Skip to content
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    How to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the traumaRelationship
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
Social Issues
24 October 2025

เมื่อต้องคุยกับเด็กเรื่อง ‘สงคราม’ ขอให้หล่อหลอมสันติภาพในหัวใจเขา

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • การพูดคุยเรื่อง ‘สงคราม’ กับเด็กควรคำนึงถึงพัฒนาการทางความคิดของแต่ละวัย โดยอธิบายให้อยู่ในระดับที่เข้าใจได้ เช่น เด็กเล็กใช้คำเปรียบเทียบง่าย ๆ อย่าง ‘การทะเลาะกัน’ ส่วนเด็กโตจึงค่อยอธิบายถึงความขัดแย้ง ความสูญเสีย และสาเหตุที่ซับซ้อนมากขึ้น
  • หากเราต้องการการปลูกฝังค่านิยมส่งเสริมความสันติสุข เราทำได้ด้วยการเล่าถึงโศกนาฏกรรมที่เป็นข้อเท็จจริงที่แม้สงครามหลายครั้งจบที่ใครชนะโดยใช้ความรุนแรง แต่ก็มีการสูญเสียมหาศาลไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายที่ชนะ
  • สิ่งที่สำคัญในการพูดคุยกับลูกเรื่องสงครามคือ การคุยเพื่อมองสงครามให้รอบด้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งเสริมการเข่นฆ่า ความเกลียดชังแบบเหมารวม หรือการสร้างภัยคุกคามต่อกันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เราคงสังเกตว่าในช่วงปีที่ผ่านๆ มาจนถึงตอนนี้มีแต่ข่าวสงครามที่เกิดทั่วโลกทั้งใกล้และไกล เด็กเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น และในเมื่อคนและสื่อรอบตัวพูดถึงเรื่องนี้ เราคงจะป้องกันให้เด็กไม่ได้ยิน และคงห้ามไม่ให้เด็กสงสัยคำว่า ‘สงคราม’ ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราอยู่ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีที่เด็กสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย 

แต่ถ้าเด็กเล็กๆ มาถามว่า “สงครามคืออะไรหรือคะ” นี่คงเป็นคำถามที่น่าหนักใจในการตอบแน่นอน เพราะสงครามเกี่ยวข้องกับการฆ่าฟันกันเองของมนุษย์ เป็นเรื่องความรุนแรงซึ่งไม่เหมาะกับวัย การอธิบายว่าสงครามคืออะไรให้เด็กเข้าใจว่ายากแล้ว การตอบคำถามที่เป็นคำถามพื้นๆ ว่า สงคราม ‘ดีหรือไม่ดี’ ‘ถูกหรือไม่ถูก’ ยิ่งยากกว่า แม้แต่ในผู้ใหญ่เองนี่ยังถือว่าเป็นคำถามที่ตอบยาก บทความนี้ผมเลยขออนุญาตชวนมาคุยกันว่า หากลูกหรือเด็กๆ สงสัยเรื่องสงครามเราควรจะตอบหรือพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างไร 

สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกของการตอบคำถามเกี่ยวกับสงครามคือวัยของเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเป็นหัวข้อที่มีความรุนแรง แต่สงครามเกี่ยวพันกับหลายอย่างที่ทำให้เด็กเข้าใจทั้งหมดได้ยาก ในทฤษฎีจิตวิทยาด้านพัฒนาการทางปัญญา เด็กมีรูปแบบในความคิด ‘แตกต่าง’ จากผู้ใหญ่ ที่ผมเน้นคำว่าแตกต่าง เพราะต้องการเน้นว่ารูปแบบความคิดของเด็กไม่ได้ด้อยกว่า แต่เป็นคนละแบบ 

หากคุณนึกไม่ออกว่าเด็กมีความสามารถทางความคิดอะไรที่เก่งกว่าผู้ใหญ่ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ เด็กจะเข้าใจภาษาได้ไวอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยกลไกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดในการเรียนรู้ภาษา เด็กจะเข้าใจภาษาแม่หรือภาษาที่คนรอบตัวพูดได้อย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้การเรียนภาษาในแบบผู้ใหญ่อย่าง เช่น ต้องมาท่องศัพท์จับคู่ความหมายทีละคำ หรือการเรียนไวยากรณ์เพื่อแต่งประโยคให้เข้าใจ เด็กเรียงประโยคได้เองแบบไม่ต้องท่องจำไวยากรณ์ พูดประโยคซับซ้อนได้โดยไม่ต้องรู้โครงสร้าง ส่วนในเรื่องความหมายของคำ เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้ความหมายของคำทุกคำที่ตนได้ยินคนพูดโดยไม่ต้องมีใครสอน แต่ไม่ได้แปลว่าเด็กจะเรียนรู้ความหมายได้ถูกต้องชัดเจนทุกคำ เด็กจะเข้าใจคำที่เห็นรูปธรรมได้สบายๆ แต่สิ่งนามธรรมต่างๆ นั้น ด้วยข้อจำกัดของรูปแบบความคิดทำให้เด็กเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ยาก ถึงเด็กจะมีภาพในใจว่าคำนั้นคืออะไร แต่ก็อาจจะไม่ตรงกับความจริงทั้งหมดหรือไม่ตรงเลยก็ได้ โดยเด็กจะค่อยๆ ปรับความเข้าใจของคำที่ตนเองรู้จักไปเรื่อยๆ จากการเรียนรู้สิ่งรอบๆ ตัวจนตรงกับความเป็นจริง หรือตรงกับที่คนรอบตัวเข้าใจ เด็กอาจจะถามผู้ใหญ่ เช่น ถามว่า ‘การเมืองคืออะไร’ แต่ไม่ว่าผู้ใหญ่จะตอบอย่างไร เด็กอาจจะรับรู้ในแบบที่ตนเองพอเห็นภาพ เช่น

เป็นอาชีพอย่างหนึ่งเหมือนทหาร ตำรวจ แต่ยังไม่นึกถึงเรื่อง ‘ระบบ’ ที่เป็นนามธรรม

ที่ผมเกริ่นเรื่องการเข้าใจภาษามาก่อน เพราะมีคำหลายคำที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘สงคราม’ ที่หากเด็กไม่เข้าใจแล้ว ก็จะไม่เข้าใจสงครามอย่างชัดเจน โดยสงครามคู่กับ ‘การฆ่า’ และการฆ่าคือการ ‘ทำให้ตาย’ การที่เด็กจะเข้าใจสงครามอย่างเต็มที่ เด็กต้องเข้าใจเรื่องความตายเสียก่อน แต่เด็กเข้าใจความหมายของ ‘ตาย’ หรือไม่ คำนี้เป็นคำสั้นๆ พื้นฐาน ไม่ซับซ้อนในสายตาผู้ใหญ่ และเช่นเดียวกับคำอื่นๆ เด็กอาจจะได้ยินผู้ใหญ่พูดและพยายามเข้าใจด้วยการถาม หรือการสังเกต แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับความตายของเด็กจะจำกัดด้วยรูปแบบความคิดที่แตกต่างไปตามวัย

เด็กอายุต่ำกว่า 5-6 ปียังยากที่จะทำความเข้าใจแนวคิดนามธรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงเรื่องความตายด้วย หากมีคนใกล้ตัวเสียชีวิต เด็กอาจจะแค่สังเกตและเข้าใจว่าจะไม่ได้เห็นคนดังกล่าวอีกนาน แต่ด้วยพัฒนาการทางความคิดในวัยนี้ เด็กอาจจะไม่เข้าใจถึงการจากไปอย่างถาวร คำอธิบายที่พ่อแม่นิยมใช้ทั่วไปอย่าง ‘เขาไปกลายเป็นดาวแล้ว’ หรือ ‘เขาเดินทางไปที่อันแสนไกล’ แม้จะไม่ถูกต้องแต่ก็เพียงพอกับการตอบคำถามตามข้อจำกัดในความเข้าใจของเด็กในวัยนี้ 

ในช่วงอายุ 6 – 10 ปี เด็กเริ่มเข้าใจว่าคนตายแล้วจะกลับมาไม่ได้  และสิ่งนั้นเองทำให้เด็กเริ่มแสดงความเสียใจเมื่อคนใกล้ตัวเสียชีวิตเพราะจะไม่เจอกับคนคนนั้นอีกแล้ว อย่างไรก็ตามเด็กในวัยนี้ยังอาจยังเข้าใจความตายในแง่มุมที่จำกัดมาก และไม่ตระหนักว่าความตายเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่กับผู้สูงอายุ (เด็กจะคุ้นเคยกับคำว่าแก่ตาย) ตัวร้ายในนิทานหรือการ์ตูนที่พวกเขาอ่านหรือดู (ที่ถูกปราบตอนจบเรื่อง) ความตายเกิดได้แม้แต่คนที่พวกเขารักและเกิดได้แม้แต่กับตัวเขาเอง อย่างไรก็ตามประสบการณ์ตรงอย่างการสูญเสียคนใกล้ตัวที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เด็กใกล้ชิดสนิทสนมด้วย จะส่งผลต่อความเข้าใจเรื่องความตายอย่างมาก เด็กที่มีประสบการณ์ตรงอาจจะเข้าใจเรื่องนี้มากกว่า เริ่มมีความกลัวการสูญเสียคนรอบตัวและสะเทือนใจกับคำว่า ‘ความตาย’ มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน

พออายุประมาณ 10 ปีเด็กจะเข้าใจความตายได้ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ เด็กเริ่มเข้าใจแนวคิดนามธรรมสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้เข้าใจความตายอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และจะเข้าใจคำนี้โดยสมบูรณ์เหมือนกับที่ผู้ใหญ่เข้าใจในราวๆ อายุ 12 ปี อาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมของเด็ก เด็กจะรู้ว่าใครๆ ก็ตายได้ และเด็กรู้ว่าตนเองอาจตายได้ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่เด็กใส่ใจโดยธรรมชาติ สิ่งนี้ยังคงอยู่แม้จนโตเป็นวัยรุ่น (นี่คือหนึ่งในเหตุผลทีเด็กวัยรุ่นทำอะไรเสี่ยงๆ) และกว่าความตายจะเป็นหัวข้อหลักในชีวิตก็มักจะล่วงเลยไปในวัยผู้ใหญ่ตอนปลายแล้ว แต่หากเด็กคนนั้นเป็นโรคร้าย มีคนรอบตัวเป็นโรคร้าย หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีพบเห็นความตายบ่อยๆ จากการก่อการร้ายและสงคราม เด็กอาจจะเริ่มกลัวว่าความตายจะเกิดขึ้นกับตนเองและคนรอบตัวไวขึ้น

เด็กที่เข้าใจความตายจะเข้าใจความหมายที่น่ากลัวของการฆ่าได้ชัดเจนขึ้น และในเมื่อเข้าใจความหมายของการฆ่า เด็กจะเข้าใจกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกันคือสงคราม 

อย่างไรก็ตาม เรากะเกณฑ์ไม่ได้ว่าเด็กจะได้ยินคำไหนก่อน ถึงจะไม่มีใครตอบ หากเด็กไม่ได้อยู่ในพื้นที่สงคราม เด็กอาจจะเห็นภาพจากสื่อต่างๆ จะมีภาพในใจง่ายๆ เช่น มีคนหลายคนมาต่อสู้กัน จากนั้นเด็กจะค่อยๆ ปะติดปะต่อจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว และเมื่อพัฒนาการทางความคิดพร้อมจะเรียนรู้สิ่งนามธรรมได้ เด็กจะเข้าใจคำว่าสงครามได้เอง แต่ย้อนกลับมาที่คำถามของเราคือ แล้วถ้าเด็กอยู่ในวัยที่น่าจะยังไม่เข้าใจความหมายของความตาย การฆ่า หรือสงคราม เราจะตอบคำถามอย่างไร หากเด็กได้ยินคำนี้แล้วถามคุณว่า ‘สงครามคืออะไร’

ผมเข้าใจดีว่าพ่อแม่ทุกท่านมีทัศนคติต่อสงครามที่แตกต่างกันไป ทั้งทางบวกและทางลบต่อสงคราม และก็มีทัศนคติต่อสงครามแต่ละแห่งแต่ละเหตุการณ์แตกต่างกันไปเช่นกัน แต่ผมเชื่อว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่น่าจะคาดหวังให้ลูกๆ ไม่ซึมซับว่าสงคราม (ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไหนก็ตาม) เป็นสิ่งที่ควรเกิด หรือเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีหรือได้ผล และคงอยากให้ลูกๆ ของท่านใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจอกับสงครามในอนาคต ซึ่งคำตอบและการพูดคุยของเรากับเด็กคือหนึ่งในสิ่งสำคัญในการหล่อหลอมทัศนคติของเด็กเกี่ยวกับสงคราม 

ผมขอใช้แนวทางสากลของ UNICEF (กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ) ที่สอดคล้องกับหลักการของหน่วยงานที่ทำงานกับเด็กอื่นๆ เพื่อเป็นหลักยึดของทิศทางการพูดคุย และผสมผสานกับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เราคุยกันไว้เพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยในการพูดคุยกับเด็กในเรื่องสงคราม

หากเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ ถามว่าสงครามคืออะไร ผู้ปกครองอาจจะจำกัดขอบเขตของสงครามแค่ในความหมายที่เด็กจะเข้าใจโดยยังไม่เกี่ยวข้องกับความตาย เช่น “เหมือนการทะเลาะกัน” และเช่นเดียวกับการทะเลาะทั่วไป เหมือนที่หนูทะเลาะกับพี่ หรือทะเลาะกับเพื่อน แต่สงครามคือการทะเลาะกันของผู้ใหญ่หลายๆ คน เด็กมักจะถูกสอนเป็นพื้นฐานอยู่แล้วว่าไม่ควรทะเลาะกัน การเปรียบเทียบนี้ก็คือเหมือนกับการปลูกฝังว่าจะดีกว่าหากไม่เกิดสงคราม หากเด็กถามว่าแล้วทำไมเขาถึงทะเลาะกัน เราอาจจะตอบเพียงง่ายๆ แค่ เขาแย่งของกัน เขาโกรธกัน เด็กอาจจะถามต่อไม่หยุด แต่หากใครเคยเลี้ยงเด็กวัยที่เริ่มพูด น่าจะชินกับการตอบคำถามที่เด็กถามว่าไอนั่นคืออะไร ไอนี่คืออะไรไปเรื่อยๆ เด็กวัยนี้มักไม่ได้ต้องการคำอธิบายข้อเท็จจริงเหมือนผู้ใหญ่ เพียงแค่คำตอบที่เด็กเข้าใจตามวัยหรือบางครั้งเพียงแค่คุณตอบอะไรสักอย่างเด็กก็พอใจแล้ว เราไม่จำเป็นต้องอธิบายไกลกว่านั้นเพราะเด็กยังไม่เข้าใจเรื่องนามธรรมซับซ้อน

ช่วงอายุราวๆ  6 -10 ปีที่เด็กเริ่มเข้าใจความตายแล้ว ด้วยทักษะทางภาษาตามธรรมชาติ หากเด็กผ่านตาสื่อต่างๆ ที่มีเรื่องราวของสงครามมาบ้าง เด็กจะเข้าใจว่าคำว่า ‘สงคราม’ มีการฆ่าฟันและการสูญเสียเกิดขึ้น โดยไม่ต้องมีใครสอน และช่วงเดียวกันนี้เองเด็กส่วนใหญ่จะเรียนรู้เรื่องจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรมเชิงศาสนา อย่างเด็กไทยชาวพุทธอาจจะเริ่มเรียนศีล 5 และรู้ว่าการฆ่าคนจะไม่เหมาะสม และเด็กจะยังรู้จริยธรรมทั่วไปหรือสามัญสำนึกที่เด็กปกติจะเข้าใจว่าคนเราไม่ควรฆ่ากันเด็ดขาด วัยนี้จะเป็นวัยที่คุณอาจจะตอบคำถามได้ยาก และอาจมีคำถามที่น่าหนักใจคือ ‘ทำไมคนถึงฆ่ากัน’ ‘ทำไมถึงเกิดสงคราม’ เพราะเด็กเริ่มจะรู้ความมากขึ้นจนไม่พอใจกับคำตอบแบบง่ายๆ แต่ด้วยระดับพัฒนาการ พวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนอย่างสังคมและประวัติศาสตร์ และถึงจะเข้าใจก็ยังอ่อนไหวเกินไปเกี่ยวกับการเรียนรู้ถึงความรุนแรงในระดับนี้ คำตอบของคุณอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการตอบความจริงเพียงบางส่วน คุณอาจมุ่งเน้นที่ว่าสงครามคือ ‘ความขัดแย้ง’ เพราะประเทศนี้ต้องการสิ่งนี้ แต่ประเทศนี้ไม่ให้ ประเทศนั้นทำแบบนี้ ประเทศนี้เลยไม่พอใจ คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงการฆ่าฟันในสนามรบ เด็กวัยนี้รู้จักอาชีพทหาร และมักจะได้รับการสอนเพียง ‘ปกป้องประเทศ’ ซึ่งเราปล่อยไว้แค่นั้นได้ แต่ขอให้เลือกคำที่เหมาะสมกับความรุนแรง ‘ต่อสู้’ ไม่ใช่ ‘ฆ่า’ ถึงแม้ว่าเด็กจะรับรู้จากสื่ออยู่แล้วก็ตามว่ามีการเข่นฆ่า แต่ไม่ควรเป็นจุดที่เน้นย้ำให้สนใจ 

ส่วนเรื่องอนาคตเช่น เด็กที่อยากเป็นทหาร หรือจะทำอย่างไรหากเกิดสงคราม คุณควรมุ่งเน้นว่าสงครามเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ และทหารเป็นอาชีพของผู้ใหญ่ ไว้เป็นผู้ใหญ่เราค่อยคิดถึงเรื่องนี้กัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ พี่ๆ ทหารทำหน้าที่ของเขา หากเด็กรู้สึกกลัวในกรณีที่สงครามเป็นเรื่องใกล้ตัวในพื้นที่ สิ่งสำคัญที่สุดคือบอกว่าพวกเขาจะปลอดภัย และผู้ใหญ่จะปกป้องพวกเขาเอง 

ด้วยการเรียนรู้จากสื่อ เด็กวัยนี้อาจจะต้องการคำตอบที่ชัดเจน เหมือนมีการต่อสู้ก็ต้องมีฝ่ายแพ้ชนะ ใครเป็นคนผิดหรือคนถูก ตัวผู้ใหญ่เองก็อาจมีคำตอบในใจว่าใครถูกหรือผิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราจะเข้าข้างเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ว่าคุณจะมีทัศนคติในทางใดก็ตาม  ยังไม่ควรส่งเสริมให้เด็กตีตราว่าฝ่ายไหนเป็นคนผิด หรือใครเป็นคนชั่ว ลองเปลี่ยนเป้าหมายของคำถามจาก ‘ศัตรู’ เป็นต้นเหตุอื่น ๆ ของความขัดแย้ง เช่น เพราะความคิดไม่เหมือนกัน เพราะมีคนไม่พอใจรุนแรงในประเทศนั้น 

ที่เราไม่ควรให้เด็กหัดตีตราว่าใครผิด เพราะสงครามผูกอยู่กับการฆ่าฟันอย่างเลี่ยงได้ยาก คุณไม่ควรมอบความคิด ‘การฆ่าศัตรูโดยชอบธรรม’ ให้กับเด็กวัยนี้ ถึงแม้ตัวคุณและเด็กจะได้รับผลกระทบจากสงครามดังกล่าว และทำให้คุณเกลียดฝ่ายนั้นมาก หรือมีเหตุผลในใจชัดเจนว่าฝ่ายนั้นผิด เพราะการประเมินเหล่านี้จะเข้าใจได้ต้องอาศัยความรู้ทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ซึ่งเราควรจะให้เด็กคิดถึงประเด็นเหล่านี้ในวัยที่เขาพร้อมมากกว่านี้ คุณไม่ควรบอกว่าใครเป็นฝ่ายผิด ใครเป็นคนชั่ว ซึ่งจะไปหล่อหลอมให้เด็กเกลียดคนหรือประเทศนั้น 

ความเกลียดชังเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ควรเป็นสิ่งที่คุณเป็นฝ่ายเสี้ยมสอนเด็กที่ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์เต็มที่ 

หากเด็กเริ่มเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นี่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็อาจจะไม่ต้องบอกว่าเขาคิดถูกหรือผิดและไม่ควรจะสานต่อบทสนทนาใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเมื่อพูดคุยกับเด็กวัยนี้ ควรมุ่งเน้นผลกระทบความสูญเสียอย่างมีคนตาย หรือบ้านเมืองถูกทำลายมาจาก ‘ตัวสงครามเอง’ ไม่ใช่จากใครหรือจากประเทศใด 

เมื่อถึงอายุ 10-13 ปี เด็กจะเข้าใจเรื่องนามธรรมต่างๆ ได้ดี แต่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องซับซ้อนต่างๆ หากเด็กพูดถึงเรื่องสงครามกับคุณ คุณอาจเริ่มอธิบายปัญหาอย่างละเอียดได้มากขึ้น เริ่มเล่าข้อเท็จจริงว่าสงครามดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์ใด ประเทศนี้กับอีกประเทศมีปัญหากันอย่างไร คุณนำข่าวสารบ้านเมืองมาเล่าให้เด็กฟังได้ แต่ควรคัดกรองก่อน เพราะถึงแม้เด็กวัยนี้จะเข้าใจอะไรได้เหมือนผู้ใหญ่พอสมควร แต่ความรู้และวุฒิภาวะของเด็กยังคงจำกัดที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ที่ซับซ้อนรอบด้าน ยังเร็วเกินไปที่จะเข้าถึงเรื่องทางลบหลากหลายอย่าง เช่น เกมการเมืองจากความโลภ ความเห็นแก่ตัวและการแก่งแย่งทรัพยากร การต้องการเป็นมหาอำนาจ คุณควรป้องกันหรืออย่างน้อยก็ไม่แนะนำให้เด็กดูสื่อที่วิเคราะห์เหตุการณ์ที่มุ่งเน้นว่า ‘ใครผิด’ ‘ใครชั่วร้าย’ หากเด็กสงสัย คุณอาจจะคัดเลือกเนื้อหาและเล่าเอง หรือเลือกสื่อสำหรับให้เด็กรับชมซึ่งบอกข้อเท็จจริงที่เน้นเหตุการณ์ว่า ใครไม่พอใจเรื่องอะไร หรือใครต้องการอะไร โดยนั่งดูและอธิบายไปพร้อมๆ กัน 

เช่นเคย เด็กมักจะเลือกฝั่งเป็นปกติ ว่าตนชอบหรือเชียร์ฝ่ายไหน ซึ่งคุณอาจจะถามเขาว่าเพราะอะไรเพื่อรับฟังไม่ใช่เพื่อถกเถียง บอกให้เด็กรับรู้ว่านี่คือเรื่องใหญ่ ซับซ้อน และยังต้องรู้อะไรอีกมากในการตัดสินเรื่องถูกผิด หรือเราอาจเบี่ยงประเด็นไปที่มุ่งเน้นไปที่ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือนที่ได้รับผลกระทบ และมุ่งเน้นสิ่งที่ประชาชนทำได้เพื่อช่วยเหลือหากทำได้ในขณะนั้น เช่น การบริจาคช่วยเหลือผู้สูญเสียตามกำลัง หรือชี้ให้เห็นถึงหน่วยงานช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยสงคราม เช่น กาชาด และมุ่งเน้นว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้เกิดสงคราม ไม่มีอยากให้มีการฆ่าฟัน แม้จะมีเหตุผลก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องพูดยากในสงครามคือ อาชีพทหาร เด็กมีทัศนคติเกี่ยวกับทหารแตกต่างกันไป บางคนยอมรับในเรื่องการปกป้องประเทศ การทำเพื่อประเทศชาติ บางคนมองว่าเป็นเรื่องน่าหลีกเลี่ยง ลำบาก เสี่ยงอันตราย หากเด็กคุยเรื่องทหารในแนวของการเข่นฆ่า หรือเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง เราอาจจะพูดอ้อมๆ ว่าการเข่นฆ่าและความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง และจะใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น คุณอาจสอนเรื่องกฎหมายพื้นฐานในช่วงนี้ได้ว่าหน้าที่ของใครบ้างต้องเป็นทหาร และใครได้รับข้อยกเว้น ตัวบทบาทหน้าที่ของทหารที่ควรสื่อออกไปควรเน้นที่ที่การปกป้องประเทศ ปกป้องประชาชน มากกว่าเชิงรุกราน เด็กวัยนี้น่าจะไม่ได้สอบถามถึงข้อย้อนแย้งทางจริยธรรมเรื่องการฆ่าฟันว่า ‘ทหารฆ่าคนแล้วผิดไหม’ ซึ่งเป็นเรื่องยากและรุนแรงที่ไม่เหมาะและไม่ควรคุยกับเด็กนี้อยู่แล้ว เด็กในวัยนี้ยังยึด ‘กฎที่ผู้ใหญ่สอน’ เป็นหลัก หากผู้ใหญ่ว่าอะไรถูก เด็กก็มักจะเห็นด้วย และโดยปกติจะไม่ได้พูดคุยกันลงลึกถึงขนาดนั้น แต่หากเด็กมีความคิดความอ่านเกินวัยและสอบถาม (ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก) เราอาจจะลองพูดคุยในแบบเด็กโตได้ และหากเกินความเข้าใจ เราอาจจะบอกว่าเมื่อเขาโตกว่านี้ แล้วมาคุยเรื่องนี้กันใหม่ 

เมื่อเด็กเข้าสู่วัยมัธยมเด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสงครามจากโรงเรียน เช่น จากวิชาสังคมและประวัติศาสตร์ และจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ การ์ตูน เกม หรือข่าวสาร เด็กมักจะเข้าใจแล้วว่าสงครามคือการที่แต่ละประเทศส่งทหารมาใช้ความรุนแรงเพื่อเอาชนะและยึดครองหรือปกครองดินแดนที่ต้องการ เมื่อถึงมัธยมปลายอีกเด็กอาจจะเรียนเกี่ยวกับสงครามที่ซับซ้อนกว่าอย่างสงครามที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ศาสนา และอุดมการณ์ เด็กมัธยมมีรูปแบบความคิดเดียวกับผู้ใหญ่แล้ว จึงเริ่มมีทัศนคติต่อสงครามเป็นของตนเองและแตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละคน เช่น เด็กบางคนอาจจะยอมรับได้ถึงการฆ่าฟันในสงคราม และโอบรับแง่มุมสงครามแบบมีผู้ถูกผิดชัดเจน และรวมถึงการฆ่ามนุษย์ในสงครามว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้อีกด้วย หรือเด็กบางคนเริ่มต่อต้านตัวสงคราม มองว่าเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ควรเกิดขึ้น ยอมรับไม่ได้กับความรุนแรงในรูปแบบใดๆ 

ตอนนี้ถึงวัยที่เราเริ่มชวนเด็กคุยเรื่องของความถูกผิดได้ แต่เราอาจพบว่าความคิดของเด็กเอนเอียง ส่วนหนึ่งก็เพราะความรู้ที่จำกัด เนื่องจากประวัติศาสตร์ที่ได้เรียนในห้องเรียนบางแห่ง หรือสื่อบันเทิงเกี่ยวกับสงครามก็มักจะมีแค่เหตุการณ์คร่าวๆ และไม่ได้ลงไปถึงเบื้องหลังมากและความจำเป็นทางสถานการณ์มากนัก ทำให้เด็กมักขาดแง่มุมที่รอบด้าน ซึ่งทำให้เด็กการมองสงครามแบบขาวดำ คือต้องมีฝ่ายผิดและฝ่ายถูก ในส่วนนี้ผู้ใหญ่อาจจะต้องทำการบ้านมากหน่อย เพราะการตีตราหรืออคติในสงครามเองก็เป็นเรื่องที่แก้ได้ยากแม้แต่กับในผู้ใหญ่ เราอาจจะเริ่มต้นเป็นฝ่ายพูดคุยเรื่องสงครามเองก็ได้ หากเราพร้อม และลูกสนใจ โดยอาจจะเน้นไปที่การชวนดูข่าวสาร การพูดคุยว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ ซึ่งยังคงยึดในข้อเท็จจริง รวมไปถึงการชวนพูดคุยหรือชวนดูสื่อ อย่างเช่น คลิปหรือพ็อดคาสต์ประวัติศาสตร์ที่พูดของสงครามต่างๆ ในอดีต ควรแนะนำเลือกสื่อที่เล่าในมุมมองของทั้งสองฝั่ง 

นอกจากนี้ วัยนี้เป็นวัยที่เราพูดคุยถึงส่วนที่ไม่สวยงามนักที่ของมนุษย์ให้เด็กฟังได้ อย่างเช่น ความเห็นแก่ตัว การแก่งแย่ง การต้องการอำนาจ แต่ก็ด้วยเหตุผลรองรับอย่างความจำกัดของทรัพยากร วิวัฒนาการของมนุษย์ เพื่อให้เห็นว่าสงครามเป็นปัญหาซับซ้อน และไม่ใช่ ‘แค่คนต้องการจะฆ่ากันเพื่อแย่งชิง’ และบางครั้งสถานการณ์เองก็ไม่ใช่ขาว หรือดำ ไม่ได้เกิดจากแค่ฝ่ายหนึ่งผิด หรือฝ่ายหนึ่งชั่ว และบางครั้งชนวนของสงครามเป็นผลจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นหลากหลายเรื่อง และเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และมักจะไม่ได้เกิดเพียงแค่ ‘ตัวร้าย’ เพียงตัวเดียว การจะลงรายละเอียดแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเด็กจะสนใจ รับไหว และเข้าใจหรือไม่ 

หากเราต้องการการปลูกฝังค่านิยมส่งเสริมความสันติสุข เราทำได้ด้วยการเล่าถึงโศกนาฏกรรมที่เป็นข้อเท็จจริงที่แม้สงครามหลายครั้งจบที่ใครชนะโดยใช้ความรุนแรง แต่ก็มีการสูญเสียมหาศาลไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายที่ชนะ เพื่อให้เห็นว่าสุดท้ายแล้ว สงครามไม่ใช่เครื่องมือที่ดี แม้อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราอาจจะใช้สื่อที่แสดงความโหดร้ายของสงครามซึ่งมีจำนวนมากในรูปแบบของนิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ และสารคดี อย่างไรก็ตามเด็กแต่ละคนมีความอ่อนไหวกับเรื่องนี้แตกต่างกัน สื่อบางประเภทสร้างความสะเทือนใจจนเกินไปแม้ว่าจะไม่กำหนดระดับอายุก็ตาม คุณอาจถามถึงความชอบหรือความรับได้ของเด็กด้วยว่าเคยดูหรือชอบสื่อเหล่านี้หรือไม่ หากเด็กไม่ชอบ อาจจะยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่คุณจะเลือกให้เขาในตอนนี้ รอให้เขาพร้อมและสงสัย เขาจะเลือกอ่านหรือดูด้วยตนเอง คุณอาจจะแค่แนะนำว่าหนังสือ หรือภาพยนตร์เรื่องไหนที่น่าดู น่าเรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนของสงคราม นอกจากนี้ เราอาจพูดคุยถึงเรื่องที่ซับซ้อนของการเมืองในรูปแบบของการลดความรุนแรง ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งสงครามเสมอไป ชวนลูกพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาของแนวทางการแก้ไขปัญหาสมัยใหม่ อย่างเช่นการทูต และในสังคม ‘ความรุนแรง’ อาจไม่ได้มาจากแค่รูปแบบของการเข่นฆ่าจากสงคราม แต่มาจากการกดขี่และกีดกันทางเศรษฐกิจ 

สิ่งหนึ่งที่ควรปลูกฝังเสมอ คือการอย่าตีตราใครว่าเป็นคนชั่ว เป็นคนผิด เพียงเพราะเขาเป็นประชาชนของประเทศใดหรือเป็นคนกลุ่มไหน 

จริงอยู่ที่บางสถานการณ์ทำให้คนตีความได้ง่ายว่าชาติไหนเป็นฝ่ายทำให้เกิดสงคราม แต่ไม่ได้แปลว่าประชาชนทุกคนในประเทศนั้นจะคิดเหมือนกัน ดังนั้นอย่าโกรธแค้นคนแบบเหมารวมเชื้อชาติ และอย่าส่งเสริมการพูดดูถูกเชื้อชาติ เรื่องนี้อาจจะทำได้ยากแม้แต่กับตัวเราเอง โดยเฉพาะหากใครได้รับผลกระทบจากสงครามนั้น ถึงแม้ว่าการเลือกฝั่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เราที่ฝังอยู่ถึงระดับพันธุกรรม แต่อย่างน้อยที่สุดผมเองอยากให้พ่อแม่ตระหนักถึงอคติข้อนี้ เพื่อให้ลูกตระหนักตาม เราอาจจะชวนลูกมาลองจินตนาการก็ได้ว่า หากเรามีเพื่อนหรือญาติที่ย้ายไปอยู่ในประเทศที่เราเกลียดชัง หรือให้เราสมมติคนคนหนึ่งขึ้นมา ที่เราไม่เคยรู้จักอะไรเขาเลย แล้วเราเกลียดชังเพราะเขาอยู่ที่ประเทศนั้น แค่นั้นหรือ 

หากเด็กโตพอที่จะชวนเราคุย หรือเราชวนคุยในเรื่องยาก ๆ การเรียนรู้ระบบของการเมืองนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กมองสังคมได้กว้างขวางขึ้น การพูดคุยเรื่องนี้อาจจะดูเป็นวิชาการ แต่แท้จริงแล้วหากต้องการเข้าใจสงครามจริงๆ ต้องเข้าใจระบบการเมืองในประเทศของเราหรือประเทศอื่นๆ ว่าการปกครองเป็นแบบใด และใครมีอำนาจในการตัดสินใจและเกี่ยวข้องอย่างไรกับสงคราม และปัจจัยทางการเมืองใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับสงคราม หากเราคิดว่าไม่มีความรู้พอที่จะพูดคุย เราอาจส่งเสริมให้เด็กค้นคว้าความรู้จากสื่อต่างๆ เพิ่มเติมได้ และแนะนำให้เขาเลือกอ่านสื่ออย่างรอบด้าน หลากหลาย

และหากเด็กโตพอจะพูดคุยเชิงปรัชญา เราจะเริ่มพูดคุยเรื่องของ ‘ความถูกผิด’ ที่เกี่ยวข้องกับสงครามได้ ในเด็กประถมหรือมัธยมต้นเราอาจจะเชื่อมโยงที่สอดคล้องกับความเชื่อทางศาสนาในทางสันติสุข หากตรงกับสิ่งที่ครอบครัวศรัทธา ส่วนเด็กที่โตกว่านั้นและผู้ปกครองพร้อมและไม่ได้ขัดกับความเชื่อในครอบครัว อาจลองจะพูดคุยด้านจริยธรรมโดยไม่ได้อิงศาสนา แต่ว่ากันด้วยการให้เหตุผล และการมองแบบเป็นกลางถึงสถานการณ์แวดล้อม (หากสนใจเรื่องแนวทางจริยธรรมที่มีความซับซ้อน ขัดแย้งกันเอง และเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย ขอแนะนำให้อ่านในบทความ ‘จริยธรรม ‘หลังสมัยใหม่’ ของเด็กยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก’ https://thepotential.org/knowledge/postmodernism) เพื่อให้เด็กรู้จักมองสถานการณ์อย่างเป็นกลางและลดอคติต่างๆ หรืออาจจะลองชวนเด็กพูดคุยในเรื่องเชิงบวก ในรูปแบบที่มีความหวัง อย่างเช่น แนวทางหลีกเลี่ยง หรือป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม 

อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเรื่องสงครามกับเด็กโตอาจจะไม่ราบรื่นนักในบางครั้ง ทัศนคติทางสงครามเป็นส่วนหนึ่งทางทัศนคติทางการเมือง และผู้ใหญ่อย่างเราๆ รู้กันดีว่า เรื่องศาสนาและการเมืองเป็นเรื่องต้องห้ามในการสนทนา ถ้าไม่อยากทะเลาะกัน ยิ่งเด็กโตขึ้น การเลือกฝั่ง การยึดแนวทางของตนเองจะยิ่งชัดเจนและแข็งแกร่งขึ้น เด็กจะถึงวัยที่มีความคิดของตนเองและไม่โอนอ่อนผ่อนตามผู้ใหญ่หากไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นในมุมมองของเขา หรือเด็กวัยรุ่นอาจยืนกรานต่อต้านเพียงเพราะถูกยัดเยียดแนวคิด อย่างไรก็ตาม ปัญหานั้นก็ไม่ใช่ปัญหาแค่ในเด็ก คุณคงทราบดีว่าแม้แต่ผู้ใหญ่เองหลายๆ คนก็มีทัศนคิตเลือกฝั่ง เกลียดชัง และเข้าใจผิดในเรื่องสงคราม 

หากคุณและลูกมีความเชื่อไม่ตรงกัน พยายามคุยด้วยข้อเท็จจริง ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ หรือการมุ่งเน้นว่าฝ่ายใดจะ ‘โต้เถียงชนะ’ และหากฝ่ายไหนมีอารมณ์ร่วมเกินไป ควรหยุดการสนทนาในตอนนั้นไว้ก่อน

ตามแนวทางสากลของหน่วยงานเกี่ยวกับเด็กมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังการยึดมั่นในสันติภาพ และความเป็นกลางอย่างชัดเจน ซึ่งในความเป็นจริง อย่างที่เราคุยกันแล้วว่ามนุษย์เรามักจะเลือกฝั่งเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณหรือประเทศของคุณมีส่วนร่วมกับสงคราม การที่ลูกหรือคุณเองจะเลือกฝั่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก แต่สิ่งที่สำคัญที่ผมต้องการเน้นอีกครั้งถึงในการพูดคุยกับลูกเรื่องสงครามคือ การคุยเพื่อมองสงครามให้รอบด้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งเสริมการเข่นฆ่า ความเกลียดชังแบบเหมารวม หรือการสร้างภัยคุกคามต่อกันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

ผมเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะมีความคิดอย่างไรกับสงคราม แต่ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้ลูกหลาน และคนรุ่นหลังต้องเจอกับสงครามแบบไม่จบสิ้น และคงไม่มีใครอยากให้ลูกหลานของตนต้องลำบากเพราะสงคราม หรือเสียชีวิตในสงคราม หรืออยู่ในโลกที่คนเกลียดกันเพียงเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ การเมือง หรือศาสนา ผมเชื่อแบบนั้นครับ

รายการอ้างอิงและหนังสือที่เกี่ยวข้องที่แนะนำ

Larsen, R. J., & Buss, D. M. (2008). Personality psychology: Domains of knowledge about human nature. New York: McGraw-Hill.

Robinson, D. (2008). Introducing Ethics: A Graphic Guide. London, Icon Books.

Stambrook, M., & Parker, K. C. (1987). The development of the concept of death in childhood: A review of the literature. Merrill-Palmer Quarterly (1982-), 133-152.

https://www.earlyyears.tv/piagets-theory-of-cognitive-development

https://www.nctsn.org/sites/default/files/resources/fact-sheet/talking-to-children-about-war.pdf

https://www.redcross.org.uk/get-involved/teaching-resources/how-to-talk-about-conflict-impartially

https://www.unicef.org/parenting/child-care/how-talk-your-children-about-conflict-and-war

ดิแลน อีวานส์. (2559). จิตวิทยาวิวัฒนาการ (พงศ์มนัส บุศยประทีป, แปล). กรุงเทพฯ , มูลนิธิเด็ก.

Tags:

เด็กสงคราม

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • IMG_0670 2
    Book
    เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Character building
    ‘เด็กโกหก’ อาจไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เข้าใจธรรมชาติการโกหกจากงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel