Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: October 2018

‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด
Growth & Fixed Mindset
3 October 2018

‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

เรื่อง

  • กล้า-เดชาพล เลิศสุรัตน์ เป็นหนึ่งในเยาวชนในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ หนึ่งในผู้พัฒนาเครื่องรดน้ำเห็ดอัตโนมัติ Perfect KINOKO
  • กล้าเริ่มต้นจากสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างเรื่องของ IoT (Internet of Things) มาผสมกับความรู้ที่อยู่ใกล้ตัวอย่างการเพาะเห็ด และความรักในธรรมชาติของเขา
  • สมองของมนุษย์จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในอารมณ์ที่มั่นคง และมีความเครียดเล็กน้อย ที่เกิดจากความท้าทาย
เรื่อง: วรุตม์ นิมิตยนต์

“ผมชอบงานด้านเน็ตเวิร์ค ได้แรงบันดาลใจมาจากพวกหนังแฮคเกอร์ แบบเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน”

‘กล้า’ เดชาพล เลิศสุรัตน์ ตอบคำถามว่าทำไมถึงเลือกเรียนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล้าคือหนึ่งในเยาวชนในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ หนึ่งในผู้พัฒนาเครื่องรดน้ำเห็ดอัตโนมัติ Perfect KINOKO

“คุณครูมาชวนว่าอยากแข่ง NSC (การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย) ไหม เราก็เลยไปหาแนวคิดมาว่าอยากจะทำอะไรดี ก็ไปรู้จากคนใกล้ตัวที่ทำฟาร์มเห็ดอยู่ ส่วนตัวแล้วก็อยากทำเกี่ยวกับ IoT (Internet of Things) ก็เลยเสนอครูแล้วก็ทำเรื่องนี้”

สำหรับกล้า การเริ่มต้นยากมากเพราะเริ่มจากศูนย์ทั้งหมด ทั้งเรื่องเขียนโปรแกรมและการเพาะเลี้ยงเห็ด โดยเฉพาะเห็ด เพราะไม่ใช่แค่ปลูกเห็ด แต่รวมถึงการดูแล ทำความสะอาด ความสม่ำเสมอ ซึ่งต้องอาศัยทั้งวินัยและความรับผิดชอบ

“คนอื่นเขาอาจจะเริ่มจากเล็กๆ แล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้นใช่ไหม แต่อันนี้คือข้ามมาใหญ่เลย จะถอนตัวก็ยากมาก มาจนสุดทางแล้วก็ต้องทำให้สุด แล้วเราไม่ได้ทำคนเดียว ต้องดูแลเพื่อนๆ ด้วย” ความยากของกล้าเมื่อต้องเริ่มอะไรใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องเอาให้อยู่ทั้งเรื่องงานกับเรื่องเรียน

อีโก้ (Ego) สลายตัว

“พวกผมมีสี่คน ก็ต้องจัดการเวลา มีเพื่อนหนึ่งคนอยู่บางพระ ตอนเช้าเขาก็จะช่วยเก็บให้ เพราะเห็ดจะออกตอนแรกช่วงเช้า ส่วนอีกสามคนก็ต้องผลัดกันไป ก็ได้ครอบครัวไปส่ง ที่บ้านก็มีบ่นๆ บ้างว่ายังทำอีกเหรอ พอได้แล้ว แต่เราก็ไม่ได้สนใจมาก เพราะเขาไม่ได้มาทำกับเรา แต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นห่วง อยากให้เรียน แต่ผมเองก็ยังเรียนได้อยู่ เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ห้าม แค่เป็นห่วงเราเฉยๆ”

ส่วนการทำงานกับเพื่อนๆ เนื่องจากกล้าเองเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม อีกทั้งยังอยู่คนละห้องกับคนอื่นด้วย (เพื่อนของกล้าอีก 3 คนอยู่ห้องเรียน Gifted ด้วยกัน) ซึ่งกล้าเองก็ยอมรับว่าตอนแรกมีปัญหามาก เพราะตัวเองมีอคติกับเพื่อน รู้สึกว่าคนพวกนี้ต้องคิดว่าตัวเองเก่ง ไม่ฟังความเห็นกล้าที่เป็นหัวหน้าทีม จนกระทั่งมีโอกาสได้พูดคุยเปิดใจกันในค่ายต่อกล้าให้เติบใหญ่

“ผมใช้วิธีเปิดใจรับ ตอนแรกคิดว่าพวกเขาอีโก้สูงแต่จริงๆ ไม่ใช่ ผมนี่แหละอีโก้สูงเอง เพื่อนๆ มีความคิดที่ดี ก็เข้าไปทำงานกับเขา ค่ายฯ ทำให้เราค้นพบตัวเองได้ หลังจากเรายอมรับตัวเราได้ เราก็รับตัวตนทุกคนได้ กลายเป็นคนไม่โกรธใคร เข้าใจคนอื่น ถึงบางทีเพื่อนจะเทงานใส่เราก็ตาม ก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาเขา”

เป้าหมายในฝัน

ทุกวันนี้กล้าเป็นนักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่จริงๆ แล้วความฝันก่อนหน้านี้ของกล้าคือการเป็นพ่อครัว ทำอาหาร

“ตั้งแต่ ม.ต้น ผมตั้งใจจะเรียนทำอาหาร เพราะไม่อยากทำงานใต้ความกดดัน แข่งกับเวลา แต่เพิ่งมาเปลี่ยนความคิดได้ตอนอาจารย์ชวนทำโครงการฯ

“จริงๆ ความชอบผมมีหลายอย่าง ที่แน่ๆ คือปลูกต้นไม้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้ธรรมชาติดูแลตัวเอง อย่างผมเองก็ชอบให้สิ่งๆ นั้นดูแลตัวมันเองได้ ถ้าหากว่าเขียนโปรแกรมออกแบบระบบก็จะให้มันดูแลตัวของมันเองด้วยเหมือนกัน” กล้าย้ำในสิ่งที่เขาชอบ ซึ่งสามารถประยุกต์ให้เข้ากับโครงการที่ตัวเองทำได้

จนสำเร็จออกมาเป็นเครื่องรดน้ำเห็ดอัตโนมัติ ซึ่งสามารถทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง…

‘ทำ’ เป้าหมายให้เป็นจริง

เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องไปให้ถึงจงได้ สเต็ปแรกคือ เข้าไปอยู่ในโรงเพาะเห็ดเลย

“ไปดูว่าทำไมมันชื้นแต่ก็ยังรดน้ำ ก็ไปเจอว่าโรงเห็ดมันร้อนเพราะเราตั้งกลางแจ้ง ลมพัดความชื้นออกไปหมด หลายคนก็แนะนำให้ย้ายที่ แต่เราก็ไม่อยากหนีปัญหา ทางเดียวที่ต้องทำคือทำให้เครื่องเราใช้งานได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”

กล้าและเพื่อนๆ เลือกที่จะเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง พร้อมที่จะปรับแก้เมื่อเกิดปัญหา ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจ และแตกต่างกับเด็กหลายคนที่ไม่กล้าลงมือทำเพราะกลัวว่าจะผิด

“คิดว่าเรื่องผิดมันมีอยู่แล้ว เรารอให้มันสำเร็จแล้วใช้งานจริงไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์จบลงที่ไหน ถ้าทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ต้องกล้าเผยแพร่ไปก่อน ถ้ามีปัญหาก็รับมาแล้วแก้ เพื่อให้ไปถึงจุดร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ได้ ไม่ใช่รอทำถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่อยออกขาย”

เป้าหมายที่เกินคาด

กล้าบอกถึงความรู้สึกหลังจากได้ทำโครงการฯ ว่า “สนุกมากครับ ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ จากโครงงานเล็กๆ กลายมาเป็นนานาชาติ เพื่อนๆ เองก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะมาถึงสามปี

“ตอนเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะตอนนั้นมีคำถามว่า อยากจะทำให้ออกไปใช้ได้จริงไหม ผมก็อยาก แต่ไม่นึกว่าจะต้องมาทำเรื่องการตลาด เรื่องผู้ใช้งาน เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่โครงการธรรมดา แต่มันกำลังกลายเป็นของออกสู่ตลาด

“ตกใจมากว่าจะมีคนใช้ของเราไหม แล้วใครจะมาใช้อะไรแบบนี้”

กล้าคนใหม่

หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ทำงานอย่างหนักมาสามปี กล้าเล่าให้ฟังถึงมุมมองของครูในโรงเรียนที่มองกล้าเปลี่ยนไป เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การพูดจา วางตัว ที่ดีกว่าเดิม รวมถึงการทำงานที่จริงจัง และทุ่มเทมากขึ้น เพราะกล้าอยากให้งานสำเร็จ มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อคะแนน แต่อยากเห็นผลของงานที่เกิดขึ้น

“เรามีความคล่องแคล่วในการแบ่งงานมาก เพราะเรามักสำรวจว่าเพื่อนถนัดอะไร มีศักยภาพแบบไหน ทำให้เราแบ่งคนไปทำงานได้ถูกที่ และด้วยความที่เคยทำมาก่อน เราก็เลยรู้ว่าควรทำอะไรบ้าง และงานที่ดีมันควรจะออกมาเป็นแบบไหน”

กล้าบอกเล่าทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม เพราะสุดท้ายสิ่งที่พวกเขาเริ่มต้น ด้วยความไม่คาดฝันว่ามันจะกลายมาเป็นงานที่ใหญ่ กินเวลาหลายปี และออกดอกผลส่งให้เขาสามารถใช้เป็นใบเบิกทางเข้าสู่มหาวิทยาลัยและได้เรียนในคณะที่เขาตั้งใจไว้

ตลอดระยะเวลาที่นั่งคุยกับกล้า เราแทบไม่จำเป็นต้องให้คำถามอะไรมาก เหมือนสิ่งที่เขาทำมันอยู่ในตัวของเขาอยู่แล้ว กล้าสามารถพูด บอกเล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะทุกอย่างผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำจริง

ในส่วนของพัฒนาการทางสมอง กล้าทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า การเปิดโอกาสให้เด็กวัยรุ่นได้ลงมือทำงานของพวกเขาอย่างเต็มที่นั้นส่งผลชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงของสมองของพวกเขา ซึ่งแสดงออกผ่านทางพฤติกรรม การวางตัว การทำงาน ที่แตกต่างไปจากเด็กวัยรุ่นทั่วไป

เพราะการเรียนรู้แบบ active learning ที่ได้ลงมือทำจริง ทำให้พวกเขาใช้ศักยภาพของสมองทุกส่วน การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ผูกโยงกับสมองส่วน limbic ที่ควบคุมเรื่องอารมณ์ซึ่งเติบโตเต็มที่ในช่วงของวัยรุ่น ให้เกิดเป็นพลังเพื่อให้พวกเขากล้าที่จะทดลองผิดถูก เพราะรู้ว่าปลายทางความสำเร็จนั้นมีเป้าหมายที่ท้าทายให้พวกเขารอไปพิชิตอยู่

ในทางกลับกัน หากเป้าหมายนั้นไม่ท้าทาย หรือยากจนเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้สำเร็จ สมองของพวกเขาก็จะไม่กระตุ้นให้พวกเขาลงมือทำ ดังนั้นในฐานะคนจัดกระบวนการเรียนรู้ หรือครอบครัวที่ดูแลเด็กวัยรุ่น เราจะทำอย่างไรให้พวกเขารู้สึกมั่นคงพอที่จะกล้าออกไปเผชิญกับเป้าหมาย และความท้าทายแบบไหนที่สร้างความเครียดเพื่อกระตุ้นพวกเขาในระดับที่พอดี

ถ้าหากเราสร้างมันได้ดีพอ เราก็จะได้เห็นการเติบโตของพวกเขาที่เต็มศักยภาพ พร้อมกับความเป็นไปได้ไม่รู้จบอย่างแน่นอน

Tags:

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมนวัตกรวัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)อาชีพ

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ทอ-ไอ-ยอ-ไทย แอพไทยเพื่อเด็กอ่านไม่ออก ฝีมือโปรแกรมเมอร์ ม.6

    เรื่อง

ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก
How to get along with teenager
3 October 2018

ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

อ่านและเรียนรู้เจ้าอสูรร้ายและวิธีการปราบอย่างละเอียดได้ที่นี่ 5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING
Unique Teacher
2 October 2018

‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

เรื่อง

  • การให้เด็กร่วมทำโปรเจ็คท์จะช่วยเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไปได้ เพราะหนึ่งทีมต้องมีสมาชิกที่มีทักษะหลากหลาย ถึงจะก่อให้เกิดงานคุณภาพ บรรลุตามเป้าหมายได้ เด็กจะได้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ ที่นอกเหนือจากความถนัดของตัวเอง
  • สิ่งที่สำคัญอยู่ที่กระบวนการระหว่างทางมากกว่างานสำเร็จ เพราะระหว่างทางจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนวางแผน รับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีค่ามากกว่ารางวัล
  • การที่ครูหรือครอบครัวเข้าใจเด็ก และทำให้เขามั่นใจว่าแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะถูกหรือผิด แต่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือ การสร้างพื้นที่ซึ่งมั่นคง เหล่านี้ทำให้พวกเขากล้าที่จะลองผิดถูก และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เรื่อง: วรุตม์ นิมิตยนต์

“ไม่ใช่แค่นางสาวไทยเท่านั้นที่รักเด็ก แต่สำหรับคนเป็นครู ทุกคนจะต้องมีความรักเด็กเป็นพื้นฐาน เราเป็นครูก็อยากให้เด็กเติบโต อยากเห็นเด็กมีอนาคตที่ดี ไม่ใช่แค่เด็กในโครงการเท่านั้น เด็กคนไหนมีปัญหามาบอก เราเป็นครูก็ต้องช่วย” นี่คือคำตอบจากอาจารย์ ศรา หรูจิตตวิวัฒน์ หรือ คุณครูฝ้าย เมื่อถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นครูคืออะไร

นอกจากเป็นอาจารย์สอนวิชาคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์แล้ว ครูฝ้ายยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้กับน้อง ภีร์ ไอซ์ และเพลง ผู้พัฒนาโปรแกรม ทอ-ไอ-ยอ-ไทย เพื่อเป็นสื่อการสอนวิชาภาษาไทยเรื่องการอ่านสะกดคำให้กับเด็กอนุบาล ถึงประถมศึกษาปีที่ 1 ภายใต้โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

“โครงการทำให้เด็กๆ พัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อนำไปใช้งานได้จริง ตรงนี้เป็นจุดที่ตัดสินใจได้ง่ายว่าโครงการนั้นมีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือมันไม่จบแค่ว่าได้รางวัล แต่งานที่ทำไปถึงมือผู้ใช้ มันเป็นคุณค่าที่เรามองเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก อยากบอกเด็กๆ ว่า หากเราทำอะไรสักอย่างควรที่จะพัฒนามันเพื่อคนอื่น”

ครูฝ้ายกล่าวถึงสาเหตุที่เลือกส่งเด็กเข้าร่วมโครงการต่างๆ หรืองานประกวด เธอรู้สึกว่าสิ่งนี้จะช่วยเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไป และเป็นสิ่งที่เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้จากในห้องเรียน ดังนั้นการเลือกเด็กหรือคนที่จะเข้ามาร่วมทีมนั้นเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ และเติบโตไปได้มากยิ่งกว่าที่เป็นอยู่

“เราต้องดู skill ของน้องๆ ว่ามีความสามารถทางไหน เช่น ทำโครงงานก็ไม่เอาคนที่มี skill เดียวกันมาอยู่ด้วยกัน เพราะการทำงานเป็นทีมต้องใช้คนหลาย skill จะก่อให้เกิดงานที่มีคุณภาพ บรรลุตามเป้าหมายได้”

ครูฝ้ายเล่าต่อว่า ทีมที่เข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ฯ ที่พัฒนาแอพพลิเคชั่น ก็จะเปิดโอกาสให้ทั้งคนที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ เป็นคนขับเคลื่อนงานเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็ต้องเลือกคนที่มีทักษะด้านการออกแบบเพื่อให้งานมีความน่าสนใจ หรือมีคนที่ทำหน้าที่ประสานงานก็จะช่วยให้ทีมทำงานกันได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ทีนี้พอเลือกคนที่จะทำงานได้แล้วอีกส่วนที่สำคัญคือขั้นตอนตั้งต้นในการทำงาน

“จะให้เด็กๆ เสนอกันว่าอยากทำโปรเจ็คท์เรื่องอะไร เราก็คอยชี้แนะ สิ่งสำคัญคือเวลาเด็กทำโปรเจ็คท์อะไร ถ้าทำเพราะเด็กอยากทำเพียงอย่างเดียว ก็จะจบแค่ที่ตัวเขาเอง ไม่รู้ว่าที่ทำไปมีประโยชน์ หรือใช้ได้จริงหรือเปล่า ก็จะพยายามชวนเด็กๆ ลงพื้นที่ไปคุยกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะเด็กจะได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้นนอกเหนือจากมุมของตัวเองหรือเพื่อนรอบๆ ตัว จะทำให้โปรเจ็คท์ที่คิดขึ้นมามีประโยชน์ สามารถช่วยแก้ปัญหาได้จริง”

หลังจากนั้นครูฝ้ายก็จะชวนเด็กๆ มาลองแบ่งหน้าที่ และวางแผนการทำงานที่ชัดเจน เพราะทุกคนยังเป็นนักเรียน ซึ่งหมายความว่าจะต้องไม่ให้ผลการเรียนตก รวมถึงการที่มารวมทีมกันนั้น ต่างคนก็มาจากคนละห้อง คนละชั้นปี จึงจำเป็นต้องทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มงาน

เด็กพร้อมลุย พ่อแม่ต้องพร้อมเข้าใจ

ครูฝ้ายบอกว่า “ต้องคุยกับพ่อแม่อยู่แล้ว ตั้งแต่ต้นก่อนจะทำงานเลย ไม่งั้นเจอปัญหาระหว่างทางแล้วต้องทิ้งงานกลางทาง อันนี้จะแย่ยิ่งกว่า เด็กจะต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน ทั้งเรื่องที่ต้องกลับบ้านเย็น หรือเสาร์อาทิตย์ต้องมาทำงาน จุดนี้พ่อแม่ยอมไหม รวมไปถึงการทำความเข้าใจกับทางโรงเรียน ครูประจำวิชาอื่นของเด็กๆ ที่ต้องขาดเรียน หรือการใช้ทรัพยากรของโรงเรียนมาสนับสนุน ซึ่งโรงเรียนเองก็ให้การสนับสนุนทุกคนอย่างเต็มที่”

แน่นอนว่าการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานนั้นครูฝ้ายให้ความเห็นว่า

“ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของเวลา เพราะเด็กๆ มีการบ้านที่ต้องจัดการเยอะ แต่เราก็จะบอกเสมอว่าเราเหนื่อยเป็นเพื่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ มีปัญหาก็มาคุยกัน เราพยายามทำให้เขาเห็นว่าถึงเขาจะแลกเวลาช่วงนี้กับการไม่ได้ไปห้าง ไปเที่ยว แต่มันจะเห็นผลตอนพวกเขาเรียนมหาวิทยาลัย ได้แต้มต่อจากกระบวนการทำงาน กระบวนการคิด”

“เราขอเขาอย่างเดียว ขอให้รับผิดชอบงานจนเสร็จ ถึงงานจะไม่ดีตามเป้าที่วางไว้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องรับผิดชอบให้จบ อย่าทิ้งกลางคัน มันไม่ใช่แค่การทิ้งงาน แต่มันคือการทิ้งเพื่อน เพราะเราให้ความสำคัญกับกระบวนการระหว่างทางในการสร้างงานมากกว่างานสำเร็จ เพราะสิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนวางแผน รับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีค่ามากกว่ารางวัล”

หน้าที่ครู ไม่ใช่แค่สอน

ปกติแล้วครูก็มีภาระงานที่ต้องทั้งสอน ทั้งสอบ ทำเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แล้วพอต้องมาทำหน้าที่เป็นโค้ช ให้คำปรึกษา ดูแลเด็กไม่ต่างอะไรจากลูกของตัวเอง ครูฝ้ายมองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ภาระ เพราะปกติก็สอนในห้องอยู่แล้ว การมาทำโครงงานนี้เหมือนเป็นการต่อยอดจากการเรียนการสอนในห้อง

“เราถามเขาว่าอนาคตที่มองไว้อยากเป็นอะไร เราก็มาชวนกันเติมอนาคตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าที่บอกว่าชอบ มาลองทำแล้วชอบจริงใช่ไหม ทำไปสัมผัสไป ไปเจอคนในวงการ เพื่อดูว่าเขาชอบจริงใช่ไหม ซึ่งเราก็จะได้สนับสนุนไปจนสุดทางของเรา”

“ถ้าถามว่า สอนเหนื่อยมั้ยก็เหนื่อย ยากมั้ยก็ยาก เพราะเจอเด็กหลากหลายประเภท แต่เรามีความสุข ที่อยู่ได้ตรงนี้เพราะเด็ก พอเจอเด็กเปลี่ยนไปในทางที่ดีเราก็รู้สึกดีแล้ว เหมือนพัฒนาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีตามที่เราเห็นว่าดี เป็นความสุขของเรา สามารถทำให้เด็กคนหนึ่งจากที่ไม่เป็นอะไรเลย เป็นผู้นำหรือทำงานกับคนอื่นได้ และเป็นคนที่มีค่าต่อสังคม แบบนี้ก็หายเหนื่อย”

“เราไม่ต้องให้เด็กเข้าหา เราเข้าหาเด็กบ้างก็ได้ เราเองก็ต้องมีเรื่องที่เด็กคุยได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ครูที่เข้าใกล้ไม่ได้ เข้ามาคุยกันเลย เปิดใจสบายๆ ไม่ฟอร์มครูจ๋า ทำไงก็ได้ให้เด็กสบายใจที่จะเข้าหาเรา ถ้าไม่อย่างนั้นเวลาเกิดปัญหาเขาจะไม่กล้ามาปรึกษา งานจะไม่เกิด เด็กจะเกรงใจไม่อยากให้ครูเดือดร้อน” ครูฝ้ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ตลอดช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกับครูฝ้าย สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่ครูฝ้ายมักจะเล่าถึงรายละเอียดเล็กน้อย ที่น่าสนใจของลูกศิษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์น่ารักๆ อย่างการงอนกัน หรือการทะเลาะกัน มีปัญหา ร้องไห้ ฯลฯ เรื่องราวเหล่านี้เป็นจุดที่สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากการทำหน้าที่เป็นครูที่ปรึกษาภายใต้โครงการแล้ว ครูฝ้าย ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนเพื่อนร่วมคิด ร่วมพูดคุย ในการใช้ชีวิตของเด็กๆ มาโดยตลอด

สร้างประสบการณ์ เติมฝันให้เป็นจริง

สิ่งที่ครูฝ้ายทำนั้น สอดคล้องกับพัฒนาการสมองของวัยรุ่นได้อย่างลงตัว คือ การมองเห็นและหยิบเอาศักยภาพที่เป็นจุดเด่นของเด็กมาใช้เป็นจุดดึงให้เขามาทำงาน พร้อมกับเชื่อมโยงประเด็นทางสังคมเข้าไป คือการเชื่อมเรื่องใหม่เข้ากับความคุ้นเคยเดิมของพวกเขา

เปรียบเหมือนสมองที่มีเครือข่ายประสาทที่แข็งแรงในเรื่องหนึ่ง หากไปสร้างโครงข่ายใหม่โดยไม่สนใจเรื่องเดิมเลย เหมือนกับการเรียนการสอนที่แบ่งแต่ละวิชาออกจากกัน ย่อมยากกว่าการเชื่อมโยงสิ่งที่อยากให้พวกเขาสนใจ เข้ากับความสนใจเดิมของพวกเขา เครือข่ายประสาทในสมองก็ย่อมเติบโตและเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

นอกจากนี้ การที่ให้แต่ละคนร่วมทีมกันโดยที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ก็ส่งผลสำคัญที่มากไปกว่าความสมบูรณ์ หรือความสำเร็จของงาน นั่นคือการที่พวกเขาจะได้เรียนรู้และทำความรู้จักกับผู้คนที่มีพื้นฐานแตกต่างไปจากตัวเอง มีความหลากหลาย ซึ่งไม่ต่างอะไรจากโลกของการใช้ชีวิตที่พวกเขาจะต้องได้เจอข้างหน้า การสร้างพื้นที่เหล่านี้ตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้สมองของพวกเขาเกิดการเรียนรู้ทักษะด้านอารมณ์ (soft skill) และจัดวางมันไว้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในอนาคตของพวกเขา

ส่วนสุดท้าย ที่หลายคนมักมองข้ามไปเสมอ นั่นคือการที่ครูหรือครอบครัวนั้นอยู่กับพวกเขา และทำให้เด็กมั่นใจว่าแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะถูกหรือผิด แต่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือ การสร้างพื้นที่ซึ่งมั่นคงเหล่านี้ จะทำให้พวกเขากล้าที่จะลองผิดถูก และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ในทางกลับกัน การไม่เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ทดลอง หรือทอดทิ้งให้พวกเขาเผชิญกับปัญหาโดยไม่มีความมั่นใจ จะก่อให้เกิดความเครียดสะสม ที่จะไปขัดขวางกระบวนการพัฒนา Executive Function ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาสมองของพวกเขาในอนาคต

ดังนั้นแล้วสิ่งที่ครูฝ้ายทำ จึงเป็นมากกว่าแค่ผู้ที่มอบความรู้ให้กับลูกศิษย์ แต่ยังเป็นผู้ร่วมกันค้นหาตัวตนของพวกเขา ดึงเอาศักยภาพที่หลบซ่อนอยู่ออกมา และมอบความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตในศตวรรษที่ 21 ต่อไปในอนาคตให้กับพวกเขา

นี่คือ “ครูเพื่อศิษย์” ที่แท้จริง

Tags:

นวัตกรครูโคชคาแรกเตอร์(character building)โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author:

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Character buildingCreative learning
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

“ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ
21st Century skills
1 October 2018

“ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • คนรุ่นใหม่แบบไหนที่ซีอีโออยากทำงานด้วย คือคำถามสำคัญในวันที่เราตั้งคำถามว่าสังคมต้องการคนรุ่นใหม่แบบไหน
  • ความคิดความเห็นของ รวิศ หาญอุตสาหะ น่าสนใจเพราะถอดจากประสบการณ์ปรับลุค ‘ผงหอมศรีจันทร์’ ให้กลับมาเดินได้ใหม่ในรันเวย์ภายใต้ชื่อ Srichand Cosmetics
  • Grit, Growth Mindset, Character Building ฯลฯ และอีกหลายๆ ทฤษฎีที่เคยอ่านมา รวิศถอดรหัสและแปรรูปให้เป็นภาคปฏิบัติทั้งหมดในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

ในวงธุรกิจ ทุกคนรู้จัก รวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด จากการแต่งตัวใหม่ให้ผู้หญิงอายุ 80 ปีที่ดูไทยมากๆ อย่าง ‘ผงหอมศรีจันทร์’ ให้กลายเป็น Srichand Cosmetics – สุภาพสตรีรุ่นใหม่ หน้าอ่อนกว่าวัย มั่นใจแต่เรียบร้อย

เป็นคำอธิบายเปรียบเทียบเพื่อให้เห็น Before-After อย่างชัดเจน ทุกวันนี้ซีอีโอวัย 39 ปี มีพนักงานในความดูแลราว 200 คน ไล่ตั้งแต่รุ่นใหม่ไปจนถึงเลยเกษียณ การบริหารและดูแลจึงแตกต่างกันตามวัย

“เราพยายามดูว่า อะไรคือ value ของคนแต่ละวัย  คนรุ่นพ่อแม่ เชื่ออยู่ 3 คำ คือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน แต่เด็กยุคใหม่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ขยัน ซื่อสัตย์ อดทนนะ เพียงแต่เขาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ต่างออกไปคือ freedom, sexuality และ autonomy (ความอิสระและเป็นตัวของตัวเอง)”

ความสำเร็จในการรีแบรนด์-ไม่สิ อาจจะเรียกว่า ‘รีเบิร์ท เกิดใหม่’ เลยก็ได้ อาจการันตีได้ว่าเขาเข้าใจ และสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้ตรงจุด แต่ในบทบาทคุณพ่อของลูกสาวสองคน (7 ขวบ และ 4 ขวบ) สิ่งที่รวิศเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ คือทักษะสำคัญในการใช้ชีวิต

“คาแรคเตอร์ที่ควรมีในปัจจุบันกับทักษะที่ต้องปั้นในอนาคต” จึงเป็นหัวข้อที่ The Potential สนทนากับ รวิศ หาญอุตสาหะ ในวันนี้

จากการทำงานและสื่อสารด้วย คนรุ่นใหม่ พ.ศ.นี้เป็นอย่างไร

คนรุ่นใหม่อายุ 20-30 ปี ส่วนใหญ่ค่อนข้างรู้เรื่องเยอะกว่าคนยุคผม เหมือนเขาผ่านความซับซ้อนของโลกเยอะกว่า เขาเห็นจากโซเชียลมีเดีย รู้ข่าวเยอะกว่า ทำให้เขามีความซับซ้อนในตัวเองเยอะ แต่ละคนจึงมีคาแรคเตอร์แตกต่างกันอย่างชัดเจน ที่เห็นได้ชัดเลยคือกล้าแสดงออกมากขึ้น ถ้าเกิดเห็นว่ามันไม่ใช่ก็จะกล้าพูดเลยว่าไม่ใช่ ต่างจากคนยุคผมที่ไม่ได้ถูกฝึกมาแบบนี้ เด็กยุคใหม่เวลาสั่งงานก็ไม่ต้องไปบอก 1-2-3-4 หรอก ต้องบอกว่าอยากได้อะไร เมื่อไหร่ แล้วมีอะไรให้บ้าง เดี๋ยวเขาจะจัดการของเขาเอง นี่คือสิ่งที่คิดว่าเขาอยากได้

รวิศ หาญอุตสาหะ

สิ่งที่ต้องมีแต่เด็กรุ่นใหม่ยังไม่มี คืออะไรบ้าง

ผมว่าความสำคัญในยุคนี้ ที่ไม่ใช่แค่เด็กแต่หมายถึงทุกคน คือความกระหายจะเรียนรู้ มันหมดยุคที่เรารอให้ใครมาสอนแล้ว มันจะไม่ทัน คนที่กระหายจะเรียนรู้ อยากรู้นู่น อยากรู้นี่ ได้ลองทำอะไรไม่กลัวที่จะผิดพลาด เท่าที่เห็นก็จะมีโอกาสจะประความสำเร็จในหน้าที่ได้มากกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บางคนมีบางคนก็ไม่มี แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ

ใน Podcast ของคุณ เคยบอกไว้ว่า คำว่า “You are special” (ที่พ่อแม่มักจะบอกว่ากับลูกเพื่อแสดงว่าลูกพิเศษและแตกต่างจากคนอื่น) เป็นอันตรายสำหรับคนรุ่นใหม่ อันตรายอย่างไร

ผมคิดว่ามันเป็นเพราะหลายเรื่องประกอบกัน แต่หลักๆ คือ ในโซเชียลมีเดียต่างๆ เราจะเห็นภาพของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จหรือว่าใครก็แล้วแต่ที่ยังเป็นเด็กแต่รวยมากๆ สมัยยุคผมมันต้องหลุดมาถึงสื่อทีวี หนังสือพิมพ์ เราถึงจะได้เห็นกัน แต่ในยุคนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นภาพพวกนี้มันก็ถูกฝังลงไปตั้งแต่ยังเด็ก

เด็กๆ จึงอยากจะออกมามีกิจการของตัวเอง แต่ถ้าใครยังไม่พร้อม ก็อาจจะหาประสบการณ์ทำงาน ถ้ารู้สึกไม่เวิร์คก็เปลี่ยนเลย แต่ยุคนี้ก็ต้องต่อสู้กันเยอะนิดหนึ่ง เพราะคนอยากออกมาทำเองเยอะ มันก็อาจจะยากขึ้น แต่ทุกอย่างก็มีทั้งยาก-ง่าย เทคโนโลยีก็มีส่วนช่วยให้ง่ายขึ้น

คาแรคเตอร์อะไรที่คนรุ่นใหม่ควรจะมี เพื่อที่จะอยู่รอดได้ในอนาคต

ในภาพรวม ลักษณะสำคัญที่ควรมีของคนในศตวรรษที่ 21 คือ self awareness หรือ การรู้จักตัวเอง ในยุคนี้ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องไปเรียนสายวิทย์ ไปเป็นหมอ วิศวะ อีกต่อไปแล้ว ผมคิดว่าเราชอบอะไร เราถนัดอะไร หาให้เจอแล้วทำมันให้ดี จริงๆ ทุกอย่างที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร สามารถทำเงินและหาเลี้ยงชีพเราได้หมด ถ้าเรารู้ว่าเราชอบอะไร แต่ก็มีปัญหาที่ยากขึ้นมาอีกว่าเราจะรู้ได้อย่างไร อย่างผมกว่าจะหาตัวเองเจอก็อายุ 30 กว่าแล้ว ซึ่งถ้าได้รู้จักตัวเองเร็วกว่านี้ ก็คงจะดี

วิธีเดียวที่จะหาตัวเองให้เจอคือต้องลอง ลองให้เยอะ ลองให้เร็ว แต่ไม่ใช่ให้เราไปลองทำทุกอาชีพ มันเป็นไม่ได้ มันจะมีกรอบคร่าวๆ ว่าเราชอบประมาณนี้ แล้วค่อยลอง ถ้าเราหาเจอปุ๊บ ชีวิตเราหลังจากนั้นจะดี คือจะมีเงินหรือไม่มีเงินก็จะดี เพราะว่าอย่างน้อยเราก็มีความสุขเวลาที่เราทำ

ทุกวันนี้มันมีทั้งคนที่ทำงานได้เงินแล้วมีความสุข ที่ไม่มีความสุขก็มี ยิ่งงานที่เงินน้อยก็รู้สึกแย่ แต่ถ้าเราทำงานในสิ่งที่เรารักและรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นตัวเรา โอกาสที่เราจะทำงาน หาเงินได้จากเรื่องนี้และมีความสุขประสบความสำเร็จในการทำงานด้วยก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้น

แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่หากันง่ายๆ เพราะไม่เช่นนั้นทุกคนก็คงจะไม่มีปัญหา คนที่หาเจอเร็วก็จะโชคดี

สิ่งหนึ่งเลยที่เราจะต้องมีคือวินัย ผมเชื่อว่าเมื่อเรามีวินัย เราจะสามารถทำการทดลองได้ แต่ถ้าไม่มีวินัยเราจะไม่มีทางทำการทดลองในชีวิตเราจนจบได้

ยกตัวอย่างเราอยากเขียนหนังสือ แต่เราจะรู้ว่าอาชีพนี้ดีหรือไม่ดี เราจะต้องเขียนหนังสือให้เสร็จ อย่างน้อยก็ทำให้จบกระบวนการ เพื่อจะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือชีวิตนี้ฉันไม่มีวันเขียนหนังสือจนจบเล่มได้ อันนี้คือวินัยเพื่อที่จะได้ทำการทดลองให้มันชัดเจน

คำว่าวินัย จริงๆ แล้วตัวเองอาจจะไม่อยากทำสิ่งนั้นแต่ก็ต้องทำอยู่ดี เพราะเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้ เช่น นักเขียนมืออาชีพจริงๆ เขาจะเขียนหนังสือทุกวัน ไม่ว่าวันนั้นจะเขียนออกหรือเขียนไม่ออก เพราะว่ามันเป็นวินัย และที่สำคัญ ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนเร็วมาก

ไม่ใช่แค่ความรู้ในมหาวิทยาลัยหรอก เอาแค่ความรู้ที่เรารู้เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว หรือที่เคยทำแล้วมันถูก ในวันนี้มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นทุกๆ อย่างเราต้องเรียนรู้ใหม่ ต้องยอมทิ้งความคิดเก่าที่อยู่ในหัว แล้วรับไอเดียใหม่ๆ เข้ามา และเราก็ต้องยืดหยุ่นพอที่จะบอกตัวเองได้ว่า นี่คือโลกใหม่จริงๆ

เมื่อการค้นหาตัวเองสำคัญ แล้วจะดีลกับเงื่อนไขต่างๆ ในชีวิตอย่างไร

ทัศนคติของพ่อแม่สำคัญ ต้องเข้าใจก่อนว่ายุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ยกตัวอย่างใกล้ตัว หลานผม (ลูกของพี่สาว) อยากเป็นนักไวโอลิน เขาเล่นไวโอลินได้ดีมาก ตอนแรกทุกคนไม่ยอม คิดว่าดนตรีจะเป็นอาชีพได้ไหม ผมก็พยายามจะอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ของผม (ตายายของหลาน) เล่าให้เขาฟังว่า จริงๆ แล้วโลกยุคใหม่มันเป็นแบบนี้จริงๆ เราอยากเป็นอะไรก็เป็นได้ สมมุติเราอยากบอกพ่อกับแม่ว่าเราอยากเป็น Youtuber พ่อแม่คงไม่เข้าใจ แต่มันก็ทำเป็นอาชีพจริงๆ ได้ แล้วก็มีคนที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพนี้มากมาย

ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อาชีพดั้งเดิมแบบที่เราเคยรู้จักกัน มันก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่ทางเลือกทั้งหมดแล้ว แต่ก่อนที่เราเคยบอกว่าต้องเข้าคณะนี้เพื่อจะเป็นอาชีพอะไร

ผมเชื่อว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า คำว่าคณะอาจจะไม่มีแล้วด้วยซ้ำ มันอาจเป็นที่ที่เราเข้าไปถึงแล้วเลือกเลยว่าเราอยากจะเรียนอะไร วิชาอะไร ผมอาจจะเรียนทั้งศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก็ได้ เพราะว่ามันคือสิ่งที่ผมอยากเป็น

อย่างที่สอง เมื่อเราเข้าใจอย่างนั้นแล้ว แน่นอนว่าเราคงไม่ปล่อยให้ลูกออกไปทำอะไรเละๆ เทะๆ หมด ผมอยากใช้คำว่า frame and freedom คือ มีกรอบประมาณหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องให้อิสระเขา ถ้าอะไรที่มันดูอันตราย เราก็ต้องห้ามในฐานะผู้ปกครอง แต่ว่าไอ้กรอบที่มันเคยมี มันต้องใหญ่ขึ้น เพราะสมัยก่อนยุคผม พ่อแม่บังคับว่าต้องเป็นหมอ ซึ่งผมคิดว่าอันนี้อาจจะใช้ไม่ค่อยได้แล้ว

เราต้องมีพื้นที่ให้กับลูกประมาณหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดต้องให้ลูกได้ลอง ถ้าเขาได้ลองเขาจะได้รู้ว่าจริงๆ เขาไม่เหมาะหรือเหมาะกับอาชีพนี้ ต้องมีกรอบที่กว้างขึ้น ไกด์เขา อย่าไปบังคับ เพราะว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่รู้ อีก 10 ปี ก็อาจจะไม่จริงแล้ว ถ้าเราบอกว่าให้ลูกทำแบบนี้ แล้วมันกลายเป็นสิ่งผิด มันไม่ใช่การตัดสินใจของเขานะ อย่างน้อยที่สุดถ้าเขาทำแล้วมันผิด ให้มันเกิดจากการตัดสินใจของเขา เขาจะได้เรียนรู้ ถ้าเป็นการตัดสินใจของเราเขาจะไม่ได้เรียนรู้อะไร

สำหรับคุณ ระบบการศึกษาสำคัญหรือไม่สำคัญอย่างไร

มีงานวิจัยบอกว่า คนไทยจะต้องถูก re-skill เกือบ 7 ล้านคน เพราะว่าเทคโนโลยีใหม่ที่มา ทำให้ skill ที่เรามีอยู่ในวันนี้ล้าหลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำงานต่อไม่ได้นะ เพียงแต่เราต้องเรียนรู้อะไรใหม่ ตอนนี้คิดว่าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยอาจจะเปลี่ยน อาจจะไม่ใช่เด็กอายุ 17-21 ปี เข้ามาเรียนปี 1 – ปี 4 แต่มันจะออกแบบการเรียนที่ไม่ได้กำหนดจำนวนปีหรือชื่อคณะ อาจจะไม่ได้กำหนดอายุเลยด้วยซ้ำ

ในอนาคตอาจเปลี่ยน เพราะทุกคนต้องเรียนใหม่หมด อาจมีปัญหาตรงกฎระเบียบต่างๆ มากมาย เช่น จำนวนหน่วยกิต ต้องเรียนเยอะไหม ต้องจบ 4 ปีไหม ไปเรียนคณะอื่นอย่างครึ่งๆ ได้หรือเปล่า ตรงนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ต้องช่วยกันปรับ เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มาก พูดเหมือนง่าย แต่มีความยาก

ถ้าไม่เริ่มทำวันนี้ AI เริ่มเข้ามา จะทำให้เกิด gap ที่ใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก ในสิงคโปร์เขาเริ่มทำแล้ว เริ่มจัดตั้งสถาบัน re-skill คน เพื่อตอบสนองทักษะในอนาคต

สิ่งที่เราทำได้คือ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างแรก ไม่ได้หมายถึงการเปิดตำราเรียน แต่ขอให้มีทัศนคติว่าวันนี้เราจะต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ สักเรื่องหนึ่งให้ได้ และเชื่อว่ามันสำคัญกับชีวิตจริงๆ แล้วจะพบว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดี มันจะค่อยๆ เปิดให้เราทีละนิด ถ้าเราเริ่มค้นหามันจะเริ่มเจอ ตรงนี้สำคัญมาก

เคยตั้งคำถามกับระบบการศึกษาไหม และตั้งว่าอย่างไร

มีเยอะ ยุคผมคือ การสอบเอนทรานซ์ครั้งเดียวจบ ดังนั้นสิ่งที่โฟกัสมากๆ ก็คือการสอบแข่งขัน ตอนนั้นผมมุ่งมั่นที่จะเรียนวิศวะก็เลยไม่ได้สนใจ เรียนวิชาอื่นๆ แค่ให้ผ่านไปได้ ซึ่งรู้สึกว่ามันเสียเวลาทั้งเราและคนสอน จำได้ว่าต้องแอบทำข้อสอบของโรงเรียนกวดวิชาใต้โต๊ะเรียน กลายเป็นว่าเราไปโฟกัสกับโรงเรียนกวดวิชามากกว่า เสาร์อาทิตย์คือใช้เวลาอยู่กับโรงเรียนกวดวิชาตอนเย็นจนถึงดึกๆ ดื่นๆ

มองย้อนกลับไปผมว่ามันสะท้อนระบบประหลาดๆ บางอย่าง ทำไมเราถึงตั้งใจกับการกวดวิชา และไม่ตั้งใจเรียนที่โรงเรียนเท่าไหร่ ก็เป็นเรื่องที่เราสงสัยเหมือนกัน ผมคิดว่ามันอาจจะมีปัญหาจากหลายๆ ส่วนด้วยกัน หนึ่ง คือ ปัญหาเรื่องโครงสร้างซึ่งตรงนี้ก็ต้องอาศัยหลายๆ ส่วนเข้ามาดูแล ผมเรียนโรงเรียนรัฐบาลมาตลอด สิ่งที่มักจะเจอที่โรงเรียนรัฐบาล คือ จำนวนเด็กในห้องเยอะมาก ไม่ต่ำกว่า 50 คนแน่นอน ดังนั้น 50 คนในเวลา 1 ชั่วโมงที่ครูหนึ่งคนต้องสอนมันไม่มีทางทั่วถึง ไม่มีคนคอยถามว่าเราเข้าใจในบทเรียนนั้นไหม ถ้าเราอยากจะเรียนรู้หรือขวนขวายอะไรเพิ่มเติมต้องทำด้วยตัวเองตลอด

ช่วงเวลาในวัยมัธยมถนนทุกสายมันวิ่งเข้าสู่การเอนทรานส์ เพราะเราเชื่อว่ามันน่าจะมีสิ่งดีๆ รออยู่หลังจากนั้น มันก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำอะไรมาก

อีกอย่างคือเราผ่านการเรียนวิชาที่มากเกินไปและไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง กลับกันตอนที่เรียนปริญญาโทในต่างประเทศวิชาเรียนน้อยมากแต่ได้ใช้ทุกวิชา และง่ายมากถ้าเทียบกับที่เรียนมาก่อนหน้านั้น

ดังนั้นเราต้องกลับมาถามว่าเราจะให้เด็กเรียนเพื่อให้เขาสอบได้หรือให้เขานำวิชาไปใช้ได้ ทุกคนเชื่อว่าเรียนไปเพื่อสอบทั้งนั้น เพราะการสอบคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และเราไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าเราจะเอาสิ่งที่เราเรียนไปทำอะไรแต่ต้องสอบให้ผ่านให้ได้ก่อน

ระบบการศึกษาปิดทางให้เราค้นหาตัวเองหรือไม่

ค่อนข้างมีผล เพราะเด็กถูกเลือกให้อยู่สายวิทย์สายศิลป์ ตั้งแต่มัธยม แล้วไอ้ที่เลือกกัน อาจไม่ได้ชอบจริงๆ หรือเลือกตามเพื่อน เราไม่ได้มีพื้นที่ให้ค้นหาตัวเอง เวลาที่อยู่โรงเรียนทั้งหมดเราก็ใช้ไปกับการเรียนหนัก เสาร์อาทิตย์ก็ต้องติวกวดวิชาอีก ไม่มีเวลาไปทำอะไร เพื่อนในรุ่นผมทั้งหมดมีแค่คนเดียวที่ได้ไปเรียนดนตรีอย่างที่ตัวเองอยากเรียน ตอนนี้ก็มีการมีงานทำที่ดีอยู่ที่เมืองนอก เพราะเขาได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก

คุณเคยพูดอีกว่า ‘การบริหารพลังงาน’ ถือเป็นการออกแบบชีวิตที่สำคัญ มันสำคัญอย่างไรและมีวิธีบริหารอย่างไรบ้าง

อย่างแรกทุกคนควรหา Kryptonite (แร่จากดาวคริปตอน ส่งผลให้ซูเปอร์แมนอ่อนแอลงได้) ของตัวเองให้เจอ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อย่างผมถ้าเลิกงานแล้วดื่มเบียร์จะยิงยาว แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะรู้สึกพังไปทั้งวัน ผมเลยต้องเลิก ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพังเหมือนผม แต่เราต้องหาให้ได้ก่อนว่าสิ่งที่ดูดพลังงานของเรามันคืออะไร เราก็ต้องมีความตั้งใจจริงๆ ว่าเราจะหยุดมันและค่อยๆ ควบคุมให้ได้ จากนั้นเราก็จะจัดเวลาให้กับมัน

คนเราอาจแบ่งตามเวลาได้ 3 กลุ่ม 1.คนที่ตื่นเช้ามากๆ เป็น early bird 2.คนธรรมดาตื่นปกติ และ 3.คนที่เป็นนกฮูก ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นจำพวกนกฮูกแต่เราดันไปทำงานแต่เช้า ก็จะพังไปเพราะพลังงานเราไม่ได้อยู่ ณ ตอนนั้น แต่ผมเป็นคนตื่นเช้า ช่วงเวลาหลังตื่นนอนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ จะต้องทำอะไรที่สำคัญช่วงเวลานี้เท่านั้น ไม่ควรเอาเวลานี้ไปทำในสิ่งที่มีมูลค่าน้อย เช่น ตื่นมา ยังไม่ตอบอีเมล อาจจะโยกไปทำตอนบ่ายๆ เย็นๆ ก็ได้ ช่วงเวลานี้ เราทำในสิ่งที่ต้องใช้สมาธิอย่างการคิดการเขียนเป็นอันดับแรกก่อน

ต่อมาเราก็ต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ช่วยเสริมพลังงานของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทดลอง สิ่งที่ผมทำคือออกกำลังกาย บางคนออกกำลังกายแล้วรู้สึกเหนื่อย แต่ผมรู้สึกว่าเวลาออกกำลังกายแล้วผมมีแรงที่จะทำอะไรต่อ อีกอย่างคือตอนนี้ผมทำ IF หรือ Intermittent Fasting คือการเว้นช่วงการกินอาหารในแต่ละวัน ไม่ได้ทำเพื่อลดน้ำหนัก สำหรับผมมันช่วย boost energy  หรือผมเคยเป็นคนที่นอนหลับยาก ชอบคิดอะไรก่อนนอน หลังๆ เลยฝึกด้วยการนั่งสมาธิ ช่วงแรกก็เละเทะนั่งไม่ได้แต่ก็พยายามฝึกจนตอนนี้ทำได้ แล้วมันก็ช่วยให้เรานอนหลับเร็วขึ้น

เราก็ต้องค้นหาตัวเองว่าวิธีไหนจะเหมาะกับเรา สิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับคุณก็ได้ กว่าผมจะหาวิธีและจัดสรรเวลาได้ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน ลองนอนดึก ลองนอนเร็ว ทำมาหมดแล้ว จนค้นพบสิ่งที่ช่วยให้เราประหยัดพลังงาน

สุดท้ายคือเรื่องของการเติมจิตวิญญาณ ฟังดูแล้วนามธรรมมากๆ แต่บางคนที่รู้สึกชอบอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูหนัง กิจกรรมตรงนี้ เป็นเครื่องมือในการเติมจิตวิญญาณทำให้เรามีแรงไปสู้และใช้ชีวิตต่อ อะไรที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย สิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ลดความทุกข์และความเครียดที่เราต้องเจอ พยายามหามันให้เจอและบริหารจัดการมันให้ดี

แล้วเงื่อนไขอื่นๆ ในชีวิต เช่น ครอบครัว การงาน จัดการอย่างไร

ต้อง ‘ลอง’ ก่อน เพราะทุกคนย่อมมีเงื่อนไขชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนมีครอบครัวหรือไม่มี เวลาชีวิตก็ต่างกันแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะบริหารจัดการมันไม่ได้ เวลาช่วงเช้าจะควบคุมได้มากกว่าช่วงเย็น ถ้าไม่ต้องไปส่งลูก เราสามารถตื่นไปถึงออฟฟิศได้เช้าๆ แล้วทำอะไรที่อยากทำได้ ตอนเย็นเป็นช่วงที่ควบคุมยากเพราะต้องเจอกับปัญหารถติด แต่เราก็ไม่ควรไปหงุดหงิดกับมันเพราะมันติดทุกวัน สิ่งที่เราควรทำมากกว่านั้นคือ เราจะทำอะไรที่มันตอบสนองจิตวิญญาณและมีประโยชน์ไปด้วย เช่น ฟัง audio book แรกๆ มันจะรู้สึกฝืนมาก รถก็ติด ยังต้องมาฟังอะไรที่หนักๆ อีก แต่พอทำไปสักพัก ความประหลาดจากการทำซ้ำๆ มันจะทำให้เราเริ่มชอบและติด

มนุษย์จะพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง มันจึงเป็นที่มาของวินัย ข้ออ้างมันทำให้เราไม่ต้องคิดเยอะ คนที่ตื่นมาวิ่งได้ทุกวัน มันไม่ได้มาจากที่เขาอยากวิ่ง ส่วนใหญ่ใครๆ ก็ไม่อยากหรอก แต่เขามีวินัยและเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำมันเกิดประโยชน์

เหมือนกับว่าสมองทั้งมีด้าน angel และด้าน devil ส่วนวินัยคือตัวที่ช่วยห้ามไม่ให้ 2 ตัวนี้เริ่มสู้กัน ถ้าเริ่มสู้กันเมื่อไร จะมีตัวใดตัวหนึ่งชนะ และส่วนใหญ่จะเป็น devil ที่ชนะเสมอ

ผมจะตื่นมาวิ่งทุกเช้า สิ่งที่ผมชอบทำคือ ก่อนนอนจะพับชุดกีฬาเตรียมไว้เลย ตื่นเช้ามานับ 1-5 อย่าไปเริ่มคิดว่า จะวิ่งหรือไม่วิ่งดี จังหวะนี้ angel กับ devil เริ่มสู้กันแล้ว ให้นับ 1-5 แล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุด เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วค่อยคิดว่าจะไปนอนต่อหรือไปวิ่ง แต่การที่เราเปลี่ยนชุดแล้วโอกาสน้อยมากที่เราจะกลับไปนอนต่อ น่าแปลกใจมากที่กุศโลบายนี้ได้ผลมากๆ เราต้องออกแบบกุศโลบายต่างๆ ให้กับตัวเอง แล้วเราจะรู้ว่าเราทำอะไรได้-ไม่ได้ มันไม่มีสูตรตายตัว

มันมีคำอธิบายว่า สมองคนเราจะไม่คิดเรื่องที่กำลังทำตลอดเวลา เช่น แปรงฟัน เพราะมันจะเปลืองพลังงานมาก ฉะนั้นอะไรที่เราทำตลอดๆ เราก็ทำอย่างอัตโนมัติเลย การต่อต้านจะน้อยลง

ที่บอกว่าคนรุ่นใหม่จะมีวินัยน้อย จริงไหม

อาจจะไม่ใช่ เราต้องถามก่อนว่า วินัยคืออะไร มันอาจไม่ใช่การลุกขึ้นมาตื่นเช้า ผมคิดว่าวินัยคือการที่เราทำเรื่องเดิมๆ เพื่อรออะไรบางอย่างที่เราอยากได้ในอนาคต ไม่ได้ทำอย่างเลื่อนลอย ในอดีตมันอาจจะเป็นเรื่องของการตื่นเช้าตี 4 ตี 5 แต่ปัจจุบันภาพมันเปลี่ยนไปเยอะ ไม่ได้อยู่ในฟอร์แมตเดิมๆ แบบที่เราคุ้นเคยกัน เราอาจจะไปตีกรอบไม่ได้ว่ามีหรือไม่มี แต่ถ้าเด็กรุ่นใหม่ ยังทำในสิ่งที่เชื่อว่าจะพาตัวเองไปถึงจุดที่อยากได้ ก็อาจจะเรียกว่ามีวินัยก็ได้

คงไม่สามารถสรุปว่ามีวินัยเยอะหรือน้อย เพียงแค่มันเปลี่ยนรูปไป ถ้าเราพยายามเข้าใจพื้นฐาน เช่น วินัยของเด็กยุคนี้ อาจจะเป็นการฝึกตัวเองอย่างไรให้ไม่เล่น facebook ติดต่อกัน 5 ชั่วโมง หรือหลังตื่นนอนทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้หยิบโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรก

มีวิธีดีลกับเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้ Social Media อย่างไร

ผมเชื่อว่าการคุยกันแบบ face-to-face ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ ในองค์กรสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสาร และการสื่อสารที่ดีที่สุด คือการเจอหน้ากัน สิ่งที่สำคัญน้อยสุดคือการพิมพ์ เราเห็นคนทะเลาะกันหลายครั้งแล้วจากการที่พิมพ์สื่อสารกัน จึงต้องพยายามให้อยู่ในบริบทของการเจอหน้ากันให้ได้

แต่จะห้ามใช้ social media ไปเลยก็ไม่ได้ ถ้าเป็นศรีจันทร์ ยิ่งใช้ social media ในการขายของ และเพื่อติดตามกระแสต่างๆ กฎของที่นี่เมื่อเราดีไซน์อะไรไปแล้ว ต้องพยายามช่วยกันดัน จะไม่มีการบอกว่าทำยากจังเลย เหนื่อย ไม่อยากทำ ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น เวลา เราไม่ได้ไปบังคับอะไรมาก

ชอบทำงานกับคนรุ่นใหม่แบบไหน

ส่วนตัวชอบทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วย ชอบเด็กที่มีพลัง มีระเบียบวินัยประมาณหนึ่ง คุยกันรู้เรื่อง และที่สำคัญที่สุด ชอบคนที่พร้อมและอยากจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอด มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราซื้อหนังสือให้คนในออฟฟิศอ่านหลายครั้ง แต่มันก็เท่านั้นถ้าเขาไม่หยิบขึ้นมาอ่าน เรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้เขามีพลังที่อยากเรียนรู้

หนังสือแบบไหนที่จะเลือกซื้อให้

ผมจะเลือกไปเลยว่าหนังสือเล่มไหนเหมาะกับใคร หนังสือเล่มล่าสุดเล่มที่ซื้อให้คนทั้งบริษัทเลยคือ หนังสือชื่อว่า ‘Thank God it’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ’ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวภายในออฟฟิศ เราจะมองเรื่องในออฟฟิศในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรให้เป็นบวก และอีกเล่มที่ชอบมากเหมือนกัน คือ ‘น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20 What I Wish I Knew When I Was 20’ เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง เจอใครก็มักจะแนะนำให้ลองอ่านเล่มนี้

ในโลกที่มี AI เราควรจะพัฒนา Soft Skill ด้านไหนเพื่อจะอยู่ได้ในอนาคต

อย่างหนึ่งที่สำคัญเลยคือ Growth Mindset หรือ ความเชื่อว่าเราจะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา รวมถึงเชื่อว่าคนอื่นเขาก็เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ จะทำให้การทำงานเป็นทีมมันไปได้ นอกจากนั้น Growth Mindset ยังรวมถึง ความกระหายอยากเรียนรู้ การโยนความรู้เก่าๆ ทิ้ง พร้อมเปิดรับความรู้ใหม่ๆ เข้ามา ตอนยุคผมกรอกใบสมัครงาน มันมีช่องให้กรอกว่าคุณพิมพ์เร็วกี่คำต่อนาที ทุกบริษัทจะมีหมดเลยแสดงว่านั่นเป็นทักษะที่สำคัญ แต่ปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ มันกลายเป็นทักษะที่ล้าหลังไปแล้ว

อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความซื่อสัตย์ โปร่งใส เพราะว่าอนาคตมันตรวจสอบได้หมด ถ้าพูดอีกอย่างทำอีกอย่าง ความน่าเชื่อถือจะหายไป เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ทักษะที่มีแล้วดีแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมี ถ้าเราทำทุกอย่างที่เราพูดได้ มันจะทำให้เรามีอิสระ

มีคนถกเถียงกันเยอะมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนสุดโต่งเชื่อว่ามนุษย์จะหายไปเลยในโลกนี้ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า AI จะทำอะไรได้บ้างต่อไปในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือ แล้วเราจะอยู่กับมันได้อย่างไร

เวลาเลือกคนเข้าทำงานจะพิจารณาจากอะไรเป็นพิเศษ

ผมให้ความสำคัญกับเรื่องทัศนคติที่สุด ทัศนคติไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเหมาะกับเราไหม ในบางองค์กรก็ต้องการคนที่เป็นนักแข่งขัน ชอบการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาด้วยลักษณะของงาน งานบางอย่างเราจะประสบความสำเร็จได้ถ้าเราบี้กับคนอื่นตลอดเวลา ในขณะเดียวกันบางที่ก็เหมาะกับคนที่สามัคคี ปรองดอง ขอความคิดเห็นคนอื่น ทั้งสององค์กรนี้ไม่มีอะไรที่ผิด ต้องดูว่าวัฒธรรมขององค์กรเป็นอย่างไร และเลือกทัศนคติที่เข้ากับเรามากกว่า ไม่ได้ดูว่าเรียนคณะอะไรมาถ้าตำแหน่งนั้นไม่ได้เฉพาะเจาะจง เพราะทำงานก็เริ่มเรียนรู้ใหม่

ไม่จำกัดคณะหรือสายที่จบมา?

ยกตัวอย่างเพิ่งรับเข้ามาหนึ่งคน เดิมทีเป็นอาจารย์ ไม่เคยทำ HR มาก่อน แต่เรารู้สึกว่าเขาน่าจะคุยกับคนได้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของตำแหน่งนี้ ส่วนเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องเฉพาะ เช่น เรื่องกฎหมายต่างๆ ก็ไปเรียนรู้ใหม่ได้

ถ้าจะบอกว่า เรียนคณะอะไรก็ไม่ใช่ขนาดนั้น มันก็ยังต้องมีอาชีพที่เฉพาะอยู่ แต่มันไม่ได้แข็งตัวขนาดนั้น ถ้าจะเป็นหมอก็ต้องเรียนหมอมา ไม่ใช่ใครก็ได้ หรือคนที่ทำโฆษณามา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยู่ในวงการโฆษณาตลอดไป

ถ้าสมมุติอยากเริ่มลองค้นหาตัวเอง อาจจะไม่ต้องไปหาที่อื่น เริ่มคุยกับเจ้านายเลยก็ได้ ถ้าองค์กรมีหลายแผนก อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ตำแหน่งใหม่ๆ และเชื่อว่าในอนาคตแผนกที่เราแบ่งกันอยู่ตอนนี้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้คล้ายๆ กับการแบ่งคณะ

คุณเคยบอกว่างานปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ แต่จะทำอย่างไรให้การทำงานหรือหน้าที่ มีความสุขไปด้วย

ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะมาทำศรีจันทร์แล้วจะเป็นอย่างไร แล้วก็อาจจะไม่ใช่งานที่ผมอยากทำที่สุดก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่เป็นหล่อเลี้ยงใจ คือ เราตั้งใจทำงานให้ผลงานออกมาดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม เชื่อว่าทุกคนไม่ได้มีโอกาสทำงานที่ตัวเองรัก แต่สิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขนั้นคือเราทำงานนั้นออกมาได้ดีที่สุด ถ้าเราโฟกัสตรงนี้มันจะทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น

ทุกวันนี้มันมีหลายอย่างที่ผมไม่ได้อยากทำ เราก็พยายามทำให้ได้ ให้เหมือนแข่งกับตัวเองตลอดเวลา วันนี้ทำได้แค่นี้ พรุ่งนี้ทำให้ได้มากกว่านิดหนึ่งก็ยังดี มันอาจจะไม่ได้ทำให้เราชอบมันเลย แต่อยู่กับมันได้ รู้ตัวอีกทีส่วนใหญ่ก็กลายเป็นคนเชี่ยวชาญทางด้านนั้นไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่กับมันได้ตลอด ถ้าอยากขยับขยายตอนไหน เราก็ลองอะไรใหม่ๆ ได้เสมอ

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำคือการตัดพ้อ เอาเวลานั้นไปลองทำให้มันดีก่อน ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็มองหาหนทางใหม่ ถ้าบ่นๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

ในบทบาทของพ่อ เราไม่สามารถนำความรู้ในยุคเก่ามาสอนลูกได้จริงไหม?

ถ้าเป็นด้านความรู้ บางส่วนก็คงจะจริง เพราะเด็กยุคนี้สิ่งที่สำคัญคือภาษากับคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งต่างจากยุคผม แต่สิ่งที่เราสามารถส่งต่อได้ คือสิ่งที่เราเชื่อ เราเห็นแล้วว่าคนที่กตัญญู คนที่ซื่อสัตย์ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อาจจะมีช่วงที่ตกต่ำบ้างแต่ก็จะกลับมาได้เสมอ ค่อยๆ สอน ให้ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องที่อยู่ในกิจกรรมของเราทุกวัน หรือการมีระเบียบวินัย อดทนต่อสิ่งที่เราไม่อยากทำ เช่น การทำงานบ้าน เราค่อยๆ สอนแทรกไป จากประสบการณ์ที่เราเคยผ่านมา เพื่อให้เขาเอาตัวรอดได้

มีวิธีการสอน-เลี้ยงลูกอย่างไรให้รับมือกับตลาดแรงงานในอนาคต

สิ่งที่ตั้งใจไว้คือการพยายามให้เขาชอบอ่านหนังสือ เพราะเชื่อว่าการอ่านหนังสือเป็นวิธีการในการหาความรู้อย่างหนึ่ง เขาอ่านหนังสือทุกวัน วันละชั่วโมง ทุกวัน จนตอนนี้ติดการอ่านไปแล้ว มันเป็นการปลูกฝังอย่างหนึ่งที่เราทำ ผมไม่รู้หรอกว่า เขาจะอยู่ในตลาดแรงงานแบบไหนในอนาคต มันเกินที่จะคาดเดา แต่การที่เขาชอบที่จะหาความรู้ใหม่ๆ ทักษะนี้จะช่วยให้เขาอยู่รอดได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามจะสอนลูกให้ได้ คือทักษะสำคัญในชีวิต เช่น การจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างไร ผมจะซีเรียสมากเวลาลูกทำกิริยามารยาทไม่ดีต่อหน้าผู้ใหญ่ ต้องเรียกมาคุยมาอบรม เพราะผมเชื่อว่าสิ่งนี้มันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อยู่ในสังคมได้

ผมคิดว่าหน้าที่ของพ่อแม่มันคล้ายๆ กับหน้าที่ของผู้นำในปัจจุบันนี้ ที่ให้ลูกได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง สมัยก่อนเหมือนเรามีพ่อและแม่คอยควบคุม ซึ่งมันไม่ได้ผิด ก็เป็นเรื่องของวัฒนธรรม แต่ก่อน CEO ก็ต้องดุ คอยสั่งงาน แต่ยุคนี้มันไม่ใช่

เราต้องเชื่อก่อนว่าทีมงานของเรามีความสามารถเพียงพอ สิ่งที่เราต้องทำคือการทำอย่างไรก็ได้ให้พวกเขาทำงานกันได้โดยมีอุปสรรคน้อยที่สุด มีความเชื่อใจ ผิดมาก็แก้ไข แต่ไม่ลงไปทำให้ แล้วก็ไม่ใช่สั่งๆๆ ไม่ให้เขารู้สึกทำตามคำสั่งอย่างเดียว กับลูกก็เช่นกัน

เราก็ต้องดูว่าลูกเราประมาณไหนแล้วจะเลี้ยงเขาอย่างไรให้เหมาะกับบุคลิกภาพที่เขามีมากที่สุด สิ่งที่เขาชอบ ความเชื่อของเขา จนสร้างตัวตนเขาขึ้นมาให้มีความสุขมากที่สุด

เช่น ลูกคนเล็กชอบทำกิจกรรม ก็ต้องหากิจกรรมให้เขาทำ มันอาจจะเหนื่อยสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องมานั่งคิดว่าจะให้ลูกทำอะไร แต่ผมคิดว่าการเลี้ยงลูกก็เป็นโปรเจ็คท์อย่างหนึ่งที่ยาวนานมากๆ และการทำโปรเจ็คท์มันก็มีไม่กี่อย่าง เช่น ตัววัดผล ระยะเวลา ตัวที่จะช่วยเราวัดผลกับลูกได้คือการเห็นว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำอยู่ไหม สองคือสิ่งที่เราอยากเห็นในตัวลูก เขามีความกระหายที่อยากจะทำเรื่องใด เช่น ลูกคนโตอยากจะซื้อหนังสือตลอดเวลา เราคิดว่าเริ่มมาถูกทางแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขาอ่านแต่หนังสืออย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องที่เราโฟกัส ดังนั้นเราต้องสร้าง environment เอื้อให้เขา เมื่อเขาโตขึ้นเขาจะเลือกซื้อหนังสืออ่านเอง สร้างบรรยากาศในการอ่านให้ได้

ที่บ้านเราจะมี bookclub time วันละครึ่งชั่วโมง วันเสาร์อาทิตย์หนึ่งชั่วโมงให้ทุกคนมาอ่านหนังสือ ห้ามเล่น Ipad พยายามทำเรื่องพวกนี้

เรียนรู้อะไรจากลูกบ้าง

เรียนรู้ว่า มนุษย์ทุกคน ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่เขามีมุมมองเป็นของตัวเองจริงๆ แต่ว่าเราชอบตัดสินทุกอย่างจากมุมมองของเราเอง ซึ่งก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่พอเราตั้งใจฟัง สิ่งที่เขาพูด มันก็มีเหตุผลเหมือนกันนะ วันก่อนเขาทำช้อนหายไป เราก็หาช้อนที่หน้าตาเหมือนกันมาให้ เขาบอกว่ามันไม่ใช่ ช้อนที่หายมันเป็นช้อนวิเศษ เพราะว่ามันเคยผ่านการขุดดินของเขามา ซึ่งผู้ใหญ่มองว่ามันก็คือช้อนเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สำหรับเด็ก

เหตุการณ์นี้มันสอนเราว่า เวลามองอะไรต้องมองจากอีกมุมหนึ่ง เรื่องนี้ใช้กับที่ทำงานได้ด้วย เพราะว่าการตัดสินอะไรจากมุมเดียว เรามักจะรู้สึกว่า ทำไมเรื่องนี้มันงี่เง่าจัง แต่ถ้าเรากลายเป็นเขา เราอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ก็ได้

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)AIDisruption21st Century skillsรวิศ หาญอุตสาหะ

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Education trend
    การศึกษาในโลกยุคใหม่และเรียนรู้ตามความถนัด: ควรมุ่งเน้น AI หรือ พหุปัญญา?

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel