Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: March 2020

สิ่งที่คนตั้งครรภ์ควรรู้ เกี่ยวกับโคโรน่าไวรัส
Social Issues
31 March 2020

สิ่งที่คนตั้งครรภ์ควรรู้ เกี่ยวกับโคโรน่าไวรัส

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ท่ามกลางข้อมูลที่ยังไม่นิ่งซึ่งต้องตามกันวันต่อวัน สิ่งที่หญิงตั้งครรภ์กำลังสับสนและอยากรู้เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส คือ มันมีผลอย่างไรต่อเธอ ลูกในครรภ์ และอนาคตของเด็กๆ เมื่อคลอดแล้วจะเป็นอย่างไร
  • ข้อมูลที่รวบรวมได้จากงานวิจัยล่าสุดพูดได้เบื้องต้นว่า ‘เป็นเรื่องดีมากกว่าเสีย’ ตัวเลขหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด-19 ไม่ได้พัฒนาอาการไปสู่ขั้นวิกฤตมากเท่าที่กังวลกัน หรือมากเท่าผู้สูงอายุหรือคนที่มีความเสี่ยงเป็นทุนเดิม และมีเด็กแรกคลอดที่ติดเชื้อจากแม่เพียง 10 เปอร์เซ็นต์พัฒนาสู่อาการร้ายแรง
  • ส่วนสาเหตุการติดเชื้อของทารกในครรภ์ว่าติดโควิด-19 จากอะไรนั้นยังไม่ชี้ชัดตายตัว แต่รายงานล่าสุดคาดว่าอาจติดจากมดลูกของแม่ และยืนยันว่าแม้คุณแม่ที่ติดเชื้อแล้วก็ยังให้นมลูกได้ เพราะยังไม่มีข้อมูลรายงานว่ามีการติดเชื้อผ่านน้ำนม
  • ส่วนสิ่งที่คนตั้งครรภ์ต้องทำแน่ๆ คือ รักษามาตรการ social distancing อย่างเข้มข้น, ดูแลความสะอาด โดยเฉพาะการล้างมือให้บ่อย, และ อยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
Photo by Camila Cordeiro on Unsplash

หมายเหตุ: บทความนี้ใช้ข้อมูลเผยแพร่ภายในวันที่ 31 มีนาคม 63 ข้อมูลงานวิจัยโควิด-19 เปลี่ยนแปลงบ่อยและรวดเร็ว ควรติดตามและเลือกเชื่อจากเงื่อนไขของวันและเวลาที่เผยแพร่ข้อมูล

เจน จัดสัน (Jen Judson) คุณแม่อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ (ราว 8 เดือน) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Business Insider ว่า เธอกังวลกับการตั้งครรภ์และใกล้คลอดช่วงเวลาที่โคโรน่าไวรัสกำลังแพร่ระบาด ทุกคนต้องเข้มงวดกับมาตรการ social distancing ซึ่งแปลว่าในกำหนดคลอดราวเดือนเมษายน กรณีที่แย่ที่สุด… เธอต้องพาตัวเองไปโรงพยาบาลและคลอดลูกคนที่สองตามลำพัง

เธอกังวลไปสารพัด บางทีเธออาจติดโคโรน่าไวรัสไปแล้ว บางทีลูกของเธออาจถูกแยกออกไปทันทีหลังคลอด บางทีแพมเพิร์สหรืออุปกรณ์ดูแลเด็กอาจถูกกวาดหมดชั้นในห้างสรรพสินค้า และบางที เมื่อถึงกำหนดคลอดในช่วงเดือนเมษายน ข้อมูลการแพทย์ที่เธอได้รับวันนี้อาจไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้วก็ได้

“เหมือนว่าฉันควบคุมอะไรไม่ได้เลย กังวลไปสารพัด มีข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาตลอดทั้งการติดเชื้อของหญิงตั้งครรภ์และของทารก และยังกังวลไปอีกว่าเด็กที่กำลังเกิดมาเขาจะอยู่ในประเทศหรือโลกแบบไหนกัน” จัดสันให้สัมภาษณ์กับ Business Insider

ขณะที่ลอว์เรน แมคคอลลีย์ (Lauren McCauley) ผู้ช่วยทนาย คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ (ราว 4 เดือน) ให้สัมภาษณ์ในบทความชิ้นเดียวกัน แสดงความกังวลไม่ต่างกันว่า “ฉันรู้สึกเหมือนว่า ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับไวรัสนี้ สิ่งที่รู้ก็มีแต่ข้อมูลที่แย่ลงทุกวันๆ ช่วงเวลาหนึ่งบอกว่าหญิงตั้งครรภ์จะไม่เป็นอะไรหรอก ขณะที่สัปดาห์ต่อมา ผู้สื่อข่าวในราชอาณาจักรบอกว่าหญิงตั้งครรภ์ควรกักตัวอยู่บ้านอย่างน้อย 3 เดือน”

อย่างไรก็ตาม หากดูจากข้อมูลการแพทย์และการรายงานข่าว ณ ช่วงเวลานี้ยังคงเป็นไปในทิศทางบวก และสิ่งที่คนตั้งครรภ์ควรรู้ มีดังต่อไปนี้…

หญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด-19 ไม่ได้พัฒนาอาการไปสู่ขั้นวิกฤตมากเท่าที่กังวลกัน

แม้ระบบภูมิคุ้นกันของหญิงตั้งครรภ์จะอ่อนแอกว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้ตั้งท้อง แต่หญิงตั้งครรภ์ก็ไม่ได้มีภาวะเสี่ยงป่วยรุนแรงจากโควิด-19 มากเท่าผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีความเสี่ยงเป็นทุนเดิมอย่างการเป็นโรคเกี่ยวกับปอดและหัวใจ

ดร. เจน แวน ดิส (Dr. Jane van Dis) ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช และผู้อำนวยการแห่ง Maven โทรเวชกรรม (Telemedicine คือ การนําเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถพูดคุยตอบโต้กันได้แบบ Real-time) ให้สัมภาษณ์กับ Business Insider ว่า…

“เป็นเรื่องจริงที่หญิงตั้งครรภ์ต้องเพิ่มความระมัดระวังและตื่นตัวต่อมาตรการรักษาระยะห่าง (social distancing) เพราะนี่คือหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม ฉันไม่คิดว่าหญิงตั้งครรภ์ควรวิตกมากเกินไป เพราะยังไม่มีข้อมูลว่าไวรัสจะโจมตีภูมิต้านทานในแบบเดียวกับที่โจมตีผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป”

รายงานจาก WHO สำรวจหญิงตั้งครรภ์ชาวจีน ที่ ‘สงสัยว่าติด’ และ ‘ติดแล้ว’ จำนวน 147 คน (ยืนยันว่าติด 64 คน, มีอาการเข้าข่าย 82, ไม่มีอาการ 1) พบว่ามีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่แสดงอาการรุนแรง (severe) และมี 1 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอาการวิกฤต (critical)

แต่… หญิงตั้งครรภ์ยังถือว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อและอาจเสียชีวิตจากอาการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจ อย่างที่มักเกิดในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือที่เคยเกิดขึ้นในการระบาดของโรคซารส์ เช่นนี้ หญิงตั้งครรภ์จึงถูกนับเป็นคนกลุ่มเสี่ยงเฝ้าระวังเป็นพิเศษในวิกฤตโควิด-19 ด้วย

แวน ดิส แนะนำว่าสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์ต้องทำช่วงนี้คือการเข้มงวดกับมาตรการ social distancing (ถ้าเป็นไปได้ควรมีคนช่วยเหลือในการออกไปจับจ่ายซื้อของใช้จำเป็น ไม่ควรไปเอง) ให้ความสำคัญกับสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงคนที่มีอาการป่วยทุกกรณี

แม้กระทั่งการพบผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ระหว่างฝากครรภ์ก็ควรเป็นไปอย่าง ‘เสมือนจริง’ อย่างบริการของโทรเวชกรรมปัจจุบันในที่สามารถทำได้ หรือพูดอีกอย่างนึงว่า คุณแม่อาจใช้แพลตฟอร์ต่างๆ เชื่อมผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ นักผดุงครรภ์ doula (นักวิชาชีพที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อช่วยผ่อนคลาย หรือบรรเทาความเจ็บปวดให้แก่คุณแม่ในระหว่างการคลอดบุตร) ผู้ให้คำแนะนำด้านการให้นม และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ …หากเป็นไปได้ ก็ควรสื่อสารกันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

มีรายงานว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด-19 อาจส่งต่อเชื้อให้กับทารกระหว่างอยู่ในครรภ์

เบื้องต้น รายงานของ Lancet วันที่ 16 มีนาคม 63 ระบุว่า ในทารกแรกคลอดจากหญิงตั้งครรภ์ชาวจีนเมืองอู่ฮั่น ที่ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 9 คนนั้น มีเด็ก ‘หนึ่งคน’ ไม่พบการติดเชื้อ (ได้ผลลบ) ทั้งไม่พบเชื้อโควิด-19 ในน้ำนม น้ำคร่ำ และเลือดจากรก

ส่วนรายงานจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) เผยแพร่วันที่ 12 มีนาคม 63 นั้น ระบุว่า จากเด็กแรกคลอดจากแม่ที่ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 34 คน ตรวจ ‘ไม่พบ’ การติดเชื้อของทารกเหล่านี้เลย

(แปลได้ว่า รายงานช่วงแรกๆ พบว่า ในทารกแรกคลอดที่เกิดจากแม่ซึ่งได้รับเชื้อโควิด-19 นั้น มีทั้งที่ติดและไม่ติดเชื้อ แต่แน่ชัดว่าไม่พบเชื้อในน้ำนม น้ำคร่ำ และเลือดของทารก – กองบรรณาธิการ)

อย่างไรก็ตาม รายงานสามชิ้นจาก JAMA วารสารการแพทย์ ตีพิมพ์วันที่ 26 มีนาคม จำนวน 3 ชิ้น สงสัยว่า ทำไมทารก ‘บางคน’ จึงตรวจพบว่าติดเชื้อ แม้จะมีมาตรการป้องกันหลังคลอดอย่างเข้มงวดก็ตาม

สองในสาม ของรายงาน JAMA นั้น ใช้สันนิษฐานเรื่อง ‘แอนติบอดี้’ (Antibody-โปรตีนที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตสร้างขึ้นมา เพื่อกำจัดและทำลายแอนติเจนซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย) ในเลือดของเด็กแรกเกิดเป็นมาตรวัด

อธิบายโดยสรุปว่า โคโรน่าไวรัสอาจจะแพร่ผ่านรกเด็ก และ ทำให้เด็กปรากฎอาการป่วยได้

“รายงานสองฉบับนี้แสดงหลักฐานว่า โควิด-19 อาจส่งต่อจากแม่สู่ทารกระหว่างอยู่ในครรภ์” ดร. เจสสิก้า เมดเดน (Dr. Jessica Madden) กุมารแพทย์และผู้ชำนาญการทารกแรกเกิด และผู้อำนวยการบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับให้นมบุตร Aeroflow Breastpumps กล่าว

เด็กแรกเกิดและทารกในครรภ์มีโอกาสติดเชื้อสูงที่สุด แต่เด็กทั่วไปกว่า 90% ไม่แสดงอาการ หรือ มีอาการแต่ไม่รุนแรง

แม้ทารก เด็กแรกเกิด และเด็กเล็ก จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงและเปราะบางต่อการติดเชื้อมากกว่าผู้ใหญ่และในบางเคสก็อาการหนักและอาจส่งผลต่อชีวิต แต่เด็กทั่วไปจำนวน 90 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้แสดงอาการ หรือ มีอาการไม่รุนแรง เช่น มีอาการคล้ายหวัด เหนื่อยล้า เจ็บคอ ไอ หายใจได้สั้นๆ

รายงานวันที่ 17 มีนาคม 2563 (การรวมตัวกันของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งของประเทศจีน) สำรวจเด็กชาวจีนจำนวน 2,000 คน ที่ถูกระบุว่าติดเชื้อโควิด-19 พบว่า ทารกเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะพัฒนาอาการไปสู่ระดับรุนแรง (severe) และวิกฤต (critical) ที่สุด

  • ทารกและเด็กแรกเกิด มีโอกาสพัฒนาอาการสู่ระดับรุนแรง 10 เปอร์เซ็นต์
  • เด็กอายุ 1-5 ขวบ มีโอกาสพัฒนาสู่ระดับรุนแรง 7 เปอร์เซ็นต์
  • เด็กอายุ 6-10 ขวบมีโอกาสพัฒนาสู่ระดับรุนแรง 4 เปอร์เซ็นต์
  • เด็กอายุ 11-15 ปี มีโอกาศพัฒนาสู่ระดับรุนแรง 4 เปอร์เซ็นต์
  • 15 ปีขึ้นไป มีโอกาสพัฒนาสู่ระดับรุนแรง 3 เปอร์เซ็นต์

แม้จำเป็นต้องระวังเรื่องการติดเชื้อ แต่ยืนยันว่าเด็กๆ ยังคงกินนมแม่ได้

อาการของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด-19 จะคล้ายกับอาการโรคทางเดินหายใจที่ทำให้คุณแม่มีอาการไม่สบายตัว

รายงานจาก Translational Prdiatrics วารสารวิชาการทางการแพทย์ ตีพิมพ์วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 บอกว่า…

  • 6 ใน 10 ของคุณแม่ชาวจีนที่ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการหายใจได้สั้นๆ
  • 2 ใน 20 มีไข้
  • 2 ใน 10 มีผลตรวจมดลูกและตับเป็นปกติ
  • 1 ใน 10 มีอาการอาเจียน
  • 1 ใน 10 รายมีอาการช็อกและเสียชีวิต

แต่เหมือนกับรายงานทั่วไปในขณะนี้ที่กลุ่มตัวอย่างยังมีจำนวนน้อย ไม่มีทางระบุได้แน่ชัดว่าอะไรคือสาเหตุของอาการและการเสียชีวิต จะเป็นเพราะโควิด-19 อย่างเดียว จากอาการแทรกซ้อนอื่นๆ หรือจากทั้งสองปัจจัยรวมกัน

แม้ปัจจุบันจะมีการคลอดทางเลือกหลายอย่าง เช่น คลอดใน birth center (ศูนย์ให้บริการการคลอดที่ไม่ใช่โรงพยาบาล มีความเฉพาะทางและดูแลคุณแม่อย่างเอื้ออาทรกว่าจากเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์ (midwife) อ่านเพิ่มเติม ที่นี่) แต่เมดเดนให้ความเห็นอ้างอิงคำแนะนำของ CDC ว่าการคลอดที่โรงพยาบาลเป็นตัวเลือกที่ดีสุดเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อหลังคลอด เช่น การแยกแม่และเด็กทันทีหลังคลอด หรือ ควบคุมระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างแม่และเด็กราว 6 ฟุต

CDC ยังให้คำแนะนำว่าหลังคลอดแล้ว คุณแม่ให้นมลูกได้ เพราะยังไม่มีรายงานว่ามีการติดเชื้อผ่านน้ำนม แต่สำหรับคุณแม่ที่ติดเชื้อแล้ว ให้ใส่หน้ากากอนามัย-ล้างมือ-ปั๊มนมใส่ขวด จากนั้นให้คนอื่นเป็นคนให้นมบุตรแทน

ขอความช่วยเหลือสนับสนุนกัน

ปัจจุบันยังไม่มีรายงานแน่ชัดว่าโคโรน่าไวรัสกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และลูกอย่างไร และเพราะ ‘ไม่รู้’ จึงเข้าใจได้ว่าทำไมคุณแม่จึงกังวล

กระนั้น การควบคุมความกังวลและสร้างเงื่อนไขการเสพข่าวของตัวเองเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องจัดการ เรื่องนี้จูลี ไพค์ (Julie Pike) นักจิตวิทยาคลินิก ในชาเปลฮิลล์ นอร์ทแคโรไลนา ให้สัมภาษณ์กับ Business Insider ว่า การรับข่าวสารล้นเกินโดยเฉพาะจากแหล่งข่าวที่ไม่รู้จริงและไม่มีการตรวจสอบ อาจทำให้เราขยายภาพความน่ากลัวของเรื่องราวและดูเบาความสามารถของตัวเองในการจัดการกับสถานการณ์ ซึ่งนี่คือสาเหตุนำไปสู่ความวิตกกังวลทุกข์ใจ

แต่หากรู้สึกว่า ‘เอาไม่อยู่’ การเข้าหานักจิตบำบัดมืออาชีพ ระบายให้เพื่อนฟัง หรืออันที่จริงก็ทั้งสองอย่าง คือสิ่งจำเป็น แม้จะอยู่ในช่วงที่ทุกคนต้องรักษาระยะห่างต่อกันอย่างเข้มงวด แต่ก็มีเทคโนโลยีและตัวช่วยหลายอย่างให้เราส่งใจถึงกัน การหาสนับสนุนซัพพอร์ตกันได้หลายช่องทางจึงไม่ควรถูกเพิกเฉย

“มันจะมีอารมณ์หลายอย่างท่วมท้นในช่วงเวลานี้ บ้างเศร้าซึม บ้างรู้สึก และ อีกมากที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ให้รู้ไว้ว่า มันจะมีกลุ่มเครือข่ายที่คอยสนับสนุนให้กำลังใจคุณเสมอ” แวน ดิส กล่าว


เรียบเรียงจากบทความชื่อ
What pregnant women should know about the coronavirus 
อ้างอิงในเนื้อหา:
Some children develop severe infections from coronavirus, and the youngest ones have the highest risk, study says
A trio of studies suggest pregnant women could transfer the coronavirus in utero, contradicting prior research
Epidemiological Characteristics of 2143 Pediatric Patients With 2019 Coronavirus Disease in China
Clinical characteristics and intrauterine vertical transmission potential of COVID-19 infection in nine pregnant women: a retrospective review of medical records 
Clinical analysis of 10 neonates born to mothers with 2019-nCoV pneumonia
Possible Vertical Transmission of SARS-CoV-2 From an Infected Mother to Her Newborn
Coronavirus Disease 2019 (COVID-19) Update—Information for Clinicians Caring for Children and Pregnant Women
Report of the WHO-China Joint Mission on Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ตั้งครรภ์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่วัยรุ่นรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่ดีพอ” การรับฟังที่ดีจากพ่อแม่ คือ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.1 ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่มีต่อเด็กปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘แบ่งปันความอิ่ม’ คูปองอาหารที่ให้คนมาจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อเพื่อนที่ลำบากในช่วงโควิด

    เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์

  • Social Issues
    เก็บตัวอยู่บ้านอย่างไรให้มีความสุข

    เรื่อง The Potential ภาพ ninaiscat

โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร
Social Issues
27 March 2020

โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • การระบาดของโคโรน่าไวรัสทั่วโลก กำลังเปลี่ยนวิธีการเรียนของเด็กนับล้านคนทั่วโลก
  • การต้องแก้ปัญหาในช่วงเร่งด่วน ยิ่งทำให้ ‘นวัตกรรมการเรียนรู้’ ใหม่ๆ ถูกคิดและทำ เราอาจได้เห็นการร่วมมือระหว่างเอกชน รัฐบาล และ… สถาบันอะไรก็ตามที่เราไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะร่วมมือกันคิดนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา
  • นวัตกรรมที่กำลังจะมาถึง มาจริงและถูกติดตั้งจริง แต่ไม่แน่ใจว่าการพัฒนาเทคโนโลยีที่ว่าจะทำให้ความเหลื่อมล้ำ ดีขึ้น หรือ แย่ลง?

แค่ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่โคโรน่าไวรัส (โควิด-19) ระบาดหลายในประเทศ หลายทวีป ได้เปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของเด็กนับล้านคนทั่วโลกอย่างไม่เคยมีปรากฏการณ์ไหนทำได้มาก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้นักการศึกษาต้องกลับมาคิด (กันอย่างเร่งด่วน) ว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่าจะทำให้วิธีการเรียนของเด็กในระบบการศึกษา ‘ดีขึ้น’ หรือ ‘แย่ลง’ และนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ควรนำมาใช้เพื่อปรับตัวกับสถานการณ์ตอนนี้ (ที่ดูเหมือนจะยืดเยื้อออกไป) ควรเป็นอย่างไร

การระบาดอย่างรวดเร็วไล่ตั้งแต่เอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกา ทำให้ผู้กำหนดนโยบายทุกภาคส่วนต้องเร่งคิดและออกมาตรการยับยั้ง ยืดระยะ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้การแพร่ระบาดช้าลงอีกหน่อย แน่นอนว่ามาตรการนี้มีผลในระบบการศึกษาด้วย

13 มีนาคม 63 รายงานจาก UNESCO สรุปตัวเลขว่า มี 39 ประเทศที่รัฐบาลสั่งปิดโรงเรียนทั้งประเทศอย่างเป็นทางการ และอีก 22 ประเทศประกาศปิดบางส่วน โดยให้อำนาจท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจเอง อย่างไรก็ตาม UNESCO ประเมินว่ามีนักเรียนทั่วโลก 421 ล้านคนได้รับผลกระทบจากประกาศหยุดเรียน (อ่านประกาศ UNESCO ที่นี่)

จากทุกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้นักเรียนทั่วโลกต้องปรับไปเรียนที่บ้าน ทำให้ดีกรีของการจัดการเรียนรู้โดยครอบครัว (home-schooling) เข้มข้นขึ้นในกลุ่มประเทศที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง เช่น จีน เกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่าน เป็นต้น รวมถึงมีมาตรการรองรับ และ ‘นวัตกรรมการเรียนรู้’ ที่หลากหลายและน่าสนใจหลายตัว

แม้เร็วไปที่จะตัดสินว่า ผลกระทบของโรคระบาดครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนของผู้คนอย่างถึงรากขนาดนั้นหรือไม่ แต่มันก็มีสัญญาณจริงๆ และเป็นสัญญาณที่ไม่ฟังไม่ได้ว่า เหตุการณ์นี้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ต่อวงการการศึกษาจริง

และนี่คือ การคาดการณ์ 3 เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการศึกษา

หมายเหตุ: เรียบเรียงจากบทความเรื่อง 3 ways the coronavirus pandemic could reshape education*

1. ระบบการศึกษา: ถูกกระตุ้น-ถอง-ผลัก ให้เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้แบบใหม่ที่ไม่เคยคาดคิด

การเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาใหญ่ที่เคยก้าวเดินในอัตราเร่งระดับ ‘ช้า จนถูกวิจารณ์ว่าล้าหลังมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบเลคเชอร์ มุ่งหน้าแข่งขันเข้าสถาบันที่มีชื่อเสียง รูปแบบการสอนที่ล้าหลัง และอื่นๆ แต่ตอนนี้ โควิด-19 กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาไปเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาทั่วโลกให้ปรับตัวและคิดนวัตกรรม และต้องทำได้ภายในเวลารวดเร็ว

  • ฮ่องกง: ประกาศให้เด็กหยุดเรียนและใช้การเรียนรู้ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน
  • จีน: นักเรียนกว่า 120 ล้านคน เรียนหนังสือผ่านถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์
  • โรงเรียนหนึ่งในประเทศไนจีเรีย: ที่ปกติก็ใช้ทั้งการเรียนออนไลน์แบบ Synchronous Learning อยู่แล้ว วิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้เรียนกับผู้สอนไม่ต้องนัดแนะพบกันตามตารางเวลา แต่ติดต่อกันได้ตลอดผ่านเครื่องมือสื่อสาร และจะเรียนที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ (Anywhere Anytime) ทั้งนี้ก็ได้เพิ่มการเรียนรู้แบบ Synchronous ที่ทำให้เด็กๆ ได้เรียนกันแบบตัวต่อตัวออนไลน์ ในช่วงการปิดโรงเรียนแบบนี้ด้วย
  • โรงเรียนหนึ่งในเลบานอน: เริ่มการเรียนออนไลน์ในวิชาทั่วไป และขยายไปยังวิชาที่ไม่ใช่การแลคเชอร์ เช่น วิชาพละศึกษา และจะมีการบ้านให้เด็กๆ ทำ คือ ให้เด็กๆ อัดคลิปวิดิโอขณะทำกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา การเทรนด์นิ่ง ส่งกลับมาด้วย ข้อดีของการเรียนออนไลน์นี้ เด็กๆ ได้ลงมือทดลองใช้เทคโนโลยีไม่ว่าจะอัด ตัดต่อ แก้ปัญหาเทคนิคระหว่างทำ

ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ออกมาตรการรับมือการปิดโรงเรียน อ่านที่นี่

ต้องพูดด้วยว่าการเรียนออนไลน์ผ่านเทคโนโลยีที่เป็นจริงได้ในวันนี้ ก็เพราะเทคโนโลยีที่ถึงพร้อมโดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยี 5G อย่างทั่วถึงหลายประเทศเช่น จีน ญี่ปุ่น อเมริกา ยิ่งทำให้การเรียนออนไลน์แบบนี้เป็นจริง ง่าย และราคาถูกลง

ช่วงเวลานี้ที่หลายประเทศได้ทดลองการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีและเป็นได้จริง

คาดการณ์ว่าการเรียนรู้ในห้องหลังจากนี้จะผสานการเรียนออนไลน์ผ่านเทคโนโลยี อาจดึง influencer ทางการศึกษาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ‘การเรียนรู้’ จะง่ายขึ้นและกลายเป็น ‘habit’ หรือเป็นสิ่งที่เราทำในเวลาว่างมากขึ้น คือมองมันในแง่สิ่งบันเทิงที่เข้าถึงได้ ผสานไปกับการเรียนรู้จริงจังในชีวิตประจำวัน

2. ภาคีพันธมิตรทางการศึกษาทั้ง รัฐ-เอกชน จับมือร่วมพัฒนาช่องทางการเรียนรู้แบบใหม่ อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

แค่ไม่กี่สัปดาห์ เราเห็นการร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล สำนักพิมพ์ องค์กรทางการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญการศึกษา นักกำหนดนโยบาย ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี เครือข่ายการสื่อสาร และอื่นๆ ร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ น่าสนใจว่าในประเทศที่รัฐบาลเป็นผู้เล่นหลักในการจัดการศึกษา จะปรับเปลี่ยนโอบรับให้ทุกหน่วยงานเข้าช่วยเหลือและพัฒนาระบบการศึกษา เช่นในเวลาแบบนี้อย่างไร

ประเทศจีน: กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้ง รวบรวมหน่วยงานหลายองค์กรมาร่วมกันทำแพลตฟอร์มการเรียนทั้งแบบออนไลน์และถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์ รวมทั้งพัฒนาระบบพื้นฐานที่เอื้อกับการเรียนรู้อื่นๆ เสริมเข้าไปด้วย

ฮ่องกง: เว็บไซต์ที่ชื่อ readtogether.hk/ คือองค์กรที่รวมหน่วยงานทางการศึกษากว่า 60 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นสำนักพิมพ์ สื่อมวลชน และ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบันเทิง ได้มอบสื่อการเรียนรู้กว่า 900 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ หนังสือ และเครื่องมืออีกมากมายเพื่อให้บริการฟรีแก่ประชาชน ซึ่งประกาศแล้วว่าจะสานต่อวิธีการเรียนรู้แบบนี้ต่อไปแม้วิกฤตโควิด-19 จะจบลงแล้ว

ผู้เขียนแสดงความเห็นว่า การร่วมมือกันระหว่างรัฐ เอกชน และคนที่ดูเหมือนอยู่นอกวงการศึกษา ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้เห็นว่า นี่คือการทำงานที่ก้าวไกลกว่าการลงทุนจากรัฐ หรือจากองค์กรไม่แสวงกำไรต่างๆ

หรืออย่างช่วงเวลาราวสิบปีก่อน เราได้เห็นการลงทุนสำคัญที่มาจากภาคเอกชนในสนามการศึกษา เช่น ไมโครซอร์ฟ กูเกิล ซัมซุง Tencent Ping An และแม้แต่ อะลีบาบา เองก็ตาม แต่หากคิดในภาพรวม การเข้ามาขององค์กรเอกชนเหล่านี้ถือเป็นสัดส่วนที่น้อย (และประชาชนเองก็อาจไม่ได้มองว่าองค์กรเหล่านี้เข้ามาเล่นในสนามการศึกษา – กองบรรณาธิการ) แต่ช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสเช่นนี้ การเข้ามาร่วมมือของเอกชนอาจขับเน้นให้เห็นความสำคัญของตัวละครเหล่านี้ และเห็นความร่วมมือข้ามสายพรมแดนงานของตัวเองมากขึ้น

3. ความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากโอกาสในการเข้าถึงสารสนเทศที่ไม่เท่าเทียม อาจกว้างขึ้น

การเรียนออนไลน์เป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาอย่างเร็วและทำได้จริงมากที่สุด แต่การทำเช่นนี้ได้ ประเทศนั้นต้องมีโครงการการสื่อสารและอินเทอร์เน็ตที่ดีและราคาถูก ทุกคนเข้าถึงได้ ทำให้หลายๆ ประเทศได้เดินหน้าใช้เทคโนโลยีกับการศึกษาเรียบร้อยแล้ว เช่น ประเทศฮ่องกง ให้เด็กๆ ยากจนเข้าถึงการศึกษาและทำงานผ่านโปรแกรม WhatsApp หรือ อีเมล

แม้ตัวเลขจะยืนยันว่าประชากรโลกว่า 60 เปอร์เซ็นต์เข้าถึงอินเทอร์เน็ตและมีตัวตนบนโลกออนไลน์ แต่ต้องยอมรับว่าในประเทศที่ยังไม่พัฒนา และประเทศกำลังพัฒนา ที่ยังไม่ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโอบรับเทคโนโลยีเหล่านี้ การเข้ามาของการเรียนออนไลน์ ยิ่งทำให้เด็กยากจนและผู้ที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี ถูกละทิ้งและมองข้ามไป

การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดไม่ใช่การกลับไปพัฒนาเฉพาะที่สถาบันโรงเรียนอีกแล้ว แต่ทั่วโลกต้องทำให้เทคโนโลยีที่ถูกลงและคุณภาพดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำและช่องว่างเหล่านี้จึงจะถูกบีบให้แคบลง แต่ถ้าไม่ การเข้ามาของเทคโนโลยีในสนามการศึกษาอาจยิ่งทำให้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนให้ความเห็นว่า การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ทักษะจำเป็นของคนรุ่นใหม่คือ ‘การยืดหยุ่นปรับตัว’ ไม่ใช่แค่โรคระบาด แต่รวมถึงประเด็นใหญ่อย่างเหตุการณ์ความรุนแรงทั่วโลก ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และ ใช่… รวมถึงประเด็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีด้วย ในความโหดร้ายของโควิด-19 คือโอกาสดีที่จะกลับมาทบทวนว่า ทักษะของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการในโลกข้างหน้าซึ่งควบคุมไม่ได้เลยนั้น เราต้องการทักษะอะไรบ้าง เช่น ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และการปรับตัว เป็นต้น

แต่ในทักษะทั้งหมดที่กล่าวมา ผู้เขียนมองว่า ‘การปรับตัว’ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องถูกทำให้เป็นวาระในสนามการศึกษาต่อไป

อ้างอิง:
3 ways the coronavirus pandemic could reshape education

Tags:

ระบบการศึกษาDisruptionนวัตกรรมโซเชียลมีเดียschool closureไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning TheorySocial Issues
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Social Issues
    COVID-19 คาดเด็ก 363 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียน

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ นัฐพล ไก่แก้ว

ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก
Social Issues
20 March 2020

ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การปิดโรงเรียน คือ หนึ่งในมาตรการลดการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) และรักษาความปลอดภัยของผู้คน แต่มาตรการรองรับต่อเนื่องจากการปิดโรงเรียนของรัฐบาลแต่ละประเทศ มีมาตรการอย่างไร และอะไรบ้าง The Potential ลองสำรวจว่าแต่ละประเทศรับมือกับการปิดโรงเรียนระยะสั้นและระยะยาว ในเชิงกระบวนการทั้งระบบอย่างไรกัน

การกระจายของไวรัสโคโรน่าทั่วโลกในเวลานี้ทำให้แต่ละประเทศต้องวางมาตรการรับมือและสกัดกั้นการระบาดของโรคในลักษณะที่แตกต่างกันไป อนุบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถานศึกษารูปแบบต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงเรียน หรือ school closure มีผลแล้วอย่างน้อย 32 ประเทศ นักเรียนอย่างน้อย 363 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียนครั้งนี้

หากพิจารณาในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน การหยุดการเรียนการสอนไม่ได้กระทบแค่นักเรียน ครู หรือโรงเรียนเท่านั้น แต่กระทบโดยตรงถึงผู้ปกครอง โดยเฉพาะครอบครัวคนทำงานหาเช้ากินค่ำ เช่น อาหารมื้อเที่ยงฟรีของโรงเรียนบางแห่ง (แม้ในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ที่หลายคนบอกว่าคือประเทศพัฒนาแล้ว) คือมื้อที่ช่วยต่อชีวิตให้กับเด็กและครอบครัว การปิดโรงเรียนจึงเท่ากับอาหารที่ดีและถูกสุขลักษณะที่หายไป ไม่นับปัญหาอื่นๆ ที่กระทบต่อกันเป็นห่วงโซ่

The Potential รวบรวมมาตรการและวิธีการรับมือหลังมีการประกาศหยุดเรียนในประเทศต่างๆ ไว้ เพื่อเป็นตัวอย่างและแนวทางแก่ผู้ปกครอง ครู โรงเรียน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ขอให้ทุกคนตั้งหลักแล้วรับมือกับเรื่องนี้อย่างรู้ทัน และร่วมมือกันอย่างมีวินัยฝ่าฟันไปด้วยกันค่ะ

*ในภาวะฉุกเฉินนี้มาตรการต่างๆ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา รายละเอียดที่นำเสนอเหล่านี้เป็นภาพรวมการดำเนินการของแต่ละประเทศช่วงที่ผ่านมา ในแต่ละทวีปว่ากำลังตั้งรับเพื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ครั้งนี้อย่างไรบ้าง

ทวีปยุโรป

27 ประเทศในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรพบผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับการวินิจฉัยติดเชื้อโควิค-19 ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2020 หนึ่งเดือนต่อมาเกิดการระบาดอย่างรวดเร็วทางตอนเหนือของอิตาลี โดยสถิติตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมานั้น อิตาลีคือศูนย์กลางการระบาดใหญ่ในยุโรปและสหราชอาณาจักร กว่า 40% ของผู้ติดเชื้อในยุโรปอยู่ที่อิตาลี ตามต่อด้วยการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในสเปน แซงหน้าฝรั่งเศสและเยอรมันนีที่มีจำนวนประชากรมากกว่า

มาตรการรับมือ

  • อิตาลี ประกาศหยุดการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาถึงวันที่ 3 เมษายน รัฐบาลสร้างเว็บเพจส่วนกลางให้ครูใช้เพื่อประชุมวางแผนการสอนออนไลน์
  • ฝรั่งเศส สเปน เดนมาร์ก และฟินแลนด์ ประกาศหยุดการเรียนการสอนอย่างไม่มีกำหนด ประเทศฝรั่งเศสอนุญาตให้ผู้ปกครองลาป่วยได้ 14 วันโดยยังได้รับค่าจ้าง ในกรณีที่ต้องหยุดงานเพื่ออยู่ดูแลลูก
  • เยอรมัน สถานศึกษาบางแห่งในรัฐทางตะวันตกของ North Rhine-Westphalia ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และโรงเรียนในรัฐ Lower Saxony ประกาศหยุดการเรียนการสอน
  • สวีเดน ไม่ได้มีมาตรการสั่งหยุดเรียนอย่างเป็นทางการ แม้ว่าโรงเรียนหลายแห่งประกาศปิดเนื่องจากพบพนักงานหรือนักเรียนในโรงเรียนติดเชื้อ
  • นอร์เวย์ และเบลเยี่ยม ประกาศยกเลิกการเรียนการสอน แต่โรงเรียนยังเปิดทำการ สำหรับผู้ปกครองที่ไม่สามารถหยุดดูแลลูกที่บ้านได้ ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กหรือเนิร์สเซอรียังคงเปิดทำการตามปกติ
  • ออสเตรีย มีระบบการจัดการที่แตกต่างจากประเทศอื่น ประกาศให้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคมเป็นต้นไปจนถึงหลังเทศกาลอีสเตอร์ นักเรียนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปให้เรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน โรงเรียนยังเปิดทำการสำหรับนักเรียนอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยเลือกได้ว่าจะเรียนอยู่ที่บ้านหรือมาโรงเรียน ส่วนการเรียนการสอนระดับมหาวิทยาลัยถูกระงับ
  • สหราชอาณาจักร เริ่มต้นจากประกาศให้โรงเรียนที่พบผู้ป่วยติดเชื้อหยุดการเรียนการสอนได้ แต่เนื่องจากพบการแพร่ระบาดกระจายไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดมีการประกาศปิดสถานศึกษาอย่างเป็นทางการในที่สุด และเลื่อนการสอบในทุกระดับไปอย่างไม่มีกำหนด

เมื่อมีการประกาศหยุดเรียน ความรับผิดชอบจึงถูกส่งต่อมายังผู้ปกครอง

       “ฉันยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะจัดการดูแลลูกยังไง ในเมื่อเราสองคนพ่อแม่ยังต้องทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็น” บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อเย็นระหว่างครอบครัวของฉันและเพื่อนแม่สามี

รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกาเพิ่งประกาศระงับการเรียนการสอนในโรงเรียนไปเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (15 มีนาคม)

เหมือนรู้กันโดยอัตโนมัติว่าความจำเป็นหลังจากนี้ คือ ความร่วมมือจากผู้ปกครอง ที่ต้องหยุดทำงานเพื่ออยู่บ้านดูแลลูก ทางการย้ำว่าผู้ปกครองจะต้องไม่ทิ้งลูกไว้ให้ผู้สูงอายุดูแลเนื่องจากผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงติดโรคมากกว่า ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ทำให้ในหลายประเทศประกาศให้โรงเรียนหยุดการเรียนการสอน แต่โรงเรียนยังเปิดดำเนินการเพื่อให้นักเรียนมาโรงเรียนและอยู่ในความดูแลของครูได้ ในกรณีที่ผู้ปกครองมีความจำเป็นต้องทำงาน

สำหรับสหราชอาณาจักร รัฐบาลขอความร่วมมือจากคีย์เวิร์คเกอร์ (Key Workers) ได้แก่ หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข (NHS) และพนักงานส่งอาหารดิลิเวอร์รี่ ให้ยังคงทำงานต่อ เนื่องจากเป็นบุคลากรสำคัญในสถานการณ์ ณ เวลานี้ ทั้งเรื่องการตรวจคัดกรองและรักษาโรค รวมถึงการบริการส่งอาหารถึงบ้าน หลังมีประกาศให้ผู้คนกักตัวเองอยู่ในบ้านเท่านั้น รัฐบาลให้ความมั่นใจว่าลูกๆ ของคนทำงานกลุ่มนี้จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในโรงเรียนและสถานรับเลี้ยงที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนด้อยโอกาสกว่า 1 ล้านคนในอังกฤษที่ฝากท้องไว้กับอาหารมื้อเที่ยงในโรงเรียน รัฐบาลจึงต้องวางแผนฉุกเฉินเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กด้อยโอกาสจะยังคงมีอาหารรับประทานในช่วงปิดโรงเรียน

รัฐบาลกำลังวางแผนแจกคูปองให้กับนักเรียนเพื่อนำไปใช้ซื้ออาหารจากซุปเปอร์มาร์เก็ตชดเชยค่าอาหารในโรงเรียน บางโรงเรียนหยุดการเรียนการสอนแต่ยังคงเปิดครัวทำอาหาร เพื่อปรุงอาหารไปกระจายให้กับนักเรียนที่ขาดแคลน รวมถึงนักเรียนพิการและกลุ่มพิเศษ

ส่วนเรื่องการเรียนการสอน แน่นอนว่าผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนทำงานที่ได้รับมอบหมายจากโรงเรียนในช่วงประกาศหยุดเรียน นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษกำลังทำงานร่วมกับสำนักข่าวบีบีซีเพื่อออกแบบฐานข้อมูลแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยตัวเองที่บ้าน

สหรัฐอเมริกา

ข้อกังวลที่เกิดขึ้นจากการประกาศระงับการเรียนการสอนไม่ต่างจากสหราชอาณาจักร การวางมาตรการควบคุมไม่สามารถคำนึงถึงแค่เรื่องการเรียนเพียงมิติเดียว แต่รวมถึงการใช้ชีวิตของนักเรียนด้อยโอกาสและครอบครัวที่ขาดแคลนทั่วประเทศ ในสหรัฐอเมริกา สถานศึกษาราว 95,000 แห่งทั้งรัฐและเอกชนยุติการเรียนการสอน ส่งผลให้นักเรียนอย่างน้อย 43.9 ล้านคนทั่วประเทศ ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน

หลายโรงเรียนยังคงเปิดโรงอาหารให้บริการแก่ครอบครัวของนักเรียนที่ขาดแคลน แต่ในระยะยาวโรงเรียนอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่รองรับผู้ป่วยหรือเป็นสถานที่พักพิงสำหรับคนไร้บ้าน ส่วนการเรียนออนไลน์ที่ดูเหมือนเป็นทางออก ในเชิงเทคนิคแล้วโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีความพร้อมสำหรับการพัฒนาหลักสูตรการการเรียนออนไลน์ได้ทันในช่วงเวลานี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารโรงเรียนหลายแห่งแสดงความกังวลใจ เนื่องจากหากโรงเรียนไม่สามารถเตรียมการสอนให้นักเรียนได้ศึกษา ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามกฏหมาย โรงเรียนมีโอกาสไม่ได้รับการอุดหนุนงบประมาณจากรัฐบาลกลาง

ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อในสหรัฐ (Center for Disease Control: C.D.C.) ให้ข้อมูลจากสถิติการสร้างแบบจำลองการแพร่ระบาดว่า การปิดโรงเรียนระยะสั้นเพียง 2-6 สัปดาห์ไม่สามารถลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ มีตัวอย่างให้เห็นจากฮ่องกงที่ปิดเรียนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ขณะนี้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 20 เมษายน แต่หากพิจารณาปิดเรียนในระยะยาว โรงเรียนจำเป็นต้องวางแผนจัดการเรื่องการเรียนการสอน สำหรับสหรัฐอเมริกามาตรการรับมือต่างๆ ไม่ได้เป็นคำสั่งมาจากส่วนกลางเท่านั้น ผู้ว่าการรัฐมีอำนาจตัดสินใจและวางมาตรการในแต่ละท้องที่ด้วยเช่นกัน

หลายรัฐในอเมริกา ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย แมสซาชูเซตส์ มิชิแกน มิสซูรี เนวาดา โอคลาโฮมาและเวอร์จิเนีย ได้รับความร่วมมือจากสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ออกอากาศเนื้อหาบทเรียนผ่านโทรทัศน์ เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคือ บทเรียนออนไลน์ที่หลายคนมองว่าเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกที่สุด ต้องใช้เวลาในการออกแบบบทเรียน และนักเรียนบางส่วนไม่มีความพร้อมเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สาย (WiFi) ได้

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการออกอากาศชั้นเรียนผ่านโทรทัศน์ในเมืองลอสแองเจลิสทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมีนักเรียนกว่า 7 แสนคน เมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศ

ซานดิเอโก นำเสนอ “At Home Learning” ออกอากาศบทเรียนที่ตรงตามมาตรฐานของรัฐ 12 ชั่วโมงต่อวัน แผนการสอนสำหรับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ออกอากาศเวลา 18:00-20:00 สำหรับเกรด 4-8 และนักเรียนมัธยมปลาย ออกอากาศเวลา 13:00-18:00 ผ่านคนละช่องรายการ

“เราทำสิ่งนี้เพราะรู้ว่าทุกคนเข้าถึงโทรทัศน์ได้” ซินดี้ มาติน ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์สาธารณะ กล่าว

ล่าสุดวันที่ 19  มีนาคม สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันและเดโมแครตเผยแผนชะลอการชำระเงินกู้ยืมเรียนเพื่อการศึกษาให้แก่นักเรียนและนักศึกษา เพื่อช่วยบรรเทาการรับภาระหนี้สินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา

ทวีปเอเชีย

กลับมาที่ทวีปเอเชียบ้านเรากันบ้าง เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่น มีประกาศขอความร่วมมือให้โรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาปิดทำการจนถึงต้นเดือนเมษายน ส่วนโรงเรียนอนุบาลได้รับการยกเว้น อย่างไรก็ตาม โรงเรียนประถมหลายแห่งหยุดการเรียนการสอนไปแล้ว แต่ยังคงเปิดทำการสำหรับนักเรียนที่ผู้ปกครองยังจำเป็นต้องเดินทางไปทำงาน

รัฐบาลญี่ปุ่นได้เสนอเงินอุดหนุนให้นายจ้างครอบคลุมค่าแรงของคนงานมากถึง 8,330 เยนต่อวัน (ประมาณ 2,450 บาท) ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2020 นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเงินสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ปกครองที่ไม่สามารถไปทำงานได้ในช่วงประกาศปิดโรงเรียน

คณะรัฐมนตรีเสนองบประมาณรายเดือนสูงถึง 52,800 เยน (ประมาณ 15,500 บาท) ให้กับผู้ปกครองที่จำเป็นต้องจ้างคนมาดูแลลูก แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 262,000 เยน (ประมาณ 77,000 บาท) ในเดือนมีนาคมหลังรัฐบาลได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองจำนวนมาก

ไต้หวัน ประเทศที่ได้รับการชื่นชมจากทั่วโลกว่ารับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรน่าได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งที่หากพิจารณาจากทำเลที่ตั้ง ไต้หวันน่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสจนอ่วม ช่องแคบระหว่างไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่มีระยะห่างเพียง 130 กิโลเมตร แม้เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากร 23 ล้านคน แต่การออกมาตรการที่ชัดเจนอย่างรวดเร็วและการปฏิบัติการอย่างเข้มข้น ทั้งการจำกัดเที่ยวบินเข้าออกประเทศตั้งแต่ต้นปี การสกรีนผู้โดยสาร การห้ามส่งออกหน้ากาก แล้วผลิตไว้ใช้เฉพาะในประเทศวันละ 4 ล้านชิ้น

เทคโนโลยีรวมฐานข้อมูลประกันสุขภาพแห่งชาติเข้ากับฐานข้อมูลของด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร เพื่อเก็บประวัติการเดินทางของชาวไต้หวันทุกคนย้อนหลังกลับไป 14 วัน แล้วคัดกรองผู้มีความเสี่ยงให้กักตัวอยู่ที่บ้าน

นวัตกรรมแอปพลิเคชันติดตามผู้ป่วยและอัปเดตสถานการณ์โดยตรงจากภาครัฐผ่านสมาร์ทโฟน และไกด์ไลน์เรียนคลาสออนไลน์สำหรับนักเรียน ทั้งหมดทำให้ไต้หวันสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัด ไม่ยืดเยื้อ แม้มีการสั่งปิดโรงเรียนแต่ก็สามารถทยอยเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยมาตรการในโรงเรียนต่อจากนี้ คือ การทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย มีการตรวจวัดอุณหภูมินักเรียนก่อนเข้าชั้นเรียน ครูดูแลนักเรียนอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับการล้างมืออย่างถูกวิธี จัดที่นั่งนักเรียนให้มีระยะห่างกันและมีแผงกั้นเพื่อป้องกันการไอจามรดกัน รวมถึงการเปิดหน้าต่างห้องเรียนให้อากาศถ่ายเทสะดวก ความสำเร็จของไต้หวันเป็นบทเรียนจากประสบการณ์เมื่อครั้งเกิดการระบาดของโรคซาร์ในปี 2003 ทำให้ไต้หวันจัดตั้งศูนย์สุขภาพแห่งชาติ (National Health Command Center: NHCC) อย่างเป็นทางการขึ้นในปี 2004

เกาหลีใต้ หนึ่งในประเทศที่ได้ชื่อว่ามีระบบการศึกษาที่มีความกดดัน แข่งขันกันค่อนข้างสูง และนักเรียนเกาหลีใต้ใช้เวลาตอนเย็นในโรงเรียนกวดวิชา ไม่ต่างจากนักเรียนในประเทศไทย วิกฤตโควิด-19 ทำให้โรงเรียนต้องระงับการเรียนการสอนด้วยเช่นกัน

ขณะที่ประเทศจีน หลังพบการระบาดตั้งแต่ปลายปี 2019 การประกาศปิดโรงเรียนเป็นมาตรการฉุกเฉินเพื่อป้องกันการติดเชื้อ กระทรวงศึกษาธิการประเมินว่ามีนักเรียนมากกว่า 220 ล้านคนได้รับผลกระทบ ในจำนวนนี้เป็นนักเรียนประถมและมัธยม 180 ล้านคน และเป็นเด็กก่อนวัยเรียน 47 ล้านคน ถึงตอนนี้โรงเรียนต่างทยอยเปิดโรงเรียนอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา

การบริหารสถานการณ์ การสั่งการที่ชัดเจน และความร่วมมือจากโรงเรียนและครูในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนออนไลน์ได้อย่างทันท่วงที เพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์และทางอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นระบบ คลายความกังวลของผู้ปกครองเกี่ยวกับการเรียนและผลการเรียนของเด็กๆ ไปได้

อย่างไรก็ตาม การปิดเรียนเป็นเวลานานและมาตรการกักตัวเองอยู่ในบ้านโดยไม่มีกิจกรรมกลางแจ้ง ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเด็ก สังเกตเห็นได้จากเด็กมีความตื่นตัวน้อยลง ติดโทรทัศน์และอุปกรณ์สื่อสารมากขึ้น และมีพฤติกรรมการนอนที่ผิดปกติ

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้ปกครองกลายเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้บุตรหลานผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ด้วยการดูแลเอาใจใส่พวกเขานอกเหนือจากการเรียน แต่สรรหากิจกรรมทำร่วมกันในครอบครัวภายในที่พักอาศัย

ด้วยเหตุนี้ การฟื้นฟูผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ จากการถูกกักตัวอยู่บ้านเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกประเทศไม่ควรมองข้ามและต้องเตรียมการรับมือไว้เช่นกัน

องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) มีความเห็นต่อการวางมาตรการรับมือด้านการศึกษาว่า หากจำเป็นต้องปิดโรงเรียนในระยะยาวเทคโนโลยีขั้นสูงอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

สิ่งสำคัญคือการพิจารณาความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้า ระบบอินเทอร์เน็ต ทักษะด้านดิจิทัลของครู ผู้ปกครองหรือคนในครอบครัว ที่ต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ อาศัยอยู่ที่บ้าน หากจัดการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตไม่ได้ การออกอากาศบทเรียนผ่านวิทยุและโทรทัศน์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

หน่วยงานด้านสาธารณสุขจากประเทศอังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น เห็นตรงกันว่า การหยุดการเรียนการสอนระยะสั้น ไม่ได้ช่วยบรรเทาการแพร่ระบาดของโรค เนื่องจากสถิติบ่งชี้ชัดเจนว่าประชากรกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ แต่การทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัย ด้วยการคัดกรองนักเรียนอย่างเข้มงวด จัดระยะห่างที่นั่งของนักเรียนใหม่ให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร หากนักเรียนมีอาการป่วยให้พักรักษาตัวที่บ้าน และทำให้การล้างมืออย่างถูกวิธีกลายเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต สามารถช่วยลดความเสี่ยงติดโรคในระยะยาวได้มากกว่า

จากการรวบรวมข้อมูลระบบการจัดการการศึกษาในภาวะวิกฤตครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า การวางมาตรการปิดโรงเรียนเพื่อลดการระบาดของโคโรน่าไวรัสนั้น ไม่ใช่แค่การหยุดเรียนในห้องเรียน บอกให้นักเรียนไปเรียนผ่านระบบออนไลน์ แล้วทุกอย่างจะจบ การออกมาตรการในแต่ละประเทศต้องคำนึงถึง สถานการณ์ภาพรวม จำนวนประชากรตามหลักประชากรศาสตร์ วิถีชีวิตและศักยภาพของผู้ปกครอง อุปกรณ์ เทคโนโลยี และคุณภาพชีวิตพื้นฐานของประชากรแต่ละกลุ่มด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แผนการรับมือที่ดีและรัดกุม หรือแม้แต่ความผิดพลาดของประเทศอื่น น่าจะพอเป็นแนวทางวางมาตรการและนโยบายต่างๆ ในประเทศไทยเราได้บ้าง

อ้างอิง

How Europe is responding to the coronavirus pandemic
Coronavirus: why are UK schools closing and what does it mean for parents?
School Districts in 7 States Getting Remote Learning Help From Public Television
Experts raise doubts that Japan school closures will curb coronavirus
Mitigate the effects of home confinement on children during the COVID-19 outbreak
COVID-19 (“Coronavirus”) Information and Resources for Schools and School Personnel

Tags:

ระบบการศึกษาDisruptionschool closureไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Learning TheorySocial Issues
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

ให้การ ‘อยู่บ้าน’ ครั้งนี้ เป็นโอกาสดีได้ทำความรู้จักลูกจริงๆ ผ่านงานบ้าน งานครัว งานสวน
Learning TheorySocial Issues
20 March 2020

ให้การ ‘อยู่บ้าน’ ครั้งนี้ เป็นโอกาสดีได้ทำความรู้จักลูกจริงๆ ผ่านงานบ้าน งานครัว งานสวน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • ครูอุ้ย-อภิสิรี จรัลชวนะเพท แม่ครูอนุบาลผู้ก่อตั้งอนุบาลบ้านรัก ชวนคุยว่า ช่วงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม-กักตัวอยู่บ้านเนื่องจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) พ่อแม่ทำอะไรได้บ้างเมื่อต้องอยู่บ้านกับลูกและเป็นผู้สร้างการเรียนรู้ให้ลูกเองในช่วงเวลาที่อาจทอดเวลาไปอีกนานครั้งนี้
  • แม้วิกฤตทำให้เราใจเสีย แต่ในความร้าย(กาจ)เรายังต้องเดินต่อ ในความน่ากลัวย่อมมีความงาม ในความสามัญอย่างงานบ้าน-ครัว-สวน คือขุมพลังแห่งการเรียนรู้ของเด็กๆ และเราเองด้วย ขอให้ปลอดภัย เข้มแข็ง แข็งแรง ไปด้วยกันนะคะ

หลังกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประกาศมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ และ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศมติป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการปิดพื้นที่เสี่ยงบางส่วนในกรุงเทพฯ และปริมณฆล เป็นเวลา 14 วัน (18-31 มี.ค. 63)

กักตัวอยู่บ้าน และ Social Distancing – การรักษาระยะห่างทางสังคม เป็นสิ่งที่รับรู้ร่วมกันและต้องปฏิบัติตาม

ท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบเนื่องจากยังไม่มีมาตรการจากรัฐรับรองว่า เมื่อเด็กๆ และผู้ปกครอง (และในฐานะคนทำงาน) อยู่บ้านแล้วอย่างไรต่อ? ที่เกิดแน่ๆ คือพ่อแม่จะต้องดูแลลูกเต็มเวลาเพราะนำเด็กๆ ไปฝากไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กต่างๆ ไม่ได้แล้ว UNESCO เองก็ออกมาให้แสดงความกังวลด้วยว่า การที่พ่อแม่ต้องหยุดงานมาเลี้ยงลูกเองอาจทำให้พ่อแม่ตั้งหลักไม่ทัน อาจเครียดเรื่องปากท้องเพราะชั่วโมงการทำงานที่หายไป

The Potential ขอ(อนุญาต)ช่วยคลี่คลายปัญหาไปทีละเปลาะ เอาเฉพาะข้อแรก ‘อยู่บ้านแล้วทำอย่างไรดี? เราควรตั้งหลักจากอะไรก่อน’ เราต่อสายตรงถึงครูอุ้ย-อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวอลดอร์ฟ และ ผู้ก่อตั้งอนุบาลบ้านรัก ชวนคุยว่า เราจะคิดกับวิกฤตนี้อย่างไรได้บ้าง มีโอกาสอะไร ทำอะไรได้บ้างเมื่อต้องอยู่บ้านกับลูก

ในฐานะแม่ครูอนุบาล ครูอุ้ยชวนพ่อแม่ตั้งหลัก ใช้วิกฤตนี้สร้างโอกาสที่ผู้ปกครองจะได้ใช้เวลากับลูกอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ตอบด้วยหลักการเรียนรู้แบบมนุษยปรัชญาหรือการศึกษาวอลดอร์ฟ ว่า ขั้นแรก เด็กวัยอนุบาลไม่ได้เรียนรู้การบอกเล่าข้อมูลให้จำ แต่เรียนรู้ผ่านการกระทำ ‘เลียนแบบ’ สิ่งที่เห็น และ ใช้วิกฤตนี้ในการสร้างจังหวะที่ดีให้กับลูก ผ่านงานบ้าน งานครัว(เรือน) และงานสวน

ครูอุ้ยจะมาขยายให้ฟังยาวๆ ว่า วิกฤตที่ทำให้การอยู่บ้านครั้งนี้ จะกลายเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่น่ารักของครอบครัวและสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกได้อย่างไร

โอกาสดี: พ่อแม่ได้รู้จัก ‘ลูก’ ในแบบที่เป็นเขาจริงๆ

ครูอุ้ยเริ่มบทสนทนาด้วยการเกริ่นว่า แม้ครอบครัวของครูอุ้ยจะทำอนุบาล (อนุบาลที่ไม่ใช่โรงเรียน และเป็น ‘อนุบาลแบบบ้าน’) แต่ก็เชื่อว่าช่วง 0-7 ปีแรก คนที่เด็กๆ ควรอยู่ด้วยที่สุด คนที่ควรเป็นคนเลี้ยงดูเขาอย่างเต็มเวลาที่สุดก็คือพ่อแม่ แต่สภาพสังคมและเศรษฐกิจทำให้เราต้องฝากเด็กๆ ไว้กับสถานเลี้ยงดู

“เพื่อนชาวจีนคนนึงของครูอุ้ยเคยบอกไว้ว่า ที่บ้านเขาชอบพูดว่า ในช่วง 0-3 ปีแรก เราดูได้ว่าเด็กจะโตขึ้นแบบไหน ในช่วง 3-7 ปี เรารู้ได้ว่าเขาจะแก่ตัวอย่างไร” ครูอุ้ยพูดขึ้นเพื่อชี้ว่า ช่วง 0-7 ปีแรกคือวัยที่สำคัญมากในแง่การสร้างประสบการณ์ การเรียนรู้ และการสร้างจังหวะชีวิตให้เด็กคนนึง

“ในการศึกษาวอลดอร์ฟ บอกว่าระบบชีวิตคือ senses of life หมายถึงว่า ถ้าเด็กคนนี้เป็นคนที่มีจังหวะชีวิตที่ดี พ่อแม่หรือคนเลี้ยงวางระบบระเบียบในชีวิตเขาดี มีกิจวัตรประจำวันที่สม่ำเสมอ เราจะพบว่าเขาอยู่ง่ายเลี้ยงง่าย แต่ถ้าระบบชีวิตเค้าสับสน เช่น นอนไม่เป็นนอน กินไม่เป็นกิน พ่อแม่กลับบ้านดึกบ่อยๆ จนไม่ค่อยได้กินข้าวด้วยกัน คาดเดาไม่ได้ กิจวัตรไม่สม่ำเสมอ การเป็นอยู่ของเด็กก็รวนไปด้วย ระบบชีวิตเขาจะสับสน สุขภาวะไม่ดี กิน-อยู่-นอน ไม่ดี”

‘จังหวะชีวิต’ ที่ครูอุ้ยพูดหมายถึงกิจวัตรที่สม่ำเสมอ คาดเดาได้ เช่น ตื่นนอนด้วยเวลาเท่านี้ เสร็จแล้วเก็บที่นอน อาบน้ำ กินข้าว ไปโรงเรียน … เรื่อยไปจนครบวัน ทำกิจกรรมในช่วงเวลาซ้ำเดิมจนครบลูปวัน เป็นเช่นนี้เรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ เด็กจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น รู้เวลา รู้อยู่ คาดเดาได้

จังหวะชีวิตเกี่ยวกับเรื่อง ‘การอยู่บ้าน’ และวิกฤตครั้งนี้อย่างไร?

ครูอุ้ยบอกว่า อยากให้พ่อแม่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทุกวันนี้เรารู้จักจังหวะของลูกดีพอรึยัง หรืออันที่จริงเป็นจังหวะแบบ เร่งๆๆ (กินข้าวเสร็จรึยังลูก ขึ้นรถเร็วลูก รีบลงเร็วลูกรถข้างหลังจ่อท้ายมาแล้ว) รู้จักตัวตนของลูกดีพอรึยัง วิกฤตครั้งนี้ จึงเป็นการได้กลับมารู้จักตัวตนของลูก จังหวะของลูก และถ้าพบว่าจังหวะชีวิตของเขายังไม่สม่ำเสมอ เราใช้โอกาสสร้างจังหวะชีวิตให้เขาได้ ผ่านงานบ้าน งานครัว งานสวน …ง่ายๆ แบบนี้นี่แหละ

โอกาสดี: เด็กๆ เรียนรู้ผ่าน ‘การเลียนแบบ’

“เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ พูดอีกอย่างได้ว่า เขารับความรู้เข้าตัวผ่านการมี ‘แบบอย่าง’ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า imitation การเรียนรู้ของเด็กๆ เกิดเมื่อเด็กๆ เห็นแบบอย่างและทำตามโดยปราศจากความคิด สิ่งดีงามที่เกิดขึ้นกับลูกเรานั่นก็อาจเป็นเพราะลูกเรากำลังเลียนแบบอะไรหรือใครอยู่รึเปล่า

“เช่น ลูกเกิดปลื้มมากเลยที่เห็นครูหรือคนที่เลี้ยงเขากวาดบ้าน เขารู้สึกว่าการกวาดบ้านมันท้าทายและเขาอยากลงมือทำ เค้าจึงจับไม้กวาด เมื่อถึงเวลาที่คนเลี้ยงหรือครูเริ่มลงมือกวาด เขาจะเอาที่โกยผงไปรอ และถ้ามันมีไม้กวาดเหลืออยู่ตรงนั้น เขาจะลงมือกวาดเอง ทีนี้เราก็ตบมือดีใจว่าลูกเราเก่งมากเลย กวาดบ้านอย่างมีความรับผิดชอบ แต่จริงๆ แล้วเขาแค่กำลังเลียนแบบคนๆ นั้นอยู่ กำลังอินกับบุคคลนั้นอยู่ หมายถึงว่า ถ้าโตไปเขาไม่สนจะกวาดบ้านแล้วก็ไม่ต้องไปต่อว่าเขาเพราะมันเป็นคนละอายุกัน เพียงรับรู้ไว้ว่า นี่คือการเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบของเขา ที่เขาสนใจเรื่องกวาดบ้านเพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เขาประทับใจ”

ครูอุ้ยเริ่มเรื่อง ‘การเลียนแบบ’ ก่อนเพื่ออยากให้เข้าใจโลกการเรียนรู้ของเด็กวัยอนุบาล เขาไม่ได้เรียนรู้ผ่านการบอกให้ท่องจำ แต่เรียนรู้ผ่านเรื่องใกล้ตัว ครูย้ำว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอัดวิชามากมายให้เด็กอายุเท่านี้เพราะยังไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นและจะใช้งานในเวลาอันใกล้ แต่เรื่องใกล้ตัวอย่างชีวิตประจำวันของเขาต่างหาก คือสิ่งที่เราควรพูดกัน

และเป็นอีกครั้งที่ครูอุ้ยย้ำว่า สำหรับวัยอนุบาล นี่จึงเป็นโอกาสดีมากๆ ที่พ่อแม่จะใช้เวลานี้เป็นต้นแบบให้เขาเรียนรู้เลียนแบบ และเรื่องใกล้ตัวและเป็นชีวิตของเขาและเราที่สุด ก็คืองานบ้าน งานครัว งานสวน

โอกาสดี: สร้างจังหวะชีวิตที่สม่ำเสมอ ผ่านงานบ้าน

“งานบ้านเป็นงานที่ต้องทำทุกวัน เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน หากไม่ทำจะมีผลกระทบต่อชีวิต เช่น ถ้าไม่ล้างจานวันนี้ พรุ่งนี้ต้องล้างมากขึ้น เก็บไว้ไม่ล้างหลายๆ วัน ก็ไม่ได้ ชีวิตจะเริ่มลำบาก อยู่ยากซะแล้ว เด็กทำงานบ้านได้เพราะมีผู้ใหญ่ทำให้ดูเป็นแบบอย่างให้เห็นทั้งสถานดูแลหรือสถานศึกษาและที่บ้านของเขาเอง ดูแล้วก็ลงมือทำเลย โดยไม่ได้ผ่านการคิด ทักษะการใช้มือสารพัดรูปแบบนี่ก็มาจากการลงมือทำ

“งานบ้านต้องมีผู้ใหญ่อยู่ตรงนั้น เราแค่บอกให้เขาทำไม่ได้ เช่น “ไปล้างจานนะลูก” แต่สุดท้ายเขาไม่ได้ทำแล้วเราก็จะถามเขาว่า “ทำไมไม่ทำละลูก” ไม่ได้หรอก เพราะเด็กจะทำเมื่อมีเราอยู่ตรงนั้น เขาแค่อยากให้เราอยู่เพื่อเลียนแบบกันไปสนุกสนาน

“ครูอุ้ยขอยกตัวอย่างเรื่องการกวาดบ้านเพราะครูอุ้ยชอบ (ยิ้ม) บ้านคนเราจะมีมุมฉาก เวลาผู้ใหญ่กวาดตรงมุม เราจะเซาะไม้กวาดไปที่มุมนั้นแล้วกวาดเอาขี้ผงออกมา โอ้โหว… แค่การแซะขี้ผงออกจากมุมบ้านก็คือโอกาสที่เขาจะได้รู้จักรูปทรงต่างๆ ในธรรมชาติโดยที่เราไม่ต้องหา ไม่ต้องจัด ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์การสอนเลยแต่มีอยู่แล้วในทุกๆ วัน เด็กเคยเห็นรูปทรงต่างๆ ในกระดาษ แต่ในชีวิตจริง มันอยู่ตรงนั้นแล้ว เราก็อยู่ในรูปทรงนั้น เราอยู่กับรูปทรงต่างๆ ในชีวิตจริง บ้านเราทรงโค้งเราก็กวาดบ้านในลักษณะโค้ง

ครูอุ้ยขยายเรื่องการเรียนรู้ที่เด็กๆ ได้จากงานบ้านต่อว่า งานบ้านไม่ใช่แค่การกระทำ แต่มันคือ ‘ความสัมพันธ์ระหว่างกิจวัตรนั้นกับตัวเอง’ เป็นเรื่องเดียวกับ สุขศึกษา สุขนิสัย ระเบียบวินัย สารพัดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ตัวเองอยู่รอดได้ และ ‘งานบ้าน’ ต้องไม่ใช่แค่เด็กได้รู้จักโลกผ่านการเลียนแบบผู้ใหญ่จากกิจกรรมที่ทำในบ้าน แต่ตัวผู้ใหญ่เองต้องเป็นบุคคลนั้น ทำสิ่งนั้นให้เขาเลียนแบบด้วย

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขัดกับหัวใจของผู้ใหญ่หลายคนทุกยุคทุกสมัย คือเรามักคิดว่างานบ้านเป็นเรื่องของเด็กที่โตแล้วระดับนึง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบดูแล

“มันเป็นความเคยชินของวัฒนธรรมแบบบ้านเรารึเปล่าที่ผู้ใหญ่จะเข้าไปช่วยเด็กเรื่องการจัดการตัวเอง เราจะพบว่าเด็กจะมีคนถือกระเป๋าให้ แต่งตัวให้ ใส่ถุงเท้าให้ และเขายินดีทำด้วยนะ ก็เพราะรักอะ แต่ในวัฒนธรรมประเทศอื่น ‘เรื่องของตัวเธอ เธอควรจะดูแลด้วยตัวของเธอเอง’ ”

อีกหนึ่งข้อดีที่เราจะได้มีเวลาอยู่บ้านนานขึ้นอีกหน่อย คือการ ‘รีเซ็ต’ จังหวะชีวิตในทุกๆ กิจกรรมของเรา

“แต่ก่อนอาจจะแบบ ‘ตื่นรึยังลูก เร็วลูกเร็วๆ’ แต่ตื่นขึ้นมาวันนี้เราไม่ต้องรีบเร่งแล้ว ละเอียดกับทุกๆ ช่วงเวลาได้ จัดเวลาให้ดี เราจะตื่นกี่โมง ตื่นแล้วมีโอกาสพับผ้าปูที่นอนได้ มีโอกาสเก็บเสื้อผ้าที่วางระเกะระกะ ใช้ช่วงเวลานี้สร้างแบบฝึกหัดเลย ตื่นแล้วเราจะทำอะไรต่อ พับผ้าปูที่นอนนะลูก ถอดเสื้อใส่ตะกร้าแล้วจะถูกนำไปไว้ตรงไหนต่อ”

เป็นอีกครั้งที่ครูอุ้ยย้ำเรื่อง ‘จังหวะชีวิต’ และบอกว่า อันที่จริงเราเองต่างก็อาจมีจังหวะชีวิตที่คาดเดาไม่ได้มาเป็นเวลานาน วิกฤตครั้งนี้อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะลองเซ็ตจังหวะชีวิตของเราใหม่ ปรับระบบระเบียบที่บ้านใหม่ ทำกิจวัตรให้สม่ำเสมอหนึ่งอย่างที่พ่อแม่กังวลคือ เมื่ออยู่บ้านแล้วลูกๆ ติด ‘หน้าจอ’ มาก ทำอย่างไรดี ตรงนี้ครูอุ้ยย้ำว่า เราปรับได้ด้วยการจัดปรับจังหวะชีวิตเช่นกัน

“ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ต้องปล่อยให้เขาทำเป็นเวลา สร้างจังหวะให้เขา กำหนดเวลาหยุดพักให้ชัดเจนว่าเวลานี้ดูไม่ได้แล้วนะเธอต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว หมดเวลาแล้ว”

โอกาสดี: เชื่อมตัวเองผ่านชุมชน วัฒนธรรม ประเพณี ฤดูกาล กับ ‘งานครัว(เรือน)’

ถ้าบอกว่างานบ้าน คือการเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเรื่องรอบตัว งานครัว จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับชุมชน

ครูอุ้ยแยกคำว่า ‘งานครัว’ ออกเป็นสองระดับคือ งานครัว ที่เป็นงานครัวจริงๆ เช่น การทำอาหาร ทำครัวที่บ้าน กับ งานครัวเรือน ในเชิงสิ่งประดิษฐ์เพื่อการค้าขายในระดับชุมชน

“ครัวเรือนไม่ได้หมายความแค่การทำอาหารในครัว แต่รวมไปถึงครัวเรือนในระดับชุมชน ระดับหมู่บ้าน เราจะพบว่าเวลาเราอยู่รวมเป็นชุมชน จะมีของดีของเด่นที่เป็นไฮไลต์ของตัวเอง เป็นงานศิลปะของชุมชนนั้นๆ เช่น บ้านนี้ทอผ้าสวย บ้านนี้ปั้นปูนเก่ง คือถ้าเราได้เดินดูตามหมู่บ้านเราจะพบว่าเรามีอาชีพหลากหลายเลย งานเหล่านี้เป็นงานที่ทำให้เราต้องอยู่กับตัวเอง อาศัยความสร้างสรรค์และละเอียดลออ คือถ้าได้ลองทำงานเหล่านี้ จะรู้เลยว่าต้องใช้สัมผัสรู้ในตัวเรา ยกระดับจิตใจเราให้ละเอียดลออขึ้น

“แต่ในสถานการณ์ที่เราออกไปไหนไม่ได้ เราอาจจะชวนกันมาทำงานฝีมือเหล่านี้ที่บ้าน เช่น ชวนกันเย็บปักถักร้อย ระบายสี ปั้นดินอะไรสักอย่าง เราเอางานเหล่านี้เข้ามาในบ้านและดูว่าความสามารถเด็กทำได้แค่ไหน ถ้าเด็กเล็กอยู่ก็วางงานที่ง่ายหน่อยให้เขาทำ โตหน่อยก็วางงานที่ยากขึ้น ซึ่งมันเป็นความท้าทายกับเด็กมาก ไม่ต้องพูดถึงการสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่เลย ได้แน่นอน”

กลับมาที่งานครัวในความหมายของการเข้าครัวจริงๆ ครูอุ้ยอธิบายว่า นี่ก็เป็นการกลับไปที่งานบ้านอีกครั้ง เพราะงานครัวจะทำให้เกิดงานบ้าน ถือเป็นหนึ่งในการสร้างจังหวะชีวิตให้กับลูกได้ เช่น ในช่วงเวลานี้ของวันเราจะมาทำอาหารกัน เมื่อทำเสร็จแล้วเก็บล้าง เตรียมกินข้าว กินเสร็จแล้วล้างจาน มีเวลาเหลือนิดหน่อยหน่อยให้นั่งเล่นกัน … และกิจกรรมอื่นๆ จนถึงช่วงเวลานอน ทำซ้ำเช่นนี้เรื่อยไปทุกวัน

“งานครัวเรือน เด็กจะรู้ว่าเค้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนี้ หนูทำงานเหมือนป้าคนนี้เลย ในสถานการณ์แบบนี้ที่เราต้องอยู่บ้าน พอทำกับข้าวเสร็จแล้วแจกบ้านคุณป้าใกล้ๆ ‘วันนี้ป้าทำอะไรกินคะ แต่เอ๊ะ… ป้าจะกลัวเรามั้ยนะ (หัวเราะ) ป้าไม่ต้องกลัวหนูนะ วันนี้หนูทำแกงส้มป้าจะเอามั้ยคะ’ คือเป็นโอกาสดีนะ ได้พบปะคนใกล้เคียงที่ปกติเราอาจไม่ได้พูดคุยมาก

“งานครัวเรือนยังเกี่ยวกับชุมชนและวัฒนธรรม ช่วงนี้เราควรกินอะไร ข้าวเหนียวมะม่วงมั้ยเพราะเป็นหน้ามะม่วงแล้ว ช่วงนี้เขากวนกาละแมกันมั้ย อาจจะไม่เพราะมะพร้าวไม่ค่อยมี การกินอยู่ในครัวเรือนเราก็ทำให้เข้าใจเรื่องวัฒนธรรม ฤดูกาล ประเพณี รู้ว่าเราควรกินหรือไม่กินอะไรหน้าไหน หมายถึงสุขภาวะของเราเรื่องการกินด้วย”

โอกาสดี: เชื่อมตัวเองกับธรรมชาติ โลก และจักรวาลด้วย ‘งานสวน’

งานครัวผูกพันกับงานบ้านในเชิง ‘กิจวัตรประจำวัน’ แล้ว ยังผูกพันกับงานสวนในแง่วัตถุดิบที่จะนำมาปรุงด้วย มากกว่านั้น งานครัวยังเชื่อมตัวเราให้เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ โลก และจักรวาลด้วย และเป็นพลังชีวิตให้กับเราด้วย

“ไม่แน่ใจว่าเราจะต้องอยู่บ้านกันนานเท่าไร แต่อย่างน้อยลองโยนเมล็ดผักบุ้งหรือกวางตุ้งลงไปในดิน นับไป 20 วันเราก็กินได้แล้วนะ ไม่ถึง 1 เดือนเลย การที่เด็กๆ ได้ออกมาอยู่กับธรรมชาติ รับผิดชอบรดน้ำต้นไม้ มองเห็นการเติบโต นี่มันเป็นพลังงานในตัวเขาที่ดีมากๆ เลย

“การทำสวนยังสอนเราเรื่องอะไรอีก? คิดง่ายๆ ถ้าเราปลูกพืชที่ต้องการน้ำเยอะแต่ไปปลูกในหน้าหนาว มันก็อาจไม่สำเร็จ ตัวครูอุ้ยเองก็ยังทดลองไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ไม่ได้เชี่ยวชาญเหมือนกันนะ  แต่ที่จะบอกคือ แค่การปลูกต้นไม้ก็เหมือนเราต้องเข้าใจโลกทั้งใบแล้วนะ เราต้องหาความรู้ว่าที่ฤดูกาลต่างๆ เป็นแบบนี้เพราะเกิดจากอะไร โลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากน้อยมีผลต่อการเติบโตของพืชยังไง การปลูกพืชในแง่นี้ มันคือความเข้าใจเรื่องความสอดคล้อง ความเป็นไปของการเปลี่ยนแปลงโลก”

แต่กับเด็กตัวเล็กแค่นี้ เราจำเป็นต้องให้ภาพใหญ่ ความสัมพันธ์ของโลกกับดวงอาทิตย์จนเกิดเป็นฤดูกาล เช่นนั้นจริงๆ หรือ?

“จำเป็น ในการศึกษาสายมนุษยปรัญชา บอกว่ามนุษย์ด้วยองค์ประกอบ 4 อย่าง มีส่วนหนึ่งเป็นหิน ดิน แร่ ในร่างกาย มีส่วนที่เป็นพืช มีส่วนที่เป็นสัญชาตญาณสัตว์ และเราก็มีตัวตนสำนึกของมนุษย์ในโลกนี้ การได้เรียนรู้ว่าโลกเราเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง ถือเป็นเรื่องที่น่าจะให้เด็กได้คุ้นเคย การได้ปลูกและกินพืชผักที่เราปลูกเอง มันเป็นพลังชีวิตที่ดีนะ พลังชีวิตที่เด็กได้จากการกินอาหารดีๆ กับเด็กที่ไม่มีพลังชีวิตแบบนี้ ต่างกันนะ

“สัญชาตญาณของสัตว์ก็เหมือนกัน เราอยู่ในบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงมั้ย อยู่ใกล้ชิดกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มั้ย เช่น เราได้ยินเสียงนกในสวน ได้เคยโปรยข้าวให้นกมั้ย เคยเห็นกระรอกมาเก็บกินผลไม้ในสวนมั้ย เราก็ชี้ชวนกันดูสิ่งเหล่านี้ในบ้าน

“พลังชีวิตที่เราได้ปลูกพืช กินอาหารจากพืชที่ปลูก มีสัตว์เลี้ยงและได้ดูแลเขา รักเขาและเขาก็ให้ความรักกับเรา โหย… แค่นี้เรามีพลังปราณเต็มที่เลยเลยนะ”

งานสวนในที่นี้จึงไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ แต่หมายถึงการเชื่อมตัวเองเข้ากับโลกและจักรวาล ลึกเข้าไปยังเป็นพลังงานดีๆ ที่ได้รับจากอาหารที่ดีและเป็นความชื่นใจที่ปลูกเอง

ก่อนจากกันไป ครูอุ้ยย้ำว่า งานบ้าน งานครัว งานสวน ไอเดียของมันไม่ใช่อะไรแต่คือตัวตน คือความมั่นใจที่มาจากการรู้จักตัวตนของตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองดูแลตัวเองได้ สำคัญที่สุด จังหวะชีวิตที่เกิดขึ้นในบ้านเหล่านี้คือการได้กลับมา ‘รู้จักตัวตน’ ของกันและกัน รู้จริงๆ ว่า ณ วันนี้ ลูกเรามีจังหวะอย่างไร

อีกเรื่องที่ครูอุ้ยย้ำคือ เด็กๆ ไม่ได้เรียนรู้ผ่านการท่องจำอ่านเขียน แต่ผ่านการ ‘เลียนแบบ’ ในคำว่าเลียนแบบคือการสร้างแรงบันดาลใจที่มาจากเนื้อตัวของเด็กเอง และนี่คือความอยากเรียนรู้ที่ดีที่สุดในโลก อยากรู้อยากเลียนแบบแล้ว เขาจะลงมือทำ

แม้วิกฤตทำให้เราใจเสีย แต่ในความร้ายยังมีความงาม ในความสามัญอย่างงานบ้าน งานครัว งานสวน คือขุมพลังแห่งการเรียนรู้ของเด็กๆ และเราเองด้วย …และ ขอให้ปลอดภัย เข้มแข็ง แข็งแรง ไปด้วยกันนะคะ

Tags:

งานบ้าน งานครัว งานสวนอภิสิรี จรัลชวนะเพทการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodLearning Theory
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning Theory
    SCHOOL READINESS: 8 ข้อบ่งชี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมเข้าเรียน?

    เรื่อง ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู
Learning TheorySocial Issues
18 March 2020

STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • สถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ทำให้ภาครัฐประกาศให้สถานที่หลายๆ แห่งปิด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส รวมถึงสถานศึกษาอย่างโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
  • แม้ว่าจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นแต่ไม่สามารถหยุดให้เราหาความรู้ได้ The Potential ขอรวบรวมเว็บไซต์คอร์สเรียนออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงแพลตฟอร์มจัดการเรียนการสอนออนไลน์ให้ผู้ที่สนใจได้ใช้เวลาช่วงนี้เก็บเกี่ยวความรู้และพัฒนาตัวเอง

วันที่ 10 มีนาคม 2563 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ประกาศว่ามีรัฐบาลจำนวน 16 ประเทศสั่งปิดโรงเรียนและสถาบันการศึกษา หยุดทำการเรียนการสอนทั่วประเทศ ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา UNESCO ได้เพิ่มจำนวนประเทศที่หยุดการเรียนการสอนเป็นทั้งหมด 85 ประเทศแทน ทั้งยังมีอีก 15 ประเทศที่บางโรงเรียนได้หยุดการเรียนการสอนด้วยตนเอง

ทำให้ยอดตัวเลขการปิดโรงเรียนมีมากกว่า 100 ประเทศ เด็กและเยาวชนมากกว่า 776 ล้านคนได้รับผลกระทบจาก Coronavirus หรือ COVID-19 (อ่านผลกระทบจาก COVID-19 ต่อระบบการศึกษาได้ที่นี่) และล่าสุดสำหรับประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการได้สั่งปิดโรงเรียนทั้งรัฐ – เอกชนทั่วประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคมเป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

เพื่อตอบคำถามสั้นๆ และพยายามคิดหาทางออกแบบเร็วๆ The Potential ขอรวบรวมเว็บไซต์คอร์สเรียนออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงแพลตฟอร์มจัดการเรียนการสอนนออนไลน์ มาแนะนำให้กับคุณครู เด็กและผู้สนใจมาลองใช้กัน

คอร์สเรียนออนไลน์ในประเทศ

My Course Ville: คอร์สเรียนออนไลน์จากจุฬาฯ

คอร์สนี้สำหรับใคร: นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไป

My Course Ville แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ฟรีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำหรับนิสิตจุฬาฯ และผู้สนใจทั่วไป มีวิชาเรียนเกือบทุกสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ หรือ นิติศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนเป็นรอบและจำกัดจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียน

CMU MOOC: คอร์สเรียนออนไลน์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คอร์สนี้สำหรับใคร: นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไป

CMU MOOC แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทุกคนลงทะเบียนเรียนได้ฟรี

ปัจจุบันวิชาเรียนที่เปิดสอนได้แก่ ส่องธุรกิจปทุมมา (การปลูกและการจัดการหลังเก็บเกี่ยว) เพื่อเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้, การปลูกและการผลิตกาแฟอย่างยั่งยืน, สปาเพื่อสุขภาพ จากคณะวิทยาศาสตร์ โดยทั้ง 3 คอร์สนี้จะเริ่มสอนในวันที่ 16 กรกฎาคม 2563

Dek-d School: คอร์สเรียนออนไลน์สำหรับน้องมัธยม

คอร์สนี้สำหรับใคร: มัธยมศึกษา

Dek-d School แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษา #เพื่อเตรียมสอบ เข้ามหาวิทยาลัยเป็นหลัก ติวเตอร์เป็นติวเตอร์ดังในแวดวงกวดวิชาเพื่อเตรียมสอบ คอร์สเรียนนี้ต้องเสียเงินเป็นรายคอร์ส เช่น คอร์สพิชิต TCAS หรือ พิชิต สอวน. เป็นต้น

Thai MOOC: คอร์สเรียนฟรีจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

คอร์สนี้สำหรับใคร: มัธยมศึกษา นักศึกษามหาวิทยาลัย และ ประชาชนทั่วไป

Thai MOOC โดยโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเรียนมากถึง 600,000 คน มีบทเรียนที่เปิดสอนกว่า 300 บทเรียน และมีสถาบันที่เข้าร่วมโครงการอีก 101 สถาบัน มุ่งเน้นให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง เพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง

คอร์สเรียนออนไลน์ต่างประเทศ

Coursera: แพลตฟอร์มรวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์จาก 190 มหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำระดับโลก

คอร์สนี้สำหรับใคร: นักศึกษามหาวิทยาลัย และ ประชาชนทั่วไป

Coursera แพลตฟอร์มรวมคอร์สเรียนออนไลน์ทั้งที่ฟรีและไม่ฟรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 โดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 37 ล้านคน

คอร์สเรียนต่างๆ ยังได้รับการรับรองจากสถาบันที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือมีมากถึง 3,900 คอร์สเรียน ทั้งนี้จุดเด่นของ Coursera อยู่ที่ว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนคอร์สเรียนง่ายๆ เรียนเพื่อพัฒนาทักษะและต้องการใบรับรอง หรือ เรียนปริญญาแบบจริงจังไปเลย (แต่มีแค่ระดับปริญญาตรีและปริญญาโทเท่านั้น) แต่ในกรณีนี้จะต้องเสียงค่าธรรมเนียม และราคาก็มีความหลากหลายขึ้นอยู่กับคอร์สเรียนเหล่านั้น

Edx: แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์จาก MIT, ฮาร์วาร์ดและอีก 100 สถาบันระดับโลก

คอร์สนี้สำหรับใคร: นักศึกษามหาวิทยาลัย และ ประชาชนทั่วไป

Edx เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มคอร์สเรียนออนไลน์ทั้งฟรีและเสียเงิน ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยกลุ่มมหาวิทยาลัย MIT และฮาร์วาร์ด ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 20 ล้านคน มีเป้าประสงค์ใกล้เคียงกับ Coursera รวมถึงมีคอร์สเรียนทั้งในรูปแบบคอร์สเรียนธรรมดา คอร์สเรียนเพื่อรับใบรับรอง และเรียนปริญญาตรีหรือโทออนไลน์

อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจของ Edx ที่แตกต่างกับ Coursera อยู่ที่ Edx เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และเป็น open-source platform กล่าวคือ เป็นซอฟต์แวร์ที่ให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามาใช้งานได้ โดยมีเงื่อนไขบ้างประการ

คอร์สเรียนฟรีๆ จาก Ivy League

คอร์สนี้สำหรับใคร: นักศึกษามหาวิทยาลัย และ ประชาชนทั่วไป

Ivy League คือการรวมตัวกันของมหาวิทยาลัยเอกชน 8 สถาบันในสหรัฐอเมริกามีชื่อเสียงโดดเด่นด้านวิชาการที่เป็นเลิศทั้งยังติดท็อปการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกมาอย่างยาวนาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยบราวน์ วิทยาลัยดาร์ตมัธ และ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยดังกล่าวได้เปิดคอร์สเรียนมากถึง 430 คอร์สเพื่อให้ผู้สนใจเข้าเรียนได้ฟรีตามหมวดวิชาดังนี้

  • Computer Science จำนวนทั้งหมด 37 คอร์ส
  • Data Science จำนวนทั้งหมด 18 คอร์ส
  • Programming จำนวนทั้งหมด 8 คอร์ส
  • Humanities จำนวนทั้งหมด 80 คอร์ส
  • Business จำนวนทั้งหมด 72 คอร์ส
  • Art & Design จำนวนทั้งหมด 20 คอร์ส
  • Science จำนวนทั้งหมด 32 คอร์ส
  • Social Sciences จำนวนทั้งหมด 74 คอร์ส
  • Health & Medicine จำนวนทั้งหมด 32 คอร์ส
  • Engineering จำนวนทั้งหมด 15 คอร์ส
  • Education & Teaching จำนวนทั้งหมด 21 คอร์ส
  • Mathematics จำนวนทั้งหมด 14 คอร์ส
  • Personal Development จำนวนทั้งหมด 7 คอร์ส

สำหรับผู้ที่สนใจอยากดูรายละเอียดพร้อมขั้นตอนการเข้าไปลงเรียนสามารถดูได้ที่นี่

แพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนออนไลน์สำหรับครู

Moodle: ซอฟต์แวร์ฟรีสำหรับจัดการเรียนการสอน

Moodle ซอฟต์แวร์สำหรับใช้จัดการรายวิชาบนเว็บไซต์ รองรับตั้งแต่ผู้ดูแลระบบ ผู้สอน และผู้เรียน จุดเด่นอยู่ที่สามารถบริหารจัดการข้อมูลของผู้เรียน ผู้สอน เนื้อหาการเรียนรู้ ตลอดจนติดตามการเรียนการสอนของผู้เรียน และประเมินผลได้ผ่านเครื่องมือที่ทางซอฟต์แวร์มีให้ เช่น เว็บบอร์ด หรือ แชท เป็นต้น

โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีเพื่อนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับสถาบันการศึกษาหรือรายวิชาต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้การเรียนการสอนออนไลน์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

Google Classroom: ห้องเรียนออนไลน์สำหรับทุกคน

Google Classroom อีกหนึ่งแอปพลิเคชันจาก Google Apps เป็นการรวบรวมการทำงานในแพลตฟอร์มต่างๆ ของ Google ได้แก่ Google Drive, Google Doc และ Gmail เข้ามาร่วมกันเพื่อให้คุณครูสามารถออกแบบการเรียนการสอนและให้ติดตามนักเรียนได้ผ่านโลกออนไลน์

เช่น การประกาศต่าง ๆ (Announcement) การมอบหมายงาน การสั่งการบ้าน (Assignment) และ การสร้างควิซ (Question) ทั้งนี้ นักเรียนใน Google Classroom ยังสามารถแสดงสถานะของงานชิ้นนั้น ๆ ได้ด้วยว่า เสร็จแล้ว (done) หรือ ยังไม่เสร็จ (not done) ได้อีกด้วย

Kahoot: ให้คุณครูใช้ระบบ premium ฟรี

Kahoot แพลตฟอร์มหรือเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ผ่านเกมอย่างสร้างสรรค์ เช่น การตอบคำถาม การอภิปราย หรือ การประเมินผล ต่าง ๆ  โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 1.2 พันล้านคน และครูมากกว่า 5 ล้านคนใช้งาน โดยหลังจากวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น Kahoot ได้เปิดให้ครูสามารถใช้ระบบ premium ได้ฟรี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทางไกล ละการเรียนรู้อย่างไม่มีสิ้นสุด ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่นี่

Tags:

ระบบการศึกษาDisruptionการเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)เรียนออนไลน์school closureไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน
Everyone can be an Educator
17 March 2020

‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • วิชาถิ่นนิยม จากมหา’ลัยเถื่อน ห้องเรียนคือป่า ณ ตีนดอยนางอินเหลาและดอยหลวง เชียงดาว, ร้านกาแฟฮกหลง, สวนเกษตรออร์แกนิค กับ คุณมล-จิราวรรณ คำซาว เกษตรกรวัยสามสิบเกือบกลางที่มีนามสกุลพ่วงท้ายว่าจบปริญญาเอกสาขาจุลชีวิทยา
  • course syllabus วิชาถิ่นนิยมบอกว่าจะพาไปให้เห็น-สัมผัส-ชิม-ฟังเสียง-รู้สึก กับการเดินทางของอาหารและชีวิตตั้งแต่ต้นทาง นั่นคือธรรมชาติ ป่า อาหาร เห็นชีวิตของคนต้นทางและการทำงานที่ต้องหา ‘ประโยชน์ร่วม’ ของคนในท้องถิ่นให้เจอ และวิชานี้อยากทำให้เห็นว่า การทำให้ท้องถิ่นเป็นที่นิยม ก็ต้องมาจากความรื่นรมย์เสียก่อน
ภาพ: สุดารัตน์ สาโรจน์จิตติ

‘ถิ่นนิยม’ คำนี้มันแปลว่าอะไร จะเป็นการ romanticize ความเป็นชุมชนจนสวยงามเกินจริงรึเปล่านะ?

เราถามเอากับ คุณมล-จิราวรรณ คำซาว เกษตรกรวัยสามสิบเกือบกลางที่มีนามสกุลพ่วงท้ายว่าจบปริญญาเอกสาขาจุลชีววิทยา ขณะนั่งรถสองแถวเหลือง มุ่งหน้าเข้าป่าชุมชนบ้านหัวทุ่ง ตีนดอยนางอินเหลาและดอยหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

ที่ถามอย่างนี้ก็เพราะเราและชาวคณะกว่าสิบชีวิตที่เดินทางมาจากหลายจังหวัดของเมืองไทย อาชีพของพวกเขาบ้างเป็นอาจารย์ในมหา’ลัย นักเคลื่อนไหวทำงานกับแรงงาน สื่อมวลชน นักการละคร และอื่นๆ ที่นั่งบนรถเหลืองให้ลมเย็นบนเชียงดาวตีหน้าอยู่นั้น นั่นก็เพราะเราลงทะเบียนในมหา’ลัยเถื่อน ในคาบสุดท้ายมาเรียนวิชา ‘ถิ่นนิยม’ กับเธอ

หากลองเสริชชื่อเธอในอินเทอร์เน็ต คุณมล – ผู้หญิงตรงหน้าที่แต่งตัวด้วยเสื้อเชิตยีนส์กับหมวกเข้าชุด คู่กางเกงสีดำรัดรูปขายาวที่เน้นการป้องกันแดดเป็นการเฉพาะ ในนั้นบันทึกว่า เธอกลับบ้านเกิดปี 55 ในฐานะเกษตรกร ขณะเดียวกันก็เริ่มลุยงานหลายอย่างตั้งแต่ จัดตั้ง “ทุ่งกับดอย” (Learning space) ศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์แบบครบวงจร “ถิ่นนิยม” (working space) การทำงานกับเยาวชนในพื้นที่เรื่องการเรียนรู้ผ่านธรรมชาติโดยเฉพาะ และใช้ความเป็นนักวิทยาศาสตร์พัฒนาสมุนไพรและปุ๋ยชีวภาพให้ใช้ได้จริงและขายได้ในพื้นที่ ในฐานะผู้บริหารบริษัท ซีเอ็นเอ็กซ์ เฮลท์ตี้โปรดักส์ จำกัด ผู้พัฒนาวิจัย ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากวัตถุดิบเกษตรอินทรีย์

บันทึกไว้ก่อนว่า นามสกุลพ่วงท้ายนี้เราไม่เคยรู้มาก่อน ไม่มีใครแนะนำสักนิดว่า ‘ครู’ ของ ‘คลาสถิ่นนิยม’ ตรงหน้า จะมีประวัติและอาชีพ เยอะขนาดนี้

“ฮื่อ (พยักหน้า) โรแมนติกนะคะ ชีวิตที่ได้อยู่กับธรรมชาติ เห็นประโยชน์ร่วม ทำให้คนใช้ประโยชน์จากป่าได้มากที่สุด โรแมนติกค่ะ … ยังไง เดี๋ยวไปดูกันนะ” คุณมลอธิบายสั้นๆ แต่กำลังจะพาเราไปดูให้เห็นกับตายาวๆ ว่า ‘ถิ่นนิยม’ ในความหมายและสิ่งที่เธอทำในฐานะเกษตรกร นักขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม และนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ปริญญาตรีถึงเอก ในสาขาชีววิทยา และจุลชีววิทยา ว่ามัน… โรแมนติกขนาดไหน ในแบบไหน

คุณมล-จิราวรรณ คำซาว

ถิ่นนิยมวิชาแรก
ป่า น้ำ อากาศ อาหาร และหัวเชื้อจุลินทรีย์ใต้ต้นมะเดื่อยักษ์ที่ให้ความรู้สึกว่ามี ‘เจ้าที่’ สิงสู่อยู่

ลงจากรถเหลืองที่หน้าทางเข้าป่าชุมชนบ้านหัวทุ่ง ตีนดอยนาง เด็กๆ จาก ‘แก๊งค์ถิ่นนิยม’ ร่วม 10 คนยืนรออยู่ก่อนแล้ว คุณมลแนะนำว่านี่คือสมาชิก ‘แก๊งค์ถิ่นนิยม’ กลุ่มเยาวชนบ้านหัวทุ่ง เชียงดาว ที่คอยสร้างสรรค์กิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติเชื่อมกับวิถีเกษตรอินทรีย์ แก๊งค์ที่คุณมลชวนเข้าป่ามาเล่นและเรียนกับธรรมชาติตั้งแต่บางคนอยู่อนุบาล จนตอนนี้เด็กๆ อยู่ ม.ต้น ม.ปลาย กันหมดแล้ว

คุณมลพาเดินเข้าไปเปิดคลาสที่หน้าโตรกผาตีนดอยนาง ตรงจุดที่เรียกว่า “จุดน้ำออกรู” เธอเริ่มคลาสด้วยการเล่าว่า

“ปู่ของมลยังทันช่วงที่พื้นที่ป่าตรงนี้ถูกตัดจนเตียนหมด น่าจะเป็นเวลาเกือบร้อยปี ตอนนั้นสยามให้บริษัทอังกฤษชื่อบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าเข้ามาสัมปทานไม้สักไม้เนื้อแข็งในเขตภาคเหนือ รวมถึงป่าบ้านหัวทุ่งเชียงดาวผืนนี้ด้วย  สิ่งที่เกิดคือป่าหาย ไม่มีต้นไม้ เมื่อไม่มีต้นไม้ให้ความชุ่มชื้นดูดซับน้ำฝน  ตาน้ำก็แห้ง ไม่มีน้ำให้ชาวบ้านเอาไปใช้เพาะปลูก ภาพนี้สร้างความเจ็บปวดและเป็นบทเรียนที่สาหัสให้คนในชุมชนเป็นอย่างมาก จนชาวบ้านและผู้นำสมัยนั้นต้องประชุมหารือ พูดคุยกันว่าต้องกันพื้นที่ป่าตรงนี้ไว้ให้มันโตและฟื้นตัว ใช้เวลานับยี่สิบ สามสิบปี มันจึงค่อยๆ ฟื้นจนตาน้ำเริ่มกลับคืนมา และมีต้นไม้เติบโตจนเป็นป่าในปัจจุบัน

“เรื่องประหลาดมีว่า ที่จริงตรงนี้เป็นภูเขาหินปูน น้ำที่ต้นไม้ดูดซับไว้จะไหลลงใต้ภูเขาและแทรกอยู่ตามโพรงถ้ำ และเก็บสะสมเอาไว้ แต่เราไม่อาจจะคาดเดาได้ว่ามีปริมาณมากน้อยแค่ไหน แต่ในทุกๆ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 9 ตามปฏิทินล้านนา ชาวบ้านจะมาทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำ ขอขมาผีขุนน้ำที่ได้ล่วงเกิน และขอให้ผีขุนน้ำดูแลป่า ให้มีป่าและมีน้ำอุดมสมบูรณ์” คุณมลเล่า

ขณะที่จ๋อง-ปองจิต สรรพคุณ* สมาชิกกลุ่มละครมะขามป้อมและหนึ่งในคณะนักเรียนคลาสถิ่นนิยม ช่วยเสริมว่า “มีอยู่ปีหนึ่ง ขณะที่พระสวดทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำ อยู่ดีๆ ชาวบ้านก็ได้ยินเสียง ‘ฮุกๆๆๆ’ เหมือนเสียงลมพายุออกมาจากโตรกผา ซักพักน้ำก็ไหลทะลักล้นออกมาจากถ้ำอาบโตรกผาเป็นน้ำตกสวยงาม ชาวบ้านเรียกตรงนี้ว่า ‘น้ำออกฮู’ ถ้าเรามาตรงนี้ในช่วงหน้าฝน โตรกตรงหน้าจะกลายเป็นน้ำตก สวยมาก”

“ธรรมชาติเค้าให้โอกาสเรา” คุณมลเสริม

*มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยระหว่างพี่จ๋อน กับ คุณมล คุณมลเล่าให้ฟังบนรถเหลืองว่า พี่จ๋อนเป็นครูสอนละครที่เป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาทำงานทำละครกับเด็กๆ บนเชียงดาวและทำให้คุณมลเป็นเธอในวันนี้ และได้แรงบันดาลใจที่จะทำงานกับเด็กๆ ในชุมชนเรื่องการเรียนรู้เช่นปัจจุบัน

จากหน้าโตรกผา ขุนน้ำรู  คุณมลพาคณะเดินลึกเข้าไปบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติของป่าชุมชน เดินเข้าอีกนิดเพื่อชวนไปอาบป่า ดูต้นไม้ ดูสมุนไพร และสัมผัสธรรมชาติ และดูการบริการจัดการการใช้ประโยชน์ระหว่างคนกับป่า นั่นคือต้นกาแฟออแกนิคที่ปลูกแทรกตามไม้ป่า ที่กำลังวางแผนต่อยอดการตลาดให้ชุมชน  ระหว่างทางกลับออกจากป่าคุณมลเล่าให้เราฟังต่อว่า…

“ชีวิตวัยเด็กของมลไม่ได้เกิดมาในช่วงวิกฤตป่าแบบสมัยนั้นนะ มลโตมา ป่าก็ฟื้นสมบูรณ์แล้ว มลชอบป่าเพราะปู่กับพ่อมักจะพาเข้ามาบ่อยๆ พาหมาเป็นสิบตัวเดินตามเป็นบอดี้การ์ดเข้ามาในป่าด้วย มลจึงเรียนรู้จะสื่อสารกับสัตว์ กับต้นไม้ กับธรรมชาติ รู้จักสมุนไพร เวลาไปเล่นกับเพื่อน เพื่อนล้มมีแผล เราเหมือนแม่หมอที่เสกให้เพื่อนหายได้ง่ายๆ ทันทีโดยเอาสมุนไพรใกล้ตัวที่ปู่สอน นั่นคือสาบเสือที่อยู่ตามข้างทาง สวน ไร่นา มาโปะ แอดวานซ์หน่อยก็ใช้เปล้าโปะไปที่แผล เลือดหยุดและไม่ต้องเสียตัง มันเท่มากเลยอะ (หัวเราะ) มลโตมาแบบนี้

“เวลาไม่ได้เข้าป่าก็ทำไร่ทำสวน พ่อแม่พาเกี่ยวข้าว คุณน้าคุณอาพาหากุ้ง หาปู หาหอยเก็บผักพื้นบ้านตามลำธาร ตรงนี้ทำให้เราฝึก senses หลายอย่าง ละเอียด เชื่อมโยงกับระบบนิเวศ ดิน น้ำ ป่า พืชพรรณ ใบไม้ สัตว์น้อยใหญ่ อารมณ์เหมือนเจ้าหญิง Disney เวลาคุยกับแมลงเลย (หัวเราะ)

“มันเป็นประสบการณ์ที่ฝังในความทรงจำเราว่าป่าและธรรมชาติมันสนุกมากนะ เราเลยอยากทำให้เด็กๆ กลุ่มนี้สนุกแบบที่เรารู้สึก ให้ความสนุกทำงานกับเด็ก” คุณมลเล่า

ซึ่งนี่คงเป็นคำตอบว่าทำไมเธอจึงมีทีมงานเป็น ‘แก๊งค์ถิ่นนิยม’ ที่พาเราเดินศึกษาป่าบ้านหัวทุ่งในวันนี้ รวมทั้งทุกภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัวของคุณมล ก็จะมีเด็กๆ กลุ่มนี้ทำงานเป็นทีมไม่ห่างเฟรมด้วย

เดินมาถึงจุดที่ต้นกาแฟเรียงเป็นแถวตลอดข้างทางดินเดินเท้า ต้นกาแฟยืนต้นเรียงรายสลับไม้ป่า โชว์ผลกาแฟสีแดงบ้างเขียวบ้างขึ้นดกไปหมด กาแฟในพื้นที่ป่านี้เป็นกาแฟที่ชาวบ้านร่วมกับปลูกสำนักบริหารพื้นที่ 16 เพื่อกันไฟป่า เพราะถ้ามีต้นกาแฟก็มีรายได้ มีรายได้ชาวบ้านก็อยากดูแล เมื่อชาวบ้านดูแลป่า ไฟป่าก็จะไม่เข้ามาทำลายพื้นที่ตรงนี้

ต้นกาแฟ

คุณมลบอกว่าให้เราลองเด็ดชิมดู หวานฝาดๆ คือรสชาติที่เรารับรู้และยังจำได้ ครูโอ๋-ผศ. ดร. สุกัญญา สมไพบูลย์ หัวหน้าภาคและอาจารย์ประจำภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่วันนี้เธอเป็นหนึ่งในคณะนักเรียนคลาสถิ่นนิยม ฟังบรรยายที่มาที่ไปของโครงการกาแฟกันไฟ พรางเด็ดผลกาแฟสุกแดงเข้าปากไปหลายผล เอ่ยปากบอกทุกคนว่ากาแฟสดๆ จากต้นรสชาติเหมือนผลไม้เลย ครูโอ๋หันไปถามเด็กๆแก้งค์ถิ่นนิยมด้วยความสงสัยว่าแล้วแบบไหนถึงเอาไปชงดื่มได้ เด็กๆ ช่วยกันตอบว่า “มันคือส่วนเมล็ดตรงนี้ที่พี่คายทิ้งนี่แหละครับ แต่ต้องเอาไปตาก ไปสี คั่ว และบด ถึงจะชงได้” เด็กๆ เป็นครูช่วยคุณมลตอบคำถามนักเรียนในคลาสอย่างผู้มีประสบการณ์

ขณะที่คุณมลเสริมว่า ผลกาแฟที่ทยอยสุกนี้ อีกไม่กี่อาทิตย์ชาวบ้านก็สามารถมาเก็บเพื่อแปรรูปและจำหน่ายได้แล้ว

“ป่าคือต้นทุน” คุณมลบอกเสียงชัด

“นอกจากป่าจะให้น้ำแล้ว ป่าต้องให้ประโยชน์อื่นแก่คนในชุมชนได้อีกด้วย สมัยก่อนประโยชน์ป่าอาจเป็นแค่การตัดไม้ หาของป่า สมัยนี้ถ้าบอกว่าตัดไม้ไม่ได้แล้วจะยังไงต่อ? ชาวบ้านต้องหาประโยชน์จากป่าในรูปแบบอื่น เราต้องช่วยชาวบ้านหาวิธีอื่นที่มีประโยชน์และที่ยั่งยืน การทำกาแฟเป็นหนึ่งในนั้น ไม่ใช่แค่ให้ชาวบ้านปลูก แต่ต้องสร้างสายพานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

“ต้องแปรรูปกาแฟเพิ่มมูลค่าให้ได้มากที่สุดบ่มกาแฟ คั่วโรงคั่ว ทำแบรนด์ ซึ่งเดี๋ยวตอนบ่าย ‘ถิ่นนิยม’ เราจะพาไปชิมกาแฟที่มาจากป่าตรงนี้กันที่ร้านกาแฟ ฮกหลง นะ” คุณมลบอกอย่างติดสนุกปนหลอกล่อให้นักเรียนคลาสนี้ติดตามสตอรี่ตอนต่อไป

ครูผู้ช่วยจากแก้งค์ถิ่นนิยม ช่วยตอบคำถามนักเรียนในคลาสอย่างผู้มีประสบการณ์

ใจคนฟังลอยไปถึงร้านกาแฟชื่อดังแห่งเชียงดาวที่ว่า อยากเห็นว่าจากผลแดงๆ ตรงหน้า ถ้ากลายเป็นน้ำสีดำในถ้วยกาแฟ จะให้รสชาติอย่างไร แต่คุณมลยังไม่ยอมให้เราเดินออกจากป่า เรียกชาวแก๊งค์พาเดินต่อไปยังต้นมะเดื่อยักษ์ ซึ่งจุดนี้คุณมลบอกว่าเป็นจุดไคล์แมกซ์เลยก็ว่าได้

“ป่าคือต้นทุน คือธนาคารทรัพยากร ป่าเป็นแหล่งผลิตน้ำ ผลิตอากาศ ผลิตยาสมุนไพร ผลิตอาหาร เป็นที่ท่องเที่ยว บำบัด พักผ่อน นอกจากนี้ป่ายังเป็นธนาคารจุลินทรีย์สามารถเอาไปต่อยอดทำหัวเชื้อย่อยปุ๋ยใช้ในการเกษตรได้อีกด้วย ”

ต้นมะเดื่อที่อยู่ตรงหน้าสูงใหญ่จนต้องแหงนคอมอง กะด้วยสายตาอาจต้องแขนผู้ใหญ่ราว 10 คนโอบจึงจะรอบ คุณมลชวนให้พวกเราเข้าไปยืนใกล้ๆ และบอกว่า “ที่พามาต้นนี้เพราะอยากให้มาดูจุลินทรีย์ที่จะเอาไปทำหัวเชื้อย่อยปุ๋ยต่อ แล้วทำไมต้องมาเก็บถึงในป่า? นั่นก็เพราะในป่ามีความหลากหลายของจุลินทรีย์มากมาย อีกทั้งมีความคุ้นชินและทนต่อสภาพอากาศท้องถิ่น หัวเชื้อทำปุ๋ยที่ขายตามท้องตลาดใช้ได้ก็จริงอยู่แต่ดีที่สุดก็ต้องเป็นจุลินทรีย์ที่เก็บในท้องถิ่นนี่แหละ

“วิธีเก็บ ให้เอามือจับไปที่ใบไม้กิ่งไม้ย่อยสลายเป็นผงดำทับถมอยู่ใต้โคนต้นไม้ หัวเชื้อจะอยู่โคนต้นที่มีร่มเงาพรางแสงแดด จับแล้วจะรู้สึกเบาและร่วนกว่าดินร่วนทั่วไป ดมดูแล้วกลิ่นต้องคล้ายเห็ด ถ้าสัมผัสและกลิ่นเป็นแบบนี้คือ ‘ใช้ได้’ ส่วนวิธีสังเกตว่าหัวเชื้อจากต้นไหนให้คุณภาพดีที่สุด ให้สังเกตว่าเวลาเราเข้าใกล้ต้นนั้นแล้วรู้สึกขนลุกเหมือนมีเจ้าที่สิงอยู่ ถ้าใช่… ต้นนั้นดีที่สุด

ความขนลุกที่ว่า หมายถึงอุณหภูมิ อากาศ ความชื้น ประจุบวกลบ พลังงานที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่อยู่ ณ จุดนั้น ต้องให้ความรู้สึกขนลุกแบบนั้นถึงจะใช้ได้”

คุณมลพูดจบก็ทำเราขนลุกเพราะบรรยากาศใต้ต้นมะเดื่อยักษ์เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย

ถิ่นนิยมวิชาที่สอง
ก่อนจะเป็นที่ ‘นิยม’ ต้องทำให้ท้องถิ่นมีความรื่นรมย์เสียก่อน

“การจัดการเรียนรู้เพื่อนำสิ่งที่รู้นั้นไปเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างมันต้องใช้คนเยอะนะ แล้วการใช้คนเยอะมาทำงาน คนที่มาเค้าต้องมีผลประโยชน์ หลักๆ เลยคือเงิน แต่ถ้าไม่ใช่เงินก็ต้องเป็น ‘ประโยชน์ร่วม’ การค้นให้เจอ ‘ประโยชน์ร่วม’ มันไม่ใช่แบบ ‘ฉันจะเอาแบบนี้ พวกเธอมาทำกับฉัน’ ไม่ใช่ ต้องใจกว้าง ต้องพยายามไปคุยกับคนเยอะๆ หาประโยชน์ร่วมระหว่างเรากับคนอื่นให้ได้ ซึ่ง ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวหมดนะ ทุกคนจะคิดถึงเรื่องของตัวเอง คิดถึงความสุขของตัวเอง แล้วความสุขของเราที่ตรงกับของเขามันอยู่ตรงไหน  นั่นแหละมันต้องหาจุดร่วมกันนี้ให้เจอ

“ประโยชน์ร่วมของเชียงดาวคืออะไร? คนเชียงดาวรักและเคารพดอยหลวงเชียงดาวมาก แล้วจะรักษาธรรมชาติของดอยหลวงตรงนี้ไว้เพื่ออะไร? บางคนอาจเอาจุดนี้ไปทำทัวร์ท่องเที่ยว บางคนอยากแค่กลับบ้านมาดูมาพักผ่อน บางคนอยากมีวิวดีๆ ไว้วาดภาพ บางคนอยากมีดอยหลวงเพราะว่าอยากมีธรรมชาติไว้เดินป่าเรียนรู้ นั่นแปลว่าเป้าร่วมของเราคือการมีไว้ซึ่งดอยหลวงเชียงดาวถูกมั้ย?”

คำถามคือ ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้คนเดียว นักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำหมู่บ้าน แม้มีอำนาจในมือก็ใช่ว่าจะทำทั้งหมดนี้ได้

“ต้องมีบารมี” คุณมลตอบ

บารมีที่ว่าไม่ใช่อำนาจ ไม่ใช่ยศ หรือตำแหน่งการเมืองใด และไม่ใช่เพียงปริญญา 3 ใบที่ตั้งในบ้าน คุณมลบอกว่าเป็นเพราะความดีที่ทำ การทำประโยชน์ร่วมกับคนในพื้นที่มาตั้งแต่เล็กจนโตช่วยงานในพื้นที่มาแต่เล็กแต่น้อย ชาวบ้านทุกคนเลยเห็นและไว้ใจว่าคนนี้ใช้การได้ ทำให้การกลับบ้านในฐานะเกษตรกรที่ใช้วิชาการมาพัฒนาชุมชน การทำงานกับเด็กๆ ในหมู่บ้าน บูรณาการทำงานกับภาครัฐ ทั้งหมดนี้จึงได้รับความไว้วางใจในฐานะผู้นำเกษตรกรคนรุ่นใหม่ ในการเปลี่ยนเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจร แต่เคล็ดลับการขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อม คุณมลไม่ได้ทำด้วยการไปแลคเชอร์ชาวบ้านหรือเด็กๆ สิ่งที่ทำคือการให้คุณค่าภูมิปัญญาผู้ใหญ่ เคารพในภูมิปัญญาการอนุรักษ์แบบท้องถิ่น ร่วมกับการนำมาออกแบบกิจกรรมจัดประสบการณ์ ใช้ ‘ความสนุก’ และ ‘รื่นรมย์’ เข้ามาทำงานแทน

“การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญนะ แต่การเรียนรู้ที่ว่าก็ไม่ใช่แค่มานั่งแลคเชอร์ ตัวเราเองก็ไม่เคยชอบการเรียนแบบแลคเชอร์เลย อย่างที่บอกว่าเราโตมากับป่า เราเลยชอบและเชื่อว่าจะเอาเรื่องกิน-เที่ยว-อยู่ มาทำและสร้างประสบการณ์ให้ฝังเข้าไปใน memory ของคน สร้างการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนเราให้ลุกขึ้นมาพัฒนาอะไรสักอย่าง

“ใช้ senses ทั้งหมดของเราให้เป็นประโยชน์ หู-ตา-จมูก-ปาก-สัมผัส นั่งดูเค้า นั่งฟังเค้า แค่ชิมเราก็รู้ว่าอันนี้ต่างหรือไม่ต่าง เราชอบใช้ senses พวกนี้มาจัดเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย และเราจะใช้เด็กเป็นตัวชี้วัด ถ้าเราอธิบายเรื่องจุลินทรีย์ เรื่องธรรมชาติในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วเด็กเข้าใจ คนที่ไม่ใช่สายเดียวกับเราก็จะเข้าใจง่ายขึ้นเช่นกัน”

ปีที่แล้วเราจึงได้เห็นคุณมลร่วมกับ แพรี่พาย-อมตา จิตตะเสนีย์ บิ้วตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง สื่อสารเรื่องการเรียนรู้สีจากธรรมชาติแล้วมาสกัดทำเป็นเป็นสีแต่งหน้าจากธรรมชาติหรือแม้แต่ทำงานร่วมกับเชฟตาม-ชุดารี เทพาคำ ผู้ชนะรายการ Top Chef Thailand คนแรก ทำป๊อบอัพโปรเจค โดยชวนเชฟจากโรงแรมในเชียงใหม่ทำโครงการ Jiang Mai Organic จัด Chef Table อาหารตามฤดูกาลที่มาจากป่าบนเชียงดาว โดยมีเด็กๆ แก้งค์ถิ่นนิยมเป็นผู้ช่วยกันจัดหาวัตถุดิบตามฤดูกาลในชุมชน แนะนำวัตถุดิบให้กับเชฟและแขกที่มารว่มรับประทานอาหาร

ผู้ที่อยู่ยืนยิ้มอยู่หลังเคาน์เตอร์ คือพี่ยุทธ เจ้าของร้านกาแฟฮกหลง (ในตำนานของเชียงดาว)

ในคำว่า ‘ถิ่นนิยม’ ต้องเป็นเฉพาะคนเชียงดาวโดยกำเนิดรึเปล่า เราเห็นคนเชียงดาวอพยพขึ้นมาอยู่เยอะมาก คุณคิดถึงประเด็นนี้อย่างไร? – ที่ถามแบบนี้เพราะเรายังสงสัยในความหมายของคำว่า ‘ถิ่นนิยม’

“พี่ยุทธ เจ้าของร้านกาแฟฮกหลงไม่ใช่คนเชียงดาว แต่เป็นคนใต้ที่รักและขึ้นมาที่นี่ พี่ๆ ที่มะขามป้อมส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนเชียงดาว หมายถึงว่ามันไม่เกี่ยวหรอกค่ะว่าจะเป็นคนเชียงดาวแท้ๆ หรือไม่ คนเชียงดาวที่ไม่ได้รักเชียงดาวก็มี การที่เราเป็นคนชอบคุยกับคนแปลกๆ ใหม่ๆ ได้แชร์ไอเดียกัน ได้รู้ว่าเค้าย้ายมาเพราะอะไร การที่เราเปิดใจเปิดรับคนใหม่ๆ ทำจะให้เราได้เจอคอนเนกชันที่จะมาร่วมพัฒนาเชียงดาวด้วยกัน เราเป็นคนท้องถิ่น เราอย่าตั้งแง่ว่า ‘เฮ้ย มาคุยกับเราเพราะอยากซื้อที่แค่นั้น’ มันไม่ใช่แบบนั้น เราไม่สามารถจำกัดไม่ให้คนมาซื้อที่ได้ มันมีคนใหม่เข้ามาอยู่แล้ว แต่จะอยู่กันยังไงมากกว่า ถึงบอกว่าเราต้องกลับไปที่ ‘ประโยชน์ร่วม’ แล้วกลายเป็นว่าคนใหม่ๆ ที่เข้ามาจะเป็นกำลังสำคัญในการทำงานขับเคลื่อนเชียงดาวด้วยนะ” คุณมลเล่า

ต้องขีดเส้นใต้ไว้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้ ‘ความรื่นรมย์’ เข้ามาทำงานเพื่อยกระดับความเป็นท้องถิ่นให้กลายเป็นที่นิมยมขึ้นมาโดยไม่ต้องแลคเชอร์

ถิ่นนิยมวิชาสุดท้าย:
‘วันหนึ่งเชียงดาวจะเป็นพื้นที่พื้นที่เกษตรอินทรีย์’ และ ครูธรรมชาติแก๊งค์ถิ่นนิยม ที่ทำให้เห็นว่า เกษตรกรเป็นอาชีพที่เป็นไปได้

หลังไปกินข้าวแต๋นโบราณสูตรคุณยาย(สุดขึ้นชื่อ)ที่บ้านคุณมล จิบกาแฟที่ร้านฮกหลงและชีสเค้กที่ใช้บลูเบอร์รี่ออร์แกนิค เราเดินทางมาปิดคลาส ‘ถิ่นนิยม’ กันที่สวนบัวชมพู ณ จอมคีรี ของคุณแหม่ม-ศรัณยา กิตติคุณไพศาล พื้นที่กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและพื้นที่เกษตรออร์แกนิคใหญ่ของเชียงดาว เพาะปลูกตั้งแต่ข้าว กุหลาบ ดอกเก๊กฮวย อัญชัญ ซึ่งดอกไม้ทั้งสามชนิดนี้ได้นำมาอบและแปรรูปเป็นชาดอกไม้ออร์แกนิคเพื่อจำหน่าย

“ทำเชียงดาวเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์” คุณมลพูดเสียงชัดและว่า การค่อยเปลี่ยนพื้นที่และสร้างผลผลิตได้จริง เดินทางมาได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว

“เราไม่กลัวนายทุนเลยนะ เพราะการทำงานในพื้นที่เกษตรออร์แกนิคนี่ต้องใช้คนตัวเล็กๆ เยอะมาก และเราทำได้ คนที่เข้ามาก็เข้มแข็งโดยธรรมชาติ เราทำให้เขาเห็นได้ว่าเปลี่ยนแล้วมันจะมีดอกผลอะไรตามมาบ้าง เราได้ประโยชน์อะไรจากมัน ไม่กลัวเลย” คุณมลพูดขณะหันหน้าเข้าหาสวนกุหลาบออร์แกนิคสุดลูกหูลูกตา

ก่อนจากกันไปจริงๆ คุณมลพาเรามาลองชิมชาเก๊กฮวย อัญชัญ และกุหลาบที่เราเพิ่งลงไปเดินและฟังการเปลี่ยนแปลงของคนในพื้นที่เรื่องเกษตรออร์แกนิค เตรียมสไลด์ฉายสรุปให้เห็นภาพอีกหนึ่งงานสำคัญของเธอ นั่นคือการเป็น ทีมแก๊งค์ถิ่นนิยม เป็นพี่ใหญ่ที่ชวนเด็กๆ เข้าป่า ลงนา เที่ยวป่า ทำกิจกรรมต่างๆในชุมชนรวมถึงไปทุกที่ที่เกษตรกรนักวิชาการคุณมลไป

“ปี 60 มลสมัครเข้าโครงการ ‘เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด’ จัดโดย มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด ดีแทค และ กรมส่งเสริมการเกษตร ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรแค่คิดว่าถ้าต้องทำงานนี้ก็ควรต้องทำเป็นเครือข่าย ไปหาเครือข่าย วันที่ประกาศผลว่าเรามีชื่อเข้าชิงและให้เดินทางไปรับรางวัลที่กรุงเทพฯ เขาให้เราเดินทางไปกับผู้ติดตามอีก 1 คน แต่เรารู้สึกว่าเด็กๆ ที่ทำกับเราเค้าเป็นทีมเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขในการพัฒนาบ้านเกิดมาด้วยกัน เค้าควรอยู่ตรงนั้น เงินรางวัลอันดับที่น้อยที่สุดที่มลจะได้คือ 30,000 บาท ตอนนั้นคิดแค่ว่ามันพอเป็นเงินที่พาเด็กๆ ขึ้นรถไฟไปกันได้ …งั้นไปกัน เราจึงยกทีมเด็กๆ แก๊งค์ถิ่นนิยมไปทั้งหมด 7 คน รวมคุณอาเป็นผู้ติดตามช่วยดูแลเด็ก 1 คน สรุปทีมเราไปรับรางวัลด้วยกัน 9 คน

“ตอนจะประกาศผล เขาให้เรา กับ ผู้ติดตามเข้าไปในห้องประกาศผลได้อีก 1 คน เราจึงนัดให้เด็กๆ ไปแอบเข้ามาดูพิธีประกาศตรงประตูหลัง และมาแอบหลบดูที่ขอบกั้นฉากหลังงานแบบเงียบที่สุด กลัวคนจับได้เพราะเราไม่ได้แจ้งใครว่าจะเอาเด็กๆ มา ทันทีที่ประกาศรางวัลว่าเราได้ที่ 1 มีเสียงเฮมาจากข้างเวที ใจหายเลย ไหนตกลงกันแล้วว่าต้องเงียบ หันไปอีกทีเห็นเด็กๆ นั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย เจ้าหน้าที่เห็นเด็กๆ แอบอยู่เลยหาเก้าอี้มาให้นั่ง

“ไม่ใช่แค่เวทีนี้นะคะ แต่กับการพาเด็กๆ ไปกับเชฟพี่ตาม พาไป chef table ไปกับพี่แพร (คุณแพรี่พาย) เพราะอยากให้เค้าเห็นว่าการเป็นคนท้องถิ่น เป็นเกษตรกร มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาบ้านๆ มันเจ๋งและเท่ขนาดไหน มันไม่ได้เป็นองค์ความรู้ที่เชย หรือเป็นอาชีพที่ถูกดูถูก มลอยากให้เค้าได้อยู่และเห็นคุณค่า และร่วมภูมิใจไปกับทุกช่วงเวลาที่ดีแบบนี้ด้วยกัน” คุณมลยิ้ม

ถิ่นนิยม จะกลายเป็นการ romanticize ความเป็นอยู่ของท้องถิ่นให้ดูโรแมนติกเกินจริงมั้ย คำถามนี้มันย้อนกลับมาที่คนตั้งคำถามอย่างฉันแล้วล่ะว่า เวลาพูดถึงชุมชนแล้วมันให้ภาพเป็นแบบไหน แต่กับคลาสนี้ คุณมลพาให้เห็นเชียงดาวในมุมที่คนในท้องถิ่นที่หาและเห็น ‘ประโยชน์ร่วม’ ใช้ประโยชน์จากท้องถิ่น เห็นคุณค่า เรียนรู้และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนามันได้

คุณมลกับนักเรียนคลาสถิ่นนิยม ที่ทุ่งดอกเก๊กฮวย

วันที่ต้องเดินทางออกจากเชียงดาว ในความทรงจำเรายังจำได้ถึง รูป-รส-กลิ่น-สัมผัส-ความรู้สึก ตอนที่เดินอยู่ในป่าและทัวร์ไปเกือบทั่วดอยเชียงดาว ในความคิดมีอยู่สองก้อนใหญ่ๆ คือ หนึ่ง-เราอิจฉาเด็กๆ ที่มีครู พี่ เพื่อน หัวหน้าแก้งค์ที่พาไปมีประสบการณ์หลากหลายโดยเฉพาะในป่าอย่างที่คนโตมาในเมืองอย่างชั้นไม่เคยมี ไม่เคยถูกฝึกให้ละเอียดและเชื่อมกับธรรมชาติจริงจังเช่นนั้น เราอยากเป็นคนละเอียดและมีทักษะพิเศษแบบนั้นบ้าง

สอง-อยากให้มีคลาสถิ่นนิยมแบบนี้ในพื้นที่อื่นๆ อีก เบื่อแล้วจะเรียนเรื่องสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนหรือมีประสบการณ์ในห้างที่มีแต่ความหนาวจากแอร์คอนดิชัน ถ้ามีวิชาแบบนี้เยอะๆ ก็คงดี

Tags:

eco literacyจิราวรรณ คำซาวเกษตรกรเข้าป่ามหาลัยเถื่อนสิ่งแวดล้อม

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learning
    เก็บบ๊วยหมักเหล้า เข้าสวนคนขี้เกียจ: เถื่อนทัวร์แบบรื่นรมย์ของคนบ้านหนองเต่า

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตรอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learningSpace
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน
Social Issues
16 March 2020

ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

เรื่อง

  • สภาพสังคมและเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจมีลูกน้อยลง นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องความผันผวนรุนแรงของสภาพอากาศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
  • บทความนี้จะพาไปดูข้อเท็จจริง งานวิจัย ความเห็นและความเคลื่อนไหว (movement) ของคนรุ่นใหม่หลายคนที่เลือกจะ ‘ไม่มีลูก’ อันเนื่องจากสภาพอากาศที่พังทลายนี้
เรื่อง: ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์
Photo by Harrison Moore on Unsplash

ปัจจุบันคู่รักวัยทำงานมองอนาคตของตนเอง ทั้งเรื่องการทำงาน ความรัก เเละการวางเเผนครอบครัวมากขึ้น เเต่เมื่อพูดถึงครอบครัว ‘ลูก’ คือคนสำคัญในชีวิตที่เหล่าคนรุ่นใหม่จะนึกถึงในการสร้างครอบครัว เเต่ปัญหาของสิ่งเเวดล้อมในปัจจุบัน อาจจะทำให้พวกเขาต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้งว่า “ลูกน้อยที่จะลืมตาดูโลกจะต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งเเวดล้อมอะไรบ้าง”

บทความเรื่อง How Climate Anxiety Is Shaping Family Planning (ความกังวลเรื่องภูมิอากาศส่งผลต่อการวางแผนครอบครัวอย่างไร) ตีพิมพ์ใน parenting.nytimes.com ยกตัวอย่างเรื่องของ ลอรี่ เดย์ (Lori Day) ที่ปรึกษาด้านการศึกษาในเมืองนิวบูรีพอร์ท รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา วัย 56 ปี กับประเด็นที่ว่า… แม้เธอจะเกิดในยุคที่สิ่งแวดล้อมไม่พังทลายเท่าทุกวันนี้ แต่ก็กลัวว่าจะปกป้องลูกไม่ได้เนื่องจากภาวะโลกร้อน หลังเธอคลอดลูกคนแรกในปี 1991 เธอกังวลถึงขนาดเก็บไปฝันว่าดูแลลูกไม่ได้เนื่องจากวิกฤตสิ่งแวดล้อม และยังฝันเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่า 10 ปี

จนฤดูหนาวที่ผ่านมา (ปี 2019) เดย์เจอเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ birthstrike โดยบังเอิญ ซึ่งเป็นเพจของกลุ่มคนในสหรัฐอเมริกาประมาณ 650 คน ที่ให้คำสัญญาว่าพวกเขาจะไม่มีลูกเนื่องจากวิกฤติรุนแรงของระบบนิเวศ อาจอนุมานได้ว่า เธอไม่ได้อยู่คนเดียว

ความกังวลเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีมากขึ้น ทำให้เดย์ห่วงไปถึงลูกสาวของเธอว่า หากลูกสาวของเธอมีลูก (ซึ่งก็คือหลานของเดย์นั่นเอง) จะทำให้เด็กคนหนึ่งที่โตมาต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก แต่ตอนนี้เดย์รู้สึกโล่งใจเพราะลูกสาวยังไม่ได้วางแผนจะมีลูก อีกทั้งเดย์ยังเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ออกมาเตือนเรื่องภาวะโลกร้อนจนนำไปสู่การปรับตัวและการเลิกล้มความหวังของคนส่วนใหญ่ที่อยากมีลูกโดยธรรมชาติ

อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงกัน นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ปี 2019 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ทำให้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กลุ่มการประท้วงที่ไม่ใช้ความรุนแรงระดับโลกอย่าง Extinction Rebillion เริ่มต้นการประท้วงภายใต้ชื่อ ‘feed in’ โดยมีแม่ที่พาลูกของพวกเธอมาเข้าร่วมการประท้วงที่หน้าสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมืองในลอนดอน และยังมีการแขวนแบนเนอร์ที่เขียนว่า ภาวะโลกร้อนฆ่าเด็ก (Climate change kills children) อีกด้วย

มุมมองเรื่องการมีลูกในช่วงเวลาวิกฤติของระบบนิเวศ เริ่มเป็นที่สนใจจากบทสัมภาษณ์ของไมลีย์ ไซรัส (Miley Cyrus) ในฐานะที่เธอเป็นคนหนึ่งที่ผลักดันเรื่องภาวะโลกร้อนเเละการเปลี่ยนเเปลงของสภาพอากาศ อาจมีผลต่อความคิดเรื่องการมีลูกของเธอในอนาคต และ เจ้าชายแฮร์รี่ ดยุกแห่งซัสเซกซ์ ที่ตรัสว่าเขาเองก็อยากทบทวนให้เเน่ใจว่าสภาพเเวดล้อมจะไม่ทำลายอนาคตของลูก ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการพูดคุยในสื่อสังคมออนไลน์จนกลายเป็นกระแสสังคมเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ และแนวคิดที่ว่าการวางแผนครอบครัวถือเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน

บทวิเคราะห์ของ Gallup บริษัทด้านการวิเคราะห์เเละให้คำปรึกษาของสหรัฐอเมริการ เผยเรื่อง ภาวะโลกร้อนกับระยะห่างของอายุ (Global warming age gap) ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศว่า ในผู้ใหญ่อายุ 18-34 ปี ร้อยละ 70 กังวลเรื่องภาวะโลกร้อน ในขณะที่ผู้ใหญ่อายุ 55 ปีขึ้นไป กังวลเรื่องภาวะโลกร้อนร้อยละ 56

ส่วนแบบสอบถามออนไลน์ของ Business Insider เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019 พบว่า ร้อยละ 38 ของคนอายุ 18-29 ปี มองปัจจัยเรื่องภาวะโลกร้อนประกอบการตัดสินใจในการมีลูก โดยในปี 2018 แบบสอบถามด้านพฤติกรรม ของ Morning Consult ของนิวยอร์คไทม์ เปิดเผยว่า ร้อยละ 33 ของผู้ตอบแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างวัย 20-45 ปี ทั้งชายและหญิงคิดว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจมีลูกน้อยลงกว่าที่ตั้งใจไว้

อีกทั้งงานวิจัยบางชิ้นยังระบุว่า การมีลูกน้อยคน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดปัญหาสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ในปี 2017 จดหมายวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมระบุว่า ในประเทศกำลังพัฒนา การมีลูกน้อยลงหนึ่งคน จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 58.6 ตันต่อปี

เอลิสัน เกมมิลล์ (Alison Gemmill) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในโรงเรียน Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health เล่าว่า ผู้หญิงอเมริกันส่วนใหญ่ตั้งใจมีลูกน้อยลง รวมไปถึงเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนจะเห็นว่าผู้หญิงอยากมีลูกน้อยลง ซึ่งก็เป็นความจริง เมื่อดูจากอัตราการเกิดในสหรัฐอเมริกา พบว่า ปี 2018 มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เหลือ 1.73 ต่อผู้หญิง 1 คนจากปี 1957 ที่มีอัตราการเกิดเฉลี่ยสูงสุด 3.77 และถึงแม้ว่า Gemmill จะไม่ได้ศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ก็ทราบว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งปัจจัยในการตัดสินใจเรื่องการมีลูก นักวิจัยการสื่อสารเรื่องภาวะโลกร้อนจาก Yale Program ยังยืนยันคล้ายกันว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าภาวะโลกร้อนจะส่งผลอันตรายต่อตัวพวกเขาและช่วงอายุของคนในอนาคตมากกว่าผู้ชาย

ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีการพูดคุยร่วมกันบนโลกออนไลน์ของคนที่ตัดสินใจว่าจะไม่มีลูก ในเดือนกันยายน ปี 2019 นักเรียนของมหาวิทยาลัยแมคกลิลล์ (McGill University) ประเทศแคนาดา จัดแคมเปญ “#No Future, No Children” ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีลูกจนกว่ารัฐบาลแคนาดาจะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ และมีอีก 5,000 คนที่มีความเห็นเหมือนกัน โดย Birthstrike จึงเป็นพื้นที่กลางในการแสดงอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับการตัดสินใจวางแผนครอบครัว

ส่วนโครงการ “Conceivable Future” ที่นำโดยผู้หญิงชาวอเมริกัน รวบรวมข้อมูลเพื่อยืนยันว่า วิกฤติสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในการคลอดและการเลี้ยงดูลูก ไม่กี่ปีที่ผ่านมา Babycenter กลุ่มการเลี้ยงดูลูกก็ได้โพสท์เรื่องผลกระทบของภาวะโลกร้อนในการเลี้ยงดูลูกผ่านโปสเตอร์ในปี 2016 เขียนระบุไว้ว่า “สิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เรามีลูกคนเดียว”

รวมไปถึงในปี 2019 เว็บไซต์ Reddit ตั้งคำถามว่า การมีลูกเมื่อเกิดภัยพิบัติภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นเรื่องผิดศีลธรรมหรือไม่ มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น 175 ความคิดเห็นในโพสต์นี้ และพูดไปในทิศทางเดียวกันว่าอยากมีลูก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดเช่นกัน

นอกจากนี้ไบร์ท เปปิโน (Blyte Pepino) นักดนตรีชาวลอนดอนบอกว่า เพจ Birthstrike เป็นเหมือนกลุ่มสนับสนุนอีกด้วย โดยสมาชิกจะโพสต์เรื่องการเลิกกับแฟนที่ต้องการมีลูกหรือวิธีการรับมือกับความสับสนที่ยังอยากมีลูก เปปิโน เองก็มีช่วงเวลาที่เสียใจหลังตัดสินใจไม่มีลูกและอธิบายถึงความว่างเปล่าของการอยู่ตัวคนเดียวและเธอนึกถึงรูปแบบครอบครัวของเธอที่ควรจะเป็นหรือเวลาที่เธอลูบท้อนเพื่อที่กำลังท้อง ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ทำให้คุณรู้ปัญหาที่แท้จริงของปัญหาภาวะโลกร้อน

ส่วนเมสัส คัมมิมส์ (Mason Cummimgs) โปรดิวเซอร์ขององค์กรปกป้องพื้นที่ป่าหรือพื้นที่รกร้างที่ชื่อ Wilderness Society ในเมืองดูรังโก (Durango) เม็กซิโก อายุ 34 ปี เล่าว่า เขาเสียใจมาก เมื่อเขานึกถึงหลานสาวอายุ 3-6 ปี และเขาทำหมันตั้งแต่ปี 2016 เพราะไม่อยากให้เด็กต้องมาเผชิญกับโลกที่ไม่ปลอดภัย

ขณะที่แอนนา เจน จอยเนอร์ (Anna Jane Joyner) ที่ปรึกษาและนักเขียน วัย 35 ปี เล่าว่า เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอย้ายกลับมาที่บ้านใน Perdido Beach เพราะเธอกังวลว่าบ้านเก่าจะเป็นพื้นที่เสี่ยงจากภัยพิบัติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และช่วงเวลาเดียวกันที่เธอเลือกที่จะไม่มีลูก อย่างน้อยเธอก็คิดว่าการย้ายพื้นที่อาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่เพราะความเป็นห่วงว่าลูกเธอจะไม่ปลอดภัย และเธอยังคาดหวังว่าเธอจะเป็นแม่เสมอ ทำให้เธอโกรธและโมโห เพราะต้องตัดสินใจหาทางด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถที่จะวางแผนหรือมีลูกได้

ในบรรดาเรื่องที่เล่ามา ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจ  เพราะรายงานสภาพอากาศของสหประชาชาติ ที่เปิดเผยข้อมูลในปี 2018 เล่าถึงจุดเสี่ยงสำคัญของวิกฤตของสภาพอากาศ เจสสิก้า โจแฮนเนสสัน (Jessica Johannesson) นักเขียนและนักขายหนังสือในเมืองบาธ ประเทศอังกฤษ วัย 35 ปี จำได้ว่าขณะที่เธอเลื่อนโทรศัพท์บนเตียงเช้าวันอาทิตย์แล้วเจอพาดหัวข่าว ทำให้เธอฉุกคิดว่า ใครที่เกิดมาจะตกอยู่ในอันตราย ไม่กี่เดือนต่อมาเธอก็ลงนามในประกาศของ Birthstrike

โจแฮนเนสสัน เข้าร่วมเพจ Birthstrike ในปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่ครอบครัวของเธอวางแผนที่จะมีลูก บางครั้งพวกเขาปรึกษากันเรื่องการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจวางแผนครอบครัวในอนาคต ซึ่งเธอคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและมีความสุข แม้จะใช้เวลานานก็ตาม

เเม้ภาวะโลกร้อนจะเป็นปัจจัยสำคัญประกอบการตัดสินใจในการมีลูก เเต่ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การรักษาสิ่งเเวดล้อมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการปกป้องเด็กที่เกิดมาท่ามกลางความเปลี่ยนเเปลงของสภาพภูมิอากาศเเละปัญหาสิ่งเเวดล้อมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

ที่มา: parenting.nytimes.com

Tags:

สิ่งแวดล้อมSchool Strike for Climate

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    Project-based learning กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้อวกาศไม่ไกลเกินเอื้อม ของ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    #SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    ‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร

    เรื่องและภาพ The Potential

อยากเห็นเด็กๆ โตเป็นพลเมืองที่ดี การเมืองต้องเป็นเรื่องที่พูดได้ เถียงได้ในห้องเรียน
Learning Theory
13 March 2020

อยากเห็นเด็กๆ โตเป็นพลเมืองที่ดี การเมืองต้องเป็นเรื่องที่พูดได้ เถียงได้ในห้องเรียน

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ PHAR

  • ห้องเรียนเป็นพื้นที่หนึ่งที่สามารถสอนให้เด็กๆ เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย ผ่านการได้รับโอกาสให้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการเมือง มีงานวิจัยที่บอกว่าหากครูจัดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนถกเถียงกันด้วยเหตุผลอย่างเหมาะสม พวกเขาจะสามารถพัฒนาทักษะความรู้รวมทั้งคุณสมบัติที่ดีจนเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในอนาคตบ้านเมืองต่อไป
  • แต่การแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง หากครูไม่เตรียมตัวให้ดีอาจกลายเป็นปัญหาได้ ซึ่งครูต้องได้ทั้งแรงสนับสนุนจากโรงเรียนและต้องขวนขวายเองด้วยในการปรับเปลี่ยนห้องเรียนให้เกิดบรรยากาศที่นักเรียนกล้าแสดงความเห็นเรื่องการเมืองกัน
  • ชั้นเรียนที่จะเอื้อให้เด็กโต้แย้งกันได้นั้นต้องผ่านการวางแผนมาอย่างดี ครูต้องเตรียมคำถามที่กระตุ้นให้นักเรียนคิด เตรียมสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาล่วงหน้า ไปจนกระทั่งต้องรู้จังหวะว่าจะสอดแทรกเอาการอภิปรายไปไว้ตรงไหนของบทเรียน สำคัญที่สุด คือ นักเรียนต้องถกเถียงแลกเปลี่ยนเหตุผลกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง ไม่ใช่พูดให้ครูฟัง

การเมือง เรื่องที่ครูต้องสอนในห้องเรียนศตวรรษที่ 21

ไดแอน เฮส (Diana Hess) คณบดีแห่ง Madison’s School of Education – University of Wisconsin กับพอลล่า แมกอะวอย (Paula McAvoy) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสังคมศึกษา North Carolina State University ร่วมกันศึกษาวิจัยเรื่องการเปิดพื้นที่ในชั้นเรียนให้นักเรียนถกเถียงแลกเปลี่ยนความเห็นด้านการเมืองช่วงปี 2005-2009 เพื่อดูว่านักเรียนได้ประโยชน์อะไรจากการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิด และชั้นเรียนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางสังคมในฐานะพลเมืองในอนาคตของเด็กอย่างไรบ้าง โดยนักวิจัยทั้งสองเข้าไปติดตามสังเกตในชั้นเรียนของครูผู้สอนที่ทำให้มีการอภิปราย ถกเถียงแลกเปลี่ยนในชั้นเรียนที่มีคุณภาพสูงว่าเขามีวิธีการอย่างไร

ในหนังสือที่เขียนถึงงานวิจัยดังกล่าว เฮสและแมกอะวอยบอกว่าชั้นเรียนที่จะสอนความเป็นประชาธิปไตยให้กับเด็กๆ ควรอบอวลไปด้วยบรรยากาศของการเมือง (ที่ไม่ใช่การแบ่งพรรคแบ่งพวก) พูดให้ชัดคือ

“ชั้นเรียนต้องสอนถึงความเท่าเทียมกันของเสียงประชาชน ปลูกฝังนิสัยการคิดแบบมีเหตุมีผลและรับผิดชอบต่อมุมมองและการกระทำของตนว่าส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร” นักเรียนต้องเรียนรู้ที่จะอภิปรายประเด็นใดประเด็นหนึ่งด้วยมุมมองที่หลากหลายและขัดแย้งกัน รวมทั้งฝึกฟังอย่างลึกซึ้งและหัดตั้งคำถาม

ภารกิจนี้ถือเป็นงานช้างสำหรับครูผู้สอน ยิ่งอุณหภูมิการเมืองกำลังมาคุ ทั่วทุกหัวระแหงแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันดุเดือด นักวิจัยทั้งสองเผยว่าครูส่วนใหญ่พยายามเลี่ยงการพูดคุยเรื่องการเมืองในชั้นเรียนแม้เนื้อหาที่สอนเช่นวิชาประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือความเป็นพลเมืองแตะเข้าสู่ประเด็นก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการรักษาบรรยากาศชั้นเรียนให้เป็นกลาง ท่ามกลางหัวข้อที่ปลุกกระตุ้นความขัดแย้งได้นั้น ครูเองต้องมีชั่วโมงบินพอสมควร นอกจากนั้น พื้นเพครอบครัวที่ต่างกันของเด็ก ศาสนา ความเชื่อ สถานการณ์บ้านเมืองที่ตึงเครียดอยู่แล้ว ยังมีดราม่าจากผู้ปกครอง ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ทำให้การเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นทางการเมืองในชั้นเรียนเป็นเรื่องยาก

พร้อมกันนั้น ผู้สอนเองก็ต้องระวังอย่างที่สุดไม่ไปมีอิทธิพลเหนือความคิดของนักเรียนจนเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง และต้องเข้าใจว่าพวกเขามีสิทธิแสดงความเห็นได้เสรีกว่าตัวเองซึ่งอยู่ในฐานะคนของรัฐ โจชัว ดันน์ (Joshua Dunn) ครูสอนวิชารัฐศาสตร์ใน University of Colorado Colorado Springs กล่าวไว้ในรวมบทความ Talking Out of Turn: Teacher Speech for Hire ตอนหนึ่งว่า “ครูอยู่ในสถานะผู้กุมอำนาจซึ่งมีอิทธิพลเหนือนักเรียนในแง่ที่พวกเขาต่างก็เข้าใจได้ว่าตัวเองต้องสงบปากกับคนที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายเขาด้วยใบเกรด” จากรูปการณ์แล้ว การเปิดให้เด็กๆ อภิปรายแลกเปลี่ยนทัศนะทางการเมืองในชั้นเรียนยังมีอุปสรรคนานัปการคอยท่าอยู่

แต่ถึงอย่างนั้น นักวิจัยทั้งสองก็ยังยืนยันว่าเด็กในชั้นเรียนควรมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการเมืองกันอยู่ดี โดยชี้ว่าหากครูจัดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนถกเถียงกันด้วยเหตุผลอย่างเหมาะสม พวกเขาจะสามารถพัฒนาทักษะความรู้รวมทั้งคุณสมบัติที่ดีจนเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในอนาคตบ้านเมืองต่อไป ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิ่งนี้เป็นจริงได้ คือ ครูที่ต้องหูตากว้างไกลและทำการบ้านล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี

ตัวอย่างครูที่จัดให้นักเรียนอภิปรายในชั้นเรียนได้ดี

แมกอะวอยและเฮสอยากทราบว่า ในชั้นเรียนที่เปิดให้นักเรียนถกเถียงปัญหาจนเด็กเหล่านั้นมีพัฒนาการทักษะมากที่สุด ครูมีวิธีการสอนอย่างไรกันบ้าง ทั้งสองลองเข้าไปสังเกตการสอนของครูจำนวน 35 คนซึ่งทั้งหมดเรียนจบด้านสังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ และมีประสบการณ์การสอนมาพอสมควร ครูเหล่านี้สอนรายวิชาสังคม ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ โดยกลุ่มหนึ่งสอนแบบเน้นให้ผู้เรียนฝึกใคร่ครวญประเด็นปัญหาการเมืองจากคนละมุมมอง กับอีกกลุ่มสอนแบบเลคเชอร์ทั่วไป ทั้งสองตั้งใจจะเปรียบเทียบว่านักเรียนมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหนและเรียนรู้อะไรบ้างจากการสอนทั้งสองแบบ ซึ่งสุดท้ายผลออกมาว่า ครูจำนวน 10-12 คน เป็น “แบบปฏิบัติที่ดี” (Best Practice) จากการที่พวกเขาจัดให้นักเรียนอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดทางการเมืองกันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จนต่อมาเด็กในชั้นเกิดความเข้าใจในความเป็นพลเมืองและแสดงถึงการมีส่วนร่วมมากขึ้น นอกจากนั้น ครูเหล่านี้ยังมีจิตสำนึกในหน้าที่พลเมืองของตนและมีส่วนร่วมกับกิจกรรมการเมือง ตลอดจนแบ่งปันความรู้และสร้างความกระตือรือร้นให้ชั้นเรียนอย่างสม่ำเสมอ

แมกอะวอยเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ครูที่เป็นแบบปฏิบัติที่ดี คือ ครูที่ได้ทั้งแรงสนับสนุนจากโรงเรียนและต้องขวนขวายเองด้วยในการปรับเปลี่ยนห้องเรียนให้เกิดบรรยากาศที่นักเรียนกล้าแสดงความเห็นเรื่องการเมืองกัน ขณะที่ครูจำนวนไม่น้อยคิดว่าการเปิดอภิปรายความคิดของนักเรียนในชั้น ไม่จำเป็นต้องถึงกับเตรียมตัวกันล่วงหน้าซึ่งในความจริงแล้วกลับไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะชั้นเรียนที่จะเอื้อให้เด็กโต้แย้งกันได้นั้นต้องผ่านการวางแผนมาอย่างดี ครูต้องเตรียมคำถามที่กระตุ้นให้นักเรียนคิด เตรียมสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาล่วงหน้า ไปจนกระทั่งต้องรู้จังหวะว่าจะสอดแทรกเอาการอภิปรายไปไว้ตรงไหนของบทเรียน สำคัญที่สุด คือ นักเรียนต้องถกเถียงแลกเปลี่ยนเหตุผลกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง ไม่ใช่พูดให้ครูฟัง

ถึงการให้นักเรียนได้อภิปรายเรื่องการเมืองในชั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้านอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นการขยายอคติให้ลุกลามอีกด้วย “หลังเหตุประท้วงเรื่องเหยียดสีผิวที่ Charlottesville หมาดๆ พอเช้าวันจันทร์ ครูถามนักเรียนในชั้นโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงว่า ‘พวกเธอรู้สึกยังไงกันบ้าง’ อย่างนี้ถือว่าไม่สร้างสรรค์” แมกอะวอยเตือนว่า การให้นักเรียนถกเถียงกันในหัวข้อที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ โดยโยนคำถามใส่เด็กว่า ‘พวกหนูคิดยังไงกับเรื่องนี้?’ หรือ ‘มีอะไรจะถามมั้ย?’ แน่นอนว่ามันสะกิดให้พวกเขาคิดบางอย่างก็จริง แต่การปล่อยให้เขาพูดในสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมดโดยไม่กลั่นกรองถือว่าผลีผลามเกินไป ‘ถ้าครูให้นักเรียนใส่กันโต้งๆ โดยไม่มีเหตุผลรองรับก็เท่ากับให้เขาแสดงความคิดที่เต็มไปด้วยอคติโดยไม่รู้จักไตร่ตรอง’ ดังนั้น ถ้าจะให้สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพกว่านี้ ครูควรให้นักเรียนแสดงบทบาทสมมติ (Role play) โดยให้ต่างฝ่ายต่างเตรียมสืบค้นข้อมูลเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วหาหลักฐานมาประกอบความคิดเห็น พร้อมกับที่ครูต้องอธิบายวิธีแสดงความเห็นและช่วงเวลาเหมาะสมในการมีส่วนร่วมให้พวกเขาด้วย

ครูต้องหาวิธีมากระตุ้นให้เด็กคิด โดยให้พวกเขามีความคิดเป็นของตนเอง

เนื่องจากโรงเรียนปัจจุบันคัดเด็กที่คิดอ่านคล้ายกันมาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เด็กทั้งชั้นจึงมักมีไอเดียเหมือนกันยกห้อง หนึ่งในตัวอย่างครูที่เป็นแบบปฏิบัติที่ดีที่แมกอะวอยและเฮสพูดถึง คือ โจเอล คุชเนอร์ (Joel Kushner) ครูสอนสังคมศึกษาใน Academy High School ซึ่งรับบทเป็น ‘ผู้คัดค้านหลอกๆ’ ระหว่างการอภิปรายในชั้นที่นักเรียนของเขาจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับการทำแท้ง คุชเนอร์พยายามชี้ให้นักเรียนมองในมุมของฝ่ายที่รักษาชีวิตลูก พิจารณาเหตุและผลของการตัดสินใจจากทั้งสองฝั่ง

“ระหว่างที่ถกกันเรื่องการทำแท้ง ผมต้องหาเหตุผลมาค้านมุมมองของนักเรียนให้มากที่สุด โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย วันหนึ่งเข้าข้างฝั่งที่เลือกทำแท้ง อีกวันหนึ่งเข้าข้างฝั่งที่จะเก็บทารกไว้ จำได้ว่ามีนักเรียนคนหนึ่งอภิปรายถึงเหตุผลของการเก็บชีวิตเด็กไว้ได้ดี และเพื่อนๆ ก็ยกเหตุผลมาหักล้างเขาได้อย่างน่าสนใจมาก เรียกว่าถกกันดุเดือด ผมก็คอยค้านเขาให้ถึงที่สุด นั่นเป็นหน้าที่ของผม ซึ่งก็สนุกดีนะ ท้าทายมาก” คุชเนอร์กล่าว

แมกอะวอยและเฮสชี้ว่า ครูที่เตรียมการอภิปรายในชั้นมาอย่างดีเพื่อให้เด็กแลกเปลี่ยนถกเถียงกันเรื่องการเมืองต่างมุมมองจะช่วยให้ความคิดเขาเติบโตขึ้น อย่างแรกสุดเขาจะตระหนักว่าเพื่อนๆ มีสิทธิที่จะเห็นต่าง ซึ่งนั่นเป็นแก่นสำคัญของการเป็นพลเมืองระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองก็เกรงว่าบรรยากาศการเมืองที่แตกขั้วในศตวรรษที่ 21 นี้ จะส่งผลให้โรงเรียนต่างๆ พากันอิงเข้ากับขั้วการเมือง โรงเรียนขั้วไหนครูและนักเรียนก็คิดเห็นตามนั้นเหมือนกัน ซึ่งนับวันจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประชาธิปไตย

แม้โรงเรียนจะอิงขั้วการเมืองใดอยู่ก็ตาม แต่การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้โต้แย้งและรับฟังความเห็นต่างก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นมาก นักเรียนที่เคยอภิปรายในชั้นเรียนจะเริ่มสนใจสถานการณ์บ้านเมืองและแชร์ความเห็นของตนกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ยิ่งถ้าพวกเขาได้อยู่ในชั้นเรียนที่มีการอภิปรายอย่างมีคุณภาพ เด็กเหล่านี้ยิ่งมีแนวโน้มที่จะสนใจกิจการงานเมืองมากขึ้นตั้งแต่ติดตามข่าวสาร รับฟังคนที่อยู่ต่างขั้ว ไปจนถึงสนใจความเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยทั่วไป สิ่งที่ตามมา คือ เราจะเห็นคนรุ่นใหม่มีความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย และเข้ามามีบทบาทส่วนร่วมกับการเมืองในอนาคต

แมกอะวอยและเฮสพยายามผลักดันให้สถาบันการศึกษาเพิ่มวิชาที่สอนเด็กทุกระดับชั้นวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็น และเตรียมพร้อมการมีส่วนร่วมในความเป็นพลเมืองประชาธิปไตยให้มากขึ้น ทั้งสองกล่าวว่า “การศึกษาในระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีครูที่ทำให้ห้องเรียนอบอวลไปด้วยบรรยากาศของการเมือง ซึ่งบ่มเพาะทักษะความรู้ให้คนรุ่นใหม่รู้จักพิจารณาข้อเท็จจริง อันนำไปสู่การตัดสินใจอันส่งผลต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมภายภาคหน้าได้”

ทีมโต้วาทีเพื่อศตวรรษที่ 21

ตอนเป็นโคชให้ทีมโต้วาทีปีแรก สก็อต วันน์ (Scott Wunn) ครูสอนภาษาอังกฤษชั้นมัธยมใช้วิธีเดียวกันกับที่เขาโคชนักกีฬามวยปล้ำ เขามองว่า การโต้วาทีกับมวยปล้ำเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อกับพลังฮึกเหิมเพื่อเอาชนะเหมือนๆ กัน แม้ว่าเวลาแข่งจะแข่งกันทีละคน แต่สุดท้ายก็ต้องอาศัยพลังและประสบการณ์ร่วมกันทั้งหมดของทีม นอกจากนั้น กิจกรรมทั้งสองอย่าง ผู้เข้าแข่งต้องอดทนและขวนขวายฝึกฝนทักษะเช่นเดียวกัน จะมาหลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยงคู่แข่งอีกฝ่ายไม่ได้ ต้องเอาชนะด้วยการล้มคู่ต่อสู้ให้ได้เท่านั้น

ครั้นพอย่างเข้าปีที่ 10 วันน์ ซึ่งเป็นโคชให้ทีมโต้วาทีของโรงเรียนมัธยมใน Des Moines-Iowa ก็เริ่มตระหนักว่ายิ่งใช้เวลากับทีมโต้วาทีเท่าไหร่ เขายิ่งเข้าใจมันลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม เขาเริ่มเห็นว่าที่จริงการโต้วาทีในโรงเรียนไม่เหมือนกับการแข่งมวยปล้ำ ด้วยความที่การโต้วาทีมีจุดแตกต่างเฉพาะตัวในแต่ละครั้ง ซึ่งมาพร้อมความท้าทายใหม่ๆ เช่น การตั้งประเด็น การตั้งแง่ฝ่ายตรงข้าม การสนับสนุนความคิดที่เห็นต่าง สิ่งเหล่านี้ทำให้วันน์กลายเป็นคนมองประเด็นรอบด้านขึ้น และทักษะการสอนหนังสือของเขาตลอดจนงานวิจัยก็พัฒนาก้าวหน้าตามไปด้วย

เมื่อเข้าไปช่วยทีมโต้วาทีเตรียมข้อมูลมาหักล้างฝ่ายตรงข้ามบ่อยๆ โลกทัศน์วันน์ยิ่งกว้างไกลมากขึ้น เขาบอกว่ามันคือ “ความเข้าใจที่ผมมีต่อแง่มุมคลุมเครือทั้งหลายชัดเจนขึ้น” การโต้วาทีและมวยปล้ำไม่ได้เหมือนกันอย่างที่เขาเคยคิด วันน์หวังว่านักเรียนของเขาเองก็ต้องได้ฝึกทักษะที่เขาเคยได้ประสบการณ์จากการโต้วาทีด้วยเช่นกัน ตลอดเวลาหลายปี เด็กๆ จะได้ฝึกหลากหลายทางจากการโต้วาที นอกเหนือจากเรื่องแพ้ชนะหรือการจำนนต่อหลักฐานที่แน่นหนากว่าของฝ่ายตรงข้าม วันน์สังเกตว่าคนที่โต้วาทีจะมีทักษะที่สถาบันอุดมศึกษาและภาคธุรกิจต่างมองหาในคนรุ่นใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ทักษะการทำงานร่วมกัน การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งทักษะเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการอ่านแต่เกิดจากการฝึกฝน มุมานะพยายามในการหาเหตุผลมาหักล้างคู่ต่อสู้ในสนามโต้วาที เด็กๆ จะได้ฝึกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เองโดยอัตโนมัติจากการค้นคว้าข้อมูล เตรียมหลักฐานที่เป็นเหตุเป็นผลไปประลองในสนามโต้วาที

และด้วยผลพวงจากเทคโนโลยียุคมิลเลเนียม นักโต้วาทีสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้หลากหลายรอบด้านขึ้นกว่าเดิม ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตช่วยให้นักเรียนสามารถหาแง่มุมมาหักเหลี่ยมกันและกัน และสืบเจาะประเด็นได้ซับซ้อนขึ้นกว่าแต่ก่อน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกก็ทำได้หนักแน่นขึ้น ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ นักเรียนยิ่งเหมือนเสือติดปีก วันน์กล่าวว่า การโต้วาทีของนักเรียนในสหัสวรรษใหม่นี้เล่นกับประเด็นที่เกิดขึ้นจริงมากขึ้นกว่าเดิมมาก และนักเรียนเองก็ไฟแรงที่จะหยิบประเด็นในกระแสจากอินเทอร์เน็ตมาโต้วาทีห้ำหั่นกัน

ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลรวมกัน วงการโต้วาทีจึงถูกปลุกกระแสจนกลับมาได้รับความนิยมขึ้นอีกครั้ง โดยมีการปรับโฉมให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ในปี 2003 วันน์เข้ารับตำแหน่ง Executive Director ของ National Speech and Debate Association โดยเริ่มต้นจากการเปิดให้นักเรียนทั่วประเทศกว่า 60,000 คนเข้าเป็นสมาชิก และเพิ่มรูปแบบการโต้วาทีที่เน้นประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นและอยู่ในกระแสปัจจุบัน

ภายใต้การปลุกกระแสวงการโต้วาทีของเขา สโมสรหลังเลิกเรียนที่เป็นกำลังสำคัญในการพลิกผันอนาคตก็ได้เปิดวงโต้วาทีขึ้นจากที่เคยเป็นกลุ่มปิด เพื่อต้อนรับสมาชิกเด็กผู้หญิงและชาวผิวสีที่พากันมาเข้าร่วมมากขึ้น วันน์เปรียบเสมือนอเล็กซ์ พี คีตันส์ ตัวเอกจากซีรี่ Family Ties ในตำนานยุค 80’s ที่เป็นหนุ่มน้อยฝีปากกล้าผู้สนใจในประเด็นซับซ้อนของนโยบายต่างประเทศ National Speech and Debate Association ซึ่งเขาเป็นผู้บริหารจัดงานแข่งขันโต้วาทีขึ้นทุกปีโดยมีนักเรียนเข้าร่วมกว่า 3,000 คนและสมาคมยังเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมโต้วาทีระดับโลก ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนมัธยมจำนวน 12 คน ให้เดินทางไปแข่งทั่วโลก และศักยภาพของเด็กกลุ่มนี้ก็เฉียบขาดถึงขั้นเข้าแข่งในงาน World Schools Debating Championship ซึ่งถือเป็นการแข่งขันโต้วาทีระดับโอลิมปิกเลยทีเดียว

แม้วันน์จะพยายามผลักดันให้การโต้วาทีได้รับความนิยมมาเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้วก็ตาม แต่เขาเล่าว่าวงการนี้เพิ่งจะคึกคักเอาเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้จากการที่มวลชนแบ่งขั้วการเมืองรุนแรงขึ้น ผนวกกับวาทะของนักการเมืองที่ออกมาสุมไฟจนทุกฝ่ายทวีความมาคุ วันน์อธิบายว่า ในสนามแข่งโต้วาที ผู้แข่งขันต้องเตรียมตัวมาค้านให้ได้ทั้งสองทางจึงจะชนะ เขาเชื่อว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดหายไปในวงสนทนาการเมืองปัจจุบัน ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามโซเชียลมีเดีย

ทุกวันนี้เริ่มมีบุคลากรด้านการศึกษาเข้ามาขอคำปรึกษากันมากขึ้นว่า ควรสอนทักษะการมีส่วนร่วมในฐานะพลเมืองอย่างไร ทำอย่างไรให้เด็กสามารถพูดคุยถกเถียงกันในชั้นเรียนและเห็นความสำคัญของการสื่อสารแบบซึ่งหน้า ขนาดเดวิด ฮอก (David Hogg) วัยรุ่นผู้นำการต่อต้านอาวุธปืนแห่งปาร์คแลนด์ยังเรียกตัวเองว่า ‘เด็กบ้าดีเบต’ จึงไม่แปลกที่โรงเรียนประถมและมัธยมทุกแห่ง Broward County, Florida ที่ตั้งของปาร์คแลนด์จะมีหลักสูตรการโต้วาทีและเริ่มสอนให้เด็กโต้วาทีเป็นตั้งแต่เกรด 4 วันน์พยายามสนับสนุนให้นำการโต้วาทีเข้าไปอยู่ในห้องเรียนมากขึ้นโดยตั้งเป็นวิชา Public Forum ในชั้นเรียนครูจะให้นักเรียนจับคู่ทีมละสองคน ให้เวลา 40 นาที นักเรียนสองทีมโต้วาทีกันในหัวข้อสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ผู้อพยพ หรือ มาตรการด้านสาธารณสุข จากนั้นท้ายคาบให้นักเรียนทั้งชั้นช่วยกันคิดใคร่ครวญและแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน

ครูหลายคนเสนอว่า การโต้วาทีควรสอดแทรกอยู่ในทุกรายวิชา ไม่จำกัดแค่ในคาบสังคมศึกษาหรือชมรมหลังเลิกเรียนเท่านั้น โรเบิร์ต ไลตัน (Robert Litan) นักเศรษฐศาสตร์เคยเสนอวิธีแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคม และการเปิดศึกโต้น้ำลายใส่กันบนจอทีวีด้วยการแนะให้เด็กนำ ‘การคิดในมุมแย้งกับตัวเอง’ ไปใช้กับวิชาอื่นๆ เช่น วิทยาศาสตร์ วรรณกรรม เป็นต้น โดยให้พวกเขาได้ค้นคว้าข้อมูลอย่างเข้มข้นและอภิปรายถกเถียงกัน ด้วยการหยิบแง่มุมการเมืองและนโยบายต่างๆ ของรัฐเข้าไปร่วมพิจารณา ไลตันเห็นว่า การโต้วาทีไม่ได้สนุกอย่างเดียว เด็กยังได้ฝึกความยืดหยุ่นที่จะรับฟังความเห็นต่างด้วย

อย่างไรก็ตาม การขยายขอบเขตความนิยมของการโต้วาทียังคงมีอุปสรรคจากการถูกจัดเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำหรับเด็กผิวขาวฐานะดีเท่านั้น แม้งานศึกษาเมื่อไม่นานนี้รายงานสัญญาณความนิยมที่เพิ่มขึ้นตามชุมชนเขตเมืองต่างๆ บ้างแล้วก็ตาม ในงานศึกษาปี 2011 ของ the Chicago Urban Debate League ชี้ว่านักเรียนที่โต้วาที ‘มีโอกาสจบการศึกษาชั้นมัธยมสูงกว่า ทำคะแนนสอบ ACT ได้ดีกว่า และได้ GPA เยอะกว่าเด็กในระดับชั้นเดียวกัน’ ซึ่งข้อสรุปที่ว่านี้มาจากกลุ่มนักเรียนที่ไม่ใช่ผู้เข้าร่วมโต้วาทีมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ไม่ว่าจะอย่างไร เป้าหมายหลักของวันน์ คือ การผนวกเอาการโต้วาทีเข้าไปอยู่ในโรงเรียนมากขึ้น เขาฝันที่จะเห็นเด็กรุ่นใหม่ไม่ว่ามีพื้นเพ หรือฐานะใด มีทักษะการโต้วาทีติดตัวไปใช้ในสังคมได้ ทั้งการออกความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่ง สามารถมองเห็นและเข้าใจเหรียญสองด้านของประเด็นปัญหาสังคม วันน์กล่าวว่า ถ้ามีข้อมูลซะอย่าง นักโต้วาทีจะไม่หวั่นกลัวเลยเพราะเขารู้ว่าจะนำข้อมูลไปใช้อย่างไร จะพิสูจน์ข้อคัดค้านของตนด้วยวิธีไหน และรู้ว่าจะเข้าใจถึงจุดยืนที่ชอบด้วยกฎหมายของแต่ละฝ่ายอย่างไร การโต้วาทีก็คือการล้มคู่ต่อสู้ลงให้ได้ด้วยวาทะ ไม่ว่าจะเพื่อเป็นพลเมืองคุณภาพในศตวรรษที่ 21 หรือเพื่อคว่ำฝ่ายตรงข้ามลงแล้วคว้าชัยก็ตาม หากแต่ครั้งนี้ถ้าความฝันของวันน์เป็นจริงได้ เราจะมีพลเมืองที่ฉลาดหลักแหลมมากขึ้นและระบบประชาธิปไตยที่เที่ยงธรรมเป็นรางวัลของชัยชนะ

อ้างอิง:
How Classroom Political Discussions — Controversies, Too — Prepare Students for Needed Civic Participation.

Tags:

พลเมืองเทคนิคการสอนประชาธิปไตย21st Century skills

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Learning Theory
    The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

เพราะเด็กคือความหวัง และนิทานมีพลังกว่าที่คิด: “ป่าดอยบ้านของเรา” ให้นิทานสร้างเด็กเพื่อให้เด็กสร้างเมือง
Early childhood
12 March 2020

เพราะเด็กคือความหวัง และนิทานมีพลังกว่าที่คิด: “ป่าดอยบ้านของเรา” ให้นิทานสร้างเด็กเพื่อให้เด็กสร้างเมือง

เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • มหกรรมนิทานสร้างเมือง งานที่จะชวนเด็กๆ มารู้จักจังหวัดเชียงใหม่ผ่านการอ่าน ‘นิทาน’ จากตัวอักษรสู่การเชื่อมโยงเด็กๆ ให้รู้จักและรักสิ่งที่อยู่รอบตัวพวกเขา ต้นไม้ ลำน้ำ และสัตว์น้อยใหญ่
  • พร้อมกับเข้าฐานกิจกรรมที่ชวนมาลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นฐานดอกไม้พื้นเมือง ที่นำเศษขยะมารวมกับดอกไม้แห้งกลายเป็นของตกแต่งบ้าน หรือฐานรูปลอยออกมา ชวนทำนิทานป็อบอัพแบบง่ายๆ

เราทุกคน คือ ผลผลิตของสิ่งที่ลงทุนไป เราเป็นอย่างที่เราคิดและทำเสมอ เด็กๆ เองก็เช่นกัน ลูกเป็นผลผลิตของพ่อแม่ เด็กเป็นผลของการสร้างและบ่มเพาะทั้งทางตรงและทางอ้อมจากผู้ใหญ่ เราอยากให้คุณภาพของเด็กเป็นอย่างไรจึงต้องเริ่มต้นที่ผู้ใหญ่นั่นเอง

เด็กปฐมวัย คือ จุดเริ่มต้นของการลงทุนที่วิเศษสุด สิ่งใดที่เราริเริ่มปลูกฝังไว้ในตัวเขา จะสามารถก่อรูปเติบโตไปได้ไม่รู้จบ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์ชื่อดังแนะนำว่า การลงทุนดีที่สุดที่พ่อแม่ควรทำ คือ อ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที การฟังนิทานช่วยสร้างสมองที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น ลูกได้รับประโยชน์จาก “พลังของนิทาน” มหาศาล ทั้งสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ (พ่อแม่มีจริง) สร้างตัวตนของลูก เรียนรู้ภาษาและความคิดต่างๆ ตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน โดยอาจได้ความฉลาดและรักการอ่านเป็นผลพลอยได้ที่ตามมาด้วย

นิทานสร้างเด็ก ชุด “อ่านดอยสุเทพ”

ด้วยเพราะตระหนักในการอ่านและพลังของนิทาน แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน (สนับสนุนโดย สสส.) ร่วมกับโครงการเชียงใหม่อ่าน และ Spark U Lanna จึงคิดเห็นร่วมกันว่านิทานมีศักยภาพทำให้เด็กๆ รู้จักบ้านเมืองของตัวเองได้ เมื่อ “รู้จัก” แล้วจึง “รัก” และ “รักษา” โครงการอ่านทั้งเมืองเรื่องเดียวกัน ในพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่จึงถูกออกแบบให้อยู่ในกรอบคิดเรื่อง “อ่านดอยสุเทพ” เพื่อให้เด็กๆ ช่วงปฐมวัยได้เรียนรู้เรื่องดอยสุเทพ-พื้นที่สำคัญทางจิตวิญญาณของคนเชียงใหม่ในหลากหลายมิติ ผ่านนิทานสามเล่ม ได้แก่ “กราบดอยสุเทพ” “หนูน้อยไปดอยสุเทพ” ชวนเรียนรู้เรื่องการกราบ การฟังเสียงธรรมชาติระหว่างเดินทางขึ้นดอยและเสียงต่างๆ ภายในวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ และ “ป่าดอยบ้านของเรา” ที่สื่อสารเนื้อหาเรื่องธรรมชาติวิทยา ชวนรู้จักและเข้าใจต้นไม้ สิ่งมีชีวิตต่างๆ บนดอยสุเทพ และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ผ่านภาพวาดน่ารักและเนื้อหาอย่างง่าย ซึ่งนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ให้ข้อคิดเห็นต่อนิทานเรื่องป่าดอยบ้านของเราไว้ว่า เป็นนิทานที่เล่าเรื่องน้ำได้มีชีวิตชีวามาก ทั้งน้ำใต้ดิน น้ำฟ้า โดยไม่ต้องมีคำว่า “วัฏจักร” เลย ซึ่งทำให้เด็กเรียนรู้เรื่องความเชื่อมโยงของธรรมชาติและสรรพชีวิตทั้งหลายได้อย่างดียิ่ง

โครงการเชียงใหม่อ่านในฐานะแกนนำผู้สร้างสรรค์งาน “มหกรรมนิทานสร้างเมือง” ร่วมกับภาคีเครือข่ายการเรียนรู้จึงเลือกใช้นิทานเรื่องป่าดอยบ้านของเราเป็นแนวคิดตั้งต้นเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง เพราะเชื่อหมดใจว่าเด็กคืออนาคต เป้าหมายของการจัดงานจึงเป็นทั้งการส่งเสริมการอ่านนิทานระหว่างพ่อแม่ลูก การแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และสร้างความรักในบ้านเมืองของตัวเองไปพร้อมกัน เรียกว่าทั้งสนุก ได้ประโยชน์ และขับเคลื่อนเชิงนโยบายได้ในการทำงานครั้งเดียวจริงๆ

พลังนิทานสร้างเมือง

จากนิทานในสวนอักษร “ป่าดอยบ้านของเรา” ได้เปิดพื้นที่เรียนรู้ใหม่มาสู่สนามหญ้าที่เด็กๆ วิ่งเล่นได้จริงผ่านการลงมือทำกิจกรรม โดยเชื่อมโยงเนื้อหาที่ต้องการให้เด็กเรียนรู้ครบถ้วนทุกมิติทั้งเรื่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ขยะ วัฒนธรรมพื้นถิ่น ทัทยา อนุสสรราชกิจ ผู้รับผิดชอบโครงการเชียงใหม่อ่านและแกนนำจัดงานมหกรรมนิทานสร้างเมืองร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ กล่าวว่า โครงการเชียงใหม่อ่านได้นำหนังสือนิทานชุดอ่านดอยสุเทพทั้งสามเล่มไปสอนครูทั้งจังหวัดเชียงใหม่เกือบหนึ่งพันคนเพื่อให้ครูเล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง รวมทั้งส่งมอบนิทานให้แก่ศูนย์เด็กเล็กในเชียงใหม่ เกิดเป็นแรงกระเพื่อมเชิงบวกให้คนรู้ว่าดอยสุเทพเป็นมากกว่าภูเขา ตอบโจทย์การอ่านทั้งเมืองเรื่องเดียวกัน และเริ่มตระหนักว่าเราสามารถสร้างเมืองหรือเปลี่ยนเมืองได้จริงๆ ผ่านพลังของนิทาน

“เรามีวิสัยทัศน์เมืองอย่างหนึ่งว่า เราต้องเตรียมคนในแบบที่เราอยากเห็นในอนาคต เราอยากให้เขารักเมืองอย่างไร เราก็ต้องสร้างเด็กให้มีคุณภาพแบบนั้น นี่คือหัวใจสำคัญของคำว่าให้นิทานสร้างเด็ก แล้วให้เด็กสร้างเมือง” ทัทยา อนุสสรราชกิจ กล่าว

บรรยากาศในมหกรรมนิทานสร้างเมืองนั้นน่ารักมาก มีการจำลองบรรยากาศและสัตว์ในนิทานออกมาในสนามหญ้าจริง มีมุมนิทานที่มีหนังสือมากมายให้เลือกอ่าน ในเวทีกลางมีการเล่านิทานเรื่องป่าดอยบ้านของเรา เพื่อเชื่อมโยงไปสู่เนื้อหาการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งห้องเรียนต้นไม้ ห้องเรียนสัตว์ ห้องเรียนน้ำ ห้องเรียนขยะ สลับกับการแสดงของเด็กนักเรียนจากโรงเรียนวชิรวิทย์เชียงใหม่ ฟังแนวทางการบ่มเพาะเด็กให้รักธรรมชาติจากคุณยายสิริกร ว่องตระกูล ฟังเรื่องเล่าของสัตว์บนดอยสุเทพจากศูนย์ธรรมชาติวิทยาดอยสุเทพ ฟังเรื่องน้ำจากชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่และกลุ่มคนใจบ้าน เรียนรู้แนวคิดเรื่องบอร์ดเกมจากน้องๆ ห้องสมุดลิบลับ เปิดตัวนิทาน “มาช่วยเพื่อนเรากันนะ” เพื่อสื่อสารปัญหาขยะ และที่รู้สึกเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาอันยิ่งใหญ่ คือ การมีพิธีส่งมอบเมืองจากผู้ใหญ่สู่เด็ก เป็นเหมือน สัญญะที่สื่อความหมายว่า เด็กคืออนาคต คือผู้กำหนดบ้านเมืองในวันข้างหน้าอย่างแท้จริง

ในเวทีเสวนาเรื่องจากนิทานสร้างเด็กสู่นิทานสร้างเมือง ผู้ร่วมอภิปรายหลายท่านให้ข้อคิดเห็นที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันว่า “เด็กคือความหวังและนิทานมีพลังกว่าที่คิด” สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านยืนยันว่า ช่วงเวลาตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงแปดขวบนั้นเป็นเวลาที่สำคัญ เพราะสมองพัฒนาสูงสุด การอ่านนิทานให้ลูกฟังจึงมีความหมายมากกว่าตัวอักษร หากหมายถึงการบ่มเพาะความดี ความงาม ความเป็นมนุษย์ที่งดงามในอนาคต เช่นเดียวกับที่  ทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่กล่าวว่า หนังสือช่วยลดความเหลื่อมล้ำเพื่อให้คนได้มีการศึกษาได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียม เป็นช่องทางความรู้ที่เข้าถึงได้โดยใช้ต้นทุนน้อยที่สุด ทั้งยังเป็นโอกาสของการแก้ปัญหาความยากจนอย่างแท้จริง

สอดคล้องกับสุวารี วงศ์กองแก้ว หัวหน้าส่วนงานพัฒนาเมือง เทศบาลนครเชียงใหม่ให้ความเห็นว่า หนังสือและการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงมนุษย์และสร้างมนุษย์จากภายใน แนวคิดในหนังสือจะช่วยก่อรูปวิธีคิด ความคิดที่ถูกต้องดีงามให้เราได้ การอ่านหนังสือจึงเป็นการลงทุนสร้างมนุษย์ได้อย่างยั่งยืนที่สุด

การสร้างมนุษย์ที่รักการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการอ่านจึงเปรียบได้กับการเตรียมเยาวชนคุณภาพ ที่ไม่เพียงแค่ “อ่านหนังสือ” เป็นเท่านั้น หากยังมีศักยภาพที่จะ “อ่านบ้านอ่านเมือง” และ “อ่านโลก” ได้ในอนาคตด้วย

เมื่อรู้จัก-รัก-แล้วจึงรักษา(เมือง)

ทั้งที่เป็นวันที่ค่าฝุ่นควันสูงเกินมาตรฐานและสถานการณ์โควิท 19 ระบาด แต่ผู้ร่วมงานทั้งผู้ปกครอง ครู และเด็กๆ ต่างกระตือรือร้นในการมาร่วมกิจกรรมตั้งแต่เช้าโดยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองเต็มที่ คนมายืนรอหน้างานจนต้องเปิดให้เด็กๆ เข้าฐานกิจกรรมตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดงาน กิจกรรมทุกฐานได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีคนเข้าร่วมเรียนรู้เยอะตั้งแต่เช้าจรดเย็น แนวคิดการออกแบบฐานการเรียนรู้ก็น่าสนใจมาก เป็นการเชื่อมโยงความรู้สู่การลงมือทำอย่างสอดประสานกลมกลืน โดยไม่ลืมเป้าหมายสำคัญที่ทำให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนรู้เรื่องเมืองเชียงใหม่ของตัวเอง

  • ฐานดอกไม้พื้นเมือง ชวนคนนำเศษขยะอย่างฝาแก้วกาแฟมาทำของแต่งบ้านจากดอกไม้แห้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดอกไม้ที่พบได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นการชี้ชวนให้ความงามของสิ่งรอบกายในชีวิตประจำวัน และสะกิดให้คนตระหนักถึงปัญหาขยะที่เป็นปัญหาใหญ่มากขึ้นทุกที
  • ฐานสนุกเรื่องสีสัน ชวนเด็กๆ มาทำสีจากธรรมชาติจากพืชผักใกล้ตัว เช่น สีเหลืองจากขมิ้น สีเขียวจากใบเตย สีม่วงจากผลผักปลัง
  • ฐานปลูกต้นไม้กันเถอะ ชวนทำกระถางและปลูกต้นไม้ลดฝุ่น ซึ่งฝุ่นควันเป็นมลพิษที่ก่อผลกระทบต่อสุขภาพเชียงใหม่มายาวนาน
  • ฐานเจอะนกในเมือง ชวนเด็กเรียนรู้เรื่องนกบนดอยสุเทพจากตัวอย่างนกที่สตาฟท์ไว้ และออกแบบระบายสีที่คาดหัวรูปนกต่างๆ เด็กๆ หลายคนสนุกกับการเปิดคู่มือดูนกเป็นครั้งแรกและพบว่าโลกของนกนั้นเป็นเรื่องสนุกที่น่าค้นหายิ่ง
  • ฐานเรื่องสัตว์บนดอย ชวนเด็กๆ มารู้จักสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบบนดอยสุเทพ ทั้งแมลงปอเข็มท้องยาวดอยสุเทพ ตุ๊กกายดอยสุเทพ ด้วยการตัดกระดาษแล้วสร้างลวดลายสีสันในแบบของตัวเอง การได้รู้จักสัตว์ที่นามสกุลดอยสุเทพ (Suthepensis) เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่กระตุ้นความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น อยากกลับไปเชื่อมโยงกับผืนป่าหลังบ้านที่คุ้นเคย (แต่ไม่เคยรู้จักอย่างแท้จริง) แก่พ่อแม่ครูและเด็กๆได้ดีเหลือเกิน
  • ฐานรูปลอยออกมา พาอ่านนิทานป็อปอัพที่น่าตื่นตาตื่นใจและชวนเด็กๆ ทำการ์ดป็อปอัพแบบง่ายๆ
  • ฐานจากแม่ข่าถึงแม่ปิง ชวนให้คนเข้าใจและมองเห็นความเชื่อมโยงจากน้ำบนดอยสุเทพสู่น้ำกินน้ำใช้ในชีวิตจริง ผ่านการจำลองเส้นทางน้ำจากบนดอยสู่คลองแม่ข่า แม่น้ำปิง (และไหลเรื่อยไปสู่เจ้าพระยาและอ่าวไทยในท้ายที่สุด) หลายคนชื่นชอบฐานนี้มาก เพราะโมเดลการจำลองเส้นทางน้ำนั้นถูกทำให้ง่าย ชัดเจน ทำให้คนรู้ว่าน้ำมาจากไหนและตระหนักว่าปัญหาคลองแม่ข่าเน่าเสียเป็นเรื่องของคนเชียงใหม่ทุกคน
  • ฐานสนุกจริงทำกิน ชวนทำไข่ป่าม อาหารพื้นถิ่นแสนง่ายดายและใช้ใบตองช่วยเพิ่มความหอมกรุ่นแถมลดขยะได้ด้วย
  • ฐานน้ำขมิ้นส้มป่อย ชวนเด็กเข้าใจประเพณีการรดน้ำดำหัวและหัดทำน้ำขมิ้นส้มป่อยอันเสมือนน้ำมงคลเพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ ฝักส้มป่อยใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ดอกสารภีมีกลิ่นหอม ดอกคำฝอยให้สีเหลืองสวย
  • ฐานเอนจอยบอร์ดเกม ชวนผู้ร่วมกิจกรรมเรียนรู้อย่างสนุกสนานกับบอร์ดเกมต่างๆ ทั้งเรื่องปลาน้ำจืด การลดน้ำตาลในชีวิตประจำวัน ปัญหาขยะ เป็นต้น  หน่วยงานการศึกษาหลายแห่งได้ค้นพบและเรียนรู้แล้วว่า บอร์ดเกมเป็นเครื่องมือเรียนรู้ที่ทำให้คนสนุกและเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเข้าใจเชิงลึกได้จริง

ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ชื่นชมงานกิจกรรมในมหกรรมนิทานสร้างเมืองอย่างมาก ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าเป็นกิจกรรมให้ความรู้ที่สนุกมากจนไม่รู้สึกเลยว่ากำลังได้รับการให้ข้อมูลสำคัญบางประการอยู่ บ้างถึงกับเรียกร้องให้มีการจัดงานเสมือนงานวันเด็กประจำเชียงใหม่ทุกปี เพราะสัมผัสได้ถึงพื้นที่เรียนรู้อิสระที่มีคุณค่าความหมายอย่างยิ่ง พ่อแม่หลายท่านได้แรงบันดาลใจเพื่อทำกิจกรรมกับลูก คุณครูหลายท่านเห็นการเชื่อมโยงนิทาน (ตัวอักษร) สู่การสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริง การเปิดตัวนิทานสร้างเมือง เรื่อง “มาช่วยเพื่อนเรากันนะ” ช่วยกระตุ้นเตือนเรื่องปัญหาขยะที่ทุกคนมีส่วนร่วมสร้าง และก่อเกิดผลกระทบในวงกว้างต่อสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ตั้งแต่บนบกจนถึงใต้ท้องทะเล นิทานที่สื่อสารปัญหาเรื่องขยะเล่มนี้ จึงมุ่งหวังให้เด็กๆ ได้รับรู้ข้อเท็จจริงและรู้สึกรู้สาไปกับสรรพชีวิตเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง

งานมหกรรมนิทานสร้างเมือง จัดขึ้น ณ ลานสนามหญ้าห้องสมุดฟื้นบ้านย่านเวียง ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำหรับฉันแล้วงานนี้เหมือนมีนัยสำคัญของการเกิดขึ้น ประการหนึ่งคือวันที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ สี่ปีจึงจะเวียนมาสักครั้ง ส่วนชื่อของสถานที่จัดงานนั้นชวนให้เรามีความหวังกับเด็กๆ ที่มาร่วมงานว่า พวกเขานี่ละที่จะเป็นอนาคต เป็นผู้ฟื้นบ้านฟื้นเวียงและดูแลบ้านเมืองเชียงใหม่นี้ให้คงอยู่สืบไป

หากเราเชื่อในพลังของนิทาน โปรดเป็นพ่อแม่ที่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เป็นครูที่อ่านหนังสือให้นักเรียนฟัง เป็นพี่ที่อ่านหนังสือให้น้องฟัง เรื่องราวความคิดทั้งหลายในตัวอักษรมีพลังวิเศษซุกซ่อนอยู่ รอบ่มกายภายในเพื่อนำพาเด็กๆ ของเราทั้งหลายไปสู่เป้าหมายที่งดงามของชีวิต ดังที่เราเชื่อหนักหนาว่าเมื่อเราสร้างเด็ก แล้วเด็กจะสร้างเมืองด้วยตัวเขาเองในท้ายที่สุด


นิทานสร้างเมือง เรื่อง “มาช่วยเพื่อนเรากันนะ” แต่งโดย ทัทยา อนุสสรราชกิจ วาดโดย ณัฐวุฒิ เกียรติไชยยากร
นิทานชุดอ่านดอยสุเทพ ประกอบด้วย “กราบดอยสุเทพ” แต่งโดย ระพีพรรณ พัฒนาเวช วาดโดย เฉลิมชาติ เจริญดียิ่ง “หนูน้อยไปดอยสุเทพ” แต่งโดย ทัทยา อนุสสรราชกิจ วาดโดย ถิง ชู “ป่าดอยบ้านของเรา” แต่งโดย วิรตี  ทะพิงค์แก วาดโดย จันทิมา กิติศรี ซึ่งขณะนี้นิทานป่าดอยบ้านของเราได้ผ่านเข้าชิงรางวัลลูกโลกสีเขียวในรอบแรกแล้ว รอการพิจารณาจากกรรมการในรอบต่อไป
ท่านที่สนใจนิทานชุดดังกล่าว สามารถสั่งซื้อได้ที่ facebook : เชียงใหม่อ่าน ในราคาเล่มละ 100 บาท (ทุกการซื้อหนึ่งเล่มจะสมทบให้ศูนย์เด็กเล็กหนึ่งเล่ม) รายได้จากการจัดจำหน่ายนำไปสมทบโครงการฮอมหื้อดอย

Tags:

ปฐมวัยพลเมืองนิทานอีเวนต์

Author & Photographer:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.4 ปลาฉลามฟันหลอ

    เรื่อง The Potential

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

COVID-19 คาดเด็ก 363 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียน
Social Issues
12 March 2020

COVID-19 คาดเด็ก 363 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียน

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ นัฐพล ไก่แก้ว

  • UNESCO ประเมินโรงเรียนกว่า 32 ประเทศประกาศหยุดเรียน คาดนักเรียนกว่า 363 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียน และได้ลิสต์รายการผลกระทบจากการหยุดเรียนเป็นข้อๆ เพื่อร่วมกันตั้งรับและเฝ้าระวัง
  • โภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ, การเข้าถึงการศึกษาถูกขัดขวาง, ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยี, ผู้ปกครองไม่ทันตั้งตัว, ผู้ปกครองมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น, จำนวนเด็กหลุดออกจากระบบอาจเพิ่มขึ้น, ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขทางอ้อม, ความกดดันต่อโรงเรียนและระบบโรงเรียนที่ยังเปิดทำการเรียนการสอนอยู่, การตัดขาดจากสังคม คือประเด็นที่ UNESCO กังวล
รูปปกโดย Macau Photo Agency on Unsplash

ดูเหมือนการแพร่ระบาดของ Coronavirus หรือ COVID-19 จะไม่สิ้นสุดง่ายๆ และแพร่ไปหลายพื้นที่ทั่วโลก วิกฤตนี้ไม่ไ่ด้ผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความหวาดกลัวของคนในสังคมทุกพื้นที่่ รวมถึงในพรมแดนการศึกษาอีกด้วย

UNESCO รายงานรัฐบาลจำนวน 16 ประเทศสั่งหยุดเรียน ได้แก่ อาเซอร์ไบจาน บาร์เรน จีน (รวมฮ่องกงและมาเก๊า) เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ จอร์เจีย อิรัก อิหร่าน อิตาลี ญี่ปุ่น คูเวต เลบานอน มองโกเลีย กาตาร์ ซาอุอิอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ข้อมูลวันที่ 10 มีนาคม 2020 เวลา 16.00)

ประเมินว่าจะมีนักเรียนถึง 363 ล้านคน ได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียนนี้ทันที

ไม่นับโรงเรียนอีก 16 ประเทศที่ผู้บริหารแต่ละแห่งออกมาตรการสั่งหยุดโรงเรียนเอง ได้แก่อัฟกานิสถาน ภูฏาน กัมพูชา ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ อินเดีย ปากิสจาน ปาเลสไตน์ ฟิลิปปินส์ โปรตุเกส สโลวาเกีย ยูเครน สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เหนือ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม

เท่ากับว่ามีทั้งหมด 32 ประเทศ ที่เด็กและเยาวชนกำลังได้รับผลกระทบจาก COVID-19

แต่หากคำนึงถึงหลักสุขภาพและความปลอดภัย การสั่งหยุดโรงเรียนก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?​

UNESCO (องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) ได้ประกาศผลกระทบต่อระบบการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่จำเป็นต้องพึ่งพาระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ ที่ย้ำว่าการปิดโรงเรียนเป็นเรื่องสำคัญต่อเราทุกคน ดังนี้

โภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ และ การเข้าถึงการศึกษาถูกขัดขวาง: สำหรับเด็กและเยาวชนบางคน โรงเรียนเป็นสถาบันเดียวที่จัดหาความรู้ให้ รวมทั้งการจัดสรรมื้ออาหารฟรีที่ถูกสุขลักษณะ มีโภชนาการที่ดีอีกด้วย การปิดโรงเรียน (บางพื้นที่อาจปิดแบบไร้กำหนด) เด็กจะขาดพื้นที่ในการเข้าถึงความรู้ และเด็กบางคนอาจต้องอดทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มผู้เรียนที่ยากจนและด้อยโอกาสทางการศึกษาในทันที

ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยี: เมื่อโรงเรียนปิดแต่นักเรียนยังต้องหาความรู้อยู่ บางโรงเรียนอาจร้องขอให้มีการเรียนผ่าน streaming video ที่บ้านแทน การเรียนแบบนี้สะดวกกว่าก็จริงอยู่ แต่ก็ส่งผลต่อนักเรียนบางครอบครัวที่ไม่มีอุปกรณ์ทันสมัย และไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เสถียร

ผู้ปกครองไม่ทันตั้งตัว: การประกาศหยุดเรียนทำให้ผู้ปกครองต้องเป็นคนจัดการเรียนรู้ให้ลูกเอง ซึ่ง ผู้ปกครองหลายคนไม่ทันตั้งตัวกับบทบาทนี้ ไม่รู้ว่าจะจัดการเรียนรู้ให้ลูกเองอย่างไร

ผู้ปกครองมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น: การหยุดเรียนส่งผลให้ผู้ปกครองที่ทำงานประจำต้องลางาน อาจทำให้ผู้ปกครองสูญเสียรายได้ได้ หรือในกรณีผู้ปกครองบางท่านที่ไม่สามารถลางานได้ และจำเป็นต้องให้บุตรหลานอยู่คนเดียว UNESO กังวลว่าอาจนำมาสู่พฤติกรรมเสี่ยงได้ เช่น การได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้าง หรือ การใช้สารเสพติด เป็นต้น

จำนวนเด็กหลุดออกจากระบบอาจเพิ่มขึ้น: มีข้อกังวลว่าการปิดเรียนนานๆ อาจทำให้เด็กไม่กลับมาเรียน หรือการออกจากการเรียนกลางคัน

ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขทางอ้อม: สัดส่วนเพศหญิงที่ทำงานอยู่ในระบบสาธารณสุขนั้นมีจำนวนมาก เมื่อพวกเธอไม่สามารถมาทำงานได้สืบเนื่องจากการที่ต้องดูแลบุตรหลานตามประกาศหยุดทำการเรียนการสอนของโรงเรียน นั่นหมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จำนวนมากไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่พวกเขาทำงานมากที่สุดในช่วงระยะเวลาแห่งวิกฤติสาธารณสุข

ความกดดันต่อโรงเรียนและระบบโรงเรียนที่ยังเปิดทำการเรียนการสอนอยู่: โรงเรียนที่ปิดการเรียนการสอนเองกลายเป็นภาระต่อโรงเรียนและส่งผลให้ผู้ปกครองหรือเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องส่งเด็กนักเรียนไปเรียนยังโรงเรียนที่เปิดทำการเรียนการสอนแทน

การตัดขาดจากสังคม: โรงเรียนถือเป็นศูนย์กลางในการทำกิจกรรมของสังคมหรือสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เมื่อโรงเรียนปิด เด็กๆ อาจไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมซึ่งถือเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้และพัฒนาการ

หากการปิดเรียนยังคงยืดเยื้ออยู่ อาจเป็นไปได้ว่า ในไม่ช้าหรือเร็ว ทั้งระบบการศึกษาและสังคมอาจต้องได้รับผลกระทบข้างต้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ดี สำหรับแนวทางแก้ไขนั้น UNESO แนะนำว่า การเรียนทางไกลหรือการเรียนออนไลน์ถือว่าตอบโจทย์ที่สุดในตอนนี้ พร้อมยังได้เสนอแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ

สำหรับบุคลากรที่จัดหาความรู้ให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อช่วยให้ทั้งครูและนักเรียนสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างไม่ขาดตอนและร่วมกันดูแลสังคมไปพร้อมๆ กัน เข้าไปดูลิสต์คอร์สออนไลน์ได้ที่นี่

อ้างอิง
COVID-19 Educational Disruption and Response

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ระบบการศึกษาDisruptionschool closure

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Illustrator:

illustrator

นัฐพล ไก่แก้ว

Related Posts

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel