- Modern love เป็นซีรีส์สัญชาติญี่ปุ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากบทความออนไลน์เกี่ยวกับความรักของ New York Times โดยแต่ละตอนจะแบ่งออกเป็นเรื่องสั้นที่จบในตอน ผ่านเรื่องราวของคนมากมายหลายรูปแบบ
- ตอนหนึ่งได้เล่าเรื่องราวของ ‘มาริ’ คุณแม่มือใหม่ผู้เป็นเวิร์คกิ้งวูแมนที่เคร่งครัดกับการให้นมลูกด้วยนมของแม่ กลายเป็นว่าเธอมีความกังวลใจกับน้ำนมมากถึงขนาดเรียกได้ว่าหมกมุ่น
- แม้มันจะมีวันที่ลูกอาจจะโกรธ ไม่เข้าใจบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วเขาได้เห็นว่าแม่ยังคงอยู่ข้างเขาเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งนี้แหละที่จะเติบโตสวยงามแข็งแรงในตัวของลูกๆ ตลอดไป
Modern love เป็นซีรีส์ที่ได้แรงบันดาลใจจากบทความออนไลน์เกี่ยวกับความรักของ New York Times มีฉากหลังเป็นเมืองใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อย่างนิวยอร์ก ในซีซันนี้ทางประเทศญี่ปุ่นนำไปสร้างซีรีส์โดยมีฉากหลังเป็นเมืองโตเกียวและใส่วัฒนธรรมที่น่าสนใจของชาวญี่ปุ่นเข้าไปแทน
แต่ละอีพีจะแบ่งออกเป็นเรื่องสั้นที่จบในตอน มีทั้งเรื่องราวของคู่สามีภรรยาวัย 30 กว่าที่ภรรยาต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้าและหมดไฟในการทำงาน สาวใหญ่วัยเกษียณผู้กลับมาลงสนามนัดเดทอีกครั้ง และหญิงสาวที่ฟังเพลงโปรดในอดีตแล้วหวนระลึกถึงความทรงจำหวานปนขมสมัยเรียนมัธยมปลาย
ซึ่งในครั้งนี้เราหยิบเอาเรื่องของ ‘มาริ’ คุณแม่มือใหม่ผู้เป็นเวิร์คกิ้งวูแมนที่เคร่งครัดกับการให้นมลูกด้วยนมของแม่เท่านั้น มาเล่าให้ฟัง
มาริเป็นหนึ่งในคุณแม่ที่เชื่อว่าการให้ลูกกินน้ำนมของแม่สำคัญที่สุด เพราะความเชื่อที่ว่าน้ำนมแม่จะสร้างภูมิคุ้มกันและทำให้แม่กับลูกรู้สึกผูกพันกัน แม้ว่าน้ำนมของเธอจะไม่ได้มากพอต่อความต้องการในการเจริญเติบโตและทำให้ลูกของเธอมีน้ำหนักที่น้อยกว่าเกณฑ์แต่เธอก็ยังยืนยันความเชื่อเดิมโดยไม่ให้ลูกกินนมผงเด็ดขาด
ตลอดทั้งอีพีนี้เราได้เห็นมาริพยายามปั๊มน้ำนมของตัวเองเก็บใส่ถุงอย่างสม่ำเสมอด้วยความมุ่งมั่นมากๆ แทบจะตลอดเวลาจนดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยล้าแทน
แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งที่มาริต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ 2-3 วัน เธอจึงวานให้แม่ของเธอมาอยู่ช่วยแฟนสาวดูแลลูก (มาริแต่งงานกับผู้หญิงและมีฉากที่แม่พูดขึ้นมาว่า “ทั้งสองคนเหมือนเป็นสามี” เพราะต่างคนต่างยังออกไปทำงานกันทั้งคู่ มาริเลยบอกแม่ว่า เธอกับภรรยาเป็นคู่ชีวิตกัน บทบาททำงานหรือเลี้ยงลูกไม่ควรถูกแบ่งว่าเป็นของเพศไหน)
มาริกำชับกับแม่ว่าต้องให้นมที่เธอเก็บใส่ถุงไว้เท่านั้น ซึ่งต่อมื้อมีปริมาณที่น้อยมากแล้วยังยุ่งยากในการเตรียม แม่ของมาริจึงต่อรองว่าขอให้นมผงแทนได้มั้ย แต่มาริบอกว่า “หนูเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็กเพราะกินนมผงนี่แหละ” ทั้งคู่เถียงกันต่อด้วยความเชื่อที่ต่างกัน จนมาริถูกแม่บอกว่า “จะเลือกทำทั้งสองอย่างไม่ได้หรอกนะ (ทำงานไปพร้อมๆ กับเลี้ยงลูก)” แต่มาริก็ยืนกรานให้แม่คอยดูแล้วกันว่าเธอทำได้ สุดท้ายฝ่ายแม่ก็ได้แต่ทำใจและทำตามที่มาริขออย่างไม่ได้เข้าใจกันมากนัก
ตลอดการเดินทางครั้งนี้ก็เกิดเรื่องราวท้าทายการเก็บน้ำนมของมาริมากมาย ทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยรักษาความเย็นของน้ำนมที่ไม่สามารถพกขึ้นเครื่องได้ ทำให้เธอต้องสละมันแล้วไปขอน้ำแข็งบนเครื่องบินแทน แล้วยังมีช่วงที่เธอต้องเข้าไปปั๊มนมในห้องน้ำบนเครื่องแล้วเครื่องบินเกิดตกหลุมอากาศมาริก็สู้สุดใจไม่กลัวตาย พอเธอไปถึงที่โรงแรมก็พุ่งตัวหาตู้เย็นอันดับแรกเพราะต้องการที่จะเก็บน้ำนมที่มีค่าของเธอให้ปลอดภัยที่สุด แล้วยังไม่หมดเท่านั้นเพราะอยู่ๆ ไฟที่โรงแรมก็ดับ และแน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เธอตกใจกระวนกระวายที่สุดก็คือ การที่น้ำนมของเธอจะบูด
เรียกได้ว่ามาริมีความกังวลใจกับน้ำนมมากถึงขนาดเรียกได้ว่าหมกมุ่น ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ healthy กับชีวิตเลย
คืนนั้นมาริได้นัดเจอเพื่อนสาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วได้พูดคุยเรื่องการให้นมลูกเพราะเพื่อนเห็นว่ามาริไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อนเล่าว่า เธอเคยพยายามให้ลูกกินนมจากเต้าแต่เพราะหัวนมบอดเลยไม่สามารถให้นมลูกด้วยตัวเองได้ เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่ที่ล้มเหลว แต่วันหนึ่งเธอก็เข้าใจและคิดว่า
“มันไม่ได้ทำให้ฉันรักลูกน้อยลงซะหน่อย ตั้งใจทำมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์และมันไม่เป็นอะไรหรอกเพราะสุดท้ายแล้วลูกของเธอก็แข็งแรงดี”
เพื่อนยังบอกอีกว่า “วันหนึ่งลูกน่าจะภูมิใจในตัวพวกเราเองแหละ” มาริพูดติดตลกว่า “ฉันยอมรับแค่ ‘น่าจะ’ ไม่ได้น่ะสิ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอมีความเป็นคนจริงจังและเพอร์เฟคชันนิส (Perfectionist)ระดับนึงเลย
และเมื่อถึงวันเดินทางกลับมาริก็ได้เผชิญกับบทเรียนการปล่อยวางครั้งยิ่งใหญ่ เริ่มจากเธอจะต้องสละน้ำนมที่เธอปั๊มไว้ทิ้งไปอย่างทำอะไรไม่ได้เพราะปริมาณของเหลวที่เกินจะนำขึ้นเครื่อง ซึ่งสิ่งนั้นทำให้มาริรู้สึกหัวเสียมาก ต่อมาเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าบนเครื่องบินจนทำให้เธอต้องเปลี่ยนเครื่องแล้วสัมภาระของเธอหลงไปอยู่ที่อื่นซึ่งนั่นหมายความว่าน้ำนมทั้งหมดที่เธอแพคอย่างดีและหวงแหนมาตลอดทั้งทริปจะต้องบูดและถูกทิ้งไปอย่างแน่นอน
ระหว่างทางกลับมาริบังเอิญเจอคุณแม่ที่เดินทางลำพังพร้อมลูกเล็กๆ ถึงสามคน แล้วเธอมองว่าคุณแม่คนนี้เก่งมากจึงชวนคุยว่าเธอทำได้ยังไง คุณแม่ลูกสามบอกว่า “เธอต้องปล่อยวางหลายๆ เรื่องเลย” แล้วก็เล่าว่า ลูกสองคนของเธอกินนมแม่ได้ปกติแต่ลูกคนเล็กแพ้นมแม่เลยต้องยอมให้กินนมผง ความเชื่อเรื่องนมแม่ก็ทำให้เธอแทบเป็นบ้าเหมือนกัน สุดท้ายเธอก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า “ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็จะมีความรู้สึกผิดเกิดขึ้นอยู่ดี”
ตอนที่มาริกลับมาถึงบ้านแล้วเห็นภาพแม่ของเธอให้นมผงกับลูก เธอก็ร้องไห้ออกมา แต่ไม่ใช่เพราะเธอรู้สึกไม่โอเคกับนมผง มันเป็นเพราะเธอรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่แม่เคยพยายามทำเพื่อเธอแม้มันจะเคยไม่สมบูรณ์แบบในมุมมองของเธอ และการได้กลับมาเจอครอบครัวของตัวเองพร้อมหน้าพร้อมตาก็ทำให้มาริตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เราคิดว่าพอมาริเลือกกลับไปทำงานแทนที่จะอยู่เลี้ยงลูกที่บ้านตลอดเวลามันทำให้เธอเกิดความรู้สึกผิดข้างในจนไปยึดติดกับการให้นมแม่ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอมองว่าจะช่วยให้เธอกับลูกได้สานสัมพันธ์กัน แล้วถ้าเธอไม่ได้ให้นมลูก เธออาจกลัวว่าตัวเองจะเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ
ส่วนตัวเราก็มีเพื่อนที่เริ่มต้นบทบาทของการเป็นแม่ เพื่อนของเราก็เผชิญกับปัญหาการให้นมเช่นเดียวกัน บอกตามตรงว่าตอนเพื่อนเล่าให้ฟังเรารู้สึกร่วมไปกับสิ่งที่เพื่อนต้องเจอ แล้วมันทำให้เราคิดว่าแม่ของเราจะเคยรู้สึกแบบเดียวกันมั้ยหรือยังมีแม่คนอื่นๆ ต้องเผชิญกับแรงกดดันในการเป็นแม่ที่ดี แม่แบบในอุดมคติแบบเดียวกันนี้รึเปล่า สิ่งนี้ทำให้เริ่มเข้าใจความยากลำบากของการเป็นแม่ขึ้นมา
เราคิดว่าการที่มาริยังมีชีวิตอยู่ไม่ตกเครื่องบินไปซะก่อน แล้วยังเป็นคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง พยายามมอบความรักและเวลาให้กับลูกเท่าที่จะทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอได้ทำให้ลูกแล้ว
ครั้งนี้เลยรู้สึกอยากเอ่ยคำขอบคุณคุณแม่ทั้งหลายที่พยายามมอบความรักให้ลูกอย่างเต็มที่ และอยากบอกแม่ๆ ว่าอย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเลยเพราะเราเชื่อว่าในวันนั้นทุกคนก็คงทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว อยากให้คุณแม่ทั้งหลายดูแลใจตัวเองให้ดีๆ เหนื่อยก็พักบ้าง แค่อยู่เคียงข้างลูกในทุกๆ วันก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้มันจะมีวันที่ลูกอาจจะโกรธ ไม่เข้าใจบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วเขาได้เห็นว่าแม่ยังคงอยู่ข้างเขาเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสิ่งนี้แหละที่จะเติบโตสวยงามแข็งแรงในตัวของลูกๆ ตลอดไป