Skip to content
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Year: 2018

มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร
Education trend
19 March 2018

มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

เรื่อง The Potential

  • ฤดูสอบเด็กอังกฤษปีที่แล้ว สายด่วน Childline ต้องรับสายจากเด็กที่ต้องการระบายความเครียดจากการสอบถึง 3,315 สาย
  • เมื่อการสอบไม่ใช่แค่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเฉพาะตัวเด็ก แต่เป็นแบบประเมินคุณภาพครู คุณภาพการศึกษาของแต่ละโรงเรียน ความคาดหวังของผู้ปกครอง และการเปิดเผยผลการสอบแบบสาธารณะ การสอบแต่ละครั้งจึงมี ‘เดิมพัน’ สูงส่ง
  • สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ‘ความป่วยไข้ทางใจ’ ของเด็กๆ และเกิดอย่างรวดเร็วเกินไป
  • “เราเจอเด็กที่ขนตาร่วงทั้งหมดเพราะความเครียด และมีเด็กจำนวนหนึ่งที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นคงทางใจถูกทำลาย” ประสบการณ์จากครูนิรนามท่านหนึ่ง

ตั้งแต่ราวเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน คือช่วงที่นักเรียนอังกฤษตั้งแต่ประถมศึกษาถึงมัธยมปลาย ต้องเตรียมสอบวัดระดับการศึกษา เริ่มตั้งแต่การสอบ SATs สำหรับชั้นประถมศึกษา, การสอบ GCSEs และ A LEVEL ในเด็กมัธยม

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้ ในปีการศึกษา 2016/2017 สายโทรศัพท์ Childline บริการให้คำปรึกษาเด็กโดยสมาคมป้องกันการทารุณกรรมต่อเด็กแห่งชาติ (NSPCC) ของสหราชอาณาจักร ต้องรับปรึกษา รับฟังความเครียดของเด็กๆ ที่เกิดจากการเตรียมสอบกว่า 3,315 เรื่อง แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเฉพาะเดือนพฤษภาคม 2017 มีมากถึง 704 เรื่อง (22 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด)

แต่ตัวเลขภาพรวมพบว่ามีนักเรียนโทรเข้ามามากกว่าปีก่อนอยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์ และสายที่โทรเข้ามามากที่สุดคือนักเรียนอายุ 12-15 ปี  และนักเรียนอายุ 16-18 ปี โทรเข้ามาปรึกษามากกว่าปี  2014/2015 ถึง 21 เปอร์เซ็นต์

“เรากำลังเตรียมสอบ GCSEs ซึ่งมันเครียดมากๆ พ่อแม่คาดหวังว่าเราต้องทำมันให้ได้ดี เราพยายามอย่างหนักแต่รู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอสำหรับพวกเขา พ่อแม่ไม่อนุญาตให้เราทำอะไรเลยยกเว้นดูหนังสือ และถ้าเราพยายามสื่อสารหรืออธิบายกับพวกเขา มันจบลงด้วยการทะเลาะกันทุกที” – สายนิรนาม

ผู้ให้คำปรึกษารายงานว่า เด็กๆ เหล่านี้บอกว่าเขาต้องดิ้นรนเพื่อเผชิญหน้ากับความเครียด ทั้งจากการบ้านที่หนักหน่วงและความรู้สึกไม่พร้อม เตรียมตัวไม่ทัน

และทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่จุดจบที่คล้ายกันก็คือ ‘การป่วยไข้ด้านจิตใจ’ หรือ Mental Health

ข้อสอบSATs ในเด็กปฐมวัย: การเผชิญหน้ากับความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

มาดูที่ความเครียดของเด็กๆ ประถม อายุระหว่าง 5-10 ปีกันบ้าง

บรรยากาศความเครียดและกดดันในการสอบของเด็กตัวเล็กๆ คล้ายกันกับบ้านเรา เพราะที่อังกฤษ เด็กประถมต้องเตรียมสอบ SATs หรือคือชื่อเล่นการสอบวัดผลระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษาหลักของอังกฤษ (National Curriculum) เมื่อเด็กๆ จบการศึกษา Key Stage* 1 และ 2 หรือเมื่อพวกเขาจบการศึกษา Year 2 อายุประมาณ 7 ปี และ Year 6 อายุประมาณ 11 ปี

การสอบ SATs ไม่ใช่แค่การสอบวัดระดับความรู้ของนักเรียน แต่เป็นการวัดประเมินความสามารถของครูผู้สอน (teacher assessment judgements) และระดับโรงเรียนด้วย

ผลสำรวจจาก The Key for School Leaders องค์กรบริการข้อมูลด้านการพัฒนาเพื่อเป็นโรงเรียนชั้นนำ เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2017 ซึ่งเป็นฤดูสอบ SATs ชี้ว่า จากผลสำรวจเปิดให้ครูแสดงความเห็นต่อนักเรียนที่ต้องสอบของช่วงปีนั้นระบุว่า ครูส่วนใหญ่บอกว่า เด็กๆ กำลังเผชิญหน้ากับความกลัว และถูกความกังวล (panic) เข้าจู่โจม กรณีร้ายแรงที่สุดคือ เด็กเครียดจนกระทั่งขนตาร่วงทั้งหมด

“ปีที่ผ่านมาในช่วงการสอบอ่าน เด็กนักเรียนสองคนร้องไห้ขณะเริ่มอ่านข้อสอบ จำเป็นต้องขอเวลานอกแล้วค่อยกลับมาทำข้อสอบใหม่ เด็กๆ ดูจะเครียดมากขึ้น ในช่วงเวลานี้ เรา (ครู) จำเป็นต้องทำให้เขารู้ว่าเราสนับสนุนเขาอยู่” ครูท่านหนึ่งร่วมตอบแบบสอบถาม

ขณะที่ครูอีกท่านแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในผลสำรวจว่า

เราเจอเด็กที่ขนตาร่วงทั้งหมดเพราะความเครียด และมีเด็กจำนวนหนึ่งที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นคงทางใจถูกทำลาย

ผลสำรวจอื่นๆ มีดังนี้

  • 81 เปอร์เซ็นต์ ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจระบุว่า พวกเขากังวลต่อภาวะความป่วยไข้ของจิตใจนักเรียนมากกว่าความเครียดของเด็กๆ ที่เคยสอบ 2 ปีที่ผ่านมา
  • 68 เปอร์เซ็นต์ ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจ ระบุว่า การเปลี่ยนระบบสอบ ให้ผลลบ โดยเฉพาะความเครียดของเด็กๆ มากกว่า
  • 94 เปอร์เซ็นต์ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจระบุว่า พวกเขาคุยกับเด็กๆ เรื่องการจัดการกับความเครียดมากกว่าที่เคยทำในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
  • 27 เปอร์เซ็นต์ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจระบุว่า ข้อสอบ คือตัวการสำคัญของความเครียดในเด็ก ต่อมาคือโซเชียลมีเดีย

ไม่ใช่การเลิกสอบ แต่คือการเปิดเผยข้อมูลคะแนนสอบ

แต่ข้อวิจารณ์สำคัญไม่ได้มุ่งไปที่การเลิกสอบ หากคือการเปิดเผยข้อมูลการสอบของนักเรียน ซึ่งจะทำให้ทั้งครู ซึ่งต้องติวให้นักเรียนทำข้อสอบได้ดี และเด็กกดดันมากไปกว่าเดิม ฉะนั้น คะแนนจึงกลายเป็นสิ่งเดิมพันที่มีราคาสูง

เนล คาร์ไมเคิล (Neil Carmichael) คณะกรรมการการศึกษากล่าวว่า “เมื่อคะแนนกลายเป็นสิ่งเดิมพัน ผลลัพธ์คือการหาวิธีให้ได้คะแนนสูง คือการมุ่งทำคะแนนด้านภาษาอังกฤษและเลข ละทิ้งวิชาวิทยาศาสตร์ สายมนุษยศาสตร์ และศิลปะไป

“เป็นเรื่องจริงที่โรงเรียนต้องมีการประเมินศักยภาพของตัวเอง แต่รัฐควรลดสิ่งเดิมพัน และสร้างระบบให้ครูได้สร้างสมดุลและเติมเต็มหลักสูตรของตัวเอง”

นอกจากนั้นยังเสนอว่า ชาวอังกฤษเป็นกังวลต่อมุมมองวิธีการสอบ SATs เรื่องไวยากรณ์มากกว่าบทบาทและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ชั้นประถม และเห็นว่าประเด็นถกเถียงเรื่องภาษาสมัยใหม่อย่างการสะกดคำ, เครื่องหมายวรรคตอน และไวยากรณ์ ไม่ควรเป็นข้อสอบบังคับในทางกฎหมาย (non-statutory) ในการสอบ Key Stage 2 หรือเมื่อเด็กจบ Year 6

*ระดับประถมศึกษา (Primary Level) ของอังกฤษ แบ่งออกเป็น 2 ระดับย่อยตาม Key Stage คือ

Key Stage 1: ระดับชั้นประถมศึกษา Year 1-2 อายุประมาณ 5-6 ปี
Key Stage 2: ระดับชั้นประถมศึกษา Year 3-6 อายุประมาณ 7-10 ปี
อ้างอิง: 
theguardian.com
huffingtonpost.co.uk

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษาโรงเรียนเทคนิคการสอนปม(trauma)การสอบ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เหตุผลทางสมอง ทำไมวัยรุ่นชอบเรื่องท้าท้าย
Adolescent Brain
19 March 2018

เหตุผลทางสมอง ทำไมวัยรุ่นชอบเรื่องท้าท้าย

เรื่อง The Potential ภาพ antizeptic

กราฟสองเส้นนี้ แสดงระดับพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น และพฤติกรรมแสวงหาความรู้สึกที่ทำให้ตื่นเต้นเร้าใจ ในแต่ละช่วงอายุของวัยรุ่น อธิบายว่าทำไมวัยรุ่นจึงเป็นวัยที่ ‘เปรี้ยวที่สุด’

เส้น Sensation Seeking คือ พฤติกรรมแสวงหาความรู้สึกที่แปลกใหม่ตื่นเต้นเร้าใจ เป็นแรงผลักให้เข้าหาสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจเพิ่มมากขึ้น ในช่วงวัยรุ่น หรือ 12-18 ปี ฮอร์โมนเพศ อย่างเทสโทสเตอโรน จะพุ่งสูงปรี๊ด ในขณะที่สมองส่วน Limbic Reward System ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพิ่มมากขึ้น เมื่อเจอสิ่งที่แปลกใหม่ตื่นเต้นเร้าใจก็จะมีการหลั่งสารสื่อประสาทโดพามีน (สารแห่งความพึงพอใจ) เพิ่มมากขึ้นในสมองบริเวณที่เรียกว่า Ventral Striatum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Limbic Reward System

หรืออาจกล่าวว่าคือสมการ

Limbic Reward System X ฮอร์โมนเพศ = ความต้องการแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ตื่นเต้นเร้าใจ

เส้น Impulsive หรือ พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น คือการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปโดยไม่คิดให้รอบคอบ ไม่ทันยั้งคิดถึงผลที่จะตามมา หรือทำด้วยอารมณ์โกรธ เป็นต้น เกิดจากการที่สมองส่วนหน้าสุดยังพัฒนาไม่เต็มที่ ในขณะที่ฮอร์โมนเพศคือ เทสโทสเตอโรนพุ่งกระฉูด ร่วมกับระบบการให้รางวัลในสมองทำงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้เด็กวัยรุ่นมีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น

จะเห็นว่า เราทุกคนเมื่อตอนเป็นเด็กมักจะหุนหันพลันแล่น แต่เมื่อเราโตขึ้นก็จะคิดก่อนทำมากขึ้น เพราะในช่วงวัยเด็กเครือข่ายใยประสาทในเปลือกสมองใหญ่ด้วยกันเอง (Cortex) ยังไม่เชื่อมโยงกันดีนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการเชื่อมโยงกันเองอยู่ภายใต้เปลือกสมองใหญ่ (Subcortical) ดังนั้นเด็กจึงมักจะทำโดยไม่ทันยั้งคิด แต่เมื่อโตขึ้นเครือข่ายใยประสาทในเปลือกสมองใหญ่ทั้งทางด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง เชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้เรานำข้อมูลจากเปลือกสมองหลายๆ บริเวณมาประมวลผลในการคิดตัดสินใจได้ดีขึ้น จึงคิดก่อนทำมากขึ้น หุนหันพลันแล่นน้อยลง

อย่างก็ตาม ในช่วงวัย 13-16 ปี (ช่วงอายุที่อยู่ในวงกลม) จะเป็นช่วงที่เด็กมีพฤติกรรมแสวงหาความรู้สึกที่ทำให้ตื่นเต้นเร้าใจสูงที่สุด (Sensation Seeking) และยังมีความหุนหันพลันแล่นอยู่มาก (Impulsive) นี่คือช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของการเป็นวัยรุ่น เพราะมันคือเวลาที่สมองเรื่องการควบคุมตัวเองยังไม่พัฒนาเต็มที่ ในขณะที่ Limbic Reward System X ฮอร์โมนเพศ ก็ยังทำงานอย่างเต็มสูบ

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ลูกเป็นพลเมืองโลกแต่เราเป็นพลเมืองไทย ถึงเวลา ‘โรงเรียนพ่อแม่’ แล้วหรือยัง
Education trend
18 March 2018

ลูกเป็นพลเมืองโลกแต่เราเป็นพลเมืองไทย ถึงเวลา ‘โรงเรียนพ่อแม่’ แล้วหรือยัง

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • เมื่อโรงเรียนไม่ตอบโจทย์ พ่อแม่ยุคใหม่จึงต้องขวนขวายสร้างห้องเรียนให้ลูกกันเอง
  • เวทีนี้รวมเอาพ่อแม่ที่ต่างคนต่างทำ มาระดมสมองร่วมกัน ออกแบบโรงเรียนพ่อแม่ – เพื่อลูก
  • ต้นทุนสำคัญของโรงเรียนพ่อแม่ คือ เปลี่ยนทัศนคติและปลูกความเชื่อใจ พร้อมวิ่งไปกับลูกในโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณเมื่ออายุเท่าไหร่?

“ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก”  “มีเพื่อนต่างชาติคนแรก” “ใช้กูเกิลโดยไม่ต้องเข้าห้องสมุด” หรือ “ซื้อของโดยไม่ต้องใช้เงินสด”

เหล่านี้คือคำถามสำคัญของนิทรรศการ ในวงเสวนา ‘โลกเปลี่ยนการศึกษายังไม่เปลี่ยน สองมือพ่อแม่สร้างโอกาสการเรียนรู้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21’ ในงาน TEP Forum 2018 ถึงเวลาเปลี่ยนการศึกษาไทย เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

นิทรรศการชุดนี้พิเศษตรงที่ไม่ได้ให้ผู้ชมเดินดูเพียงอย่างเดียว แต่ให้นำสติกเกอร์แปะไว้ที่ระดับอายุตัวเองในคำถามนั้นๆ แล้วชวนคิดต่อว่า เด็กๆ รุ่นลูกรุ่นหลานจะมีประสบการณ์แบบนี้ตอนอายุเท่าไหร่กัน

คุณแม่ท่านหนึ่งสะท้อนนิทรรศการนี้อย่างน่าคิดว่า “ลูกเป็นพลเมืองโลก แต่เราเป็นพลเมืองไทย”

ประโยคนี้สะท้อนอะไร?

วิทยากรชวนย้อนกลับไปคิดว่า เมื่อโลกพัฒนาไปขนาดนี้แล้ว การศึกษาที่เด็กๆ ในปัจจุบันตอบโจทย์กับโลกที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่ และพ่อแม่จะมีส่วนช่วยเรื่องการศึกษาของลูกอย่างไร เมื่อโรงเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก ‘บ้าน’ ต่างหากคือหน่วยใหญ่ที่สุดสำหรับสร้างฐานที่มั่น

แล้วจะทำอย่างไรให้บ้านเข้มแข็งและสร้างการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ฟันเฟืองสำคัญคือพ่อแม่ ที่ต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อจัดการศึกษาให้ลูกโดยใช้ประสบการณ์เป็นวัตถุดิบ

คำถามคือ พ่อแม่จะเรียนรู้อย่างไร

คำตอบอยู่ที่ โรงเรียนพ่อแม่

ต้นทุนของ ‘โรงเรียนพ่อแม่’

ในกลุ่มพ่อแม่ที่เข้ามาฟังเสวนา มีหลายคนจัดการเรียนรู้ให้ลูกด้วยตนเอง (home school) และสร้างเครือข่ายพ่อแม่ที่เป็นโฮมสคูลด้วยกันเองเพื่อลบคำสบประมาทว่า “เด็กโฮมสคูลไม่มีสังคม”

พ่อแม่หลายคนมุ่งไปโรงเรียนทางเลือกเมื่อพบว่าการศึกษาในระบบทำให้ลูกไม่มีความสุข เช่น เขียนผิดแล้วถูกครูตี ทำให้ไม่กล้าแสดงออกเหมือนเมื่อก่อน และคิดว่าโรงเรียนทางเลือกจะช่วยนำศักยภาพของเด็กกลับคืนมาพร้อมๆ กับความสุข หรือพ่อแม่บางคนที่มีลูกเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ก็พยายามเสาะหาโรงเรียนที่ลูกจะเรียนร่วมกับเด็กอื่นๆ ได้

นอกจากความพยายามหาวิธีการศึกษาใหม่ๆ แล้ว พ่อแม่หลายคนยังต้องใช้แรงกายแรงใจและเปลี่ยนวิธีการตอบสนองเด็กๆ อย่างเหมาะสม เช่น คุณป้าคนหนึ่งบอกว่า “คุยกับหลานต้องไม่สั่ง มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน” บางบ้านที่ต้องเลี้ยงลูกที่เป็นเด็กปกติคู่กับลูกที่เป็นเด็กพิเศษ ความน้อยใจเกิดขึ้นกับเด็กปกติ พ่อแม่จึงต้องทำความเข้าใจให้มากขึ้น

ท่ามกลางข้อจำกัดและหนทางที่ต่างกัน พ่อแม่หลากหลายเหล่านี้มางานนี้เพื่อออกแบบ ‘โรงเรียนพ่อแม่’ ร่วมกัน…ผลออกมาคือ ต้องเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ โรงเรียนพ่อแม่แต่ต้องมีลูก

  • ต้องเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้

พ่อแม่หลายคนเสนอตรงกันว่า พื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ คือ หัวใจสำคัญของโรงเรียนพ่อแม่ ผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย การรวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ

ที่สำคัญ พื้นที่นี้ต้องปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยกันสร้างหลักสูตร มีเวทีกิจกรรมร่วมกัน เช่น การจัดการความรู้ อบรมสัมมนา โดยมีผู้เชี่ยวชาญทั้งนักวิชาการและพ่อแม่มากประสบการณ์มาเป็นพี่เลี้ยง บรรยากาศในการคุยเป็นแบบ ‘เพิ่มพลังงานดีให้แก่กัน’ ส่งผลให้กลุ่มโรงเรียนพ่อแม่ขยายไปได้ดี เช่น จัดกันเองในกลุ่มองค์กรที่ทำงาน โรงเรียน ฯลฯ ไม่จำกัดวงแค่กลุ่มพ่อแม่ อาจไปถึง ปู่ ย่า ตา ยาย และใครก็ตามที่ใกล้ชิดเด็ก

ทั้งหมดนี้ มีกฎเหล็กคือ เอาความรู้สึกลูกเป็นหลัก ครอบครัวเองก็ต้องมีความสุขด้วย

  • โรงเรียนพ่อแม่แต่ต้องมีลูก

พ่อแม่ไม่ใช่หัวใจเพียงหนึ่งเดียวของโรงเรียนพ่อแม่ เด็กเองควรเรียนรู้เรื่องนี้ด้วย

“เราอาจจะอยากทำอะไรอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่บางทีไม่ได้เกิดจากความต้องการของลูก ควรฟังความเห็นของเขาด้วย” อีกเสียงจากพ่อแม่

ร่วมด้วยช่วยกันโดยไม่ต้องรอใคร

คุณยาย – ผู้เข้าร่วมเสวนาท่านหนึ่ง เล่าประสบการณ์ตรงของหลาน เรียนในโรงเรียนสอนจิตศึกษาและ PBL (Problem-based learning) ที่สอนให้เด็กคิดเป็นและคิดวิเคราะห์ ด้วยกระบวนการการศึกษาเช่นนี้คุณยายมั่นใจว่าวันไหนไม่มียายหรือพ่อแม่ เขาก็อยู่ได้ นอกจากนี้ยังมีการรวมตัวของผู้ปกครองเป็นเครือข่ายที่มีปัญหาอะไรก็พูดคุยปรึกษากัน เช่น ใครขาดเรียนบ่อยมีปัญหาอะไร มาคุยกันไหม เกิดจากอะไร ฯลฯ คุณยายยิ่งอุ่นใจ

“เสนอว่าอยากให้มีโรงเรียนแบบนี้เยอะๆ อย่างหลานยายที่สมาธิสั้น ก็ดีขึ้น โจ๊กมีแค่ครึ่งซองก็กินได้ หากเป็นเมื่อก่อนนี้คงอาละวาดบ้านแตก ถ้าทุกโรงเรียนทำได้แบบนี้ การที่เราจะเรียกผู้ปกครองมาคุยกัน รู้อะไรต่างๆ ก็จะง่ายขึ้น”

ด้านตัวแทนพ่อแม่เด็กที่มีความต้องการพิเศษเสนอว่า ในบรรดากลุ่มต่างๆ ที่อยากชวนมาเข้าร่วม ‘รัฐบาล’ คือกลุ่มที่ยากที่สุด นั่นทำให้การศึกษาในระบบยิ่งพึ่งพาไม่ได้ บรรดาพ่อแม่จึงรวมกลุ่มกันเอง ช่วยเหลือกันเอง

“เราช่วยกันทำกิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการ แล้วถ่ายรูปออกสื่อเลย ถ้าเราทำผลงานดีๆ สังคมจะหันกลับมามองเราเอง”

เปลี่ยนทัศนคติ ปลูกความเชื่อใจ

การเปลี่ยนทัศนคติ เป็นอีกประเด็นที่วงเสวนาให้ความสำคัญ ยกตัวอย่างจากกลุ่มตัวแทนพ่อแม่เด็กพิเศษที่ผ่านประสบการณ์เรื่องนี้มามาก

“ถ้าจะชวนพ่อแม่เด็กพิเศษมาร่วมโรงเรียนพ่อแม่ เราควรจะไปแก้ที่ทัศนคติว่า ‘ลูกพิการควรอยู่บ้าน ไม่ออกไปไหน จะอายชาวบ้านเปล่าๆ’ ความจริงคือ หากให้ลูกออกไปทำกิจกรรมก็จะช่วยฟื้นฟูพัฒนาการต่างๆ ของลูกได้ มีคนพร้อมจะช่วยเหลือกันอยู่นะ”

ด้านพ่อแม่กลุ่มโฮมสคูลก็เสนอว่า ‘ความเชื่อใจ’ คือสิ่งที่ต้องมี

“ยกตัวอย่างเด็กญี่ปุ่นเดินออกจากบ้านโดยพ่อแม่ไม่ไปส่งได้เพราะพ่อแม่เชื่อใจในชุมชนของเขา พอเด็กไปถึงสี่แยก คุณตาคุณยายก็มาช่วยกั้นรถให้ช่วยเด็กข้ามถนนไป ถ้าเราเชื่อใจตั้งแต่ระดับเล็กๆ ผู้ปกครองเชื่อครู ไปจนถึงครูเชื่อใจศึกษานิเทศก์ เชื่อใจขึ้นไปจนระดับผู้มีอำนาจ”

“เราเชื่อว่า ถ้าค่านิยมเปลี่ยน ยังไงผู้ใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนตาม”

แม้โรงเรียนพ่อแม่อาจจะทำไม่ได้ในทันที ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องรวมหัวและกระจายกำลังกันขับเคลื่อน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวทีนี้ คือสัญญาณที่ดีที่บอกว่าพ่อแม่ยุคใหม่ ตระหนักรู้และกำลังวิ่งให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลง

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขากำลังแสวงหาแนวทางการจัดการศึกษาแบบใหม่ให้เด็กๆ อย่างกระตือรือร้น


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณมิรา ชัยมหาวงศ์ โครงการสำรวจเครือข่ายและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสมัชชาพ่อแม่ อีเมล: mira.chai@gmail.com

Tags:

พ่อแม่พลเมืองงานเสวนาTEP Forum

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นEducation trend
    สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Learning Theory
    แก้ปัญหาวัยรุ่นด้วยงานอาสา: ถูกยอมรับ ทำให้เห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘น้องธันย์’ สาวน้อยมหัศจรรย์ แต่ไม่ได้มหัศจรรย์เท่าที่คนอื่นคิด
Life classroom
13 March 2018

‘น้องธันย์’ สาวน้อยมหัศจรรย์ แต่ไม่ได้มหัศจรรย์เท่าที่คนอื่นคิด

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ไม่ได้ชวน ‘น้องธันย์’ คุยเรื่องความพิการในเชิงวิพากษ์สังคม แต่ตรวจทานว่า ต้นทุน ‘สาวน้อยคิดบวก’ ใครเป็นคนสร้าง มันเริ่มมาจากที่ไหน
  • รู้สึกอย่างไรเวลาใครบอกว่าเธอคือ ‘สาวน้อยมหัศจรรย์’ มันเป็นกรอบให้เธอต้องคิดบวกตลอดเวลา กดดันการใช้ชีวิตของเธอในอีกทางรึเปล่า?
  • เธอเคลื่อนไหวด้วยขาเทียมและวีลแชร์ แต่อีกมุม เธอหลงใหลการว่ายน้ำและทอดตัวในมหาสมุทร ด้วยเหตุผล ‘ไม่เคยคิดว่าจะตีลังกาได้ ก็ไปตีลังกาในน้ำ ไปตรงไหนก็ได้โดยที่เราไม่ต้องจำกัดว่าข้างหน้ามีพื้นที่เหลือกี่เมตร ข้างหลังเหลืออีกกี่เมตร’
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

ถ้าเสิร์ชชื่อของเธอ ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ ‘น้องธันย์’ ในเเสิร์ชเอนจิ้น อัลกอริธึมจะประมวลผลภาพเด็กสาวดวงตาเรียวเล็ก และทุกรูปเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม พาดหัวส่วนใหญ่ระบุนามสกุลของเธอคล้ายกันว่า ‘สาวน้อยคิดบวก’ หรือ ‘สาวน้อยมหัศจรรย์’

ดูเผินๆ เธอไม่ต่างกับคนทั่วไป สรีระ ดวงตาที่มีชีวิต มีรอยยิ้ม แต่ใครหลายคนยังจำได้ เธอสูญเสียขาทั้งสองข้างที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อปี 2011

ปัจจุบันณิชชารีย์ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล แจ้งวัฒนะ ในฐานะ ‘เจ้าหน้าที่ผู้สำรวจความสุขคนไข้’ 5 วันต่อสัปดาห์ ขณะที่อีก 2 วัน เธอขับรถ (ใช่แล้ว… เธอขับรถเอง โดยการใช้ Hand Control – อุปกรณ์ที่ใช้มือบังคับสำหรับการขับรถ) มุ่งหน้าสู่ทุ่งรังสิต เข้าห้องเลคเชอร์ในฐานะนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกบริหารการสื่อสาร

ผ่านมาแล้ว 7 ปี เรื่องราวของณิชชารีย์เป็นที่รับรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนในวงกว้าง แต่สิ่งที่ The Potential สนใจ ไม่ใช่เฉพาะการต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่ต้องเจอบนความพิการ แต่ชวนคุยว่า…

ทุนตั้งต้นเพื่อสร้าง ‘สาวน้อยคิดบวก’ (ที่ต้องถูกหยิบใช้อย่างปุบปับ) คืออะไร, ทำไมต้องคิดบวก คิดลบบ้างได้ไหม ความหมายของ ‘การคิดบวก’ คืออะไร, แม้เธอจะได้ชื่อว่าเป็นเด็กสาวที่มีความคิดเช่นผู้ใหญ่ แต่ขณะเกิดเรื่องและกระทั่งวันนี้ เธอยังคงเป็นวัยรุ่น (วัยวุ่น) เธอเป็นวัยรุ่นแบบไหน, อาการปรี๊ดแตกที่สุดของเธอเป็นอย่างไร, อดีต ปัจจุบัน ความฝันในอนาคตของเธอจะหน้าตาเป็นแบบไหน

รับชมได้ ณ บัดนี้

ธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ คือใคร?

เรารู้จักคุณในนามสกุล ‘สาวน้อยคิดบวก’ และ ‘เด็กสาวสิงคโปร์’ แต่จริงๆ แล้ว ธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ คือใคร เป็นคนแบบไหน เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอย่างไร

ธันย์เป็นคนจังหวัดตรัง ในครอบครัวมีสมาชิก 4 คน เราเติบโตมาด้วยการถูกสอนให้ช่วยเหลือตัวเอง ที่บ้านจะไม่มีคำว่าคุณหญิงคุณนาย ไม่มีคนมาช่วยดูแล วิธีการเลี้ยงลูกของที่บ้านคือ คุณพ่อจะสอนแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องทำเอง ไปเรียนเอง ที่เรียนพิเศษก็ต้องหาเอง เป็นสายลุย ชีวิตครอบครัวค่อนข้างสมบูรณ์ค่ะ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า

แต่ธันย์เป็นเด็กที่ไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้เป็นเป้าสายตาของผู้ใหญ่ โตมาอย่างธรรมดา เขาให้ทำอะไรก็ทำ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องสอบได้ที่หนึ่ง ต้องมีชื่อเสียงนะ หรือเป็นยูทูบเบอร์ เป็นเด็กต่างจังหวัดที่แค่เรียนหนังสือให้เก่ง สอบให้ผ่าน แล้วก็ไปเรียนต่อในสายที่…  ถ้าสมัยนั้นเขาก็จะฮิต หรือพูดกันถึงอาชีพหมอ เห็นเขาฮิตๆ กัน ก็คิดว่ามันก็คงจะดีเนอะ ถ้าได้เรียนสายนี้

ซึ่งตอนนี้คุณก็ได้เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลพอดีเลย

ใช่เลย แต่หลังจากความคิดนั้น ก็เลยปูทางให้เราอยู่ในสายการเรียนตลอด พออายุ 14 เลยขอคุณพ่อไปเรียนซัมเมอร์ที่สิงคโปร์เป็นเวลา 1 เดือน เพราะก่อนหน้านั้นเพื่อนเราไปเรียนเมืองนอก ก็รู้สึกว่า เออ… มันดูโก้ดีจังเลย เราเลยขอไปเรียนบ้าง สอบชิงทุนได้แต่ก็ไม่ได้ไป คุณพ่อเลยให้ไปสิงคโปร์แทน อาทิตย์สุดท้ายก่อนจะกลับก็เกิดอุบัติเหตุ

พอจะเล่าย้อนกลับไปได้ไหมว่า วันที่ตื่นมาแล้วรู้ว่า เด็กผู้หญิงอายุ 14 ปีคนนั้นต้องอยู่บนความพิการ ตอนที่ลืมตาตื่น ไม่มีญาติของเรา พูดกันก็คนละภาษา เราจัดการกับความรู้สึกนั้นยังไง วันนั้นที่บ้านมีการคุยกันว่าอย่างไร

ตอนนั้นมันเบลอมาก ไม่รู้จะจัดการยังไง เพราะโดนทั้งยาสลบ ยาตัวอื่นๆ ต้องใส่สายดูดเสมหะ คือต้องโฟกัสแค่ความเจ็บปวดที่เราต้องเจอในทุกๆ วัน ความเจ็บปวดไม่ใช่แค่วันสองวันก็หาย แต่เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน และก็ไม่ได้ปวดตลอดเวลา แต่ปวดเป็นระยะ จนต้องให้ยามอร์ฟีน พอให้ยาแล้วก็หลับไปซักประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตื่นมาก็ปวดอีกแล้ว เป็นรูทีนแบบนี้จนกว่าพ่อแม่จะมา เลยไม่ได้ทำให้เราจำได้เลยว่าใครมาเยี่ยมบ้าง เขาหน้าตาเป็นอย่างไร พูดอะไรบ้าง เบลอมาก

ครอบครัวว่าอย่างไร

ช่วงแรกๆ ไม่ได้คุยเลย เพราะระยะทางมันค่อนข้างไกล การสื่อสารตอนนั้นต้องโทรหากัน ไม่เหมือนตอนนี้ที่โทรผ่านแอพพลิเคชั่นได้ กว่าธันย์จะได้คุยกับพ่อแม่ ก็รักษาตัวไปประมาณ 8 วันแล้ว พอวันที่ได้เจอกันเลยเหมือนเป็นช่วงเวลาที่เราอัดอั้น พอเจอก็เล่าทีเดียวเลย เจออะไรมาบ้าง ระบายเรื่องราวให้ฟัง

ไม่มีการดุ ด่า ว่ากล่าว แต่ช่วยกันหาแนวทางแก้ปัญหามากกว่า ว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

แล้วพอกลับมามีสติ เราคุยกับตัวเองยังไง

คิดว่าเราจะวางแผนอนาคตตัวเองแบบไหน จะกลับไทยแล้ว จะต้องไปอยู่ที่โรงเรียนเดิมมั้ย เราจะใช้ชีวิตแบบไหน

ธันย์ว่ามันเป็นสถานการณ์ภายนอกที่บีบบังคับให้เราจำเป็นต้องคิด เพราะไม่อย่างนั้นคนรอบข้างคิดแทน จะส่งเราไปยังที่ที่เขาคิดว่าดีที่สุดกับเรา ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ดีกับเราที่สุด เพราะฉะนั้นคิดเองก่อนเลยดีกว่า

หมายความว่า ชีวิตหลังจากนั้น คุณเป็นคนตัดสินใจเอง?

จากเด็กที่มองแค่เรื่องเรียน ก็ทำให้มองอนาคตมากขึ้น เราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ใครจะมาดูแล มาซัพพอร์ตเรา ต้องหาโรงเรียนแบบไหน เพื่อนจะยอมรับได้มั้ย เราต้องย้ายไปอยู่กลุ่มไหน ทำให้คิดเยอะขึ้นพอคิดเยอะขึ้น ก็เหมือนว่าเราดูเป็นเด็กขวนขวาย ดู active แล้วก็คนรอบข้าง สื่อต่างๆ ที่เห็นเราอาจจะรู้สึกว่า ทำไมเป็นเด็กที่ยังสู้ ยังดูยิ้มแย้ม ยังใช้ชีวิตเหมือนเป็นปกติ เขาก็เลยให้ฉายามาว่าแบบ เป็นคนคิดบวก มันก็เลยเป็นต้นตอตั้งแต่นั้นมา จนถึงปัจจุบัน

คนรอบข้างบอกว่า กลับมาเราจะต้องไปอยู่โรงเรียนศรีสังวาลย์ โรงเรียนคนพิการฝึกการใช้ชีวิต ซึ่งตอนนั้นเราคิดอย่างเดียวเลยว่า เราต้องเรียนเหมือนเดิม โรงเรียนอะไรก็ได้ที่เป็นการเรียนร่วมปกติทั่วไป เพราะเราโตมาแบบนั้นตั้งเป็นสิบปี มันเรียนรู้ควบคู่กับโรงเรียนปกติได้ อยู่กับเพื่อนปกติได้

เราบอกพ่อว่า ในอนาคตเราต้องใช้ชีวิตในสังคม ต้องอยู่กับคนปกติมากกว่าเพื่อนที่นั่งวีลแชร์ เราไม่อาจเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรืออยู่คณะเดียวกับเพื่อนวีลแชร์ที่เรียนโรงเรียนเดียวกับเราได้ แค่เพื่อนเราในมหาวิทยาลัยยังเป็นคนละคณะกันเลย

ความพิการ ในความคิดของคุณคืออะไร

ธันย์ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป จบมาก็ทำงาน อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่ได้โอกาสทำงานตรงนี้เร็วกว่าคนอื่น แต่คนข้างนอกอาจจะมองว่ามันไม่ปกติ ทำไมเราต้องมีวีลแชร์ไปด้วยทุกที่ เราไม่ได้มองว่ามันเป็นปมด้อยแบบที่คิดว่า ‘โห… ทำไมเราต้องขนวีลแชร์ไปทุกที่ด้วย’ แต่มันคือความสะดวก เราเอาวีลแชร์ไปแล้วเรารู้สึกเซฟ เราสบายใจ

อะไรบ้างที่คนข้างนอก ทำให้เรา ‘’ผิดปกติ’

อย่างแรกคือ สายตาของเพื่อนมนุษย์ คือต้องเปลี่ยนวิธีคิด สายตา ในการมองคนพิการ ธันย์คิดว่าจุดเริ่มต้นมาจากการปลูกฝัง ทำความเข้าใจว่า การนั่งวีลแชร์ ก็ไม่จำเป็นต้องช่วยทุกอย่างขนาดนั้น ต้องดูสปิริต ความสามารถของแต่ละคนด้วย เหมือนที่เราเลือกให้งานใครทำ ก็ต้องรู้ว่าเขาทำงานนั้นได้มากน้อยแค่ไหน ธันย์ว่ามันก็เหมือนกันเลย แค่คนเขาตีความว่าเราไม่ปกติ

อย่างที่สองคือสิ่งแวดล้อม สิ่งที่จะเอื้ออำนวยให้เขาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น  เช่น ลิฟต์ ทางลาดวีลแชร์ หรือว่าการขนส่งที่เอื้ออำนวย ให้กล้าออกมาใช้ชีวิต รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร คนรอบข้างไม่ต้องมาดูแล ธันย์คิดว่าไม่มีวีลแชร์คนไหนชอบอยู่บ้านอย่างเดียว

ภาพ: Tree P Chowvanayotin

การเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระอีกครั้ง

จากการ ‘ดำน้ำ’

อีกหนึ่งกิจกรรมที่คุณทำอยู่ คือการดำน้ำอย่างจริงจัง ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมว่าเริ่มต้นยังไง ทำไมจึงหลงใหลกิจกรรมนี้

จริงๆ ธันย์ไม่กล้าลงน้ำลึก เพราะเคยจมน้ำมาก่อนตอน 7 ขวบ ทำให้กลัวการที่ขาไม่ได้สัมผัสพื้น ไม่กล้าลงน้ำลึกอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น ว่ายน้ำได้แต่ไม่เก่ง ลงสระตื้นๆ หรือสระที่เราพอเขย่งได้ แต่หลังจากแผลหายเราก็เริ่มว่ายน้ำเพื่อเป็นการกายภาพบำบัด ซึ่งเราแตะขาไม่ถึงพื้นแน่นอน แต่มันกลับทำให้เราลอยได้ มันเลยทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย… หรือว่ามันจะ come back กลับมา ทำให้เรากลับมาว่ายน้ำได้อีกครั้ง ก็เลยเริ่มว่ายน้ำมาเรื่อยๆ

พอเข้ามหาวิทยาลัย เราเห็นโครงการ ‘Wheelchair Scuba’ เปิดรับสมัครนักเรียน และสอนฟรีด้วย ที่สำคัญเขารู้อยู่แล้วว่าเราต้องขอความช่วยเหลือ ก็เลยไปสมัคร ซึ่งตอนนั้นเราก็พอมีสกิลอยู่แล้ว เรียนแค่ประมาณวันสองวันเอง ก็ออกภาคสนามเลย ออกเสร็จไปสอบใบ open water เลย

วินาทีที่ดำลงไปในน้ำลึก รู้สึกอะไร

หูย… มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย แปดเมตรมันเป็นอะไรที่จิ๊บมาก ง่ายมาก ธันย์ชอบการดำน้ำตรงที่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราปลอดภัย

ทั้งที่แต่ก่อน ตอนที่พอจะเขย่งๆ เท้า แตะพื้นได้ กลับรู้สึกไม่ปลอดภัย?

ใช่ ปลอดภัยตรงที่ หนึ่ง ชูชีพมันลงไปกับเราด้วย เรามีแทงค์ เราหายใจในน้ำได้ คือทุกอย่าง everything คือแบบ… เราใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้ (เสียงตื่นเต้น) มันไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัว ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่เราจมน้ำไปทั้งที่เราไม่มีอะไรที่ดูแลปกป้องเราเลย มันก็น่ากลัวกว่า ในความรู้สึก ณ ตอนนั้น เราเลยชอบการดำน้ำมากกว่า

ทริปแรกของคุณคือการดำน้ำที่สิมิลัน บรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าจำไม่ผิด เราไปดำ 5 drives ที่สิมิลัน จังหวัดพังงา นั่งเครื่องไปลงปกติ มีทีมวีลแชร์ไปด้วยประมาณ 4 คน จังหวะที่ลงไป ถามว่ากลัวมั้ย กลัวมาก เพราะตอนที่เรียน เรารู้ว่ามันมีแค่กระเบื้องโลมา รู้ว่าลิมิตของขอบสระอยู่ประมาณไหน แต่ในทะเล เราไม่รู้เลยว่ามันสิ้นสุดตรงไหน เราลงถูกจุดของเรารึเปล่า มันจะมีอะไรรออยู่ข้างล่าง คลื่นที่ซัดมาแรง แล้วก็ความกดดันของอากาศใต้น้ำซึ่งหนาแน่นกว่าในสระ มันทำให้เรากลัว มันน่ากลัวจริงๆ นะ (ย้ำ) เวลาลมพัดแรงแล้วคลื่นก็ซัดมาน่ะ

แต่ใครจะรู้ว่าลงไปใต้น้ำแล้วมันนิ่งมาก เหมือนแผ่นดินที่แยกออกเป็นสองชั้น อาจจะโคลงเคลงนิดๆ ปลาก็ว่ายไป แต่มันนิ่งมาก ตัวเราไม่กระเด็นไปไหนเลย ขึ้นอยู่กับที่สรีระเราว่าเราจะเบี่ยงไปทิศทางไหน จากสิ่งที่เคยกลัว เช่น พวกสัตว์ต่างๆ เรากลับรู้สึกว่ามันคือเพื่อนที่ไปกับเรา

มันไม่มีใครมายุ่งกับเราเลย ไม่มีใครมารุมเรา แค่แวะมาทักทายโฉบไปโฉบมา เราก็เลยรู้สึกว่า เออ… เราชอบความรู้สึกตรงนั้น คือมันเป็นความนิ่งสงบของมหาสมุทร

มันฟรีสไตล์ เราไม่เคยคิดว่าจะตีลังกาได้ เราก็ไปตีลังกาในน้ำ จะไปตรงไหนก็ได้ โดยที่เราไม่ต้องจำกัดว่าข้างหน้าจะมีพื้นที่เหลือกี่เมตร ข้างหลังมันจะเหลืออีกกี่เมตร

พูดได้มั้ยว่า การเรียนดำน้ำทำให้คุณมีอิสระอีกครั้งหนึ่ง

มันทำให้เป็นอิสระ มันเปลี่ยนความคิดธันย์ที่ว่า เราสามารถไปได้ ไม่ควรกำหนดจุดหมายแค่ตัวเลขหรือระยะทางเพื่อจำกัดขอบเขต จุดหมายสำหรับธันย์คือการดำน้ำ แต่ไม่ได้กำหนดว่าเราจะต้องไปแค่ตรงนี้นะ จำกัดว่าเราจะไม่ไปตรงนี้ คือไม่จำกัดดีเทลมาก เพราะมันทำให้เสียความเป็นตัวเอง การดำน้ำ มันทำให้เราอิสระ มีความสุขกับการไปถึงจุดหมายตรงนั้นมากกว่า

ต้นทุนของ ‘สาวน้อยคิดบวก’ มาจากที่ไหนกัน?

คุณมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็กๆ เลยหรือเปล่า

ไม่นะ ตอนเด็กๆ งี่เง่ามากเลย อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่ก็ไม่ได้ถูกเปย์ คือหมายความว่าบ้านเราไม่ได้ยากจนมาก พอจะซื้อของที่อยากได้ได้ แต่พ่อก็จะไม่ซื้อให้ ธันย์เป็นน้องคนสุดท้อง ที่จะต้องใช้ของต่อจากทุกคน ไม่เคยมีของชิ้นไหนในชีวิตที่เป็นของมือหนึ่งเลย

ตอนเด็กๆ เพื่อนส่วนใหญ่มีคอมพิวเตอร์ เราก็ใช้ต่อจากพี่ พี่ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ เราก็ใช้เครื่องต่อจากพี่ หรืออย่างตอน ม.2 เพื่อนจะเพิ่งมี Ipad mini แล้วเราแบบ เออ… มันดีมากเลยอะ มันโก้มาก เราขอพ่อซื้อแต่พ่อไม่ให้ ยังคงใช้ nokia ของพ่ออยู่ อะไรยังงี้… (เน้นเสียง) มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ต้องมีของใหม่ก็ได้ ยังใช้อันนี้ สอนให้เรารู้จักรอที่จะใช้ชีวิต รอสิ่งที่มันดีกว่า

เขามีวิธีการพูดอย่างไร ที่ทำให้เราเข้าใจ ไม่น้อยใจหรือโวยวาย

เหมือนพ่อแม่ปกติทั่วไป ที่แบบว่า ‘ไม่ได้นะลูก ซื้อมาเดี๋ยวก็ทิ้งขว้าง เครื่องนี้ก็ยังใช้ได้ เดี๋ยวก็ไม่มีใครใช้ นี่ไง มันยังใช้ได้’ เหมือนเขาสอนให้เราคิดว่าถ้าเอาไปขายมันก็ไม่คุ้มทุน ใช้แป๊บเดียว เดี๋ยวก็ต้องซื้อใหม่ อะไรแบบนี้

กติกาส่วนใหญ่ของที่บ้านคือ ถ้าพูดอะไรไปแล้ว ต้องรักษาคำที่เราพูดไว้ เรื่องเล็กๆ ก็ต้องรักษา

เคยย้อนกลับไปคิดมั้ยว่า วิธีการเลี้ยง วิธีการสอนของพ่อแม่แบบไหน ที่ทำให้เราแข็งแกร่ง มีต้นทุนเพื่อเป็นสาวน้อยคิดบวกแบบนี้

จุดเด่นคือคุณพ่อ เขาจะสอนให้เราคิดและก็ตัดสินใจเอง คือทุกการกระทำ พ่อจะมีตัวเลือกให้เสมอ และไม่ใช่ว่าเราต้องหยุดแค่ตัวเลือกนั้น เราเสนอความคิดของเราไปได้ด้วยซึ่งอาจค้านกับตัวเลือกที่พ่อเลือกได้ มันทำให้ได้สื่อสารกันทั้งสองฝ่าย มาเจอกันตรงกลางว่า เออ… เขาชอบตรงนี้ เราชอบแบบนี้ จึงจะไปด้วยกันได้

แน่นอนว่าเรามีคนที่รู้จักเยอะ ผู้ใหญ่หลายๆ คนอาจจะสอนเรา แนะนำเรา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะปิดกั้นว่าฟังแค่พ่อหรือครอบครัวอย่างเดียว เราจะเป็นเด็กที่ฟังผู้ใหญ่ และเอามาคิดอีกทีว่ามันเป็นยังไง มาจากสิ่งที่เราคิดด้วยตัวของเราเองด้วย หล่อหลอมมันขึ้นมา

นอกจากเรื่องเรียน การเคารพความคิดของลูก มีอะไรอีกที่คุณประทับใจการสอนของพ่อแม่

ยกตัวอย่างคือ ตอนเด็กๆ ตรงข้ามบ้านจะเป็นร้านอาหาร ซึ่งเราสนิทกับเขา เราก็ไปช่วยเขาเสิร์ฟ ไปทำอะไรที่ ถ้าเราอยู่ที่บ้านเราจะไม่ทำ ซึ่งมันทำให้เรามีวิชาติดตัว ซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวโดยตรงกับสิ่งที่เราทำ แต่อาจจะเป็นวิธีคิดเกี่ยวกับการวางแผน มีความเป็นผู้นำ การวางระบบการจัดการ

การเสิร์ฟอาหารสอนอะไรคุณบ้าง

โห… จริงๆ มันทำให้เรารู้ว่าลำดับ การจัดลำดับเวลา หรือว่าการให้ความสำคัญกับคนที่สั่งก่อนหรือหลัง มันมีความสำคัญนะ คนนอกอาจจะมองว่าการเสิร์ฟก็แค่เสิร์ฟ ถ้าเราเสิร์ฟอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้ดูว่าใครยังไม่ได้อาหารบ้าง ใครสั่งก่อนหลัง วางโดยที่ไม่ได้คิดว่าคนอื่นจะวางชามต่อจากเรายังไง มันส่งผลกระทบนะ ทำให้เราเป็นคนมองสถานการณ์โดยรวม อยู่เป็นมากขึ้น (ยิ้ม)

‘สาวน้อยคิดบวก’ แค่นามสกุลหรือความกดดัน?

นามสกุลคิดบวกทำให้เรากดดันมั้ย บางทีเราอาจจะไม่อยากคิดบวก อยากปล่อยไปตามอารมณ์ลบๆ ของเราบ้าง

มันก็ไม่เชิงกดดัน คือถ้ามีใครพูดถึงชื่อเราในทางงานสื่อสาร ก็จะเฉยๆ เหมือนเป็นนามสกุลปกติ แต่มันจะมีช่วงหนึ่ง คือเราก็ยังเด็กเนอะ เวลาเรียนก็อยากได้เกรดดีๆ พอคาดหวังในการเรียนแต่เกรดไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง เราก็รู้สึกเฟลใช่มั้ย? แล้วพอรู้สึกแบบนั้นหน้าเราก็ออก เราจะไม่คุยกับใคร เพื่อนก็จะบอกว่า ‘อ้าว… นี่คิดบวกแล้วเหรอ?’ เราก็อยากจะแย้งว่า คิดบวกไม่ได้หมายความว่าต้องยิ้มตลอดเวลา หรือเจอเหตุการณ์แย่ๆ แล้วจะไม่สะทกสะท้าน เราก็มีหัวใจนะ (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นก็เลยเข้าใจว่า คนเข้าใจคำว่าคิดบวกผิดเพี้ยนไป

คิดบวกสำหรับเรา มันไม่ใช่ว่าจะมองว่าทุกอย่างว่ามันดีจังเลย คนนู้นก็ดี คนนี้ก็ดี เรารู้ว่าใครดีหรือไม่ดีกับเรา

แต่การคิดบวกคือ มีความสุขกับสิ่งที่เราเป็น เวลามีเรื่องอะไรมากระทบใจ การคิดบวกช่วยให้เราหายเร็วขึ้น

ไม่ใช่กรอบ ที่ทำให้เราต้องพยายามคิดบวกตลอดเวลาใช่มั้ย?

ไม่ใช่กรอบค่ะ แต่เป็นสิ่งที่เยียวยาให้เรากลับมาได้เร็วขึ้นมากกว่า

โกรธที่สุดของคุณเป็นยังไง โกรธจนไม่อาจคิดบวกได้แล้ว

เป็นวัยรุ่นก็ต้องมีปัญหาเรื่องเพื่อน ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาของเราหรอก เช่น เพื่อนในกลุ่มทะเลาะกัน ไม่รู้จะเข้าข้างฝ่ายไหน ไม่รู้จะคิดบวกยังไง น่าจะเป็นเรื่องที่ปรี๊ดสุดตั้งแต่เจอเหตุการณ์ทุกอย่างมา แต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้เราเสียความเป็นตัวเอง เสียสมดุล หรือนอยด์ไปเลย

วิธีการจัดการหรือคลายความกดดันให้ตัวเอง อย่างดีและรอมชอมที่สุด คืออะไร

ความสงบค่ะ นิ่งที่สุด ให้มีสติ ควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ ณ ขณะที่เราเจอเหตุการณ์นั้นแล้วก็เดินออกมา แต่ไม่ใช่การเดินหนีนะคะ แต่เดินออกมายังที่ที่หนึ่ง อยู่คนเดียวสักพัก อาจจะไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง เป็นวัน บางทีแค่สิบนาทีด้วยซ้ำแล้วก็เดินกลับเข้าไปใหม่ เริ่มใหม่ เป็นวิธีการที่ดีที่สุด ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นอยู่เลย

และการที่เราไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มันต้องใช้พลังงานมากพอสมควร แต่ว่ามันก็ดีมากตรงที่ว่ามันทำให้ทุกวันนี้ธันย์ไม่ค่อยทะเลาะกับใคร

ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่อยากทำอะไรด้วยความหุนหันพลันแล่น อยากจะปรี๊ด เหวี่ยง โกรธโลก หัวร้อน จากการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และด้วยความเยาว์วัย การควบคุมอารมณ์อาจเป็นเรื่องยากของคนวัยนี้ แต่ดูเหมือนว่าคุณจะควบคุมมันได้ เพราะอะไร?

ธันย์ว่ามาจากคนรอบข้างด้วย เราลืมปัจจัยเรื่องฮอร์โมนที่พุ่งขึ้นมา ซึ่งมันก็มีแหละ แต่เหมือนมันถูกกดเอาไว้ ต้องขอบคุณคนรอบข้างที่ทำให้เรารู้สึกว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราจะต้องไปสนใจกับภาวะความขึ้นๆ ลงๆ แต่ให้เราไปโฟกัสอย่างอื่น ให้มองภาพที่กว้างขึ้น หรืออาจเป็นเพราะเราได้เจอกับผู้ใหญ่ที่สอนให้เราคิดมากขึ้น ถ้าเรามีสติ มีวิธีคิดเป็นของตัวเอง ก็สามารถควบคุมภาวะหรือสิ่งที่มันเกิดขึ้นได้

อีกหนึ่งฉายาที่ได้รับคือ สาวน้อยมหัศจรรย์ คิดเห็นอย่างไรกับฉายานี้

ธันย์ว่ามันเป็นฉายาที่ได้มาจากกิจกรรมที่เราทำ คนในสังคมมักจะคิดว่าเราทำแบบนี้ไม่ได้ เขาก็เลยคิดว่ามันมหัศจรรย์จังเลยที่อยู่ดีๆ ไม่มีขาแล้วก็ทำแบบนี้ได้ ไปนู่นไปนี่ได้ ซึ่งจริงๆ มันคือชีวิตปกติ ที่คนปกติเขาทำกัน

เราไม่ได้มหัศจรรย์?

มันมหัศจรรย์สำหรับเรา แต่อาจไม่ได้มหัศจรรย์มากเท่าที่เขาคิด เพราะชีวิตของเราอาจไปอิมแพคกับชีวิตเขา แต่สำหรับเรา เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำ มันไม่ได้ยากสำหรับตัวเรามากนัก ไม่ได้ทำให้ตัวเราเหนื่อยมาก

หลังจากนี้ วางแผนหลังจากเรียนจบ อยากทำงานแบบไหน?

ที่สนใจจริงๆ ธันย์อยากเป็นผู้ให้คำปรึกษา (consult) ค่ะ เพราะเราชอบพูด ชอบออกความคิดเห็น ชอบการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ consult ทำได้ หนึ่งเราสามารถให้คำปรึกษาคนได้ สำคัญคือมันไม่ได้จำกัดว่าเราต้องทำงานที่นั่นที่เดียวไปตลอดชีวิต สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แล้วก็ตามเนื้องานหรือว่าประเภทขององค์กรที่เราอยากไปอยู่

และจริงๆ ธันย์ชอบการเป็นฟรีแลนซ์ ชอบคำศัพท์คำหนึ่งมาก คือ freedom ไม่ได้ชอบที่มันสะกดว่า f-r-e-e-d-o-m แต่ความหมายของมัน อิสระ แต่จริงๆ เราก็อยู่ในกรอบนะ แต่อิสระตรงที่สามารถไปไหนมาไหนได้ เลือกงานได้ ทำงานในสิ่งที่เราเป็นได้ ซึ่งมันทำให้เราเป็นตัวเองมากกว่าการที่ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ มันเลยทำให้เรารู้สึกชอบคำนี้

พร้อมที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ?

ใช่ พร้อมที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ โดยที่เราไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่เราไปเจอเนี่ยมันอาจจะเป็นประเภทเดียวกันหรือว่าเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกัน ไม่ได้เอามาเปรียบเทียบกันว่าอันนี้หรืออันนั้นดีกว่า เราลองได้ ไม่ต้องเอาวุฒิการศึกษามาเกี่ยว ไม่ต้องเอาสิ่งที่คนในสังคมคิดมาจำกัด คำว่าฟรีด้อม จึงทำให้เราได้ทำสิ่งที่อยากทำ เป็นตัวเองโดยที่เราไม่ต้องสนใจกรอบของงานมากนักว่าเป็นกรอบที่สังคมมองว่ายังไง

Tags:

วัยรุ่นความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การเติบโตคนพิการณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก
How to get along with teenagerAdolescent Brain
12 March 2018

สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

“อ่านแล้วเห็นใจวัยรุ่นจริงๆ นะ ตอนเป็นวัยรุ่นยังไม่เข้าใจวัยรุ่นเท่าตอนที่เขียนเรื่องการ์ตูนเรื่องนี้เลย
อยากให้อ่าน อยากให้ทุกคนรู้ว่าที่จริงมันเกิดอะไรขึ้น”
KHAE

Tags:

ความสัมพันธ์ความรักพ่อแม่จิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?
How to get along with teenagerAdolescent Brain
8 March 2018

วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • นิสัยชอบนอนดึกตื่นสายของวัยรุ่น มีคำตอบวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นมารองรับ
  • ลึกๆ แล้วเหล่าวัยรุ่น อยากนอนให้เพียงพอมากกว่าการตื่นสาย แต่ทำยังไงได้ สมองพวกเขาเริ่มออกสตาร์ทจริงๆ จังๆ ตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป
  • การให้เริ่มเรียน 7:30 – 8:30 น. ถือว่าเช้าเกินไป ถ้าวัดตามการทำงานของนาฬิกาชีวิตวัยรุ่น

วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก?

ให้ตื่นแต่ฟ้ายังไม่สางน่ะเหรอ สู้ไม่นอนทั้งคืนเลยยังง่ายกว่า…

ประเด็นวัยรุ่นขี้เซา หรือนิสัยชอบนอนดึกตื่นสาย ไม่สามารถขุดตัวเองออกจากที่นอนได้ในตอนเช้า – เอาเข้าจริงๆ เป็นเหมือนกันหมดทั่วโลก ซึ่ง ‘ความเป็นสากล’ ของวัยรุ่นเรื่องนี้มีคำตอบด้านชีววิทยา ที่กินความว่ามากกว่าเรื่องนาฬิกาชีวิตมารองรับด้วย

บทความใน The World Economic Forum โดย พอล เคลลีย์ (Paul Kelley) เรื่อง ‘Honorary Associate in Sleep, Circadian and Memory Neuroscience, The Open University’ ให้คำตอบกับเรื่องนี้ โดยอ้างอิงข้อมูลจาก นักวิจัย University of Munich ในปี 2004 ที่พบว่า

วัยรุ่นมีการกำหนดรู้เรื่องเวลา (sense of time) แตกต่างจากผู้ใหญ่ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นมีวงรอบชีวิต 24 ชั่วโมง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งการนอนหลับที่ยาวนานกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งจะยาวนานที่สุดในช่วงอายุประมาณ 20 ปี

หลังอายุ 20 ปี ช่วงเวลาการตื่นจนเข้านอนของวัยรุ่นจะเร็วขึ้นอีกครั้ง และเมื่ออายุ 55 ปี เราจะตื่นในเวลาใกล้เคียงกับตอนอายุราว 10 ปี นักวิจัย กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนของนาฬิกาชีวิตและการเจริญเติบโตทางร่างกายของวัยรุ่น (การเปลี่ยนแปลงของสรีระร่างกายที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากภายนอก) มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน โดย ‘peak lateness’ หรือ ช่วงเวลาใน 1 วัน ระหว่างการตื่นแล้วกลับไปเข้านอนที่ยาวนานที่สุดในช่วงปลายวัยรุ่นนั้น เป็นนาฬิกาชีวิตที่ส่งผลถึงช่วงสุดท้ายของการเจริญเติบโตทางร่างกายของวัยรุ่นด้วย

The Conversation

ภาพ infographic แสดงให้เห็นว่า

  • โรงเรียนระดับประถมและมัธยม 5 ใน 6 โรงเรียนของอเมริกาเข้าเรียนเร็ว โดยมีเวลาเข้าเรียนก่อน 08:30 น. ขณะที่ The American of Pediatrics แนะนำว่า โรงเรียนระดับประถมและมัธยมไม่ควรเริ่มต้นการเรียนการสอนก่อน 08:30 น. เพื่อให้นักเรียนมีเวลานอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • วัยรุ่นควรนอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน และ 9 ชั่วโมงสำหรับวัยก่อนวัยรุ่น ซึ่งในความเป็นจริง พบว่า 2 ใน 3 ของนักเรียนจากโรงเรียนระดับมัธยมนอนน้อยกว่า 8 ชั่วโมง

จากภาพ วัยรุ่นที่ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีแนวโน้มที่จะ

  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น
  • ออกกำลังกายได้ไม่เพียงพอ
  • ทรมานกับอาการซึมเศร้า
  • มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และใช้ยาผิดกฎหมาย
  • ผลการเรียนย่ำแย่

เมื่อการนอนหลับถูกลิดรอน

ช่วงเวลาเดียวกันที่ผลการศึกษาจากมิวนิค เกี่ยวกับการกำหนดรู้เรื่องเวลาถูกนำเสนอออกมา รัสเซล ฟอสเตอร์ (Russell Foster) จาก University of Oxford ได้ค้นพบสิ่งสำคัญเกี่ยวกับประสาทวิทยาของเวลา

ฟอสเตอร์ลงมือทดลองเลี้ยงหนูตาบอด ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าช่วงเวลาการนอนหลับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีความสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่มีแสงแดดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่า นาฬิกาชีวิตที่มีส่วนกำหนดความรู้สึกง่วงเป็นคนละเรื่องกับเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่กำหนดกิจวัตรประจำวันของมนุษย์

ความไม่สอดคล้องกันของเวลานำมาสู่ ‘เวลาที่ขาดหายไปในการนอน’ กิจกรรมของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเวลาทางสังคมตามหน้าปัดนาฬิกา เริ่มต้นระหว่าง 7:30 – 8:30 น. ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เช้าเกินไป เพราะหากวัดตามการทำงานของนาฬิกาชีวิต เราควรปรับเวลาการเข้านอนให้ช้าขึ้น (นอนดึกกว่าเดิม) แล้วตื่นสายกว่าเดิมได้ ด้วยการนอนให้ครบ 8-9 ชั่วโมงในหนึ่งคืน

ขณะที่สถานการณ์จริง วัยรุ่นหลายคนสูญเสียเวลานอนไปคืนละ 2-3 ชั่วโมงในช่วงวันเปิดเรียน สตีเฟน ล็อคลีย์ (Steven Lockley) จาก University of Harvard ให้ข้อสรุปว่า นี่เป็นระบบชีวิตที่ทำให้คนเราสูญเสียการนอนซึ่งไม่สามารถกู้คืนได้อีกและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของวัยรุ่น

มีทางออกบ้างไหม?

การแก้ปัญหาเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายในทางทฤษฎี ก็แค่ปรับเวลาเริ่มต้นทำกิจกรรมให้ช้าออกไปเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่ง่ายนัก เพราะมีปัจจัยท้าทาย 3 ส่วนด้วยกัน

  1. การพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเริ่มต้นการเรียนการสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเช้าเกินไปเป็นอันตรายต่อสุขภาพของวัยรุ่น
  2. การระบุช่วงเวลาที่ดีที่สุด (identifying the best starting times) สำหรับการเริ่มคาบแรก ทั้งในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัย
  3. การต่อสู้กับความไม่ยินยอมให้ความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ทางการศึกษา หากต้องปรับเปลี่ยนเวลาไปจากการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม

The US Centre for Disease Control and Prevention ได้รวบรวมผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ซึ่งชี้ไปทางเดียวกันว่า โรงเรียนในสหรัฐ ควรปรับเวลาการเรียนการสอนใหม่ให้เริ่มต้นช้ากว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงอันตรายของการไปโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเช้าเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นของโรคอ้วน โรคซึมเศร้า และผลการเรียนในระดับต่ำ

The American Medical Association ยังเสนอว่า ไม่ควรมีการเรียนการสอนก่อนเวลา 8:30 น. ตอนนี้ ทั้งในออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสวีเดน กำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน แต่ก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านสุขภาพที่เห็นได้อย่างชัดเจนในนักเรียนวัย 13-16 ปี ซึ่งเริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป

Mariah Evans จาก University of Nevada ใช้วิธีการใหม่ในการหาคำตอบ เพื่อระบุช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเริ่มต้นวันใหม่ในวัยรุ่นอายุ 18-19 ปี ผลลัพธ์ที่ได้ออกมายิ่งน่าทึ่ง เธอบอกว่า

11:00 น. หรือเลยไปจนถึง 12:00 น. เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการรับรู้

เห็นทีว่าโรงเรียนและผู้ปกครองทั่วโลกคงต้องเปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อวัยรุ่น แทนที่จะตำหนิเวลาลูกตื่นสายก็ปล่อยให้ลูกได้นอนตื่นช้าออกไปในแบบที่สอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต หากกำหนดเวลาเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยให้ช้าออกไปได้ จะช่วยให้เยาวชนปลอดภัย มีสุขภาพดี และเกิดการเรียนรู้ได้ดีด้วย

ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของเวลา และผู้หลักผู้ใหญ่ที่เข้าใจ

อ้างอิง: Paul Kelley, Honorary Associate in Sleep, Circadian and Memory Neuroscience, The Open University
ภายใต้ความร่วมมือกับ The Conversation.

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษาวัยรุ่นจิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

พ่อแม่ที่รอไม่ได้และประเทศที่ไร้เสรีภาพ : นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
Family PsychologyEF (executive function)
7 March 2018

พ่อแม่ที่รอไม่ได้และประเทศที่ไร้เสรีภาพ : นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • จากประสบการณ์ทำงานตรวจคนไข้ในแผนกจิตเวชแบบไม่อั้นกว่า 30 ปี คุณหมอสรุปว่า “ระบบการศึกษาสร้างเด็กป่วยจำนวนมากพอแล้ว”
  • คุณหมอมักจะตอบซ้ำๆ ว่า “ถ้ามีความรู้เรื่องพัฒนาการเด็กสักนิด และผ่อนคลายระบบการศึกษาซะหน่อยให้ทุกคนหายใจโล่งขึ้นอีกหน่อย ของมันสบายๆ รอได้” แต่พ่อแม่และครูต่างหาก ไม่ชอบรอ
  • เมื่อไม่ยอมรอ บวกกับสภาพบ้านเมืองที่ไร้เสรีภาพ โดยเฉพาะด้านความคิดและการศึกษา ปลายทางคือ การศึกษาแบบ 0.4 ในประเทศไทยซึ่งตั้งธงไว้ที่ 4.0

ฤดูสอบเข้าแสนเครียดเวียนมาถึง ถึงคิวของเด็กๆ ม.3 ป.6 และอนุบาล เตรียมลงสนามรบ เอ๊ย! สนามสอบ เพื่อแย่งชิงเก้าอี้ที่มีจำกัดในโรงเรียนเด่นดัง

ที่เครียดพอๆ กับเด็กหรืออาจจะมากกว่าคือพ่อแม่ ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลูกเป็น ‘ผู้แพ้’ ในสนามสอบที่ผู้ชนะย่อมมีน้อยกว่า

อดีตหัวหน้าภาควิชาจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ไม่เพียงเฝ้าดูปรากฏการณ์เช่นนี้มากว่า 30 ปี แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าไปแก้ปัญหาปลายทางอย่างอัตโนมัติ

“คิวผู้ป่วยจิตเวชเด็กที่โรงพยาบาลยาวขึ้นเรื่อยๆ ครูทุกโรงเรียนส่งเด็กมาทุกวัน วันละเยอะๆ ส่วนใหญ่สงสัยเรื่องสมาธิสั้น อะไรจะสงสัยกันได้เยอะและเร็วขนาดนั้น เป็นสังคมที่ไม่ปกติ คุณพ่อคุณแม่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ครูบอกให้มาโรงพยาบาลก็มา เป็นความทุกข์กันถ้วนหน้า”

เมื่อต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ที่ตรวจคนไข้ทุกวันแบบไม่อั้น ไม่กำหนดโควตา และไม่มีคิว เป็นอย่างนี้มากว่า 30 ปี คิดอย่างเดียวว่า “อย่างไรวันหนึ่งก็คงต้องแพ้”

หลังเกษียณ คุณหมอจึงเปิด ‘โรงเรียนพ่อแม่’ เพื่อปูพื้นวิชาพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองให้ลองตั้งต้นกันใหม่ โดยไม่หวังพึ่งการศึกษาไทยที่ปฏิรูปแล้วปฏิรูปอีก (ให้ไม้ยมกไปอีก 10 ตัว)

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนไข้เด็กในแผนกจิตเวชจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะนโยบาย (ตอบทันที) เกิดจากระบบการศึกษาที่เป็นแบบนี้ ตัวชี้วัดเป็นแบบนี้ คะแนน O-NET A-NET ต้องได้เท่านี้ เด็กต้องได้เกรดเท่านี้ที่เหลือถือว่ามีความบกพร่อง ใช้คำนี้แล้วกัน

ตัวระบบการศึกษามีตัวชี้วัดแบบนี้ แล้วถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายคัดกรองผู้ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือออกมาแล้วส่งไปบำบัด โอเค ประโยคมันฟังดูดี แต่ขอโทษ ความจริงคือผู้ให้ความช่วยเหลือมีจังหวัดละคนเดียว จิตแพทย์เด็กไม่ได้มีเยอะ หลายจังหวัดไม่มีด้วยซ้ำ ที่มีงานก็ล้นตัว

งานจิตแพทย์เด็กเป็นงานที่รีบทำไม่ได้ ไม่เหมือนการจิ้มหูฟัง ต้องค่อยๆ พูด ค่อยๆ คุย ถ้าจะทำให้ได้มาตรฐานต้องส่งตรวจทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา แต่ละคนใช้เวลาเป็นชั่วโมง รีบไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีระบบการศึกษาที่มีตัวชี้วัดแบบนี้ เรียนไม่เก่ง คัดออก ตั้งสมมุติฐานว่าเป็นผู้ป่วย มีนโยบายคัดกรองแล้วฝันว่าจะมีระบบการช่วยเหลือที่ดี ความจริงคือมันไม่ดี (ย้ำ) ทั้งไม่ดีและไม่พอเพียง ระบบก็ล่ม

หรือจริงๆ แล้วสภาพจิตของเด็กเอง ก็เปลี่ยนไปด้วยมั้ยคะ

ผมมีสมมุติฐานว่า ไม่ได้มากขึ้น ความคาดหวังของพ่อแม่และครูต่างหากที่มากขึ้น และมากผิดปกติ เอาเฉพาะเรื่องเดียว การเรียนก่อน 7 ขวบ เด็กคนไหนทำไม่ได้และถูกคาดหวังว่าเขาต้องทำได้ เช่นนี้เรียกว่าการคาดหวังที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือจิตวิทยาพัฒนาการ กระทั่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าก่อน 7 ขวบเราไม่เรียน เราไม่ใช้การอ่านการเขียนการคิดเลขเป็นตัวชี้วัด เราเล่นกันอย่างเดียว…

จับเข้าห้องเรียน มองกระดาน อ่าน เขียน บวกเลข 4 หลักให้ได้ภายในอนุบาล 3 ทำนองนี้ นี่เป็นความคาดหวังที่ผิด ไม่ปกติ

ความคาดหวังที่สูงขึ้นทำให้เด็กถูกกระทำ ในทางตรงข้าม ปล่อยเด็กวิ่งเล่นที่เนินหญ้า ฝึกใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก การเรียนรู้ในธรรมชาติ เด็กๆ ทุกคนไปได้เอง

ขณะที่เด็กและพ่อแม่บางกลุ่ม ได้รับการศึกษาทางเลือก ความรู้ใหม่ๆ อย่าง EF (Executive Function), ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ฯลฯ แต่ทั้งหมดยังต้องอยู่ในระบบเดิมๆ อย่างนั้นแล้วจะไปต่อได้อย่างไร

กระบวนทัศน์เดิม พ่อแม่เป็นผู้กำหนดเป้าหมายให้ลูกว่าโตขึ้น ควรเรียนสาขานี้ ทำงานแบบนี้ จะได้มีฐานะแบบนี้ อันนี้เป็นค่านิยมและวัฒนธรรมของประเทศไทย ซึ่งวัดกันที่สถานะและการเงิน ก็เกิดการแข่งขันชิงดีชิงเด่นรุนแรงตั้งแต่อนุบาล แม้กระทั่งการติว การกวดวิชา พวกเราเข้าในไลน์กลุ่มผู้ปกครองก็จะเห็น การปิดบังติวเตอร์ ไม่บอกเพื่อนว่าติวที่ไหนดี พวกนี้เป็นวัฒนธรรมที่ไม่ปกติ ทั้งหมดนี้อยู่บนกระบวนทัศน์เดิมที่เชื่อว่า เรียนเก่ง สถาบันดี เกรดสูง มีคอนเน็คชั่น จบออกไปแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย

คงจะจริงในคนรุ่นผม มีส่วนอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าศตวรรษนี้ไม่จริง ตัวแปรที่มากับโลกสมัยใหม่สูงมาก แล้วเรากั้นเด็กไม่ได้เลย เด็กสมัยนี้ไม่ได้เซ่อซ่าเหมือนผม ผมไม่รู้อะไรเลย เรียนอย่างเดียว เด็กสมัยนี้อยากรู้อะไรหากูเกิล กำหนดเป้าหมายเอง ครูที่โรงเรียนทุกวันนี้ต่างหากที่ให้ไม่ได้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว

พ่อแม่ส่วนใหญ่มีข้อมูลมากขึ้น แต่พ่อแม่รุ่นเก่ากว่านี้ ยังมีส่วนในการกำหนดอนาคตลูก หรือเราต้องรอผลัดรุ่นหรือเปล่า

ผมไม่คิดว่าเรารอได้ เพราะตอนนี้การแข่งขันมันเกิดขึ้นรุนแรง เราจะมานั่งงมอยู่ประเทศเดียวไม่ได้แล้ว ถ้าของเรา EF ยังไม่ดี เราถูกแย่งงานในตลาดอาเซียน คนยังไม่เห็นภาพพวกนี้เฉยๆ เราเป็นฐานเงินเดือนของบัณฑิตประเทศอื่นแล้ว ยังไม่มีใครวาดภาพโครงสร้างพวกนี้ออกมาให้เราดูชัดๆ ฉะนั้นมานั่งรอให้หมดอีก 1 เจนเนอเรชั่นจึงไม่น่าจะได้

กระบวนความคิดแบบไทยๆ เป็นอุปสรรคต่อ EF มากน้อยแค่ไหน

ความคิดแบบไทยๆ แปลว่าอะไร

เช่น การศึกษาแบบไทยๆ โรงเรียนดี มหาวิทยาลัยดี งานดี และมีคอนเน็คชั่น?

เป็น… ความคิดและค่านิยมแบบนั้น จะไปจำกัดความคิดเชิงวิพากษ์ criticize thinking มันแคบเกินไป หากทำสำเร็จก็ดีใจด้วย แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงระดับประเทศ คนทำไม่สำเร็จมีเยอะกว่าคนเรียนเก่ง เด็กที่เข้าสถาบันดีๆ ไม่ได้ เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ไม่ได้ คอนเน็คชั่นไม่ดี เอาเขาไปเก็บไว้ที่ไหน สังคมแบบนี้ไม่ถูก นี่ต่างหากทรัพยากรสำคัญของประเทศชาติ

คนที่แพ้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ self esteem (ความนับถือตัวเอง) ไม่ดีแน่ๆ แล้วก็เป็น self esteem ที่ไม่มีทางแก้ด้วยเพราะเด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ เค้ารู้อยู่แก่ใจว่าพ่อแม่มีเงินเท่านี้ ฐานะเท่านี้ จ่ายค่ากวดวิชาติวเตอร์ได้แค่นี้ เขาไม่มีความหวังเลยว่าจะเข้าสู่สถาบันหรือมหาวิทยาลัยดีๆ ได้

ถ้าเข้าใจแผนภูมิ EF ก็จะเข้าใจว่า self esteem เป็นบันไดก่อนจะไปสู่ EF อยู่แล้ว ดังนั้นคำถามที่ว่าเรื่องทั้งหมดขัดขวาง EF มั้ย คำตอบคือ ขัดขวาง เพราะระบบ ค่านิยม วัฒนธรรมแบบนี้ทำลาย self esteem เด็กที่แพ้ ซึ่งผมเดาแต่คงเดาถูกแหละ ปริมาณมากว่าเด็กที่ชนะแน่ๆ และมากกว่าเยอะด้วย เราปล่อยสังคมเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว เป็นสิบปี ใช้ไม่ได้ ต้องแก้

เด็กทุกคน ต่อให้สติปัญญาบกพร่อง สมาธิสั้น เด็กพิเศษ พัฒนาได้หมด รับรองได้ แต่ต้องเข้าใจเรื่องพัฒนาการเด็ก, EF และทำให้ระบบการศึกษาเปิดกว้างมากกว่านี้ มีเสรีภาพมากกว่านี้ ทางเดินของเด็กๆ จำเป็นต้องกว้างกว่านี้

เรื่อง EF ได้รับความสนใจใคร่รู้ในหมู่พ่อแม่ชนชั้นกลาง เพราะเข้าถึงข้อมูล แล้วคนส่วนใหญ่ที่อาจไม่รู้จัก EF แต่ต้องการแบบนี้เหมือนกัน จะทำอย่างไร

สื่อมีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ การเล่นก่อน 7 ขวบเป็นเรื่องซีเรียส การเรียนก่อน 7 ขวบไม่จำเป็น นอกจากไม่จำเป็นแล้วอาจจะสร้างผลเสีย การทำงานเป็นเรื่องต้องฝึก การทำงานโดยใช้นิ้วมือจริงๆ action เป็นเรื่องที่ทุกบ้านต้องใส่ใจ มิใช่ส่งเสริมแต่ด้านการเรียนเพียงอย่างเดียว งานการอื่นไม่ต้องทำ

เหตุที่จะให้ทำงานไม่ใช่เพราะงาน แต่เพื่อให้สมองดี เป็นฐานของ EF ในอนาคต อันนี้เป็นความรู้ที่เราควรให้ แต่การจัดการเชิงระบบมันก็อย่างว่า สมมุติว่าเราเผยแพร่ความรู้เสร็จแล้ว พ่อแม่อยากเล่น ก็เกิดคำถามถัดไปว่าเล่นที่ไหน สนามเด็กเล่นอยู่ที่ไหน ใครดูแลงบประมาณนี้ อันนี้เป็นเรื่องเชิงระบบ การเล่นก็ต้องมีที่เล่นปลอดภัย กว้างขวาง กระจาย พ่อแม่อาจไม่จำเป็นต้องรู้เรื่อง EF ปู่ย่าตายายก็ไม่ต้องรู้ แต่ตื่นเช้ามาอยากให้ลูกให้หลานได้เล่น ออกไปนอกบ้าน ไปไหน เล่นที่ไหน อันนี้คือสิ่งที่รัฐต้องช่วย สังคมต้องช่วยกันสร้าง เรามีที่เหลือเฟือ เยอะแยะเหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้ว

นโยบายด้านการเรียนก่อนปฐมวัย คิดว่าต้องเปิดเวทีคุยกันอย่างจริงจังยิ่งกว่าเดิมว่าเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่ จำเป็นแค่ไหนที่เด็กต้องอ่านออกเขียนได้ก่อน 7 ขวบ มาคุยกันใหม่มั้ย เปิดเวทีวิชาการคุยกันมั้ย มันก็น่าจะคุยได้ แต่ถ้าเรากำหนดตัวชี้วัดว่าเด็กต้องทำได้ เพราะรู้อยู่ว่าวัฒนธรรมการทำงานและระบบราชการ เราทุกคนก็พร้อมทำตามคำสั่งให้เด็กอ่านออกเขียนได้ คิดเลขหลายหลักได้ก่อน 7 ขวบ ทุกคนก็พร้อมจะทำตามคำสั่งโดยไม่ตั้งคำถาม และกดดันเด็ก ก็เสียหายอีก

ในความคิดคุณหมอ จุดไหนแก้ปัญหายากที่สุด

แก้ยากทุกส่วนแต่ถ้าจะต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างก็ยังเชียร์ว่าให้ทำที่ระบบการศึกษา รองลงมาคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำเรื่องที่เล่น ห้องสมุด ของพวกนี้ทำปุ๊บได้ปั๊บ พูดกันนักหนาว่าเงินก็มี และควรจะทำ อันนี้คือรูปธรรม แต่ระบบการศึกษาจำเป็นต้องปฏิรูปโดยด่วน

ที่ทำห้องเรียนพ่อแม่เพราะคุณหมอคิดว่าระบบการศึกษาไม่สามารถช่วยได้?

ใช่ ระบบการศึกษาสร้างเด็กป่วยจำนวนมากพอแล้ว สร้างโดยไม่เจตนาก็เยอะ แต่ที่สร้างโดยเจตนาว่าเรียนไม่ได้ให้ไปตรวจที่ รพ. ผมคิดว่านโยบายนี้ควรทบทวน ควรนั่งลงคุยกันใหม่ ที่ผ่านมาทุกอย่างกดดันไปที่ตัวเด็ก พ่อแม่ครูกดดันพร้อมๆ กันหมด เด็กถูกกระทำฝ่ายเดียว และเราจะได้คุณภาพของประชากรต่อรุ่นไม่ดี

เด็กที่มีพื้นฐาน EF ดีมาก ขณะที่การศึกษา สภาพแวดล้อมมันเหมือนเดิม สุดท้ายเขาจะยอมจำนน มี self esteem ต่ำลง หรือผ่านไปได้

EF ดีน่าจะแข็งแรงนะ แหล่งเรียนรู้อยู่ในอินเทอร์เน็ต อยู่แน่ๆ เราไม่รู้เฉยๆ ว่ามันอยู่ ต่อให้มีข้อจำกัดด้านภาษาอังกฤษ เราก็เห็นอยู่ แอพฯ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ขอให้เรากำหนดเป้าหมายให้ตัวเองเป็นให้ได้ก็พอ สมองดีพอสมควร ดีไม่ใช่ดีแบบเรียนเก่ง แต่ดีแบบควบคุมความคิดอารมณ์การกระทำได้ดี อยากรู้ภาษาอังกฤษ เรียน อยากรู้วิชาอะไร เรียน

ระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ เด็กที่ EF ดีมีโอกาสที่ทักษะศตวรรษที่ 21 จะดีด้วย หนึ่งในทักษะที่สำคัญคือ ทักษะชีวิตหรือ Life Skill องค์ประกอบของทักษะชีวิตคือการที่ชีวิตไปได้เรื่อยๆ กำหนดเป้าหมายแล้วไปให้ได้

เด็กที่ผ่าน รร.ทางเลือกแล้ว EF ดี หรือผ่านโฮมสคูลแล้ว EF ดี เด็กที่พ่อแม่ส่งเรียน รร.ทั่วไปตามปกติที่เร่งเรียนแต่พ่อแม่รู้ทันพยายามส่งเสริมการเล่นการทำงานแล้ว EF ดี เด็กพวกนี้ทักษะชีวิตจะดี มีความหมายว่าเขาพร้อมรอมชอมกับกติกา คือ อย่าดื้อกับข้อสอบชุดนี้ ถ้าข้อสอบชุดนี้เฉลย ค. รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคำเฉลยที่ไม่เข้าท่านัก เพราะตัวเองไปค้นมาแล้ว ตอบ ค. ซะดีๆ เป็นทักษะ ไม่สู้ตาย

ทักษะชีวิตที่ดี ไม่ได้ให้สู้ตาย ให้ทำ ประเมิน เดินหน้าต่อไป

สมมุติเด็กๆ สามารถหาข้อมูลเอง เช่น วิชาประวัติศาสตร์ แต่กลับได้ความจริงคนละชุดกับในหนังสือเรียนหรือข้อสอบ… ความขัดแย้งมันเกิดขึ้น เราควรชี้แนะเขาอย่างไร

ผมยืนยันว่าเราควรให้เสรีภาพลูก เราควรบอกและชี้แนะว่าลูกสนใจอะไร อยากรู้อะไร อย่ามัวแต่นอน มีกูเกิลให้ค้นก็ค้น ค้นออกมาแล้วไม่ได้แปลว่าต้องเชื่อ การอ่านข้อมูลใดๆ ในกูเกิลวันนี้เป็นเพียงการบริหารความคิด ไม่ได้ให้เชื่อ ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ตัวทักษะเรียนรู้ ทักษะชีวิตดีขึ้น พอทักษะชีวิตดี ทำให้เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

ดังนั้นต่อให้ข้อสอบแย่ยังไง เด็กคนนั้นก็จะยอมรอมชอม เพราะกติกาของเปเปอร์นี้ ตกคือตกนะจ๊ะ เขารู้ทั้งรู้ว่าเปเปอร์นี้ก็ไม่ได้เข้าท่ามากนักหรอก เขามีความรู้เยอะกว่านั้นเยอะ แต่เขาพร้อมจะรอมชอม อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า EF และทักษะศตวรรษที่ 21 ดี

ถ้าสู้ตายคาสนาม เราก็จะขมวดคิ้วแล้ว เออ ยังไงกัน ไหงคุยกันว่าเข้า รร.ทางเลือกแล้วทักษะชีวิตดี

อย่างนั้นเราจะเรียกสิ่งนั้นว่าอุดมการณ์ได้หรือเปล่า

ถูกต้องเราเรียกว่าอุดมการณ์ แต่การตัดสินใจว่าจะสู้ตายตอนไหนเนี่ย ผมคิดว่าเรื่องนี้ดีเบตได้เรื่อยๆ วิวาทะได้ บางครั้งเราก็รู้สึกว่าคนบางคนตายเร็วไปหน่อย เราไม่ได้บอกว่าใครผิดใครถูก แต่ดีเบตได้ และเราควรสู้ตายเมื่อไหร่ อุดมการณ์ อุดมคติผมยืนยันว่าต้องมี วัยรุ่นไทยควรมี ต้องมีเยอะ มีมากกว่าทุกวันนี้ด้วย แต่มันไม่ได้แปลว่าสู้ตายเสมอไป ไม่ใช่

ถ้าดูจากการเลี้ยงดูแบบไทย วัฒนธรรมไทย จริงๆ แล้วเรามี EF มาก่อนหน้านี้หรือเปล่าแต่อาจจะไม่ได้เรียกว่า EF

ไม่ เราไม่มี อาจจะมีก็ไม่พอ เล่นและทำงานก็ยังดีกว่าไม่เล่น ไม่ทำงาน แต่ผมเชื่อว่าไม่พอ สังคมไทยยังอ่อนด้อยมากเรื่องการอ่าน ผมคิดว่าการอ่านยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของ EF ต้องมีทั้งการอ่านการเล่น การทำงานในช่วงปฐมวัย สมองจึงจะพัฒนา EF ที่ดี การ pruning (กำจัดเซลล์สมอง ส่วนที่ไม่ได้ใช้หรือใช้น้อยออกไป) การเพิ่มปลอกมัยอีลิน (myelin ปลอกที่ห่อหุ้มเส้นใยประสาท) ความเร็วของการส่งสัญญาณประสาท เราต้องการทั้ง 3 องค์ประกอบ การอ่าน การเล่น การทำงาน

การเรียนเอาไว้หลัง 7 ขวบ ที่ผ่านมา สมัยผมเด็กๆ เราก็ไม่ได้เรียนก่อน 7 ขวบจริงๆ เราก็เล่นกับทำงาน แต่การอ่าน ผมคิดว่ายังเป็นส่วนน้อย การที่จะบอกว่าประเทศไทยมี EF อยู่ก่อนแล้ว แล้วมาตั้งคำศัพท์คำใหม่ให้หรูๆ เฉยๆ ผมคิดว่าไม่ใช่ เราไม่มี ถึงมีก็ไม่ได้ใช้เพราะเด็กทุกคนไปสอบด้วยข้อสอบมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีเป้าหมายให้เลือก ไม่มีอะไรให้วิเคราะห์

การอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญ การเปลี่ยนเครื่องมือ (tool) ในการอ่าน มีผลต่อการอ่านหรือคุณภาพการอ่านอย่างไร

มีงานวิจัย แต่ผมจำไม่ได้หมดเท่าที่จำได้มีงานวิจัยหนึ่งน่าสนใจ คือ ด้วยความที่สมองเด็กกำลังพัฒนา เสพอะไรสมองได้อย่างนั้น เราพบว่า เช่น การอ่านหนังสือ มือได้แตะ ได้คลำ ทุกๆ หน้าที่เปลี่ยนไป หน้ากระดาษด้านซ้ายจะหนากว่าด้านขวา นิ้วโป้งซ้ายจะจับหน้ากระดาษที่หนาขึ้นทุกที นิ้วโป้งขวาจะจับกระดาษที่บางลงทุกที พวกนี้ส่งสัญญาณขึ้นสู่สมองด้วยว่านิ้วจับที่ตรงไหน สมองก็เรียนรู้ว่าเนื้อหาตรงนี้อยู่เนื้อหาประมาณ เศษ 1 ส่วน 4 ของหนังสือเล่มนี้ รูปแบบของสมองก็จะพัฒนาไปอีกแบบหนึ่ง

การเขี่ยเรื่อยๆ ในอีบุ๊ค เราระบุตำแหน่งยาก สมองจะพัฒนาอีกรูปแบบหนึ่ง ผมไม่สรุปวันนี้ว่าแบบไหนดีกว่า แต่แตกต่าง แต่ในฐานะผู้มีความรู้ด้านจิตวิทยาพัฒนาการ ผมก็บอกว่าหนังสือที่เป็น book จริงๆ ดีกว่าตรงการลูบการคลำ การสัมผัสการแตะดีต่อการพัฒนาสมองและพัฒนาบุคลิกภาพมากกว่า สำหรับเด็กนะที่สมองยังไม่นิ่ง ยังเปลี่ยน ถ้าผู้ใหญ่ยังไงก็ได้ อยากอ่านอีบุ๊คก็อ่านเถอะ

ตั้งแต่เปิดโรงเรียนพ่อแม่ นอกจากความอยากรู้ หลายคนมาพร้อมปัญหา ส่วนใหญ่เขาขาดหรือมีปัญหาอะไร

คาดหวังสูง ทุกคนเลย คาดหวังว่าเด็กควรจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้เมื่ออายุเท่านี้ ถ้าสังเกตผมตอบก็จะพบคำตอบซ้ำๆ ของรอได้ จะรีบอะไร ไม่รู้ ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เราคาดหวังสูงจริง แต่จริงๆ ของรอได้

ถ้าเรามีความรู้เรื่องพัฒนาการเด็กสักนิด และผ่อนคลายระบบการศึกษาซะหน่อยให้ทุกคนหายใจโล่งขึ้นอีกหน่อย อย่าตึงเครียดกันนัก อย่าแข่ง อย่าเปรียบเทียบกันมากนัก แม้กระทั่งการเข้าสังคมก็เป็นของรอได้ เด็กเขาไม่พร้อมก็แปลว่าไม่พร้อม ไม่ต้องกดดัน

ตอนนี้สภาพสังคมเป็นแบบนี้มาก เปรียบเทียบและแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเอง แล้วก็เครียดถ้วนหน้า แต่ความจริงแล้ว 7 ขวบปีแรก ของรอได้เกือบทั้งนั้น ของมันสบายๆ รอได้

รายการประกวดความสามารถของเด็กๆ ที่มุ่งไปการแสดง ร้องเพลง เต้น ขณะที่เด็กเก่งแบบอื่นๆ อาจไม่ได้รับการนำเสนอ ตรงนี้มีส่วนชี้นำหรือ shape มากน้อยแค่ไหน

คงมีส่วนชี้นำอยู่บ้าง เข้าข่ายแข่งขันเปรียบเทียบ แต่สิ่งที่อยากให้รู้คือเด็กโดยเฉพาะก่อน 7 ขวบถึงก่อนวัยรุ่น ภาษาจิตวิทยาสมัยใหม่เรียก growth mindset กระบวนทัศน์พัฒนา คือ เราควรชื่นชมเด็กที่การกระทำ แล้วการกระทำที่เราควรชื่นชมไม่พ้นความขยันหมั่นเพียร มุมานะ อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เราไม่ควรลงไปชมเนื้อหามากจนเกินไป เช่น ร้องเพลงเก่ง เป็นต้น

ความจริงแล้วมีข้อแนะนำว่าอย่าทำมากไป เพราะเด็กคนนั้นเองจะหมดแรงเร็ว นำไปสู่เรื่องติดบอร์ดเด็กเก่งหน้าโรงเรียน ความจริงคือไม่ควรทำ เป็นการชมเชยตรงผลลัพธ์สุดท้าย แถมไปชมเชยเด็กกลุ่มเดียว แล้วที่เหลือว่าไง

ที่จริงเด็กทุกคนควรถูกชมเชยที่การกระทำที่มันเป็น positive ความขยัน ความพยายาม ความไม่ย่อท้อ ความอดทน การต่อสู้

ไม่จำเป็นที่เด็กทุกคนต้องเป็น someone?

ไม่จำเป็นอยู่แล้ว (ตอบทันที)

พ่อแม่มาห้องเรียนพ่อแม่พร้อมความคาดหวังที่สูง ในทางกลับกัน ปัญหาเด็กๆ คืออะไร

เคยมีอยู่คลาสหนึ่ง ให้เด็กๆ ถาม พ่อแม่ห้ามถาม เด็กทุกคนจะพูดเหมือนกันเลย พ่อแม่ห้ามจัง แล้วพ่อแม่ก็ทำทุกอย่างที่ห้ามหนู

ชัดเลย พ่อแม่ห้ามทุกเรื่อง ไม่ให้ทำทุกอย่างแล้วพ่อแม่ก็ทำสิ่งที่ห้าม เช่น ห้ามเล่นมือถือระหว่างกินข้าว อันนี้โดนจังๆ ทุกบ้าน

ก็ยังคงอยู่ที่เราคาดหวังสูงว่าเด็กห้ามนั่นห้ามนี่และต้องนั่นต้องนี่ ขณะที่ความเป็นจริง เราปล่อยเสรีภาพได้ตามสมควร ห้ามเฉพาะเรื่องที่อันตราย ซีเรียส แค่นั้นเอง นอกนั้น เด็กก็วิ่งๆ ไปเถอะ ทดลอง พัฒนา ลองผิดลองถูกได้

เราต้องเป็นต้นแบบให้ลูก?

ถ้าเรื่องเล่นมือถือ ใช่แน่ แต่พ่อแม่สมัยใหม่ มีศัพท์ว่า authentic parents มีความหมายใหม่ว่าพ่อแม่ควรเดินตามจริงๆ คือลูกชอบอะไรเราก็ตาม คอยส่งเสริม เรามีหน้าที่เดียวคือ ระวังตกเหวตายเท่านั้นแหละ แต่ก็เดินตาม ชอบ เราก็นั่งดูไปเรื่อย พ่อแม่สมัยใหม่เรามีข้อแนะนำให้ทำแบบนั้นจริงๆ

อย่างที่บอก ตัวแปรเยอะกว่าแต่ก่อนเยอะ เยอะมากจนไม่มีพ่อแม่คนไหนคุมลูกอยู่หมัดหรอก อยากลองก็ลอง ถ้าพ่อแม่คุมแล้วได้ผลก็ดีใจด้วย แต่ที่จริงเด็กส่วนใหญ่ไม่ได้ผล และเขาเสียโอกาสที่จะเรียนรู้ทักษะการควบคุมตนเอง เพราะจริงๆ เขาคือคนที่ควบคุมตนเอง เราควบคุมเขาตลอดไปไม่ได้ ทักษะการควบคุมตนเองต้องฝึก ไม่ใช่พ่อแม่มาสอน

กระบวนการพัฒนา EF ในเด็กสองคนแต่อยู่คนละสังคม ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งอยู่ในระบบการศึกษาแบบไทย อีกคนอยู่ในระบบการศึกษาฟินแลนด์ เด็กสองคนนี้จะต่างกันมั้ย

ก็น่าจะต่างเพราะว่าเวลาเรามีเสรีภาพทางความคิดนี่มันดีจริงๆ นะ (หัวเราะ) ไม่รู้จะว่าไง เวลาผมดูหนังแล้วผมสามารถหาหนังดีๆ มาดูได้โดยไม่ต้องมีการเซ็นเซอร์เลย แน่นอนว่ามันมีทั้งเรื่อง negative positive มันดีต่อสมองของเรามากและทำให้ทางเลือกของชีวิตเรามาก โลกทัศน์กว้าง วิสัยทัศน์ดีขึ้น

เด็กสองคนนี้ต่างแน่ๆ อยู่แล้ว ในสังคมบ้านเราเราก็ทำสิ่งที่ดีที่สุด แต่ใช่ ถ้าเขาได้มีโอกาสไปอยู่บางประเทศเขาก็จะตะลึง เหมือนที่ผมเคยตะลึง เขามีเสรีภาพมากที่จะคิด แค่นั้นก็ต่างกันเยอะมาก และ self esteem มันมากระทั่งการคิดด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องการทำ ทำไม่ได้แต่คิดได้ ตัว self esteem ก็ยังจะมา คิดได้แฮะ เก่งจังเลยเรา แต่ว่าเวลาห้ามคิด มันก็หมด ฝ่อไปหมดทั้งระบบ

แสดงว่าเสรีภาพทางการคิดเป็นร่มใหญ่ของการปฎิรูปการศึกษาและทุกอย่าง?

แน่นอน (เสียงสูง) คือ ทักษะการเรียนรู้ มันมีทฤษฎีอยู่

  1. คิด วิพากษ์ – Criticize thinking หมายความว่า ไม่เชื่อง่ายและมีความคิดที่เป็นอิสระจากทุกอย่าง มีเสรีภาพที่จะคิด
  2. สื่อสาร – Communication เกิดเป็นคน คิดแล้วก็ต้องสื่อสาร คือ พูด เขียน เล่นละคร โต้วาที จัดนิทรรศการ เดินรณรงค์
  3. เมื่อเจอคนคิดไม่เหมือนเรา ซึ่งต้องเจอแน่ๆ อยู่แล้ว ร่วมมือกัน – Collaboration เวลามนุษย์มีเสรีภาพ เขาจะพูดและคิด และเจอคนอื่นๆ คิดไม่เหมือนเรา เราก็ เถียง – Compete ประนีประนอม – Compromize เพราะเรามีเป้าหมายร่วม แม้จะคิดต่างแต่เรามีเป้าหมายร่วม รอมชอมกันที่จุดหนึ่งแล้วทำงานด้วยกัน
  4. การเถียงที่ดีจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์ Creativity และนวัตกรรม Innovation เพราะการเถียงกันในกลุ่มคนที่มีเสรีภาพมากพอ จะสนุก ถ้าเถียงกันอย่างมีเสรีภาพ  นวัตกรรมจะเกิดโดยไม่รู้ตัว คือ 1+1+1 จะไม่ได้เท่ากับ 3 แต่เท่ากับ 5 ในการประชุมที่ดี เพราะความคิดจะพลุ่งพล่านมาก แต่ต้องการเสรีภาพ ที่ประชุมแบบนี้มีและมันก็ดีจริงๆ แต่มีน้อย ในที่ประชุมราชการไม่ดี

เช่นนั้นแล้วพื้นฐานการไม่ยอมรับความเห็นต่างของบ้านเรา จึงไม่ค่อยเกิดนวัตกรรมหรือความคิดใหม่ๆ

เราต้องยอมรับว่าบ้านเราห้ามคิด เฉพาะในองค์กรราชการ เราก็รู้อยู่ว่าคิดมากไม่ค่อยได้ ผู้บังคับบัญชาไม่ค่อยอนุญาตเท่าไหร่ ในองค์กรเอกชนควรดีกว่าแต่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมอยู่ดี

ถ้าเราเป็นพ่อแม่ที่อยู่ในประเทศห้ามคิด ห้ามพูด แต่อยากให้ลูกมีความคิด มีทักษะการเรียนรู้ ควรทำอย่างไร

เราให้ทักษะกับลูกได้ เราให้เสรีภาพกับลูกได้ด้วยการรับฟังเขาเพราะเรายอมรับความคิดของเขา แต่การยอมรับไม่ได้แปลว่าความคิดถูก เขาต้องเรียนรู้ว่ามีมนุษย์คนอื่นคิดไม่เหมือนกัน และเขาต้องเตรียมตัว collaborate

แบบนี้สอนได้ครับ มันดีกว่าการบอกว่าลูกผิด อย่างนี้จบเห่ จบกันตั้งแต่ต้น เราก็ทำตัวเหมือนครู

อาจจะบอกว่าพ่อมีความคิดแบบนี้ แล้วบอกว่ามีคนคิดไม่เหมือนกัน แต่มันต้องมีจุดลงตัวที่ใดที่หนึ่งที่ให้ชีวิตดำเนินไปได้

มันดีกว่าการห้ามลูกคิดซึ่งบางบ้านก็เป็นจริงๆ นะ เอาแค่การกำหนดเป้าหมายให้ลูกสอบเข้าคณะนั้น คณะนี้ มหา’ลัยนี้ แค่นี้ก็คือการห้ามคิดแล้ว คือห้ามคิดเป็นอื่น บรรยากาศมันออกแบบนั้น

เราผ่อนหนักเป็นเบาได้ในบ้านของเรา

ทราบว่าห้องเรียนพ่อแม่ได้รับความสนใจมาก คิวยาวตลอด

มาจาก กทม. เป็นส่วนใหญ่ แปลกดีนะครับ ผมก็งงว่าทำไมถึงมีดีมานด์ ไม่น่าจะมีดีมานด์เยอะขนาดนั้น ถามว่าทำไม เดาว่าทุกคนเป็นทุกข์ ทุกข์เรื่องชิงดีชิงเด่น คาดหวังสูง การศึกษาแบบนี้ ลูกดื้อจังเลย 3 ขวบก็ต้องไป รร. แล้ว ยิ่งดื้อหนักกว่าเก่า มันก็เป็นวงจรร้ายเนอะ

เด็กสมาธิสั้นปล่อยให้วิ่งแถวนี้ จะสั้นได้ยังไง ถามจริงๆ วิ่งได้วิ่งไป แต่ถ้าบอกให้นั่งนิ่งๆ 1 ชม. โห โดนข้อหาสมาธิสั้นทันที

เครื่องมือสื่อสารส่วนใหญ่ทำให้เด็กสมาธิสั้นจริงๆ มั้ย

การใช้มือถือก่อน 2 ขวบ มีงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่ามีผลทางลบ ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าห้าม ประเทศที่โหดๆ หน่อย ห้ามก่อน 3 ขวบ หลังจาก 2 ขวบก็เป็นวิวาทะกันอยู่ คือ การทำงานวิจัยเรื่องพวกนี้เป็นการทำในมนุษย์ ไม่มีทางออกแบบได้ดีที่สุด แต่ถ้าถามว่าการใช้ไอทีเร็วเกินไป มากเกินไป มีผลไหม เชื่อว่ามีแน่

แต่อยากจะเรียนว่า หลังจาก ป.1 ระบบการศึกษาก็ต้องทำให้เด็กใช้ไอทีเป็นด้วยนะ ไม่อย่างนั้นก็ไล่ตามประเทศอื่นไม่ทัน อย่างชาญฉลาด ใช้เพื่อเรียนรู้ เพื่อทักษะชีวิต เพื่อ serve ชีวิตตัวเองให้ดีกว่าเดิม

ถ้า 7 ขวบดูแลร่างกายตัวเองได้ ดูแลรอบตัวเองได้ ดูแลบ้านได้ครึ่งหลัง ไอทีไม่น่ากลัว กว่าจะทำอะไรทั้งหมดนี้ได้ การควบคุมตนเอง โฟกัสไม่ว่อกแว่ก อดเปรี้ยวไว้กินหวาน จะแกร่งพอสมควร ดังนั้นการยื่นมือถือ ยื่นแทบเล็ตให้ ควรทำได้แล้ว

ทำไมเป็นพ่อแม่สมัยนี้มันลำบากจังครับ/ค่ะ

แน่ๆ คือระบบการศึกษากดดัน เตรียมอนุบาลต้องเข้า อนุบาล 1-3 ต้องอ่านออกเขียนได้ นโยบายบอกว่า ป.1 ต้องอ่านออกเขียนได้ วัฒนธรรมบ้านเราผู้ใหญ่สั่ง ทุกอย่างก็พรึ่บ โดยไม่ฟังอะไรทั้งนั้น กดดันเด็กกันทุกชั้นปี กดดันกันเป็นทอดๆ นี่เฉพาะตัวระบบกับนโยบายก็แย่แล้ว

แต่วัฒนธรรมประเภทชิงดีชิงเด่น เปรียบเทียบระหว่างพ่อแม่ด้วยกัน ไม่ยอมกัน เรียนตามตรงก็ทำกันเอง แต่ถ้า strong เราไม่ทำ ลูกชายลูกสาวผมเป็นลูกหมอเพียงคนเดียวที่เข้าโรงเรียนระดับรองในจังหวัด ทุกวันนี้ไม่มีปัญหาอะไร ก็เรียบร้อยดี

Tags:

พ่อแม่ระบบการศึกษาจิตวิทยานพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • 21st Century skills
    คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

รู้ทันอาการโกรธโลกของวัยรุ่น ผ่านการทำงานของสมอง
Adolescent Brain
2 March 2018

รู้ทันอาการโกรธโลกของวัยรุ่น ผ่านการทำงานของสมอง

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

รักที่จะเรียน: ความโรแมนติกในความรู้ ฉบับนักเรียนโอลิมปิกของแทนไท ประเสริฐกุล
Everyone can be an Educator
27 February 2018

รักที่จะเรียน: ความโรแมนติกในความรู้ ฉบับนักเรียนโอลิมปิกของแทนไท ประเสริฐกุล

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เพราะมีโอกาสเห็นแคตตาล็อกแห่งความหลากหลายทางชีววิทยา และสะดุดซ้ำใส่คำว่า ‘วิวัฒนาการ’ ทำให้เด็กเรียนปานกลางและออกจะชอบวาดรูปอย่างเขา กระโดดเข้าใส่กองหนังสือชีววิทยา
  • ปี 2539 เขาคว้าเหรียญทองแดง การแข่งขันชีววิทยาโอลิมปิกระหว่างประเทศ ประดับติดบ้าน
  • ในบรรดาแก๊งเพื่อนโอลิมปิก เขาคือหนึ่งเดียวที่ยังไม่ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือเดินตามเส้นทางวิชาการจัดจ้านอย่างเพื่อนคนอื่นๆ แต่เป็นมาแล้วทั้งอาจารย์มัธยมสุดยีสต์ นักเขียน นักแปล ปัจจุบันเป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ในนามกลุ่ม WitCast 
ภาพ: ศิริโชค เลิศยะโส

ในซีรีส์ ‘รักที่จะ…’ เราออกไปพูดคุยกับวัยรุ่น อดีตวัยรุ่น และคนทำงานกับวัยรุ่นในประเด็นที่หลากหลายเพียงเพื่ออยากจะรู้ว่า ในวัยรุ่น เขาจะเปลี่ยนพลังที่พลุ่งพล่าน ไปสนใจเรื่องอะไร ไปหลงรักอะไร และด้วยเหตุผลอะไรบ้าง

‘รักการเรียน’ คือหัวข้อที่ผุดขึ้นท่ามกลางการสนทนาเพื่อถกเถียงหาประเด็น ที่เราสนใจ ‘เด็กเรียน’ เนื่องด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่ง-วัยรุ่นกับการเรียน มักไปด้วยกันไม่ค่อยได้ มันช่างน่าปวดหัว เรียนเพื่อจำ จำแล้วไปสอบ ชีวิตก็วนเวียนอยู่แค่นี้ และเพราะ สอง-เด็กวัยรุ่นที่รักการเรียน มักเป็น ‘เด็กเนิร์ด’ และคำนี้ดูจะเป็นคำที่ติดลบหน่อยๆ และเหมารวมนิดๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงคำว่า ‘รักการเรียน’ ถ้าจะไปให้สุดด้านวิชาการ ก็ต้องเป็น ‘นักเรียนโอลิมปิก’ สิ

The Potential จึงชวน แทนไท ประเสริฐกุล นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ผู้คว้าเหรียญทองแดง การแข่งขันชีววิทยาโอลิมปิกระหว่างประเทศ ปี 2539 อดีตครูพิเศษวิชาชีววิทยาโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง จนก่อเกิดเป็นเรื่องราวสุดยีสต์ ยวน ยูน (สำเนียงและคำติดปากของแทนไทในหนังสือ) เขาเป็นนักเขียน นักแปล และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งรายการ WitCast รายการเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วยช่องทาง Podcast เป็นหลัก

อยากเข้าใจว่า เหตุใดเขาจึงหลงใหลในวิทยาศาสตร์ จุดคลิกแบบไหนที่เปลี่ยนจากนักเรียนชีววิทยาทั่วไปให้กลายเป็นนักเรียนที่คว้ารางวัลเวทีวิชาการระดับโลก อะไรคือพลังที่ทำให้เขายังมุ่งมั่น อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำจนเดินถึงจุดที่เขาคาดหวังไว้ และอะไรคือความรักของเขาในวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เสื่อมคลาย

แต่คำตอบเบื้องต้นของแทนไทที่คล้ายกันในซีรีส์ ‘รักที่จะ…’ คือ เมื่อเห็น สัมผัส ได้เห็นความหลากหลายในโลกชีววิทยาแล้วก็ ‘โดนใจ’ และ ‘ขออ่านเพิ่ม’ และเมื่อได้รับการสนับสนุน เขาจึงใช้พลังหนุ่มสาวทุ่มไปกับมันอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

สิ่งหลักในชีวิตช่วงนี้คือ WitCast เป็นพื้นที่ของผมในการทำงานสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์ มีทั้งเพจเฟซบุ๊ค ออกไปจัดวงคุย ไปปรากฏตัวในงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานวิชาการ ร่วมงานในฐานะสื่อ หรือแม้แต่การจัดอีเวนต์ ตั้งหัวข้อขึ้นมาแล้วจัดงานทอล์คที่ TK Park บ้าง ตามมหาวิทยาลัยบ้าง

แต่หลักๆ Witcast เริ่มต้นจากเป็นรายการ Podcast พูดคุยเรื่องวิทยาศาสตร์อย่างเน้นเฮฮา ผู้จัดรายการเป็นเพื่อนกันสามคน คือ อาบัน (อาบัน สามัญชน) และคุณป๋องแป๋ง (อาจวรงค์ จันทมาศ) แต่ละคนต่างบุคลิกกันไป พอมาจัดรายการด้วยกันแล้วมันสนุก เราพูดคุยเรื่องวิทยาศาสตร์บ้าง ดราม่าชีวิตส่วนตัวบ้าง ใครไปเจอประสบการณ์อะไรก็เอามาแชร์ แต่ธีมหลักคือผู้ที่รักความรู้สายต่างๆ มานั่งคุยกัน

ก่อนหน้านี้คุณเคยเขียนหนังสือด้วย ปัจจุบันยังเขียนอยู่ไหมคะ

เล่มแรกคือ โลกนี้มันช่างยีสต์, โลกนี้มันช่างยุสต์, mimic เลียนแบบทำไม และ โลกจิต ซึ่งหลังจากโลกจิต ก็หมดแรงไปพักหนึ่งกับการเขียน เคยพยายามจะเริ่มคอลัมน์ใหม่ใน a day ด้วยแต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นก็หันมาเป็นนักแปลอยู่พักใหญ่ คือมีหนังสือนิยายและความรู้วิทยาศาสตร์ ประมาณสี่ห้าเล่ม แปลปีละเล่มๆ เรื่อยมา แล้วก็เหนื่อยกับการแปล (หัวเราะ) เลยเปลี่ยนมาจัดรายการแทน

และตอนนี้ก็ยังถือว่าตัวเองเป็นนักเรียนปริญญาเอก พยายามจะตีพิมพ์ผลงาน  ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะได้ตีพิมพ์ปีนี้

ชื่อหัวข้อธีสิสคืออะไร

คือ ‘พฤติกรรมการรวมกลุ่มของหิ่งห้อย’ การจับคู่ผสมพันธ์ของหิ่งห้อย แบบที่เราชอบนั่งเรือไปดูกันที่อัมพวา

ทำไมถึงหลงใหลในชีววิทยาขนาดนี้ และถ้าดูจากหัวข้อใน WitCast หรือธีสิสปริญญาเอกของคุณมักจะเกี่ยวกับการผสมพันธุ์พืชและสัตว์หน่อยๆ

อันดับแรก ผมไม่ได้หมกมุ่นเรื่องการผสมพันธุ์สัตว์ อันนี้ต้องขอแก้ข่าว (หัวเราะ) ผมแค่รู้สึกว่าพอยกประเด็นขึ้นมานำแล้วมันเฮฮาดี แต่จริงๆ มันมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ

แซวเล่นค่ะ ถามใหม่แบบจริงจัง จุดเริ่มต้นของความรักในชีววิทยา มุ่งมั่นจนเป็นนักเรียนโอลิมปิกอยู่ตรงไหน

คือตั้งแต่เด็ก เริ่มจากการได้เห็นอะไรแปลกๆ แล้วเราอยากรู้ว่าในโลกนี้มันมีตัวอะไรบ้าง ลักษณะเดียวกับผู้หญิงอยากรู้ว่าเครื่องสำอางมีกี่รุ่น อะไรบ้าง ซึ่งผมก็อยากรู้ว่าปลาทะเลมันมีรุ่นอะไรบ้าง

ซึ่งเยอะมาก

เยอะ แล้วเราก็จะแบบ อ๋อ… รุ่นนี้มันต่างกับรุ่นนี้แบบนี้นะ

รุ่นนี้มันครีบเหลือง ตัวนี้มีจุด มีปลาตัวใหญ่ยาว 30 เมตร จนถึงปลาตัวเล็กกระจิ๋วหลิว พอได้เห็นแคตตาล็อกทั้งหมด เรารู้สึกว่ามันตื่นตาตื่นใจ มีอะไรแปลกกว่าคนทั่วไปเยอะเลย

เปรียบเทียบกับตัวเราเอง เวลาที่ไปโอเชียนเวิลด์ ไปสวนสัตว์ ได้เห็นความหลากหลายทางธรรมชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมในหนังสือเรียน เราอาจจะแค่ ‘ว้าว’ แล้วก็ไปสนใจเรื่องอื่น เรื่องที่ตัวเองรู้สึกคลิกและสนใจมากกว่า จุดคลิกของคุณในทางชีววิทยาคืออะไร จุดไหนที่เปลี่ยนจากนักเรียนสายวิทย์ ไปเป็นนักเรียนชีววิทยาโอลิมปิก

จริงๆ ผมไม่ได้ต่างจากเด็กเหล่านั้นเลย ที่ต่างคือ พอผมโตขึ้นมาแล้วผมได้เรียนชีวะ ถึงได้เข้าใจว่ามันมีเหตุผลเบื้องหลังความหลากหลายนั้น

ทำไมปลาตัวนี้แบน ตัวนี้สีสวย ทำไมตัวนี้มีหงอน หรืออะไรก็แล้วแต่ อวัยวะและระบบภายในทุกอย่างมันมีคำอธิบายเบื้องหลัง ทั้งคำอธิบายในแง่ว่ามันทำงานยังไง เรานั่งอยู่เราก็หายใจไปเรื่อยๆ แต่เราไม่ทันได้คิดเลยว่า เรากำลังขยับกล้ามเนื้อ สูบเอาลมเข้าไปเพื่อไปแตกแขนงในท่อหลอดลม แล้วมันไปทำอะไรต่อ? มันไปเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาได้ยังไง เอาออกซิเจนมาได้ยังไง มันเป็นคำอธิบายในระดับที่ว่า เหมือนเราเปิดเครื่องยนต์รถออกมาดูแล้วเข้าใจว่า แต่ละส่วนคืออะไร อันนี้คือระดับหนึ่ง

แต่อันนี้ก็ยังไม่ใช่ระดับที่โดนใจผมอยู่ดี เพราะถ้าโดนใจระดับนี้ ผมอาจจะไปเป็นหมอหรืออาชีพอื่นๆ ที่เด็กเรียนเก่งจะเป็น ที่มันโดนใจผมมากที่สุดตอนเรียนชีวะลึกไปเรื่อยๆ คือคำอธิบายในระดับวิวัฒนาการ มันทำให้เราเห็นว่า หนึ่ง ทุกชีวิตเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่แบคทีเรีย กล้วย ช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกัน มันน่ามหัศจรรย์ที่เราได้เห็นเครือญาตินี้

อีกเรื่องคือ มันตอบคำถามว่า ชีวิตที่เราเห็นทั้งหลายแหล่ ทำไมจึงเป็นอย่างที่มันเป็น มันลึกซึ้งในระดับที่ว่า ตอนนี้เรานั่งอยู่ในสวน เราเห็นใบไม้บางใบมีลักษณะใหญ่ บางอันเป็นแฉก ใครเป็นคนออกแบบ เกิดมาแล้วมันรู้ได้ยังไงว่าต้องเป็นแบบนี้ ข้อมูลเหล่านั้นใครเป็นคนเขียน มันกลายเป็นคำถามที่ผมรู้สึกว่าวิชานี้มันลึกซึ้ง

นอกจาก ‘คำถาม’ ที่คุณรู้สึกว่ามัน ‘ลึกซึ้ง’ อะไรอีกที่เปลี่ยนนักเรียนสายวิทย์ที่ชอบวิชาชีววิทยา ให้กลายเป็นนักเรียนโอลิมปิก

เอาจริงๆ ก็ไม่เคยตอบคำถามนี้เหมือนกันนะ แต่จะลองลิสต์ๆ ดู อาจจะเป็นเพราะผมโชคดีได้รับอิทธิพลจากหลายๆ ทิศทางด้วย

หนึ่ง ที่บ้านผมไม่ค่อยเคร่งครัดว่าลูกต้องจบมาประกอบอาชีพอะไร จงเรียนไปตามความอยากรู้ของตัวเอง ผมเลยไม่เคยโดนกดดันว่า ต้องมาเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรที่เด็กเก่งๆ เขาต้องเป็นกัน เอาเข้าจริงผมเป็นเด็กเรียนปานกลางนะ แต่มีความอินเฉพาะด้าน ถ้าให้ไปทำโจทย์เลข ผมจะห่วย แต่ผมมีความอยากรู้ อยากจะอ่านชีวะมากกว่าคนอื่นที่เขาเรียนกันเฉยๆ เราเรียนแล้วอยากจะแบบ… ขอดูเพิ่มๆ นะ

สอง ผมได้ไปเข้าโครงการโอลิมปิก หมายความว่าเด็กมัธยมปลาย จะได้ไปเรียนกับอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับหลักสูตรของเด็กปีหนึ่งปีสอง ตั้งแต่ ม.4 ม.5 เลย พอไปเจออาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย เวลาที่เขาสอน เขาบิวด์ให้เราอินได้มากกว่าเรียนในห้องเรียนมัธยม หลังจากคลาสในมหาวิทยาลัย กลับมาก็อ่าน Text Book อ่านตำราเมืองนอก ทำให้เราเห็นการบรรยายอะไรต่างๆ ที่ลึกซึ้งกว่าตำราเรียนในบ้านเรา

ได้รับอิทธิพลจากหนังสือฝรั่งต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ตำราเรียน แต่เป็นหนังสืออย่างของริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman) นักฟิสิกส์ผู้โด่งดังและเขาก็มีบุคลิกที่เท่มาก ชอบเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวต่างๆ สอดแทรกความคิดมุมมองของเขาและอธิบายข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไปด้วย

ทำให้เราเริ่มซึมซับแนวคิดที่มาจากต่างประเทศ เป็นแนวคิดที่ไม่ได้มาจากระบบการศึกษาไทย ทำให้รู้ว่าการเรียนรู้เรื่องพวกนี้ เขาไม่ได้เรียนไปสอบ ไม่ได้เรียนเพื่อไปประกอบอาชีพที่ดูว่าจะได้เงินเดือนเท่าไร แต่เขาเรียนเพื่อไขปริศนาจักรวาล นั่นคือสปิริตของความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ผมชอบ

‘สปิริตของนักวิทยาศาสตร์’ คำนี้มันลึกซึ้งมากเลย

เออ อันนี้ผมเพิ่งพูดตะกี๊นี้เลย ไม่เคยพูดคำนี้มาก่อนเลยครับ (หัวเราะ)

กลับไปช่วงที่คุณเข้าคอร์สโอลิมปิกตั้งแต่ ม.4 ม.5 ไม่หนักเกินไปสำหรับเด็กวัยนั้นหรือ

อธิบายก่อนว่าไม่ใช่กรณีลูกถูกพ่อแม่บังคับให้ไปเรียนเปียโน หรือบัลเล่ต์ แต่เป็นเพราะลูกชอบเอง อยากเรียนเพิ่มเอง แล้วก็อินเอง และพ่อแม่สนับสนุนด้วย

เอาจริงๆ ผมแทบจะจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่กิจวัตรคือเรียนเช้าจรดเย็น กลับมากินข้าวพักผ่อนหน่อย แล้วกลางคืนก็อ่านหนังสือต่อ แต่ถ้าเป็นผมตอนนี้ ให้กลับไปอ่านหนักขนาดนั้นไหม ผมตอบเลยว่าไม่มีแรง (หัวเราะ) ทุกวันนี้ผมยังหาเวลาอ่านยากเลย แต่เด็กคนนั้นมันฟิต และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เพื่อนทุกคนก็ฟิตเหมือนกัน และไม่มีใครมีเฟซบุ๊ค

พอพูดถึงคำว่า ‘โอลิมปิก’ มันให้ความรู้สึกของเด็กที่เรียนอย่างหนัก ไม่ได้กิน ไมได้นอน เครียด กดดัน เป็นการแข่งขันขั้นกว่าการสอบปกติ

เท่าที่จำได้คือไม่กดดันเลย สนุกเสียส่วนใหญ่ ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ เยอะแยะ วิชาที่เรียนก็ตื่นเต้นกับมัน หนังสือที่อ่านก็อินกับมัน

ไม่ได้คิดว่าจะต้องสอบให้ผ่าน ต้องได้เหรียญ คิดแค่ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นมากกว่า ที่สำคัญกว่าคืออยากเข้าใจตัววิชาให้แตกฉานมากกว่าอยากทำข้อสอบ

แก๊งเด็กโอลิมปิก เหมือนหรือต่างจากแก๊งวัยรุ่นอื่นๆ

ผมก็ไม่รู้ว่าวิธีแบ่งเวลาตอนวัยรุ่นนี่มีเคล็ดลับยังไงนะ แต่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกเหมือนได้ทำครบทุกอย่าง เล่นบาสทุกเย็น กลางคืนเล่นไพ่ ว่างอ่านการ์ตูน จีบสาวก็จีบ เพลงก็ฟัง หนังก็ดู เพื่อนก็เยอะ ทำทั้งหมดนี้ได้ทั้งๆ ที่มุ่งอ่านหนังสือเรียนไปด้วย เอาจริงๆ อยากกลับไปให้ ‘มัน’ หมายถึงตัวเองวัยหนุ่ม สอนเหมือนกันนะ ทุกวันนี้กลับแทบไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย

คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเชื่อมตัวเองกับวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ไปไม่ถึง

วิทยาศาสตร์มันมีเวอร์ชั่นจัดเต็ม แบบ… (เอามือตบเข่า) เอาจริงแล้วนะ อันนี้จะยาก แต่มันจะมีอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันกลมกล่อมได้ คือได้ทั้งความรู้ ความสนุก เอามาคิดต่อกับสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นในชีวิตได้เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่จำเป็นต้องท่องสูตรสมการ ต้องท่องศัพท์ ซึ่งอันนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ขาดหายไปในสังคม

เหมือนว่าสังคมเรามีสองระดับ ระดับที่หนึ่งคือ ‘น้องๆ หนูๆ ครับ วันนี้เรามาดูไดโนเสาร์กันเถอะ’ กับอีกระดับหนึ่งคือสัมมนาวิชาการ ไมโทคอนเดรีย เอ็กซ์ตราสเปเชียลไลฟ์ ไมโครทิวบลูอะไรไปเลย คือมันไม่มีช่วงกลางๆ

ในฐานะที่คุณเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นอดีตอาจารย์อยู่ช่วงหนึ่ง คิดว่าปัญหาของการศึกษาบ้านเราอยู่ที่ตรงไหน

ผมว่ามันเอาความโรแมนติกออกจากความรู้ จริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์เป็นอะไรที่โรแมนติกมาก เช่น มันมีนิทานคลาสสิกของฝั่งวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับดวงดาว เวลาที่นั่งดูดาวแล้วคิดคำนึงไปว่า

จักรวาลนี้มีดวงดาวมากมาย กว่าแสงจะเดินทางมาถึงเรามันช่างยาวไกล ภาพที่เดินทางมาถึงเรามันคือภาพในอดีต บางทีเป็นล้านปี เป็นพันล้านปี ถ้าเกิดคนที่อยู่ฝั่งนู้นมองมาที่โลกตอนนี้ เขาก็ไม่เห็นเรานะ เพราะเขาจะเห็นภาพในอดีต ตอนนี้เขายังเห็นคุณลุงไดโนเสาร์ หรือคุณปู่อะมีบาหรืออะไรที่เป็นโลกในอดีตอยู่

คิดต่อไปได้ว่า จริงๆ ดาวฤกษ์ทั้งหลาย คือสสารที่ตายแล้ว เพราะตอนที่ดาวฤกษ์เผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หมดแล้วมันก็จะระเบิดใช่มั้ย? ตอนระเบิดนี่แหละ มันจะรุนแรงมาก จะก่อให้เกิดธาตุต่างๆ เช่น คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน และธาตุเหล่านั้นก็ลอยไปในอากาศ สุดท้ายแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงปั่นให้มันดูดกลับมาอีกรอบหนึ่ง (ทำท่าปั่นสสาร) กลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ ดาวเคราะห์ดวงใหม่ แล้วก็กลายเป็นพวกเรานี่แหละ หมายถึงว่าเราเนี่ย… ก็มาจากละอองดาว

แล้วเวลาที่เรามองไป ดาวพวกนี้ไม่เคยรู้เลยนะว่าสักวันหนึ่งมันจะกลายมาเป็นเรา คือมันจะมีนิทานซึ่ง base on ความจริงที่เล่าแล้วปลุกจิตวิญญาณความโรแมนติกแบบนี้เยอะและแทบจะอยู่ในทุกแขนงของวิทยาศาสตร์เลย แต่มันถูกออกจากหนังสือเรียนหมด

ในหนังสือเรียนของเราคือ คุณต้องรู้ว่าดาวฤกษ์คลาส A ประกอบด้วยไฮโดนเจนกี่เปอร์เซ็นต์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์แบ่งออกเป็นฟิชชั่น ฟิวชั่น แตกตัวได้ไอออน ได้โปรตอนเท่านั้น่

เสมือนการให้คุณไปวาดรูปศิลปะแล้วให้ท่องจำเบอร์สี ว่าเบอร์ที่แวนโก๊ะใช้คือเบอร์ไหนแล้วก็จิ้มตาม มันคือการเอาความคิดสร้างสรรค์หรือแก่นของศิลปะออกไปใช่มั้ย? วิทยาศาสตร์ก็ถูกทำเช่นนั้นในหลักสูตรบ้านเรา

ทำไมเราไม่ได้เรียนอะไรแบบนี้ในห้องเรียน!

แต่จริงๆ จะไปว่าเขาทั้งหมดแบบนั้นก็เว่อร์ไป (หัวเราะ) เขาก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น แต่หมายความว่า เมื่อเทียบกับเมืองนอกที่เขามีความเป็นมาทางวิทยาศาสตร์หลายรุ่นยาวนาน จิตวิญญาณแบบนั้นของเขายังอยู่

คือถ้าถามเด็กไทยว่า รู้ไหมว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ผมว่าเด็กไทยตอบได้มากกว่าเด็กอเมริกา เพราะถ้าเด็กบ้านเขาไม่เอาก็คือไม่เอาเลย แต่คนที่เอา ก็เป็นผู้นำของโลกไปเลย

อะไรที่ทำให้เรารู้ว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่เราไม่อิน

การสอบ (ตอบทันที) จบเลย ซึ่งถ้าถามว่าไม่ต้องสอบได้มั้ย มันก็ไม่ได้อีกอะเนอะ แต่มันเหมือนว่า จุดมุ่งหมายปลายทางไม่ควรจะเป็นการสอบ แต่จุดมุ่งหมายต้องอยู่ตั้งแต่ตอนที่เรียนแล้วว่าอินหรือไม่อิน

การสอบและบรรยากาศว่า ‘เพื่อจบไปแล้วจะไปทำอาชีพอะไร’ ‘เพื่อได้เงินเดือนเท่าไร’ บรรยากาศตรงนี้ไม่ใช่ว่าไม่ควรมีเลยนะ แต่มันมีเยอะไป มันมากลบอย่างอื่นหมด

เพราะครูไม่อินด้วยรึเปล่า เลยเหมือนเป็นวงจร

จริง วงจรนี่ก็น่าจะนูโวนะ ถ้าจำไม่ผิด (เงียบและแป้ก…) ใช่ๆ คือ คนที่ถูกเทรนให้มาเป็นครูก็ไม่ได้ถูกเทรนให้รู้ในระดับลึกซึ้งอะไร มาสอนเด็กก็ไม่สามารถทำให้เด็กอินได้ ก็เป็นวงจรไปแบบนี้

จึงเป็นเหตุผลให้คุณสมัครเป็นครูในโรงเรียนมัธยมอยู่ช่วงหนึ่ง?

จริงๆ แล้วเป็นเรื่องโชคชะตาที่เราไม่ได้วางแผน ‘เบร้อ’ อะไร (‘เบร้อ’ คำติดปากของแทนไท เมื่อก่อนเขามีคำติดปากว่า ‘ยีสต์’ ติดตามความ ‘ยีสต์’ ได้ในหนังสือ ‘โลกนี้มันช่างยีสต์’) เหมือนมันเป็นใบไม้ใบหนึ่งที่ลอยไปตามน้ำ เพียงแต่มันลอยไปติดตรงไหน เราก็ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด

กรณีนี้คือ ผมสมัครปริญญาโท-เอกที่เมืองนอกไม่ติด ถูกบังคับให้กลับมาเรียนต่อในไทย อยู่บ้านนานๆ แม่ก็ด่า ทำไมไม่ออกไปหาการหางานทำบ้าง เราก็ออกไปหาการหางานทำ ตอนแรกไปสอนพิเศษ เป็นติวเตอร์นู่นนี่ แล้วก็มีเพื่อนมาทาบทามว่า โรงเรียนนี้มีตำแหน่งว่างอยู่พอดีนะ ต้องการคนด่วน ผม… ซึ่งตอนนั้นเส้นผมเป็นสีทองแบบโอนิซึกะ (GTO) เลย รู้สึกว่าอะไรก็เอาทั้งนั้น เป็นช่วงกล้าเผชิญชีวิต คือถ้าเป็นตอนนี้ก็อาจจะคิดเยอะมากกว่า ก็สมัครเข้าไป ไม่คิดอะไรมาก ขณะเดียวกันก็มีความคิดแบบขบถว่า เราจะสอนธรรมดาไม่ได้ เราจะต้องแนว ต้องสร้างความหวือหวาในโรงเรียน ก็ได้เกิดเป็นเรื่องราวที่สนุกสนานขึ้นมา

แต่อันนั้นคือโชคชะตาพลิกผันไป แต่ยังไงๆ ชาตินี้ ไม่ว่าจะอยู่เมืองนอก อยู่เมืองไทย จะเรียนจบหรือไม่จบ ยังไงก็ต้องทำสิ่งนี้ต่อไป คือการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่ได้เล่าในโรงเรียน ก็มาจัดรายการแทน ตรงนี้เป็นค่าคงที่ของผม

ซึ่งก็คือการสื่อสาร

WitCast เป็นบทสนทนาของเพื่อนที่อินเรื่องอะไรสักอย่างแล้วเราได้มานั่งฟังด้วย เหมือนการตั้งวงนั่งคุย จะไม่ใช่อารมณ์ว่า เอาล่ะ… เรามาปูพื้นฐานวิทยาศาสตร์เรื่องนี้ๆ กันนะ

แต่เหมือนเป็นชุมชน เป็น community ซึ่งอาจจะเป็นคนที่สนใจวิทยาศาสตร์มาก่อนตั้งแต่แรก แล้วในที่สุดก็เจอเพื่อนแล้วโว้ย (เสียงไชโย) หรืออาจจะเป็นคนไม่เคยสนใจเลย แล้วก็ เฮ้ย… มันมีโลกนี้อยู่ด้วยเหรอ แล้วจึงค่อยๆ กระดึ๊บเข้ามา อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน

กลุ่มเป้าหมายของ WitCast จึงเป็นครึ่งๆ ครึ่งหนึ่งคือคนที่เรียนวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ อยู่แล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้ มักจะชอบฟังหรืออินกับสาขาที่ตัวเองไม่ได้เรียนอยู่ กับอีกครึ่งหนึ่งคือคนที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์เลย แฟนที่เหนียวแน่นที่สุดคนหนึ่งของ WitCast เป็นอาจารย์สอนปั้นหม้อที่เชียงราย

หมายถึงว่าคนคนหนึ่ง มิติในสิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เรียนมา สิ่งที่เขาทำงาน ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างเดียวแล้วหยุดแค่นั้น หลายๆ คนอยากจะเรียนรู้ต่อจนข้ามไปสู่ความคิดประมาณว่า ‘สมัยก่อนไม่เคยเรียนวิทยาศาสตร์เลย แต่อยากรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง’ การฟัง WitCast อาจจะตอบโจทย์ตรงนี้

ธงหรือเป้าหมายของ WitCast คืออะไร มีอุดมการณ์เบื้องหลังสิ่งนี้ไหม

ผมมักจะเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับดนตรี ไม่ว่าจะเพศไหน วัยไหนก็ฟังเพลงได้ คือมีเพลง มีดนตรีที่ชอบและศิลปะหลายๆ แขนง รวมถึงละครไทยไปด้วย ยังได้แทรกอยู่ในสังคม คือมอบอะไรให้เราหลายอย่าง รวมทั้งอารมณ์ วิทยาศาสตร์ควรเอามาทำให้เป็นดนตรีที่แทรกอยู่ในสังคมเช่นกัน

และไม่ใช่ว่าการสื่อสารวิทยาศาสตร์แบบนี้ เราเป็นประเทศแรกที่ทำ มีหลายประเทศที่เป็นแบบนี้ ซึ่งผมอยากทำให้ประเทศเราเป็นแบบนั้นบ้าง เช่น เปิดทีวีมาแล้วเจอรายการที่เล่าความรู้วิทยาศาสตร์อย่างสนุกสนาน เข้าร้านหนังสือไปเจอกำแพงหนังสือวิทยาศาสตร์ วันนี้เรามาสนใจเรื่องสมองดีมั้ย หรือเราจะสนใจเรื่อง (หยุดคิด) วันนี้คนกำลังสนใจเรื่องเสือดำกันอยู่ใช่มั้ย ไหนลองหยิบมาอ่านซิ

คือถ้าเป็นเมืองนอกจะเป็นแบบนี้ มีหนังสือแนว Popular Science หรือวิทยาศาสตร์เพื่อประชาชน มีทุกหัวข้อที่สนใจและหาอ่านได้ และการอ่านในที่นี้ไม่ใช่การอ่านเพื่อเอาไปสอบ เคร่งเครียด แค่เป็นคนที่อยากได้ความรู้ อ่านหนังสือพวกนี้ในยามว่าง นั่งในสวน จิบกาแฟอ่าน อ่านเพื่อความผ่อนคลายอย่างหนึ่ง

ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่เติมบรรยากาศแบบนี้ในสังคมเรา แต่ WitCast เน้น  Audio Content มากกว่า

คิดว่ามีปัจจัยอะไรอีกมั้ย ไม่ว่าจะมีคาแรคเตอร์แบบไหน ที่ทำให้วิทยาศาสตร์เข้าถึงเด็กๆ ได้

ทำวิทยาศาสตร์ให้เป็นเรื่องสนุก ขณะเดียวกันก็ดึงมันไปสู่ความลึกซึ้งได้ด้วย แล้วก็เป็นบรรยากาศที่ไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นการเสพความรู้ เหมือนไปกินขนมหวาน กินเค้ก อย่างคนที่ฟัง WitCast จบก็จะมาคอมเมนต์ว่า ตอนนี้ฟินมากเลย ซึ่งเราอาจค่อยๆ กระจายความสนุกนี้ให้คนอื่นได้ร่วมอินด้วยได้ แต่ไม่ใช่ภาคบังคับ คุณต้องมาฟังนะ

และคิดว่าการเทรนผู้สอนคงเรื่องหนึ่ง แต่พวกนอกห้องเรียน เช่น สื่อต่างๆ ถ้ามีรายการทีวีก็ต้องดันให้สนุก มีไอดอลสายวิทยาศาสตร์อย่างคุณเฌอปราง (เฌอปราง อารีย์กุล ไอดอลวง BNK48) ก็ต้องช่วยกันดัน

คุณก็เป็นแฟนคลับด้วย?

ก็แบบ ‘แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย’ มีคนเชียร์ให้คุณเฌอเปรางมาออก WitCast ถ้าได้มาจริงๆ ก็จะดีมากเลย ถ้าคุณเฌอปรางอ่านอยู่แล้วอยากจะมาช่วยสื่อสารวิทยาศาสตร์ ผมคิดว่าช่องทางนี้เป็นช่องทางที่เหมาะสมนะครับ

อะ… ต่อเลยค่ะ ^^ เมื่อกี๊ถึงตอนที่ว่า ต้องดันทุกสื่อให้สนุก

คือถ้าช่องทางบันเทิงทุกอย่าง หนัง สารคดี ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หมายความว่าการเรียนในห้องเรียนคือเรียนเพื่อเอารายละเอียดและการฝึกเทคนิคในเพื่อเข้าใจและจำ แต่พอออกไปนอกห้องเรียน ก็ต้องมีความโรแมนติกของความรู้ ได้เห็นไอดอล ได้อินกับหนังสือที่ดึงให้เราคิดต่อจาก fact หรือข้อเท็จจริงที่ได้รับมา ผมว่ามันควรสนับสนุนแนวนี้

คำถามสุดท้ายแล้วค่ะ เคยคิดไหมว่า ถ้าไม่รักวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่ได้โอลิมปิกวันนั้น ชีวิตเราจะไปทางไหน

ผมว่าผมคงไปเป็นนักร้อง (หัวเราะ) คือจริงๆ ผมมีความอาร์ตอยู่ในตัวแบบที่ไม่ได้รับการเพาะบ่มเท่ากับสายวิทย์ แต่เป็นหน่ออยู่ คือผมชอบวาดภาพ แต่งเนื้อเพลง ซึ่งถ้าไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะเหล่านี้ เช่น การวาดรูป วาดการ์ตูนอาจได้รับการพัฒนา อาจจะเป็นนักเขียนการ์ตูน

Tags:

หนังสือศิลปินแทนไท ประเสิรฐกุลระบบการศึกษา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Early childhoodBook
    พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    หนังสือ ‘WIZES’ เสกการท่องจำเป็นเข้าใจด้วย INFOGRAPHIC

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย
Character building
27 February 2018

เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

เรื่อง The Potential

  • จากเด็กที่ว่างเป็นเล่นเกม กลายเป็นเด็กช่างสงสัยและลงไปทำงานช่วยแม่ช่วยชุมชน
  • ไม่ต้องเสียเงินให้กับคอร์สเรียนไหนๆ ‘ทักษะชีวิต’ ของเด็กก็สร้างได้ ขอแค่มีใจและลงมือทำ
  • สำคัญคือพ่อแม่ – แค่ทำหน้าที่กองหลังชั้นดี

สำหรับบางคน ‘โอกาส’ คือสิ่งที่ได้มาฟรีๆ แต่อีกหลายคนต้องทุ่มไม่รู้กี่หน้าตักกว่าจะได้มาสัก 1 ครั้ง

โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ อะไรก็ตามที่สร้างโอกาสให้ลูก แม้เพียงน้อยนิด ถ้าพอมีกำลังก็ไม่เสียเวลาคิดนาน ขอแค่ให้ลูกมีความสามารถและทักษะสองสามอย่างติดตัวก็ยังดี

หากทักษะอย่างหนึ่งซึ่งรวย-จนไม่อาจซื้อได้ แต่แลกได้โดยใช้ตัวและประสบการณ์ เพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘ทักษะชีวิต’ ที่จะทำให้เด็กๆ สามารถรับมือกับปัญหา อุปสรรคที่จะผ่านเข้ามา ปรับตัวอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างเป็นสุข และทำตัวเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม

คุณแม่ลูก 4 คนหนึ่งพิสูจน์มาแล้ว

วันเพ็ญ ยากำจัด

แม่ผู้คิดต่าง

วันเพ็ญ ยากำจัด เกษตรกรในตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี และเป็นแม่ของลูก 4 คน เธอไม่ต่างจากแม่ทั่วไปที่ห่วงและกังวล เวลาเห็นลูกใช้เวลาว่างหมดไปกับการเล่นเกม และเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหลังกลับจากโรงเรียนและในวันหยุด ทั้งที่ตัวเธอเองทุ่มเททำงานเพื่อชุมชนในการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย

“เมื่อก่อนเราไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับงานชุมชน แต่พอพ่อของเราตั้งคำถามว่า เขาทำอะไรกันรู้ไหม เราก็เลยลองไปดู ไปช่วย จนเรามีความรู้เพราะลงมือทำมานาน เวลาชาวบ้านคนอื่นมาถามว่าทำไมวันนี้น้ำไม่ไหล น้ำไม่พอ เราตอบได้ทันที และทำให้รู้สึกว่า ชาวบ้านคนอื่นเขาให้การยอมรับว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ทำงานช่วยชุมชน มีความรู้เรื่องชุมชน อีกอย่างที่นี่เป็นบ้านของเราด้วย ทำแล้วสุดท้ายประโยชน์ก็ตกกับครอบครัว ชุมชนของเรา ตัวเราเองก็มีความสุขที่ได้ทำเพื่อบ้านของเรา”

แน่นอน เธอเรียนรู้แล้วว่าการเรียนรู้จากการลงมือทำ ได้สัมผัสสถานการณ์จริงนั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เธอได้ แต่ความภูมิใจของวันเพ็ญกลับได้รับการตั้งคำถามจากลูกว่า “ทำไปทำไม ทำแล้วก็ไม่ได้เงิน”

คำพูดจากคนใกล้ตัวประโยคนี้ทำให้วันเพ็ญเจ็บปวดมาก แม้จะพยายามอธิบาย ลูกก็ไม่รับฟัง ทว่าด้วยความเชื่อมั่นในการเรียนรู้จากการลงมือทำ วันเพ็ญจึงเดินหน้างานของเธอต่อ พร้อมกับพยายามมองหา “โอกาส” ที่นอกเหนือจากวิชาความรู้ที่ได้จากการเรียนในห้องเรียน ซึ่งจะสร้างการเรียนรู้ให้ลูกเกิดทักษะการทำงาน การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และมีความเสียสละ

กุ้ง-อภิสิทธ์ ยากำจัด

กระทั่งวันเพ็ญได้รับฟังเพื่อนที่ทำงานเพื่อชุมชนด้วยกันเล่าถึง โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก โครงการที่เปิดพื้นที่ให้เด็กทำโครงการพัฒนาหรือแก้ปัญหาในชุมชนบ้านเกิด โดยเน้นให้เด็กเป็นคนคิด แล้วลงมือทำจริงด้วยตัวเองทั้งหมด วันเพ็ญจึงเห็นว่านี่อาจเป็นโอกาสพัฒนาลูกที่เธอกำลังมองหา แต่การผลักดันลูกครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะแรงต้านที่มีอยู่แล้วของเด็กๆ วันเพ็ญจึงตัดสินใจจ้างลูกคนเล็ก 2 คน คือ กบ-วนิตา ยากำจัด และกุ้ง-อภิสิทธ์ ยากำจัด ตามรายได้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ให้ลองไปเข้าร่วมประชุมด้วยความหวังว่าอย่างน้อยลูกจะได้เห็นว่าเขาทำอะไรกัน

หลังกลับจากการประชุม สิ่งที่วันเพ็ญได้รับฟังจากลูกกลับเกินคาดกว่าที่เธอคิด “พอเขากลับจากประชุม เขาก็บอกว่า แม่ไม่ต้องจ้างแล้ว ไม่เอาเงินแล้ว เพราะความรู้ที่ได้มีค่ามากกว่าเงินที่แม่ให้อีก” วันเพ็ญบอกว่านั่นเป็นคำพูดแรกจากลูกที่ทำให้รู้สึกตื้นตันใจและมีกำลังใจที่จะส่งเสริมลูกต่อ

กบ ผู้เป็นลูกสาวเล่าว่า กิจกรรมที่เธอได้เข้าร่วมเป็นเวทีที่พี่เลี้ยงชุมชนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการและให้ลองลงมือเก็บข้อมูลทุนที่มีในชุมชน จากตอนแรกที่กบคิดว่าเรื่องที่จะไปฟังคงเป็นเรื่องของแม่ เรื่องของชุมชนเท่านั้น แต่เธอกลับได้รู้จักชุมชนมากขึ้น ได้เรียนรู้การพูดคุยชาวบ้านและคิดวิเคราะห์คำตอบ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเอง

กบ-วนิตา ยากำจัด

บทเรียนที่ลูกได้

หลังจากเห็นประโยชน์ของการทำกิจกรรมในโครงการ กบและกุ้งจึงเต็มใจที่จะไปทำกิจกรรมครั้งต่อมา กระทั่งเกิดเป็น “โครงการน้ำต่อชีวิต” ที่เด็กๆ ตั้งเป้าหมายว่าอยากเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำร่วมกับทีมผู้ใหญ่ แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปเผยแพร่แก่คนในชุมชน เพื่อตอกย้ำให้ชาวบ้านเข้าใจสถานการณ์การใช้น้ำของชุมชนจากอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย

เงื่อนไขสำคัญหนึ่งในกระบวนการทำงานของโครงการพลังเด็กและเยาวชนฯ คือการลงพื้นที่เก็บข้อมูลชุมชนจากคนในชุมชน เพื่อให้เด็กรู้จักชุมชนตัวเองมากขึ้นทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นและสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในชุมชน แล้วนำมาเป็นโจทย์หรือปัจจัยสนับสนุนการทำโครงการ โดยการลงพื้นที่ของกบ กุ้งและเพื่อนๆ จะเป็นการเก็บข้อมูลประวัติความเป็นมาของชุมชน วิถีชีวิต อาชีพ รวมถึงสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ทั้ง 14 หมู่บ้าน ซึ่งเด็กๆ ได้รับความร่วมมือค่อนข้างดีจากคนส่วนใหญ่ในชุมชน กบเล่าว่า

“การลงพื้นที่เก็บข้อมูลทำให้เราได้รู้ที่มาที่ไปของชุมชน อาชีพของคนในชุมชน และสภาพภูมิประเทศ เส้นทางน้ำของตำบลด้วย แต่สิ่งที่หนูคิดว่าได้กับตัวหนูมาก คือทำให้เราได้คุยกับคนในชุมชนมากขึ้น ได้รู้จักคนในชุมชนว่าใครเป็นใคร ทั้งที่บ้านเราอยู่ห่างกันไม่มาก แต่เมื่อก่อนกลับไม่ได้พูดคุยกันเลย”

นอกจากได้เรียนรู้ผ่านการทำงานในชุมชนแล้ว เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ร่วมกับเพื่อนทีมอื่นในโครงการพลังเด็กและเยาวชนฯ ในเวทีเวิร์คช็อปที่ช่วยเติมศักยภาพและทักษะเรื่องต่างๆ เช่น การปลูกฝังสำนึกพลเมือง การฝึกทักษะการบริหารจัดการโครงการ ทักษะการพูดและการนำเสนอ มนุษยสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ผ่านการทำกิจกรรมสันทนาการ การเล่นเกม การคิดวิเคราะห์ตามโจทย์ในแต่ละครั้ง แล้วนำเสนอให้เพื่อนๆ และพี่เลี้ยงฟังเด็กๆ ทำให้กบและกุ้งได้พัฒนาตัวเองไปทีละขั้น

“เวทีเวิร์คช็อปช่วยพัฒนาศักยภาพของหนูขึ้นทีละนิด จากไม่เคยกล้าพูดเลย ก็กล้ากลับมาพูดที่บ้าน เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าได้ไปทำอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มกล้าจับไมค์พูดในเวทีคืนข้อมูลที่เราจัดในชุมชน เหมือนกับว่าเราไปเก็บเกี่ยวความรู้และฝึกฝนตัวเองจากเวทีเวิร์คช็อป แล้วนำสิ่งที่ได้กลับมาลองใช้จริงที่ชุมชน”

ครอบครัวหัวใจเดียวกัน

ผลสำเร็จของโครงการน้ำต่อชีวิตเผยชัดเจนใน “เวทีคืนข้อมูลให้ชุมชน” ที่เด็กๆ ได้นำข้อมูลจากการลงพื้นที่ในชุมชนมาถ่ายทอดกิจกรรมให้ชาวบ้านด้วยความมั่นใจ เพราะผ่านการฝึกฝนทักษะการพูด การนำเสนอ และมีความรู้ที่เข้าใจจากการลงมือทำจริง โดยเด็กๆ ได้สร้างสรรค์เกมชื่อ “เติมให้เต็ม” ผู้ใหญ่เล่นได้เด็กก็สนุก

เนื้อหาของเกมสื่อถึงพฤติกรรมการใช้น้ำของคนในชุมชน จากนั้นพวกเขาชวนสรุปสิ่งที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนได้เรียนรู้ และร่วมกันหาแนวทางการรักษาทรัพยากรน้ำ ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ทุกคนต้องใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค หากไม่ร่วมมือร่วมใจกันรักษา น้ำคงหมดไปในที่สุด

นอกจากผลสำเร็จของโครงการจะเป็นไปตามเป้าหมายแล้ว ผลลัพธ์ที่งดงามยิ่งกว่าคือ “ความเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นกับลูกทั้งสองคนของวันเพ็ญ ทำให้เธอถึงกับออกปากว่าช่าง “คุ้มค่า” ที่ทั้งลุ้น ทั้งดันให้มีโอกาสได้ทำโครงการนี้

“เขากล้าพูด กล้าแสดงออกกับกับคนที่ไม่รู้จัก สามารถเข้าไปคุย เข้าหาผู้ใหญ่เป็น ทั้งคนแถวบ้าน พ่อแม่ปู่ย่าตายายครูก็มาเล่าให้ฟังว่ากล้าแสดงออกหน้าชั้นที่โรงเรียน แล้วเขาจะมีคำพูดที่บางทีเราต้องคิดตาม เช่น สมมุติเราจะไปกู้เงิน เขาก็บอกว่าแม่ห้ามกู้นะ ถ้าไม่จำเป็น เดี๋ยวเป็นหนี้ แม่จะเป็นทุกข์”

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของลูกที่วันเพ็ญเห็น คือ การรู้จัก “แบ่งเวลา” สามารถทำหน้าที่ทุกอย่างที่รับผิดชอบได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำโครงการ หรือกระทั่งการช่วยงานเกษตรในไร่

อย่างหลังนี้ วันเพ็ญชอบใจเป็นพิเศษ

“เมื่อก่อนเขาบอกว่า ถ้าเรียนจบแล้วจะไม่อยู่ทำไร่กับเรา จะย้ายไปอยู่ที่อื่น เราก็เสียใจว่าลูกอยากไปไกลจากบ้าน ไม่ยอมรับว่าพ่อแม่เป็นชาวไร่ เราเคยพูดเล่นๆ กับเขาว่า สุดท้ายพ่อแม่ก็นอนตายอยู่บ้านไม่มีใครมาเหลียวแล แต่ตอนนี้พอทำการบ้านเสร็จก็มาช่วยงานในไร่ เราก็ดีใจว่าลูกเต็มใจช่วยทำงาน ไม่ปฏิเสธที่มีพ่อแม่เป็นชาวไร่ชาวนา”

ส่วนกบบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่า การทำโครงการทำให้เธอมีการวางแผน การเตรียมความพร้อมก่อนทำอย่างอื่น โดยเฉพาะเรื่องการพูดนำเสนอที่ไม่ค่อยถนัด เพราะนิสัยพื้นฐานไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว แต่โครงการทำให้เธอกล้าพูดขึ้นมาระดับหนึ่ง และรู้จักคิดทบทวนทุกครั้งก่อนทำ ก่อนพูด

“หลังจากทำโครงการมาแล้วทำให้เราฉุกคิดเสมอว่าสิ่งที่กำลังทำ ทำเพื่อใคร ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครบ้าง หรือส่งผลเสีย ผลกระทบต่อใครไหม”

วันเพ็ญกล่าวทิ้งท้ายว่า การที่ลูกของเธอได้คิดเอง ทำโครงการด้วยตัวเอง ช่วยปลี่ยนเวลาว่าง-เล่นเกม ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ผ่านการเรียนรู้ชุมชน จนลูกของเธอได้รู้ว่าคนห้วยสงสัยอยู่กันอย่างไร ประกอบอาชีพอะไร และสิ่งที่แม่พยายามทำมาตลอดมีความสำคัญกับคนในชุมชนขนาดไหน

“ตอนนี้เวลาเราไปช่วยงานชุมชน เขาไม่มีห้ามเลย แถมเล่าให้คนอื่นฟังอีกว่าแม่ไปทำอะไร” วันเพ็ญอมยิ้ม

Tags:

active citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)วัยรุ่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
  • ‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร
  • เมื่อข่าวร้ายถาโถม การถนอมหัวใจตนเองคือการต่อลมหายใจของความหวัง
  • เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ:  เรื่องเศร้าเมื่อเราอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel