- แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา เป็นภาพยนตร์แนว Coming Of Age จากค่าย GDH บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแฟลตตำรวจแห่งหนึ่ง โดยมี แอน เด็กสาวที่พ่อเสียชีวิตในหน้าที่ และ เจน เด็กสาวที่ได้ชื่อว่ามีพ่อแม่ร่ำรวยที่สุดในแฟลต เป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่อง
- แม้ตัวอย่างภาพยนตร์อาจทำให้มองว่าแฟลตเกิร์ลเป็นหนังในแนวยูริ (Girls’ Love) แต่ลึกลงไปแฟลตเกิร์ลยังมีประเด็นที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน หรือปัญหาความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ
- ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย จิรัศยา วงษ์สุทิน (ซีรีส์ One Year 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ) โดยแฟลตที่ปรากฏในภาพยนตร์คือสถานที่จริงที่เธอเคยอยู่อาศัยกับครอบครัวในฐานะลูกตำรวจ
[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]
“แม่ให้แอนเกิดมาทำไม”
ประโยคที่ ‘แอน’ เด็กสาวชั้นมัธยมปลายพูดกับแม่อย่างเหลืออดใน แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา ภาพยนตร์จากค่าย GDH ทำให้คำพูดเสียดสีทำนองที่ว่า “มีแม่เมื่อพร้อม” ดังแทรกขึ้นมาในหัวผม
ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแฟลตตำรวจแห่งหนึ่ง โดยมีสองสาวเพื่อนสนิทอย่าง ‘แอน’ เด็กสาวที่พ่อเสียชีวิตในหน้าที่ และ ‘เจน’ เด็กสาวที่ได้ชื่อว่ามีพ่อแม่ร่ำรวยที่สุดในแฟลต เป็นตัวละครหลักที่สลับกันดำเนินเรื่อง
สารภาพว่าจากการชมตัวอย่างภาพยนตร์ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแฟลตเกิร์ลอาจเป็นหนังยูริ (Girls’ Love) ที่เน้นขายคู่จิ้นฟินจิกหมอน แต่พอได้ติดตามเรื่องราวของสองสาวไปเรื่อยๆ ถือว่าทำได้ดีกว่าที่คิด เพราะบทภาพยนตร์ได้ซ่อนประเด็นคำถามที่น่าสนใจไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน หรือปัญหาความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ที่พบได้ในสังคม ซึ่งชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามและสะท้อนคิดกับประสบการณ์ส่วนตัว โดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบที่เหมือนกัน
ในมุมของผม สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด คือการที่แฟลตเกิร์ลเป็นตัวแทนหมู่บ้านในการฉีกมายาคติครอบครัวอบอุ่นที่ว่า “พ่อกับแม่คือคนที่รักและหวังดีกับลูกมากที่สุด” หรือ “บ้านคือพื้นที่ปลอดภัยให้เราได้พักพิงใจ” ซึ่งผมขอออกตัวก่อนว่าพ่อแม่ที่รักและหวังดีกับลูกนั้นมีอยู่จริง แต่โชคไม่ดีที่ลูกหลายคนอาจไม่มีวาสนาพอที่จะได้เจอพ่อแม่แบบนั้น
แอนเองก็เช่นกัน แม้เธอจะเป็นคนที่ขยันทำงานช่วยแม่หาเงินและดูแลน้องอีกสามคน รวมถึงฝึกภาษาอังกฤษจนเก่ง ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสอย่างที่ฝันไว้ แต่เมื่อแอนมีแม่ที่ไม่ยอมทำงาน วันๆ เอาแต่ไปเล่นการพนัน แถมยังติดหนี้คนนั้นคนนี้ไปทั่ว อย่าว่าแต่ทำตามความฝันเลย แค่ใช้ชีวิตวัยรุ่นแบบเด็กมัธยมปลายทั่วไป ก็ยังเป็นไปไม่ได้
แอนต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่และพี่ใหญ่ตลอดเวลา ซึ่งผมเทียบเคียงกับข้อมูลที่เคยอ่านแล้วคิดว่าเธออาจประสบกับภาวะ Parentified Child หรือ ‘ภาวะที่เด็กต้องขาดการดูแลสนับสนุนจากพ่อแม่และต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร’ นอกจากนี้เธอยังค่อนข้างโดดเดี่ยวและกดเก็บความเครียดไว้ภายใต้ท่าทีเรียบเฉยที่ดูเหมือน ‘ไหวอยู่’ เพราะดูจากสถานการณ์ของแอนแล้ว แทบจะมองไม่เห็นทางเลือกหรือทางออกที่จะพาชีวิตไปอยู่ในจุดที่ดีขึ้น ได้ทำตามฝัน หรืออย่างน้อยก็ปลดภาระที่แบกรับเอาไว้จากแม่…ผู้ที่ไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลย นอกจากให้กำเนิด
ยิ่งกว่านั้น แม่มักจะเหยียบย่ำความฝันที่แอนอยากเป็นแอร์โฮสเตส พร้อมกับปั่นหัวแอนว่าที่ครอบครัวเราต้องอยู่อย่างลำบากเป็นเพราะต้องเลี้ยงดูลูกที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลย ดังนั้นแอนก็ไม่ควรเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ทิ้งครอบครัว ก่อนจะกดดันให้แอนใช้สิทธิในการเป็นตำรวจ (แทนพ่อที่เสียชีวิตในหน้าที่) เพื่อมาช่วยแม่ใช้หนี้ที่เอาเป็นเล่นพนันและขยายสิทธิในการอาศัยอยู่ภายในแฟลตแห่งนี้ต่อไป
“กูหมดปัญญาละ จะเป็นตำรวจ หรือจะไปอยู่ข้างถนนกันให้หมด มึงก็คิดดูละกัน” แม่ของแอนกล่าว
ดังนั้น เมื่อแอนสวนกลับด้วยความสิ้นหวังว่า “แล้วที่ผ่านมาแอนไม่ช่วยแม่ตรงไหนวะ…แม่ให้แอนเกิดมาทำไม” ผมจึงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายเหมือนอย่างที่เกริ่นในย่อหน้าแรกว่า แอนคือตัวอย่างของลูกที่มีแม่เมื่อไม่พร้อม เป็นเด็กโชคร้ายที่มีผู้ให้กำเนิดเป็นความท็อกซิกในชีวิต …แม่ที่ไม่สามารถสนับสนุนทั้งในเรื่องของเงินทองและความรู้สึก
ในตอนท้ายของภาพยนตร์ ผมชอบที่ผู้กำกับจงใจทำให้แฟลตเกิร์ลไม่มีฉากจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หรือแบดเอนดิ้ง โดยเฉพาะกับตัวละครของแอนที่หายตัวไปทิ้งไว้แต่ความคลุมเครือซึ่งเปิดให้เราจินตนาการถึงฉากต่อไปของเด็กผู้หญิงที่เติบโตมากับแม่ผู้ปัดความรับผิดชอบทุกอย่าง เติบโตมาในสังคมแฟลตที่ไม่ได้โอบอุ้มเด็กที่แหลกสลายจากความเป็นครอบครัว ว่าเป็นไปได้มากแค่ไหนที่เด็กแบบนี้จะมีอนาคตที่ดี หรือจะสร้างครอบครัวที่ดีต่อไปในอนาคต
แต่สำหรับผม ผมอยากชวนทุกคนให้หันกลับไปตั้งคำถามกับตัวละครอย่างแม่ของแอนมากกว่า เพราะสุดท้ายแม่ก็ยังเป็นผีพนันสุดขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโยนภาระหน้าที่ในการรับจ้างรีดผ้าและหาเงินมาจุนเจือครอบครัวของแอนไปใส่มือของน้องคนรอง ซึ่งในที่สุดวงจรอุบาทว์แบบเดียวกันก็จะหมุนต่อไปด้วยความท็อกซิกของผู้เป็นแม่
ไม่ว่าในภาพยนตร์หรือชีวิตจริง เวลาที่เราเห็นเด็กคนหนึ่งทำเรื่องผิดพลาดในชีวิต หรือมีพฤติกรรมที่ไม่ดี คำถามแรกๆ ที่ควรจะนึกถึงก็คือ เธอหรือเขาถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน?