Skip to content
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Myth/Life/CrisisLife classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy life
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก

Year: 2019

มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”
Creative learning
11 September 2019

มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • โรงเรียนต้องเปลี่ยนจากที่ที่เด็กมาเรียน มาเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคน – แนวคิดสำคัญของโรงเรียนมีชัยพัฒนา
  • มีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโรงเรียน ต้องการสร้างคนที่ประเทศต้องการคือมีทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต เพื่อออกไปใช้ชีวิตได้จริง
  • “ฉะนั้นการศึกษาต้องเข้าใจจริง ปฏิบัติได้ มีเหตุมีผล” เพราะที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบัน เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว
  1. ด้วยเนื้อที่ขนาด 8 ไร่ มี ‘ไม้ไผ่’ เป็นขาใหญ่ยึดอยู่แทบทุกตารางเมตรของโรงเรียน จนได้สมญาว่า Bamboo School
  2. ถึงแม้จะเปิดอย่างเป็นทางการมา 12 ปี แต่ ณ ตอนนี้รับนักเรียน ม.1-ม.6 ได้เต็มที่เพียง 180 คน ชั้นการเรียนละ 1 ห้อง ห้องละ 30 คน ต่อครูดูแลห้องละ 2 คน
  3. ถามเพิ่มว่ารับได้อีกไหม… “ถ้ารับ เราต้องดูว่าเรารู้จักชื่อเขาไหม รู้จักหน้าเขาไหม ไม่รู้จักหน้ามันเหมือนนักโทษ มันต้องค่อยๆ ขยาย ตอนนี้ห้องละ 30 ก็เพิ่มเป็น 35 ก็ได้ แต่ต้องจำเด็กๆ ให้ได้ทุกคน” 
  4. ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักเรียนที่นี่ตกราวๆ คนละ 100,000 บาทต่อหนึ่งปีการศึกษา แต่จะไม่ได้เก็บค่าเล่าเรียนเป็นเงิน ใช้การปลูกต้นไม้และทำความดีแทนค่าเทอม
  5. ไม่มีการสอบเข้า แต่จะมีการสัมภาษณ์ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และตัวเด็กเอง ตั้งคำถามและประเมินโดยเด็กๆ เอง เพราะที่นี่นักเรียนเป็นผู้บริหารผ่านตัวแทนที่เรียกว่า ‘คณะมนตรี’ ไม่ใช่คุณครูหรือผู้อำนวยการ

“ผู้อำนวยการ มีหน้าที่แค่ทำตาม” มีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์แนะนำโรงเรียน

มีชัย วีระไวทยะ

ทำไมต้องสร้าง โรงเรียนมีชัยพัฒนา

ชีวิตผม 50 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องการวางแผนครอบครัว โรคเอดส์ ขจัดความยากจน การสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน ช่วยเหลือตนเองด้านการเงินด้วยธุรกิจเพื่อสังคม 

พอทำมาหมด ขั้นตอนต่อไป คือเรื่องการศึกษา เพราะตอนนี้ประชากรเกิดน้อย คุณภาพการศึกษาจึงต้องดีเป็นพิเศษ 

สมัยนี้มีโลกใหม่ๆ เข้ามาหลายใบ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เคยมีคำพูดว่า ใครอยากทำงานง่ายๆ ให้ไปทำงานธนาคาร ตอนนี้ไม่มีธนาคารจะให้ทำแล้ว โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง 

เปลี่ยนโรงเรียนจากโทรศัพท์ตั้งโต๊ะเป็นโทรศัพท์มือถือ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคนในชุมชน แล้วเอาโรงเรียนเป็นประตูไปสู่ความเจริญของหมู่บ้าน ใช้นักเรียน ครู ใช้ทุกอย่างเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญ ได้มาตรฐาน

ไม่ใช่เป็นแค่โรงเรียนเฉยๆ โรงเรียนต้องเป็นจุดศูนย์กลางพัฒนาชุมชน นักเรียนต้องได้รับการฝึกและลงมือทำจริง 

เราต้องการสร้างคนที่ประเทศต้องการ ประเทศสร้างคนที่เราไม่ต้องการเยอะแล้ว คนโกง อาชีพไหนบ้างไม่มีคนโกง คนรวยที่ไม่คิดแบ่งปันคนจน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่คนไทยเลว แต่เพราะไม่ได้รับการฝึกให้แบ่งปัน ซื่อสัตย์ อดทน ไม่ย่อท้อ ทำอะไรแล้วอย่ายอมแพ้ง่ายๆ และรู้จักการเคารพสิทธิของผู้อื่นในทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องเพศสภาพ และต้องหาทางช่วยให้คนอื่นดีขึ้น 

ฉะนั้นค่าเทอมโรงเรียนนี้จึงจ่ายด้วยการทำความดี ปลูกต้นไม้ ไม่ได้จ่ายด้วยเงิน นักเรียนเป็นผู้บริหารโรงเรียน ชื่อ ‘คณะมนตรี’ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องผ่านคณะมนตรีโรงเรียน ไม่มีอะไรที่ไม่ผ่านคณะมนตรี เช่น ซื้อของ นักเรียนเป็นผู้ซื้อทั้งหมด ตั้งแต่ผลไม้ไปจนถึงรถยนต์ เวลามีแขกมา นักเรียนเป็นผู้ต้อนรับและชี้แจง เราสอนให้ทั้งทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ปิดเทอมก็ให้ทำงาน 

เด็กๆ ได้พบผู้ใหญ่จะได้พูดจาเป็น ตอบปัญหาเป็น เป็นโอกาสให้เขาได้มีทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนสิ่งเหล่านี้ 

ตอนแรกคุณมีชัยมองว่าโรงเรียนกับชุมชน ยังแยกส่วนกันอยู่?

(พยักหน้า) ต่อไปนี้โรงเรียนต้องเป็นส่วนสำคัญของชุมชน ชุมชนต้องเป็นส่วนสำคัญของโรงเรียน โรงเรียนต้องไม่ใช่ของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนต้องเป็นของประชาชน ของประเทศ ทุกอาชีพปล่อยให้กระทรวงเดียวดู ตายแน่ มันใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้กระทรวงเดียวดู

โรงเรียนต้องเปลี่ยนจากที่ที่เด็กมาเรียน มาเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคน 

จุดมุ่งหมายสำคัญอีกอย่างของโรงเรียน คือ เป็นโรงเรียนเตรียมครู เรามีโรงเรียนเตรียมกีฬา เตรียมทหาร ทำไมไม่มีโรงเรียนเตรียมครู เราจะเอาปัจจัยสำคัญๆ ของการเป็นครูที่ดีที่สุดในโลกใส่เข้าไปตั้งแต่เด็ก ม.1 ให้เขารับรู้ รับทราบ แล้วออกไปสอนในโรงเรียน

ครูรุ่นใหม่ต้องเป็นเพื่อนและพี่เลี้ยงของนักเรียน ไม่ใช่ไปยืนพ่นน้ำลาย และเป็นผู้ที่สร้างความเข้มแข็งให้แก่นักเรียนด้วย สอนในที่นี้ไม่ใช่สอนแต่วิชา แต่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ทั้งเรื่องธุรกิจ การช่วยเหลือชุมชน สอนให้นักเรียนพัฒนาโรงเรียนและออกไปพัฒนาชุมชน นี่คือครูรุ่นใหม่ที่ประเทศไทยยังไม่มี แต่โรงเรียนนี้กำลังสร้าง 

ที่ผ่านมา การแยกส่วนโรงเรียนกับชุมชนอย่างชัดเจน ก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง 

โรงเรียนเป็นเพชร แต่เราใช้มันเหมือนเป็นพลาสติก โรงเรียนเป็นนิติบุคคล มีที่ดิน มีอาคาร ไฟฟ้า น้ำ ครู มีชุมชน แต่เราไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์เลย 

ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ดึงโรงเรียนเข้ามาร่วมกับชุมชน แทนที่จะแยกกันอยู่ โดยส่วนตัว ผมอยากเสนอว่า ทุกอย่างที่ทำผ่านกรรมการหมู่บ้าน เราจะต้องทำผ่านโรงเรียน แล้วเอาโรงเรียนเป็นประตูไปสู่ความเจริญของหมู่บ้าน

หลักสูตรของโรงเรียนมีชัยพัฒนา เหมือนหรือแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปอย่างไร 

เราก็ต้องมีหลักสูตรตามที่กระทรวงฯ กำหนด เช่น คณิต วิทย์ ภาษาไทย ฯลฯ​ แต่เรามาเน้นว่าสอนอย่างไรให้น่าสนใจ ทำอย่างไรให้ที่นี่เป็นเหมือนสวนสนุกมากกว่าโรงพยาบาล ให้เด็กอยากเข้าห้องเรียน อยากเดินอยู่กับสิ่งเขียวๆ เจอของใหม่ เจอปัญหาที่ต้องขบ ต้องแก้ อยากได้อะไร เสนอมาได้ทั้งนั้น แต่ไปดูซิ ที่อยากได้มันราคาเท่าไหร่ ซื้อได้ที่ไหน จะเอาเงินมาจากไหนไม่ใช่ว่าแค่อยากได้แล้วต้องได้ 

เราสอนให้คิดละเอียด ซื้อของก็ต้องคิด ตรวจสอบก็ต้องคิด การก่อสร้างนักเรียนก็ต้องไปตรวจสอบว่าการวัด คำนวณ มันถูกต้องไหม เราสอนให้มีอะไรนอกเหนือไปจากหลักสูตร และเสนอให้มีทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ 

ปิดเทอม ม.2 เป็นต้นไปมีงานทำหมดทุกคน มีรายได้ ได้ไปสัมผัสกับบริษัท องค์กรต่างๆ มีธุรกิจในโรงเรียน มีกองทุนเงินกู้ให้ห้องละ 3 แสนบาทให้ทำธุรกิจอย่างจริงจัง ตอนนี้เราจะขยายให้มากขึ้น อยากให้นักเรียน ม.1-ม.6 มีเงิน 1 แสนบาทเมื่อจบจากการทำธุรกิจ 

เขาจะได้อยู่กับบ้านต่อไป ไม่ต้องทิ้งบ้าน ถ้าไม่ดีจริงก็ไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ ออกมาแล้วไม่ได้ฉลาดขึ้นจะเข้าไปทำไม จุดนี้สำคัญ เข้าไปแล้วได้อะไร แต่ที่นี่สอน ที่นี่ก็เหมือนกับมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต 

ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ มันเริ่มและปรับมาอย่างไร 

เริ่มต้นจากเกษตร เช่น ถั่วงอก 4 วันงอกแล้ว เมล็ดผัก 3-4 อาทิตย์ เก็บได้แล้ว นี่เป็นจุดเริ่มต้น เหมือนเป็นพรสวรรค์ที่สรรค์สร้างขึ้นมาได้ 

เราค่อยๆ ขยายธุรกิจจากเดิมมีไม่กี่ชนิด มาทำมะนาว เห็ด ตอนนี้เพาะเนื้อเยื่อ ซึ่งสอนกันตอนมหาวิทยาลัย ปี 4 แต่เราสอนตั้งแต่ ม.1 หลายๆ อย่างที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เราดึงลงมาอยู่มัธยม ควรทำอย่างนี้ในหลายวิชา ที่ผ่านมาเรามัวมาดองอยู่ในมหาวิทยาลัย 

แปลงผักไฮโดรโปนิกส์ เด็ก ม.1 ทำได้หมด ที่นี่เด็กได้สัมผัสของจริง การได้สัมผัสจริงเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ได้เรียนจากกระดาษอย่างเดียว  

อุปสรรคแรกๆ ในการก่อตั้งโรงเรียนมีบ้างไหม เช่น การทำความเข้าใจโรงเรียนในความหมายใหม่?

ผมไม่ถือว่าเป็นปัญหา ผมคิดว่าเป็นการเดินขึ้นเขา แล้วกล้ามเนื้อมันต้องตึง ผมไม่เคยถือว่าคำปฏิเสธของใครเป็นคำตอบของผม ผมถือว่าคำปฏิเสธของคนอื่นเป็นการเสนอให้ผมตั้งคำถามใหม่ 

เมื่อก่อนจอมพลถนอม ไม่เอากับผมตั้ง 5 ปีเรื่องวางแผนครอบครัว ตอนหลังเขาเบื่อเลยยอม เรื่องเอดส์แรกๆ เขาก็ไม่เอา ตอนหลังก็ยอมและทำมาตลอด 

ฉะนั้น ผมคุ้นกับการถูกปฏิเสธ เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผมทำอันนี้(โรงเรียน)ไม่มีคนต่อต้านผมเลย มีแต่ความยากจนที่ต่อต้านผม เพราะผมไม่มีเครื่องปั๊มเงิน 

ถ้าเปรียบปัญหาเหมือนแค่กล้ามเนื้อตึง เรามีวิธีนวดอย่างไร 

เรารู้ว่าร่างกายมันเปลี่ยนแปลง มนุษย์ส่วนใหญ่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงมันไปรบกวนสภาพชีวิตของเขา 

ให้นั่งเก้าอี้แข็งไม่ได้ ต้องนั่งเก้าอี้นุ่ม จุดนี้สำคัญ นี่คือสภาพทั่วไป เราเลยมองว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติ พระพุทธเจ้าสอนไว้ การเกิดมีทุกข์ ไม่อยากมีทุกข์ก็อย่าเกิดมา 

เกิดมาต้องทุกข์ ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ผมทำมาตลอด 

ระหว่างคำว่าการศึกษากับการเรียนรู้ ในความเห็นของคุณมีชัย มันต่างหรือเหมือนกันอย่างไร 

การเรียนรู้ ประเทศไทยบางทีเรียนแล้วมันไม่รู้ เรียนแล้วเรียน เรียนแล้วท่องจำ แต่ไม่ได้รู้ ฉะนั้นการศึกษาต้องเข้าใจจริง ปฏิบัติได้ มีเหตุมีผล 

ดูสิครับที่เข้ามหาวิทยาลัย ไปติวกันสะบั้นหั่นแหลกแล้วสำรอกออกมาในตอนสอบ แล้วตอนอยู่มหาวิทยาลัยทำอะไรได้บ้าง นอกจากวิชาการ ออกมารู้แค่ไหน ภาคปฏิบัติเป็นอย่างไร

มหาวิทยาลัยมันใหญ่เหลือเกิน มหาวิทยาลัยไม่ใช่ที่ที่จะฝึกสอนให้ดี น่าจะเริ่มที่โรงเรียน มหาวิทยาลัยควรจะลงไปช่วยโรงเรียนทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่กระทรวง มหาวิทยาลัยต้องเป็นพี่เลี้ยงให้โรงเรียน สร้างวัตถุดิบ สร้างคนตั้งแต่อนุบาล ไม่ใช่ปล่อยให้ใครไม่รู้สร้างแล้วมารับเบ๊เอาตอนปลาย 

แล้วในที่สุดต้องแบ่งอำนาจการศึกษามาอยู่ที่จังหวัด ให้มหาวิทยาลัยเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน แล้วเอาคนในชุมชนมาช่วยกันบริหารจัดการ ทำหลักสูตรใหม่ที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น บริหารการศึกษาขอนแก่นไม่ได้เหรอ กระทรวงควรเป็น regulator ไม่ใช่ operator เป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ปฏิบัติ จังหวัดไหนพร้อม ทำเลย ถ้ามหาวิทยาลัยรันโรงเรียนไม่ได้ก็แย่แล้ว อย่ามีประชาธิปไตยสิ ถ้าแค่บริหารโรงเรียนก็ยังทำไม่ได้ 

ที่บอกว่าเป็นโรงเรียนเตรียมครู มีวิธีเตรียมครู บริหารจัดการ เสริมสร้างอะไรให้ครูบ้าง 

ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเผื่อคุณไม่มีสันดานเป็นครู คุณอย่ามาอยู่ที่นี่ มันไปทำลายเด็ก คุณต้องมีจิตใจอยากจะช่วยเด็ก อยากสอนเด็ก เอ็นดูเด็ก 

โรงเรียนนี้ไม่เหมือนโรงเรียนอื่นที่สี่โมงเย็นคุณจบแล้ว แต่ที่นี่เลิกเรียนครูจะอยู่กับเด็ก มาถามอะไรได้ ครูต้องเป็นมิตร เป็นญาติกับเด็ก 

เราพยายามให้ครูไปสัมผัสข้างนอก ไปอบรมต่างๆ แต่ไม่ได้ดูแลอะไรเป็นพิเศษ บอกแต่ว่าอยากให้ก้าวหน้า ย้ำเสมอว่า “โรงเรียนนี้ไม่ได้มีสำหรับครูหรือผม มีไว้สำหรับนักเรียน จำไว้ เราต้องช่วยให้นักเรียนดีขึ้น” 

 มีวิธีเลือกรับเด็กอย่างไร 

อย่าถามผม ให้เด็กนักเรียนตอบ (ผายมือ)

‘เน้น’ นางสาวชรัญญกร อุตส่าห์ นักเรียนชั้น ม.6 หนึ่งในคณะมนตรี โรงเรียนมีชัยพัฒนา 

เน้น : จะเป็นการสัมภาษณ์น้องๆ ค่ะ  

เน้น : คำถามแรก จะให้น้องแนะนำตัวและบอกน้องว่าไม่ต้องตื่นเต้น ให้น้องรีแล็กซ์ที่สุด ยัง ป.6 อยู่น้องอาจจะตื่นเต้น เราให้น้องผ่อนคลายก่อนแล้วค่อยเริ่มถาม เช่น ทำไมน้องถึงอยากมาเรียนที่โรงเรียนนี้ ทราบไหมว่าที่นี่เขาไม่ให้ใช้โทรศัพท์นะ อยู่ได้ไหม เคยอยู่โรงเรียนประจำไหม อยู่ได้ไหม ไม่มีพ่อแม่นะ น้องมีเป้าหมายอะไรที่จะมาอยู่ในโรงเรียนนี้ 

เน้น : ถามความพร้อมตัวน้อง และความพร้อมในตัวผู้ปกครอง เพราะบางครั้งน้องไม่ได้อยากมา แต่พ่อแม่บอกว่าน้องอยากมาเรียนมากๆ เลยค่ะ เราเลยต้องแยกห้องสัมภาษณ์ เราจะได้รู้ว่าผู้ปกครองพูดจริงหรือเปล่า บางคนผู้ปกครองอยากให้มา แต่เด็กไม่ได้อยากมา 

ลึกๆ แล้วคุณมีชัยมองการศึกษาไทยอย่างไร 

ผมมองการศึกษาไทยว่าอยู่ในฐานะที่พัฒนาได้ เหมือนอาหาร ทำยังไงให้อร่อยขึ้น มีประโยชน์ขึ้น แล้วให้คนมาช่วยทำอาหารเพิ่มขึ้น ไม่ใช่นั่งกินอย่างเดียว มาช่วยกัน ทั้งพ่อแม่ ครู ชุมชน ฯลฯ

นักเรียนออกไปหาชุมชนแล้วดึงชุมชนเข้ามา อันนี้เป็นจุดเริ่มต้น เราต้องช่วยกัน เราอยากเป็นเหมือนสิงคโปร์เหรอ ก็ไม่ เราอยากเป็นคนไทยที่แบ่งปันเป็น ซื่อสัตย์ มีความสุขกับของง่ายๆ 

ผมหวังว่าเราจะช่วยเติมเต็มให้ แต่ผู้ประเมินไม่ควรจะเป็นผม ผมเป็นผู้ทำและพร้อมจะฟังว่ามีอะไรดีก็ควรขอบคุณ อะไรที่ควรพัฒนาก็บอก ผมพร้อมเสมอที่จะจัดการ 

ผมถามนักเรียนเสมอว่าอยากปรับปรุงไหม อยากทำอะไร เสนอมา อยากมีเฮลิคอปเตอร์ก็เสนอมา ผมก็จะถามต่อว่าเอาเงินมาจากไหน ขับเป็นหรือยัง ที่สุดแล้วก็บอกว่า อย่าขอของที่เป็นไปไม่ได้ 

มีวิธีเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไร 

หลายแห่งเขาไปติว ผมไม่เอา การติวแสดงว่าโรงเรียนด้อยพัฒนา ผมเตรียมทั้งด้านจิตใจ ด้านฝึกอบรม ตอบคำถามและตั้งคำถาม ตอนนี้หลายแห่งเริ่มดูนิสัย ทัศนคติ กิจกรรม ไม่ได้ดูคะแนน ฉะนั้นเราต้องเตรียมคนที่ดี ตอบคำถามเป็น ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ แต่สามารถตอบได้ว่า หนูไม่รู้คำตอบนี้แต่อยากจะแนะนำอย่างอื่นให้ ได้ไหมคะ

ไม่ใช่แค่สอบสัมภาษณ์ในมหาวิทยาลัย แต่หลายๆ ที่วัดกันด้วยความคิด ทัศนคติ คิดว่าทำไมการคัดเลือกถึงเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ 

ความสำคัญของคนอยู่ที่ความคิด ไม่ได้อยู่ที่กระดาษ บางคนได้เกียรตินิยม เรียนเก่ง ท่องจำเก่ง ไม่ใช่เขาไม่ดีนะ แต่โลกของการบริหารจัดการไม่ได้ต้องการคนแบบนี้ 

คนที่สำเร็จ ต้องเคยสอบตก แต่ที่นี่ เรามีคะแนนให้และได้คะแนนเป็นเงินด้วย สมมุติได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ 80 บาท บางคนได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ 20 บาท เราต้องการสร้างให้เห็นว่า 1. การเรียนสนุก 2. ความไม่สำเร็จ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จได้ อย่าท้อ 

อย่างที่เราไปช่วยทำให้โรงเรียนข้างนอก มีฟาร์มให้ มีเงินกู้ให้ เด็กก็สนุก มาโรงเรียนเร็วขึ้น 

คนให้ความสำคัญกับความคิดมากขึ้น เรากำลังเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ในความเห็นคุณมีชัย เราควรมีอะไรบ้างที่ทำให้อยู่ได้และอยู่อย่างแข็งแรง 

1. ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น อันนี้เปิดประตูให้เราหลายแห่ง บางแห่งเราเข้าไม่ได้เพราะเขาไม่เปิดประตู การแบ่งปัน ความกรุณาปรานี เป็นจุดสำคัญมาก 

2. ไม่โกง ให้เกียรติคนอื่น ฟังเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้คนหันมอง และควรตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา ใน

การเรียนมหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่ไหม 

ถ้ามหาวิทยาลัยทำให้เด็กดีขึ้น จะสำคัญ แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ควรจะปิดไปซะเป็นส่วนใหญ่ 

ทำให้ดีขึ้น ดีแบบไหนคะ 

มหาวิทยาลัยควรจะดูว่าเด็กทุกคนไม่เหมือนกัน เด็กไม่ใช่ปลา ไม่ใช่นก ไม่ใช่ลิง ทำไมต้องท่องจำเก่งถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ มหาวิทยาลัยควรเป็นที่พัฒนาคน 

อีกอย่าง ข้อสอบทั้งในมหาวิทยาลัยและในโรงเรียน ควรทำหน้าที่เหมือนหมอตรวจสุขภาพ ไม่ใช่ตอบว่าคนนี้ใกล้จะตายแล้วหรือคนนี้ขึ้นสวรรค์ มันควร diagnose หรือ วินิจฉัยเพื่อบอกสภาพ ว่าควรลดกินอาหารชนิดนี้ ควรเพิ่มการออกกำลังกาย เช่นเดียวกัน มหาวิทยาลัย ไม่ได้มีแต่สอบได้กับสอบตก ชีวิตนี้มีสอบตกไหม ไม่มี มีแต่ตาย

ผมนี่เป็นนักสอบตก ประถมก็สอบตก มัธยมก็สอบตก มหาวิทยาลัยก็สอบตก เพราะผมไม่ชอบเรียน วิธีสอนมันไม่ตรงกับผม แต่ในที่สุดผมก็สอบได้เพราะไม่งั้นมันจะออกจากไอ้ตรงนี้ไม่ได้ แล้วผมก็มาทำสิ่งต่างๆ ที่ผมถนัด ที่อยากทำ และผมทำมาก (เน้นเสียง) กว่าตอนเรียนหนังสือเยอะ เพราะตอนเรียน ผมไม่สนุก 

ตอนที่ผมจบมาจากออสเตรเลีย ทำงานที่สภาพัฒน์ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ผมทำงาน 5 อย่างนะ สอง สอนธรรมศาสตร์ สาม เขียนให้ นสพ.บางกอกโพสต์ ทุกจันทร์ สี่ จัดรายการวิทยุทุกคืนวันจันทร์ถึงเสาร์ ห้า เป็นพระเอกละครคู่กรรม ช่อง 4 บางขุนพรหม (โกโบริ) ผมเรียนรู้หลายอย่าง เหนื่อยกว่าเรียนหนังสือนะ แต่สนุก 

ทำอย่างไรให้การเรียนสนุก อย่างผมสอบบัญชี ผมตก ผมก็เลยไปสมัครงาน ขอไปอยู่แผนกบัญชี ได้ลองทำ เลย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ใช้เวลาเรียนรู้ยังไม่ถึงครึ่งของตอนเรียนเลย ผมสรุปได้ว่าอาจารย์กับผม วิธีคิดไม่ตรงกัน ดังนั้นมหาวิทยาลัยควรมีหน้าที่เทรนคน ฝึกคน ให้ลงมือทำจริงมากที่สุด เรียนรู้ไป 

ตอนแรกประเทศไทยเอาแบบฝรั่ง เรียนปริญญาตรี 4 ปี แล้วมาต่อปริญญาโท แต่เราไม่มีครูที่สอนการพัฒนา สอนให้เด็กทำธุรกิจเป็น เป็นเด็กวิสาหกิจ ธุรกิจเพื่อสังคม และสร้างความเข้มแข็งให้กับเด็กและชุมชน 

พอเด็กจบไป เขาจะไปเป็นผู้ใหญ่บ้าน นักธุรกิจ เขาก็ยังบริหารจัดการและอยู่ในชุมชนได้ แต่ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยมีเพื่อดึงคนออกจากหมู่บ้านนะ ตอนนี้มีเด็กที่เป็นกำพร้าเทียม 6 ล้านคน อยู่กับปู่ย่าตายาย พ่อแม่ไปทำงานข้างนอก เพราะตอนเรียนหนังสือไม่มีใครสอนเขา 

ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็กๆ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร จบปริญญาตรีก็ยังไม่รู้ เราโทษอะไร หรือใครได้ไหมคะ

โทษคนมันก็ง่าย แต่ควรจะหาว่าจะแก้ยังไงมากกว่า ความผิดคนมันชี้ง่าย แต่วิธีการควรจะทำยังไง นี่สำคัญ 

ตอนที่เขาเรียนควรจะฝึก ที่นี่มีวันหนึ่ง เรียกว่า ‘วันเตรียมอนาคต’ ทุกๆ วันพุธ ใครอยากสอนก็ออกไปสอน เปิดโอกาสให้เขาทดลองทำตั้งแต่เขาเป็นนักเรียน ไม่ใช่ไปอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว เรียน 4 ปี ค่อยออกมาทำ 

แต่ถ้าทำอย่างนี้จะรู้ก่อนเลยว่า อยากเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่อยาก แล้วถ้าเข้า อยากเรียนอะไร 

วันเตรียมอนาคต เราต้องการให้เด็กรู้สึกว่าฉันต้องนึกถึงอนาคต วันหนึ่งฉันต้องมีงานทำ อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร เช่น ที่นี่มีเด็กชุดหนึ่งทำอาหารไปให้ผู้ป่วยที่โรงพยาบาลทุกวันพุธ ไปเยี่ยม เล่นดนตรีให้ฟัง เด็กไปเห็นผู้ป่วย ก็รู้สึกว่าทำไมโรงพยาบาลแน่นอย่างนี้ เต็มไปด้วยคนแก่ ได้เห็น ได้รู้สึก และคิดได้ว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ให้เขาตั้งคำถามต่อชีวิตเขาว่า ฉันอยากจะมีความสุข หรือ อยากจะมีเงิน ฉันอยากทำอะไรให้มีความหมาย ก็พยายามกระตุ้นเขาว่า ทำอะไรก็ได้ขอให้เป็น change maker ผู้เปลี่ยนแปลงในอาชีพนั้นๆ

ใครอยากทำอะไร ส่งไปทำ แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีใครอยากเป็นพระเลย ถ้ามีก็จะส่งไป (หัวเราะ) 

แต่เด็กก็ยังต้องสอบ O-NET อยู่ จะทำอย่างไร

ใช่ๆ เขาต้องสอบได้ ไม่ต้องเป็นห่วงมาก เขาทำได้ดีด้วย แต่เราไม่ได้ไปสนใจว่าเขาทำได้ดีหรือไม่ดี โอเน็ตไม่ได้บอกว่าคุณภาพของเด็กอยู่ที่ไหน 

เราฝึกเด็กให้มีวุฒิภาวะ เพราะฝึกแต่วิชาการมันไม่มีวุฒิภาวะ ความมั่นคงในตัวเขามี อันนี้สำคัญ

เชื่อว่าหลายโรงเรียนก็อยากเป็นแบบนี้ แต่ทำไม่ได้?

ไม่ได้ทำ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้  บางคนบอกคุณมีชัย ทำไมไม่ขยาย ผมบอก อยากได้สัก 8,000 แห่งเลย แต่ผมไม่มีเครื่องปั๊มเงินไง

อยากจะให้ท่านเอาเงินมา ผมสอนให้หมด เงินแบ่งเป็นสามก้อน หนึ่ง ค่าที่ดิน ก่อสร้าง สอง ค่าบริหารจัดการ 8 ปี และสาม กองทุน สำหรับธุรกิจเพื่อสังคม โรงเรียนต้องเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต ไม่ใช่รอรับเงินตลอด

ไอ้ที่บ่นๆ บ่นแล้วไม่ได้อะไร ถ้าบ่นแล้วมันได้ ผมจะบ่นทุกวันเลย (หัวเราะ) เลยมาทำโรงเรียน อาจจะไม่สำเร็จวันนี้ก็ได้ แต่ทำต่อไป 

ทำไมโรงเรียนนี้ต้องเป็นไม้ไผ่

หนึ่ง ไม้ไผ่หาที่ไหนก็ได้ สองกินก็ได้ ใช้ทำอะไรได้หมด ใบไผ่ดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าใบไม้อื่น ตัดมัน ภายใน 5 ปี ก็ใหญ่เท่าเดิม มันยั่งยืน จะเอาซีเมนต์ต้องไปทุบภูเขา เป็นหลุม เป็นบ่อ เด็กก็เข้าใจ มันก็ร่มเย็นดี

บรรยากาศ สถานที่โดยรอบ ส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างไร 

คิดว่าการที่เราเห็นของเขียวๆ ร่มๆ เย็นๆ เป็นธรรมชาติ ถึงอยู่ในห้องก็ปีนออกมาได้ ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าถูกบีบ 

ต่อไป ผมจะมีชั่วโมงอ่านหนังสือให้มากที่สุด อ่านแล้วต้องเล่าให้ฟัง อ่านแล้วต้องเข้าใจ ไม่ใช่ไปดูแต่โทรศัพท์ อยากให้อ่านจากหนังสือจริง 

มีแผนรับเด็กเพิ่มอีกไหมคะ

ถ้ารับ เราต้องดูว่าเรารู้จักชื่อเขาไหม รู้จักหน้าเขาไหม ไม่รู้จักหน้ามันเหมือนนักโทษ มันต้องค่อยๆ ขยาย ตอนนี้ห้องละ 30 ก็เพิ่มเป็น 35 ก็ได้ แต่ไม่อยากให้เกิน 200 คนทั้งโรงเรียน 

ผมรู้จักทุกคน จำชื่อได้ยังไม่หมด แต่ก็ตามดูอยู่นะ เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นาน ส่งรูปทางไลน์มาให้ดูเรื่อยๆ นักเรียนต้องติดต่อกับผมทุกวัน ถ่ายรูป ตอนเช้าทำอะไร ถ่ายมุมต่างๆ ของโรงเรียน กิจกรรมนักเรียน แล้วในไลน์สะกดผิดไม่ได้นะ ต้องเช็คก่อน (หัวเราะ)

Tags:

ระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsมีชัย วีระไวทยะ

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • Character buildingCreative learning
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
EF (executive function)
10 September 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

การแพทย์ด้านสมองสมัยใหม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าเมื่อคนเราได้ยิน สมองส่วนที่เรียกว่า temporal lobe ซึ่งอยู่ด้านข้างๆ จะทำงาน เมื่อคนเรามองเห็นสมองส่วนที่เรียกว่า occipital lobe ซึ่งอยู่ด้านหลังจะทำงาน นี่กล่าวเฉพาะประสาทสัมผัสด้านการได้ยินและการมองเห็น  

แต่มนุษย์ยังมีจมูก ลิ้น กาย และใจ  ส่วนไหนทำงาน สมองส่วนที่รับผิดชอบจะปรากฏการเปลี่ยนแปลงให้เราเห็นได้เสมอด้วยเอกซเรย์สมัยใหม่ที่เรียกว่า fMRI และด้วยการตรวจวัดเมตาโบลิสซึมเฉพาะตำแหน่งของสารบ่งชี้

ใจคิด สมองเปลี่ยนแปลง เราแสดงให้เห็นได้ทั้งรูปภาพและตัวเลข

แต่มนุษย์มิได้มีเพียงประสาทสัมผัสเท่านั้นที่สาธิตให้เห็นได้ว่าสมองเปลี่ยนไป พัฒนา และเติบโต การแพทย์สมัยใหม่พบว่าสมองก่อตัวขึ้นด้วยปัจจัย 5 ข้อต่อไปนี้

​1. ประสาทสัมผัส

2. ความจำ

3. การตัดสินใจ

4. การเรียนรู้

​และ 5. การเคลื่อนไหว

อย่างสั้นที่สุดคือ อ่าน-เล่น-ทำงาน นั่นเอง

​ในท้ายที่สุดแล้วสมองจะมีเซลล์จำนวน 1 แสนล้านเซล์ (100 billion = 100,000,000,000) และจะมีจุดเชื่อมต่อประสาทที่เรียกว่า synapses จำนวน 1 ร้อยล้านล้านจุด (100 trillion = 100,000,000,000,000) ทั้งหมดนี้เริ่มต้นด้วยการอ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน

หากจะเปรียบเทียบการทำงานของสมองเป็นอะไรที่เราคุ้นเคย ตัวอย่างแรกคือสนามบินและจำนวนเครื่องบินที่บินไปมาทั่วโลก เซลล์สมองมีการรวมกลุ่มเป็นโหนด (node) ขนาดใหญ่หลายร้อยกลุ่มแล้วแต่ละกลุ่มทำงานเชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อนและทั่วถึง  

อีกตัวอย่างหนึ่งคือวงออร์เคสตรา เครื่องเป่า เครื่องสี เครื่องเคาะ เครื่องดีด ทั้งหมดนั้นทำงานพร้อมกันแต่เครื่องมือทุกชิ้นมีหน้าที่เฉพาะตัว เช่น ไวโอลินไม่เหมือนวิโอลา หากเครื่องดนตรีทุกชิ้นเปล่งเสียงด้วยความดังสูงสุดพร้อมกันเราย่อมฟังไม่เป็นเพลงเลย แต่เพราะเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นทำหน้าที่ของตัวโดยที่เครื่องอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังทำหน้าที่ของตัว แม้กระทั่งเครื่องเป่าอาจจะหยุดเป่าชั่วคราว ผลรวมของการประสานงานทั้งหมดนั้นคือการก่อกำเนิดของสมองและจิตใจ

เครื่องบินที่จอดเฉยๆ เครื่องดนตรีที่วางไว้เฉยๆ ยังมิใช่สมองและจิตใจ พวกมันต้องทำงาน

สมองซับซ้อนกว่าเครือข่ายสายการบิน จากงานวิจัยขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์งานวิจัยเพื่อดูการทำงานของสมองมากกว่า 10,000 ชิ้น ครอบคลุมวิธีคิดและทำงาน 83 รูปแบบ ได้ข้อสรุปว่าสมองทำงานด้วยโครงสร้างแบบโมดูล (modular structure) ในแต่ละโมดูลมีหลายโหนด การประสานงานกันในโมดูลเดียวกันมีความรวดเร็วมากกว่าการประสานงานกันข้ามโมดูล งานวิจัยพยาธิตัวตืด Caenorhabditis elegans ซึ่งมีเซลล์ทั้งตัวเพียง 302 เซลล์ก็พบโครงสร้างอย่างเดียวกัน นั่นคือเป็นโมดูล

ในแง่นี้คำเปรียบเปรยกับสายการบินหรือวงออร์เคสตรายังใช้ได้ดีอยู่ การต่อเที่ยวบินข้ามทวีปย่อมมีหลายขั้นตอนมากกว่าบินในประเทศ การสื่อสารภายในกลุ่มเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันมีความรวดเร็วมากกว่าข้ามกลุ่ม 

และหน้าที่ 5 อย่างของสมองข้างต้นมีลักษณะเป็นโมดูลด้วย

แม้ว่าเครื่องดนตรีทุกชิ้นในวงออร์เคสตราจะเล่นเป็นหนึ่งเดียว แต่ทุกชิ้นเป็นอิสระต่อกันในบางจังหวะเราจะพบว่ามีนักเป่าเป่าอยู่เพียงคนเดียว ขณะที่นักเป่าคนอื่นหยุดทั้งหมด เวลานั้นนักดนตรีชิ้นอื่นๆ ก็ยังคงเล่นอยู่เป็นบางชิ้นแล้วแต่วาทยกรจะกำหนด ที่แท้แล้วโหนดที่อยู่ต่างโมดูลกันยังสามารถทำงานพร้อมกันและด้วยกันข้ามโมดูลได้ด้วย เราเรียกว่าฮับ (Hub)

ฮับที่สำคัญคือฮับที่รับผิดชอบการควบคุมตนเอง การบริหารความจำใช้งาน และการคิดยืดหยุ่น ซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในบริเวณของสมองที่เรียกว่า fronto-parietal lobe ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฮับที่ทำงานด้านการยับยั้งปฏิกิริยา (response inhibition) เหมือนเครื่องเป่าทุกชิ้นที่ต้องหยุดเหลือเพียงเครื่องเดียวที่ยังเป่าอยู่ กระบวนการทางสมองทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า Executive Function (EF) 

คือฮับที่เราอยากให้เหลือรอดจากกระบวนการตัดแต่งสมองที่เรียกว่า synaptic pruning ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณอายุ 9-12 ขวบ เป็นดังที่พูดเสมอว่าหากถึงระดับประถมปลายแล้วยังไม่อ่าน ไม่เล่น ไม่ทำงาน เราจะเป็นห่วงมาก กล่าวคือสมองของเด็กทำงานได้เพียงระดับโหนดและโมดูล แต่ไม่มีฮับที่สำคัญหลงเหลือ

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อฮับสายการบินเสียหาย อาจจะเพราะพายุหรือก่อการร้าย หลายโมดูลจะหยุดทำงานไปด้วย เกิดความเสียหายแผ่ขยายกว้างไกลมากกว่ามาก

ในโครงการ Human Connectome Project ของ NIH ซึ่งศึกษาและทำแผนที่การทำงานของสมองตลอดชั่วอายุขัย พบว่าสมองที่มีการเชื่อมต่อระหว่างโหนด โมดูล และฮับมากกว่าจะทำให้เจ้าของสมองมีพัฒนาการด้านภาษา ระดับสติปัญญา ทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถประวิงความสุขที่เรียกว่า delayed gratification ดีกว่า ส่วนสมองที่มีการเชื่อมต่อน้อยกว่าจะมีความสามารถต่างๆ ที่เล่ามาต่ำกว่า ส่งผลต่อระดับสติปัญญา การตั้งสมาธิ นอนไม่หลับ และการใช้สารเสพติดที่สูงขึ้น

พูดง่ายๆ ว่าสมองสร้างคุณให้เป็นคุณ

ทารกเกิดมาไม่มีตัว ไม่มีตน การอ่าน-เล่น-ทำงาน ต่างหากที่สร้างเขาให้เป็นเขา

ข้อเขียนนี้แปลและเขียนใหม่จากบทความ ‘How Matter Becomes Mind’ ของ Max Bertolero และ Danielle S. Bassett รูปประกอบที่แสดงให้เห็นโครงสร้างของโหนด โมดูล และฮับ วาดโดย Mark Ross Studios ตีพิมพ์ในนิตยสาร Scientific American, July 2019 หน้า 18-25

(ยังมีต่อ)

หมายเหตุ : ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน เรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่านเล่นทำงาน: อ่านนิทาน
อ่านเล่นทำงาน: เล็กๆน้อยๆ แต่สำคัญมากของ‘นิทานก่อนนอน’ 
อ่านเล่นทำงาน: สมอง‘อ่าน’ อย่างไร
อ่านเล่นทำงาน: ความต่างระหว่าง‘อ่านออก(เร็ว)’ กับ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
ทำงาน: เด็กทำอะไรช้ามาจาก‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆจึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่านเล่นทำงาน: อ่าน‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่านเล่นทำงาน: อ่านวรรณคดีไทยลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

Tags:

นิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาพัฒนาการ

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก
BookFamily Psychology
10 September 2019

การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ความรู้สึกผูกพันในครอบครัวคือหัวใจสำคัญของพัฒนาการที่ดีทางอารมณ์และความรู้สึกของลูก ซึ่งมาจากการที่พ่อแม่ถ่ายทอดความรัก ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และเห็นคุณค่าของความรู้สึกของเขา
  • แต่การเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกนั้น พ่อแม่ยังต้องเคารพความต้องการพื้นที่ส่วนตัวของเขาอยู่ แม้อันตรายภายนอกอาจทำให้เราต้องระวัง แต่ต้องอยู่ในขอบข่ายที่ไม่ล่วงล้ำจับจ้องทุกกิจกรรมแบบไม่คลาดสายตา
  • ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกขาดไม่ได้ในการเลี้ยงลูก เพราะนัยหนึ่งมันคือการบอกว่าพ่อแม่เป็นพวกเดียวกันกับเขา กับทั้งยังเป็นวิธีที่เขาเรียนรู้คุณค่าความหมายของประสบการณ์

ความรู้สึกผูกพันในครอบครัวคือหัวใจสำคัญของพัฒนาการที่ดีทางอารมณ์และความรู้สึกของลูก ซึ่งมาจากการที่พ่อแม่ถ่ายทอดความรัก ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และเห็นคุณค่าของความรู้สึกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการได้แบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกร่วมกันกับครอบครัว (the sharing of emotions) 

เป็นข้อความที่กล่าวไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือ Parenting from the Inside Out เขียนโดย ดร.เดเนียล เจ. ซีเกล (Dr.Daniel J. Siegel) จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาครอบครัวแห่ง UCLA, Harvard Medical School และ แมรี ฮาร์ทเซล (Mary Hartzell) อาจารย์ที่ปรึกษาการเลี้ยงดูบุตรชื่อดัง

การสื่อสารในครอบครัวจึงเป็นคำตอบสำคัญของพัฒนาการทางอารมณ์ รวมถึงความรู้สึกผูกพันระหว่างพ่อ แม่ และลูก ซึ่งจะกลายเป็นพลังชีวิต (a sense of vitality) และจุดเริ่มต้นของทักษะการเข้าใจผู้อื่น (empathy) ต่อไป เราเลยอยากแนะนำวิธีสร้างความผูกพัน 7 ข้อง่ายๆ ที่เรียกว่าหลัก Integrative Communication มาบอกต่อคุณพ่อคุณแม่ให้ลองใช้วิธีเหล่านี้สื่อสารกับลูก

  1. มีสติ (Awareness) นอกจากตระหนักรู้ว่าตนเองกำลังมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร ต้องรู้จักอ่าน ‘ภาษากาย’ หรืออากัปกิริยาของลูกออก และเลือกที่จะตอบสนองเขาด้วยวิธีการทางบวก 
  2. ปรับจูนเข้าหาลูก (Attunement) ด้วยการรับฟังอารมณ์ความรู้สึกของเขาแล้วปรับการตอบสนองให้สอดคล้องกลมกลืนไปกับเขา 
  3. เข้าอกเข้าใจ (Empathy) ยอมรับความรู้สึกของลูกในจุดที่เขาเป็น โดยไม่ตัดสิน 
  4. แสดงออก (Expression) พ่อแม่ต้องมีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอย่างเปิดเผยจริงใจอย่างเป็นบวก ในขณะเดียวกันก็เคารพความรู้สึกของเขาด้วย
  5. มีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน (Joining) พ่อแม่ลูกต้องร่วมกันแบ่งปันความรู้สึก คำพูดและการแสดงออกท่าทางแบบรับส่งทั้งสองทาง 
  6. อธิบายให้กระจ่างชัด (Clarification) คือการให้ความสำคัญและคุณค่ากับประสบการณ์ต่างๆ ของลูก เช่น ชมเชยความสำเร็จหรือยินดีเมื่อเห็นเขามีความสุข ปลอบโยนให้กำลังใจเมื่อเขาผิดพลาดหรือให้คำชี้แนะเมื่อทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม
  7. เคารพความต่าง (Individuality) ฟังอย่างเปิดรับและทำความเข้าใจโดยปล่อยวางความแตกต่างระหว่างกัน

ให้ลูกรู้สึกว่า ‘เราพวกเดียวกัน’

สมมุติลูกกลับจากเล่นสนุกในสวนมาพร้อมขวดโหลใส่แมลงตัวหนึ่ง เขาวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นเพื่อโชว์ให้แม่เห็นว่าปีกแมลงตัวนี้สีสวยแค่ไหน แม่ซึ่งเป็นห่วงว่าแมลงอาจจะหลุดออกมาบินว่อนไปทั่วบ้าน แม่ควรตอบโต้อย่างไร 

ถ้าไม่ได้ตอบรับความสำคัญของประสบการณ์ที่เขาค้นพบและดุเขากลับไปว่า “อย่าเอาแมลงเข้าบ้านนะ ไปปล่อยมันข้างนอกเดี๋ยวนี้!” ลูกซึ่งคิดว่าตัวเองกำลังนำประสบการณ์ที่เขาคิดว่า ‘ดี’ และความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ค้นพบของสวยงามมาแบ่งปัน ถูกแม่ปฏิเสธแล้วยังแสดงออกเหมือนกำลังบอกว่าสิ่งที่เขาทำมัน ‘เลวร้าย’ ย่อมต้องรู้สึกสับสน แปลกแยกจากแม่

เพราะไม่เพียงแม่ประเมินประสบการณ์ที่ตนตีความไว้ว่า ‘ดี’ เป็นไร้ค่า ยังไม่ยอมร่วมแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกที่มีความหมายสำหรับเขาและไม่เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกตื่นเต้นในครั้งนี้ด้วย 

พื้นฐานความผูกพันคือการที่สมาชิกในครอบครัวรู้สึกถึงคุณค่าและความหมายของประสบการณ์ร่วมกัน

อาจารย์แมรีอธิบายว่าในสถานการณ์ที่ลูกต้องการความสนใจดังข้างต้นนี้ คือ แรงผลักตามธรรมชาติที่แสดงถึงความต้องการที่จะต่อติดความรู้สึกภายในของเขาเข้ากับความรู้สึกแม่ ดังนั้น พ่อแม่ต้องมีความละเอียดอ่อนด้านอารมณ์ในการสื่อสารกับลูกให้มากพอ โดยเฉพาะการตอบรับประสบการณ์ทางอารมณ์ต้องมีการปรับจูนให้สอดคล้องกับเขา (Attunement) และ ‘สะท้อน’ อารมณ์ความรู้สึกที่ส่งมานั้นกลับไปด้วยระดับเดียวกัน (Resonance)

การปรับจูนในที่นี้คือสื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเขา ลูกในวัยซุกซนไม่ประสา หรือวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน สิ่งที่เจอมันแปลกใหม่ น่าตื่นเต้นไปซะหมด พ่อแม่ต้องมองประสบการณ์เหล่านั้นผ่านสายตาของเขา ไม่กลั่นกรองด้วยประสบการณ์ตนเองแล้วตัดสินแบบ “แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน” ไปซะหมด เพราะนั่นเท่ากับปิดโอกาสให้เขาเรียนรู้ 

ส่วนการสะท้อนคือ ถ้าลูกตื่นเต้นมาเราต้องรับลูกเออออตามไปด้วย ‘อู้หู’ ‘โอ้โห’ เวลาลูกเล่า หรือถ้าเขาแสดงออกว่ากำลังซีเรียสก็ต้องตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ ไม่ทำเบื่อหน่ายทำนองว่าเรื่องของเขาเป็นเรื่องเล็ก

ในกรณีข้างต้น แม่สามารถตอบรับและสะท้อนความตื่นเต้นที่ลูกส่งมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น ใช้น้ำเสียงกระตือรือร้น “ไหนๆ ขอดูหน่อยสิจ๊ะ โอ้โห! แมลงสีสวยจัง ไปเจอที่ไหนมา ปีกน้องแมลงสวยอย่างนี้แม่ว่าน้องคงอยากบินอวดเพื่อนๆ ในต้นไม้ใบหญ้าที่เป็นบ้านของเขา มากกว่าอยู่ในโหลนี้แน่เลย” 

การสื่อสารที่ปรับจูนตามพัฒนาการลูกและสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกอย่างสอดคล้อง นอกจากเขาจะรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ (feel felt) ยังเข้าใจได้ว่าแม่กับเขากำลังแบ่งปันประสบการณ์ด้วยกัน สิ่งนี้จะช่วยสร้างความหมายให้กับเขาในการเชื่อมโยงความรู้สึกภายในตัวเองเข้ากับประสบการณ์ที่ได้รับจากโลกภายนอกและถักทอความผูกพันกับแม่

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องระวังด้วยว่า การสื่อสารที่ปรับจูนให้สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกลูกเป็นคนละเรื่องกับการตามใจ ให้อารมณ์ของเขาอยู่เหนือเหตุผลจนกลายเป็นสปอยล์ อีกทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกนั้น พ่อแม่ก็ยังต้องเคารพความต้องการพื้นที่ส่วนตัวของเขาอยู่ แม้อันตรายภายนอกอาจทำให้เราต้องระแวงระวัง แต่ต้องอยู่ในขอบข่ายที่ไม่ล่วงล้ำจับจ้องทุกกิจกรรมแบบไม่คลาดสายตา

ละเอียดอ่อนกับอารมณ์ที่ซ่อนในภาษากาย

อีกหนทางที่จะเปิดโอกาสให้พ่อแม่สร้างสัมพันธภาพกับลูกได้ดียิ่งขึ้น และมองเห็นวิธีจัดการกับอารมณ์ทั้งของตัวเองและลูก ต้องมาทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่าอารมณ์มีจุดเริ่มต้นและทำงานภายในจิตใจอย่างไร 

ลึกเข้าไปในแต่ละอารมณ์โกรธ ดีใจ ตื่นเต้น ของลูกที่เราเห็น ในทางจิตวิทยามีคำอธิบายอย่างมีที่มาที่ไปแบบเป็นกระบวนการหนึ่งสองสามและแจกแจงถึงส่วนต่างๆ ในสมองที่ใช้ประมวลผลไว้โดยละเอียด ในที่นี้ ขออธิบายกลไกการเกิดขึ้นของอารมณ์ในสมอง (หรือใจ) เพียงคร่าวๆ เพื่อโยงเข้าคอนเซ็ปต์การสร้างความรู้สึกผูกพันและอุปสรรคปัญหาที่เป็นตัวขัดขวางการสื่อสารความรู้สึกระหว่างพ่อแม่กับลูก

อารมณ์คือส่วนหนึ่งของผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกันของสมองทุกส่วนและทุกหน้าที่ (integration) ลองนึกภาพก้อนสมองที่ประกอบไปด้วยเซลล์ (neurons) จำนวนมหาศาลซึ่งแต่ละเซลล์ส่งสัญญาณซึ่งกันและกันแบบเปะปะไร้ทิศทาง เบสิคสุดคือการทำงานของสมองถูกแบ่งเป็นสองซีกซ้ายขวา ซีกซ้ายดูแลการคิดวิเคราะห์กับตรรกะเหตุผล ส่วนอารมณ์ความรู้สึกอยู่ภายใต้การทำงานของซีกขวา ส่วนที่สำคัญที่สุดด้านการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของสมองส่วนนี้คือพื้นที่ limbic ซึ่งประกอบไปด้วย amygdala, anterior cingulate, hippocampus, hypothalamus

ประเด็นคือทุกส่วนทั้งหมดทั้งปวงในสมองล้วนมีการประสานการทำงานกัน (เรียกได้ว่าเป็น neural integration) เพื่อช่วยให้สามารถประมวลข้อมูลได้อย่างสมดุลและควบคุมตนเองได้ 

อารมณ์แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ อารมณ์ขั้นมูลฐานกับอารมณ์ที่เราแสดงออกทั่วไป อยากให้ผู้อ่านโฟกัสไปที่ ‘อารมณ์ขั้นมูลฐาน’ เป็นพิเศษ เพราะสิ่งนี้คือปราการด่านแรกซึ่งพ่อแม่คนไหนอยากจะจูนตัวเองกับลูกให้ติดได้ ต้องเข้าใจที่มาที่ไปของมันและรู้จักสังเกตให้เป็นเสียก่อน 

  • อารมณ์ขั้นมูลฐาน (primary emotions) เป็นกระแสพลังงานที่พุ่งขึ้นในจิตใจแบบปุบปับเมื่อถูกกระตุ้น โดยอารมณ์นี้จะแวบขึ้นมากน้อยหรือฉับพลันแค่ไหน ก็หมายถึงว่าลูกสนใจหรือ ‘อิน’ กับเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด อารมณ์ขั้นมูลฐานแสดงออกผ่าน ‘ภาษากาย’ เป็นอากัปกิริยาต่างๆ เช่น แววตา น้ำเสียง ท่าทาง เมื่อรู้สึกไม่พอใจ ภาษากายที่ชี้ได้คือ ขมวดคิ้วนิ่วหน้า หายใจแรง เสียงดังกว่าปกติ หรือเวลารู้สึกกลัว ไม่มั่นใจ ลูกอาจหลบตา กัดเล็บ เป็นต้น 

อารมณ์ขั้นนี้มีกลไก 2 อย่างเกิดขึ้นคือ 

– ความรู้สึกเบื้องต้น (initial orientation) ร่างกายและความสนใจจดจ่อสิ่งนั้นปุ๊บปั๊บทันที 

– การประเมินสัญญาณ (appraisal and arousal) ใจจะประเมินประสบการณ์นั้นแบบตื้นๆ ว่า “ดีหรือไม่ดี”

  • อารมณ์ทั่วไป (categorical emotion) คืออารมณ์ที่ทุกคนแสดงออกเป็นสากล คือ เศร้า กลัว โกรธ เป็นสุข ประหลาดใจ ขยะแขยง และอับอาย 

ขั้นตอนการเกิดอารมณ์ของเราเรียงลำดับได้ดังนี้

1) เมื่อได้รับการกระตุ้นจากภายนอกหรือสัญญาณภายใน สมองตอบสนองสัญญาณนั้นด้วยความรู้สึกเบื้องต้น เป็นสัญญาณส่งต่อไปบอกใจว่า “สนใจเดี๋ยวนี้นะ! เรื่องนี้สำคัญนะ!” ใจเราก็จะจดจ่อกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นนั้น 

2) ต่อไปสมองก็ทำการ ประเมินสัญญาณ ที่ได้จาก สิ่ง ที่กำลังจดจ่อนั้นอีกทีว่าเป็นเรื่อง ‘ดีหรือแย่’ ในขั้นตอนนี้เกิดขึ้นไปพร้อมกับการที่สมองส่วนอื่นๆ ทำการประมวลข้อมูลปลีกย่อยด้านอื่นด้วยในขณะเดียวกัน ในขั้น การประเมินสัญญาณ นี้เราจะรับรู้ได้ว่าประสบการณ์ขณะนั้นเป็นเรื่องดีหรือร้ายและมีความหมายอย่างไร 

3) เมื่อประเมินแล้วภายในใจก็จะจัดการและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการแสดงพฤติกรรมบางอย่าง ถ้า การประเมินสัญญาณ บอกว่า ‘ดี’ ก็เข้าสู่กระบวนการขั้นอื่นต่อไปเช่นลงมือทำ แต่ถ้าบอกว่า ‘ไม่ดี’ ก็จะหยุดพักไว้แค่นั้น

พ่อแม่ที่อ่าน อารมณ์ขั้นมูลฐาน จากอากัปกิริยาของลูกขาด เมื่อบอกว่า “หนูโอเค” น้ำเสียง แววตา ท่าทางหมายความอย่างนั้นจริงหรือไม่ เขากำลังต้องการพื้นที่ส่วนตัวหรือโหยหาคำปลอบใจ พ่อแม่ต้องใส่ใจสัญญาณเหล่านี้ให้มากพอเพื่อปรับจูนการสื่อสารและสะท้อนความรู้สึกเหล่านั้นกลับไปให้สอดคล้องกับความคาดหวังเพื่อกระตุ้นความรู้สึกว่าเขา “มีความสำคัญ” (feel felt) อย่างกรณีตัวอย่างที่ลูกวิ่งตื่นเต้นเอาแมลงมาอวดแม่นั่นเอง

ปมปัญหาและบาดแผลติดค้างที่ขัดขวางการสื่อสารความรู้สึกผูกพัน

ในเมื่ออารมณ์เป็นผลลัพธ์จากการทำงานของสมองส่วนต่างๆ ซึ่งขึ้นตรงต่อจิตใจ มันจึงสะท้อนสุขภาพจิตรวมไปถึงภาวะการทำงานทั่วไปในสมองได้ คนที่มีสภาวะอารมณ์บกพร่องหรือมีปัญหาอาจส่อถึงกระบวนทำงานร่วมกันของสมองมีความผิดปกติเกิดขึ้น หรือเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสมองไม่สามารถเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันอย่างสิ้นเชิงอาจเกิดสภาวะตายด้านทางอารมณ์ได้

เช่นเคสหนึ่งที่น่าสนใจของคุณหมอเดเนียล คนไข้เป็นคุณพ่อนักวิชาการวัยสี่สิบเข้ามาปรึกษาเนื่องจากมีปัญหาความสัมพันธ์ห่างเหินกับลูกสาวและ ‘ตายด้าน’ ทางความรู้สึก กล่าวคือ เขาไม่สามารถ ‘รู้สึก’ ถึงอารมณ์ตนเองได้ อาการหนักถึงขนาดว่าขณะวินาทีที่ทราบข่าวภรรยาและเพื่อนรักป่วยหนักแกกลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เลย 

ในการวินิจฉัยและบำบัดคุณหมอได้ข้อมูลว่า 

– คนไข้ไม่เข้าข่ายซึมเศร้าหรือมีภาวะวิตกจริตใดๆ มีแค่อาการด้านชาทางความรู้สึก

– รู้สึกโดดเดี่ยว ชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า เพราะรู้สึกต่อไม่ติดแม้กับใครเลย 

– การงานไม่มีปัญหา

– ไม่มีความทรงจำวัยเด็กร่วมกับพ่อแม่เลย นอกจากรู้ว่าทั้งสอง ‘เก่ง’ 

– ถูกเลี้ยงดูมาให้รู้แค่ถูกผิด รู้หน้าที่ว่าต้องทำอะไร ควรและไม่ควรทำอะไร พ่อแม่ไม่เคยพูดคุยเรื่องอารมณ์ความรู้สึก

– พ่อเสียช่วงวัยรุ่น แม่ไม่เคยพูดถึงหรือแสดงออกว่าเสียใจ 

– ปัจจุบันรู้ตัวว่ารักลูกมาก แต่เมื่อพูดคุยกันใจจะคิดไปถึงภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ พะวงถึงแต่ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ไม่สามารถต่อความรู้สึกติดกับลูก

ทีแรกคุณหมอเดเนียลคาดว่า อาการตายด้านทางอารมณ์น่าจะเกิดจากสมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่แสดงอารมณ์และความรู้สึกของคนไข้พัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งถ้าปัญหามาจากสมองส่วนนี้ เป็นไปได้ด้วยว่าคนไข้จะขาดทักษะศิลปะหรือสุนทรียศาสตร์โดยสิ้นเชิง แต่ปรากฏว่าคนไข้รายนี้มีทักษะศิลป์เยี่ยมยอดเทียบเท่าสถาปนิกเก่งๆ คนหนึ่ง

ปัญหาที่ไม่สามารถเชื่อมความผูกพันกับลูกสาวเพราะพอพูดคุยกัน คุณพ่อท่านนี้จะคิดวิเคราะห์ตลอดเวลาว่าควรพูดอย่างไร ทำอะไร ในขณะเดียวกันก็จู้จี้กับคำพูดและการกระทำของลูกสาวเช่นกัน แต่แปลกตรงที่การเชื่อมโยงความรู้สึกภายในของตนเอง และ mindsight (ความเข้าใจจิตใจผู้อื่น) กลับไม่ทำงานเลย ลักษณะนี้น่าจะเป็นเพราะสมองซีกซ้ายเข้ามาสั่งการมากเกินไป

เมื่อบำบัดพูดคุยจึงรู้ว่าการเลี้ยงดูแบบแห้งแล้งของพ่อแม่คือต้นตอของอาการตายด้านความรู้สึก

เพราะอารมณ์ขั้นมูลฐานของคนไข้ถูกปิดกั้นมาโดยตลอด ระบบการประเมินที่ติดตัวมาแต่เกิดซึ่งตั้งโดยอัตโนมัติไว้ว่าความสัมพันธ์มีความสำคัญและ ‘ดี’ ถูกตัดขาดจากจิตใจเพื่อปรับตัวตามการเลี้ยงดู แล้วใจยังสร้างกลไกป้องกันตัวที่เข้ามากดความรู้สึกโหยหากับความผิดหวังซึ่งถ้าเปิดรับความรู้สึกนี้โดยตรง ใจเขาอาจแหลกสลาย กลไกป้องกันตัวจึงกดความทรงจำวัยเด็กไว้อย่างแรงกล้าจนไปปิดการทำงานของอารมณ์ขั้นมูลฐานไปด้วย

เพราะคนไข้ตัดขาดการสื่อสารด้านอารมณ์ความรู้สึกตามอย่างพ่อแม่ อารมณ์ขั้นมูลฐานที่ประเมินสถานการณ์คุณค่าความหมายในชีวิตจึงไม่ทำงาน นี่เองจึงทำให้คนไข้กลายเป็นคน ‘ไม่รู้สึกรู้สา’ กับเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์นอกจากความว่างเปล่า

เมื่อคนไข้ได้รับการบำบัดให้จดจ่อกับความรู้สึกที่เกิดกับร่างกาย ฝึกแสดงความรู้สึกจากการมองภาพที่ไม่มีคำพูดกำกับหรือตีค่าความหมายของประสบการณ์เหล่านั้น พร้อมกับเขียนบันทึกสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกภายในทุกวัน สมองทั้งสองฝั่งก็เริ่มประสานการทำงานร่วมกันใหม่ได้อีกครั้ง 

จนในที่สุดขณะท่องเที่ยวดำน้ำกับลูกสาว คนไข้ก็สามารถเข้าถึงความรู้สึกผูกพันอย่างท่วมท้นได้เป็นครั้งแรก เพราะการใช้ ‘ภาษากาย’ ใต้น้ำ เช่น eye contact การสัมผัสและสัญญาณมือ ทำให้อารมณ์ขั้นมูลฐานที่ถูกปิดตายได้กลับมาใช้งานอีก

ขณะดำน้ำเมื่อไม่ต้องใช้สมองซีกซ้ายคิดวิเคราะห์ตรรกะใดๆ สมองซีกขวาโดยเฉพาะส่วนที่แสดงออกถึงอารมณ์ขั้นมูลฐานถูกเปิดใช้งานเต็มที่ คนไข้ก็กลับมารู้สึกได้อีกครั้งและลงเอยที่สามารถเชื่อมต่อความรู้สึกกับลูกสาวได้ในที่สุด พร้อมกันนั้นเขาก็ค้นพบหนทางเดินหน้าเพื่อสะสางความรู้สึกที่ตกค้าง (unresolved issues) จากการสูญเสียคุณพ่อและเปิดรับความรู้สึกที่มีต่ออาการเจ็บป่วยของภรรยาและเพื่อนรักต่อไป

ตัวอย่างนี้ขีดเส้นใต้ความสำคัญของการสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกระหว่างกันในครอบครัว (emotional communication) อย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกขาดไม่ได้ในการเลี้ยงลูก เพราะนัยหนึ่งมันคือการบอกว่าพ่อแม่เป็นพวกเดียวกันกับเขา กับทั้งยังเป็นวิธีที่เขาเรียนรู้คุณค่าความหมายของประสบการณ์ โดยเฉพาะวิธีจัดการทางอารมณ์ที่สะท้อนตามอย่างวุฒิภาวะของพ่อแม่

การสื่อสารที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกในกรณีของคนไข้ข้างต้น พ่อแม่ไม่เคยถามว่าลูกรู้สึกอย่างไรหรือแชร์ประสบการณ์ทางอารมณ์ของตนเองเมื่อโกรธ เสียใจหรือตื้นตัน โดยบางครอบครัวอาจคิดว่าไม่ควรนำความทุกข์ใจมาใส่ลูก นี่เองกลายเป็นปัจจัยปัญหาที่ทำให้ลูกกับพ่อแม่ “ต่อกันไม่ติด” 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นอกจากหลักการสื่อสารที่กล่าวมา การคิดทบทวน (self-reflection) การเข้าใจและยอมรับตัวเอง (self-understanding) ของพ่อแม่ยังคงสำคัญยิ่งเหนืออื่นใด เพราะหากผู้ใหญ่ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความเปราะบางของตนเองเพื่อสะสางปมบาดแผลติดค้างมาจากเหตุการณ์ในอดีต ปัญหาเหล่านั้นจะคอยกระตุ้นกลไกป้องกันตัวให้เราหลีกหนีอารมณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์เลวร้ายทุกครั้งไป และผลที่ตามมาคือลูกตกเป็นเหยื่อของพฤติกรรมเกรี้ยวกราดที่แสดงมาจากกลไกป้องกันตัวของพ่อแม่

เช่นอีกเคสหนึ่ง คุณแม่ซึ่งวัยเด็กขาดความอบอุ่นและถูกสามีทิ้ง ไม่สามารถแสดงความรักต่อลูกวัยสามขวบและมีน้ำโหทุกครั้งเมื่อเขาเรียกร้องความสนใจ เพราะไม่เคยทบทวนทำความเข้าใจกับความว้าเหว่และการต้องการความรักของตนเองมาก่อน กลไกการป้องกันตัวจึงผลักเธอให้หลีกหนีจากความรู้สึกเดิมทุกครั้ง (ผิดหวังจากการถูกพ่อแม่หรือสามีเมินเมื่อเรียกร้องความสนใจ) เป็นอุปสรรคให้ไม่สามารถเปิดรับและเข้าอกเข้าใจลูกในจุดที่ตนเองเคยเป็นได้ เคสนี้ก็เช่นเดียวกัน การเยียวยาทำได้โดยแม่ต้องเริ่มต้นที่การยอมรับความผิดหวัง เจ็บปวดและเข้าใจตนเองให้ได้เสียก่อน 

ทบทวนความรู้ก่อนนำไปใช้ 

  • เป็นห่วงทักษะอื่นๆ และผลการเรียนได้ แต่อย่าละเลยการเอาใจใส่ด้านอารมณ์ความรู้สึกของลูกเพราะความรู้สึกผูกพันกับครอบครัว และความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้สึกกับผู้อื่นคือพลังขับเคลื่อนชีวิต และคุณค่าความหมายของเขาเริ่มต้นจากตรงนี้ 
  • ยึดหลักการสื่อสาร 7 ข้อข้างต้นในการพูดคุยกับลูกให้เป็นนิสัย 
  • รับฟังประสบการณ์อารมณ์ความรู้สึกลูกจากฝั่งของเขา (empathy) ปรับจูนและสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกตามวัยและนิสัยใจคอเพื่อต่อกับเขาให้ติดด้วยความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน และความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ 
  • เคารพพื้นที่ส่วนตัวของลูก เอาใจใส่ไม่มากไม่น้อยเกินไป เอาให้พอดีกับที่เขาต้องการ
  • ใส่ใจถึงภาษากายและอากัปกิริยาของลูกนอกจากคำพูด บางครั้งลูกอาจไม่ได้พูดสิ่งที่รู้สึก ภาษากายบ่งบอกได้ และในทางกลับกันพ่อแม่เองก็ต้องระมัดระวังภาษากายที่อาจสื่อความหมายลบโดยไม่ตั้งใจกับลูกด้วยเช่นกัน 
  • แบ่งปันความรู้สึกสุขทุกข์ของตนให้ลูกร่วมรับฟังในฐานะที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว โดยปราศจากความคาดหวังให้เขาแบกรับหรือทำเพื่อเรา การแบ่งปันไม่ใช่การผลักความรู้สึกโกรธ กลัวหรือเครียดให้ลูกรู้สึกตามไปด้วย แต่เป็นการบอกเล่าความรู้สึกอย่างเปิดเผยจริงใจและอาศัยโอกาสนี้แนะวิธีทางบวกที่ใช้รับมือจัดการกับปัญหาความรู้สึกนั้น เช่น หารือ เปิดอกพูดคุยกัน หรือหากิจกรรมทำร่วมกันในครอบครัว เป็นต้น
  • มีส่วนร่วมในความสำเร็จของลูกด้วยคำชื่นชม ให้กำลังใจเมื่อผิดพลาดล้มเหลว 
  • สำคัญที่สุดคือการรู้ใจเราเองให้ได้ก่อนแล้วจึงจะเข้าใจลูก ทบทวนตนเองให้ถี่ถ้วน ยอมรับจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองไปจนถึงให้อภัยและปล่อยวางความเลวร้ายหรือข้อผิดพลาดในอดีต จดจ่อใส่ใจกับปัจจุบันขณะ และเปิดใจเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ไปพร้อมกันกับเขา
อ้างอิง
Daniel J. Siegel, M. a. (2004). How We Feel: Emotion in Our Internal and Interpersonal Worlds. In Parenting from the Inside Out (pp. 53-79). New York: tarcherperigee.

Tags:

จิตวิทยาปม(trauma)Parenting from the Inside Outความเข้าอกเข้าใจ(empathy)พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)หนังสือ

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน
Grit
9 September 2019

S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

แม้จะวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่บางครั้งก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า นั่นอาจเป็นเพราะแผนที่คุณวางคลุมเครือและสับสน

S.M.A.R.T. goal คือ เครื่องมือช่วยตั้งเป้าหมายอย่างเป็นระบบแผนที่ดีต้องมีปลายทางชัดเจน

แต่ละก้าวต้องมีการวัดผลที่แน่นอน มีจุดเช็คพอยท์ คอยประเมินเราทุกๆ ระยะว่าที่ผ่านมาว่าเรามาถูกทางแล้วหรือยังเมื่อคุณทำได้ทั้งหมด เป้าหมายก็ใกล้นิดเดียว

S.M.A.R.T. ย่อมาจาก Specific, Measurable, Attainable, Relevant และ Timely

  1. Specific: ตั้งเป้าหมายให้เจาะจงยิ่งเจาะจง ยิ่งเป็นจริงได้มาก
    ผ่านการตั้งคำถามต่างๆ กับตัวเอง ดังนี้อะไรที่อยากทำให้สำเร็จ เมื่อไร อย่างไร ?
    ทำไมถึงอยากทำสิ่งนี้ ?
    เงื่อนไขหรือข้อจำกัดคืออะไร ?
    มีแผนสำรองอะไรบ้างที่พอจะเป็นทางเลือก?
  2. Measurable: มีหลักเกณฑ์วัดความคืบหน้า อะไรจะเกิดขึ้นบ้างเมื่อคุณถึงเป้าหมาย ซอยย่อยแผนการทำงานแล้ววัดไปทีละอัน ความสำเร็จเล็กๆ ที่เกิดเป็นระยะ ผลักดันให้เราไปต่อถึงเป้าหมายได้
  3. Attainable: ประเมินและหาความเป็นไปได้ที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายหาว่าอะไรคือความเป็นไปได้ในการทำให้ถึงเป้าหมาย ที่เรายอมรับและพร้อมจะลงทุนกับมันจริงๆ ไม่เกี่ยงว่าคิดการณ์เล็กหรือการณ์ใหญ่
  4. Relevant: ทบทวนว่าสิ่งนั้น ‘ใช่’ จริงๆ หรือไม่ คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้ คือ ทำไมคุณถึงอยากทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ? และ คุณทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร? ถ้าตอบได้ ก็ลุยเลย
  5. Timely: กำหนดตารางเวลาเพื่อลงมือทำ การกำหนดเวลาสำคัญมาก กำหนดเวลาที่เป็นไปได้จริงและยืดหยุ่น ไม่สร้างความเสียหาย ถ้าเข้มงวดมากไปจะสร้างความกดดัน แต่อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะจะสะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบและไม่มีวินัย

อ่านบทความ 5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด เพิ่มเติมได้ ที่นี่

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsGrit

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Grit
    GRIT การอดทนเพื่อสู้สิ่งยาก ถึงยากก็อยากจะสู้!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • MovieGrit
    วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้
Social Issues
8 September 2019

เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • รายงาน The Good Childhood Report 2019 จาก The Children’s Society พบว่าพื้นที่ที่ทำให้เด็กๆ ซึมเศร้าและกดดันมากขึ้นคือ โรงเรียน
  • สาเหตุสำคัญมาจากการประเมินโดยให้คุณค่ากับความสำเร็จเชิงวิชาการมากไปกว่าคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต
  • ไม่ใช่แค่เด็กๆ กดดัน เครียด ไม่มีความสุข แต่ครูและคนในแวดวงการศึกษาก็ ‘Burnout’ หรือ หมดแรง หมดไฟกับการทำงานตามความตั้งใจทางอุดมการณ์ของตัวเองด้วย
  • คอสตาริกาและเม็กซิโก สองประเทศนี้ให้ความสำคัญกับ เพื่อน ครอบครัว เพื่อนบ้าน คนมีความยืดหยุ่นสูง เข้าใจความหลากหลาย และสนุกกับชีวิตแม้เผชิญความยากลำบากในชีวิต และออกแบบทั้งหมดนี้ให้มีขึ้นผ่านโรงเรียนด้วย

ขณะที่เรื่องทางบ้าน โซเชียลมีเดีย การเปรียบเทียบเรื่องรูปร่างหน้าตา และอื่นๆ ส่งผลต่อสภาพจิตใจและภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นชาวมิลเลนเนียลมากขึ้นเรื่อยๆ รายงาน The Good Childhood Report 2019 จาก The Children’s Society พบว่าพื้นที่ที่ทำให้เด็กๆ ซึมเศร้าและกดดันมากขึ้นไปอีกคือ… โรงเรียน กระนั้น ก็เป็นโรงเรียนอีกนั่นเองที่จะเปลี่ยนการเรียนการสอน ออกแบบการเรียนรู้ให้นักเรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

รายงานประจำปีของสหราชอาณาจักรเล่มนี้ศึกษาว่าเด็กและวัยรุ่นอายุ 10-17 ปี รู้สึกเกี่ยวกับมุมมองความสุขในชีวิต 10 มุมมอง คือ มุมครอบครัว, มุมการใช้เวลา, มุมสุขภาพ, มุมเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัย, มุมเพื่อน, มุมอนาคต, มุมตัวเลือกในชีวิต, มุมรูปร่างและหน้าตา, มุมสิ่งของ และมุมโรงเรียน งานวิจัยชิ้นนี้เริ่มทำทุกปีตั้งแต่ปี 2005 เพื่อต้องการคำยืนยันว่าเด็กๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีจริงหรือไม่ แนวโน้มความสุขของเด็กๆ เป็นอย่างไรและจะแก้ไขอย่างไร

มุมมองชีวิตในภาพรวมพบว่าเด็กๆ มีความสุขน้อยลง และเฉพาะมุมมองเรื่องโรงเรียน เด็กๆ เองก็รู้สึกเช่นกันว่าพวกเขาทุกข์มากขึ้นเมื่อต้องอยู่ในโรงเรียนและการเรียนการสอนที่เครียดขึ้งอย่างทุกวันนี้

แองเจิล เออร์บินา-การ์เซีย (Angel Urbina-Garcia) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในงานศึกษาด้านปฐมวัย มหาวิทยาลัยฮัลล์ (University of Hull) ประเทศอังกฤษ เขียนบทความชื่อ Why aren’t schools helping children lead happier lives? (ทำไมโรงเรียนทำให้เด็กๆ มีความสุขไม่ได้?) อธิบายสถานการณ์ดังกล่าว และฉายให้เห็นภาพการแก้ปัญหาผ่านงานวิจัยของเธอเองว่า…

  • ทำไมโรงเรียนทำให้เด็กๆ มีความสุขไม่ได้? – ก็เพราะมันเป็นพื้นที่แห่งความกดดันสุดๆ ไปเลยน่ะสิ!
  • ตัวอย่างการแก้ปัญหา: โรงเรียนที่ให้คุณค่าของความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต ‘เท่ากัน’ กับทักษะวิชาการ

ทำไมโรงเรียนทำให้เด็กๆ มีความสุขไม่ได้? – ก็เพราะมันเป็นพื้นที่แห่งความกดดันสุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

เออร์บินา-การ์เซีย อ้างอิงระบบการศึกษาประเทศอังกฤษ – แต่คล้ายกันกับปัญหาการศึกษาโลก นั่นคือกับดักเรื่องการประเมิน ทั้งศักยภาพการเรียนรู้ของนักเรียนและการสอนของครู เช่น การประเมิน PISA* หรือถ้าเป็นในไทยก็เช่น การสอบ O-NET ในชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ที่ไม่ได้กดดันแค่นักเรียนแต่หมายถึงการสอนของครู การบริหารของผู้อำนวยการโรงเรียน นโยบายของภูมิภาค และเจ้าหน้าที่การศึกษาของหน่วยงานรัฐในระดับบนขึ้นไป – ที่ทุกหน่วยงานต้องทำอย่างไรก็ได้ให้นักเรียนในความดูแลของตัวเองมีคะแนนสอบที่ดีที่สุด เพื่อหน่วยงานที่ตนเองอาศัยอยู่จะมีผลประเมินได้อันดับที่ดีตามไปด้วย

ท้ายที่สุด อย่างที่ทุกคนวิจารณ์กันตลอดมา มันคือการประเมินโดยให้คุณค่ากับความสำเร็จเชิงวิชาการมากไปกว่าคุณภาพชีวิต/ความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต อย่างที่เออร์บินา-การ์เซีย กล่าวว่า นี่ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ ‘นักเรียนจะถูกสอนอย่างไร’ (ถูกสอนเพื่อไปสอบ) แต่คือการเข้าถึงการศึกษาที่เธอหมายถึงทักษะชีวิตด้วย

ไม่ใช่แค่เด็กๆ กดดัน เครียด ไม่มีความสุข แต่ครูและคนในแวดวงการศึกษาก็ ‘Burnout’ หรือ หมดแรง หมดไฟกับการทำงานตามความตั้งใจทางอุดมการณ์ของตัวเอง

ข้อเสนอของ เออร์บินา-การ์เซีย คือ โรงเรียนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความป่วยไข้ทางจิตใจของผู้เรียน หนึ่งในนั้นคือการกำหนด ‘คุณค่า’ เรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิตอย่าง ‘เท่ากัน’ กับการเรียนรู้ทักษะวิชาการ

นี่เป็นข้อพิสูจน์จากโรงเรียนที่อยู่ในประเทศหรือสังคมที่ให้คุณค่าการเรียนรู้ในวิธีดังกล่าว มีผลชี้วัดชัดเจนว่าทรัพยากรบุคคลของประเทศนั้นๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นสุข และคนมีความรู้ความสามารถขับเคลื่อนประเทศในยุค disruption เช่นในเวลานี้

ตัวอย่างการแก้ปัญหา: โรงเรียนที่ให้คุณค่าต่อความเป็นอยู่ที่ดีของชีวิต ‘เท่ากัน’ กับทักษะวิชาการ

เออร์บินา-การ์เซียอธิบายผ่านงานศึกษาของเธอเอง ระบุว่าความหมายและวิธีการศึกษาของ กลุ่มนอร์ดิก** กลุ่มประเทศที่ติดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก และเป็นกลุ่มประเทศที่ให้คุณค่าและออกแบบการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนมีทักษะของการเรียนรู้ทางสังคม เช่น ไม่มีการสอบวัดประเมินการเรียนรู้ มีเพียงการสอบเพื่อให้คำแนะนำว่าเด็กๆ ควรเรียนต่อสายไหน (เด็กจะเลือกสายนั้นหรือไม่ก็ได้) มากกว่านั้น โรงเรียนก็จะไม่ถูกประเมินหรือจัดอันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดอย่างที่เป็นไปในประเทศอื่นๆ

อีกหนึ่งตัวอย่างคือการศึกษาในบางประเทศแถบลาตินอเมริกา เช่น คอสตาริกาและเม็กซิโก ประเทศที่ติดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

สองประเทศนี้มีวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับ เพื่อน ครอบครัว และความเป็นเพื่อนบ้าน คนในประเทศมีความยืดหยุ่นสูง เข้าใจความหลากหลาย และสนุกกับชีวิตแม้เผชิญความยากลำบากในชีวิต ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ประเทศในแถบลาตินอเมริกาออกแบบให้มีขึ้นผ่านโรงเรียนด้วย

อย่างที่เออร์บินา-การ์เซียเสนอ โรงเรียนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความป่วยไข้ทางใจของผู้เรียน ทั้งหมดนี้จะแก้ได้ก็ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงนโยบายการประเมินอย่างถึงราก อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในกรอบโรงเรียนยังมีอุปสรรคและอยู่ระหว่างทาง แต่คุณูปการจากคำเตือนของเออร์บินา-การ์เซีย อาจเริ่มที่การทำงานกับเรา กับลูกหลานและคนใกล้ตัว จัดลำดับความสำคัญของความสำเร็จใหม่โดยมุ่งเป้าไปที่ความสัมพันธ์และความเป็นอยู่ในชีวิตปัจจุบัน อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความสุขท่ามกลางความกดดันเข้มข้นที่มองไม่เห็นในโลกที่ใครๆ ก็อวดความสำเร็จในเชิงรูปธรรมกัน

*PISA (Programme for International Student Assessment) โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) คือ การประเมินระดับนานาชาติในเด็กอายุ 15 ปีทั่วโลก ว่ามีความพร้อมใช้ชีวิตในสังคมเพียงใด สามารถนำสิ่งที่เรียนในห้องเรียนไปประยุกต์แก้ปัญหาในชีวิตหรือสถานการณ์จริงได้หรือไม่ ทดสอบ 3 วิชาคือ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และทักษะการอ่าน**กลุ่มนอร์ดิก กลุ่มภูมิภาคในยุโรปเหนือ คือ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน และดินแดนปกครองตัวเองในสังกัดประเทศเหล่านั้นสามแห่ง ได้แก่ กรีนแลนด์ (เดนมาร์ก) หมู่เกาะแฟโร (เดนมาร์ก) และหมู่เกาะโอลันด์ (ฟินแลนด์)

Tags:

ซึมเศร้าระบบการศึกษาโรงเรียนการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกจิตวิทยา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Creative learningEducation trend
    จุดร่วม 8 ข้อของประเทศที่มีการศึกษาคุณภาพสูง: สิงคโปร์ แคนาดา ฟินแลนด์ จีน ออสเตรเลีย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ภาพ อัยยา มัณฑะจิตร

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodEF (executive function)
    เปิด ‘ห้องเรียนพ่อแม่’: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน
21st Century skills
6 September 2019

ADAPTABILITY: ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่หนีปัญหา ทักษะสำคัญของโลกที่เปลี่ยนทุกวัน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • มนุษย์เรามักปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ในรูปแบบพฤติกรรมที่เคยชิน หมายถึง เมื่อมีสถานการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นตรงหน้า เราจะแสดงพฤติกรรมตอบสนองที่เราคุ้นชินมากกว่าจะปรับตัวและเปลี่ยนพฤติกรรม
  • Adaptability คือ ความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น เป็น 1 ใน 16 ทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 คนที่มีทักษะนี้มักไม่มีปัญหา เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และเมื่อต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองก็พร้อมปรับมุมมองหรือวิธีคิดอยู่เสมอ

อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ถูกมองหาใน ‘ทีมทำงาน’ ทุกวันนี้คือ adaptability ‘ความสามารถในการปรับตัว’ และ ‘ความยืดหยุ่น’ 1 ใน 16 ทักษะจำเป็นศตวรรษที่ 21

โดยรวม ผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวคือคนที่ไม่มีปัญหาหรือมีปัญหาน้อยเมื่อสถานการณ์รอบตัวเปลี่ยนไปหรือต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง มีความพร้อม (willing) ที่จะปรับมุมมองหรือวิธีคิด ปรับแผนงานเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ง่าย ขณะที่ผู้มีปัญหาด้านการปรับตัวอาจใช้เวลามากกว่าเพื่อปรับตัวให้รู้สึกผ่อนคลายกับสถานการณ์ใหม่ จนปรับวิธีคิดหรือมุมมองเพื่ออยู่ในสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างสะดวกใจ และคิดหาวิธีจัดการสถานการณ์ตรงหน้าได้ในที่สุด

สำคัญที่สุด นี่ไม่ใช่แค่คาแรคเตอร์ที่บ่งบอกความสำเร็จด้านการงานเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์กับความฉลาดทางอารมณ์ หรือพูดได้ว่าผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวมักเป็นผู้ที่มีความสุขได้ง่ายดายกว่าด้วย

อ้างอิงจากงานวิจัยในปี 2008 โดย Economist Intelligence Unit เรื่องคาแรคเตอร์ที่ ‘ผู้นำ’ ต้องมีในสนามธุรกิจโลก คือ

  1. ความสามารถสร้างแรงบันดาลใจและจุดไฟให้ผู้ร่วมงาน (35 เปอร์เซ็นต์)
  2. ความสามารถจะทำงานท่ามกลางความหลากหลาย (34 เปอร์เซ็นต์)
  3. ความสามารถที่จะสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นในองค์กร (32 เปอร์เซ็นต์)
  4. อันดับท้ายๆ ตกเป็นของความสามารถในวิชาชีพ (11 เปอร์เซ็นต์) และ ความสามารถสร้างผลกำไร (10 เปอร์เซ็นต์)

แม้จะเป็นผลสำรวจย้อนกลับไปนับสิบปี (แต่ทักษะในศตวรรษที่ 21 ยังคงระบุคุณสมบัติข้อนี้ในคนรุ่นใหม่) แต่อาจตีความได้ว่าความสำคัญเรื่องการปรับตัวไม่เคยหายไปไหน ซ้ำยิ่งถูกไฮไลต์ให้ชัดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของโลกใบนี้

การทำงานท่ามกลางความหลากหลาย (ข้อ 2) – หนึ่งในคาแรคเตอร์ของการปรับตัว – เคยถูกให้ความสำคัญอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังจำเป็นมากขึ้นโดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเอื้อให้เราทำงานเชื่อมต่อกันจากทั่วทุกมุมโลก งานวิจัยบอกว่าในทีมงานหนึ่งอาจมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ถึง 22 แห่ง! รวมทั้งการมองหาโอกาสเพื่อทำให้เกิดขึ้นในองค์กร (ข้อ 3) ก็เป็นหนึ่งในวิธีคิดและมุมมองของผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัวเช่นกัน

การปรับตัวกับการทำงานของสมอง

ในหนังสือ Everyday Survival: Why Smart People do Stupid Things โดย ลอเรนซ์ กอนซาเลส (Laurence Gonzales) อธิบายเรื่องการแนวโน้มการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่กับรูปแบบพฤติกรรมเคยชิน เมื่อมีสถานการณ์เกิดขึ้นตรงหน้า เราอาจตอบสนองในรูปแบบที่เราคุ้นชินมากกว่าจะปรับตัวและเปลี่ยนพฤติกรรม นั่นเป็นเพราะการรับรู้ที่ใส่กุญแจล็อคความคิดของเราไว้

ลอเรนซ์ ระบุว่า ‘behavioral scripts’ หรือ ‘mental models’ ในทางประสาทวิทยา หรือ neuroscience คือวิธีเรียนรู้ที่เกิดจากเงื่อนไขทางสังคม เช่น หากทำสิ่งนี้จะได้รางวัล หากทำสิ่งตรงข้ามจะถูกลงโทษ หรือพูดง่ายๆ มันคือการเรียนรู้ที่มาจาก บรรทัดฐาน หรือ norm ของสังคม เช่น การเรียนรู้ที่จะพูดขอโทษหรือขอบคุณ การเรียนรู้ที่จะต้องเอาอกเอาใจพ่อแม่ ซึ่งเงื่อนไขของการเรียนรู้จะแตกต่างไปแล้วแต่สังคมที่เราอาศัยอยู่ ‘behavioral scripts’ ยังเป็นการเรียนรู้ที่จะจดจำพฤติกรรมที่เราทำบ่อยจนเคยชินด้วย เช่น การใส่รองเท้า เราทำซ้ำๆ จนใส่มันได้คล่อง ใส่ไปคุยไปด้วยยังได้

หมายความว่า behavioral scripts ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะพฤติกรรม แต่เกิดในระดับ ‘การรับรู้’ และ ‘ความเชื่อ’

ที่น่าสนใจคือ behavioral scripts มีแนวโน้มทำให้เราไม่รับรู้ต่อสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของเรา ทำให้เราไม่พยายามจะทำในสิ่งที่ ‘เรารู้สึก’ ว่ามันแย่หรือ ‘คิด’ ว่าเป็นไปไม่ได้

แล้ว behavioral scripts เกี่ยวข้องกับการปรับตัวอย่างไร?

ก็เพราะเจ้า behavioral scripts ที่เป็นระบบปฏิบัติการทางสมอง ในทางหนึ่งช่วยให้เราปลอดภัยเพราะเลือกทำในสิ่งที่เราคุ้นชินหรือสิ่งที่สังคมบอกว่าดี รูปแบบหรือพฤติกรรมที่เราเคยชินอาจทำให้เราเพิกเฉยหรือปฏิเสธสถานการณ์หรือสัญญาณเตือน ‘ใหม่’ ที่ปรากฏตรงหน้า และคิดว่าเป็นสถานการณ์เดิมๆ ที่เรา (รวมทั้งสมองเรา) รับรู้อยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นธรรมดาที่เราจะปฏิบัติต่อสถานการณ์ตรงหน้าอย่างที่เราเคยทำ (ในสถานการณ์เดิม) ในอดีต

โดยรวม การปฏิเสธข้อเท็จจริงใหม่ที่สมองไม่เคยรับรู้และยังตีความว่า “มันก็เป็นเรื่องเดิมๆ” ทำให้เรามีแนวโน้มจะละเลยข้อเท็จจริง ไม่ยืดหยุ่น ไม่มีความสนใจ ตั้งใจจะเรียนรู้และเปิดรับแนวทางใหม่ๆ มาปรับใช้กับสถานการณ์ตรงหน้า (หรือเรียกว่าประตูแห่งการเรียนรู้ไม่ถูกเปิด)

เหตุผลทางสมองที่กล่าวไปนี้ ย้ำว่านี่คือเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไปจนเป็นหนึ่งในสาเหตุว่า… Why Smart People do Stupid Things? เพียงรู้ไว้แค่ว่า เวลาที่สมองติดกับจนรีบอยากปฏิเสธข้อเท็จจริง อาจลองใช้เวลาพิจารณาข้อเท็จจริงอีกนิดว่า… เป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับมุมมอง เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้า

14 มุมมอง ของคนที่ปรับตัวเก่งสุดๆ

อันที่จริงคงไม่มีใครระบุได้ว่าการเป็นคนปรับตัวเก่งนั้นมีลักษณะที่ชัดเจนและตายตัวอย่างไร (แน่นอนว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘แท้ทรู’ เช่นเดียวกัน)

อย่างไรก็ตาม เจฟ บอส (Jeff Boss) ที่ปรึกษาอาวุโสแห่ง N2Growth บริษัทให้คำปรึกษาระดับโลกติดอันดับนิตยสาร Forbes และคอลัมนิสต์นิตยสาร Forbes เขียนถึงความสำคัญของ การปรับตัว ในแง่คาแรคเตอร์สำคัญในการเป็นผู้นำ และระบุ 14 มุมมองของคนที่ปรับตัวได้ดี จากมุมมองและประสบการณ์ของเขาไว้ดังนี้

  1. เพื่อจะปรับตัวได้ พร้อมเปลี่ยนแปลง: คุณต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองพร้อมจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่การกระทำ แต่เป็นความต้องการภายในที่พร้อมจะปรับตัว มีทัศนคติที่ดีต่อความอดทน
  2. คนที่ปรับตัวเก่ง เห็นวิกฤติเป็นโอกาส: การปรับตัวคือการเติบโต การเปลี่ยนแปลง และคือการเปลี่ยนความเข้าใจของตัวเองต่อสิ่งที่คิดว่าเคยใช่ รู้ว่ามันผิดได้และผิดอย่างไร จากนั้นคนที่ปรับตัวรู้ว่าจะหาวิธีปรับตัวไปสู่สิ่งที่ถูกต้องใหม่อย่างไร (หรือที่เรียกว่า new right)  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งเพราะความสำเร็จในอดีตไม่ได้หมายความหรือการันตีว่ามันจะเกิดผลแบบเดียวกันในอนาคต
  3. คนที่ปรับตัวเก่ง แก้ปัญหาได้ดี: แทนที่จะติดอยู่กับปัญหาที่ (รู้สึก) ว่าแก้ไม่ได้ คนที่ปรับตัวเก่งมีแผน A, B, C อยู่เสมอ
  4. คนที่ปรับตัวเก่ง มองหาโอกาสเสมอ: เพื่อการพัฒนาตัวเอง คนที่ปรับตัวเก่งจะขยายขอบความสามารถของตัวเองไปเรื่อยๆ เสมอ
  5. คนที่ปรับตัวเก่ง จะไม่ฟูมฟาย: เพราะเมื่อไรที่พวกเขาเจอสถานการณ์ที่จัดการไม่ได้ …นั่นแหละ พวกเขาก็แค่ปรับตัวและก้าวต่อไป
  6. คนที่ปรับตัวเก่ง มักพูดกับตัวเอง: งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันมาแล้ว คนที่คุยกับตัวเองเป็นคนฉลาด! หมายความว่าคนที่คุยกับตัวเองไม่ได้เป็นบ้า แต่เมื่อไรก็ตามที่พวกเขากระวนกระวายใจ ฟุ้งซ่าน หรืออารมณ์ข้างในสั่นไหว พวกเขามักใช้การคุยกับตัวเองในเชิงบวก ถาม-ตอบ กับตัวเองเพื่อทบทวน เรียนรู้ และไตร่ตรองต่อสถานการณ์ตรงหน้า
  7. คนที่ปรับตัวเก่ง ไม่โทษคนอื่น: พวกเขาไม่ล่าเหยื่อ ไม่หาคนผิด แต่พยายามทำความเข้าใจ แก้ไข และก้าวต่อ
  8. คนที่ปรับตัว ไม่เอาหน้า: พวกเขาไม่อวดตัวว่าเป็นเจ้าของความสำเร็จเพราะรู้ว่าไม่นานมันก็จะสูญสลายหายไป แทนที่จะใช้เวลา (และอารมณ์) กับความสำเร็จชั่วยาม พวกเขาใช้เวลานั้นกับปัญหาที่อาจเกิดในโปรเจ็คต์ถัดไป
  9. คนที่ปรับตัวเก่ง มีคาแรคเตอร์แห่งความสงสัยใคร่รู้: ถ้าไม่มีความกระหายอยากรู้ ก็ไม่มีการปรับตัว สองอย่างนี้ยิ่งเติมเชื้อไฟแห่งการเรียนรู้และผลักให้คนเราพัฒนาต่อไปข้างหน้า
  10. คนที่ปรับตัวเก่ง ปรับตัว: แน่นอนที่สุด คนที่ปรับตัวเก่งจะไม่มีบุคลิกแบบนี้ได้ยังไง?!
  11. คนที่ปรับตัวเก่ง ไม่หนีปัญหา: การจะปรับตัวได้ คุณต้องรู้ปัญหาตรงหน้าเสียก่อนว่ามันคืออะไรและสำคัญอย่างไร
  12. คนที่ปรับตัวเก่ง มองเห็นระบบ: เวลาพวกเขาพิจารณาบางอย่าง (เพื่อปรับตัว) พวกเขาไม่ได้มองแค่ใบไม้ใบเดียว แต่ต้องการมองเห็นใบไม้ทั้งป่า เพื่อที่จะประเมินได้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจต่อสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
  13. คนที่ปรับตัวเก่ง มีใจที่เปิดกว้าง: ใจที่เปิดกว้างหมายถึงความพร้อมที่จะเข้าอกเข้าใจ รับฟังปัญหาจากคนอื่น ไม่ใช่แค่ความเข้าใจต่อกันที่ลึกซึ้ง แต่หมายถึงความเข้าใจต่อ ‘ข้อมูล’ หรือ ปัญหาที่คนตรงหน้ามี การรู้ปัญหาที่แท้จริงนำมาซึ่งการแก้ปัญหาที่ถูกจุด
  14. คนที่ปรับตัวเก่ง รู้ว่าคุณค่าของพวกเขาคืออะไร: การปรับตัวนั้นจำเป็นต้องใช้ความเข้าใจต่อคุณค่าที่ตัวเองยึดถือและอะไรไม่ใช่ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แม้ว่าการปรับตัวคือการยืนอยู่ที่เดิม แต่อย่างน้อยจะรู้ว่า ที่ยืนอยู่เพราะเราเชื่อในอะไร
อ้างอิง
ลอเรนซ์ กอนซาเลส
N2Growth
คาแรคเตอร์แห่งความสงสัยใคร่รู้

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsความสามารถในการปรับตัว(Adaptability)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • 21st Century skills
    ฮาวทู GET 4CS! ออกแบบกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนาทักษะเด็ก

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    11 วิธี ฝึกเด็กๆ พร้อมเป็นผู้นำ

    เรื่อง The Potential ภาพ antizeptic

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย
21st Century skills
6 September 2019

รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

เรื่อง The Potential

คนรุ่นใหม่แบบไหนที่ซีอีโออยากทำงานด้วย?

“ผมให้ความสำคัญกับเรื่องทัศนคติที่สุด ทัศนคติไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเหมาะกับเราไหม” รวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ที่ปรับลุค ‘ผงหอมศรีจันทร์’ ให้กลับมาเดินได้ใหม่ในรันเวย์ภายใต้ชื่อ Srichand Cosmetics ปัจจุบันรวิศมีพนักงานในความดูแลราว 200 คน ไล่ตั้งแต่รุ่นใหม่ไปจนถึงเลยเกษียณ

“คนรุ่นพ่อแม่ เชื่ออยู่ 3 คำ คือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน แต่เด็กยุคใหม่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ขยัน ซื่อสัตย์ อดทนนะ เพียงแต่เขาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ต่างออกไปคือ freedom, sexuality และ autonomy (ความอิสระและเป็นตัวของตัวเอง)” แต่ทักษะที่คนรุ่นใหม่ (และไม่จำวัย) ควรมีและที่เขาอยากทำงานด้วย คือ การมีวินัย และ รู้จักตัวเอง เพราะมนุษย์จะพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง จึงเป็นที่มาของวินัย และการรู้จักตัวเอง วิธีเดียวคือ ต้องลอง ลองให้เยอะ ลองให้เร็ว

“ยุคนี้ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องไปเรียนสายวิทย์ ไปเป็นหมอ วิศวะ อีกต่อไปแล้ว ผมคิดว่าเราชอบอะไร เราถนัดอะไร หาให้เจอแล้วทำมันให้ดี จริงๆ ทุกอย่างที่ทำ”

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)ชีวิตการทำงาน21st Century skillsรวิศ หาญอุตสาหะ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • 21st Century skills
    “ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ
Space
5 September 2019

มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • มิวเซียมสยามไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่เชิญชวนเดินดูสิ่งโบราณ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์แนว narrative เน้นการเล่าเรื่อง จับเอาเนื้อหาเป็นตัวตั้ง โดยนำเสนอผ่านเครื่องมือเทคโนโลยีร่วมสมัย เช่น บอร์ดเกม, วิดีโอเกมในระบบ QR code ผ่านงานนิทรรศการหลัก รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ เช่น งานเสวนา, การฉายหนัง, การจัด workshop
  • “การมาพิพิธภัณฑ์ไทยคือการมาพิพิธภัณฑ์ แต่คนไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) คือการท่องเที่ยว” คุยกับ ‘กอล์ฟ-กบ’ ในฐานะผู้ดูแลและภัณฑารักษ์ มองว่าส่วนหนึ่งที่คนไทยไม่รู้สึกสนุกกับการไปพิพิธภัณฑ์ เป็นเพราะไม่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่มากพอ
  • “เพราะเมื่อไรก็ตามที่คนเริ่มรู้สึกปกติกับการไปพิพิธภัณฑ์ รู้สึกเหมือนว่าไปเที่ยว เมื่อนั้นประเทศเราก็จะมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ขึ้น”

เมื่อมีอาการหนักอึ้งและรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากผจญภัยกับการเรียนและชีวิตการทำงานอย่างหนักหน่วง สัญญาณอันตรายนี้กำลังเรียกร้องให้ร่างกายเร่งตักตวงเวลาพักผ่อนในวันหยุดเพื่อคลี่คลายสมองและโยนความตึงเครียดทิ้งไปไกลๆ บางคนจึงเลือกใช้เวลาในวันเสาร์-อาทิตย์ไปกับการทำกิจกรรมหย่อนใจต่างๆ ตามใจตัวเอง หรือเลือกที่จะพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่อยากไป 

ไม่ต่างจากผู้คนที่เดินชมนิทรรศการอยู่ที่มิวเซียมสยาม 

พวกเขาเลือกใช้เวลาในวันหยุด ปล่อยตัวปล่อยใจดื่มด่ำกับข้อมูลตรงหน้า 

ปัจจุบันมิวเซียมสยามกำลังจัดแสดงนิทรรศการภายใต้ หัวข้อ ‘ถอดรหัสไทย’ นำเสนอผ่าน 14 เรื่องราว ทั้งเรื่องอาหาร การแต่งกาย ประวัติศาสตร์ ประเพณี สถาปัตยกรรม โดยใช้เทคนิคการนำเสนอผ่านเครื่องมือเทคโนโลยีร่วมสมัย และมีกิจกรรม interactive ที่เรียกร้องให้เราในฐานะผู้รับสารโต้ตอบและสร้างปฏิสัมพันธ์ เช่น ชวนเรียนรู้เรื่องประเพณีและวัฒนธรรมไทยผ่านบอร์ดเกม หรือ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านวิดีโอเกมในระบบ QR code

มิวเซียมสยามค่อยๆ ฉีกทลายภาพจำเดิม การไปพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป  

The Potential ชวน ‘กอล์ฟ-ซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรี’ ผู้อำนวยการฝ่ายมิวเซียมสยาม ในฐานะผู้จัดการและดูแลพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ และ ‘กบ-พาฉัตร ทิพทัส’ ภัณฑารักษ์และนักจัดการความรู้ ในฐานะผู้สร้างสรรค์เนื้อหานิทรรศการ ถึงวิธีการทำงาน ความคิด ความเชื่อ นำไปสู่กระบวนการหยิบจับวัตถุดิบต่างๆ เพื่อออกแบบความรู้ 

กอล์ฟ-ซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรี และ กบ-พาฉัตร ทิพทัส

ภารกิจหลักของมิวเซียมสยามคืออะไร

กอล์ฟ: มิวเซียมสยามเป็นหนึ่งในความดูแลของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ เน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆ คือการไม่ได้เน้นการโชว์ของโบราณ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์แนว narrative (เน้นการเล่าเรื่อง) โดยจับเอาคอนเทนต์ (เนื้อหา) เป็นตัวตั้ง แล้วตีโจทย์ต่อว่าจะทำอย่างไรให้คนเข้าใจเรื่องนี้ โดยมีการเรียนรู้ 3 รูปแบบ คือ

  • นิทรรศการถาวร 
  • นิทรรศการหมุนเวียน
  • กิจกรรมสร้างสรรค์

การเรียนรู้ 3 รูปแบบ ต่างกันอย่างไร

กบ: นิทรรศการถาวรจะมีอายุจัดแสดงนานที่สุด อยู่ประมาณ 5-10 ปี แต่จะไม่นานกว่านี้เป็น 20-30 ปี เพื่อป้องกันความล้าหลังของข้อมูล ปัจจุบันอยู่ในธีม ‘ถอดรหัสไทย’ มีทั้งสิ้น 14 ห้อง 14 เรื่องราว เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศาสนา ความเชื่อ อาหาร การแต่งกาย ส่วนนิทรรศการหมุนเวียน เนื้อหาจะเปลี่ยนไปทุกๆ 4 เดือน และด้วยความที่อายุจัดแสดงอยู่ไม่นาน ทำให้คิดและสร้างเนื้อหาที่มีความหวือหวากว่าได้ สามารถจะเพิ่มลูกเล่นในคอนเทนต์ได้ ส่วนอย่างสุดท้ายคือกิจกรรมสร้างสรรค์จะถูกจัดขึ้นเป็นวาระ จุดประสงค์เพื่อขยายความเข้าใจของนิทรรศการถาวร/หมุนเวียน เช่น กิจกรรมงานเสวนา งาน workshop หรือการฉายหนัง 

ที่บอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เน้นเอาข้อมูลเป็นตัวตั้ง ทำอย่างไรบ้าง ช่วยยกตัวอย่างได้ไหม

กอล์ฟ: เช่น ห้องไทยโอนลี่ (หนึ่งในห้องนิทรรศการถาวร) โจทย์คือจะทำยังไงให้คนเห็นภาพของคนไทยแบบชัดๆ เราจึงเลือกเล่าผ่านสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่มีเฉพาะในไทย เช่น รองเท้าแตะช้างดาว 

กบ: เราจะแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ที่อื่น อย่างกรมศิลป์จะเป็นพิพิธภัณฑ์อีกแนว เขามีทรัพย์สมบัติที่มีค่า เขาจึงต้องชูประเด็นเรื่อง ‘สิ่งของ’ เป็นหลัก อาจจะโชว์ความงามและนำเสนอประวัติ ส่วนของเราเน้นการจับ topic ในการเล่าเรื่อง โดย topic นั้นอาจจะถูกอธิบายผ่านสิ่งของ เกม บทสัมภาษณ์ คอมพิวเตอร์กราฟิกก็ได้ หรือมีเทคนิคอื่นๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นมิวเซียมสยามจึงมีความวาไรตี้มาก 

วิธีการเลือก Topic มีวิธีการคิดและเลือกอย่างไร?

กอล์ฟ: จริงๆ มันเป็นหัวข้อมาจากนักวิชาการรุ่นใหญ่ แต่หัวใจหลักคือมิวเซียมสยามจะไม่ทำประวัติศาสตร์ระยะไกล เช่น ย้อนไปสุโขทัย-อยุธยา เพราะมีคนทำไปแล้ว เราคิดว่าคนที่มามิวเซียมสยามไม่ได้อยากรู้ประวัติศาสตร์ที่ไกลตัวขนาดนั้น และเราก็อยากทำให้คนรู้สึกว่าการเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ตกตะกอน message อะไรบางอย่าง หรือได้ประสบการณ์ใหม่ๆ จึงเลือกทำประวัติศาสตร์ระยะใกล้ เช่น เรื่องวิกฤติต้มยำกุ้ง มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เคยได้ยิน แต่อาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราจะหยิบเอาเรื่องแบบนี้มานำเสนอมากกว่า 

มิวเซียมสยามเหมาะกับใคร – ใครคือผู้มาใช้บริการ

กอล์ฟ: เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากให้ใครมาดูกันแน่ เนื้อหาของเรามักเป็นเรื่องทันสมัย ดังนั้นเราก็พยายามเซ็ตตัวเองว่าเราเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับคนรุ่นใหม่ แล้วคนรุ่นใหม่คือใคร – ก็เป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา กลุ่มครอบครัว (รุ่นใหม่) ที่ไม่ใช่รุ่นพ่อแม่เรา มิวเซียมสยามจะเป็นสถานที่ที่มีความรู้ใหม่ๆ ให้เด็กๆ ได้เพลิดเพลินด้วย 

ซึ่งสอดคล้องกับการเก็บข้อมูลได้ตรงตามที่เราเซ็ตจริงๆ ถ้าถามว่ายอดคนเพิ่มขึ้นไหม ยอดคนที่มามิวเซียมสยามหรือยอดคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมแต่ละปีมันไม่ได้โตมาก เดือนหนึ่งอยู่ที่ประมาณหมื่นกว่าคน เฉลี่ยแล้วต่อปีมีผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ประมาณ 2 แสนคน ถามว่าทำไมลดลง มิวเซียมสยามประสิทธิภาพด้อยลงหรือเปล่า – ไม่ใช่

มันเป็นเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคาแรคเตอร์ใกล้เคียงกับเราเปิดขึ้นเยอะ ภาษาการตลาดเขาเรียกมี market share มากขึ้น เมื่อมีตัวเลือกเยอะขึ้น หากยอดคนมาเที่ยวจะน้อยลงจากเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้ไม่เที่ยวแล้วนะ แต่เขามีทางเลือกที่อื่น

สิ่งที่น่าดีใจจากผลสำรวจที่เราทำ พบว่า ตัวเลขหมื่นกว่าคนนั้นเป็นคนที่เพิ่งเคยมามิวเซียมเป็นครั้งแรก ซึ่งหมายความว่ามีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้น นี่ถือว่าประสบความสำเร็จนะ แสดงว่าคนเหล่านี้รู้จักเรา เขาไม่ใช่กลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่มาบ่อยๆ ด้วยซ้ำ

ทำไมมิวเซียมสยามเริ่มเขย่าผู้รับสารใหม่

กบ: เราทำตั้งแต่แรกเลยนะ จริงๆ เราโฟกัสที่เด็ก ม.ปลาย นักศึกษา เป็นวัยที่เขาจะโฟกัสเรื่องเรียน กำลังจะเลือกอาชีพ เด็กๆ พวกนี้เขามีความคิดเป็นของตัวเอง เขามีภาพจำว่าพิพิธภัณฑ์แบบเดิมๆ คือสิ่งไม่สนุก ไม่มีแอร์เย็น มีของเก่า คร่ำครึ พอเราเริ่มทำเนื้อหาเพื่อคนรุ่นใหม่ ก็คิดว่าเขาน่าจะชอบและน่าจะมาหาเรามากขึ้น

เมื่อมีกลุ่มเป้าหมายชัดแล้ว นำไปสู่การสร้างเนื้อหาของมิวเซียมอย่างไร

กบ:  ถ้าเป็นนิทรรศการทั่วไปของมิวเซียมสยามต้องเริ่มจากหัวข้อนี่แหละ เราตีโจทย์ว่าผู้ชมควรรู้เรื่องอะไรบ้าง เช่น ตอนนี้ประเด็นอะไรกำลังมา เทรนด์อะไรกำลังมา ประเด็นอะไรที่ร่วมสมัย และยึดผู้ชมเป็นศูนย์กลาง learning ที่ดี ต้องมี learner เป็น center เราเป็นเหมือนครู จะปรับคอนเทนต์อย่างไรให้เข้ากับเขา 

เราก็ต้องทำรีเสิร์ชหนัก ท่ามกลางดงข้อมูลคอนเทนต์ที่กองเต็มโต๊ะ เราต้องเลือก บางอันมันอาจจะไม่จำเป็นกับผู้ชมเท่าไหร่ แต่ในเชิงวิชาการเราคิดว่าเขาควรจะรู้ ผ่านการสังเคราะห์ข้อมูลของทีม ซึ่งโหดร้ายมาก ต้องผ่านการ discuss กันแบบอ้วกแตกอ้วกแตน ช่วยกันหาประเด็นที่น่าสนใจ ประเด็นที่คนคิดว่ามัน twist กับเรื่องที่เขาเคยรู้มาก่อนได้ เช่น เราจะเล่นเรื่องความเชื่อผิดๆ เราต้องรีเสิร์ชข้อมูลอย่างรอบคอบ เพื่อทำเนื้อหาไปในเชิงท้าทายแนวความคิด

ตัวอย่างที่ชัดมากที่เราพยายาม twist ประเด็น คือ นิทรรศการเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เรื่อง ‘กินของเน่า-เห่อของนอก’ คนไทยมักพูดว่าประเทศไทยเป็นครัวของโลก อาหารไทยอร่อยมาก แต่ตัวนิทรรศการทำให้เห็นว่าอาหารไทยคือของเน่า ของเน่าที่ว่าคือสิ่งที่เรากินประจำแค่ผ่านกระบวนการถนอมอาหารนั่นเอง หรือนิทรรศการเรื่อง ‘ส้วม’ ที่เราไม่ได้พูดถึงวัฒนธรรมไทยในเชิงสวยงาม แต่เอาประเด็นเรื่องการขี้มาพูด รวมถึงเรื่อง ‘ไฉไลไปไหน’ ที่พูดเรื่องความงามที่ต้องแลกกับการทรมานร่างกาย เราสวยเพราะใส่ส้นสูง ใส่ corset รัดเอว หรือการอดอาหารเพื่อผอม ชวนคนมาหาคำตอบของความสวยเหล่านั้น

กว่านิทรรศการแต่ละเรื่องจะเกิดขึ้น หลังฉากต้องผ่านกระบวนการทางวิชาการและการคิดสื่อสาร เราจะย่อยออกมาให้สนุกได้อย่างไร

กบ: เวลาจะทำนิทรรศการขึ้นสักอัน จะต้องมีฝ่ายรีเสิร์ชที่ทำข้อมูลผลลัพธ์ออกมาเป็นตัวหนังสืออยู่แล้ว แต่เรามีหน้าที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจข้อมูลนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะมาอยากนั่งอ่านหนังสือหรืออยากรู้ข้อมูลอะไรมากมาย หน้าที่ของเราก็คือการย่อยเพื่อให้คนเสพได้ง่าย เราต้องย่อยบุ๊คเหล่านั้นให้เป็นคอนเทนต์ อยู่ในรูปของกายภาพให้ได้

กอล์ฟ: และเราก็เน้นการทำงานร่วมกัน หน้าที่ของพี่กบคือการสร้างนิทรรศการ ก่อนจะเป็นนิทรรศการ ก็ต้องมีคอนเทนต์ ซึ่งมีข้อมูลเต็มไปหมดเลย บางครั้งเราเองในฐานะคนดูแลกิจกรรมอาจจะดึงข้อมูลตรงนี้ออกมาต่อยอดเป็นกิจกรรมเสริม 

ยกตัวอย่างชัดๆ ได้ไหม

กอล์ฟ: สมมุตืมีนิทรรศการ 1 เรื่อง เกี่ยวกับ LGBT ภายในนิทรรศการก็จะมีกิจกรรมต่างๆ แตกหน่อออกไป เช่น เป็นเสวนา มีการฉายหนัง มีคอนเสิร์ต ฯลฯ

ที่บอกว่ามิวเซียมสยามไม่ได้เป็น Museum for Everyone แล้วเป็น Public Space for Everyone ไหม?

กอล์ฟ: จริงๆ เป็นได้ แต่การจับเนื้อหาของผู้รับสารแต่ละช่วงวัยก็ไม่เหมือนกัน เครื่องมือการเรียนรู้บางอย่างในมิวเซียมสยามเหมาะกับเด็กวัยรุ่นแต่อาจจะไม่สะดวกต่อผู้สูงวัย 

แต่ละช่วงวัยก็มีความสนใจต่างกัน เราอาจจะตั้งโจทย์เลือกว่าอยากนำเสนอให้ใคร อย่างไรเสียทุกอย่างมันก็จะเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่การคิด คอนเทนต์ การดีไซน์กิจกรรม เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงการประชาสัมพันธ์ไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายเช่น นิทรรศการนี้เหมาะกับเด็กรุ่นใหม่ เราก็จะใช้ Facebook เป็นช่องทางชักชวนให้เขาเข้ามาหาเรา

จริงๆ แล้วคนที่มามิวเซียมสยามหลายๆ คนอาจจะไม่ได้ตั้งใจมานิทรรศการก็ได้ เขาอาจจะมาเพราะมีกิจกรรมหรือ event ที่มันไปกระทบเขา สำหรับเราแค่ดึงให้เขาเข้ามาใช้พื้นที่แล้วเกิดประโยชน์ก็โอเคแล้ว

กบ: ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของมิวเซียมคือการมีภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ครอบครัวมักพาลูกมา เพราะมันเป็นสถานที่ที่เก๋ ดูมีความรู้ เด็กที่เป็นแฟนจีบกันใหม่ๆ มักจะพากันมาเที่ยวมาเดทกันที่นี่ ซึ่งเสน่ห์นี้ใช้บอกสเตตัสและสไตล์ของคนได้ คนก็เลยมา

อย่างน้อยก็ดึงเขาออกมาจากบ้าน ไม่ไปเดินห้าง คู่แข่งเราไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่อื่นเลยนะ แต่เป็นห้างสรรพสินค้า วันหยุดเสาร์อาทิตย์จะทำอย่างไรให้เขามาหาเราล่ะ

แล้วจะทำอย่างไรให้คนไทยรู้สึกอยากลุกออกจากบ้านแล้วมามิวเซียม ไม่ไปห้าง

กบ: ในฐานะคนทำงาน เราต้องยอมรับว่ายังต้องพัฒนาเรื่องนี้ บางทีติดกับงานที่ต้องมีเนื้อมากเกินไป จนมันเริ่มไม่สนุก มันยากนะ การที่จะทำให้คนรู้สึกบันเทิงเริงรมณ์ให้พอดีกับเปอร์เซ็นต์ของเนื้อหา คงต้องใช้วิธีให้ข้อมูลหรือการนำเสนอให้เขาอินและรู้สึกว่าเอาใปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

ในฐานะผู้ที่ทำงานกับการสร้างสรรค์เนื้อหาและพื้นที่ มีความยากอะไรบ้าง และมีวิธีการดึงให้คนออกมาอย่างไร

กอล์ฟ: สำหรับเรามองว่าการทำงานกับพื้นที่มันมี ‘ข้อดี’ ลองเทียบพิพิธภัณฑ์ที่อยู่บนตึกสูงกับพิพิธภัณฑ์ที่มี space มันทำให้เราทำอะไรได้หลากหลายขึ้น มันดึงดูด มันทำให้เราเลือกทำอะไรได้เยอะ เรามองว่ามันเป็นข้อดีมากๆ

เมื่อมิวเซียมมีข้อดีเป็นของตัวเอง แล้วจะทำอย่างไรให้คนเข้ามาหาข้อดีของเรา

กอล์ฟ: ‘อยู่ที่คอนเทนต์ล้วนๆ’ เราจะทำของเหล่านั้นให้เตะตา ดึงดูดใจได้มากน้อยแค่ไหน ความยากมันเลยไปอยู่ที่หัวข้อหรือประเด็น ต่อให้คุณมี space ที่ดี แต่เนื้อเรื่องคุณไม่น่าสนใจ ทำอะไรที่คนอื่นเขาทำไปแล้ว คนก็ไม่มาหรอก ทุกอย่างมัน base on content เป็นหลัก

กบ: ดังนั้นพอบอกว่าทุกอย่างจะต้องเชื่อข้อมูล เราพบว่าคนไทยไม่ได้มีพฤติกรรมที่ base on content เลย แม้แต่ในห้องเรียน เด็กๆ ก็ไม่ได้ถูกสอนให้คิดได้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างเป็น passive ครูสั่งจากบนลงล่าง ครูสอนหน้าห้อง นักเรียนมีหน้าที่จด ใครท่องได้ดีกว่ากันคนนั้นก็ได้คะแนนไป เด็กเก่งคือเด็กที่จำเก่ง เราไม่ได้ปลูกฝังเรื่อง critical thinking หรือการคิดพัฒนาต่อยอด กลับเน้นท่องจำและเป็น passive

ทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีผลอย่างไรต่อความรู้สึกอยากมามิวเซียม

กบ: ประเทศเราไม่มีการเสริมเด็กให้เรียนรู้ในเชิงหาข้อมูลด้วยตัวเอง ไม่มีการเรียนรู้ตามอัธยาศัย การเรียนรู้นอกห้องเรียนก็มีน้อย มิวเซียมมันขึ้นอยู่กับเด็กอยู่แล้ว เมื่อเด็กอยากจะค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเอง เขาจะมาเอง ไม่ต่างจากการค้นอินเทอร์เน็ต เล่นยูทูบ ตอนนี้เรากำลังคาดหวังกับการเปลี่ยนพฤติกรรมคน เปลี่ยนในระดับ behavior มันไม่ใช่ง่ายๆ มันยาก ต้องปลูกฝังใหม่

เรื่องนี้ควรเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ในห้องเรียน รวมถึงครอบครัวด้วย มันไม่ได้เปลี่ยนได้ใน 10 ปี มันต้องเปลี่ยนทั้ง generation เราอาจหวังกับพ่อแม่ที่พาเด็กมาดูมิวเซียมสยามตอนนี้ก็ได้ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็มีวัฒนธรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้ลูกเขา

ถ้าพูดถึง Public Space มันหนีโครงสร้างรัฐไม่ได้ ในฐานะคนทำงานมิวเซียม รัฐควรจะหนุนเสริมเรื่องอะไรบ้าง

กบ: สำหรับตัวองค์กรมันได้ภารกิจว่าต้องชวนให้คนมาเที่ยวมิวเซียมอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่ policy ที่มันไม่เอื้อ คนก็ไม่มา ให้เห็นภาพง่ายๆ การที่มีคนมามิวเซียมเยอะ มันจะเกิดการหมุนเวียน เกิดการจับจ่ายใช้สอย และเกิดการพัฒนาตัวเองตามมา แต่เมื่อมันไม่มี policy เราก็ได้แต่นั่งรอ…รอคนเข้ามา อย่างที่เคยบอกไว้ว่าให้เด็กเลิกเรียนบ่าย 2 จากนั้นให้ไปเรียนรู้ตามอัธยาศัย แต่ความเป็นจริงเด็กก็ไม่ได้เลือกมามิวเซียม เลยมองว่าเรื่องนี้มันต้องอยู่ระดับ policy ทั้งในโรงเรียนเองด้วย เราต้องไปด้วยกันเพื่อสร้างพฤติกรรมให้มันเป็นวัฒนธรรม 

เพราะทุกวันนี้คนไทยยังคิดว่า การมาพิพิธภัณฑ์ไทย คือการมาพิพิธภัณฑ์ แต่คนไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) คือการท่องเที่ยว policy อาจจะช่วยเปลี่ยนภาพจำ เพราะเมื่อไรก็ตามที่คนเริ่มรู้สึกปกติกับการไปพิพิธภัณฑ์ รู้สึกเหมือนว่าไปเที่ยว เมื่อนั้นประเทศเราก็จะมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ขึ้น  

มิวเซียมสยามมีการคำนึงถึงการจัดสรรปันส่วนเรื่องพื้นที่หรือเปล่า เช่น ครอบครัวมีทั้งพ่อ แม่ ลูก เมื่อเข้ามาที่มิวเซียมจะต้องมีกิจกรรมที่หลากหลายรองรับ

กอล์ฟ: พยายามจะมี activity ที่หลากหลาย แต่เราไม่ลืมกลุ่มเป้าหมาย ไม่อยากสะเปะสะปะ ในทางกลับกันเราพยายามที่จะทำให้พื้นที่มีประโยชน์มากที่สุด สมมุติในช่วงที่มีพื้นที่ว่างไม่ได้จัดงานก็จะเปิดให้คนเข้ามาเช่า ซึ่งเขาอาจจะไม่ใช่ target ของเราเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยก็ให้คนเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้ เราพยายามทำให้มิวเซียมสยามกลายเป็นพื้นที่เปิดสำหรับทุกคน เพื่อให้เขาเข้ามารู้จักมิวเซียมของเรา โดยบางครั้งอาจจะผ่านคนอื่นก็ไม่เป็นไร 

กบ: จริงๆ คนไทยโหยหางาน social event นะ เสาร์อาทิตย์เขาจะไปไหนล่ะ จะให้เขาไปเดินสวนสาธารณะเมืองไทยก็เป็นเมืองร้อน งานแฟร์หรืออีเวนท์ต่างๆ มันน้อย ทางเลือกมันน้อย

ในอนาคตอยากจะหยิบจับคอนเทนต์อะไรขึ้นมาทำอีกบ้าง

กอล์ฟ: ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำคือการทดลองมากๆ มันทำให้เราได้กลับมานั่งทบทวนใหม่เสมอ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ในวันข้างหน้า เราเรียนรู้จากประสบการณ์เดิมจากสิ่งที่เราเคยทำมาว่าคนเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราพยายามพัฒนาตัวเอง เพื่อในอนาคตมันจะได้ไม่เฟล จับทางในสิ่งที่เคยทำมาแล้วมาเป็นอนาคตนี่คืออนาคตของเรา

กบ: เรามักมีโมเดลจากฝรั่ง แต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องทำให้ตอบสนองกับเราเอง ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์แบบไทยๆ มันอาจจะสะท้อนอารมณ์ขันออกมา ข้อมูลไม่ต้องลึกมาก ไม่ต้องดูแล้วกินใจร้องไห้ แต่มันจะไปได้ดีแบบไทย เป็นไทยสไตล์ ทั้งหมดทั้งมวลมันได้จากสิ่งที่เราทำมาแล้ว

Tags:

public spaceซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรีพิพิธภัณฑ์พาฉัตร ทิพทัส

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Voice of New Gen
    MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    PUBLIC SPACE แห่งอัมสเตอร์ดัมที่เด็กไม่เป็นส่วนเกิน

    เรื่องและภาพ ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

  • Space
    “ออกไปชมพิพิธภัณฑ์” ใบสั่งยาจากทีมแพทย์แคนาดา ใช้ศิลปะเยียวยาร่างกายและจิตใจ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

สมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล: คุณภาพการศึกษาที่สร้างโดยคนใน
Creative learning
4 September 2019

สมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล: คุณภาพการศึกษาที่สร้างโดยคนใน

เรื่องและภาพ The Potential

  • งานสมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล ครั้งที่ 1 รวมคนสตูลร่วมพันคนเข้ามาในงานเพื่อร่วมมองอนาคต อยากเห็นสตูล คนสตูล เป็นแบบไหนในอีก 20 ปีข้างหน้า
  • นอกจากนี้ยังเป็นการนำเสนอแสงสว่างปลายอุโมงค์ ทางออกในการจัดการศึกษาที่พัฒนาผู้เรียน จากรูปธรรมการจัดการเรียนรู้ของ 10 โรงเรียนนำร่องในพื้นที่นวัตกรรม
  • การศึกษาจังหวัดสตูลใช้โครงงานฐานวิจัยซึ่งมีนวัตกรรม 4 อย่างคือ การปรับห้องเรียนเป็น Active Learning ผ่าน 14 ขั้นตอนโครงงานฐานวิจัย, เปลี่ยนพื้นที่การเรียนรู้จากแค่ในห้องเรียน เป็นเรียนในพื้นที่ชุมชนจริง, ครูสามเส้า, กลไกการจัดการเรียนรู้ที่ไม่รวมศูนย์แค่ในโรงเรียน
  • เสียงของครูผู้ปกครองที่เข้าไปสอนจริงในห้องเรียน โดยที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ‘วิชาใด’ และ เสียงของนักเรียนที่เริ่มเรียนด้วยโครงงานฐานวิจัย สมัชชาการศึกษาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อย้ำว่าการศึกษาที่พัฒนาผู้เรียน ‘ทำได้’ และเป็นหน้าที่ที่คนสตูลต้องช่วยกัน

ด้วยวิกฤติคุณภาพการศึกษาในปัจจุบันที่ไม่อาจคาดหวังการสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยคนนอกหรือภาคนโยบายอีกต่อไป เราจึงเริ่มเห็นตัวอย่างความพยายามในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเกิดขึ้นกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

จังหวัดสตูล หนึ่งในพื้นที่นำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จากทั้งหมด 9 จังหวัด 6 พื้นที่* ความร่วมมือของเครือข่ายภาคประชาชนในจังหวัด หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัด ชุมชน ร่วมมือกับโรงเรียนนำร่อง 10 แห่ง ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนโดยใช้โครงงานฐานวิจัยในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ใหม่ของเด็กๆ ด้วยปรัชญาของกลุ่มคนทำงานที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากคนใน โดยคนใน เพื่อคนใน”

ขีดเส้นใต้ไว้ว่า แม้พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล จะเริ่มอย่างเป็นทางการไปแล้วราว 1 ปี แต่การทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนที่ว่า พวกเขาขยับกันมาแล้วเกือบ 10 ปี

วันที่ 30-31 สิงหาคม 2562 คนสตูลราวหนึ่งพันคน ตั้งแต่เด็กประถม ครู ผู้ปกครอง องค์กรเอกชน และภาครัฐในจังหวัด ตบเท้าเข้างาน ‘สมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล ครั้งที่ 1: คนสตูลในศตวรรษที่ 21’ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล พูดคุยเพื่อหามติร่วมของคนในพื้นที่ ว่าการศึกษาของลูกหลานชาวสตูลในอนาคต ควรเป็นอย่างไร โดยเนื้อหาสาระการพูดคุยในงานยืนอยู่บนแนวคิดการเปลี่ยนแปลงการศึกษาโครงการนำร่อง ‘พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดสตูล’ ที่ได้ดำเนินงานอย่างเป็นทางการในพื้นที่ไปแล้วราว 1 ปี

“ที่ผ่านมาข้อเสนอในสมัชชาจังหวัดทุกอย่างมุ่งไปที่กรุงเทพฯ แต่ปัญหาซึ่งอยู่ในพื้นที่ไม่ได้มุ่งไปกรุงเทพฯ ด้วย ปัญหายังอยู่ที่สตูล คนแก้ปัญหาก็อยู่ที่นี่ เราเลยเสนอกับทีมทำงานว่าเราจัดให้มีสมัชชาที่คนสตูลมาเสนอและจัดเป็นมติในพื้นที่ ส่วนคุณจะเอาข้อเสนอตรงนี้ไปสู่คนทำนโยบายระดับชาติต่อก็ทำไปตามกระบวนการ” สมพงษ์ หลีเคราะห์ ผู้ประสานงาน ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดสตูล (พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล) เล่าวิธีคิดงานกับทีม The Potential

สมพงษ์กล่าวต่อว่าการจัดสมัชชาการศึกษาจังหวัดสตูล เป็นเวทีที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่จากทุกภาคส่วนในการเข้ามาจัดการศึกษาตามความฝัน ออกแบบความฝันร่วมกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริง และเพราะปรัชญาของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดสตูล คือการเปลี่ยนโครงสร้างที่ยึดจากความต้องการของ ‘คนใน’ ฉะนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง ผู้ปกครอง นักเรียน ครู นักการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน -ในฐานะผู้ปกครองของเด็กนักเรียน และผู้ที่ต้องทำงานกับแรงงานต่อไปในอนาคต – จำเป็นต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อหามติ กำหนดทิศทางการพัฒนาคนในจังหวัดสตูล

สมพงษ์ หลีเคราะห์

บรรยากาศภายในงานประกอบไปด้วยนิทรรศการของเด็กๆ ที่เรียนผ่านโครงงานฐานวิจัยจากโรงเรียนนำร่อง 10 แห่ง ที่นักเรียนเป็นผู้เลือกเรื่องที่ตนเองสนใจเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อาชีพ ทรัพยากรในชุมชน เป็นต้น การบรรยายความก้าวหน้าของโครงการและชักชวนให้โรงเรียนอื่นๆ ในสตูลเข้าร่วมพื้นที่นวัตกรรมการศึกษารุ่นปีที่ 2 ห้องเวิร์คช็อป พ่อแม่ ครู และนักการศึกษา เพื่อพูดคุยในหัวข้อ คนสตูลในศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้คือเวทีพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางการศึกษาบนฐานการทำงานร่วมของคนในชุมชน

นวัตกรรมการศึกษา ที่ใช้ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดสตูล

เป้าหมายร่วมของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาอันปรากฏในพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มี 4 ข้อคือ

  • อิสระ – ความเป็นอิสระในการบริหารจัดการโรงเรียน
  • พัฒนา – พัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้และพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารจัดการศึกษา
  • หลักสูตร – สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ ตำรา การทดสอบของตัวเองได้ เพียงให้สอดคล้องกับโจทย์การเรียนรู้
  • เชื่อมโยง – โรงเรียน ครู ภูมิปัญญา ผู้ปกครอง หน่วยงานเอกชน หน่วยงานเหล่านี้ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างคล่องตัว

อย่างไรก็ตาม ปรัชญาการเปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาในจังหวัดสตูลเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากคนทำงานในพื้นที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากการทำงานด้วยการวิจัย โดยเฉพาะผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล นายสุทธิ สายสุนีย์ ร่วมกับศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น พัฒนาองค์ความรู้เรื่องการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัย 14 ขั้นตอน (Research Based Learning)** มีพื้นที่การเรียนรู้คือห้องเรียนร่วมกับภูมิปัญญาชุมชน เริ่มทดลองการเรียนการสอนแบบนี้มานานเกือบ 10 ปี เมื่อมีประกาศเรื่องพื้นที่นวัตกรรม องค์กรเอกชนและภาคประชาชนในจังหวัดจึงพร้อมโอบรับการเปลี่ยนแปลง

สุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล

โดยทำงานผ่าน ‘นวัตกรรมการศึกษา’ 4 ปัจจัย ดังนี้

  • Active Learning: ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน โดยใช้โครงงานวิจัย 14 ขั้นตอน
  • พื้นที่การเรียนรู้: ครูสร้างการเรียนรู้จากทุนเดิม โรงเรียนลดอำนาจและสร้างการมีส่วนร่วมในห้องเรียน ผู้อำนวยการ เด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน ร่วมกันทำให้ทุกพื้นที่สร้างการเรียนรู้ได้
  • ครูสามเส้า: ครูเพียงคนเดียวไม่สามารถสร้างการเรียนรู้ พื้นที่นวัตกรรมจึงต้องพัฒนาหลักสูตร ‘ครูสามเส้า’ คือ ครูโรงเรียน (โรงเรียนนำร่อง 10 โรง) ครูผู้ปกครอง (100 คน) ครูชุมชน (200 คน) เพื่อให้เด็กมีสมรรถนะ คือ ทัศนคติ (attitude), ทักษะ (skill) และ องค์ความรู้ (Knowledge)
  • กลไกการจัดการ: โรงเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งที่พื้นที่นวัตกรรมคาดหวังคือ ทำให้โรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างระบบการศึกษาของพื้นที่

เสียงของครูสามเส้า: “เราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นดี แค่เข้าไปตั้งคำถามให้เด็กคิดต่อ”

“พี่เข้าไปสอนเด็กๆ ในห้องเรียนได้ทุกวิชาเลย เพราะเราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นดี เราแค่เข้าไปตั้งคำถามให้เด็กคิดต่อ ‘ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้ เราทำแบบไหนกันต่อดี?’ แต่ไม่ใช่ตั้งคำถามอะไรก็ได้ ไม่ใช่การตั้งคำถามเชิงลบ แต่ต้องรู้ว่าจะตั้งคำถามยังไงให้เขาคิดต่อได้เอง”

คือเสียงของ ลัดดา ชูช่วง หรือที่เด็กๆ เรียกว่า มะ (แม่) ดา คุณแม่ลูก 2 (กำลังจะมีน้องคนที่ 3 เร็วๆ นี้) อายุ 39 ปี ในฐานะ ‘ครูพ่อแม่’ หนึ่งในครูสามเส้าตามโมเดลนวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล

ลัดดา ชูช่วง

ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน มะดา เล่าว่าเธอคล้ายคุณแม่คนอื่นๆ ที่ลูกมีปัญหาด้านการเรียน ลูกชายคนโตติด 0 หลายวิชา คำถามที่เกิดขึ้นไม่ใช่ “มันเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน” แต่เป็น “เราจะทำอะไรได้บ้าง เราจะช่วยลูกยังไง” ในช่วงเวลานั้นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูก อำเภอละงู จังหวัดสตูล ชวนเข้าร่วมกระบวนการกับศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเพื่อเรียนรู้การทำงานด้วยโครงงานฐานวิจัยโดยตั้งใจนำไปทดลองใช้กับครูในโรงเรียนนำร่อง 10 โรงเรียน แต่กระบวนการในขณะนั้น มะดาเรียกว่า “มันยังเป็นกระบวนการเถื่อนนะ ซึ่งเขาทำกันมาก่อนหน้านั้นนานมาก ตั้งแต่ลูกคนเล็กอนุบาลจนตอนนี้อยู่ ม.1 แล้ว คิดว่าเริ่มทำก่อนหน้าจะมาเป็นโครงการพื้นที่นวัตกรรมเกือบ 10 ปีได้ กระทรวงศึกษาฯ ไม่ได้พูดถึงเลย แต่เป็นความตั้งใจของโรงเรียนต่างๆ ที่ต้องการทดลองทำ”

มะดาบอกว่าขณะนั้นเธอเป็นผู้ปกครองแค่คนเดียวที่เดินตามผู้อำนวยการโรงเรียนและครูไปเรียนรู้เครื่องมือวิจัย ตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่สิ่งค่อยๆ ซึมซับและติดตัวมาคือความเข้าใจเรื่อง ‘กระบวนการเรียนรู้’ และ ‘วิธีตั้งคำถาม’

“เราเริ่มจากอยากช่วยลูกของเรา แต่เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาของโรงเรียน มันคือปัญหาของเรา ตอนนั้นแค่อยากให้ลูกเราแก้ปัญหาในชีวิตเขาได้ พอได้เข้าไปทำงานแบบนี้ รู้เลยว่าแค่เราตั้งคำถาม เขาก็มีวิธีคิดต่อเองได้ แล้วพอเขาวิเคราะห์ปัญหาเองได้ มันตามทุกอย่างเลย การเรียน การใช้ชีวิต การอยู่ในสังคม การหาคู่ การอยู่กับครอบครัว ได้หมด”

จากตอนแรกที่ตั้งใจอยากมีเครื่องมือเพื่อช่วยเรื่องการเรียนของลูกตัวเอง ปัจจุบันมะดาเป็นครูพ่อแม่ที่เข้าไปช่วยครูที่โรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูกสอนในบางคาบ เป็นหนึ่งในผู้ช่วยการสนับสนุนการสอนครูในโรงเรียน โดยจะเข้าไปช่วย ‘สะท้อน’ หรืออยู่ร่วมในกระบวนการ reflection เกือบทุกวันศุกร์กับกลุ่มครู รวมทั้งเป็นผู้ประสานงานเรื่องการเรียนรู้ในโรงเรียนกับชุมชน เวลาที่เด็กๆ จะลงไปเก็บข้อมูลวิจัยจากชุมชนจริงๆ

“คล้ายว่าเราเป็นตัวสนับสนุน เป็นเจ้าบ้าน เวลาที่ครูหรือผู้อำนวยการเปลี่ยนตำแหน่งเข้ามาใหม่ เราเป็นหนึ่งในคนที่เขาต้องเข้ามาพูดคุย ไม่ใช่ว่าเราไปสอนเขานะ แต่ว่าเราอยู่ในฐานะเจ้าบ้านที่ทำงานกับโรงเรียนมานาน คือไม่ว่าใครจะมาจะไป แต่เรายังอยู่”

เสียงของเด็ก: นักเรียนที่อยากให้มีคาบเรียน 3 ชั่วโมงต่อวัน

“แต่ก่อนผมชอบโดดเรียน ไม่ชอบไปโรงเรียนเลย แต่พอเรียนแบบนวัตกรรม จากเคยเรียน 6 วิชา/วัน เหลือ 3 วิชา/วัน แล้วตอนบ่ายเป็นคาบนวัตกรรมเลย ผมชอบมากๆ เพื่อนผมที่เป็นเด็กพิเศษ (พัฒนาการช้า อ่านหนังสือยังไม่ออก) ปกติเขาจะเข้าห้องเรียนช้า แบบว่า… สิบนาทีค่อยเข้าห้องเรียน แต่เดี๋ยวนี้ สมมุติครูนัดบ่ายโมงครึ่ง บ่ายโมงยี่สิบมานั่งรอก่อนแล้ว เขาบอกว่าวิชานวัตกรรมเป็น ‘วิชาเล่น’

“แต่ก่อนเพื่อนผมที่เป็นเด็กพิเศษ เขาจะอ่านหนังสือช้าใช่ไหมครับ เขารู้สึกด้อยกว่าเพื่อน แบบยังไงอะ… เหมือนเขาไม่เก่งอะครับ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดแบบนั้น เขาอ่านหนังสือได้ดีขึ้นด้วย มันดีกับเพื่อนผมมากๆ”

ลัตฟี – ธีรวุฒิ เสนาทิพย์

ธีรวุฒิ เสนาทิพย์ หรือ ลัตฟี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านควนเก อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล เจ้าของความฝันอยากเปิดลานเลี้ยงแพะเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศในห้องเรียน ลัตฟีเล่าว่าเขาเพิ่งมีคาบเรียนแบบใหม่เมื่อเทอมที่ผ่านมา วันแรกที่ครูบอกว่าตารางสอนจะไม่เหมือนเดิม และมีการพาเขาและเพื่อนลงพื้นที่เพื่อไปคุยกับชาวบ้านสอบถามเรื่องชีวิตทั่วไป

“พอลงพื้นที่เสร็จครูก็มาถามว่าเราเห็นอาชีพอะไรบ้าง และอยากทำอะไร คนยกมือตอบกันเต็มเลยแต่ผมตอบไม่เหมือนคนอื่น เพราะผมอยากเปิดโรงเลี้ยงแพะ แต่สุดท้ายผมไม่ได้ทำโครงงานนี้เพราะผู้หญิงทำไม่ได้ ผู้หญิงกลัวแพะ”

ด้วยครูบอกว่าเด็กๆ ต้องสามัคคีกัน หาข้อสรุปโครงงานที่ทุกคนอยากทำร่วมกันให้ได้ สุดท้ายลัตฟีกับเพื่อนทำโครงงานเรื่อง ‘สีสันธรรมชาติผ่านโรตีกรอบจิ๋ว’

“โรตีกรอบจิ๋วมันเป็นขนมพื้นบ้านอยู่แล้วแต่คนสมัยนี้เขาทำให้มันเป็นอันใหญ่ๆ โรตีมันสีน้ำตาลใช่ไหมพี่ แต่พวกผมคิดไม่เหมือนเขา เพราะคนกินอาจไม่ชอบสีน้ำตาลก็ได้ เขาอาจจะชอบสีชมพู สีม่วง ก็เลยทำโรตีกรอบจิ๋วจากสีธรรมชาติหลายๆ สี” ลัตฟีตอบฉะฉานไม่มีสะดุด

เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม เรียนแบบนี้ดียังไง?

“มันได้สัมผัสจริง สมมุติเรียนเรื่องสละ แต่ก่อนเราไม่รู้ว่ามันต้นละเท่าไหร่ ปลูกยังไง ใส่ปุ๋ยยังไง ใช้ดินอะไร แต่วันนั้นครูพาพวกผมลงไปพื้นที่ แล้วเขาเอาเกสรต้นผู้อะ มาถูกับเกสรต้นเมีย เขาให้พวกผมทำด้วย สนุก”

เรียนในห้องก็ได้สัมผัสนะ มีอะไรให้จับตั้งเยอะแยะในห้อง?

“เรียนในห้องเรียนได้ตากพัดลมอย่างเดียว นี่เราได้ลมจากธรรมชาติ”

ตากพัดลมก็ดีไม่ร้อน?

“ร้อนพี่ อับอยู่ในห้อง อับๆ แล้วมันเหนื่อย เรียนไม่สนุก”

วิ่งข้างนอกก็เหนื่อยเหมือนกัน

“แต่มันสนุกกว่าอะพี่”

แน่นอนว่านี่เป็น ‘บางเสียง’ ของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ทดลองและเป็นเสียงที่ ‘เลือก’ มาว่าค่อนข้างเป็นไปได้ดีในระดับหนึ่ง ในระดับใหญ่กว่านั้นยังมีความขลุกขลักและต้องการพลังการผลักดันเพื่อเปลี่ยนให้ได้ทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง

พ.ร.บ. ชุดนี้มีอายุ 7-14 ปี นั่นแปลว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และยังเป็นการเดินทางอีกยาวไกลที่พวกเราปรารถนาให้มันสำเร็จ หรืออย่างน้อยที่สุด ขอให้มีเด็กๆ ที่ลุกขึ้นมาบอกว่า ‘เพราะการเรียนมันสนุก’ เพิ่มขึ้นอีกมากๆ


*พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือพื้นที่ ‘นำร่อง’ ให้โรงเรียนได้ออกแบบปรับเปลี่ยนการศึกษาด้วยตัวเองร่วมกับภาคีทั้งในและนอกพื้นที่ พื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)

**การจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยโครงงานฐานวิจัย 14 ขั้นตอน ประกอบด้วย
1. เรียนรู้เรื่องใกล้ตัว
2. วิเคราะห์เลือกเรื่อง
3. พัฒนาเป็นโจทย์วิจัย ตั้งคำถามที่อยากรู้
4. ออกแบบงานวิจัยเพื่อหาข้อมูลความรู้
5. นำเสนอโครงงาน
6. สร้างเครื่องมือ
7. ลงพื้นที่เก็บข้อมูล
8. ตรวจสอบวิเคราะห์
9. คืนข้อมูลชุมชน
10. กำหนดทางเลือกใหม่
11. แผนปฏิบัติการ
12. ทดลองปฏิบัติการ
13. รายงาน
14. นำเสนอผลงานวิจัย

Tags:

ระบบการศึกษานวัตกรรมพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาสตูล

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Education trendSocial Issues
    เมื่อ ‘หลักสูตร’ อาจไม่ใช่ผู้ร้ายในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningSocial Issues
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learningLearning Theory
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

นิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7
Voice of New Gen
3 September 2019

นิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7

เรื่อง The Potential

ภาพประกอบ: Nattawanee Srikoseat / โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่
หมายเหตุ: ผลงานอยู่ระหว่างการจดทรัพย์สินทางปัญญา

การนำเสนอผลงานนวัตกรรมเยาวชน โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7 จำนวน 14 ผลงาน ภายใต้งานประชุมวิชาการ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2019 (NECTEC – ACE 2019 วันที่ 9 กันยายน 2562 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์แอทเซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ)

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง NECTEC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ มูลนิธิสยามกัมมาจลที่สนับสนุนให้เยาวชนต่อยอดผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลักดันไปสู่การใช้งานจริง มีเป้าหมายเพื่อบ่มเพาะพัฒนาศักภาพเยาวชน โดยเป็นพื้นที่ให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการพัฒนาผลงานนวัตกรรม และฝึกกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ทักษะการสื่อสาร (communication) การทำงานร่วมกัน (collaboration) พร้อมก้าวเข้าสู่โลกในศตวรรษที่ 21  

งานประชุมวิชาการ NECTEC – ACE 2019 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า’ มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอผลงานวิจัยพัฒนาที่ได้นำไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ และนำเสนอองค์ความรู้จากผลงานวิจัยของ NECTEC และผลงานที่ร่วมกับพันธมิตรในรูปแบบการสัมมนาวิชาการและการจัดนิทรรศการ นอกจากนี้ยังเป็นเวทีนำเสนอผลงานนิทรรศการผลงานนวัตกรรมของเยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นที่ 7 ด้วย  

ตัวอย่างนวัตกรรมที่จัดแสดงในงาน 

การจัดนิทรรศการประจำปี 2562 จะมี การนำเสนอผลงานนวัตกรรมเยาวชนโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รวม 14 ผลงาน แสดงร่วมกับผลงานทีมวิจัยไทยของ NECTEC กว่า 50 ผลงานที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคส่วนต่างๆ ด้วยงานวิจัยพร้อมถ่ายทอด แสวงหาพันธมิตรร่วมวิจัย และขยายผลการใช้งาน โดยมีผลงานนวัตกรรมของเยาวชนที่น่าสนใจ 14 ผลงาน ได้แก่

  • Clean Oyster เครื่องล้างหอยนางรมสด ลดการปนเปื้อนเชื้อวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส จึงทำให้สามารถมั่นใจในการรับประทานหอยนางรมสด อร่อย และปลอดภัย จากวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี
สมาชิกโครงการ Clean Oyster 
  • Intelligent Toilet System ระบบห้องน้ำอัจฉริยะในราคาประหยัด จากวิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ
  • Gunman and the Witch เกมบริหารเมือง และแอ็คชั่นในรูปแบบ 2 มิติบนระบบปฏิบัติการ Windows โดยมีเนื้อเรื่องและบรรยากาศในยุคคาวบอยของเกม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
  • Kings of Dungeon (คิงส์ ออฟ ดันเจียน) เกมแนว Rouge-Like บนคอมพิวเตอร์ โดยใช้มือถือในการควบคุม เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเล่นเกม จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • Pluk Kla ระบบควบคุมโรงเรือนปลูกพืชอัจฉริยะ สามารถควบคุมความชื้น อุณหภูมิให้เหมาะสมกับการปลูกพืชผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต จากโรงเรียนชุมแพศึกษา 
  • iCrab ระบบควบคุมบ่อเลี้ยงปูนาอัจฉริยะ ที่สามารถช่วยปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของปูนา ลดอัตราการตายของปูนาเมื่อสภาพแวดล้อมภายนอกมีอุณหภูมิต่ำลงมาก จากโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย  
  • เจ้านายจอมโหด (Big Boss) เกมที่ให้ผู้เล่นได้จำลองตนเองเป็นพนักงานออฟฟิศ คอยทำตามคำสั่งของเจ้านายให้ทันเวลาก่อนที่เจ้านายจะโกรธแล้วก็ลุกขึ้นมาวิ่งไล่เรา จากโรงเรียนระยองวิทยาคม
  • Play Plern Learn Ground รู้ศัพท์ ลับสมอง เกมส่งเสริมการเรียนรู้ที่จะพาท่องไปในโลกแห่งคำศัพท์แบบมัลติยูสเซอร์ ในเกมจะได้เรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษพร้อมได้รับความสนุกสนานเหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่น จากโรงเรียนสตรีอ่างทอง 
  • SUPER SHRIMP อาหารกุ้งฝอย อาหารกุ้งฝอยสูตรพิเศษที่ช่วยให้กุ้งฝอยมีการอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น และลดอัตราการตาย ช่วยให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งฝอยลดความเสี่ยงการขาดทุนและมีรายได้เพิ่มขึ้น จากโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
  • มีดกรีดยางสายฟ้า มีดกรีดยางพาราด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องมือช่วยทุ่นแรงเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราให้สามารถกรีดต้นยางพาราได้รวดเร็ว และเบาสบายแรง จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์
  • Magic Silk ผลิตภัณฑ์ช่วยในการติดสีของเส้นไหมจากสารสกัดธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเส้นไหม จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์
  • D.I.Y. PAPER PIANO ของเล่นวิทยาศาตร์เพื่อการเรียนรู้แบบ STEM (Science Technology Engineering and Mathematics Education: STEM Education) จากโรงเรียนท่าศาลาประสิทธิ์ศึกษา 
ผลงานจากโครงการ D.I.Y. PAPER PIANO 
  • Blood Buddy เพื่อนรักพิทักษ์เลือด โปรแกรมการเรียนรู้เรื่องเซลล์เม็ดเลือด ซึ่งอยู่ในรายวิชาชีววิทยาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยนำเสนอในรูปแบบสองมิติ (2D) ผู้ใช้จะได้มีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับโปรแกรม (Interactive) เรียนรู้เนื้อหาผ่านเรื่องราวในการ์ตูนแอนิเมชั่น จากโรงเรียนระยองวิทยาคม
ผลงานจากโครงการ Blood Buddy เพื่อนรักพิทักษ์เลือด
  • เจ้าจันทร์  (Lunar Wheel) ชุดสื่อการเรียนรู้เรื่องปรากฏการณ์ของดวงจันทร์ จากโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล 
ผลงานจากโครงการ เจ้าจันทร์  (Lunar Wheel) 

สามารถเข้าชมนิทรรศการในวันที่ 9 กันยายน 2562 ตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 น.

แผนผังนิทรรศการ

การแต่งกาย: สุภาพบุรุษ – สวมใส่ชุดสูทสากล เนคไทเหลือง/เสื้อเหลือง

สุภาพสตรี – สวมใส่ชุดสุภาพ เสื้อผ้าสีเหลือง

คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

Tags:

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมอีเวนต์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025
  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel