- จากวัยเด็กที่เคยไม่มั่นใจในตัวเอง ‘อุ๊นอุ่น – เติมอุ่น สันป่าแก้ว’ กลับพบว่าการอ่านคือพลังที่เปลี่ยนชีวิต และวันนี้เธอกลายเป็นหนึ่งในสปีกเกอร์ของ TEDxBangkok Youth 2025 – เย็บ ปัก ถัก ทอล์ก (Tied & Told) กับทอล์ก ‘To read is to breathe.’ ที่ชวนมองว่าการอ่านคือ ‘ลมหายใจของการเรียนรู้’
- หนังสือการ์ตูน ลา ฟลอร่า (La Flora) ที่เธอหยิบขึ้นมาอ่านในห้องสมุด TK Park คือจุดเริ่มต้นของการกล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน ลองเรียนภาษาอังกฤษ เดินทางไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เดนมาร์ก ซึ่งทั้งหมดเริ่มจากแรงบันดาลใจบนหน้าหนังสือ
- อุ๊นอุ่นเชื่อว่า ‘หนังสือคือประตู’ ที่เปิดให้เราเข้าใจทั้งโลกและหัวใจของตัวเอง การอ่านไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการ แต่คือพื้นที่เยียวยาและสร้างแรงบันดาลใจ และอยากเห็นสังคมไทยมี นิเวศการอ่านที่แข็งแรง
พลังการอ่านสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กคนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ได้ค้นพบแพสชัน กลับมาตั้งใจเรียนเพื่อเดินตามความฝัน และเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง
เด็กคนนั้นคือ อุ๊นอุ่น – เติมอุ่น สันป่าแก้ว ซึ่งปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 จาก Savannah College of Art and Design (SCAD) หนึ่งในสปีกเกอร์ของ TEDxBangkok Youth 2025 – เย็บ ปัก ถัก ทอล์ก (Tied & Told) ที่เธอให้ชื่อว่า ‘To read is to breathe. ลมหายใจหนังสือในสังคมไทย’

อุ๊นอุ่นเคยนิยามตัวเองว่าเป็น ‘เด็กไม่เอาไหน’ สอบได้ที่โหล่ เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ แต่หลังจากที่หนังสือเล่มแรกทำให้เธอออกเดินทางทางความคิด และเล่มต่อๆ มาบ่มเพาะความเป็นนักเรียนรู้ กระทั่งในที่สุดผลพวงจากการอ่านทำให้เธอเขียนบทละครเรื่อง ‘A Human Story’ และได้แสดงในเทศกาลละครกรุงเทพ (ปี 2566)
“อุ่นชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก อุ่นเห็นพลังของการอ่านมาแล้ว”
ด้วยความเชื่อมั่นนี้ เธอจึงอยากสร้างแรงบันดาลใจในการอ่านให้กับเด็กๆ ส่งต่อวัฒนธรรมการอ่านและส่งเสริมนิเวศการอ่านที่แข็งแรงให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ห้องสมุดคือจุดเริ่มต้นของความรัก ‘การอ่าน’
“ตอนสมัยประถม อุ่นเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเอาไหนเท่าไหร่ตามมาตรฐานสังคมไทย ก็คือสอบได้ที่โหล่ เข้ากับคนไม่ได้ แล้วก็โดนเปรียบเทียบกับคนรุ่นเดียวกันบ่อยๆ ว่าทำไมไม่มีแพสชันอะไรเลย จนคุณแม่พาไปห้องสมุด TK Park แล้วที่นั่นอุ่นก็ได้เจอตัวเอง พอได้อ่านหนังสือตั้งแต่การ์ตูน ชีวประวัติ นิยาย ก็เห็นว่ามันมีอะไรให้ทำเยอะแยะ อุ่นก็เลยลองออกจากคอมฟอร์ตโซน ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ เพราะจะได้อ่านหนังสือเล่มที่ไม่ได้แปลไทยให้ออก ลองเริ่มเขียนเพราะชอบวรรณกรรม แล้วก็เขียนไปเรื่อยๆ จนบทละครที่เขียนก็ได้ไปแสดงในเทศกาลละครกรุงเทพค่ะ ก็เลยรู้ซึ้งมาตลอดว่าแค่การอ่านตัวอักษรไม่กี่ตัว มันสร้างแรงบันดาลใจให้คนได้ขนาดไหน”
การใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดนี่เองที่ทำให้อุ๊นอุ่นได้พบกับหนังสือเล่มที่เปลี่ยนชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นให้อุ๊นอุ่นอยากไปเรียนที่ต่างประเทศ
“หนังสือการ์ตูนที่ชื่อว่า ลา ฟลอร่า (La Flora) ตอนนั้นได้อ่านใน TK Park นี่แหละค่ะ เล่าถึงตัวละครเด็กไทยที่ได้ไปเรียนในสถาบันเป็นโรงเรียนเจ้าหญิง ที่รวมตัวละครจากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เห็นความเป็น Globalization (โลกาภิวัตน์) ตอนเด็กๆ เราก็มองว่าเป็นเด็กไทย ก็อยู่แต่ในไทยก็พอแล้ว แต่พอได้อ่านเรื่องนี้ ได้เห็นตัวละครที่ออกไปสัมผัสประสบการณ์มากมายทั่วโลก ทำให้รู้สึกว่าอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้างจังเลย ก็เลยเริ่มตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ และก็ลองสมัคร AFS ไปเรียนต่อที่ประเทศเดนมาร์ก แล้วตอนแรกๆ ที่ไปเรียนก็จะโดนภาพจำของไทย แบบขี่ช้างไปโรงเรียนจริงไหม ก็จะแอบโดนเหยียดนิดนึง แต่เราก็จะนึกถึงตัวละครในการ์ตูนเรื่องนี้ ที่เป็นเด็กไทยแต่ก็ไปอยู่ในสังคมที่มีตัวละครจากทั่วโลกได้ เราก็เลยเริ่มตั้งใจเข้าหาผู้อื่น เริ่มทำกิจกรรม เริ่มเสนอความเป็นไทย พยายามเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด

เพราะแรงบันดาลใจที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนั้น สุดท้ายตอนเรียนจบเขาจะมีคล้ายๆ งานพรอมให้ประกวดความควีน ความคิง อารมณ์แบบดาวโรงเรียน เราเลยได้เป็นเด็กนักเรียนต่างชาติคนแรกที่ได้เป็นดาวโรงเรียน นักเรียนเดนมาร์กแล้วก็นักเรียนต่างประเทศก็โหวตให้เรา ก็เลยคิดว่าถ้าเราไม่ได้อ่านหนังสือเรื่องนั้น ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เด็กไทยก็มี Potential (ศักยภาพ) เราอาจจะไม่ได้กล้าขนาดนั้น ก็เป็นอีกพลังการอ่านและน่าจะเป็นหนังสือเล่มแรกที่จุดประกายยาวมาจนถึงตอนนี้”
พลังของการอ่านทำให้เข้าใจตัวเองและผู้อื่น
การอ่านทำให้อุ๊นอุ่นได้แรงบันดาลใจในการก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเองออกไปเจอโลกกว้าง ได้เข้าใจโลกในมิติที่กว้างขึ้น และการอ่านยังทำงานกับความคิดของเธออีกด้วย
“อุ่นมองว่าหนังสือทำให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น เป็นเหมือนหน้าต่างเเล้วก็กระจกในเวลาเดียวกัน ให้เราเห็นและก็ให้เราสะท้อน
พอเราได้อ่านตัวละครที่มีมุมมองต่างจากเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัย เชื้อชาติ เพศ หรือชีวิต เราจะได้เห็นตัวเองในมุมมองคนอื่นมากขึ้น และพอเราได้อ่านตัวละครที่คล้ายกับเรา เราจะได้ทบทวนตัวเองด้วย”
เธอแชร์หนังสือเล่มล่าสุดที่ประทับใจ และทำให้ได้เข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น ชื่อหนังสือ‘จากดวงใจ’ เขียนโดย คีตกร จ.มงคล สาทิศ
“จากดวงใจ เป็นหนังสือชีวประวัติของนักดนตรีคลาสสิก อาจจะงงว่าทำไมเราถึงอ่านแล้วประทับใจ คือช่วงหลังๆ อุ่นชอบฟังดนตรีคลาสสิกมากขึ้น ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ามันน่าเบื่อ แต่อุ่นมองว่าดนตรีคลาสสิกให้อารมณ์เดียวกับการอ่านหนังสือคือมันให้เสรีภาพเราในการตีความความหมาย”

“การอ่านหนังสือ เสน่ห์ของมันคือตัวอักษร พอเราอ่านเราจะเห็นภาพในหัวขึ้นมาเอง อุ่นชอบดูหนัง แต่เวลาดูหนังมันก็จะมีภาพที่ถูกกำกับมาให้ กลับกันดนตรีคลาสสิกมันไม่มีเนื้อร้อง เวลาฟังเราก็จะตีความได้ว่าที่เขาเขียนเขาอยากให้เรารู้สึกยังไง เล่มนี้เป็นเล่มที่เล่าชีวประวัติของนักดนตรีคลาสสิก 10 กว่าคน เช่น บีโธเฟน, โชแปง, ชูเบิร์ต แต่ละคนชีวิตเขาก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด อย่างบีโธเฟนเขาก็หูหนวก โชแปงก็ผิดหวังในความรัก เราก็เลยได้เข้าใจมากขึ้นว่าบทเพลงที่เราฟังมันเป็นยังไง แต่พออุ่นอ่านจบสิ่งนึงที่ทำให้อุ่นรู้สึกเลยก็คือ เวลาที่เราได้ฟังดนตรีคลาสสิกเราไม่ได้เหมือนเรากำลังฟังแต่เราถูกฟัง เราได้มาเข้าใจตัวเองมากขึ้น อย่างผู้แต่งชีวิตเขาก็เจออะไรมามากมายกว่าจะมาเป็นบทเพลงหนึ่งที่เต็มไปด้วยอารมณ์และก็ความรู้สึก เวลาที่เราฟังเราก็เลยรู้สึกอินมากขึ้น”
นอกจากนี้การอ่านยังเป็นเหมือนเป็นเครื่องมือฮีลใจในยามที่ข้างในกำลังสับสน หรือครุ่นคิดถึงบางอย่างอยู่
“อุ่นมองว่า ความรู้สึกบางครั้งเราให้ชื่อมันไม่ถูก มันเหมือนเป็นสิ่งที่ฟุ้งอยู่ในหัว แต่พอเราได้อ่านหนังสือบางครั้งเราได้อ่านเรื่องที่ผู้เขียนถอดเรื่องที่เรารู้สึกออมาเป็นตัวอักษร รู้สึกว่าคนนี้มองเห็นเรา
อีกเล่มหนึ่งที่อุ่นได้อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวละครนี้กำลังพูดแทนเราเลย เป็นนิยายรัสเซียค่ะ ชื่อว่า Notes from Underground ของ ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี Fyodor Dostoevsky ชื่อไทยชื่อ บันทึกจากใต้ถุนสังคม ฟังดูแรงนิดนึงนะคะ แต่ว่าเรื่องมันเล่าจากมุมมองของตัวละครที่อยู่ในใต้ถุนบ้านตัวเอง เเล้วก็เล่ามุมมองที่เขามีต่อโลก เพราะว่าใต้ถุน มันเป็นตัวแทนของสิ่งที่อยู่ในใจ ละครตัวนี้ก็จะพล่ามไปทั่วเลยถึงสิ่งที่เขาคิดกับตัวเอง สิ่งที่เขาคิดกับคนอื่น แล้วคือบางครั้งมันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่า เราก็คิดนะแต่เราไม่กล้ายอมรับ ตัวละครตัวนี้มันพูดแทนให้ พอได้อ่านแล้วก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นการเยียวยาให้เราได้เข้าใจในระดับหนึ่ง”
นิเวศการอ่านที่แข็งแรง เริ่มจากการส่งเสริมในครอบครัว และแรงสนับสนุนจากภาครัฐ
อุ๊นอุ่นย้ำว่า การอ่านสร้างแรงบันดาลใจให้คนได้มากมายจริงๆ อย่างที่เธอมีเป้าหมายอยากไปเรียนที่ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเรียนอยู่ที่ Savannah College of Art and Design (SCAD) ก็เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ อยากไปสัมผัสวัฒนธรรมจากเรื่องที่อ่าน และที่นั่นก็ทำให้เห็นถึงนิเวศการอ่านที่เธออยากให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
“พออุ่นไปอเมริกา สิ่งที่เห็นคือประเทศเขาส่งเสริมเรื่องการอ่านมาก มีตั้งแต่ตู้ปันหนังสือ มีโครงการเอาตู้หนังสือไปตั้งตามร้านตัดผม แล้วก็จะเห็นนักเขียนเขาเดินขายหนังสือตามขบวนรถไฟ ก็เลยรู้สึกว่ามันมีไปหมดเลย อุ่นก็เลยเริ่มหันกลับมามองประเทศไทย คือคนไทยก็ชอบอ่าน อย่างงานหนังสือก็เห็นคนไปอ่านกันเยอะใช่ไหมคะ แต่งานหนังสือมันเป็นสิ่งที่เป็นปลายน้ำไปหน่อย ก็คือหลายๆ คนจะรอทั้งปีเพื่อมาซื้อหนังสือในงานหนังสือ จนร้านหนังสือหรือสำนักพิมพ์ก็จะไม่ค่อยมีรายได้ช่วงระหว่างนี้
แล้วกลับกันประเทศไทยยังขาดการสนับสนุนตั้งแต่ด้านโครงสร้าง การวางรากฐานเชิงนโยบาย อย่างของที่ญี่ปุ่นเขามีสภาส่งเสริมหนังสือโดยเฉพาะเลย หรือว่าในระดับเศรษฐกิจ ในประเทศไทยธุรกิจหนังสือมันก็ยังไม่เข้าถึงแหล่งทุนขนาดนั้น”
“ในด้านกฎหมายที่หลายคนมองว่าไม่เกี่ยวกันแต่มันก็มีผล อย่างประเทศเยอรมนีเขาก็มีกฎหมายควบคุมราคาหนังสือ หรือด้านวัฒนธรรมถ้าอุ่นจำได้ไม่ผิด ในประเทศอังกฤษเขามีโครงการ Bookstart เขาจะให้ผู้ปกครองที่เพิ่งคลอดลูกไปขอถุงหนังสือได้ ในถุงหนังสือนั้นก็จะเป็นรวมหนังสือเด็กให้เด็กอ่าน จนยอดการอ่านมันสูงเพิ่มขึ้นมาก”
นอกจากนี้ อุ๊นอุ่นอธิบายเสริมว่า จากที่ได้ศึกษาข้อมูลมา มีผลสำรวจบอกว่าเด็กไทย (เด็กเล็ก) กว่าล้านคนเข้าถึงหนังสือไม่ได้ เพราะว่าผู้ปกครองมองว่าเด็กเกินไป ทั้งที่การอ่านตั้งแต่เล็กจะปลูกฝังให้เด็กเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่รักการอ่านและรักในการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
ในฐานะเยาวชนที่ชื่นชอบการอ่าน และมองเห็นพลังของการอ่าน อุ๊นอุ่นจึงอยากส่งเสียงไปถึงสังคม
“หนังสือมันเหมือนประตูค่ะ เราอยากเห็นอะไรใหม่ๆ เราต้องเริ่มจากเปิดมัน หลายคนอาจจะมองว่า การอ่านมันดูเป็นเรื่องวิชาการ หรือเป็นอะไรที่มันยากจังเลย ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะระบบการศึกษามันเน้นให้ดูเป็นเรื่องสอบหรือวิชาการด้วย
เราต้องอย่ากลัวมันค่ะ เริ่มจากหาหนังสือที่รู้สึกว่าน่าสนใจ บางทีน่าจะเริ่มจากการอ่านรีวิวหนังสือในเน็ตเยอะๆ อย่างในติ๊กต๊อกเขาก็จะมีคอนเทนท์รีวิวหนังสือโดยเฉพาะเลย แล้วถ้าเราสนใจเล่มไหม เราก็เริ่มลองอ่านแล้วก็เปิดใจให้มัน หรือว่าอย่างที่บอกค่ะ การไปห้องสมุดมันก็เหมือนไปล่าขุมทรัพย์ อาจจะเจอเล่มใหม่ๆ ที่ไม่ได้สนใจ หรือแม้แต่ในไทยก็จะมีโครงการ Book Passport เขาจะให้สมุดเล่มเล็กๆ กับเรา แล้วให้เราไปล่าแสตมป์กับร้านหนังสืออิสระที่ร่วมโครงการทั่วประเทศ เหมือนได้ไปเที่ยวด้วย”

หัวใจสำคัญคือการทำให้การอ่านหนังสือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการอ่านในบ้านเรา
“ถ้าเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ลองพกหนังสือไปที่ต่างๆ แล้วก็หาเวลาอ่านให้ตัวเองเยอะๆ ก็จะช่วยได้ อย่างอุ่นเมื่อก่อนก็จะเป็นคนที่แบบต้องจัดบรรยากาศให้ดี ต้องอ่านบนเตียง ต้องมีเพลงคลอ ถึงจะรู้สึกเริ่มอ่านได้ แต่อย่างที่ตอนอุ่นไปญี่ปุ่นคนเขาก็เปิดหนังสืออ่านกันในรถไฟฟ้า ตามคาเฟ่ก็หยิบขึ้นมาอ่านกัน ก็เลยทำให้หนังสือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเราไปด้วย”
สุดท้ายนี้ อุ๊นอุ่นฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองว่า พลังของการอ่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับหนังสือที่ให้ความรู้หรือตำราเรียนเท่านั้น การอ่านหนังสือนอกเวลา หรือแม้แต่หนังสือการ์ตูนที่เด็กๆ สนใจ ก็สามารถสร้างการเรียนรู้และแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ได้เช่นกัน
“ผู้ปกครองหลายคนอาจมองว่า การ์ตูนเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นวิชาการ หรืออาจจะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระด้วยซ้ำ แต่สังเกตไหม ทำไมหนังสือนิทานของเด็กถึงเป็นหนังสือภาพ เพราะว่าเด็กไม่ได้เรียนรู้แค่การอ่าน แต่เขา Visualize (จินตนาการ) ภาพด้วย อย่างการ์ตูน ลา ฟลอร่า หรือการ์ตูนของสำนักพิมพ์ E.Q.plus แม้แต่ขายหัวเราะ เขาก็ยังสอดแทรกแนวคิด อย่างลา ฟลอร่า ก็จะเกี่ยวกับเรื่องประเทศ วัฒนธรรม หรืออย่างขายหัวเราะบางทีเด็กอ่านอาจจะเกิดเป็น Sense of Humor ที่ทำให้เขาเป็นเด็กอารมณ์ดี มีความฉลาดทางอารมณ์ขึ้นก็ได้
ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่ไร้สาระ ขึ้นอยู่กับผู้อ่านว่า เราอ่านแล้วเราจะตีความอะไรได้บ้าง ก็เลยอยากจะส่งเสริมให้คุณพ่อคุณเเม่ พาลูกเข้าร้านหนังสือเยอะๆ ไปห้องสมุดก็ได้ค่ะ เพราะมันมีงานวิจัยบอกว่าถ้าเด็กเริ่มอ่านตั้งแต่เล็ก เขาก็จะรักการเรียนรู้ไปตลอด เหมือนกับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เราต้องรีบปลูกมันถึงจะงอกออกมา”