีทักษะชีวิตอีกหลายด้านที่จำเป็นต่อเขา เพราะว่ากว่าที่เด็กคนหนึ่งจะประกอบอาชีพได้ หลังบ้านเขาต้องถูกจัดการ ลูกเขาต้องมีคนดูแล มีคนช่วย ต้องผ่านกระบวนการจัดการระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าขาดหายไปก็ไม่สามารถประกอบอาชีพได้สำเร็จ มันจะวนลูปมาเหมือนเดิม 

ถ้าเราพัฒนาทักษะชีวิต จัดการชีวิตเขาให้ดี จัดการชีวิตลูกให้ดี จัดการปัญหาที่อยู่เบื้องหลังได้ เขาก็จะนิ่ง มีความพร้อมที่จะประกอบอาชีพและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากกว่า” 

“ปัญหาของเขาอีกอันหนึ่งที่จะเป็นตัววัดว่าเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพหรือไม่ คือเรื่องลูก ถ้าลูกเขามีปัญหาพัฒนาการบกพร่อง พูดช้า หรือว่าสมาธิสั้น หรือว่ามีปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ มันทำให้เขาไม่สามารถประกอบอาชีพได้แบบจริงจัง เพราะฉะนั้นหลังบ้านเขาจะต้องพัฒนามาระดับหนึ่ง เพราะว่าด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิเขา จะต้องพึ่งพิงคนอื่นสูง แต่ถ้าสมมติมีคนคอยช่วย เขาจัดการปัญหาเบื้องต้นได้ เขาจะไปได้ไกล แม้ว่าเขาจะไม่สามารถประกอบธุรกิจของตัวเอง แต่เขาสามารถทำงานประจำได้”

การพัฒนาตนเองพ่อแม่วัยรุ่น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของลูก  

ในฐานะคนทำงานด้านการพัฒนาในพ่อแม่วัยรุ่น สิ่งที่เธอมองเห็นคือ ถ้าพ่อแม่วัยรุ่นสามารถพัฒนาตนเอง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ได้หนึ่งคน คนคนนั้นจะหลุดพ้นจากความยากจน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงลูกของเขาก็จะได้รับการพัฒนาเป็นเด็กคุณภาพที่เข้าสู่ระบบการศึกษาจนสำเร็จ 

“เพราะฉะนั้นการลงทุนกับพ่อแม่วัยรุ่น 1 คน มันไม่มีทางที่จะสูญเปล่า ในระยะเวลา 5-10 ปีต่อไป มันจะงอกเงย มีประโยชน์ และมีผลต่อคนที่ได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้หลุดพ้นจากความยากจนอีกหลายคน”

หากมองอีกมุมหนึ่งเด็กๆ กลุ่มนี้ไม่ได้เป็นต้นกล้าที่กำลังเติบโต แต่เขาต้องเป็นต้นไม้ที่จำเป็นต้องโต เพื่อจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้กับต้นกล้า หรือต้นไม้ต้นอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกในครอบครัวด้วย ถ้าทำให้ต้นไม้ต้นนี้แข็งแรงได้ ต้นอื่นๆ ที่เป็นครอบครัวก็จะแข็งแรงด้วย 

“เราพัฒนาเด็กหนึ่งคน เพื่อให้เด็กคนนี้ เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้กับครอบครัว ให้กับคนอื่นๆ ที่อยู่ในครอบครัวอีกหลายคน เพราะว่าเขามีปัญหา มันเหมือนว่าเขาเป็นตัวปัญหา แต่ว่าวันใดที่ตัวปัญหานั้นกลับมาเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัวได้ ครอบครัวเขาก็จะกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดี มีความสุข มีความอบอุ่นเหมือนเดิม” สุดาพร ทิ้งท้าย 

Tags:

อาชีพทักษะชีวิตการเรียนรู้พ่อแม่วัยรุ่นสุดาพร นาคฟัก

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Creative learningSocial Issues
    ‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้นอกกรอบ กับอดีตครูนอกคอก: อาจารย์จำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มลูกหว้า’ เยาวชนก่อการดีแห่งเมืองเพชร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Creative learning
    ‘Seapiens Camp Khaolak’ โรงเรียนชายหาดที่มีเซิร์ฟเป็นวิชาหลัก ทะเลสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Unique Teacher
    ‘เสรีภาพ’ และ ‘เซลฟ์’ คนรุ่นใหม่ : ทบทวนและตั้งหลักสู่ศตวรรษใหม่ในมุมการศึกษา กับ ครูปาด-ศีลวัต ศุษิลวรณ์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

‘ครูคือคนที่สร้างความแตกต่าง’ ความทรงจำ ตัวตน และจุดยืนการสอน
Learning Theory
1 September 2022

‘ครูคือคนที่สร้างความแตกต่าง’ ความทรงจำ ตัวตน และจุดยืนการสอน

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อรรถพล ประภาสโนบล บอกเล่าเรื่องราว ของ ครูแนน ปาริชาต ที่เลือกใช้ห้องเรียนเป็นพื้นที่สำคัญในการสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตย และมีจุดยืนในการสอนที่ต่างไปจากบทเรียนกระแสหลัก
  • ‘ระบบการศึกษา’ และ ‘ความทรงจำ’ มีส่วนเชื่อมโยงกัน เพราะจะเผยให้เห็นประสบการณ์ความทรงจำวัยเรียนที่สัมพันธ์เกี่ยวโยงถึงการเป็นเราในปัจจุบัน ซึ่งแม้ว่าครูหลายคนเลือกที่จะหยิบความทรงจำด้านลบที่มีต่อ ‘ครู’ มาเขียนเล่า แต่ความทรงจำด้านบวกก็มีพลังในการหล่อหลอมจุดยืนและมุมมองต่อการเป็นครูได้เช่นกัน
  • การก้าวออกจากโรงเรียนเดิมมาสู่โรงเรียนใหม่ของครูแนน เป็นการก้าวผ่านจากการสอนบนแนวคิด ‘มนุษยนิยม’ ไปสู่ ‘การสอนเพื่อความเป็นธรรม’ ที่ครูแนนเชื่อว่า โลกที่เท่าเทียม เสมอภาค ยุติธรรม จะเป็นทางออกของความเจ็บปวดของเด็กๆ

ถึงแม้ว่าระบบการศึกษาไทยจะถูกปกคลุมด้วยอำนาจนิยม แต่ก็มีครูจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะยืนหยัดอยู่ตรงข้ามแนวคิดดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ ครูแนน ปาริชาต ครูสอนสังคมศึกษา ที่เลือกใช้ห้องเรียนเป็นพื้นที่สำคัญในการสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตย พร้อมกับสร้างบทเรียนที่มุ่งตั้งคำถามเพื่อเผยให้เห็นอำนาจและความไม่เป็นธรรม 

คำถามที่น่าสนใจคือ อะไรทำให้เธอมีจุดยืนในการสอนที่ต่างไปจากบทเรียนกระแสหลัก ทั้งที่ตัวเธอเองก็เติบโตขึ้นภายใต้โครงสร้างการศึกษาไทย และเป็นผลผลิตของระบบการศึกษานี้ทั้งในฐานะนักเรียน นิสิตครู และครูผู้สอนในโรงเรียน ข้อสงสัยนี้เป็นคำถามหลักในบทความท้ายเทอมของผู้เขียน ระหว่างศึกษาต่อปริญญาโทที่ประเทศไต้หวัน ภายใต้หัวข้อ ‘Teacher, Memory, and Pedagogy : How teacher makes a positive difference’ ดังนั้น ในข้อเขียนนี้ ผู้เขียนจึงอยากนำส่วนหนึ่งของบทความมาบอกเล่า เพื่ออธิบายว่าจุดยืนเรื่องการสอนเพื่อความเป็นธรรมของครูแนนนั้นประกอบสร้างขึ้นมาได้อย่างไร  

ระบบการศึกษาและความทรงจำ 

การมองย้อนกลับไปที่ ‘ความทรงจำ’ คือหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้เราเข้าใจคนคนหนึ่ง ในฐานะมนุษย์ที่ผ่านประสบการณ์ของการศึกษา การเลือกจดจำเรื่องราว เหตุการณ์ บทสนทนา ในช่วงจังหวะหนึ่งๆ ของชีวิต จะเผยให้เห็นประสบการณ์ของผู้จดจำ (ผู้เล่า) ว่าการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้น ครู สถานที่ หรืออื่นๆ ในความทรงจำวัยเรียนส่งผลต่อเรื่องเล่าหรือคำอธิบายเกี่ยวกับชีวิตของผู้เล่าอย่างไร การดำรงอยู่ของความทรงจำจึงไม่ใช่แค่การพูดถึงอดีต แต่มันยังสัมพันธ์เกี่ยวโยงถึงการเป็นเราในปัจจุบัน พูดอีกแง่หนึ่ง จุดยืนและการกระทำของเราในปัจจุบันนั้นไม่อาจแยกขาดจากความทรงจำที่กระจัดกระจาย ซึ่งเป็นกระบวนการที่เราได้ประกอบสร้างตัวเราในปัจจุบันผ่านการสนทนากับความทรงจำของอดีต 

ความทรงจำจึงไม่ใช่เอกสารทางการที่ถูกบันทึกโดยผู้มีอำนาจหรือรัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวของใครโดยทั่วไปที่ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและการเมืองของระบบการศึกษา  ในหนังสืออย่าง Stories Out of School: Memories and Reflections on Care and Cruelty in the Classroom มองว่าความทรงจำโดยตัวมันเองคือเรื่องเล่าที่ประกอบด้วยความรู้สึก อารมณ์ ความคิด เมื่อถูกเล่าออกมา มันจึงเผยให้เห็นว่าโครงสร้างสังคมการเมืองของการศึกษา กระทำหรือส่งผลอย่างไรต่อตัวเรา และเราในฐานะผู้เล่านั้นรับรู้ มองเห็น คิด รู้สึก จนนำไปสู่การสร้างความหมายระหว่างตัวเรา การศึกษา และสังคมที่เราดำรงอยู่อย่างไร

ในงานศึกษาของ Pithouse เธอศึกษาเกี่ยวกับความทรงจำของครูแอฟริกาใต้กลุ่มหนึ่ง ด้วยการขอให้ครูกลับไปสำรวจประสบการณ์ในช่วงเวลาที่เป็นนักเรียนอีกครั้งผ่านการเขียนถึงจดหมายถึงครูในอดีต ‘letter to teacher’ (แต่ไม่ได้ส่ง) เธอพบว่า ครูหลายคนเลือกที่จะหยิบความทรงจำด้านลบที่มีต่อครูมาเขียนเล่า 

ภาพครูที่ถูกจดจำคือภาพครูที่ใช้อำนาจ ความรุนแรง และสร้างบาดแผลที่กระทบต่อความเชื่อมั่นและคุณค่าตัวในตัวเอง (self-esteem) ของพวกเขาในฐานะนักเรียน 

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นผลให้พวกเขาเลือกที่จะนิยามการเป็นครูที่ตรงข้ามกับภาพจำดังกล่าว Pithouse ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องเล่าที่ถูกเล่าออกมาไม่ใช่เป็นเพียงประสบการณ์ระดับปัจเจกเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพเล็กๆ ในหน่วยย่อยที่สะท้อนถึงภาพใหญ่ของวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่มีอิทธิพลอย่างมากในระบบการศึกษา  

ในทางตรงกันข้าม งานของ Cole พบว่า  ความทรงจำด้านบวกมีพลังในการหล่อหลอมจุดยืนและมุมมองต่อการเป็นครูได้เช่นกัน โดย Cole ได้ออกแบบกระบวนการวิจัยให้ครูที่เข้าร่วมเลือกหยิบสิ่งของขึ้นมา 1 ชิ้น โดยเชื่อว่าภายใต้สิ่งของมีความทรงจำซ่อนอยู่เสมอ 

ครู Kelly หนึ่งในผู้เข้าร่วมเลือกหยิบ ‘หนังสือคณิตศาสตร์’ เล่มหนึ่ง ขึ้นมาเล่าถึงปรัชญาการสอนคณิตศาสตร์ของตน ว่าเป็นผลมาจากประสบการณ์การพบเจอครู 2 คน เมื่อครั้งที่เธอเป็นนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เริ่มแรกเธอรู้สึกไม่มั่นใจในการเรียนและมองตัวเองไม่มีความสามารถ จนกระทั่งเธอได้พบกับครูคนหนึ่งที่เข้ามาสร้างความเชื่อมั่นว่าเธอสามารถเรียนรู้ได้ ในอีกช่วงเวลาหนึ่งครูอีกคนได้ใช้วิธีการสอนที่น่าสนใจและแปลกใหม่ ซึ่งเป็นอีกจุดสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้เธอยากเป็นครูคณิตศาสตร์ที่ต่างไปจากครูทั่วไปๆ 

ในขณะเดียวกัน ครู Cathy ได้เล่าความทรงจำของเธอผ่าน ‘จรวด’ โดยเล่าถึงช่วงเวลาในค่ายฤดูร้อน ที่เธอได้เข้าไปเรียนรู้วิธีการสร้างจรวดของเล่นบนการสืบเสาะเป็นฐาน (inquiry-based learning) และมันได้กลายเป็นปรัชญาการสอนสำคัญของเธอในปัจจุบัน

จากการสอนแบบมนุษยนิยมสู่การสอนเพื่อความเป็นธรรม

ในงานศึกษาเล็กๆ ของผู้เขียน เริ่มต้นด้วยการขอให้ครูแนนเขียนจดหมายถึงครูในอดีตคนหนึ่ง ในช่วงเวลาใดก็ได้ที่รู้สึกว่ามีความหมายต่อการเป็นครูของเธอ ผลปรากฏว่าครูแนนเลือกที่จะเขียนถึงช่วงเวลาฝึกสอนที่เธอได้พบกับครูผู้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา (อาจารย์นิเทศก์) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การสอนของเธอเริ่มก่อร่างสร้างรูปขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาต่อมา

ความล้มเหลวที่เธอไม่สามารถเป็นครูตามอุดมคติอย่างที่ตัวเองคาดหวังไว้ได้ เป็นความทรงจำแรกที่เธอเลือกที่จะเขียนเล่าถึงครูของเธอ ช่วงเวลาที่เธอร้องไห้และผิดหวังกับตัวเองที่ต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อการเข้าไปในห้องเรียนทำให้เธอเห็นว่าทุกสิ่งตรงข้ามกับความคาดหวังกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ ความรู้และความสามารถที่เธอมีไม่เพียงพอที่จะประคับประคองให้การสอนออกมาดีได้อย่างที่เคยเชื่อ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ผิดหวังกับตัวเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังพิงที่สำคัญของเธอคือครูที่เป็นเสมือนเพื่อนร่วมเดินทาง เป็นเพื่อนให้เธอได้บอกเล่าระบาย แทบทุกครั้งเมื่อครูของเธอไปเยี่ยมเยือนห้องเรียนฝึกสอนของเธอ เขาไม่ได้มาเพื่อจะสอนสั่ง แต่มาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน และรับฟังอย่างตั้งใจเสมอ จึงไม่แปลกที่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นศูนย์กลางของความรู้สึกและความทรงจำที่เธอจดจำได้เป็นอย่างดี   

หลังเรียนจบ เธอได้เข้าไปสอนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เธอไม่ลังเลที่จะทำให้การสอนของตัวเองโอบรับทุกความรู้สึกของนักเรียนดังที่เธอเคยได้รับมา ความสัมพันธ์ที่วางอยู่บนแนวคิดการสอนแบบมนุษยนิยมเป็นประตูบานสำคัญที่นำพาให้เธอรับฟังเรื่องราวหลากหลายจากนักเรียน ภายใต้เรื่องราวที่ดูแสนสามัญธรรมดา เมื่อมองลึกลงไปกลับฉายให้เห็นถึงปัญหาและความเจ็บปวดที่เด็กๆ ถูกระทำจากโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่  เธอมีคำถามว่าเธอจะสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นและก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เมื่อเธอตัดสินใจเลือกเส้นทางการเป็นครูในโรงเรียนรัฐบาลด้วยเชื่อว่าการเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยรัฐจะเป็นพื้นที่ให้เธอได้เผชิญหน้ากับระบบที่กดทับอย่างตรงไปตรงมาที่สุดดังที่เธอได้สนทนากับครูของเธอว่า

“บทสนทนาของเราเป็นจุดเริ่มต้นที่พาให้ฉันได้ทำความรู้จักตัวตนและการมีอยู่ของมนุษย์คนอื่นๆ รับรู้และรู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้คนภายใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ ความเคารพและมิตรภาพที่ครูมอบให้ฉันในฐานะเพื่อนร่วมทางทำให้ฉันเคารพและมองเห็นมนุษย์คนอื่นๆ ในฐานะเพื่อนที่วางใจได้ ทำให้ฉันอยากจะลองเอาชนะความกลัวความผิดหวัง และมองโลกผ่านมุมมองที่ต่างไป”   

การก้าวออกจากโรงเรียนเดิมมาสู่โรงเรียนใหม่ของเธอจึงเป็นการก้าวผ่านจากการสอนบนแนวคิด ‘มนุษยนิยม’ ไปสู่ ‘การสอนเพื่อความเป็นธรรม’ ที่เธอเชื่อว่าโลกที่เท่าเทียม เสมอภาค ยุติธรรม จะเป็นทางออกของความเจ็บปวดของเด็กๆ ห้องเรียนจึงเป็นฐานที่มั่นสำคัญที่เธอกระทำการผ่านบทบาทครูในการสร้างความแตกต่าง  ด้วยการท้าทายวิธีคิดกระแสหลักที่หล่อเลี้ยงความไม่เป็นธรรมเอาไว้ และยืนหยัดในการสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่าเดิม  อาจกล่าวได้ว่า จุดยืนการสอนเธอในตอนนี้เป็นผลจากการสร้างความหมายใหม่ในการเป็นครูผ่านแนวคิดมนุษยนิยมจากประสบการณ์ในชีวิต

การเขียนจดหมายถึงครูในอดีตของครูเธอจึงไม่ใช่การเขียนรำลึกเพื่อจดจำบางสิ่งบางอย่าง แต่เป็นการสนทนากับอดีตถึงจุดยืนในปัจจุบันและอนาคต จากจุดเล็กๆ ที่ค่อยๆ เผยให้เห็นว่า เธอมองเห็นและรู้สึกต่อระบบการศึกษาและสังคมที่เป็นอยู่ด้วยจุดยืนแบบนี้ได้อย่างไร พร้อมกับบอกเราว่า ครูทุกคนสามารถสร้างนิยามความหมายในการเป็นครูของตัวเองและสร้างการเปลี่ยนแปลงจากจุดยืนนั้นได้  

อ้างอิง

Cole, A. L. (2011). Object-Memory, Embodiment, and Teacher Formation: A Methodological Exploration . In Mitchell,C., Strong-Wilson,T., Pithouse,K., & Allnutt,S., Memory and Pedagogy (pp. 223-238). Routledge.

James L. Paul & Terry Jo Smith . (2000). Stories Out of School: Memories and Reflections on Care and Cruelty in the Classroom (Contemporary Studies in International Political Communicatio). Praeger.

Pithouse, K. (2011). The Future of our Young Children Lies in our Hands”: Re-Envisaging Teacher Authority Through Narrative Self-Study. In Mitchell,C., Strong-Wilson,T., Pithouse,K., & Allnutt,S., Memory and Pedagogy (pp. 177-190). Routledge.

Tags:

ครูระบบการศึกษาประชาธิปไตยการสอนห้องเรียน

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    เมื่อครู คือ ผู้ทำงานทางการเมือง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

โรงเรียนควรเป็นเขตปลอด ‘การลงโทษ’ ฝึกให้เด็กรับผิดชอบผลการตัดสินใจของตัวเอง: ครูพรรณทิพย์พา ทองมี โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
1 September 2022

โรงเรียนควรเป็นเขตปลอด ‘การลงโทษ’ ฝึกให้เด็กรับผิดชอบผลการตัดสินใจของตัวเอง: ครูพรรณทิพย์พา ทองมี โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • การทำให้เด็กรู้ตัว เรียนรู้ และฝึกฝน คือ 3 สเต็ป สำหรับคลี่คลายสถานการณ์เมื่อเด็กๆ ทะเลาะกัน หรือมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ แทนการลงโทษเด็กด้วยการตีหรือให้บำเพ็ญประโยชน์ที่ให้โทษมากกว่าคุณ
  • ชื่นชมในความตั้งใจและความพยายาม แม้เด็กจะตอบคำถามข้อนั้นไม่ถูกหรือทำโจทย์ผิดก็ตาม แต่ ‘ความตั้งใจ’ กับ ‘ความเข้าใจ’ คนละเรื่องกัน ครูต้องแยกให้ออก เช่น เมื่อเห็นว่าเด็กยังไม่เข้าใจเนื้อหาเรื่องนี้ของวิชาคณิตศาสตร์ ครูจึงมีหน้าที่หาทางช่วย
  • ชวนพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู มาสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการลงโทษ และนวัตกรรมต่างๆ ที่ใช้ในการสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ รวมถึงวิธีการดูแลช่วยเหลือ เพื่อให้งอกงามตามศักยภาพของเขา

เมื่อโรงเรียนไม่มีการให้ ‘คะแนน’ และไม่มี ‘การลงโทษ’ แล้วทำอย่างไร?

หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจจากเวทีเยี่ยมชมโรงเรียนตัวอย่างออนไลน์ ครั้งที่ 3 โดย โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ กับหัวข้อ การนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้ในโรงเรียนเปลี่ยนแปลงเชิงระบบด้วยนวัตกรรมจิตศึกษา PBL-Problem based learning และ PLC –  Professional Learning Community โดย ครูพรรณทิพย์พา ทองมี หรือ ครูต๋อย 

“ไม่มีการทำโทษ เพราะว่าเราเชื่อว่า ความเป็นเด็กก็คือเด็ก เขาอาจจะยังไม่เข้าใจหรือยังไม่เห็นบางอย่าง เพราะฉะนั้นบางทีการกระทำของเขา ซึ่งอาจจะเป็นธรรมชาติของเขาแต่มันอาจจะขัดใจผู้ใหญ่เรา…” 

“…เราไม่เชื่อว่าการใช้ความรุนแรงมันจะทำให้คนเปลี่ยนจิตสำนึก บางทีต่อต้านด้วยซ้ำ บางคนก้าวร้าวไปอีก แค่มันหยุดพฤติกรรมนั้นได้ทันที…” 

ครูต๋อย บอกเล่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาแห่งนี้ เป็นเขตปลอด ‘การลงโทษ’ แต่จะใช้วิธีการไหน อย่างไรนั้น หาคำตอบไปพร้อมๆ กัน

นวัตกรรม ‘จิตศึกษา’ พัฒนาปัญญาภายใน ‘PBL’ พัฒนาปัญญาภายนอก 

ก่อนที่จะหาคำตอบเรื่องการลงโทษและการให้คะแนนของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เรามาทำความเข้าใจนวัตกรรมของลำปลายมาศพัฒนา ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาปัญญาภายในด้วยนวัตกรรม ‘จิตศึกษา’ และพัฒนาปัญญาภายนอกด้วย ‘PBL-Problem based learning’ กันก่อน โดยประกอบไปด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่

1. สนามพลังบวก ประกอบด้วย สภาพแวดล้อม (สะอาด สงบ ร่มรื่น), ความปลอดภัย 3 ระดับ คือ กาย ใจ จิต และวิถี-วัฒนธรรม แนวปฏิบัติที่สม่ำเสมอ มีเหตุมีผล

โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย นอกจากความสะอาดและน่าอยู่แล้ว เขาจะต้องไม่ถูกจับจ้องหรือจับผิด สามารถที่จะคิดหรือแสดงความคิด ความรู้สึกของตัวเองต่อผู้อื่นได้โดยไม่ถูกตัดสินว่าความคิดนั้น ใช่ หรือ ไม่ใช่ และมีคนที่คอยรับฟัง 

“ลำปลายมาศมองว่าความปลอดภัย เรื่องกายสำคัญมาก เพราะฉะนั้นเราจะตระหนักเรื่องของการกินของผู้เรียน สิ่งที่ผู้เรียนต้องกินเข้าไปเราจะระวังมาก ในโรงเรียนเราคือเรื่องของน้ำตาล โซเดียม น้ำมันทอดซ้ำ และไขมันทรานส์ 

แล้วก็เรื่อง ‘การบูลลี่’ ที่ทำให้ผู้เรียนถูกทำร้ายทางจิตใจ ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นโดยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจของผู้ที่แวดล้อมเขาอยู่ แล้วก็การครอบงำให้เชื่อ อันนี้เรามองว่ามันน่ากลัว อันตรายมากสำหรับจิตวิญญาณของผู้เรียน ที่สำคัญองค์กรนั้นต้องสร้างวิถีและวัฒนธรรมร่วมกันของคนในองค์กร สม่ำเสมอและมีเหตุมีผล” 

2. จิตวิทยาเชิงบวก การสร้าง self-esteem 

“หลายสิ่งหลายอย่างที่เรากระทำไปด้วยเจตนาดี แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี อาจจะด้วยกระบวนการระหว่างทางที่เราทำกับเขา เช่น ผู้ใหญ่อาจมีความเชื่อที่ว่า การตีจะทำให้เด็กดีขึ้น ทำให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น จากที่ดื้อ ซน ตีเสร็จเขาอาจจะหยุด และอาจจะเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจริงๆ เขาก็อาจจะไม่ได้เปลี่ยน แต่ผลลัพธ์ไม่ได้ตามที่เราคาดหวัง 

หรือการเปรียบเทียบลูกหลานกับคนใกล้ตัว กับพี่น้อง เพื่อนสนิท คนข้างบ้าน เปรียบเทียบถึงความขยัน ความมุ่งมั่นต่างๆ อยากจะทำให้ลูกหลานเป็นอย่างคนๆ นั้น ซึ่งบางทีมันก็ตรงกันข้ามเลย เรารู้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดี แต่พอเราถูกเปรียบเทียบมันทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกด้อยค่า และไม่อยากทำสิ่งนั้นแล้ว หรือทำประชดไปเลย”

ครูลำปลายมาศพัฒนาต่างครุ่นคิดกันว่า…อะไรที่ทำไปออกแล้วส่งผลด้านลบกับผู้เรียน หรือทำลาย self-esteem ทำลายคุณค่าของเขาบ้าง ซึ่งครูจะไม่ทำ 

“เพราะฉะนั้นที่ลำปลายมาศพัฒนาเราจะไม่มีการตัดสินเด็ก ไม่มีการจัดอันดับผู้เรียน ไม่ให้ดาว ไม่มีคะแนนสองส่วนสิบ แต่เราเปรียบเทียบกับตัวผู้เรียนเองว่า แต่ละคนมาฐานยังไง แล้วงอกงามยังไง คำพูดด้านลบเราก็ไม่ใช้ หรือแม้แต่การทำโทษเราก็ไม่มี แต่เรามีแนวปฏิบัติถ้าเด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 

และที่สำคัญเราไม่มีหน้าที่ไปยัดความรู้หรือยัดเยียดความเชื่อต่างๆ ที่เราเคยเชื่อ เคยรู้มาให้กับผู้เรียน แต่เรามีหน้าที่สร้างผู้เรียนให้เป็นนักเรียนรู้ และนี่คือจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งมีรายละเอียดอีกเยอะมาก” 

3. กิจกรรมฝึกฝนผู้เรียน 3 ช่วงต่อวัน เช่น กิจกรรมโยคะจิตศึกษา กิจกรรมกำกับสติ กิจกรรม Brain Gym จิตศึกษา

รอบแรก เช้า 20 นาที หลังกิจกรรมหน้าเสาธง ครูจะต้องให้สถานการณ์กับผู้เรียน โดยเป็นสถานการณ์ที่ทุกคนมีโอกาสที่จะเผชิญในชีวิต เพราะฉะนั้นเด็กจะต้องถูกฝึกให้ตัดสินใจกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เขามีโอกาสเอาไปใช้ 

กิจกรรมรอบ 2 คือ 15 นาทีหลังอาหารเที่ยง มาในรูปของบอดี้สแกนเพื่อฝึกโหมดรู้ ให้ผู้เรียนกลับมารู้สึกผ่อนคลาย เพื่อพร้อมที่จะเรียนรู้ในช่วงบ่าย 

กิจกรรมรอบ 3 คือ การจัดกาย จัดใจ 30 นาที (บ่าย 3 ถึงบ่าย 3 ครึ่ง) ครูต๋อยย้ำว่า รอบนี้สำคัญมาก เพราะผู้เรียนต้องมีโอกาสได้ใคร่ครวญทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา โดยมีโจทย์ให้เด็กๆ ได้ทบทวนตัวเองทุกๆ วัน แล้วแต่ครูจะหยิบยกประเด็นไหนขึ้นมาให้ผู้เรียนได้ใคร่ครวญ เช่น อะไรที่เข้าใจใหม่เข้าใจเพิ่ม อะไรคือความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำอย่างไรถึงสำเร็จหรืออะไรที่ยังไม่สำเร็จตอนนี้ถึงตรงไหน แล้วจะไปต่ออย่างไรเพื่อให้สำเร็จ การบ้านคืออะไร  

ในส่วนของการพัฒนาปัญญาภายนอกด้วย ‘PBL-Problem based learning’ นั้น “คอนเซปต์คร่าวๆ เวลาเราจะดีไซน์การเรียนรู้มันก็จะมีองค์ประกอบสำคัญคือ เราต้องมี Objective ให้กับผู้เรียน ซึ่งก็จะระบุเป็นสมรรถนะที่ผู้เรียนจะต้องเกิด แล้วก็ต้องมีสถานการณ์และมีโจทย์ให้กับผู้เรียน จากนั้นการที่เขาจะเอาชนะโจทย์หรือสถานการณ์ได้ เขาจะต้องได้ใช้สมรรถนะเฉพาะ และทุกครั้งที่เด็กได้นำสมรรถนะมาใช้เพื่อแก้โจทย์สถานการณ์ของครูนั้น เขาจะเกิด 6 สมรรถนะหลักเสมอ แม้ว่าบางตัวมันอาจจะเด่นกว่า หรือบางตัวอาจจะไม่เด่น” 

นอกจากนำสมรรถนะเฉพาะมาใช้แล้ว กิจกรรมของครูนั้นต้องเป็น active learning กิจกรรมจะมีหลายกิจกรรมมากที่เด็กจะต้องเรียนรู้เพื่อเอาชนะสถานการณ์หนึ่ง ไม่ใช่ว่ากิจกรรมเดียวจะสามารถเอาชนะโจทย์หรือสถานการณ์นั้นได้้เลย เพราะว่าสถานการณ์หรือโจทย์ที่ครูให้ต้องเป็นสถานการณ์หรือโจทย์ที่ท้าทาย ได้เกิดกระบวนการคิดที่ซับซ้อน  

3 สเต็ป คลี่คลายสถานการณ์เมื่อเด็กทะเลาะกัน

สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาเมื่อเด็กๆ ทะเลาะกัน หรือมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั้น ครูต๋อยอธิบายว่า มี 3 เรื่องที่ต้องทำเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น 

เรื่องแรก คือ ต้องให้ ‘การรู้ตัว’ กับเด็ก เช่น เด็กทะเลาะกันมีการบาดเจ็บเกิดขึ้น อาจจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เมื่อครูเห็นเหตุการณ์ ครูมีหน้าที่แยกสองฝ่ายนั้นก่อน เพื่อทำให้ทั้งคู่เย็นลง จากนั้นจึงค่อยมาพูดคุยกันต่อหน้า โดยคำถามสำคัญที่ต้องถามกับเด็กทั้งสองฝ่ายคือ เกิดอะไรขึ้นช่วยเล่าให้ฟังหน่อย? คำถามเพื่อให้เขารู้ตัว โดยให้เด็กผลัดกันเล่า และเมื่อคนหนึ่งเล่าจบก็ถามอีกคนว่า เห็นด้วยไหม? เพื่อนเล่าตรงไหมหรือประเด็นไหนที่หลุดไปหรือเปล่า? จากนั้นจึงให้อีกคนเริ่มเล่าในมุมของเขา

“หลังจากที่เรารู้แล้ว เราก็ถามต่อเลยว่า รู้สึกยังไงกับสิ่งที่เล่ามา? อันนี้คือการฝึกฝนเรื่องการรู้ตัว เพราะบางทีอุบัติเหตุหรือการทะเลาะวิวาทมันเกิดจากการเล่นของเด็ก เขาอาจจะยังยั้งกำลังไม่เป็น” 

เมื่อเด็กรู้ตัวแล้ว ต้องให้ ‘การเรียนรู้’ กับเด็ก โดยใช้คำถาม เช่น แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? เพราะในเมื่อปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว เขาต้องเป็นคนฝึกแก้ปัญหานั้น เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ 

“เราต้องฝึกให้เขารับผิดชอบต่อผลการตัดสินใจทุกครั้งที่เขาทำลงไป จะไม่มีว่าทำผิดแล้วพ่อแม่รับผิดแทน ที่นี่เราฝึกตั้งแต่อนุบาลเลย เพราะฉะนั้นเราก็จะช่วยกันคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก เด็กเขาก็จะบอกวิธี ถ้าครูรู้สึกว่ามันยังมีอีกนะวิธีที่บอกมา ครูก็ถามต่อได้ว่า มีอย่างอื่นอีกไหมที่เราสามารถรับผิดชอบได้? เขาก็จะช่วยกันคิดอีก” 

เพราะหน้าที่ ‘ครู’ ไม่ใช่การหาว่าใครผิดใครถูก ไม่ได้มีหน้าที่ไปตัดสินชี้ผิดชี้โทษว่าใครทำก่อนคือผิด ทำหลังคือถูก 

และเมื่อเขาได้เรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาจากการคิดไตร่ตรองของตัวเองแล้ว ต้องให้ ‘การฝึกฝน’ ต่อไป ในส่วนนี้ครูต้องไว้วางใจ เชื่อใจว่า เด็กๆ จะทำได้ เขาจะสามารถเล่นด้วยกันได้อีก 

“ถ้าเกิดเหตุการณ์อีกก็กลับมาอีก กลับมาข้อที่หนึ่งใหม่ เพราะบางทีการที่ผู้ใหญ่ไปตัดสินว่า ใครผิดใครถูก บางทีเด็กเขากลัว เวลากลัวสมองมนุษย์จะทำหน้าที่คือ หนี กับ สู้ แต่เด็กเขาไม่สู้เรา เพราะฉะนั้นวิธีหนีของเขาบางทีเขาเงียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขายอมรับต่อการตัดสินนั้นของเรา แต่เขาจะเก็บไว้” 

นอกจากนี้ ‘การลงโทษ’ เด็กด้วยการให้บำเพ็ญประโยชน์ เช่น ขัดห้องน้ำ ทำความสะอาดห้อง หรือจะเป็นการวิ่งรอบสนาม แม้จะไม่ใช่การใช้ความรุนแรง แต่วิธีการเช่นนี้อาจเป็นการบ่มเพาะให้เด็กเกลียดสิ่งที่ดี ซึ่งจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีด้วยซ้ำ

“แทนที่จะรักการออกกำลังกาย แต่เขารู้สึกว่าเมื่อไรที่ได้วิ่งรอบสนาม ทุกคนจะมองว่านั่นคือเขาถูกลงโทษ เมื่อไรที่เขาตั้งใจอยากไปช่วยทำความสะอาด ทุกคนก็จะจับจ้องว่านี่คือการทำผิดอะไรแน่ๆ ถึงต้องได้มาขัดห้องน้ำ 

บางทีสิ่งดีๆ เราเอาไปใช้เป็นเครื่องมือการลงโทษ เด็กก็จะกลัวเรื่องนั้น แล้วก็ไม่อยากที่จะแตะที่จะทำ เพราะทุกสายตามองว่านั่นคือการลงโทษ” 

เปลี่ยนคะแนน เป็นการ empower เด็ก 

ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าไม่มีการให้คะแนน แล้วเด็กมีผลการเรียนอย่างไร? ครูต๋อยอธิบายต่อถึงคำว่า ‘ไม่ได้ให้คะแนน’ ของครูลำปลายมาศพัฒนา  

“ยกตัวอย่างเช่น วิชาคณิตศาสตร์ 10 ข้อ ให้เด็กทำการบ้านแล้วกลับมาส่ง ปรากฏว่าเด็กถูกสองข้อ จะไม่สองส่วนสิบ ไม่มีแปดส่วนสิบ ไม่มีหนึ่งดาว สองดาว สามดาว กับเด็กอนุบาล แต่ครูที่นี่จะใช้วิธี empower ชื่นชมในความตั้งใจ ในความพยายามแม้ทำไม่ถูกก็ตามแต่เด็กตั้งใจ เด็กอนุบาลวาดภาพคน กล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรงก็จะเป็นเส้นที่สะเปะสะปะไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เด็กเขาตั้งใจในตอนนั้น ครูก็จะชมเขาว่า เยี่ยมมากค่ะลูก” 

สิ่งที่ครูต้องทำการบ้านหนัก คือ ‘ความตั้งใจ’ กับ ‘ความเข้าใจ’ คนละเรื่องกัน ครูต้องแยกให้ออก จากตัวอย่างครูเองก็เริ่มเห็นแล้วว่า วิชาคณิตศาสตร์โจทย์สิบข้อเด็กทำถูกเพียงสองข้อ แสดงว่าเด็กคนนี้ยังไม่เข้าใจเนื้อหาเรื่องนี้ของวิชาคณิตศาสตร์ ครูจึงมีหน้าที่หาทางช่วย 

ข้อควรระวังคือ “เราอย่าทำลายความตั้งใจของเด็ก ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้สึกว่า ความพยายามนั้นไร้ค่า ครูมีหน้าที่ดันเขาต่อ เอาอีกลูก อีกนิดเดียว เรามาคุยกันอีกรอบนึง มาทวนกันอีกรอบนึง ตรงไหนนะ ตรงนี้หนูคิดว่ายังไง นี่คือหน้าที่ครูที่ต้องทำ”     

ในส่วนของเกรดหรือคะแนนนั้น ที่ลำปลายมาศพัฒนาไม่ใช้การสอบ แต่ใช้วิธีประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย ผ่านภาระงาน ชิ้นงาน 

“ตามหลักสูตร 51 หลักสูตรเดิมที่ผู้เรียนยังมีคะแนนอยู่ เราก็จะมีรูบิกสกอร์ (Rubric เกณฑ์ประเมินแบบขั้นบันได หรือแบบกระจาย) ที่จะดูว่า ชิ้นงาน ภาระงาน แต่ละอย่างที่เขาแสดงออกมานั้น มันลิงก์ไปยังมาตราฐานตัวชี้วัดของวิชาไหนบ้างในหลักสูตร ครูเขาจะวิเคราะห์ไว้แล้ว แล้วก็มาเทียบกับรูบิกสกอร์ ซึ่งเด็กๆ ก็จะมีคะแนน มีเกรดปกติ 

เราไม่เปรียบเทียบว่า ใครเก่งกว่าใคร แต่เรามองว่า เขางอกงามยังไงต่างหาก นั่นคือสิ่งสำคัญ และไม่สามารถทำให้ทุกคนเท่ากันได้ด้วย แต่ทุกคนมีสิทธิงอกงามตามศักยภาพของเขา”  

“ส่วนการประเมินฐานสมรรถนะก็ไม่มีคะแนน แต่จะทำให้เห็นว่าพฤติกรรมบ่งชี้ของผู้เรียนเป็นยังไง ที่ทำให้เห็นว่าเขาผ่านสมรรถนะแต่ละตัว แล้วมีชิ้นงาน ภาระงาน ตัวไหนที่เป็นตัวอ้างอิงได้ว่า อ๋อ…พฤติกรรมนี้มันดูจากชิ้นงานเหล่านี้ได้”   

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ทางโรงเรียนได้ชวนพ่อแม่ ผู้ปกครอง มาสร้างความเข้าใจกับนวัตกรรมต่างๆ รวมถึงวิธีการดูแลเด็กๆ ผ่านกระบวนการ CoP (Co-parents) โดยเป้าหมายของการทำ CoP ผู้ปกครอง มี 3 เป้าหมายหลักๆ ด้วยกัน ดังนี้ 

อย่างแรก ทำอย่างไรให้ผู้ปกครองนั้นเข้าใจเป้าหมายที่แท้ของการศึกษา เพราะในชีวิตจริงเด็กๆ อยู่ที่บ้านกับครอบครัว 

“การเรียนรู้แบบเดิมที่เราเคยผ่านกระบวนการมามันอาจจะตอบโจทย์เมื่อในอดีต แต่ว่าทุกวันนี้โลกเปลี่ยน ความซับซ้อน ความแปรปรวน มันเกิดเร็วมาก เพราะฉะนั้นเป้าหมายการศึกษาสำหรับเด็กยุคในใหม่มันอาจจะเปลี่ยนไปทั้งวิธีการด้วย เราจึงมีกิจกรรมที่เรียกว่า CoP ผู้ปกครอง ในทุกๆ เดือน หรือบางทีผู้ปกครองก็ CoP กันเองด้วย” 

นอกจากทำให้เห็นว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษาแล้ว อีกหน้าที่สำคัญของการทำ CoP คือ ผู้ปกครองจะต้องรู้จักลูกตัวเองให้มากกว่าชื่ออะไร ชอบอะไร แต่รวมไปถึงว่าตอนนี้ลูกอยู่ในวัยไหน 

“เพราะการปฏบัติตัวกับเด็กแต่ละวัยมันไม่สามารถทำด้วยวิธีการเดิมได้ เช่น ลูกอยู่อนุบาลเราสามารถกอดหอมกันได้ แต่พอโตขึ้น วัยรุ่นมัธยมอาจจะทำวิธีนั้นกับเขาไม่ได้ เขาอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัว เขาอาจจะเป็นคนที่นอนดึกตื่นสายแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาขี้เกียจ แต่ด้วยวิถีของวัยรุ่นจะเป็นประมาณนั้น เพราะฉะนั้นพ่อแม่เองก็ต้องเข้าใจว่าลูกเราแท้จริงเป็นอย่างไร”

ที่สำคัญคือผู้ปกครองต้องมองเห็นว่าศักยภาพของแต่ละครอบครัวสามารถเกื้อหนุนลูกอย่างไรได้บ้าง สามารถที่จะส่งเสริมพัฒนาการที่โดดเด่นของลูกหรือพัฒนาการที่ยังล่าช้าของลูกได้อย่างไร นี่คือหน้าที่ของโรงเรียนที่ต้องทำงานกับผู้ปกครอง 

Tags:

การลงโทษจิตวิทยาเด็กนักเรียนโรงเรียน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • หน้าตาของความกลัวในรั้วโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    คลี่ม่าน ‘มายาคติทางการศึกษา’ เปิดพื้นที่เรียนรู้บนความแตกต่างหลากหลายโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างทาง: ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel