Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: February 2020

อิสราเอลพัฒนาประเทศผ่านการสร้างคน พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความเป็นมนุษย์และเป็นลมใต้ปีกให้ลูก
Early childhoodEducation trend
7 February 2020

อิสราเอลพัฒนาประเทศผ่านการสร้างคน พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความเป็นมนุษย์และเป็นลมใต้ปีกให้ลูก

เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ประเทศอิสราเอล ประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ 8.7 ล้านคน พวกเขาผ่านสงคราม เหตุการณ์ความรุนแรง จนสามารถกลับมาฟื้นตัวและใช้เวลาสร้างประเทศ 70 กว่าปี ก็สามารถขึ้นมาอยู่แถวหน้าของโลกได้ เคล็บลับความสำเร็จของพวกเขาอยู่ที่การพัฒนาคน กำลังในการสร้างประเทศ
  • วงเสวนา ไขความลับ “การศึกษา” อิสราเอล จะพาทุกท่านไปฟังเคล็ดลับวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ชาวยิวให้กลายเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ โดยพวกเขามีความเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาแล้วทำเป็นทุกอย่าง แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้
  • การเลี้ยงดูของพ่อแม่ยิวเน้นความต้องการของลูกเป็นหลัก พร้อมกับเป็นลมใต้ปีกสนับสนุนให้ลูกทำในสิ่งที่พวกเขารัก

ประเทศอิสราเอลได้รับเอกราชเมื่อปี 1948 พวกเขาใช้เวลากว่า 70 ปีในการสร้างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวพวกเขาต้องเจอกับเหตุการณ์ความขัดแย้งมากมายไม่ว่าจะเป็นสงครามภายในประเทศ สงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันอิสราเอลกลายเป็นประเทศที่ยืนอยู่แถวหน้าของโลก* มีบทบาทเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การศึกษา ฯลฯ ซึ่งเคล็บลับความสำเร็จในการสร้างประเทศมาจากคนยิว ประชากรหลักของประเทศ

The Potential จะพาผู้อ่านมาไขความลับการเลี้ยงลูกฉบับพ่อแม่ยิวผ่านวงเสวนา ไขความลับ “การศึกษา” ของอิสราเอล: Secret of Israel Education จัดโดย Hackerhouse ณ สามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา วงเสวนานี้จะพาทุกท่านไปรู้วิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ยิวที่มีความเชื่อว่า คนทุกคนเกิดมาพร้อมกับความชอบในบางสิ่ง เขาต้องใช้เวลาในการค้นหามัน พ่อแม่เป็นหน่วยสนับสนุนที่สำคัญ ผ่านวิธีง่ายๆ คือสังเกตและสนับสนุน

ผู้ที่จะมาช่วยไขความลับในวงเสวนาครั้งนี้ ได้แก่

  • ผศ.ดร.วรวรรณ เหมชะญาติ รองประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คุณอิสรียาห์ ประดับเวทย์ นักการศึกษาปฐมวัย สาขาหลักสูตรและการสอน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คุณกฤษณ์ แสงวิเชียร เจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพ ผู้มีประสบการณ์ทำงานกับคนอิสราเอล องค์กรในประเทศอิสราเอลมากว่า 7 ปี

ไม่สร้างมนุษย์ให้เป็นแบบที่ต้องการ แต่สร้างสิ่งแวดล้อมให้เขาเติบโต

คุณอิสรียาห์เริ่มด้วยการเล่าถึงเหตุผลที่เธอสนใจคนยิว เพราะเธอเคยสอนที่โรงเรียนในอเมริกา แล้วเห็นว่านักเรียนที่เป็นคนยิวส่วนใหญ่เก่งและมีลักษณะเฉพาะตัว จึงอยากศึกษารากเหง้าของพวกเขา ซึ่งจากการเข้าไปศึกษาประวัติคนยิว คลุกคลีกับพวกเขา ทำให้คุณอิสรียาห์เข้าใจคนยิวมากขึ้น เธอเล่าว่า คนยิวมีหลักคิดที่ไม่ทำอะไรซับซ้อน ใช้วิธีการง่ายๆ เพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ว่าเราไม่สามารถทำสิ่งที่ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เราต่างต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และพัฒนา เธอยกตัวอย่างการเรียนภาษาของคนอิสราเอลในช่วงที่กลับมาสร้างประเทศว่า พวกเขาต่างกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ภาษาที่ใช้ก็แตกต่างกัน ไม่มีใครพูดภาษาฮิบรูได้เลย สิ่งที่พวกเขาทำ คือ ใช้วิธีการสอนแบบ Whole Language หรือ ภาษาธรรมชาติ พวกเขาจะไม่ฝึกเด็กด้วยการบังคับหรือท่องจำ แต่พยายามให้เด็กเข้าใจภาษาในรูปแบบภาพรวมก่อนไปสู่ส่วนย่อย ทำให้เด็กๆ พูดภาษาฮิบรูได้

คุณอิสรียาห์ ประดับเวทย์ และคุณกฤษณ์ แสงวิเชียร

ขณะที่ดร.วรวรรณอธิบายต่อว่า เป้าหมายของการเรียนภาษาธรรมชาติเพื่อให้เด็กรู้สึกสนุกกับการเรียน ใช้ภาษาอย่างมีความหมายไม่ใช่ทำแต่แบบฝึกหัด สิ่งที่มีความหมายต่อเด็ก คือ สิ่งที่เขาได้ไปเจอ เป็นประสบการณ์ เช่น ลูกไปเที่ยวกลับมาเล่าให้พ่อแม่ฟัง ลูกได้ใช้ทักษะการสื่อสารก็คือการพัฒนาภาษา การเรียนภาษาแบบธรรมชาติจะไม่ได้แยกการเรียนเป็นส่วนๆ อย่างที่บ้านเราทำ เช่น เรียน Grammar เรียน Reading แต่จะเรียนไปพร้อมๆ กัน

“ส่วนหนึ่งเราต้องยอมรับนะว่าแนวคิดมันขัดกับสังคมไทยเรา ดังนั้น ภาษาธรรมชาติไปอยู่แต่ละประเทศไม่ได้แปลว่าเวิร์ค ในไทยเราไม่ได้ถูกฝึกให้ ‘เขียนอะไรสักอย่างออกมา แล้วคนชื่นชม’ บ้านเราดูว่าเขียนสวยไม่สวย ซึ่งมันไม่เกี่ยว ควรดูวิธีคิดว่าเป็นยังไง” ดร.วรวรรณกล่าว

พ่อแม่ชาวยิวใช้การอ่านเป็นตัวช่วยในการฝึกภาษาลูก ดร.วรวรรณบอกว่าการฝึกให้ลูกอ่านหนังสือจะช่วยให้เด็กมีจินตนาการ มีคลังคำศัพท์ แต่ที่เด็กบางคนไม่ชอบอ่านหนังสืออาจอยู่ที่เวลาเลือกหนังสือ พ่อแม่จะเลือกเรื่องที่ตัวเองชอบ การสอนลูกต้องให้ลูกเป็นคนตัดสินใจ ให้เขาพึงพอใจ อาจจะเป็นการพบกันครึ่งทาง พ่อแม่เลือกเล่มหนึ่ง ลูกเลือกเล่มหนึ่ง

พ่อแม่อาจเริ่มด้วยการอ่านนิทาน เพราะมันมีทั้งภาพ สัญลักษณ์ การรู้หนังสือของเด็กเกิดจากการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมประจำวัน ทำกิจกรรมที่พูดฟังอ่านเขียนเข้าไว้ เช่น การซื้อของ บอกว่ามีอะไรบ้าง อ่านทุกอย่างให้ลูกฟัง สร้างความหมายว่าตัวหนังสือแบบนี้คืออะไร ทำให้เป็นปกติ ไม่ใช่แค่บางวัน เด็กจะชินและทำเป็นอัตโนมัติ

ผศ.ดร.วรวรรณ เหมชะญาติ

คุณอิสรียาห์เสริมว่า คนยิวจะมีหนังสือวางไว้เต็มบ้านเลย โดยเฉพาะเล่มที่พวกเขาอยากให้ลูกอ่านจะวางให้ลูกเห็น แต่ถ้าลูกมาขออ่านพวกเขาจะตอบไปว่า ‘ลูกยังไม่พร้อมสำหรับสิ่งนี้’ เพื่อเป็นการท้าทายลูก ทำให้เขาอยากอ่าน

เป็นลมใต้ปีก สนับสนุนให้ลูกเจอสิ่งที่ชอบ

“คนยิวจะมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกๆ คนเกิดมาด้วยความชอบ หรือความรักในอะไรบางอย่าง จนกระทั่งให้เวลาและความสำคัญกับมันสุดๆ แต่จะทำไม่ได้เลยถ้าขาดลมใต้ปีกจากพ่อแม่”

คุณอิสรียาห์เล่านิสัยของคนยิวที่เป็นฐานสำคัญในการเลี้ยงลูก พร้อมกับยกตัวอย่างเรื่องของสตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นชาวอเมริกัน-ยิว ตอนเด็กๆ สปีลเบิร์กบอกแม่ว่าอยากถ่ายหนัง เธอถามว่าถ้าลูกเดินมาบอกพ่อแม่แบบนี้จะตอบลูกว่าอะไรกัน ใช่หรือไม่ว่าเราอาจตอบว่า ‘กลับไปอ่านหนังสือก่อน’ หรือ ‘การบ้านเสร็จหรือยัง’ แต่แม่ของสปีลเบิร์กถามลูกว่าอยากถ่ายเรื่องอะไร สปีลเบิร์กตอบว่า ‘เรื่องที่มีเลือดสาดเยอะๆ’ แม่เขาตอบว่า ‘ได้เลยลูก เอาบทมาให้แม่ดู’ แล้วพ่อของเขาขับรถตระเวนหาโลเคชัน ส่วนแม่ทำเลือดไว้ให้ แล้วช่วยกันถ่ายทำพ่อแม่ลูก โดยมีสปีลเบิร์กกำกับ พ่อแม่เป็นผู้ช่วย เขาบอกว่าถ้าไม่มีพ่อแม่ทำสิ่งนี้ เขาจะไม่มีวันทำหนัง

คุณอิสรียาห์กล่าวเสริมว่า พ่อแม่ชาวยิวจะคอยเป็นลมใต้ปีกให้ลูก สนับสนุนให้ลูกค้นพบสิ่งที่พวกเขาชอบ ผ่านการตั้งคำถาม สังเกต ไม่ปิดกั้นความต้องการของลูก พาลูกออกไปหาประสบการณ์

เลี้ยงลูกให้เป็น Geek คือ สิ่งที่คุณกฤษณ์ขยายเพิ่มต่อจากคุณอิสรียาห์ Geek คือ คนที่หมกมุ่นกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น ดอกไม้ ของเล่น คุณกฤษณ์ขยายเพิ่มว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตัวเองสนใจอยู่แล้ว เพียงแต่จะสามารถลงลึกไปกับความสนใจนั้นและต่อยอดมันไปได้แค่ไหน

คุณกฤษณ์อธิบายว่า ถ้าเข้าใจว่าธรรมชาติของคนนั้นไม่สามารถสร้างหรือกำหนดให้เขาเป็นแบบนั้นแบบนี้ได้ แต่สร้างสภาพแวดล้อมให้คนเติบโตและชอบได้ คนไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ถ้าเสียก็ซ่อมไม่ได้ สิ่งที่พ่อแม่หรือครูทำได้ คือ สร้างสิ่งแวดล้อมให้ลูกอยู่ ทำให้เขาครีเอทหรือพัฒนาตัวเองได้ ช่วยลูกค้นหาความชอบของเขา พัฒนาไปเป็น Geek

คุณกฤษณ์บอกว่า เนื่องจากพ่อแม่ต่างก็ติดอยู่กับกรอบประสบการณ์เดิม คือ กลัวความผิดพลาด กลัวว่าทำไปแล้วจะผิด ต้องลองทำความเข้าใจใหม่ว่าถูกผิดในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง มันมาจากการตัดสินล้วนๆ ถูกผิดของแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ควรโฟกัส คือ ทำออกมาแล้วมันดีไหม มันเวิร์คหรือไม่

“ชีวิตมันง่ายกว่านั้นเยอะ มัน simple ทุกเรื่องในชีวิตเราคือการเรียนรู้ทั้งหมด” คุณกฤษณ์กล่าว

คุณอิสรียาห์ยกคำๆ หนึ่งมาเสริม คือคำว่า Bitachon เป็นภาษาฮิบรูที่คนยิวใช้ มีความหมายว่า Sense of security คือ ความรู้สึกที่เด็กจะได้รับเมื่อเขารู้สึกว่า ‘ฉันได้รับการยอมรับจากพ่อแม่’ พ่อแม่ที่ให้กำเนิด มีความสำคัญเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา หากพ่อแม่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น ถึงแม้ว่าสังคมจะตั้งคำถามอย่างไร แต่พ่อแม่เชื่อใจพวกเขาๆ จะไม่รู้สึกขาดหรือต้องไปเติมเต็มอะไร

“แม่ของไอน์สไตน์ได้รับจดหมายจากครูที่โรงเรียน บอกว่าลูกของเธอเป็นคนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนไม่อยากให้เขาอยู่ ช่วยเอาเขาไปสั่งสอนเอง แต่แม่บอกกับไอน์สไตน์ว่าครูเขียนว่าลูกฉลาดเกินไป โรงเรียนไม่สามารถสอนได้ พร้อมกับบอกไอน์สไตน์อีกว่าลูกจะต้องโตไปเป็นคนที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ แล้วเธอก็สอนลูกเอง ถามว่าถ้าวันนั้นแม่ของไอน์สไตน์เชื่ออย่างที่ครูบอก คงไม่มีไอน์สไตน์ที่คิดค้นสิ่งต่างๆ มากมาย” คุณอิสรียาห์กล่าว

เลี้ยงให้ลูกเป็นนักสร้างสรรค์และคิดวิเคราะห์ให้เป็น ในยุคศตวรรษที่ 21

หนึ่งในเรื่องที่กำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก คือ การเตรียมลูกให้พร้อมรับมือกับศตวรรษที่ 21 หลังจากที่ฟังวงเสวนาจะเห็นได้ว่าพ่อแม่ยิวเลี้ยงลูกให้คิดวิเคราะห์เป็นและมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งตรงกับทักษะที่กำลังเป็นที่ต้องการในอนาคตอย่าง Critical Thinking และ Creativity คำถามต่อมาคือพ่อแม่จะช่วยให้ลูกมีทักษะเหล่านี้ได้อย่างไร

คุณอิสรียาห์ยกเอาวิธีที่พ่อแม่ยิวใช้ ถ้าอยากให้ลูกคิดวิเคราะห์เป็น ก็ต้องตั้งคำถามลูกบ่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของคนยิวที่ชอบตั้งคำถามกับทุกสิ่ง อาจจะเริ่มถามจากสิ่งที่ลูกทำ เช่น ถามว่าลูกรู้สึกอย่างไรกับหนังสือที่อ่าน ชอบส่วนไหนของเรื่อง เป็นต้น ซึ่งการที่พ่อแม่ตั้งคำถามบ่อยๆ จะทำให้เด็กคุ้นชิน

ส่วนทักษะการคิดสร้างสรรค์ อาจจะเป็นทักษะที่ยากสักหน่อยถ้าพ่อแม่เองก็ไม่มีสิ่งนี้ แต่คุณกฤษณ์บอกว่าแม้พ่อแม่จะไม่มีแต่สามารถทำให้ลูกมีได้ ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อม หรือให้ลูกไปอยู่ในที่ๆ พวกเขาได้ลองทำบางสิ่งบางอย่าง ฝึกความคิดสร้างสรรค์ เช่น ชมรมในโรงเรียน

คุณอิสรียาห์กล่าวเสริมว่า คนยิวมองว่าการศึกษา คือ การสอนได้ทุกรูปแบบ ไม่จำเป็นว่าจะต้องจำกัดอยู่แต่ภายในโรงเรียน มาจากการเป็นโรลโมเดลของพ่อแม่ก็ได้ โรลโมเดลจากสังคม การศึกษาก็คือการจัดสภาพแวดล้อมให้กับผู้เรียน

ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ยิว หรือพ่อแม่ไทย คอนเซปต์ที่ยังคงสำคัญในการเลี้ยงลูก คือ การยอมรับในตัวตนของลูก พ่อแม่ไม่ต้องไปหาวิธีหรือเทคนิคอะไรที่มากมาย แค่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ เพราะพวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นลูก หรือเป็นพ่อแม่ เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้นที่ทำผิดพลาดได้ และสามารถแก้ไขความผิดพลาดนั้น เอามาเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาชีวิตต่อไป


*ประเทศอิสราเอลติดอันดับที่ 25 ประเทศที่จัดการศึกษาดีที่สุดในโลกประจำปี 2020 (2020 Best Countries for Education) จัดทำโดย ฺBAV Group และ The Wharton School of University of Pennsylvania โดยเกณฑ์การพิจารณามาจากโรงเรียนหรือสถานที่ของรัฐมีคุณภาพหรือไม่, ผู้คนเลือกที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมากน้อยเพียงไร และประเทศนั้นจัดการศึกษาที่มีคุณภาพหรือไม่
และติดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกในมุมภาพรวม อยู่อันดับที่ 28

Tags:

Growth mindsetงานเสวนาวินัยเชิงบวกการศึกษาแบบคนยิว

Author & Photographer:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • 21st Century skillsSocial Issues
    การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

  • Family Psychology
    3 เทคนิคชวนพ่อแม่ตั้งหลัก จัดการอารมณ์ขั้วลบก่อนปรี๊ดแตกใส่ลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้
Learning Theory
7 February 2020

RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • การที่นักเรียนรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่ รับฟัง ความเห็นอกเห็นใจจากครู นักเรียนจะรู้สึกอบอุ่นและมีกำลังใจที่จะเรียน
  • บันทึกที่ 1 ของชุดความคิดว่าด้วยความสัมพันธ์กับศิษย์ (relational mindset) จะพูดถึงวิธีการแสดงออกถึงความใส่ใจของครูที่มีต่อนักเรียน เช่น การจำชื่อ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์
  • ปฏิสัมพันธ์ที่ดีในชั้นเรียนช่วยยกระดับการเรียนรู้ ทั้งระหว่างนักเรียนกับครู และระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ครูต้องมีวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวก เพื่อสร้างความคุ้นเคย ความเคารพนับถือ และความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน

บทความนี้มาจากหนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ซึ่งได้รับความกรุณาจากผู้เขียนทั้งสองท่านให้นำมาเผยแพร่ ซึ่งเป็นบทความที่ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) โดยผู้เขียนตีความให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งเรื่องเล่าจากห้องเรียนในประเทศไทยที่นำสาระของบทความนี้ไปใช้

บันทึกนี้เป็นบันทึกแรกใน 3 บันทึก ภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยความสัมพันธ์กับศิษย์ (relational mindset) ตีความจากบทนำของ Part One: Why Relational Mindset? และ Chapter 1: Personalize the Learning เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู

ในสภาพที่นักเรียนรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่ รับฟัง เห็นอกเห็นใจจากครู นักเรียนจะรู้สึกอบอุ่นและมีกำลังใจที่จะเรียน ยิ่งกว่านั้นในหลักการของ relational mindset ครูมีความเชื่อว่า ชีวิตของคนเรามีความเชื่อมโยงถึงกัน ครูจะมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นปฐม ส่วนความสัมพันธ์ในฐานะครูกับศิษย์เป็นที่สอง

สรุปอย่างสั้นที่สุดของบันทึกนี้ คือ ครูต้องเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของศิษย์ในทุกด้านทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เอาใจใส่ศิษย์เป็นรายคน แสดงความรักความเอาใจใส่ให้ศิษย์รู้สึก

ข้อมูลหลักฐานที่บอกว่าปฏิสัมพันธ์ที่ดี ช่วยการเรียนรู้ของศิษย์

หนังสือเล่มนี้ทบทวนผลงานวิจัยจากหลายแหล่งและสรุปว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยสามารถมีปฏิสัมพันธ์ห่างออกไปจากตัวได้ถึง 6 ชั้น นักเรียนมีความต้องการใกล้ชิดสนิทสนมกับครูเพื่อให้ช่วยตีความประสบการณ์ส่วนตัวของนักเรียนเข้ากับบทเรียน และเพื่อนำมาอภิปรายแลกเปลี่ยน รวมทั้งร่วมกิจกรรมการทำงานเป็นทีม

ความสัมพันธ์ที่ดีกับครูจะช่วยการเรียนรู้ของนักเรียน ผลงานวิจัยชี้ชัดว่า นักเรียนจากครอบครัวยากจนขาดแคลนหรือไม่มั่นคง ต้องการความสัมพันธ์นี้มากกว่านักเรียนจากครอบครัวที่ฐานะและสภาพสังคมดี โดยที่ effect size* ของปฏิสัมพันธ์ที่ดีของครูต่อนักเรียน ที่มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เท่ากับ 0.72 สำหรับนักเรียนทั้งหมด ตัวเลขนี้ของนักเรียนชั้นมัธยมสูงถึง 0.87 และมีหลักฐานจากงานวิจัยว่า เมื่อครูสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีอย่างได้ผล นักเรียนจากครอบครัวรายได้ตํ่า มีผลการเรียนรู้เท่าเทียมกันกับนักเรียนกลุ่มรายได้สูง

ผลงานวิจัยบอกว่าปฏิสัมพันธ์ที่ดีในชั้นเรียน ช่วยเพิ่มความเอาใจใส่การเรียนของนักเรียนจากหลายกลไก ได้แก่

  1. ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างศิษย์กับครู
  2. ปฏิสัมพันธ์เชิงบวกนี้ช่วยให้นักเรียนรู้สึกปลอดภัยในชั้นเรียน ซึ่งจะเพิ่มการแสดงบทบาทในชั้นเรียน
  3. ช่วยให้นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้น ผ่านปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ และครู

ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าระดับปฏิสัมพันธ์เชิงบวกหรือลบในชั้นเรียนนี้ใช้ทำนายได้ว่านักเรียนแต่ละคนมีโอกาสสูงตํ่าแค่ไหนในการออกจากการเรียนกลางคัน มีความแม่นยำพอๆ กันกับระดับไอคิว และพอๆ กันกับระดับผลการเรียน

จำชื่อศิษย์และเรียกชื่อ

ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนเริ่มจากการรู้จักชื่อ ครูต้องจำชื่อศิษย์และรู้จักศิษย์เป็นรายคน เมื่อครูเรียกชื่อศิษย์ต้องยิ้มให้และมองตา วิธีช่วยให้จำหน้าและชื่อศิษย์ได้มีหลากหลายวิธี เช่น

  • แนะนำตัว ในช่วงต้นของปีการศึกษา ให้นักเรียนแนะนำชื่อของตนเองทุกครั้งที่พูด หากมีนักเรียนในชั้น 30 คน การแนะนำตัวนี้ทำใน 30 วันแรกของชั้นเรียน หากมีนักเรียน 20 คน ก็ให้แนะนำตัวใน 20 วันแรก
  • ป้ายชื่อประจำโต๊ะ ให้นักเรียนทำป้ายชื่อตนเองวางบนโต๊ะ โดยทำจากกระดาษดัชนี (index card) พับสองตามยาว มีกล่องใส่ป้ายชื่อให้นักเรียนไปหยิบมาตั้งที่โต๊ะทุกเช้า และเก็บในตอนเย็น หลัง 2 สัปดาห์ครูซ้อมเอาป้ายชื่อไปวางที่โต๊ะนักเรียนเอง
  • ทดสอบตนเอง เมื่อนักเรียนเข้ามาในห้อง ขานชื่อนักเรียน บอกนักเรียนว่า นักเรียนแต่ละคนจะเข้าห้องได้เมื่อครูขานชื่ออย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น การขานชื่อต้องทำพร้อมกับยิ้มและสบตา ‘สมชาย ครูดีใจที่พบเธอวันนี้’
  • ขานชื่อเมื่อคืนกระดาษคำตอบ ‘สมศรี หนูเขียนตัวสะกดการันต์ถูกทั้งหมด’
  • สัมภาษณ์ จับคู่นักเรียน ให้ใช้เวลา 2-3 นาที สัมภาษณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่คาดคิด แล้วให้แนะนำเพื่อนต่อชั้นเรียน โดยใช้เวลาแนะนำคู่ละ 1 นาที

ปฏิสัมพันธ์ที่ดีในชั้นเรียนช่วยยกระดับการเรียนรู้ ปฏิสัมพันธ์นี้มีทั้งระหว่างนักเรียนกับครู และระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ครูต้องมีวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวก เพื่อสร้างความคุ้นเคย ความเคารพนับถือ และความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน แนะนำให้นักเรียนเรียกชื่อเพื่อน แนะนำต่อนักเรียนว่า เมื่อมีกิจกรรมจับคู่ในชั้นเรียน ให้แนะนำชื่อตนเองโดยสบตาเพื่อน แล้วกล่าวคำทักทาย และจับมือ

สร้าง “กระเป๋าตัวฉัน”

นี่คือเครื่องมือให้นักเรียนรู้จักครู ในหลากหลายแง่มุมของชีวิต และนำไปสะท้อนคิดเชื่อมโยงกับชีวิตของตนเอง ทำโดยครูหาสิ่งของพื้นๆ เช่น กากตั๋ว ภาพถ่าย ใบเสร็จ กุญแจ บันทึก และอื่นๆ ที่บอกเรื่องราวของตัวครู ใส่ในถุงผ้าหรือถุงกระดาษ เอามาใช้เวลา 7-10 นาที เล่าเรื่องของตนเอง

เมื่อนักเรียนที่มีชีวิตยากลำบากได้ฟังประสบการณ์ความยากลำบากของคนอื่น ก็จะใจชื้นว่าตนไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญความยากลำบาก การแชร์เรื่องราวชีวิตส่วนตัวช่วยทะลายกำแพงกั้นระหว่างบุคคล สิ่งที่ครูแชร์ต้องเป็นเรื่องจริง นักเรียนต้องการครูที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ

แลกเปลี่ยนปัญหาประจำวัน

นี่คือกระบวนการไปสู่การทำหน้าที่แบบอย่าง (role model) ให้แก่นักเรียน เด็กๆ ต้องการคนที่ตนนับถือและเชื่อถือ นำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

ครูควรแชร์ประสบการณ์ชีวิตของตนสั้นๆ ราวๆ 3 นาที สัปดาห์ละครั้ง ตามด้วยการให้นักเรียนสะท้อนคิดว่ามันสะท้อนภาพชีวิตของผู้ใหญ่อย่างไร หากเป็นตัวนักเรียนเองจะเผชิญสภาพเช่นนั้นอย่างไร หากเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงสู่บทเรียนของชั้นเรียนได้ยิ่งดี

กิจกรรมนี้จะนำไปสู่การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ 3 ประการ สำหรับนักเรียน หนึ่ง – ชีวิตของคนเราย่อมต้องมีปัญหา เล็กบ้างใหญ่บ้าง สอง – ไม่ว่าปัญหาใหญ่แต่ไหน ย่อมแก้ไขได้เสมอขึ้นอยู่กับวิธีการแก้ปัญหา สาม – ในกระบวนการเล่าวิธีแก้ปัญหาของครู ครูได้แชร์ค่านิยม เจตคติ และวิธีการบรรลุความสำเร็จ

แลกเปลี่ยนเป้าหมายและความก้าวหน้า

การแลกเปลี่ยนเป้าหมายชีวิต เป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างครูกับศิษย์ ครูจำนวนมากพยายามแยกความสัมพันธ์กับศิษย์ ในฐานะครู-ศิษย์ ออกจากความสัมพันธ์แบบมนุษย์-มนุษย์ แต่นักเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนจากครอบครัวที่ขาดแคลนชอบเรื่องราวของเป้าหมาย การที่ครูแชร์เป้าหมายชีวิตของตนจึงเป็นวิธีการที่ทรงพลังมากในการพัฒนาชุดความคิดเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน (relational mindset) ทั้งของครูและของศิษย์

แนะนำให้ครูเขียนเป้าหมายชีวิตส่วนตัวของตนและติดประกาศไว้ในชั้นเรียนโดยที่นักเรียนทุกคนก็ทำเช่นเดียวกัน ครูแชร์ความก้าวหน้าสู่เป้าหมายนั้นอย่างสมํ่าเสมอทั้งปี หรือทั้งเทอม และในขณะเดียวกันครูก็ติดประกาศเป้าหมายของชั้นเรียนด้วย

ตัวอย่างของเป้าหมาย ได้แก่

  • เข้าร่วมโครงการของชุมชน
  • เริ่มกินอาหารถูกสุขลักษณะ และออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
  • ดำเนินการให้ครบตามรายการพัฒนาการสอน
  • วิ่งออกกำลังให้ได้ ๕ กิโลเมตร
  • ให้คำแนะนำ (mentoring)
  • ทำสวน
  • ฝึกเล่นกีฬา
  • ช่วยเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของโรงเรียน

เมื่อเวลาผ่านไป ครูแชร์เรื่องราวความสำเร็จตามเป้าหมายรายทาง เฉลิมฉลองความสำเร็จและแชร์วิธีดำเนินการสู่ความสำเร็จนั้น เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักว่า ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมมีปัญหาหรืออุปสรรคเสมอ คนเราต้องมุ่งมั่นเผชิญปัญหาและหาทางเอาชนะเพื่อบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กิจกรรมนี้จะเป็นตัวอย่างให้นักเรียนเห็นว่า ครูก็กำลังเรียนรู้และเติบโตเช่นเดียวกันกับนักเรียน

อ่านบทความตอนที่ 2 ได้ที่นี่

*ขนาดของผล (effect size) หมายถึง ขนาดของผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรต้นต่อตัวแปรตาม ที่ได้มาจากการศึกษาเชิงเปรียบเทียบ หรือเชิงความสัมพันธ์ ใช้ศึกษาเปรียบเทียบผลของการสอนรูปแบบใหม่ หรือวิธีการใหม่ หรือตามแนวคิดใหม่ว่าได้ผลดีกว่าวิธีการเดิม หรือแนวคิดเดิมหรือไม่ โดยการทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบโดยใช้ Cohen’s standard พบว่าค่าที่ให้ผลมาก คือ มากกว่า 0.5 ขึ้นไป (สุพัฒน์ สุกมลสันต์. (2553). ขนาดของผล: ความมีนัยสำคัญทางปฏิบัติในการวิจัย. ภาษาปริทัศน์ สถาบันภาษา
อ้างอิง:
หนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน จัดพิมพ์โดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนจิตตปัญญาเพื่อครูเพลินพัฒนา

Tags:

เทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนRelational mindsetความเหลื่อมล้ำศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    สร้างบรรยากาศแห่งความหวังในห้องเรียน ให้นักเรียนกล้าตั้งเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง เชื่อมั่นว่าตนเรียนสำเร็จได้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าสู่อาชีพที่ชอบ ใช่ และเหมาะกับตัวเอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

สู้วิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ด้วยการทำเครื่องฟอกอากาศ DIY
Social Issues
5 February 2020

สู้วิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ด้วยการทำเครื่องฟอกอากาศ DIY

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง การรอคอยการออกมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโดยรัฐดูเหมือนจะยังไม่มีความหวัง กระทั่งเริ่มเห็นการแก้ปัญหาหรือดูแลตัวเองโดยประชาชนที่เป็นปัจเจกตามกำลังที่แต่ละคนจะดูแลตัวเองได้ ตั้งแต่หน้ากากอนามัย จนกระทั่งเครื่องฟอกอากาศ หรือการปรับพฤติกรรมที่จะไม่ก่อให้เกิดฝุ่นควัน
  • เบิร์ด-นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ เป็นหนึ่งคนที่ไม่จำนนต่อสถานการณ์ ค้นคว้าและทำเครื่องฟอกอากาศใช้เอง แทนการซื้อเครื่องฟอกอากาศราคาสูง พร้อมกับส่งต่อความรู้นี้ให้กับคนอื่นๆ ได้ดูแลตัวเอง มีเครื่องฟอกอากาศในราคาต้นทุนที่เข้าถึงได้
  • ไม่เพียงการทำเครื่องฟอกอากาศ พี่เบิร์ดยังแลกเปลี่ยนกับเราถึงการใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นเรื่องปกติเหมือนการแปรงฟัน

เรียกได้ว่าเริ่มต้นปีพวกเราก็ประสบกับปัญหาสุขภาพอย่างหนักหน่วงไม่ว่าจะเป็นปัญหาเจ้าเก่าอย่างฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ที่ยังคงกลับมาหาพวกเรา หรือจะเป็นไวรัสโคโรน่าที่สถานการณ์ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 9,480 ราย (ข้อมูลจากสำนักข่าวไทยรัฐ ณ วันที 31 มกราคม 2563) ประเด็นเร่งด่วนสำหรับหลายๆ คน ท่ามกลางข้อถกเถียงหลายอย่างโดยเฉพาะความคุ้มครองเชิงระบบจากรัฐที่ขยับช้า สิ่งที่ทำได้ในวันนี้คงหนีไม่พ้นการดูแลสุขภาพของตัวเองให้รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า

ข้อเท็จจริงของเครื่องฟอกอากาศคือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เราได้สูดอากาศที่มีคุณภาพ ปัจจุบัน(เคย)หาซื้อได้ง่าย หลากหลาย และราคาไม่สูงมาก แต่เมื่อปีที่แล้วราคาของมันพุ่งสูงปรี๊ดพอๆ กับจำนวนฝุ่นในอากาศ เพราะอารมณ์หมั่นไส้ที่ต้องเจอกับการโก่งราคาเป็นเหตุผลให้ นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า พี่เบิร์ด นักแสดงอิสระและวิทยากรจัดอบรมวิธีการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ลุกขึ้นมาทำเครื่องฟอกอากาศเอง พร้อมกับเผยแพร่ความรู้ไปให้กับคนอื่นๆ

The Potential ขอร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่ความรู้นี้ และปรารถนาดีให้ทุกคนดูแลสุขภาพกันอย่างเต็มกำลังนะคะ

เวลาบ่ายสามโมงครึ่ง ณ ห้องเรียนโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดห้อง workshop สถานที่นัดพบของคนที่อยากเรียนทำเครื่องฟอกอากาศและถังเพาะปุ๋ย ซึ่งวิทยากรที่จะมาสอนในครั้งนี้ คือ พี่เบิร์ด ก่อนจะเริ่มการสอน พี่เบิร์ดเล่าเหตุผลที่ตัวเองชอบทำเครื่องฟอกอากาศ เธอบอกว่าเริ่มทำเมื่อปีที่แล้วช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 เพิ่งบูมขึ้นมา พี่เบิร์ดเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ป่วยเป็นไข้ เธอมองหาวิธีป้องกัน ซึ่งต้นตอของปัญหามาจากอากาศที่ไม่ดี ถ้าอยากสูดอากาศดีบริสุทธิ์ก็คงต้องพึ่งตัวช่วยอย่างเครื่องฟอกอากาศ แต่เพราะความนิยมของมันพุ่งสูงปรี๊ด ใครๆ ก็อยากได้ ค่าตัวของเจ้าเครื่องฟอกอากาศก็พุ่งทะยานแตะหลักหมื่น

“มันเป็นความหมั่นไส้ เรียกว่าตั้งคำถามในใจว่าทำไมเราไม่ได้รับความยุติธรรมในการซื้อเครื่องฟอกอากาศในราคาที่ปกติ เพราะช่วงนั้นเขาขึ้นราคาเป็น 2 เท่า พี่มีตังค์ก็จริงแต่พี่รู้สึกว่าทำไม? ทำไมต้องจ่ายเงินขนาดนั้นให้กับระบบที่จัดการอะไรไม่ได้ เราเป็นผู้บริโภคที่ถูกเอาเปรียบ”

พี่เบิร์ด นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ

ประกอบกับอุปนิสัยส่วนตัวที่ชอบทำงาน DIY พี่เบิร์ดเลือกที่จะไม่ง้อซื้อเครื่องฟอกอากาศที่ราคาสูง แต่ทำขึ้นมาเอง แหล่งข้อมูลในยุคนี้คงหนีไม่พ้น Google และ Youtube พี่เบิร์ดเรียนรู้วิธีทำเครื่องฟอกอากาศจากการดูคลิป ซึ่งครูของพี่เบิร์ดมีตั้งแต่เด็กประถม ผู้ใหญ่ ไปจนถึงชาวต่างชาติ

1 ปี เป็นระยะเวลาที่พี่เบิร์ดศึกษาการทำเครื่องฟอกอากาศ เธอบอกว่าเหมือนกับการทำงานวิจัยขนาดย่อม เครื่องฟอกอากาศที่พี่เบิร์ดทำมีมากมายหลายรุ่น ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพัฒนาไปเรื่อยๆ จากรุ่นที่เอาพัดลมมามัดกับแผ่นกรองด้วยหนังยาง จนไปถึงทำเป็นเครื่องที่ใช้ในปัจจุบัน พี่เบิร์ดก็ไม่เก็บความรู้นี้ไว้คนเดียว แต่ยังแชร์ต่อไปให้คนอื่นๆ ผ่านสังคมเฟซบุ๊ก มีเพื่อนบางคนที่ติดต่อขอให้พี่เบิร์ดประกอบเครื่องฟอกอากาศให้ หรือที่ชวนให้พี่เบิร์ดมาสอนทำเวิร์คช็อปแบบครั้งนี้

“ทำปุ๊บวัดปั๊บ มีทดลองทั้งแบบปิดห้อง แบบเปิดห้องให้อากาศถ่ายเท แบบเปิดแอร์ วัดว่าตัวกรองอันไหนทำงานได้ดีกว่ากัน จดบันทึกไว้คร่าวๆ เกณฑ์การวัดของเรา คือ หนึ่งกรองได้ในพื้นที่ห้องแบบนี้ สองราคาคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป” พี่เบิร์ดเล่า

ลงมือทำเครื่องฟอกอากาศ

เวิร์คช็อปครั้งนี้ เครื่องฟอกอากาศรุ่นที่พี่เบิร์ดนำมาสอน คือ รุ่นทรงกระบอกและรุ่นพรหมลิขิต พี่เบิร์ดเริ่มต้นด้วยการสาธิตทำเจ้าเครื่องรุ่นทรงกระบอก ต้นแบบที่พี่เบิร์ดนำมาโชว์เป็นทรงกระบอกขนาดปานกลาง ลักษณะคล้ายกระติกน้ำร้อน

ขั้นตอนการทำเครื่องฟอกอากาศรุ่นทรงกระบอก

อุปกรณ์สำหรับทำเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้ประกอบด้วย  ไส้กรองอากาศทั่วไปทรงกระบอก พัดลมดูดอากาศทรงกลมขนาด 6 นิ้ว (ซื้อสำเร็จ) และแผ่นโฟมยาง

ขั้นตอนที่ 1 เริ่มจากประกอบพัดลมดูดอากาศที่ซื้อมาแบบสำเร็จรูปนั้นให้เสร็จสมบูรณ์

ขั้นตอนที่ 2 นำปากกระบอกแผ่นกรอง (สีฟ้า) ทาบกับแผ่นโฟมยาง (สีเหลือง) เพื่อวัดขนาด จากนั้นจึงตัดแผ่นโฟมยางนั้นให้เป็นวงแหวนใช้คั่นระหว่างพัดลมดูดอากาศกับเครื่องกรอง ป้องกันไม่ให้แผ่นกรองละลายเมื่อเจอกับความร้อน

ขั้นตอนที่ 3 นำอุปกรณ์ทั้งหมดมาประกอบ เริ่มจากเอาแผ่นโฟมยางที่ตัดแล้วมาติดกับปากกระบอกแผ่นกรอง (สีฟ้า) โดยใช้เทปกาวสองหน้าเป็นตัวเชื่อม จากนั้นนำพัดลมดูดอากาศมาวางทับแผ่นโฟมยาง (สีฟ้า) ใช้เทปกาวสองหน้าเป็นตัวเชื่อมเช่นเดิม ก็เป็นอันเสร็จพร้อมนำไปใช้งาน

ขั้นตอนการทำเครื่องฟอกอากาศรุ่นพรหมลิขิต

อุปกรณ์สำหรับทำเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้ประกอบด้วย พัดลมดูดอากาศทรงสี่เหลี่ยมขนาด 10 นิ้ว กล่องลังกล่องเดิมที่ใส่พัดลมมา แผ่นกรองอากาศทั่วไป คัตเตอร์ และเทปผ้า

ขั้นตอนที่ 1 เริ่มจากประกอบพัดลมดูดอากาศที่ซื้อมาสำเร็จรูปนั้นให้เสร็จสมบูรณ์

ขั้นตอนที่ 2 ทำตัวเคสใส่พัดลม

  • ด้านหน้ากล่อง: ตัดขอบลังออกให้หมด
  • ด้านหลังกล่อง: ด้านหลังของกล่องจะเป็นส่วนที่เอาไว้วางแผ่นกรอง ขั้นตอนนี้เราต้องเจาะรูกล่องด้านหลัง โดยจะเหลือพื้นที่ขอบลังไว้ดังรูป วิธีการคือเอาพัดลมมาวางทับฝากล่องแล้วใช้ดินสอร่างหรือจะเอาไม้บรรทัดมาขีดเส้นขอบดังรูปก็ได้ จากนั้นก็ตัดกล่องด้วยคัตเตอร์ แล้วนำเทปผ้ามาพันกับขอบกล่องเพื่อเก็บงานให้เรียบร้อย

ขั้นตอนที่ 3 เจาะรูด้านข้างของกล่องเพื่อเป็นช่องสำหรับสายไฟพัดลม

ขั้นตอนที่ 4 ประกอบเครื่องฟอกอากาศ โดยเริ่มจากใส่แผ่นกรองลงไปชั้นในสุด (ในด้านที่ตัดให้เหลือขอบเอาไว้) จากนั้นใส่พัดลมดูดอากาศเข้าไปในกล่อง จากนั้นเอากระดาษลังที่ใช้หุ้มตัวพัดลมไว้อยู่แล้ว (ตอนแกะพัดลมออกมาจากกล่องจะมีกระดาษที่ล็อกตัวพัดลมกับกล่องอยู่) มาประกบหน้าพัดลมเป็นหน้ากากดังรูป เพื่อล็อกไม่ให้ตัวพัดลมหลุดออก เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ที่มาของชื่อรุ่นนี้พี่เบิร์ดอธิบายว่า เพราะกล่องลังที่ใส่พัดลมมามันพอดีกับเครื่องฟอกอากาศ เลยเป็นที่มาของชื่อรุ่นพรหมลิขิต

หลังจากสอนเสร็จก็ถึงเวลาที่จะได้พูดคุยกับพี่เบิร์ดเพิ่มเติม คำถามแรกที่ถูกถาม คือ เหตุผลที่พี่เบิร์ดยังคงทำเครื่องฟอกอากาศอยู่ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ราคาของเครื่องก็ลดลงมากแล้ว คำตอบของพี่เบิร์ด เพราะความชอบส่วนตัวล้วนๆ แม้ว่าตอนนี้ราคาเครื่องฟอกอากาศจะไม่ได้พุ่งสูงแล้ว แต่ข้อดีของการทำเครื่องฟอกอากาศเอง คือ สามารถเปลี่ยนแผ่นกรองง่าย เพราะเครื่องกรองสำเร็จรูปบางรุ่นหาซื้อตัวแผ่นกรองเปลี่ยนยาก

“ทางเลือกย่อมมีมากกว่าหนึ่งเสมอในการอยู่ในโลกนี้ ใช่ เราอยู่ในระบบทุนนิยม ระบอบการเมืองแบบนี้ รัฐบาลนี้ ฟังก์ชันสังคมแบบนี้ แต่มีวิธีการอยู่ที่ไม่ได้มีวิธีการเดียว มีปรัชญาอยู่แบบพอเพียง ปรัชญาอยู่แบบใช้แหลก มีหลายทางให้คุณได้เลือก”

ในโลกนี้ไม่มีขยะ มีแต่ของที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ซ้ำ

นอกจากทำเครื่องฟอกอากาศใช้เองแล้ว พี่เบิร์ดยังใช้ชีวิตด้วยการแยกขยะ เป็นสิ่งที่ทำมาตลอดตั้งแต่อายุ 17 ปี เริ่มจากทำที่บ้าน ขยายไปสู่คนรอบข้าง สถานที่ทำงาน วัด ตัวของพี่เบิร์ดเองก็ได้รับการขัดเกลาจากสังคม สภาพแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกว่า ‘เราต้องแยกขยะ’ ทำมาเรื่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เหมือนกับการแปรงฟัน ดื่มน้ำ

เรื่องพวกนี้พี่เบิร์ดบอกว่ามันเกิดมาจากความสนใจ ตัวพี่เบิร์ดเองก็สนใจเรื่องแยกขยะ ถึงขั้นไปลงเรียนวิชาแยกขยะกับวงษ์พาณิชย์ สิ่งที่ได้จากการไปเรียน คือ โลกนี้ไม่มีขยะ พี่เบิร์ดขยายต่อว่าประโยคนี้ไม่ใช่คำคมในหนังสือ แต่เป็นความจริง เรื่อง zero waste มันเป็นความจริง ขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรให้เป็น ถ้ามองว่ามันเป็นขยะก็จบเลย เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่มีขยะ มีแต่สิ่งที่ใช้เสร็จแล้วนำกลับไปใช้หมุนเวียนต่อ

“มีคนทำอยู่นะ มันยังไม่พอเท่านั้นเอง ทำไปเรื่อยๆ เถอะ สัดส่วนคนทำจะมากจะน้อยแต่ไม่เคยมีคนหยุดทำ คนทำตลอด ไม่งั้นพี่จะเอาแนวคิดมาจากไหน

“มีคนทำแอบตามซอกต่างๆ ทุกที่ เดียวนี้ยิ่งเยอะขึ้น แต่มันยังไม่พอเป็นอิมแพค เป็นแพ็คเกจใหญ่ที่ทำให้ทุกคนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนต้องทำ ยังเดินทางไปไม่ถึงจุดนั้น แต่อีกหน่อยทางนี้คงเป็นทางรอด เพราะขยะล้นโลก

“ใครไม่ทำพี่ไม่ว่า แต่ว่าพี่แค่ไม่รอให้มีรถขนขยะรุ่นใหม่หรือรอสเตชั่นแยกขยะใหม่ที่จะสร้างเสร็จ ทำจากต้นทางคือเรา จะไปเปลี่ยนโรงงาน ไปเปลี่ยนบ้านคนอื่นไม่ได้ แต่มันเปลี่ยนที่มือเราได้ พี่แยกขยะพ่อไม่แยกพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรพ่อ พี่ก็แยกของพี่ต่อ แต่บอกว่าอันนี้อย่าไปทิ้งอะไรปนนะจะไปขาย ทำมา 20 กว่าปีละทำมาเรื่อยๆ”

ใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นเรื่องปกติ

“พี่เชื่อมั่นว่าคนก็มีความพยายามเอาตัวรอดทุกวันนี้ มันเหนื่อยแล้ว เศรษฐกิจก็เท่านี้ โรคภัยก็มา แล้วต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก มันก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

บทบาทของพี่เบิร์ดมีทั้งนักแสดงอิสระ วิทยากรจัดอบรมวิธีการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ และทำกลุ่มละครสำหรับเด็กและครอบครัวชื่อว่ากลุ่มคิดแจ่ม ทั้งหมดเป็นงานที่ทำเกี่ยวกับการสื่อสาร ทำให้พี่เบิร์ดรู้ว่าคนเราสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วยตัวเอง ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขาชินเขาชอบอยู่แล้วใครล่ะจะอยากเปลี่ยน สิ่งที่พี่เบิร์ดทำไม่ใช่การไปบอกให้เขาเปลี่ยน แต่เป็นการบอกว่ามันมีหลายทางเลือก อย่างทางเลือกที่พี่เบิร์ดใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“ความเชื่อมั่นในประเทศนี้ที่ยังเหลืออยู่คือเชื่อมั่นในตัวบุคคล ประชาชน ที่มันจะทำอะไรด้วยมือตัวเองได้เท่าที่ลมหายใจมันยังมี”

แม้บทสนทนาจะจบลง แต่สิ่งที่ได้กลับไปยังคงอยู่ ไอเดียการใช้ชีวิตที่เริ่มด้วยตัวเราเอง ทำเครื่องฟอกอากาศใช้เอง ไม่ต้องรอคนอื่น หรืออย่างการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เริ่มทำจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราอย่างการแยกขยะ ลองใช้ชีวิตให้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติเหมือนการแปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าว ทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติ

*เนื่องจากเป็นการทำเครื่องฟอกอากาศแบบ DIY ผู้ใช้ควรหมั่นตรวจสอบและดูแล คอยตรวจเช็คการใช้งาน หากเครื่องร้อนเกินไปควรปิดเพื่อพักเครื่อง

อ้างอิง:
thairath.co.th/

Tags:

นีลชา เฟื่องฟูเกียรตินวัตกรรมสิ่งแวดล้อมฝุ่นพิษ

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ฟิอนน์ เฟอร์เรรา: เจ้าของ GOOGLE SCIENCE FAIR 2019 กำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    เพราะปอดไม่ใช่เครื่องฟอกอากาศ ถอดออกมาล้าง PM 2.5 ไม่ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

10 อันดับประเทศที่เหมาะต่อการเลี้ยงลูกมากที่สุดแห่งปี 2020
Education trend
4 February 2020

10 อันดับประเทศที่เหมาะต่อการเลี้ยงลูกมากที่สุดแห่งปี 2020

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • รายงาน “2020 Best Countries Report and Ranking” จัดอันดับความ “ที่สุดในโลก” ในประเด็นต่างๆ จำนวน 24 ประเภท (1 อันดับภาพรวม 23 หมวดย่อย)
  • คุณภาพการศึกษา, ประเทศที่เหมาะแก่การเลี้ยงดูบุตรหลานมากที่สุดในโลก, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก และ ความเท่าเทียมทางเพศ คือ 4 หมวดหลักๆ ที่อยากหยิบมาพูดคุยกัน
  • แม้จะมีหัวข้อ ‘ประเทศที่เหมาะแก่การเลี้ยงดูลูกมากที่สุดในโลก’ แต่บทวิเคราะห์เองก็ชี้ว่าในการเลี้ยงดูให้เด็กคนหนึ่งเติบโต ไม่อาจดูแค่การให้บริการการศึกษาที่มีคุณภาพเพียงประเด็นเดียวได้อีกต่อไป
  • ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในที่ทางโลก มาดูกัน

ประเทศไหนเหมาะสมที่จะเลี้ยงลูกมากที่สุด?

พ่อแม่หลายคนอาจหยิบลิสต์ชื่อประเทศกลุ่มพัฒนาแล้วมาขึงดูว่ามีประเทศอะไรบ้าง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคงมีสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร สองประเทศโลกที่หนึ่งที่ผู้ปกครองทั่วโลกมองว่าคงจะดีต่อการเลี้ยงลูกโดยเฉพาะคุณภาพการศึกษา

หากดูเพียงมิติประเด็นการศึกษาความเห็นที่ว่าก็ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง รายงานล่าสุด ‘2020 Best Countries Report and Ranking’ จัดทำขึ้นระหว่าง BAV Group และ The Wharton School of the University of Pennsylvania เป็นการจัดอันดับผ่าน ‘มุมมอง’ หรือ ‘การรับรู้ของประชาชน’ ทั่วโลก ใช้การทำแบบสำรวจกับประชากรทั้งหมด 20,000 คนใน 73 ประเทศทั่วโลก (ทวีปอเมริกา เอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) โดยกำหนดตัวชี้วัดขึ้นมาใช้ให้ความเห็น

จากทั้งหมด 24 หมวด (1 อันดับภาพรวม 23 หมวดย่อย) เฉพาะในหมวดการศึกษานั้น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรคือสองประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด รองลงมาได้แก่ แคนาดา เยอรมนี และฝรั่งเศส

อย่างไรก็ดี องค์ประกอบในการวิเคราะห์ว่าประเทศไหนเหมาะสมต่อการเลี้ยงดูบุตรหลานจะดูแค่มิติการศึกษาอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย คุณภาพการใช้ชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือความเท่าเทียมทางเพศอีกด้วย

ซึ่งหากดูปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด แม้สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรจะเป็นประเทศที่การศึกษาดีติดอันดับโลก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นประเทศที่เหมาะจะดูแลและเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตอย่างเต็มพร้อมเสมอไป

จากการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกหลากหลายหมวด เราขอหยิบ 4 หมวดหลักที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรหลาน คือ ประเทศที่จัดการศึกษาดีที่สุดในโลก, ประเทศที่เหมาะแกการเลี้ยงดูบุตรหลานมากที่สุดในโลก, เป็นมิตรต่อสิงแวดล้อมมากที่สุดในโลก และ ความเท่าเทียมทางเพศดีที่สุดในโลกมาไล่เรียงดู

แง้มนิดๆ ว่าประเทศไทยติดทุกโผใน 4 อันดับนี้ แต่จะอยู่ในอันดับใดนั้น มาดูกัน

ประเทศที่จัดการศึกษาดีที่สุดในโลก 2020

รายงานประเทศที่จัดการศึกษาดีที่สุดในโลก 2020 พิจารณาจากเกณฑ์วัด 3 ตัวหลักคือ โรงเรียนหรือสถานศึกษาของรัฐมีคุณภาพไหม, ผู้คนเลือกจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมากน้อยแค่ไหน และ ประเทศนั้นๆ จัดการศึกษาที่มีคุณภาพหรือเปล่า

โดย ประเทศที่จัดการศึกษาดีที่สุดในโลก 10 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, แคนาดา, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สวิสเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, สวีเดน, เนเธอร์แลนด์ และ เดนมาร์ก

จากทั้งหมด 73 ประเทศที่ติดชาร์ตนี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 48 เป็นรองเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย (อันดับ 39) จีน (อันดับ24) เกาหลีใต้ (อันดับ 22) สิงคโปร์ (อันดับ 19) แต่อันดับดีกว่าประเทศเวียดนามที่อยู่ในอันดับ 64

ข้อสังเกตประการหนึ่งโดยทีม The Potential เอง พบว่าประเทศฟินแลนด์ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่งนั้นอยู่ในอันดับที่ 15 ของรายงานฉบับนี้ อาจเป็นเพราะตัวชี้วัดของรายงานฉบับนี้สอบถามผู้คนในแง่ ‘มุมมอง’ หรือ ‘การรับรู้ของผู้คน’ ที่มีต่อประเด็นต่างๆ ไม่ได้หมายถึง ‘คุณภาพ’ เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปัจจัยอีก 2 ตัวคือ ผู้คนเลือกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยมากน้อยแค่ไหนเข้าร่วมด้วย จึงอาจเป็นไปได้ว่าในมุมมองของคนทั่วไป ประเทศที่ติดโผ 10 อันดับแรกนั้น ผู้คนมองว่าประเทศเหล่านี้จัดการศึกษาดีมากที่สุด

ประเทศที่ดีที่สุดในการเลี้ยงลูก 2020

ส่วนการจัดอันดับในหัวข้อ ประเทศที่ดีที่สุดในการเลี้ยงลูก 2020 พิจารณาจาก 8 ปัจจัยหลักคือ การคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน, คุณค่าของผู้คนที่มีต่อความเป็นครอบครัว, สิ่งแวดล้อมหรือสภาพสังคมที่เอื้อต่อความหลากหลายทางเพศ, มุมมองเรื่องความสุข, ความเท่าเทียมเรื่องรายได้, ความปลอดภัย, มีการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ, มีระบบสาธารณสุขที่เอื้ออำนวย

10 ประเทศที่ดีที่สุดในการเลี้ยงลูก เรียงตามลำดับดังนี้ เดนมาร์ก, สวีเดน, นอร์เวย์, แคนาดา, เนเธอร์แลนด์, ฟินแลนด์, สวิสเซอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย

จากอันดับทั้งหมด 73 ประเทศ หัวข้อนี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 อันดับดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (อันดับ 39) ฟิลิปปินส์ (อันดับ 40) จีน (อันดับ 41) อินโดนีเซีย (อันดับ 48) เวียดนาม (อันดับ 63) เมียนมาร์ (อับดับ 70)

“กลุ่มประเทศเหล่านี้มีสิทธิลาคลอดของพ่อหรือแม่ได้ ทั้งยังเสนอให้มีหลักสูตรเตรียมความพร้อมการเข้าโรงเรียนฟรี อีกทั้งยังมีภาพรวมของระบบการศึกษาของรัฐที่ดีอีกด้วย” เดียร์ดรา แมคฟิลิป (Deidre McPhillips) บรรณาธิการอาวุโสฝ่ายข้อมูลจากสำนักข่าว U.S. News & World Report กล่าว

ประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลก 2020

เนื่องด้วยสภาพอากาศที่เข้าขั้นวิกฤติคืออีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ ดังนั้น ประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือเป็น green living จึงน่าจะถูกหยิบมาคิดคำนึงด้วย โดยมีเกณฑ์ให้คะแนน 3 ปัจจัยหลักคือ ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม, ใส่ใจสุขภาพประชาชน, ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม

10 อันดับแรก ได้แก่ สวีเดน, สวิซเซอร์แลนด์, ฟินแลนด์, ญี่ปุ่น, นอร์เวย์, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, เยอรมนี และ แคนาดา

ขณะที่หมวดนี้ประเทศไทยอยู่ในอับดับที่ 42 เป็นรองเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (อันดับ 33) จีน (19) สิงคโปร์ (อันดับ 14) แต่มีอันดับที่ดีกว่า อินโดนีเซีย (อันดับ 47) และเวียดนาม (อันดับ 48)

ประเทศที่เป็นมิตรต่อความเท่าเทียมทางเพศ

สำหรับประเทศที่ถูกมองว่าเป็นมิตรต่อการใช้ชีวิตของผู้หญิงและความเท่าเทียมทางเพศ พิจารณาจาก 5 ปัจจัยคือ การให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน, ความเท่าเทียมทางเพศ, ค่าแรงที่เท่าเทียมระหว่างเพศ, ความก้าวหน้า และความปลอดภัย

10 ประเทศแรก คือ เดนมาร์ก สวีเดน เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ แคนาดา, ฟินแลนด์, สวิสเซอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย และ ออสเตรีย

จากทั้งหมด 73 ประเทศ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 49 อับดับดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย (อันดับ 53) เวียนนาม (อันดับที่ 69) แต่ยังแย่กว่า ฟิลิปปินส์ (อันดับ 44) มาเลเซีย (อันดับ 39) สิงคโปร์ (อันดับ 20)

จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าองค์ประกอบในการวิเคราะห์ว่าทั้งประเทศที่มีการศึกษาดีนั้นไม่อาจดูแค่คุณภาพการศึกษาอย่างเดียวได้อีกต่อไป แต่ ‘ความเป็นอยู่’ และ ‘คุณภาพชีวิต’ ย่อมเป็นตัวแปรที่มีผลต่อ ‘การเรียนรู้’ ของผู้คนด้วย มิติต่างๆ เช่น เรื่องความปลอดภัย คุณภาพการใช้ชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือความเท่าเทียมทางเพศ และสภาพสังคมอื่นๆ ย่อมส่งผลกระทบและเป็น soft power ต่อแนวคิด อารมณ์ หรือพฤติกรรมของเด็กๆ ในอนาคตข้างหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

อ้างอิง:
Methodology: How the 2020 Best Countries Were Ranked
The best country in the world to raise a child? It’s not America, survey finds

Tags:

พ่อแม่สิ่งแวดล้อมเพศความเหลื่อมล้ำ

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    เวิร์คชอปภาพถ่ายพลังงานทางเลือกที่เล่าตั้งแต่เรื่องแดดไปจนถึงขยะความเชื่อ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

SCHOOL READINESS: 8 ข้อบ่งชี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมเข้าเรียน?
Learning Theory
3 February 2020

SCHOOL READINESS: 8 ข้อบ่งชี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมเข้าเรียน?

เรื่อง ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • หัวใจสำคัญของเด็กวัยอนุบาลอยู่ที่การสร้างร่างกายให้เสร็จสมบูรณ์ เด็กจะเรียนรู้ผ่านทางกายเป็นเรื่องหลัก เล่นแบบเอาตัวเข้าไปคลุกเคล้า และเมื่ออยากเรียนรู้อะไรก็ต้องลงไม้ลงมือทำเอง
  • เด็กส่วนใหญ่ที่ถูกเร่งเรียนเขียนอ่านก่อนวัยพร้อมเรียนจะมาถึง เขาอาจจำอะไรได้มากมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ใส่ให้เขา เขายังไม่ได้ใช้มันเพื่อการดำรงชีวิตในเวลานี้ การที่เด็กไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เขาต้องเรียนกับชีวิตในปัจจุบันได้ ทำให้เด็กสับสนและเริ่มต้นไม่ถูกกับเหตุการณ์ต่างๆ กลายเป็นหมดแรงบันดาลใจในการทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเอาดื้อๆ
  • การเปิดโอกาสให้ลูกเปิดเผยพลังในการเรียนรู้ในตัวเองออกมา พ่อแม่อาจช่วยผ่านการบ่มเพาะ หล่อเลี้ยงพลังแห่งเจตจำนง (will) ของเด็ก ที่อยากจะเรียนรู้และทำสิ่งที่ปรารถนาให้สำเร็จด้วยตัวเอง
เรื่อง: ครูอุ้ย อภิสิรี จรัลชวนะเพท

“ทำไมลูกอายุ 4 ปีแล้วยังอ่านหนังสือไม่ออก?”

“ทำไมลูกคนอื่นเขียนหนังสือได้แล้ว แต่ลูกเรายังทำไม่ได้”

คำถามที่พ่อแม่หลายๆ คนอาจถามขึ้น เวลาเห็นเด็กคนอื่นๆ อ่านหนังสือออก เขียนได้ แต่ลูกของตัวเองยังทำไม่ได้ จนเกิดความกังวลว่าลูกมีอะไรผิดปกติ ทำไมถึงยังทำแบบลูกคนอื่นไม่ได้ ต้องส่งลูกไปเรียนวิชาการหรือยัง ‘ครูอุ้ย’ อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาอนุบาลวอลดอร์ฟและผู้อำนวยการอนุบาลบ้านรัก ได้เขียนบทความไขข้อกังวลของพ่อแม่กับปัญหานี้ โดยอธิบายผ่านแนวคิดมนุษยปรัชญา

ลูกอยู่วัยไหนถึงพร้อมเข้าเรียน (School readiness)

การเรียนรู้ของมนุษย์ต้องใช้ทั้ง 3 ส่วน คือ สมอง ความรู้สึก และการลงมือทำ ซึ่งในวัยอนุบาลหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างร่างกายให้เสร็จสมบูรณ์ เด็กจะเรียนรู้ผ่านทางกายเป็นเรื่องหลัก จะเล่นแบบเอาตัวเข้าไปคลุกเคล้า และเมื่ออยากเรียนรู้อะไรก็ต้องลงไม้ลงมือทำเอง เด็กจะลงมือทำด้วยความเบิกบานใจ และหลังจากเขาเพียรพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นในสมองของเค้า เด็กที่ผ่านวัยเด็กมาอย่างสมบูรณ์แบบจึงมีรอยประทับแห่งวัยที่ยากจะลืมเลือนยิ่งนัก

แต่ในเมื่อวัยเด็กไม่ได้เป็นเช่นนั้น เด็กส่วนใหญ่ที่ถูกเร่งเรียนเขียนอ่านก่อนวัยพร้อมเรียน แม้เด็กบางคนก็เรียนไปได้ ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร และก็ดูเหมือนว่าเขาจดจำอะไรได้มากมาย แต่ก็เป็นความจำในข้อมูลที่ผู้ใหญ่ใส่ให้เขา เขายังไม่ได้ใช้มันเพื่อการดำรงชีวิตในเวลานี้ หมายความว่าการศึกษาที่ให้ไม่ได้มีประโยชน์กับเด็กในปัจจุบัน การเรียนรู้อย่างกลมกลืนทั้ง 3 ส่วน คือ สมอง ความรู้สึก และการลงมือกระทำ ไม่เกิดขึ้น เด็กใช้สมองเพื่อความจำไปกับคำศัพท์และโจทย์เลข เด็กไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เขาต้องเรียนกับชีวิตในปัจจุบันได้ ทำให้เขาสับสนและเริ่มต้นไม่ถูกกับเหตุการณ์ต่างๆ กลายเป็นหมดแรงบันดาลใจในการทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเอาดื้อๆ พ่อแม่เองคงไม่มีแรงเข็นลูกให้เรียนไปตลอดชีวิต

การเปิดโอกาสให้ลูกได้เปิดเผยพลังในการเรียนรู้ในตัวเองออกมา พ่อแม่อาจช่วยบ่มเพาะ หล่อเลี้ยงพลังแห่งเจตจำนง (will) ของเด็ก ที่อยากจะเรียนรู้และทำสิ่งที่ปรารถนาให้สำเร็จด้วยตัวเอง พ่อแม่และครูทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าสังเกตเด็กอย่างละเอียด ซึ่งจะทำให้ทราบโดยทันทีว่าเด็กเริ่มเข้าสู่กายที่ 2 แล้ว นั่นคือ กายพลังชีวิต Etheric body

กายพลังชีวิต (Etheric body) ที่ว่านั้นคือ 1 ใน 4 ขั้นการเติบโตของมนุษย์ ซึ่งเป็นคำอธิบายเรื่องการพัฒนามนุษย์ตามวิธีคิดของรูดอร์ฟ สไตร์เนอส (Rudolf Steiner) นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้คิดค้นแนวการศึกษาวอลดอร์ฟ ระบุว่ามนุษย์จะค่อยๆ บ่มเพาะ ทำงาน และพัฒนาอย่างสมบูรณ์เมื่อผ่านกายทั้งหมด 4 องค์ประกอบ โดยการเกิดและพร้อมใช้งานแต่ละกายเป็นไปตามลำดับเวลาทุกๆ 7 ปี จนถึงอายุครบ 21 ปี วิธีคิดเรื่องนี้มีว่า โดยทั่วไปแล้วคนมักมองการเจริญเติบโตเฉพาะส่วนที่เห็นได้ชัดอย่าง ‘ร่างกาย’ หรือ Physical body แต่จริงๆ แล้วมนุษย์ยังมีกายอีก 3 องค์ประกอบที่มองไม่เห็น แต่มีความสำคัญ

กาย 4 ขั้นของมนุษย์ มีดังนี้

  • กายที่ 1 Physical body หรือ กายเนื้อ ร่างกาย หรือรูปกาย จะพัฒนาอย่างเต็มที่และค่อยสมบูรณ์ในช่วงวัย 0-7 ปี
  • กายที่ 2 Etheric body หรือ กายพลังชีวิต จะถูกบ่มเพาะ ใช้งาน และสำคัญมากๆ ในช่วงวัย 7-14 ปี

อาจอธิบายอย่างนี้ว่า เรามีร่างกายในเชิง body อยู่ก็จริงแต่หากไม่มีพลังชีวิตเราย่อมเดินเหินไม่ได้ เติบโตไม่ได้ เหมือนต้นไม้ที่ไม่สามารถงอกงามได้ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่ครูอย่างเราคุยกันเสมอ เรียกว่าเป็นความสำคัญมากสำหรับวิชาครูเลยก็ว่าได้ คือการสร้างสภาพแวดล้อมของเด็กอย่างไร เพื่อดูแล สร้าง และปกป้องกายพลังชีวิตของเด็กให้คงอยู่ โดยไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเด็กหรือทำในสิ่งที่เด็กไม่ได้ต้องการ

  • กายที่ 3 Astral body (Soul) หรือ ร่างแห่งความรู้สึก เกิดเมื่อ 14-21 ปี จริงอยู่ว่า ‘ความรู้สึก’ ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงก่อนอายุ 14 ปี แต่กายแห่งความรู้สึกนี้จะทำงานเต็มที่และเป็นของเขาจริงๆ ก็เมื่อร่างแห่งความรู้สึกถือกำเนิดในช่วง 14 – 21 ปี
  • กายที่ 4 Ego (Self) หรือ กายฉัน ตัวตน เกิดเมื่อ 21 ปีขึ้นไป

เรารู้จักกายทั้ง 4 องค์ประกอบนี้เพื่ออะไร? ก็เพื่อเวลาเราทำงานกับเด็ก หรือหากพบปัญหา เราจะกลับไปตรวจสอบหรือหาร่องรอยได้ว่าปัญหาของเด็กน่าจะมีที่มาในช่วงวัยไหน เช่น หากเด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตใจ เรากลับไปดูในขั้นกายพลังชีวิต หรือ Etheric body ว่าในช่วงนี้เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นไร เขาอยู่ในปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ทำให้พลังชีวิตเขาเหือดหายหรือเปล่า

8 ข้อที่บ่งชี้ว่าลูกอยู่ในขั้นที่พร้อมเข้าเรียน

คำตอบสำหรับคำถามที่ว่าเมื่อไรเด็กจึงพร้อมเรียน (School  readiness) คือ เมื่อเด็กเข้าสู่กายที่ 2 กายพลังชีวิต (Etheric body) การจะสังเกตว่าเด็กเข้าสู่ช่วงนั้นแล้วหรือยังจะมีตัวบ่งชี้ (Indication) ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเกิดของ Etheric มีอยู่ด้วยกัน 8 ข้อ ที่จะกล่าวต่อไปข้างล่าง แต่ขออธิบายเรื่องกายพลังชีวิตเพิ่มเติมอย่างนี้ว่า เมื่อแรกเกิด จิตวิญญาณของเด็กลงมาจุติและมีร่างกายเนื้ออยู่บนโลก ลงมาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดีทั้งอาหารที่ทำให้ร่างกายเติบโตและความรัก และการเกิดครั้งที่ 2 คือ Etheric กายพลังชีวิต เกิดเมื่อเด็กมีอายุราว 7 ปี

ตลอดช่วง 7 ปีแรกของชีวิต หน้าที่อันสำคัญของชีวิตวัยเด็ก คือการสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตซึ่งรวมทั้งอวัยวะภายใน เช่น ตับ ปอด ม้าม ไต ให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งต้องอาศัยทั้งอาหารเพื่อช่วยด้านกายเนื้อ และช่วยด้านกายพลังชีวิต แต่เด็กจะได้รับพลังชีวิตผ่านการดูแลจากผู้ใหญ่หรือเรียกว่ามาจากโลกภายนอกตัวเด็ก เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะกำเนิดเกิดขึ้นในตัวเด็ก

การผลักดันให้เด็กทำสิ่งต่างๆ เกินตัว เช่น การเขียนอ่านก่อนวัยทำให้เด็กต้องดึงกายพลังชีวิต มาจากภายนอก เป็นการใช้กายพลังชีวิตในเรื่องที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิตเด็กในขณะนี้

ตัวบ่งชี้ 8 ข้อในมุมวอลดอร์ฟที่บอกว่า เด็กพร้อมเข้าเรียน ได้แก่

1.อายุ (Age)

อายุที่เหมาะสมคือ 6 – 8 ปี เป็นวัยเด็กที่พร้อมเรียน เขาจะสะสมประสบการณ์ต่างๆ ในการดูแลชีวิตของตัวเอง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่ออยู่ชั้นประถม

ตัวอย่างเช่น ในประเทศสวีเดน เด็กเข้าชั้นประถม 1 เมื่ออายุ 8 ปีเนื่องจากเป็นประเทศที่หนาว หิมะตกสูงถึงเข่าทำให้เด็กต้องเดินลุยหิมะไปโรงเรียน เด็กจึงต้องโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ในเรื่องนี้ ส่วนทั่วๆ ไป คือจะเข้าโรงเรียนเมื่ออายุ 6 ปีขึ้นไป เพื่อดูแลตัวเองและการเรียนได้เองหากต้องเรียนจริงจัง

ในประเทศรัสเซียมีรายงานว่าเด็กที่ถูกเร่งเรียนเขียนอ่านตั้งแต่อายุ 3 ปี เมื่ออายุ 12 ปีพบว่าป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก บางกรณีเด็กที่ถูกเร่งเรียนตั้งแต่ 5 – 6 ปีจะเบื่อการเรียนเมื่ออายุ 9 ปีขึ้นไป และพบว่าเด็กเหล่านี้จะไม่สนใจสิ่งแวดล้อมภายนอกแต่ชอบหมกมุ่นกับตัวเอง เช่น ไม่ชอบธรรมชาติเมื่อไปเที่ยวข้างนอกกับครอบครัว ติดเกมส์คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าเด็กถูกดึงพลังชีวิตมาใช้ก่อนวัย ทำให้เด็กไม่สดชื่นร่าเริงอย่างที่ควรเป็น

2.ฟัน (Teeth)

โดยทั่วไปฟันน้ำนมจะหลุดและมีฟันแท้ขึ้นมาเมื่ออายุราว 5 – 9 ปี การที่ฟันน้ำนมซี่แรกหลุดหมายถึงร่างกายและอวัยวะภายในสร้างเสร็จ กระดูกที่สามารถเห็นได้จากภายนอก คือ ‘ฟัน’ ชุดฟันเดิมที่สะสมแคลเซียมตั้งแต่อยู่ในครรถ์มารดาหลุดออกไป เกิดเป็นฟันชุดใหม่ที่มาจากการสะสมแคลเซียมของเด็กเอง และจะผลิตฟันชุดนี้จนเสร็จเมื่ออายุเข้าวัยเจริญพันธุ์ แต่ทั้งนี้ร่างกายของเด็กแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ทำให้เด็กแต่ละคนอาจฟันหลุดในช่วงอายุที่ต่างกัน

ตัวอย่างเช่น เด็กที่ฟันหลุดก่อน 7 ปี ไม่ได้หมายความว่าเด็กพร้อมที่จะเรียนแล้ว หรือเด็กที่ฟันหลุดช้ากว่า 8 ปี ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยังขึ้นชั้นประถมไม่ได้ เด็กที่ฟันหลุดช้าหรือเร็วยังขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากการเลี้ยงดูด้วย ขอให้มองดูการหลุดของฟันและตั้งเป็นข้อสังเกตเอาไว้ ใช้พิจารณาร่วมกับตัวบ่งชี้อื่นๆ

3.สัดส่วน (Proportion)

โดยทั่วไป เราจะเรียกการเจริญเติบโตของเด็กว่า ‘โตขึ้น grow up’ หมายถึงสูงขึ้น แต่สำหรับแนวมนุษยปรัชญาเราเรียกว่า ‘โตลง grow down’ ซึ่งถ้าเปรียบการเติบโตของต้นพืชกับมนุษย์ จะโตในทิศทางตรงข้ามกัน ตัวอย่างเช่น หัวหอมจะโตจากหัวแทงยอดสู่ฟ้า ส่วนมนุษย์จะโตจากหัวเลื่อนลงสู่เท้า (Grow down)

เมื่อแรกคลอด หัวเป็นอวัยวะส่วนที่แข็งแรงที่สุดและเคลื่อนไหวได้มากที่สุด เช่น เด็กจะร้องไห้เมื่อหิว กลอกตามอง จากนั้นก็เลื่อนลงมายังคอ ลำตัว และแขนขา กระทั่งพลิกตัว นั่ง คลาน ตั้งไข่ และเกาะเดิน เช่นเดียวกับการพัฒนาตัวอ่อนของทารกในครรภ์มารดา หัวจะพัฒนาก่อน แล้วก็มือ ต่อจากนั้นก็ลำตัวและขา เมื่อคลอดจากท้องแม่แล้ว แม้มือของเด็กจะพัฒนาขนาดใหญ่ไปตามวัย แต่การควบคุมการใช้งานก็ค่อยเป็นค่อยไป เด็กจะค่อยๆ ยืดมือจนสุดและกางได้สุดแขนเมื่ออายุ 12 ปี

เมื่อยืดมือจนได้สุดแขน หากวัดความยาวของมือที่สุดแขนกับความยาวจากส่วนหัวถึงเท้าจะยาวพอๆกัน แต่บางคนก็อาจจะวัดได้ว่าความยาวจากหัวถึงเท้าจะยาวกว่าความยาวของการยืดสุดแขนเล็กน้อย การทดสอบที่ทำกันมานานในเรื่องพิจารณาสัดส่วนของเด็กว่าพร้อมขึ้นชั้นประถมหรือไม่ คือการที่เด็กนำมือข้างหนึ่งอ้อมศีรษะไปจับหูอีกข้างหนึ่งได้ ถ้าเด็ก 6 ปีจะจับปลายหูด้านบน พอ 9-12 ปีก็จับถึงปลายหูด้านล่างได้ การใช้สัดส่วนวัดเป็นเพียงตัวบ่งชี้หนึ่ง แต่ก็อาจมีเด็กบางคนที่สรีระของเขาไม่เหมือนเด็กในวัยเดียวกัน กล่าวคือแขนสั้นกว่าคนอื่น

ตัวอย่างเช่น ในประเทศแอฟริกามีภาพน่ารักของเด็กๆ มาทดสอบการขึ้นชั้นประถมด้วยการเข้าแถวแล้วเอามือเอื้อมจับหูอีกข้างให้ครูดู น้ำตาก็ไหลเป็นทางเพราะกลัวเอื้อมจับไม่ถึง

4.ความสัมพันธ์ (Coordination)

ประสาทสัมผัสของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 แบบ การรับรู้ระหว่างภายนอกและภายใน เช่น หู ตา จมูก ปาก กายสัมผัส เป็นต้น ประสาทสัมผัสเหล่านี้จะทำงานเชื่อมกับระบบประสาทและสมอง เมื่อเด็กพร้อมเรียนเราจะสังเกตการทำงานเชื่อมกันระหว่างประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น ตากับมือ แขนกับขา จนถึงการรับรู้สิ่งที่ตรงข้ามแบบการสะท้อนของกระจก และความเข้าใจเรื่องเส้นแบ่งและจุดตัดกัน ซึ่งโดยทั่วไปเด็กจะรับรู้ได้เมื่ออายุราว 9 – 12 ปี

เด็กเล็กๆ มีการเติบโตไปตามธรรมชาติ ตั้งแต่แรกเกิดจนสามารถยืนได้ ทำให้เห็นชัดว่าทุกขั้นทุกตอนของการเปลี่ยนแปลงจากนอนแบเบาะเป็นพลิกคว่ำ กระดึ๊บคืบคลาน นั่ง เกาะ และเดิน เด็กพยายามหาจุดความสัมพันธ์ในร่างกายของตัวเอง ช่วงกระดึ๊บคืบคลานเด็กใช้มือและแขนเกาะ ปลายเท้าดันพื้นเคลื่อนตัวไปราวกับจิ้งจก และเมื่อยืนได้ ฝ่าเท้าของเด็กจะค่อยมีรอยเว้า หากฝ่าเท้ายังนูนอยู่เด็กจะยังยืนไม่ค่อยดีนัก เมื่อเติบโตขึ้นถึงวัยพร้อมเรียน เด็กจะรู้จักทรงตัวในแนวตั้งตรง เอนทางซ้ายย้ายทางขวา โยกไปด้านหน้าด้านหลังได้โดยไม่เสียหลัก การกระโดดข้ามเส้น เด็กจะกระโดดไปข้างหน้าและกระโดดถอยหลังได้

วิธีช่วยเสริมให้เด็กหาจุดสัมพันธ์ในร่างกาย ครูอนุบาลอาจจะใช้บทกลอน บทคล้องจอง บทเพลงมากมาย หรือเล่นลีลาประกอบจังหวะ โดยนำเอาความสัมพันธ์ในร่างกายต่างๆ ที่เด็กพร้อมเรียนควรทำได้ เช่น การทรงตัว ซ้ายขวา ขึ้นลง โยก กระโดด ยืนด้วยขาข้างเดียว ฯลฯ ครูควรออกแบบลีลาประกอบจังหวะโดยอาศัยพื้นฐานของ From drawing  ลีลาเส้นแบบง่ายๆ

5.สังคม (Social)

เด็กในวัยอนุบาลจะมีบทบาทในสังคมแบบพี่น้อง เด็กที่อายุ 3 – 7 ปีจะเล่นด้วยกัน มีการเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบการกระทำของครูและพี่ที่โตกว่า พี่โตจะดูแลน้องได้ จะพาน้องๆ เล่นและพาทำงานในห้องอนุบาลได้ราวกับเป็นผู้ช่วยครู บทบาทของเด็กจะเปลี่ยนไปตามวัย ตัวอย่างเช่น การเข้าชั้นอนุบาลในปีแรกบทบาทจะเป็นน้อง เด็กก็จะมักเฝ้าสังเกตดูการเล่นของพวกพี่ๆ อาจทำตามบ้างหรือยอมเป็นตัวประกอบในการเล่นของพี่ๆ เด็กอนุบาลปีที่ 2 มีบทบาทรับผิดชอบตนเอง และการงานในห้องอนุบาลมากขึ้น อนุบาลปีที่ 3 เด็กมีประสบการณ์ในห้องอนุบาลมาแล้ว 2 ปี เขาจึงทำการงานทุกอย่างๆ เด็กที่รู้เรื่องมาหมดแล้ว ทำตัวเสมือนผู้ช่วยครู มั่นใจ อารมณ์ค่อนข้างสงบ สามารถช่วยครูจัดการ การงานต่างๆ ในห้องอนุบาลได้เแม้กระทั่งจัดการปัญหาการทะเลาะกันของน้องๆ

เด็กที่พร้อมเรียนจะมีพลังเจตจำนง (will) ความมุ่งมั่นในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งของเขา เขาต้องการทำให้สำเร็จชัดเจน และการวางตัวได้ดีในบทบาทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุในชั้นอนุบาลทำให้เราทราบว่าเด็กวางตัวได้สมอายุ

6.การเลียนแบบและการเคารพสิทธิ์ (Imitation /Authority)

พัฒนาการการเรียนรู้ตามธรรมชาติของวัยเด็ก มีความชัดเจนว่าเด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ เด็กจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ จากผู้ใหญ่มาเป็นการเล่น เปรียบเสมือนคำพูดที่ว่า ‘ย่อยความรู้จนเป็นความเข้าใจ’ เหมือนดังอาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกายจะต้องผ่านขบวนการย่อยและเปลี่ยนเป็นพลังงานเสียก่อนจึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย การห้ามเด็กไม่ให้เล่นจะทำให้เด็กชะงักจินตนาการ การห้ามไม่ให้เด็กช่วยผู้ใหญ่จะทำให้พลังเจตจำนง (will) ความมุ่งมั่นในวัยเด็กห่อเหี่ยว

ตัวอย่างเช่น เด็กที่ประเทศไต้หวันถูกสอนให้เริ่มเรียนเขียนอ่านตั้งแต่อายุน้อยๆ ในห้องเรียนอนุบาลจะเต็มไปด้วยเก้าอี้ ครูในโรงเรียนนี้จึงตัดสินใจใหม่โดยอนุญาตให้เด็กได้รับการเล่นเช่นเดียวกับอนุบาลวอลดอร์ฟ ครูบอกให้เด็กเล่นอะไรก็ได้แม้แต่โต๊ะเก้าอี้ก็นำมาเล่นได้ ตอนแรกเด็กๆ พากันงงเพราะไม่รู้จะเล่นอะไรดี ผ่านไปประมาณ 3 นาทีเด็กช่วยกันคว่ำโต๊ะลง เอาตัวเข้าไปนั่งตรงกลางแล้วสมมุติเป็นเรือพายพายไปรอบๆ ห้อง

เด็กที่พร้อมเรียนจะมีความสามารถในการเลียนแบบสิ่งที่เห็นได้อย่างลื่นไหล ทั้งออกมาในรูปแบบของการเล่นและการเลียนแบบผู้ใหญ่ทำงาน เสมือนเด็กกำลังทำงานจริงๆ

การเคารพสิทธิ์ เด็กควรได้รับการส่งเสริมเรื่องนี้ในวัยอนุบาล ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเด็กไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติๆ หรือครูเปรียบเป็นผู้ทรงสิทธิ์ เหมือนผ้าคลุมที่คอยปกป้องเด็กให้อบอุ่นและปลอดภัยจากอันตรายภายนอก ผู้ใหญ่ต้องมีสิทธิ์ตัดสินใจให้เด็กว่าเด็กควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร การเป็นผู้ทรงสิทธิ์นั้นต้องทำด้วยความเมตตาและความปรารถนาดี ให้ขอบเขตที่ชัดเจนแก่เด็ก เด็กจะรู้สึกอบอุ่น รักและวางใจในตัวผู้ใหญ่ ดังนั้นในวัยเด็ก การเป็นผู้ทรงสิทธิ์จึงอยู่ที่ผู้ใหญ่ เด็กเป็นผู้เคารพสิทธิ์ เด็กพร้อมเรียนจะยอมรับและเคารพสิทธิ์ในตัวครูได้อย่างน่ารัก

7.ความต่อเนื่องที่ปรากฏในการต่อเรื่องเล่าและการเล่น (Continuation Story & Play) 

เด็กวัยอนุบาลจะเป็นวัยที่มีจินตนาการสูงมาก เขาสามารถเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นสิ่งของที่ต้องการผ่านการสมมติ และนำเอาไปเล่นได้อย่างสนุกสนาน ภาพในใจของเด็กมักผุดขึ้นอย่างมากมายและเปลี่ยนเรื่องราวที่เล่นไปเรื่อยๆ ตามความพอใจ ทุกๆ 10 – 20 นาที เด็กๆ จะพากันเปลี่ยนไปเล่นเรื่องอื่น เนื้อเรื่องของการสมมติเป็นเรื่องต่างๆ ที่เห็นมาจากผู้คนและสิ่งรอบข้าง ซึ่งเด็กที่พร้อมเรียนพวกเขาสามารถเล่นต่อเรื่องเดิมที่เล่นไว้เมื่อวันก่อนได้

เมื่อความต่อเนื่องเกิดขึ้นในตัวเด็ก เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่ผู้ใหญ่ควรรับรู้ได้ว่าเด็กเริ่มมีความจำ (Memories) ซึ่งไม่เหมือนกับความจำจากการท่องจำคำศัพท์ในโรงเรียนเร่งเรียน แต่เป็นความจำที่เด็กจำเรื่องที่ตัวเองสร้างได้ เด็กพร้อมเรียน มีภาวะการตื่นมากกว่าเด็กวัยอนุบาลที่อยู่ภวังค์แห่งความฝัน เด็กพร้อมเรียนมีการทำงานของกายวิญญาณเมื่อร่างกายนอนหลับ กายเนื้อ (Physical body) และกายพลังชีวิต (Etheric body (Life)) จะอยู่ในร่างที่เตียงนอน ส่วนกายความรู้สึก (Astral body) และกายฉัน (Ego (Self)) ขึ้นไปทำงานร่วมกับโลกจิตวิญญาณ เด็กจึงได้ย้ำในสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ว่าต้องการจะทำอะไรเมื่อตื่นขึ้น เขาจึงเหมือนคนแบกภาระหน้าที่ทำต่อให้เสร็จดั่งที่ตั้งใจ

ครูจะมองเห็นได้ว่าเด็กเล่นเรื่องเดิมที่ต่อจากวันก่อนได้ บางคนขอร้องครูว่าอย่าเพิ่งเก็บสิ่งที่เขาเล่นไว้ เขาจะกลับมาเล่นต่อในวันรุ่งขึ้น ‘ความต่อเนื่อง’ เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดในตัวบ่งชี้อื่นๆ หากเกิดขึ้นในตัวเด็กก็ยิ่งชี้ชัดว่าเด็กคนนี้พร้อมเรียน

8.การวาดภาพ (Drawing) 

พัฒนาการการวาดภาพของเด็กจะเป็นไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กหัดเดินได้เองโดยไม่มีใครต้องสอน เด็กขีดเขียนลายเส้นต่างๆ โดยสะท้อนสิ่งที่เป็นตัวของเด็กในขณะนั้นออกมา เมื่อมองจากภายนอก เด็กเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างมาก นับจากเด็กแรกเกิดจนถึง 7 ปี เด็กมีพัฒนาการทางกายโตขึ้นเป็นลำดับและอวัยวะภายในก็ค่อยๆ สร้างขึ้นจนสมบูรณ์ทุกส่วน การวาดภาพของเด็กจึงมีลำดับว่าเด็กกำลังทำอะไรกับการสร้างร่างกายของเขา จากลายเส้นไร้ทิศทางจนมาเป็นวงกลม จากภาพวาดของเด็กภาพหนึ่ง

หากบอกว่า ‘วงกลม คือ ใครสักคน’ เขากำลังวาดแค่หัวของคนๆนั้น ใช้เวลาอีกหลายวัน บางคนก็เป็นเดือน บางคนก็เป็นปี จากภาพวาดแค่หัวอย่างเดียวก็มีมือออกไปสัมผัสเรียนรู้โลก ภาพวาดบอกเราได้ว่าเด็กกำลังพาตัวเองออกไปสู่โลกภายนอกคล้ายการสร้างตัวอ่อน จากแขนก็เป็นขา ลำตัวที่ยาวลงมาและมีเส้นขวางคือซี่โครง ภาพวาดของเด็กก็กำลังสะท้อนการทำงานของเขาว่าร่างกายของเขากำลังสร้างกระดูกซี่โครงให้แข็งแรงอยู่ พอเด็กวาดภาพลำตัวได้ ใบหน้าก็จะปรากฏรายละเอียดมี หู ตา จมูก ปาก การวาดแขนนั้นเด็กจะวาดแขนอยู่ใต้คอก่อน จากนั้นแขนจึงออกมาจากลำตัวซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกต้อง ภาพวาดของเด็กจะถูกส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการสะท้อนการสร้างร่างกายของเด็กที่สร้างส่วนต่างๆ เสร็จไปตามลำดับ

ซึ่งตัวบ่งชี้ทั้ง 8 ข้อนี้ไม่สามารถวัดได้แค่ตัวใดตัวหนึ่ง แต่ต้องประกอบกันหลายๆ ตัว ส่วนตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดนั้น คือ ‘การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต่อเนื่องกันได้’ ส่วนการเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาพร้อมหรือไม่พร้อมที่จะเรียน ต้องอาศัยผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก ติดตาม สังเกต รู้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยปกติเด็กที่อายุ 6 ปีกว่าย่างเข้า 7 ปีจะสามารถพบร่องรอยตัวบ่งชี้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่หากยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเด็กพร้อมเรียนหรือไม่ ต้องเป็นเรื่องของนักบำบัดแนวมนุษยปรัชญาเข้ามาช่วยเหลือ นักบำบัดจะทำหน้าที่สังเกตเด็ก และทำงานร่วมกันกับพ่อแม่และครู เราจะร่วมกันทบทวนทุกอย่างที่เกิดกับเด็กคนนี้ หาข้อดีของเขา การทำงานร่วมกันของเราจะไปในทางที่สร้างสรรค์และร่วมมือแก้ไข เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาต่อไปได้

Tags:

การศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)School readinessอภิสิรี จรัลชวนะเพท

Author:

Illustrator:

illustrator

มานิตา บุญยงค์

กราฟิกดีไซน์เนอร์ที่รักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ ฝากติดตามผลงานที่ IG : mntttk ด้วยนะคะ

Related Posts

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning TheoryEarly childhood
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning TheorySocial Issues
    ให้การ ‘อยู่บ้าน’ ครั้งนี้ เป็นโอกาสดีได้ทำความรู้จักลูกจริงๆ ผ่านงานบ้าน งานครัว งานสวน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel