Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
Myth/Life/Crisis
3 December 2021

ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • หากเราดำเนินชีวิตมาโดยถูกกดทับและตีกรอบจากอะไรหลายอย่าง เราอาจเคยรู้ว่าเราเป็นใคร? แต่หลายห้วงขณะ เรากลับรับรู้ถึงการดำรงซ้อนอยู่ของใครอีกคน หรือการกลายเป็นใครอีกหลายคนเกินกว่าที่เคยเข้าใจ
  • ภัทรารัตน์ ชวนสำรวจบุคลิกภาพหลากหลายที่อาจซุกซ่อนอยู่ภายในกระแสสำนึกของเรา ผ่าน เกรซ มาร์คส์ ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตด้วยเหตุฆาตกรรมที่เธอเข้าไปมีส่วนร่วม กระทั่งมีจิตแพทย์ที่ต้องการหาคำตอบว่าเกรซมีความผิดจริงหรือไม่ ด้วยการเข้าไปในดินแดนที่ยังมิได้ถูกสำรวจในจิตใจเกรซ
  • เมื่อสังคมหล่อหลอมให้เราเป็นแค่บางอย่าง ซึ่งบางทีก็เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าต้องปฏิสัมพันธ์กับเราด้วยกรอบของการสัมพันธ์กับ อะไร เราก็คุ้นเคยเพียงกับสิ่งนั้น และสูญเสียความเชื่อมโยงกับรูปแบบการดำรงอยู่อื่นๆ ไป

1.

เกรซ มาร์คส์ (ตัวละครจาก Alias Grace) ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ด้วยมูลเหตุฆาตกรรมที่เธอเข้าไปมีส่วนร่วมเมื่ออายุเพียงสิบหกในช่วงปี 1843 ดูเหมือนว่าเกรซในวัยเยาว์นั้นได้ให้การต่อศาลไปตามที่ทนายเกลี้ยกล่อม โดยที่ผ่านมาทั้งทนายและสื่อต่างๆ ก็ดูจะรู้เรื่องของเธอมากว่าตัวเธอเองเสียอีก เพราะเธอเองก็จำรายละเอียดของการฆาตกรรมไม่ได้

อย่างไรเสียเกรซก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดไปแล้วและต้องรับโทษในเรือนจำ ซึ่งมาจนถึงบัดนี้ก็กินเวลายาวนานดุจนิรันดร์ แต่ไม่กี่ปีมานี้เองที่ผู้อำนวยการเรือนจำได้ให้นักโทษประพฤติดีอย่างเธอเข้าไปทำงานบ้านในตอนกลางวันที่บ้านของเขา ซึ่งจะได้กลายเป็นที่นัดพบระหว่างเธอกับจิตแพทย์ ไซมอน จอร์แดน ผู้วิจัยเรื่องโรคทางสมองและระบบประสาท เขาเดินทางมาสืบค้น “ดินแดนที่ยังมิได้ถูกสำรวจ” (a terra incognita) ในจิตใจเธอ เพื่อดึงเสี้ยวความทรงจำอันลอยเลื่อนเลือนหายของเธอให้กลับคืนมา ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าเธอมีความผิดจริงหรือไม่?

เกรซอาจได้รับอภัยโทษหากมีข้อสนับสนุนจากแพทย์ว่าเธอเป็นผู้บริสุทธ์

เกรซเล่าเรื่องราวของเธอให้หมอหนุ่มฟัง เธอมีพื้นเพในไอร์แลนด์ พ่อกับแม่ของเธอมีลูกด้วยกันมากมายเกินกว่าที่พ่อผู้ติดเหล้าหนักและชอบข่มเหงจะสามารถหาเลี้ยงได้ พวกเขาจึงอพยพไปสู่ประเทศแคนนาดาอันเป็นดินแดนแห่งความหวังใหม่

เมื่อเรือได้เทียบถึงฝั่งฝัน เกรซได้งานเป็นแม่บ้านประจำของครอบครัวเศรษฐีในโตรอนโตและได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกับ แมรี่ แม่บ้านสาวหัวใจนักปฏิวัติซึ่งหมิ่นแคลนชนชั้นที่สูงกว่า แต่กลับตกบ่วงพิศวาสของบุตรชายเจ้าบ้าน เธอตั้งครรภ์กับสุภาพบุรุษผู้ร่ำรวยและเขาก็เลือกจะทอดทิ้งเธอเพื่อรักษาสถานะของตนเอง และแทนที่จะต้องทนอยู่อย่างอับอายและยากแค้น เธอตัดสินใจทำแท้งด้วยคมมีดสุภาพบุรุษ ซึ่งพาเธอไปสู่ปรโลก

หลังจากเพื่อนรักสิ้นใจ เกรซก็ย้ายไปทำงานที่บ้านในเขตชนบทของ ธอมัส คินเนียร์ โดยสาวน้อยต้องทำงานร่วมกับ เจมส์ แมคเดอร์มอตต์ แรงงานหนุ่มท่าทีหยาบกร้าน ซึ่งดูเหมือนว่าได้สานสัมพันธ์บางประการกับเธอ อีกทั้งเธอต้องอยู่ร่วมกับ แนนซี่ มอนต์โกเมอรี่ ซึ่งมีสัมพันธ์สวาทกับคุณผู้ชายและหวาดหวั่นว่าเขาจะหันมาสนใจเกรซ ความระแวงทำให้บรรยากาศในบ้านตึงเครียดขึ้นทุกทีกระทั่งในที่สุด แนนซี่ก็ได้ไล่เกรซและเจมส์ออก น่าเศร้าที่พวกเขาต้องจากลากันด้วยความตาย เจมส์ลงมือฆ่าแนนซี่และเจ้าของบ้านโดยอ้างภายหลังว่าเกรซยุยงให้ฆ่าแนนซี่เพื่อแลกกับรสรัก

หลังบทสนทนายาวนานกับเกรซ นายแพทย์จอร์แดนก็ยิ่งไม่อาจมั่นใจว่าเรื่องเล่าของเธอส่วนไหนเป็นจริงหรือเป็นสิ่งลวง จนท้ายที่สุดเขาก็ได้ปล่อยให้ดร.ดูปองต์ สะกดจิตเกรซ  

แล้วในห้วงภวังค์แห่งการสะกดจิต เกรซก็พูดจาด้วยน้ำเสียง “ไม่เหมือนเกรซ” อีกทั้งก็มีท่าทีที่มิได้รักษามารยาทนักราวกับว่าผีแมรี่กำลังเข้าสิง เสียงนั้นบอกเป็นนัยว่าแมรี่ได้ใช้ร่างของเกรซยั่วยวนเจมส์ รวมถึงมีส่วนร่วมกับเจมส์ในความตายของแนนซี่ด้วย  

แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเกรซถูกวิญญาณแมรี่สิงตอนลงมือ? หรือเธอมีความผิดปรกติในลักษณะที่มีหลายบุคลิก (dissociative identity disorder -DID) ซึ่งก็คือมีสองบุคลิกหรืออาจมากกว่านั้น โดยแต่ละบุคลิกสามารถจะมีความนึกคิดและพฤติกรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

หรือเธอแค่ยืมตัวตนของแมรี่มาบอกเล่าเรื่องราวส่วนที่สังคมไม่อนุญาตให้เธอพูดโดยปราศจากการลงทัณฑ์ กันแน่? 

2.

เกรซ และเสียงของผีแมรี่

นับแต่วัยเยาว์ เกรซเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ชายเป็นใหญ่กว่าหญิง อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ทำให้เธอต้องดิ้นรนมาโดยตลอด และความเป็นพลเมืองชั้นรองของเธอก็ยิ่งชัดเจนเมื่ออพยพไปที่แคนนาดา เธอผ่านหลายเหตุการณ์รุนแรงซึ่งสามารถสร้างแผลใจและความไม่ไว้วางใจผู้ชายผู้มีอำนาจมากกว่าได้อย่างลึกล้น แต่เธอก็ยังดำเนินชีวิตต่อไป ในความเข้มแข็งเช่นว่านั้นเธอยังดูอ่อนโยนและน้อมลงให้คนที่มีผลรวมอภิสิทธิ์มากกว่า แต่ก็มีความขบถและชาญฉลาดที่เธอรู้จักซุกซ่อนไว้ เธอมีบุคลิกภาพและการแสดงออกไม่เหมือนแมรี่ และยิ่ง ไม่อาจแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเหมือนแมรี่ที่ตายไปแล้วได้ เพราะความเป็นหญิงในยุคของเธอซึ่งถูกสารพัดสิ่งกดทับและทำให้เงียบนั้น จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่มีสภาพบุคคลอีกต่อไป.. 

อีกในหนึ่งเสียงของผีแมรี่ ก็คือเสียงที่ผู้หญิงอย่างเกรซซึ่งยังมีชีวิตไม่ได้รับอนุญาตให้เปล่งออกมา แต่หยิบยืมใช้ได้นั่นเอง

เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยิน

หากเราดำเนินชีวิตมาโดยถูกกดทับและตีกรอบจากอะไรหลายอย่าง เราอาจเคยรู้ว่าเราเป็นใคร? แต่หลายห้วงขณะ เรากลับรับรู้ถึงการดำรงซ้อนอยู่ของใครอีกคน หรือการกลายเป็นใครอีกหลายคนเกินกว่าที่เคยเข้าใจ พวกเขาอาจคล้ายหรือแปลกแยกแตกต่างไปจากบุคลิกหลักของเรา บ้างก็เป็นคน บ้างก็คล้ายกับสัตว์ป่า และบ้างก็เป็นเพียงภาวะรู้สึกตัวที่ผสานซ่านไปในอากาศธาตุและผืนป่าซึ่งโอบล้อม

เมื่อสังคมหล่อหลอมให้เราเป็นแค่บางอย่าง ซึ่งบางทีก็เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าต้องปฏิสัมพันธ์กับเราด้วยกรอบของการสัมพันธ์กับ อะไร เราก็คุ้นเคยเพียงกับสิ่งนั้น และสูญเสียความเชื่อมโยงกับรูปแบบการดำรงอยู่อื่นๆ ไป 

กระทั่งแม้ไม่มีใครหักห้าม เราก็ได้กักเก็บตัวตนและความทรงจำมากมายเหล่านั้นไว้ในพื้นที่ที่เราเองก็เข้าถึงไม่ได้ และตัวตนในเงื้อมเงาเหล่านั้นก็สามารถขับเคลื่อนให้เรากระทำการบางอย่างไปโดยปราศจากความรู้สึกตัว ซึ่งบ้างก็อาจสร้างผลลัพธ์ที่เราชอบ แต่ก็มักให้โทษบ่อยครั้งกว่าคล้ายเกรซที่อาจเป็นฆาตกรเพราะถูกผีแมรี่สิง

3.

สดับฟัง ปล่อยให้มันปรากฏ

อย่างไรก็ตาม เราสามารถชิงเข้าถึงกระแสเสียงเหล่านั้นก่อนที่มันจะทำลายเรา โดยสามารถเริ่มต้นจาก

  • รู้สึกถึงสิ่งที่รบกวนเราในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลอย่างรุนแรง หรือวิตกกังวล หรือโกรธ (ดูตัวอย่างการทำงานกับความโกรธที่ ยักษ์นนทก: โกรธเพราะปล่อยให้คนอื่นล้ำเส้น (และ/หรือถูกสะกิดแผล?) 
  • ตระหนักว่าเรากำลังเสพติดอะไร หรือใส่ใจความฝันของเรา (ดูตัวอย่างการทำงานกับสิ่งที่เราเสพติดที่ Swan Lake 2: ข้อมูลที่จิตสำนึกไม่รับทราบ แต่หาทางไปปรากฏในความฝันและการเสพติด) หรืออาการป่วยไข้ (ดูตัวอย่างการทำงานกับความฝันและอาการป่วยที่ โกลมุนด์: ความทรงจำที่ถูกฝังกลบ การเยียวยาผ่านความฝัน และสัญญาณการเปลี่ยนแปลง) ในเรื่องนี้ดร.มินเดล (Arnold Mindell) นักจิตวิทยาวิเคราะห์ผู้พัฒนาจิตวิทยาเชิงกระบวนการ ได้สังเกตผู้คนที่มีอาการเจ็บปวดทางร่างกายว่ามักจะมีปฏิกิริยาในลักษณะที่ทำให้เจ็บปวดกว่าเดิมราวกับพวกเขาอยากสัมผัสความเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เช่น คนเจ็บตาเอามือไปกดตาตัวเอง หรือคนที่เป็นกลากกลับยิ่งเกา 

มินเดลรู้ว่าร่างกายมนุษย์มีกลไกที่จะเยียวยารักษาตัวเอง และการทำให้อาการแย่ลงอาจเป็นหนึ่งในกลไกนั้น นั่นแปลว่าการ “ขยายอาการ” ออกมาสามารถช่วยทำให้กระบวนการแห่งชีวิตของเราที่ถูกจองจำณ ส่วนใดส่วนหนึ่ง กลับมาไหลลื่นได้อีกครั้ง

ดังนั้น เราสามารถ “เชื่อมโยง” ว่าสิ่งรบกวนใจหรือความป่วยไข้ของเรา ฯลฯ มีเสียง หรือภาพ และสารอะไรบ้าง?

  • เราสามารถพูดคุยกับทีละเสียง และโดยมีความสำนึกรู้และไม่ไปละเมิดผู้อื่น เราสามารถทดลองกลายเป็นสิ่งเหล่านั้นให้ชัดมากขึ้นทีละอย่าง หรือ 
  • ถ่ายทอดมันออกมาเป็นอักษรซึ่งเราอาจบันทึกออกมาเป็นภาษาอื่น ซึ่งช่วยปลดเราออกจากความคิดครอบงำในวัฒนธรรมที่ภาษาหลักของเราสังกัด หรือ
  • เราสามารถวาดภาพที่เห็นออกมาในกระดาษ หรือ
  • เคลื่อนไปโดยไร้การกำกับของเหตุผลตายตัว 

เราสามารถจงใจเล่นบทบาทสมมุติและขยายแก่นสารของสิ่งต่างๆ อันผุดเกิดขึ้นเหล่านั้นซึ่งมักมิใช่บุคลิกหลักของเรา เมื่อมันอยู่ในความรับรู้ เราก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะทำความเข้าใจ ปรับแปร หรือเพียงแต่โอบอุ้มมันไปอย่างซื่อตรงได้อย่างนุ่มนวล แทนที่จะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยแรงปะทุอันเชี่ยวกรากของสิ่งที่เราไม่ตระหนักว่ามีอยู่ภายใน 

4. 

เมื่อได้ปล่อยให้สารัตถะต่างๆ ที่เคยซุกซ่อนอยู่ มีช่องทางได้เผยตัวออกมาในการดำรงอยู่ของเราได้อย่างรู้ตัวมากมายขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มจะเห็นว่าโลกภายในสามารถเป็นแหล่งบรรจุทุกตัวละครที่เรามองเห็นในโลกภายนอก เมื่อเข้าไปรู้และเรียนรู้จากมัน ก็เสมือนหนึ่งว่าเราได้รู้จักสิ่งที่มีลักษณะทำนองเดียวกันในโลกภายนอกนั้นด้วย หนำซ้ำยังอาจพบเสี้ยวความทรงจำบางอย่างที่หายไป ซึ่งเชื่อมร้อยเหตุการณ์ / ภาวะหนึ่งเข้ากับอีกเหตุการณ์/ อีกภาวะหนึ่ง ทำให้พวกมันเริ่มเชื่อมโยงกันอย่างสมเหตุสมผล หรือเกิดความหมายใหม่ขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้ามันดูเหนือความเข้าใจ

และเราก็ไม่รู้สึกแปลกแยกจากตัวตนและความทรงจำเหล่านั้นอีกต่อไป

อ้างอิง
Alias Grace โดย Margaret Atwood และภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนวนิยายดังกล่าว ซึ่งฉายทาง Netflix
Dreams โดย Carl Gustav Jung แปลจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษโดย R.F.C Hull หากสนใจ สามารถเทียบภาษาเยอรมันจาก “Die praktische Verwendbarkeit der Traumananalyse” ใน in Wirklichkeit der Seele 
Working with the Dreaming Body โดย Arnold Mindell
Split personality disorder: Signs, symptoms, causes, diagnosis, and more

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ซีรีส์จิตใต้สำนึกบุคลิกภาพ

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Character building
    ‘บุคลิกภาพ’ สร้างได้? เข้าใจ 5 บุคลิกหลักจากมุมมองทางจิตวิทยา

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel