- บทความนี้อ้างอิงเนื้อหาจากสารคดีชุด Losers ตอน Black Jack ที่เผยแพร่ทาง Netflix ในปี 2019 เป็นเรื่องราวของแจ็ค ไรอัน อัจฉริยะด้านบาสเกตบอลที่ถูกแมวมองหลายสำนักรุมจีบตั้งแต่เรียนมัธยม
- แม้จะได้เข้าร่วมโรงเรียนและวิทยาลัยดังๆ แต่ด้วยวินัยที่ย่ำแย่ทำให้แจ็คถูกตะเพิดออกจากทีมบาสเกตบอลทุกครั้ง กระทั่งหมดโอกาสที่จะไต่เต้าเข้าสู่โลกของ NBA
- แม้นิยามความล้มเหลวในความหมายของมนุษย์จะต่างกัน แต่ในวัย 35 ปี แจ็คยังคงขอให้แม่ช่วยจ่ายค่าเช่าบ้าน จนวันหนึ่งเขาได้พบกับโค้ชผู้มองเห็นความพิเศษในตัวเขา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝันที่เฝ้ารอมาทั้งชีวิต
ผมเคยสงสัยว่าทำไมคนเก่งๆ มีพรสวรรค์ มีความสามารถหลายคน กลับไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต บางคนถึงกับยอมทิ้งความฝันของตัวเอง บางคนหลงผิดจนพาตัวเองดำดิ่งสู่ด้านมืดของชีวิต กระทั่งวันที่ผมได้ดูสารคดีชุด Losers ตอน Black Jack ผมก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า แค่พรสวรรค์หรือทักษะอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อความสำเร็จ เพราะสิ่งสำคัญกว่านั้นคือการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในวัยเด็กที่เป็นได้ทั้ง ‘แต้มต่อ’ หรืออาจเป็นดั่ง ‘ฝันร้าย’ ที่ตามหลอกหลอนไปตลอดชีวิต
‘แจ๊ค ไรอัน’ เกิดในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในย่านบรูคลิน (นิวยอร์ก) พ่อของแจ็คเป็นกรรมกรอยู่ที่ท่าเรือ ความน่าสนใจของครอบครัวไรอันคือลูกทุกคนจะกลัวพ่อ…ผู้ที่ปกครองทุกคนในบ้านอย่างเผด็จการ
พ่อของแจ๊คเป็นคนที่จริงจังกับการใช้ชีวิต อย่างตอนรับประทานมื้อค่ำ หากแจ๊คทำตัวตลกโปกฮาจนน้องๆ หัวเราะ สิ่งที่พ่อทำคือการตบเข้าที่ใบหน้าของน้องอย่างแรงจนแจ๊ครู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุ ขณะเดียวกันแจ๊คเองก็เผชิญกับความกดดันจากพ่ออยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้เขาเล่นอเมริกันฟุตบอลตั้งแต่ 8 ขวบ เพียงเพราะเป็นกีฬาที่พ่อหลงใหล หรือการไม่ซื้อจักรยานให้แจ๊คเพราะพ่อของเขาไม่เห็นความสำคัญ
“แม้ผมจะมีชื่อนามสกุลเดียวกับพ่อ แต่คนอื่นมักเรียกพ่อว่าร็อคกี้ เวลาที่พ่อพอใจผม พ่อจะเรียกผมว่าแจ็คสัน แต่ถ้าวันไหนพ่อไม่พอใจผม พ่อจะเรียกผมว่า ‘ฟัค-โอ’ ในตอนนั้นผมจึงมีฉายาว่าฟัคโอ และผมไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเลยสักนิด”
ผมไม่แปลกใจนักที่แจ๊คบอกว่าตัวเองเป็นพวก ‘Low Self-Esteem’ เพราะการที่พ่อบังคับกดดันและคอยแต่ตำหนิ ย่อมทำให้ความมั่นใจหรือภาคภูมิใจในตัวเองหายไปเป็นธรรมดา แต่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่แจ๊คหาทางเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองด้วยการแกล้งเพื่อนเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“ตอน 7 ขวบ แม่แอบซื้อจักรยานให้ผม ผมขึ้นไปขี่มันและอวดทุกคนว่าผมขี่จักรยานแบบไม่ใช่มือจับได้ ทันใดนั้นเอง ผมก็..ตู้ม! ฟันจูบพื้นเต็มๆ หมอเลยต้องทำฟันใหม่ให้ผม ซึ่งตอนผมอยู่ในห้องเรียน ผมชอบถอดฟันไปวางบนไหล่เพื่อนๆ จากนั้นทุกคนก็จะขำจนล้มไปกลิ้งกับพื้น และผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เจ๋งที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม”
แจ๊คต้องฝืนเล่นอเมริกันฟุตบอลเป็นเวลา 4 ปี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่กีฬาที่เขาชอบ แต่เขากลับเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของลีกเยาวชนในวัย 12 ปี ทว่าปีถัดมา แจ๊ครวบรวมความกล้าเพื่อบอกพ่อว่าจะไม่เล่นอเมริกันฟุตบอลอีกแล้ว และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขาดสะบั้น
หลังจากเลิกเล่นอเมริกันฟุตบอล แจ๊คก็นำตัวเองเข้าสู่โลกของบาสเกตบอล โดยมีพี่ชายของเขาเป็นแรงบันดาลใจ
“ผมหลงใหลบาสเกตบอลมากเพราะพี่ของผมคือผู้เล่นที่เก่งมากในสวนสาธารณะ ผมเห็นความรักและการนับถือที่เขาได้รับ ผมเลยอยากเป็นเหมือนเขาบ้าง”
ด้าน ‘ซูซาน’ น้องสาวของแจ๊ค บอกว่าแจ๊คมักสนุกกับการเล่นบาสในแบบที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นและตะโกนเรียกชื่อของเขา และมันเป็นสิ่งที่แจ๊คทำได้ดีที่สุด
“เวลาเดียวที่ผมเชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตัวเอง คือเวลาไปสวนสาธารณะนั่นและเล่นได้ดี” แจ๊ค กล่าว
เมื่อได้ปลดแอกตัวเองจากคำสั่งของพ่อและได้รับการยอมรับจากหนทางที่ตัวเองเลือก แจ๊คก็เริ่มสะสมความมั่นใจ จนนำมาสู่ความฮึกเหิม เขาแอบมาซ้อมบาสเกตบอลตอนตีสองเป็นประจำเพื่อหวังก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นของสวนสาธารณะ
‘โอกาส’ ที่(เกือบ)คว้าไว้ไม่ได้
พอขึ้นมัธยม ทักษะด้านบาสเกตบอลของแจ๊คก็โดดเด่นขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่เขาหมกมุ่นกับมันจนเกินไป ทำให้ผลการเรียนตกต่ำถึงขั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียน 2 แห่ง ส่งผลให้ต้องจำใจเข้าโรงเรียนมัธยมแห่งสุดท้ายที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนของคนผิวสี
การเป็นคนขาวในดงของคนผิวสีในเวลานั้น ทำให้แจ๊คค่อนข้างเครียดและกังวลว่าจะไม่ได้รับการยอมรับ เขาจึงค่อยๆ สร้างการยอมรับด้วยการคัดตัวเข้าทีมบาสเกตบอลและโชว์ฟอร์มจนเพื่อนๆ ต้องซูฮก
แต่แล้ว แจ๊คก็เริ่มมีพฤติกรรมไม่น่ารักที่หลายคนส่ายหัว โดยเฉพาะระหว่างการแข่งขัน หากโฆษกสนามหรือกองเชียร์ฝั่งตรงข้ามพูดอะไรที่ไม่เข้าหู แจ๊คจะตอบโต้ด้วยความบ้าคลั่ง อย่างเช่น การโชว์บั้นท้ายจนถูกไล่ออกจากสนาม หรือตอนที่ไปเล่นบาสเกตบอลที่สวนสาธารณะ หากวันนั้นแจ๊คเล่นไม่ได้ดั่งใจตัวเอง เขาจะอาละวาดด้วยการเขวี้ยงถังขยะไปทั่วสนาม และลามไปจนถึงขั้นโยนลูกบาสข้ามไปบนทางหลวง
“ผมจำได้ว่าผมมักจะขี้โมโหเพราะผมมีความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ ดังนั้นการถูกบอกว่าผมทำสิ่งที่ผิดตลอดเวลา ผมจะเสียสติและทุกอย่างจะพังหมดเลย ผมมีความโกรธเหล่านี้อยู่ในตัว”
ที่แจ๊คบอกว่าขี้โมโหเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ ตรงนี้ผมมองว่า ‘มีเหตุผล’ เพราะสิ่งที่แจ๊คกลัวที่สุดคือการไม่ได้รับการยอมรับ ดังนั้นหากใครเล่นบาสเก่งกว่าหรือกลบรัศมีความเด่นของเขา ย่อมเปรียบได้กับการราดแอลกอฮอล์ลงไปบนบาดแผล ทำให้แจ๊คต้องปกป้องตัวเอง (แบบผิดๆ) ด้วยการแสดงความเกรี้ยวกราด เพราะกลัวจะถูกคนอื่นลดทอนคุณค่าของตัวเอง
อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของ ‘แจ๊ค ไรอัน’ ยังคงโด่งดังจนไปเข้าหูของหัวหน้าโค้ชบาสเกตบอลของทีม ม.เซนต์จอห์น ถึงขั้นที่ตัวโค้ชแวะมาดูฟอร์ม พร้อมกับส่งผู้ช่วยมาติดตามผลงานในภายหลัง
แม้ลีลาในสนามจะโดดเด่น โดยเฉพาะการชู้ตทำคะแนนราว 40 แต้มต่อเกมส์ แต่ในวันที่ผิดฟอร์ม แจ๊คกลับทำตัวเป็นอันธพาลที่อาละวาดเสียงดังในโรงยิม ทำให้ผู้ช่วยโค้ชของเซนต์จอห์นเลิกสนใจเขาในที่สุด
ผมมองว่าฝีมือบาสเกตบอลอันฉกาจของแจ๊คเปรียบได้กับร้านอาหารที่รสชาติอร่อยแต่เจ้าของร้านปากเสีย ดังนั้นต่อให้บางคนจะเอือมระอา แต่ก็ยังมีคนอื่นๆ ก็อยากลิ้มรสอาหารร้านนี้อยู่ดี
แจ๊คยังคงได้รับเชิญให้เข้าไปเป็นนักบาสในมหาวิทยาลัยอื่นอีกราวสามแห่ง แต่แล้วกลับลงเอยด้วยการถูกไล่ตะเพิดออกจากทีมทุกครั้ง ด้วยเหตุผลสั้นๆ คือการไม่มีระเบียบวินัย ขาดซ้อม ติดสุรา และขัดคำสั่งของโค้ช ซึ่งผมรู้สึกเสียดายกับโอกาสที่แจ๊คไม่เคยตั้งใจรักษามันไว้สักครั้ง
หลังถูกไล่ออกจากวิทยาลัยบรูคลิน ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ 4 แจ๊คก็รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวจนไม่อยากไปเรียนที่ไหนอีก เขาจึงนำตัวเองกลับไปเป็นราชาบาสเกตบอลของสวนสาธารณะหลังบ้าน และหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานในตลาดปลาอย่างไร้จุดหมาย นอกจากนี้แจ๊คยังใช้เวลาไปกับการนอนอาบแดดมากขึ้นเพื่อดึงดูดใจแก่ผู้คนที่พบเห็น
“ผมเล่นบาสได้ดีมากจนเอาชนะทุกคนได้แล้ว ผมจึงไปหาสวนแห่งใหม่ การเล่นสตรีทบอลเป็นเหมือนสวรรค์ของผม ไม่ต้องมีคนมาบอกว่าผมต้องทำยังไง ผมรู้สึกฟรีสไตล์ได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ”
ระหว่างนั้น ซูซานยอมรับว่าพ่อไม่ปลื้มพี่ชายของเธอสักเท่าไหร่ เพราะการเล่นสตรีทบอลไม่มีความหมายเลยเมื่อเทียบกับการออกไปหางานทำจริงๆ จังๆ และพ่อเองก็รู้สึกขายขี้หน้าไม่น้อยในเรื่องของแจ๊ค
แต่แจ๊คก็ไม่สะทกสะท้าน เขายังคงใช้ชีวิตแบบฟรีสไตล์ ตระเวนเล่นบาสตามสวนสาธารณะหลายแห่ง จนได้พบกับโอกาสครั้งสำคัญ เมื่อนักข่าวกีฬาชื่อดังของสหรัฐฯอย่าง ‘พีท เวสซีย์’ ที่ผ่านมาเห็นฟอร์มการเล่นอันสุดยอดของเขาต่อหน้าต่อตาตัวเอง
จากนั้นนักข่าวชื่อดังก็พาแจ๊คไปคัดตัวกับ ‘บิล ฟิตช์’ โค้ชทีมนิวเจอร์ซี เน็ตส์ แต่แจ๊คก็ยังเป็นแจ๊ค ผู้ทิ้งขว้างโอกาสและไม่คิดจะปรับปรุงตัวเอง
“เขาเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในทีม ขณะเดียวกันเขาก็สร้างมลพิษให้โรงยิมด้วย เขาชอบถอดฟันปลอมออกมา ขว้างลูกบาสขึ้นหลังคา เขามีปัญหาครับ ไม่ต้องสงสัยเลย เขามีกลิ่นเหล้า และแจ๊ค ไรอัน เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ถ้าแจ๊คมาด้วยทัศนคติที่ดีตั้งแต่แรกและพัฒนาเหมือนมืออาชีพทั่วไป เขาอาจเป็นมืออาชีพได้” พีท กล่าว
เมื่อไม่ผ่านการคัดตัวครั้งนี้ แจ๊คก็ตระหนักว่าประตูสู่การเป็นนักบาส NBA ได้ปิดลงตลอดกาล แจ๊คค่อยๆ ปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งกับความล้มเหลว จนดูเหมือนว่านี่คือช่วงเวลาที่หดหู่ที่สุดในชีวิตของเขา
‘ถูกที่ ถูกเวลา’ จังหวะแห่งการค้นพบตัวเอง
“ไม่นาน พ่อผมก็เสียชีวิต ตอนนั้นผมอายุ 35 แต่แม่ยังช่วยผมจ่ายค่าเช่าบ้าน คืนหนึ่งผมโทรหาน้องสาวบอกเธอว่าผมไม่อยากอยู่แล้ว ผมอยากยิงกบาลตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะหาปืนจากไหน ซึ่งซูซานก็เป็นห่วงผมมากจึงให้เบอร์โทรบาทหลวงไว้คนหนึ่ง”
แจ๊คพยายามติดต่อและฝากข้อความหาบาทหลวงคนนั้น แต่บาทหลวงก็ไม่เคยติดต่อกลับมาสักที อย่างไรก็ดี พระเจ้ากลับได้ยินเรื่องราวของเขา และส่งชายคนหนึ่งไปยังสวนสาธารณะที่แจ็คเล่นบาสอยู่เป็นประจำ
“ผมเหมือนอยู่จุดต่ำสุด ไปไหนไม่ได้แล้ว ผมก็เลยทำสิ่งที่ทำอยู่ต่อไป เล่นบาสในลีกของสวนสาธารณะ และตอนนั้นมีโค้ชเพี้ยนๆ คนหนึ่งเห็นผมควงลูกบาสอยู่บนนิ้ว เขาบอกผมว่า ‘แจ็คกี้ อะไรเนี่ย นายทำได้ยังไง’ เขาบอกจะพาผมไปคัดตัวที่ฮาร์เล็ม วิซาร์ด ผมบอกจริงดิเพราะผมรู้ว่าพวกเขาคือใคร ทั้งเทคนิค-การดังก์- ตลก และทุกอย่าง โอ้แม่เจ้านี่คือเหตุผลที่ผมอยู่ที่นี่ งานนี้ผมจะไม่ทำพัง”
‘ฮาร์เล็ม วิซาร์ด’ คือทีมบาสเกตบอลที่ไม่มุ่งเน้นชัยชนะ แต่เน้นการสร้างสีสันความบันเทิงให้ผู้ชมเป็นหลัก ทำให้ทีมมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐฯ โดยมีแฟนคลับกลุ่มหลักๆ คือเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ
“คุณต้องมีความมั่นใจ มีพรสวรรค์ ต้องรักและทำให้ผู้ชมมีความสุข แจ๊คตลกจริงๆ เขามีความสนุกสนานเหลือล้น และคงเป็นความเสียหายมาก ถ้าไม่ให้โอกาสเขา” ท็อดด์ เดวิส เจ้าของฮาร์เล็ม วิซาร์ด กล่าว
ตามธรรมเนียมของสมาชิกทีมฮาร์เล็ม วิซาร์ด คือทุกคนต้องมีฉายาเป็นของตัวเอง ด้วยความที่แจ๊คเป็นคนขาวคนเดียวของทีม ทำให้เขาได้ฉายาว่า Black Jack ผู้เป็นที่รักของเด็กๆ
ซิกเนเจอร์ของแจ๊คในการแสดงโชว์คือการควงลูกบาสหมุนติ้วๆ ไปบนนิ้วมือ หัว และจมูก ซึ่งแจ๊คเองก็ดูมีความสุขกับสีหน้าแววตาและเสียงหัวเราะของผู้ชมเป็นอย่างมาก
“สิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุด คือพ่อไม่ได้เห็นผมเป็นฮาร์เล็ม วิซาร์ด เพราะพ่อคงหยุดขำไม่ได้ พ่อคงพูดว่า ‘ดูไอบ้านี่สิพวก ทั้งชีวิตของมัน มันเอาแต่ทำแบบนี้ และผมก็ด่ามัน ไม่ให้ควงลูกบาสในบ้าน และนี่คือสิ่งที่มันใช้ทำมาหากิน’”
ไม่เพียงแค่การยอมรับจากเด็กๆ และผู้คนทั่วไป แจ๊คยังรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด เมื่อแม่ชีคนหนึ่งเดินมาหาเขาหลังจบการแสดงและบอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเปรียบได้กับการทำงานให้กับพระเจ้า
“แจ๊ครีบโทรมาเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง เพราะแม่ชีคือตัวแทนของการยอมรับ แม่ภูมิใจในตัวแจ๊คมากที่เขาค้นพบสิ่งที่เหมาะกับเขา และขอบคุณพระเจ้าที่แม่ได้เห็นมันก่อนที่แม่จะตาย” ซูซาน กล่าว
‘งานที่ใช่’ เติมเติม Self Esteem ที่พร่องไปในวัยเด็ก
สำหรับเรื่องความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือ Self Esteem ที่แจ๊คขาดหายในวัยเด็ก ผมมองว่าเป็นเพราะพ่อยัดเยียดความต้องการของตัวเองให้กับแจ๊ค โดยไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกยังไง และไม่เคยสนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบ ซึ่งผมคิดว่าสิ่งที่แจ๊คต้องการจริงๆ คือการได้รับความรักและความนับถือ
ดังนั้นการเล่นบาสใน NBA หรือการเป็นนักกีฬาผู้เปี่ยมด้วยวินัย จึงไม่ใช่ทางที่ใช่ แต่เป็นการ ‘โชว์ออฟ’ เพื่อเติมเต็มความภาคภูมิใจในตัวเองที่ไม่เคยได้รับจากพ่อ โดยมีลูกบาสเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างแจ๊คกับผู้คน
“การแสดงให้เด็กๆ ดู ผมโหยหามัน เพราะมันคือเชื้อเพลิงของผม ความภาคภูมิใจในตัวเองของผมตอนนี้พุ่งสูงไปถึงข้างบนแล้ว ผมได้ทำงานที่เจ๋งที่สุดในโลก ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ ผมภูมิใจที่ค้นพบที่สิ่งที่ผมรัก เปลี่ยนมันเป็นงาน และผมไม่เคยอยากเกษียณเลย”
จากคนที่ขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง และให้แม่จ่ายค่าเช่าบ้านในวัย 35 จนพี่น้องและเพื่อนหลายคนเอือมระอา มาวันนี้แจ๊คได้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ และหากจะให้ผมสรุปเรื่องราวทั้งหมดแบบ Happy Ending อีกครั้ง ผมคงขออนุญาตหยิบยกบทสัมภาษณ์ของ ‘เทิร์ก’ เพื่อนสนิทของแจ๊คที่กล่าวถึงซี้เก่าไว้ว่า…
“เราได้แต่ฝันถึงสิ่งที่เขาทำอยู่ คุณนึกออกไหม การตื่นขึ้นมา และทำสิ่งที่มันไม่ใช่งานด้วยซ้ำ เพราะเมื่อคุณรักสิ่งที่คุณทำแล้ว มันจะไม่ใช่งาน แต่น่าเสียดายที่โลกนี้มีคนเป็นทุกข์มากมายเหลือเกินที่ต้องตื่นไปทำงาน ทำหน้าที่ที่เขาไม่ชอบ…แต่นั่นไม่ใช่สำหรับแจ๊ค”