- Ghostlight เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวการสูญเสียลูกชายคนโตอย่างกะทันหัน ทำให้แต่ละคนต้องรับมือกับความเศร้าโศกและความรู้สึกผิดในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะพ่อที่รู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่ได้เข้าใจลูกชายมากพอ
- ‘แดน’ ผู้เป็นพ่อพยายามหลบหนีความเจ็บปวดจากการสูญเสียด้วยการไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งกลับกลายทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยิ่งบอบช้ำ และส่งผลกระทบต่อสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว
- การเข้าร่วมกลุ่มแสดงละครและการสวมบทบาทเป็น ‘โรมิโอ’ ในเรื่อง ‘โรมิโอกับจูเลียต’ ทำให้พ่อได้กลับมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง และเริ่มต้นกระบวนการเยียวยาจิตใจ ซึ่งพอเขาสามารถเปิดใจยอมรับความจริงและความรู้สึกของตัวเองได้ เขาก็สามารถก้าวผ่านความเจ็บปวดและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
*มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ
Ghostlight คือหนังที่เล่าถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังเผชิญกับเรื่องราวสูญเสียบางอย่างอยู่แต่เราจะไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไร เราต้องตั้งตารอดูให้หนังค่อยๆ เฉลยทีละนิดจนเราสามารถประกอบเรื่องราวได้ ซึ่งถ้ายังไม่เคยดูเรื่องนี้เลย เราคิดว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าถ้าได้ดูก่อนแล้วค่อยมาอ่านบทความนี้
ครอบครัวนี้ประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกสาว ลูกสาวชื่อ ‘เดซี่’ เปิดมาฉากแรกๆ ก็ถูกครูใหญ่เรียกให้เข้าพบและบอกว่าเธออาจถูกไล่ออกได้จากพฤติกรรมที่เธอทำ เราคิดว่าเดซี่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก็นั่นแหละ ในตอนแรกเราจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่
คนแม่ชื่อ ‘แชรอน’ เธอเหมือนคอยแบกครอบครัวเอาไว้ และทำเป็นเข้มแข็งอยู่ตลอด
ส่วนคนพ่อชื่อ ‘แดน’ ดูเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นง่ายมากกับเรื่องเรื่องหนึ่ง เขาต้องพาลูกสาวไปหานักจิตบำบัดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ปฏิเสธการเข้าร่วมด้วยทั้งที่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาเช่นเดียวกัน มันแสดงให้เห็นถึงความอึดอัด ไม่ยอมระบายออกและพยายามหลีกหนีสิ่งนั้นอย่างชัดเจน
จนวันนึงแดนก็มีอาการสติแตกและเกือบทำร้ายร่างกายคนอื่น มีคนบังเอิญเห็นเหตุการณ์นั้นเลยชวนเขาเข้าร่วมการแสดงละครเวทีเล็กๆ ของชุมชน เพราะคนในกลุ่มนั้นรู้สึกว่าเขาอาจต้องการเวลาที่จะได้ลองสวมบทบาทเป็นคนอื่น เพื่อจะได้พักจากบางสิ่งบางอย่างที่ตัวของแดนต้องเผชิญบ้าง
และการแสดงละครนี้ทำให้เขาได้รู้จักเรื่อง ‘โรมิโอกับจูเลียต’ วรรณกรรมของวิลเลียม เชคสเปียร์ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักที่เรียกว่าเป็นโศกนาฏกรรมชื่อดังที่หลายๆ คนมองว่าสุดแสนจะโรแมนติก แต่ไม่ใช่กับแดน เขารู้สึกว่าการตัดสินใจของโรมิโอและจูเลียตในตอนท้ายเป็นเรื่องที่เขาจะไม่ทำเป็นอันขาด
แล้วหนังก็ค่อยๆ เล่าถึงสิ่งที่ครอบครัวของแดนกำลังดีลอยู่ นั่นก็คือการจากไปของ ‘ไบรอัน’ ลูกชาย หรือพี่ชายคนโตของเดซี่ ซึ่งอายุเพียง 17 ปี ไบรอันนั้นรู้สึกผิดหวังที่พ่อแม่ไม่ยอมให้เขาย้ายไปอยู่กับแฟนที่รักมากซึ่งกำลังจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น เลยตัดสินใจกินยาเพื่อฆ่าตัวตายพร้อมกับแฟน แต่ในตอนสุดท้ายแฟนสาวกลับรอดชีวิตแต่ไบรอันไม่ ซึ่งเรื่องราวมาคล้ายกับเรื่องของโรมิโอและจูเลียต
คนที่มีปัญหาหนักที่สุดกับเรื่องนี้คือแดน เขาเป็นคนที่ได้เห็นไบรอันนอนเสียชีวิตและแฟนสาวของลูกรอดชีวิตมาเพียงคนเดียว หลังจากนั้นเขาจึงเลือกที่จะหลบหนีจากบทสนทนาทุกอย่างที่เกี่ยวกับไบรอัน บางครั้งก็แสดงอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียวมากจนทำให้แชรอนและเดซี่ไม่สามารถพูดถึงไบรอันไปด้วย
และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เดซี่มีปัญหากับที่โรงเรียนเพราะต้องการจะระบายอารมณ์ออกทางอื่น ในตอนหลังเธอก็เปิดใจว่า “เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับอนุญาตให้รู้สึกเศร้า ทั้งที่เธอเศร้าตลอดเวลา” เธอและแม่อยากพูดถึงไบรอันมากเพราะความคิดถึง แต่กลัวว่าถ้าพูดออกไปพ่อ(แดน) จะลุกหนีหรือโมโห ทำให้ทั้งสองต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้เพราะไม่อยากให้พ่อต้องรู้สึกแย่
และสิ่งนี้ส่งผลให้ทั้งครอบครัวไม่เคยได้รับการเยียวยา ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากความเศร้าและความอาลัยนี้เลยแม้จะผ่านมาหนึ่งปีแล้ว
ต่อมาแดนก็ยังคงเข้าร่วมกลุ่มแสดงละครต่อ อาจเพราะทำให้เขารู้สึกว่าได้คิดถึงอย่างอื่นดูบ้าง แล้วไปๆ มาๆ แดนก็ดันต้องมาลองสวมบทเป็นโรมิโอ
ซึ่งทำให้เขาต้องพยายามทำความเข้าใจตัวละครนี้ นั่นหมายความเขาก็จะได้ลองทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกชายของเขาตัดสินใจในวันนั้น
แม้มันจะยากลำบากมากแต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เหมือนแดนได้รับการเยียวยาจากสิ่งนี้ กลายเป็นวิธีที่ทำให้เขาได้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มที่จะพูดถึงมันออกมา เริ่มกล้าที่จะโอบกอดความเศร้า ความโกรธ ความเสียใจทั้งหมดเอาไว้ว่ามันเป็นส่วนนึงของกระบวนการที่จะก้าวผ่านมันไป
ในตอนท้าย ครอบครัวของแดนต้องไปไกล่เกลี่ยกับครอบครัวแฟนสาวของไบรอัน ซึ่งความตั้งใจแรกของครอบครัวแดนคือต้องการเอาเรื่องครอบครัวนั้นที่ปล่อยให้ลูกสาวสามารถใช้ยาอันตรายและทำให้ลูกชายของเขาตายไป
ตอนนี้เป็นตอนสำคัญที่เฉลยเหตุการณ์ทุกๆ อย่าง ทำให้เราเข้าใจทุกการตัดสินใจของแดน เดซี่ และแชรอนตลอดทั้งเรื่อง และเป็นครั้งแรกที่แดนเปิดใจและพูดถึงเรื่องไบรอันออกมา เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนหัวโบราณที่ไม่เก็ทการบำบัดจิตใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดถึงมันอีก ในตอนนั้นเขาเป็นคนที่ไม่ยอมให้ลูกชายไปอยู่กับแฟน เพราะรู้สึกว่าไบรอันยังเป็นเด็กอยู่ อายุยังไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ จึงตัดสินใจห้ามไม่ให้ไบรอันเจอกับแฟนสาวอีก
เขาบอกว่ามันยากมากที่จะพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ทั้งคู่ทำ แต่เขาก็พยายามคิดว่าทั้งสองคนจะรู้สึกแย่แค่ไหนนะถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น แล้วก็คิดว่ามันก็คงไม่ง่ายถ้าเรื่องมันกลับกัน (ถ้าไบรอันไม่ได้เป็นฝ่ายจากไป)
แดนบอกว่า “เขารู้สึกโกรธแฟนไบรอันและครอบครัวของเธอ โกรธไบรอัน และรวมถึงตัวเขาเองด้วย” เขาเปิดเผยอีกว่า “รู้สึกเหมือนจิตใจแตกสลาย เขาไม่ได้เสียใจที่แฟนของลูกตื่นขึ้นมา เขาแค่อยากให้ไบรอันตื่นขึ้นมาด้วยเหมือนกัน” ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาตัดสินใจไม่เอาเรื่องอีกฝ่าย เพราะเริ่มเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว ในที่สุดแดนก็สามารถมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาของลูกชายตัวเองโดยไม่ตัดสินได้แล้ว
เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ เรารู้สึกว่าสำหรับเราแล้วเหมือนหนังได้มาเล่าให้ฟังในอีกมุมนึงว่าครอบครัวของโรมิโอกับจูเลียตอาจมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อลูกๆ วัยรุ่นของพวกเขาเลือกที่จะจากไปเพราะความรัก
และเหมือนหนังได้มาตอกย้ำความสำคัญของการเปิดใจยอมรับให้ทุกๆ อารมณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเข้ามาในตัวเอง เพื่อที่จะก้าวผ่านมันไปได้อย่างเข้มแข็ง เพราะถ้าหากเราเก็บไว้แล้วคิดจะหนี ไม่ยอมทำความเข้าใจการสูญเสียที่เกิดขึ้นเหมือนกับที่แดนทำ วันนึงมันก็จะย้อนกลับมาหาเราและเรียกร้องให้เราทำความเข้าใจมันอยู่ดี
เราเลยตีความไปเองว่าชื่อเรื่อง Ghostlight อาจหมายถึงวิญญาณของโรมิโอกับจูเลียต หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือเรื่องราวการสูญเสียที่ยังคงตามมาหลอกหลอนแดนจากการที่พยายามวิ่งหนีมันมาตลอด แต่เมื่อเราเริ่มทำความเข้าใจมัน แสงนั้นมันก็อาจไม่ใช่ผีที่เราต้องวิ่งหนีก็ได้