- จาก Jeffrey Epstein Filthy Rich สารดคีสืบสวนคดีค้าประเวณีและล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีของนักการเงินทรงอิทธิพล เจฟฟรีย์ เอปสตีน ถึง ความเข้าใจว่าทำไมเด็กที่ถูกคุกคามทางเพศ จึงใช้เวลาหลายปีค่อยออกมาเล่าความจริง
- เหยื่อส่วนใหญ่ของเอปส์ตีนเป็นเด็กสาวอายุไม่ถึง 17 ปี ส่วนใหญ่ที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่า เศรษฐกิจทางบ้านไม่ดี จำนวนหนึ่งเคยถูกข่มขืนหรือคุกคามทางเพศในวัยเด็ก ความสับสน หวาดกลัว ทั้งการถูกคุกคามจากผู้มีอำนาจและอิทธิพลก็ดูจะเป็นสถานการณ์ที่รับมือได้ยาก ทั้งพวกเธอยังถูกบอกให้เชื่อว่าการอยู่กับผู้ชายอย่างเอปส์ตีนคือความปลอดภัยและเขาอาจมอบชีวิตที่ดีกว่าให้
- ชวนดู Jeffrey Epstein Filthy Rich เพื่อทำความเข้าใจมิติของการคุกคามทางเพศ ดูเพื่อลองจำลองความคิดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของผู้ที่ถูกคุกคามว่ามันทั้งสับสน ไม่มั่นคง มันตัดสินชี้แนะด้วยหลักการไม่ได้ ดูว่ามันมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขาไม่กล้าพูดออกมา
ช่วงเดือนที่ผ่านมาเราได้เห็นข่าวคุกคามทางเพศในเด็กประถมและมัธยม หลายรายถูกกระทำเช่นนั้นต่อเนื่องเป็นขวบปีกว่าเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำจะออกมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทุกครั้งที่ดูข่าว เราสงสัยว่าจุดที่พวกเขาทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปบอกใครสักคน เขาทำด้วยความรู้สึกอย่างไร ในห้วงเวลานั้น ทุกเช้าที่ลืมตา เขาตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกแบบไหน เสียงที่คิดในหัวคือคำว่าอะไร มีอะไรเกิดขึ้นในความคิดและจิตใจขณะนั้นบ้าง?
Jeffrey Epstein Filthy Rich สารคดีสืบสวนคดีค้าประเวณีและล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี ของนักการเงินทรงอิทธิพล เจฟฟรีย์ เอปสตีน (คศ. 1953 – 2019) เผยแพร่ครั้งแรกที่ Netflix ราวเดือนเมษาที่ผ่านมา ตอนที่เขาเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในคุกจากคดีดังกล่าวนั้น เขามีอายุ 66 ปีแล้ว
แต่ ณ วันที่ มาเรีย ฟาร์เมอ (Maria Farmer) หนึ่งใน Survivors หรือ ผู้หนีรอด ฟ้องร้องต่อ FBI ครั้งแรกในปี 1996 เอปส์ตีนอายุ 43 ปี ขณะนั้นมาเรียเพิ่งเรียนจบจากสถาบันศิลปะนิวยอร์กอายุ 20 ต้นๆ งานของเธอโดดเด่นด้วยภาพวาดเด็กสาวเปลือยร่างกายบางส่วน นางแบบส่วนใหญ่ในงานของเธอคือพี่น้องของตระกูลฟาร์เมอร์เอง
เธอถูกชวนไปทำงานที่มีความเกี่ยวพันกับเอปสตีน จากนั้นถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเอปสตีน และ กีเลน แม็กซ์เวล คู่รักของเอปส์ตีน หนึ่งในผู้มีส่วนรู้เห็น ล่อลวง จัดหา และคุกคามทางเพศเด็กสาวในขบวนการค้าประเวณี คุกคามทางเพศกับมาเรียไม่พอ ทั้งคู่ยังขโมยภาพวาดหญิงสาวอ่อนวัยที่มีลักษณะเปลือยบางท่อนกลับบ้านไปด้วย นอกจากนี้ น้องสาวของมาเรียที่ชื่อแอนนี ขณะนั้นอายุ 16 ปี ก็ถูกล่อลวงด้วยสถานการณ์คล้ายๆ กัน (ในสารคดีเรื่องนี้ ทั้งมาเรียและแอนนี เป็น Survivors ที่ออกมาเล่า เปิดเผยเรื่องราว และต่อสู้ในคดีฟ้องร้องเอปส์ตีนอย่างกล้าหาญ)
ทั้งหมดนี้แปลว่า หากเชื่อและนับการฟ้องร้องของมาเรียในปี 1996 ก็แปลว่าเอปสตีนกระทำการครั้งแรกในวัย 43 ปี ต่อเนื่องเรื่อยมากระทั่งช่วงปี 2018 จุดปีที่แฟ้มคดีเอปส์ตีนถูกเปิดเผยในวงกว้าง ทั้งหมดทั้งมวล – ระยะเวลาของธุรกิจค้าประเวณี จำนวนเหยื่อที่ผันตามจำนวนปี การดำเนินคดีสอบสวน – ก็จะกินเวลาราว 23 ปี เลยทีเดียว
พูดให้รู้สึกใกล้ชิดขึ้นอีกนิด เราอาจรู้จักข่าวนี้จากการ forward (‘ออกมาเล่าเรื่อง’ ‘ออกมาพูดความจริง’ ในความนัยที่แปลว่า ‘ก้าวไปข้างหน้า’) ของหนึ่งในผู้รอดคดีเอปส์ตีนอย่าง เวอร์จิเนีย โรเบิร์ตส์ (ปัจจุบันเปลี่ยนนามสกุลเป็น จุฟเฟร) ออกมาบอกว่าชายแก่หนึ่งคนที่เธอต้องบริการครั้งอยู่กับเอปส์ตีนและกีเลน คือ เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ก พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร การตอบโต้กันด้วยข้อมูลคนละด้านของทั้งคู่ทำให้ข่าวนี้ได้รับความสนใจและกินพื้นที่สื่อทันทีในปี 2019 ข่าวเอปส์ตีนถูกกระพือให้กลายเป็นที่รู้จัก ถูกขุดคุ้ย ถูกศึกษา และทำความเข้าใจเรื่องการคุกคามทางเพศอย่างเข้มข้น ทั้งเป็นหนึ่งในการปลุกกระแส #Metoo ในช่วงปีนั้นด้วย
ความสับสน ไม่มั่นคง อำนาจที่น้อยกว่า และการถูกทำให้เชื่อว่าการไม่พูดคือความปลอดภัย ในมุม Survivor
วิธีการของเอปสตีน คือ ชักชวนเด็กสาวม.ต้น อายุไม่เกิน 17 ปี โดยส่วนใหญ่ ‘ผู้คัดเลือก’ หรือ ‘แมวมอง’ จะเลือกเด็กที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่า เศรษฐกิจทางบ้านไม่ดี จำนวนหนึ่งเคยถูกข่มขืนหรือคุกคามทางเพศในวัยเด็ก ล่อลวงด้วยการบอกว่าจะมีงานพิเศษให้ทำ เป็นงานที่ง่ายและสบายๆ อย่างการเข้าไปนวดให้กับเศรษฐีคนหนึ่ง (คนนั้นคือเอปส์ตีน) ในโซนร่ำรวยอย่างเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า เด็กสาวจะได้ค่าตอบแทนหลังเสร็จงานทันทีจำนวน 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ
แมวมองคนแรกๆ ในช่วงต้น คือ กีเลนและหญิงสาวใกล้ชิดในฮาเร็มของเขา จากนั้นจะหา ‘นกต่อ’ รุ่นเยาว์ต่อไป โดยการหว่านล้อมให้เด็กสาวบางคนที่ไม่ยินยอมให้เขาล่วงละเมิด ไปชักชวนเด็กสาวคนอื่นมาให้บริการแทน เครือข่ายการคุกคามทางเพศจึงขยายต่อเป็นใยแมงมุมโดยเหล่า ‘นกต่อ’ วิธีนี้ทำให้ ‘นกต่อ’ ไม่ต้องถูกล่วงละเมิดโดยตรง แต่ยังได้รับผลประโยชน์จากเอปส์ตีนอยู่
จากการรวบรวมหลักฐานของตำรวจแห่งเวสต์ปาล์มบีช และ FBI คาดว่าเหยื่อของเอปส์ตีนจากการหาเหยื่อเช่นนี้ มีมากถึงหลักพันคนตลอดช่วงเวลาเกือบยี่สิบปี
จากการบอกเล่าของ Survivors ทั้งที่เคยเป็น ‘นกต่อ’ และ เหยื่อ พบลักษณะที่คล้ายกัน คือ บางรายเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศก่อนแล้ว (ซึ่งนกต่อ และ เอปส์ตีนรู้ข้อเท็จจริงนี้ จึงพุ่งเป้าเข้าหา) แต่เมื่อถูกชวนให้กลับไป ‘นวด’ อีกครั้ง แม้หวาดกลัว โกรธ รู้สึกว่าถูกดูถูกเหยียดยาม สับสน และรู้ชัดว่าสิ่งนี้คือการคุกคามทางเพศ แต่จำนวนหนึ่งกลับไป ‘นวด’ อีก อยู่ในห้วงเวลานั้นยาวนานหลายเดือน บางรายหลายปี
“ทุกคนกลัวเขา และความกลัวเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของเขา นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขามีอำนาจ”
แบรด เอ็ดเวิร์ด ทนายฝ่ายผู้รอด กล่าวไว้ตอนหนึ่งในสารคดี
ความน่ากลัวที่ว่า ไม่ได้มาจากการถูกทำร้ายร่างกาย Survivors เหล่านั้นไม่ได้ให้การว่าถูกทำร้ายทุบตี (แต่อาจถูกข่มขืนด้วยความรุนแรง) ตรงกันข้าม Survivors เล่าว่า เอปส์ตีนมีบุคลิกที่ดูเป็นคนธรรมดา โน้มน้าวเก่ง ควบคุมคนได้ราวปีศาจ รู้ว่าจะหยิบยื่นข้อเสนอให้พวกเธออย่างไร เช่น บอกว่าจะสนับสนุนความฝัน บอกว่าการอยู่กับเขาจะเป็นวิธีที่ทำให้พวกเธอได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น และ การเลือกเหยื่อที่เคยถูกข่มขืนมาก่อน ก็เป็นเหตุให้เด็กสาวหลายคนรู้สึกว่าพวกเธอไม่มีค่าเป็นทุนเดิม
“ส่วนหนึ่งของการค้าประเวณีคือ คุณถูกบังคับตั้งแต่แรก เมื่อคุณเปิดประตูบานนั้น พวกเขาปิดประตูบานนั้น คุณก็จะออกมาไม่ได้” หนึ่งใน survivor ที่ถูกเอปสตีนข่มขืนกล่าว
‘ต้องไม่ลืมว่าขณะนั้นฉันเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 14 15 แม้รู้ว่านี่คือการคุกคามและน่าขยะแขยง แต่เราก็เป็นเด็กคนนึงที่ทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกให้ทำ’
ฉันจำไม่ได้แล้วว่า Survivor คนใดเป็นเจ้าของคำพูดซึ่งมีใจความประมาณนี้ แต่ประโยคเรียบง่ายเช่นนี้ กลับตีหัวฉันให้มองสิ่งที่เกิดตรงหน้าด้วยความเข้าใจใหม่ ฉันเจอผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ไม่อาจตัดสินใจบนความถูกผิด พวกเธอคือเด็กสาวอายุไม่เต็ม 15 ที่อยู่ดีๆ ก็ถูกชักชวนให้ไปเจอกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเตรียมพร้อม ความสับสน ความกลัว และถูกคุกคามจากคนตัวใหญ่ที่ดูอย่างไรก็มีอำนาจกว่า มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ง่ายต่อการรับมือเลยจริงๆ
Survivor คนหนึ่งกล่าวว่า วันที่เธอเดินลงบันไดบ้านของเอปส์ตีนหลังจากเห็นเขาช่วยตัวเองซึ่งหน้า เธอรู้สึกว่าร่างกายสกปรก บอกว่าเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์นั้น โลกของเธอกลับไม่สดใสเหมือนดอกไม้แรกแย้มอีกต่อไป แม้หลังจากนั้นเธอไม่ได้กลับไปที่บ้านเอปส์ตีนอีก แต่เฉดสีในโลกของเธอเปลี่ยนไปแล้ว เธอหลงทางไปช่วงหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองกำลังเก็บความลับดำมืดไว้กับตัว เริ่มเสพยา เปรียบตัวเองว่าเป็นดอกไม้ที่ถูกเหยียบ และ ไม่อาจทำเป็นลืมภาพวันนั้นได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กอายุไม่เต็ม 16 ดี
เหตุผลของเด็กผู้หญิงอีกคนที่กลายเป็นนกต่อก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำมันผิด แต่ต้องไม่ลืมว่าเธอเป็นหญิงสาวอายุ 16 ปี เคยถูกข่มขืนมาก่อนหน้า ฐานะทางบ้านยากจนและอยากหาเงินสักก้อนหนีจากบ้านเกิด หนีให้พ้นจากอดีตเรื่องการถูกข่มขืน การได้เงินจากเอปส์ตีนเรื่อยๆ ครั้งละ 200 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นคือเงินก้อนที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอ ทำให้หลุดพ้นไปจากวงจรมืดมิดนี้ เธอเองก็สับสนและไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเธอเต็มใจทำ แต่… รู้ตัวอีกทีมันก็เป็นไปแล้ว สุดท้ายเธอเข้ามอบตัว สารภาพว่าทำอะไรบ้าง และเป็นพยานสำคัญให้กับตำรวจแห่งเวสต์ปาล์มบีชต่อไป
บทลงโทษทางสังคมของหญิงสาวที่ตัดสินใจพลาดในอายุ 16 วันนั้น คือการถูกสื่อและสังคมเรียกขานว่า ‘โสเภณี’ ต่อเนื่องหลายปี ทุกครั้งที่เปลี่ยนงานใหม่ก็ระแวงว่าจะถูกสังคมรุมประณามอีก
เธอทำผิดต่อผู้หญิงวัยเด็กหลายคน และฉันไม่ได้บอกว่าการกระทำของเธอถูกต้อง แต่จริงหรือไม่ที่น้ำหนักแห่งความรู้สึกผิดนี้ถูกโยนลงมาที่ตัวเธอเต็มๆ ทั้งที่ผู้กระทำผิดจริง กลับลอยเหนือความผิดเพียงเพราะเขามีอำนาจและอิทธิพลในการซื้อเกราะกำบังความผิดให้กับตัวเองได้?
อีกอย่างที่มีผลและทำให้เหยื่อไม่กล้าดำเนินการในทันที นั่นคือ ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่แค่นักการเงินที่มีอำนาจ แต่ยังมีเครือข่ายที่มีอิทธิพลด้วยเช่นกัน เช่น เขารู้จักกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอย่างบิล คลินตัน คณะทำงานเพื่อช่วยเหลือเขาทางกฏหมายคือมือดีแห่งวงการวิชาชีพ มีสายสัมพันธ์กับโดนัลด์ ทรัมป์ นายทุนใหญ่จำนวนมาก รวมถึงเจ้าชายแอนดรูว์ด้วย การปรากฎตัวของคนเหล่านี้ก็ทำให้เด็กสาวเหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากหากจะดำเนินการทางกฎหมาย หลักฐานยืนยันการใช้เงินและอิทธิพลส่วนตัวซื้อความมั่นคงให้ตัวเองได้ คือการเอาผิดกับเอปส์ตีนไม่ได้เป็นเวลากว่ายี่สิบปี ทั้งที่ฝ่ายตำรวจมีหลักฐานและพยานเต็มมือ
อีกเรื่องคือการจัดสถานที่ที่ส่งผลทางจิตวิทยาและทางร่างกายให้พวกเธอรู้สึกอับจนหนทาง กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ที่บ้านบนเวสต์ปาล์มบีช เอปส์ตีนจะพาเด็กสาวไปยังไร่นาที่ห่างไกลจากเมือง หรือ บนเกาะส่วนตัวที่ชื่อ ลิตเติล เซนต์ เจมส์ หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ เด็กสาวหลายรายถูกกักขังและข่มขืนที่นี่ (เจ้าชายแอนดรูว์ ก็ถูกกล่าวอ้างจากพนักงานว่าพบเจ้าชายกับเวอร์จิเนีย โรเบิร์ตส์ ที่เกาะนี้ด้วย)
หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่า ความน่ากลัวอย่างหนึ่งของเอปส์ตีน หรือ ผู้คุกคาม คือการโจมตีทางจิตวิทยาทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ และ รู้สึกว่าการเปล่งเสียงออกไปเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์
เอปส์ตีนเป็นเรื่องไกลตัวหรือเปล่า? ไม่เลย ใครๆ ก็รู้ โลกนี้ไม่มีเอปส์ตีนแค่คนเดียว ยังมีเครือข่ายค้าประเวณีในระดับเล็กถึงใหญ่ ยังมีการคุกคามทางเพศเด็กในระดับปัจเจกอันปรากฏเป็นข่าวรายวันกันตลอดมา ความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจน้อยของเรา ประการแรกคือการมองว่าเด็กมีทางเลือก หากถูกคุกคามทางเพศให้เดินมาบอกผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะปกป้องเอง แต่ Jeffrey Epstein Filthy Rich ทำให้ข้อเท็จจริงปรากฏชัด มันไม่ง่ายอย่างนั้นแน่ๆ
ในเมื่อการคุกคามทางเพศจำนวนหนึ่งมาจากการหลอกล่อด้วยความกลัว ด้วยการกดข่มทางอำนาจ ด้วยการโจมตีทางจิตวิทยา แปลว่าการออกมา forward เหยื่อต้องปราศจากความกลัว ซึ่งความรู้ว่าว่า ‘จะไม่กลัวอีกต่อไป’ ต้องมาจากการมีทางเลือก รู้ว่าเลือกได้ หรือไม่อีกกรณีหนึ่งก็คือ หวาดกลัวจนทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ประการที่สองคือ มันอาจไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรู้สึกไร้ซึ่งคุณค่า โดยเฉพาะเด็กที่พื้นฐานครอบครัวพังทลายเป็นทุนเดิม เคยถูกคุกคามทางเพศก่อนหน้านี้ การล่อลวงของผู้ใหญ่มาในรูปแบบ ‘ผู้ใหญ่ใจดี’ หลอกล่อด้วยการบอกว่าจะหยิบยื่นความปลอดภัยและชีวิตที่ดีกว่าให้ สิ่งนี้ต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันหรืออาจจะน่ากลัวกว่ามาก
หลายครั้งที่เราเห็นภาพข่าวผู้หลักผู้ใหญ่กระทำชำเรากับเด็กที่ไม่มีทางสู้ สู้… ที่ไม่ได้หมายถึงการชก ต่อย ตีกลับ แต่เป็นการสู้กลับทางอำนาจ มันน่าคับแค้นใจที่เราไม่สามารถจะคืนอำนาจ บอกให้เด็กเข้าใจได้เลยว่า การกระทำของผู้ใหญ่เหล่านี้เป็นสิ่งผิดและเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว เพราะเขาจะมั่นใจได้ว่ามีหลักการบางอย่าง มีคนที่เขาพึ่งพิงได้ มีคนมอบความปลอดภัยให้เขาได้จริงๆ น่าเศร้าที่เรารู้ว่ามันไม่จริงเช่นนั้นเสมอไป
ที่กล่าวมาทั้งหมด สุดท้ายแล้วแค่อยากเชิญชวนให้ผู้ที่มีส่วนสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กๆ พื้นที่ปลอดภัยที่คนในวงการศึกษาพูดกันบ่อยครั้ง อยากให้ดู Jeffrey Epstein Filthy Rich มากๆ ดูเพื่อทำความเข้าใจมิติของการคุกคามทางเพศ ดูเพื่อลองจำลองความคิดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของผู้ที่ถูกคุกคามว่ามันทั้งสับสน ไม่มั่นคง เปรียบตัวเองเป็นดั่งดอกไม้ที่ถูกดึงทึ้ง เหยียบอัดบดขยี้ ดูว่ามันมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขาไม่กล้าพูดออกมา
ให้เข้าใจในคำว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่เราพูดกันบ่อยๆ ว่าต้องสร้าง มันกินใจความถึงการมอบคืนความกล้า ปลอบโยนความกลัวในใจของคนที่ผ่านประสบการณ์แบบนี้อยู่ด้วย
ทั้งยังไม่ใช่การประณามเด็กกลับว่าทำไมเด็กจึงไม่ออกมาต่อสู้ หรือออกมาปกป้องคนที่กระทำเพราะอยากปกป้องเครือข่ายส่วนตัว และไม่เข้าใจภาวะทางจิตวิทยาเหล่านี้เลย