Skip to content
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก
Dr. Udom-nologo
Transformative learning
28 May 2025

“ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • โจทย์ใหญ่ในการทำงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คือ การที่เด็กและเยาวชนทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้เต็มตามศักยภาพ
  • The Potential ชวน ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา พูดคุยถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังและแนวทางในการทำงาน
  • “กสศ. เชื่อว่าการ Movement ในเชิง Area จะสร้างพลังและเกิดความยั่งยืนได้มากที่สุด ที่คิดเช่นนั้นเพราะว่าถ้าโรงเรียนมีหน่วยงานที่มีอำนาจทั้งในเรื่องของทรัพยากร งบประมาณ หรือแม้แต่การสั่งการมาร่วมขับเคลื่อนจะทำให้เขาวิ่งได้เร็ว มั่นใจและมั่นคงมากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ”

-เด็กและเยาวชนทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้เต็มตามศักยภาพ

-ลดช่องว่างคุณภาพโรงเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนต่างเศรษฐฐานะ

-ป้องกันและแก้ปัญหาการหลุดออกนอกระบบการศึกษา

นี่คือโจทย์ใหญ่ในการทำงานพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่ง The Potential ชวน ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา มาพูดคุยถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังและแนวทางในการทำงาน

จากจุดเริ่มต้น ‘โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ Teacher and School Quality Program (TSQP)’ ที่เน้นการปรับเปลี่ยนชั้นเรียนหรือการจัดการเรียนรู้ผ่านนวัตกรรมต่างๆ  มาสู่ ‘การขับเคลื่อน’ ภายใต้โครงการ ‘TSQM : Teacher and School Quality Movement’ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเชิงพื้นที่ TSQM-A, เครือข่าย TSQM-N และในเชิงประเด็น TSQM-I 

ถึงวันนี้โครงการทั้งหมดมีความก้าวหน้าไปมากน้อยแค่ไหน อะไรคือจุดวัดความสำเร็จ และข้อท้าทายในการเดินไปให้ถึงหมุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างยั่งยืน

ก่อนอื่นอยากย้อนไปถึงที่มาของการขับเคลื่อน ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ ว่าเกิดขึ้นจากอะไร

โรงเรียนพัฒนาตนเองเป็นแนวคิดที่เกิดจากการคิดงานเรื่องการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนซึ่งอยู่บนฐานของข้อมูลที่ว่า ประเทศไทยมีโรงเรียนอยู่ 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งขนาดของโรงเรียนที่แตกต่างกันมีผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก เช่น โรงเรียนขนาดใหญ่มีความพร้อมสูง รองลงมาคือโรงรียนขนาดกลางซึ่งอาจมีทั้งความพร้อมหรือไม่พร้อม มีแต่ปริมาณเด็ก แต่คุณภาพอาจจะไม่ดี และสุดท้ายคือโรงเรียนขนาดเล็กไปเลย

โรงเรียนในประเทศไทยมีประมาณ 30,000 โรงเรียน ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ วิธีการทำงานของ กสศ. คือถ้าช่วยได้ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่พอจำเป็นต้องทำงานเพื่อสร้างคุณภาพ ก็ต้องมีวิธีทำงานที่ต่างกันไป โรงเรียนขนาดใหญ่ เราไม่ค่อยไปยุ่งเท่าไหร่ เพราะเขามีความพร้อม ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กไปเลยถือเป็นงานยาก เพราะครูยังไม่พอ คุณภาพก็ยิ่งแย่ ต้องมีการทำงานเชิงลึกแบบอื่น 

พอมาดูโรงเรียนขนาดกลางซึ่งมีอยู่ประมาณ 7,000 แห่งทั่วประเทศ หรือถ้านับง่ายๆ คือมีจำนวนเท่ากับตำบล วิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จน่าจะง่ายขึ้นกว่าโรงเรียนขนาดเล็กมาก เราก็เลยมาจับจุดนี้และเป็นที่มาของ ‘โรงเรียนพัฒนาตนเอง’ โดยตั้งเป้าว่าลองทำสัก 10 เปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนขนาดกลาง คือ 700 แห่ง ถ้ามองในแง่ของการเริ่มต้นถือว่าค่อนข้างเยอะ ตอนนั้น กสศ. ก็เริ่มศึกษาว่า ถ้าจะพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดกลาง ควรต้องทำงานทั้งระบบโรงเรียน จึงเป็นที่มาของ ‘Whole School Approach หรือ การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ’

การทำงานเพื่อพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ ในช่วงแรกวางแนวทางการดำเนินการไว้อย่างไร 

การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบเริ่มคิดมาตั้งแต่ปี 61-62 เรียกว่า ‘TSQP’ หรือ Teacher School Quality Program หรือ Project ตอนนั้นประเทศไทยมีเรื่อง ‘คูปองครู’ ก็นำมาคิดเทียบกันว่า ถ้าครูคนหนึ่งมีงบประมาณเพียงพอในการพัฒนาตนเองแล้วกลับมาพัฒนาโรงเรียนได้จะเป็นเรื่องดีเยี่ยมเลย แต่ปรากฏว่าเป็นการพัฒนาเฉพาะตัวเสียส่วนใหญ่ ครูไปเรียนรู้ เก่งกลับมา แต่พอทำงาน ต้องทำอยู่คนเดียว สุดท้ายก็หมดแรง ทำให้เรามีแนวคิดเรื่อง Whole School ซึ่งช่วงแรกของโครงการมีโรงเรียนเข้าร่วมประมาณ 400 โรงเรียน ดังนั้นคำถามแรกที่ต้องถามทั้ง 400 โรงเรียน คือ ผู้อำนวยการทำไหม เพื่อนครูทั้งโรงเรียนทำด้วยไหม ถ้าไม่ทำ เอาไว้ก่อน 

นอกจากนี้ ในการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ กสศ. ได้ศึกษาทบทวนว่าต้องมี ‘เครื่องมือสนับสนุน’ ในการพัฒนาตนเองด้วย คือ ‘เครื่องมือสนับสนุน 6 มาตรการ’ ซึ่งความจริงแล้วแรกเริ่มเลยมี 5 มาตรการ ส่วนมาตรการที่ 6 มาจากโรงเรียนที่ทำงานร่วมกันคิดเพิ่มขึ้นมา ถือว่าเป็นข้อดีอย่างมาก 

เครื่องมือสนับสนุน 6 มาตรการ มีอะไรบ้าง  

มาตรการที่ 1 คือ โรงเรียนต้องมีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีคุณภาพ นั่นคือมาตรการที่ 2 เรื่อง Q-Info มาตรการที่ 3 คือ กระบวนการ PLC ต้องมีการพูดคุยกันในโรงเรียน มาตรการที่ 4 คือ Q-Network มีการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียน และมาตรการที่ 5 คือ Q-Classroom เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมในชั้นเรียนสำหรับพัฒนาเด็ก ทั้งหมดนี้คือ 5 มาตรการแรก ทีนี้พอโรงเรียนทำงานไปสักปีกว่า ๆ ปรากฏว่ามีหลายโรงเรียนพูดถึงระบบดูแลช่วยเหลือเด็ก ที่ต้องทำงานกับผู้ปกครองและชุมชน ก็เลยเพิ่มเป็นมาตรการที่ 6 ขึ้นมา 

หลังจากนั้น TSQP ขยับมาสู่ TSQM ได้อย่างไร 

TSQP รุ่นที่ 1 มีโรงเรียนเข้าร่วมทั้งหมด 400 กว่าโรงเรียน รุ่นที่ 2 เข้ามาเพิ่มอีก 300 โรงเรียน รวมทั้งหมดมีประมาณ 727 โรงเรียน โดยเราทำงานกันในช่วงเวลาสัก 3 ปี เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงระดับโรงเรียน แต่ในระหว่างนั้นมีครูและผู้อำนวยการต้องย้ายโรงเรียนกันไปบ้าง ซึ่งในการทำงาน นอกจากมีเครื่องมือหนุนเสริมแล้ว กสศ. ยังมีครูแกนนำ มีโค้ชที่เข้าไปประกบตามโรงเรียนอยู่ถึง 11 ทีม เพื่อช่วยส่งเสริมเรื่องของ Q- Classroom 

ทีนี้ พอผ่านไป 3 ปี ก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโรงเรียน โรงเรียนที่มาเข้าร่วมกับเราจาก 727 แห่ง ก็มาจบที่ 500 ปลายๆ หายไปบางส่วน แต่หายไปแบบมีความหมาย คือมาเรียนรู้แล้วถอยไปทำเอง อันนี้อาจเป็นอีกนิยามหนึ่งว่า ‘พัฒนาตนเองอย่างแท้จริง’ และพอปิดโครงการ TSQP หรือหมดเฟสการทำงาน ก็มองว่าถ้าจะขับเคลื่อนต่อในลักษณะของ Movement รูปแบบของการเคลื่อนจะอยู่ที่โรงเรียนหรือพื้นที่แล้วว่าชอบแบบไหน ซึ่งตอนนั้นพยายามทำออกมา 3 แนวทาง เรียกว่า ‘3 Approach’ คือ 1. เคลื่อนแบบทั้งจังหวัด หรือ TSQM-A (Area-based) โดยใช้ต้นทุน TSQP 2. ทำเป็นกลุ่มเครือข่ายของโรงเรียน หรือ TSQM-N (Network-based) และ 3. มีประเด็นอะไรที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรค หรืออยากยกระดับคุณภาพแล้วมาทำวิจัยในชั้นเรียน หรือทำงานกับผู้เชี่ยวชาญ เป็น TSQM-I (Issue-based) 

ทั้งนี้ การเคลื่อนเพื่อไปแตะถึงตัวโรงเรียนกับเชิงระบบในพื้นที่จะมีการเคลื่อนแบบ Movement ในเชิง Area คือยกจังหวัด กับ Movement ในเชิงเครือข่าย คือ 10 โรงเรียนโดยประมาณรวมกันขยับเอง แต่ว่าต้องมีความเข้าใจตรงกันว่า 6 มาตรการยังคงหมุนอยู่ในโรงเรียนเหล่านี้ ซึ่งเราก็เลยชวนว่า ในชุดแรกนี้ จังหวัดไหนที่มีความพร้อมก็เชิญมา ตอนนั้นซาวด์เสียงไปทั่วประเทศมีอยู่ 17 จังหวัด มาเวิร์กชอปกัน คุยไปคุยมา เงื่อนไขการทำงานคือต้องเชื่อมกับต้นสังกัดให้ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเล่นด้วย ก็เลยมี 10 จังหวัด ทีนี้ 10 จังหวัดถ้าขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ (Area) จะมีพลังสูงตรงที่ว่า ถ้ายกจังหวัดจะได้ปริมาณโรงเรียนเยอะ ส่วนคุณภาพต้องทำงานต่อ ซึ่ง 10 จังหวัดนี้มีโรงเรียนที่ร่วมขบวนอยู่ประมาณ 800 โรงเรียน เราก็เห็นขบวนที่เขาทำงาน 

อะไรคือความยากของการขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่

ความยากคือการทำงานกับหน่วยงานต้นสังกัดที่เป็นภาคราชการ ภาคสังคม หรือแม้กระทั่งภาคเอกชน การทำความเข้าใจหรือว่าเหนี่ยวนำให้เขาเห็นความสำคัญและมาร่วมขบวน อาจต้องใช้การทำความเข้าใจค่อนข้างมาก แต่หลายจังหวัดก็ขับเคลื่อนแบบก้าวกระโดด เพราะบังเอิญไปเจอผู้ว่าราชการจังหวัดที่ใส่ใจเรื่องการศึกษามาก ศึกษาธิการจังหวัดทำงานกับเขตพื้นที่ได้ทุกเขต ไม่มีช่องว่าง ทำให้เดินหน้าไปได้ไว เช่น จังหวัดเพชรบูรณ์ หรือแม้กระทั่งภูเก็ต ศรีสะเกษ โดยเฉพาะภูเก็ตกับศรีสะเกษนั้น มี พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรม ก็นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นภาพการทำงานการขับเคลื่อนในเชิง Area หรือว่า TSQM-A 

การทำงานขับเคลื่อน TSQM-A ของภูเก็ตและศรีสะเกษมีจุดแข็ง และข้อท้าทายอะไรบ้างที่สามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาให้แก่พื้นที่อื่นๆ 

จุดแข็งของสองจังหวัดนี้ที่เหมือนกัน อันดับแรกคือมี พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สองมีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ คือมหาวิทยาลัยราชภัฏ ทีนี้ถ้ามองจังหวัดศรีสะเกษ นอกจากเป็นพื้นที่นวัตกรรมแล้ว ยังมีฐานการทำงานจาก TSQP แบบที่เรียกว่าจำลองประเทศไทยลงไปในจังหวัดศรีสะเกษ เพราะศรีสะเกษมีโค้ชลงไปช่วยเรื่องนวัตกรรมในชั้นเรียนถึง 6 ทีม นั่นหมายถึงว่าเขามีนวัตกรรมให้เลือกใช้ บางโรงเรียนพอทำไปสัก 1-2 ปี ผมเชื่อว่าอาจจะ mix and match นวัตกรรม เป็นจุดแข็งหนึ่งที่ศรีสะเกษใช้ ซึ่งวิธีการนี้เป็นภาพฝันของ กสศ. คือเราอยากให้ทั้งประเทศเลือกนวัตกรรมใช้เองได้ในระดับโรงเรียน แต่ว่าศรีสะเกษอาจมีความท้าทายสักเล็กน้อย เรื่องการทำงานกับหน่วยงานต้นสังกัด หนึ่งคือโรงเรียนมายังเขตพื้นที่ เขตพื้นที่มายังศึกษาธิการจังหวัด หรือแม้กระทั่งเขตพื้นที่มายัง สพฐ. ในส่วนกลาง ตรงนี้อาจมีความท้าทายในการประสานงาน หรือการทำความเข้าใจงานให้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ว่าพอถึงวันนี้ จาก Program มาเป็น Movement เขาก็ทะลุทะลวงมาได้

แล้วในส่วนของจังหวัดภูเก็ตมีแง่มุมอะไรที่น่าสนใจบ้าง

สำหรับภูเก็ต นอกจากมีความเป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาแล้ว ภูเก็ตยังมีแผนพัฒนาจังหวัดที่เอาทุกงานมากางบนโต๊ะโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนั่ง เพราะฉะนั้นจุดแข็งของภูเก็ตนอกจากมี TSQP เดิมอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง ยังมีแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดโดยท้องถิ่นที่เข้มแข็ง มีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตที่ผลิตครูในโครงการครูรักษ์ถิ่น แล้วยังมีอีกหลายๆ งานใน 10 เสาหลักของจังหวัดภูเก็ต ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาทำแผนพัฒนาร่วมกัน ฉะนั้นแล้วขบวนของภูเก็ตมีความเข้มแข็งมากในการทำงาน และที่สำคัญคือ ภูเก็ตทำงานใช้หลักทางวิชาการค่อนข้างสูง เนื่องจากอาจารย์ในคณะครุศาสตร์ คณบดีคณะครุศาสตร์จับมือกันแน่นกับเขตพื้นที่ 

นอกจากนี้ ภูเก็ตยังเป็นจังหวัดที่เราเรียกว่าทำอะไรก็ยกเกาะได้ เพราะว่ามี สพป. สพม. อันเดียวกัน ไม่ได้มีการกระจายไปในพื้นที่กว้างมากนัก โรงเรียนทั้งจังหวัดมีไม่ถึง 100 โรงเรียน ทำให้ทำงานได้ทั่วถึง แต่ว่าความท้าทายของภูเก็ตคือมีประชากรแฝงค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นแล้วเวลาเกิดเหตุการณ์หรือผลกระทบเกี่ยวกับการโยกย้ายประชากร จำนวนของเด็กนักเรียน กับจำนวนของทรัพยากรอาจมีการแปรผันไปตามนั้น

ในส่วนของ TSQM-A จำนวนจังหวัดที่เข้าร่วมคิดว่าจะมีโอกาสขยายเพิ่มอีกไหม

แนวคิดแรก กสศ. เชื่อว่าการ Movement ในเชิง Area จะเป็นการ Movement ที่สร้างพลังและเกิดความยั่งยืนได้มากที่สุด ที่คิดเช่นนั้นเพราะว่าถ้าโรงเรียนมีหน่วยงานที่มีอำนาจทั้งในเรื่องของทรัพยากร งบประมาณ หรือแม้แต่การสั่งการมาร่วมขับเคลื่อนจะทำให้เขาวิ่งได้เร็ว มั่นใจและมั่นคงมากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ การเคลื่อนในลักษณะของ Area-based แบบนี้ เป็นลักษณะของการกระจายอำนาจ ระบบการปกครอง ระบบการศึกษาของประเทศ สิ่งนี้เป็นภาพฝันที่เราอยากเห็นและเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าจาก 10 จังหวัด สามารถขยายเพิ่มขึ้นเป็น 11, 12, 13, 14 ในแผน 3 ปี กสศ. ยินดีสนับสนุน หรือแม้กระทั่งจังหวัดที่ Movement จาก TSQM-N หรือเครือข่ายโรงเรียน ถ้ามองว่ามีโอกาสขยับเป็น TSQM-A ได้ เป็นเรื่องที่ดีมาก 

ส่วนบางจังหวัดที่ไม่ได้มีเครือข่ายอยู่เลย อาจจะเริ่มจาก N ก่อน หรือจะกระโจนมาเป็น A เลยก็ได้ ถ้ามีความพร้อม เพราะเวลา กสศ. สนับสนุนในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เราค่อนข้างเปิดกว้าง หลายจังหวัดสนใจก็เข้ามา เพราะหัวเชื้อของ TSQP ยังกระจายอยู่ในหลายจังหวัด เช่น พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท ซึ่งยังไม่ได้ปรากฏข้อมูลว่าเข้ามาเป็น N หรือ A เลย แต่ผมเชื่อว่าเชื้อ TSQP เหล่านี้มีอยู่ และอาจจะกำลังก่อตัวขยับขึ้นมาเป็น N หรือ A ได้ในอนาคต 

ขณะที่ TSQM-A แข็งแรงในเรื่องการหนุนเสริมของหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง TSQM-N มีจุดแข็งอย่างไร และมีก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน

จุดแข็งของ TSQM-N ถ้าพูดแบบชัดๆ คือเป็นการทำงาน Bottom-up ที่แข็งแรงมาก จากระดับหรือว่าระนาบของโรงเรียนที่จับมือไปด้วยกัน ฉะนั้นเวลากระโจนจะมีพลังสูง และเป็นการทำงานที่เหมือนกับระเบิดมาจากข้างใน เพราะเป็นความต้องการของโรงเรียน แล้วทั้ง 715 โรงเรียนที่เข้าร่วมเรียกว่า ‘ทีมเดียวกัน’ แม้ว่าเด็กจะมากหรือน้อย แต่ก็ยังอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่น อำเภอเดียวกันหรืออำเภอข้างเคียง เพราะฉะนั้นจุดแข็งคือ โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร คุณครู นักเรียน หรือผู้ปกครอง ได้พัฒนาตนเองในแบบที่เป็นความเฉพาะของตนเองค่อนข้างสูง 

TSQM-N เขาทำการบ้านในเชิงรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ในเรื่องเป้าหมายของการพัฒนาเด็กให้มีทักษะ อาจจะสำหรับศตวรรษนี้หรือศตวรรษหน้า ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะก็ดี หรือหลักสูตรอิงความสามารถของเด็ก 

เขาจะกลับมาคิดว่าจะออกแบบการเรียนรู้อย่างไร ที่สำคัญยังเป็นกลุ่มที่แสวงหาโค้ชด้วยตนเอง บนความเชื่อและความคิดที่ว่ามีประโยชน์กับนักเรียนของเขา ถือว่าเป็นจุดแข็งที่เกิดขึ้นในระดับโรงเรียน ชั้นเรียน หรือแม้แต่ชุมชน 

แต่ก็มีความท้าทายตรงที่ว่า ถ้าจำเป็นต้องทำงานกับหน่วยงานที่เป็นเชิงนโยบาย เขาอาจใช้อำนาจในการต่อรองในเชิงของเครือข่าย ซึ่งอาจจะมีทั้งบวกและลบ เพราะว่าอย่างน้อยต้องสมดุลให้ได้ระหว่างนโยบายกับระดับปฏิบัติการ อย่างที่ผมบอกว่าการทำงาน ใจผมคิดว่า Bottom-up เป็นสิ่งที่เราหนุนเต็มที่ แต่ว่า Top-down ก็ต้องดูหน่อยว่าจะไปในทิศทางไหน 

ปัจจุบันนี้พอเราเริ่มต้น A แล้วมี N ตามมา ก็มีการเปรียบเทียบ โดย N จะบอกว่า ทำแบบเครือข่ายไม่ต้องไปติดพันธนาการของการต้องแจ้งคนนั้น บอกคนนี้ หรือต้องรอคนนั้นมาบอก ลุยเลยเพื่อเด็ก เป็นแนวคิดของ N ที่มองเรื่องความคล่องตัวเป็นจุดแข็ง แต่ A จะบอกว่า เราทำอะไรก็มีนโยบายหนุนหลัง เพราะฉะนั้นผู้บริหาร คุณครู ผู้ปกครอง จะมีความมั่นใจสูง 

จังหวะของปี 68 เลยเป็นปีของการพยายามมองจุดแข็งของตัวเองเพื่อเคลื่อนงานไปข้างหน้า แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมคิดว่าการผสมผสานของสองเรื่องนี้ โดยมีเป้าหมายที่ตัวเด็กจะเกิดขึ้นแน่ในอนาคต

แนวทางขับเคลื่อนตัวสุดท้ายคือ ‘I’ หรือเชิงประเด็น มีความแตกต่างอย่างไร 

TSQM-I  ซึ่ง I คือ Issue เป็นการ Movement ในเชิง Issue หรือเชิงประเด็น เป็น 1 ใน 3 Approach ที่เราคิด แต่ว่าค่อนข้างเป็นอิสระแยกออกมาจากการทำงาน ไม่ได้เป็นขบวนของโรงเรียนหรือว่าองคาพยพในระดับจังหวัด แต่เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ สภาพปัญหา หรือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะบริบทของประเทศไทย ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมามีการนำโจทย์ของประเทศหรือว่าโรงเรียน เช่น เรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เรื่องที่ 2 คือเทคโนโลยีที่เข้าสู่ระบบการเรียนรู้ของเด็กแล้วมีผลทั้งทางบวกและลบ ไม่ว่าจะเป็น เอไอ หรือว่าสื่อโซเชียล ส่วนประเด็นถัดมาอาจเป็นเรื่องทักษะทางภาษา เป็นตัวอย่างของ Issue ที่เกิดขึ้นจากโรงเรียน 

สำหรับการทำงาน เราไม่ได้บอกว่าทุกโรงเรียนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ในช่วงของการวิจัย พัฒนา หรือว่าการพยายามหาทางออก แต่ว่าอาจจะมาให้ Input เช่น ใน Issue ที่ผ่านมา โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการทั้ง A และ N มีตัวแทนเข้ามาพูดคุยกันเพื่อคอนเฟิร์มประเด็นว่าใช่หรือไม่ใช่ และประเด็นที่ตั้งมานั้นมันมีรากของปัญหาอย่างไรบ้าง

จากเวทีที่เราจัดใน TSQM-I ตัวอย่างเรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ครูบอกว่าเด็กคนนี้อ่านไม่คล่อง คนนี้อ่านไม่ได้ คนนี้พูดไม่รู้เรื่อง อ่านมาแล้วสรุปความไม่ได้ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอวิเคราะห์ไปแล้วปรากฏว่า เด็กคนนี้มาจากครอบครัวที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ไม่ได้อ่านหนังสือภาษาไทย เด็กคนนี้มีพัฒนาการทางร่างกายหรือว่าสมองช้า เด็กคนนี้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว กลายเป็นว่า Issue ที่หยิบยกมาเป็นปรากฏการณ์ แต่มันเกิดประเด็นของการทำงานย่อยๆ เกิดแนวคิดที่ว่า แล้วถ้าเราจะทำงานเรื่องพวกนี้ให้ดีขึ้น การรู้พัฒนาการของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การคัดกรองเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้นเป็นเรื่องสำคัญที่ครูควรมีความรู้ กลายเป็นว่าจาก Issue เหล่านี้ นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญพอวิเคราะห์แล้วก็ได้นำเครื่องมือการคัดกรองเด็กไปใช้ในโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมต้น คือชั้นช่วง ป.1-ป.3 

ประเด็นที่ 2 เด็กบางคนที่มีอาการเกินกำลังของครู ก็มีระบบการส่งต่อเด็กนักเรียนไปสู่โรงเรียนที่มีความเฉพาะ หรือแม้กระทั่งไปปรึกษาทางการแพทย์ เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการทำงานในเชิงประเด็นในปัจจุบันที่จะเป็นเวทีเชิญผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยกันกับคุณครูที่มองเห็นปรากฏการณ์ 1-2-3-4 ในโรงเรียน แต่บางครั้ง เช่นตัวอย่างเรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จะมีเครื่องมือที่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย หรือการใช้ภาษาถิ่นหรือภาษาแม่มาเทียบเคียงกัน คิดออกมา และผลิตเป็นสื่อเพื่อให้โรงเรียนได้นำไปใช้แก้ไขปัญหา อันนี้เป็นตัวอย่างการทำงานในเชิงประเด็น หรือ TSQM-I 

หลายโรงเรียนตอนนี้อาสาเป็นโรงเรียนนำร่องในการแก้ปัญหาเรื่องอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เราไม่ได้ทำเฉพาะโรงเรียนในสังกัด สพฐ. แต่โรงเรียนของสังกัด กทม. นำแนวคิด TSQM-I ไปใช้วิเคราะห์ 3 เรื่อง โดยเรื่องที่ 1 คือ ปรากฏการณ์อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของเด็ก เรื่องที่ 2 คือ การเรียนรวมหรือเรียนคละชั้นระหว่างเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกัน และเรื่องที่ 3 คือ สุขภาวะของเด็กที่อาจจะมีปัญหา เช่น การมีเหา โรคผิวหนัง 

ซึ่งโรงเรียน กทม. ประมาณ 40 โรงเรียน ได้นำแนวคิดนี้ไปใช้ เพราะว่าประเด็นเหล่านี้ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก บางอย่างก็เป็นเส้นผมบังภูเขา 

ในทางปฏิบัติทั้ง TSQM-A, N, และ I ต่างหนุนเสริมกันได้หมด ซึ่งถ้าขับเคลื่อนไปด้วยกันก็คือการขับเคลื่อนระบบการศึกษา?

ถ้าเรามองเด็กนักเรียนเป็นตัวตั้ง แนวคิดหรือวิธีการทำงานจะเป็นอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วไปวัดที่ตัวเด็กว่ามีการเปลี่ยนแปลงไหม เด็กพัฒนาไหม ผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือ Learning Outcomes ที่บอกว่าเกิดขึ้นกับเด็กมีผลสัมฤทธิ์หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นตัวค่านิยมของเด็กที่มองเห็นเรื่องการเรียน หรือสิ่งที่ได้รับนั้นมีคุณค่ากับตัวเอง แล้วก็ไปสร้างคุณค่ากับสังคม ทัศนคติก็คือตัวเองมีความคิดที่ดีต่อประเทศชาติไหม มีทักษะที่จำเป็น หรือแม้กระทั่งจบ ม. 3 แล้วไม่เรียนต่อ แต่จะไปทำมาหากินแถวบ้าน แล้วตัวเองมีทักษะเหล่านั้นหรือเปล่า โรงเรียนทำให้เด็กอยู่รอดได้ไหม 

ส่วนตัวองค์ความรู้ที่เป็น Knowledge เดิมประเทศไทยให้ความสำคัญมาก จำได้ ทำข้อสอบได้ คะแนนต้องสูงสุดไปเลย ก็มีสุภาษิตว่า ‘ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด’ ตอนนั้นเราให้ความสำคัญกับ Knowledge ค่อนข้างมาก แต่มาตอนนี้แค่ให้รู้เอาไว้เป็นพื้นฐานในการที่จะไปพัฒนาทักษะ ไปสร้าง Attitude ที่ดีต่อตัวเองและให้เห็นคุณค่ากับสิ่งต่างๆ  

โรงเรียนที่อยู่ในเครือข่ายที่ทำงานกับเรา มีแค่พันกว่าแห่ง แต่โรงเรียนทั้งประเทศมีเป็นหมื่น เขาอาจจะมี Approach อื่นๆ ในการทำงานก็ได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่เหมือนกันที่สุดคือ การวัดผลที่เด็ก เด็กดีขึ้น เด็กเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าถ้าเด็กเปลี่ยน มองย้อนกลับมา ครูใช้วิธีการอะไร เปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า ผู้อำนวยการมีมุมมองในการบริหารอย่างไร ดูย้อนกลับขึ้นไปได้หมดเลย 

แน่นอนว่าผลลัพธ์ของโครงการ เราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เด็ก ทีนี้ถ้าถามความคาดหวังในแง่ขององค์กร กสศ. มีธง หรือภาพฝันอะไรที่อยากผลักดันให้เป็นจริง

ความจริงแล้ว กสศ. ทำงานแต่ละชิ้น เรามีช่วงระยะเวลาในการทำงานที่เรียกว่า ‘เฟส’ อย่างงานวิจัยจาก TSQP ที่คิดว่า 6 มาตรการนั้นเป็นตัวเดินเรื่องการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบได้จริง จะพลัสเป็น 7-8-9 อะไรก็แล้วแต่บริบท ผมว่าเรื่องที่ 1 อยากให้โรงเรียนที่เห็นความสำคัญในการพัฒนาโรงเรียน นำองค์ความรู้ตรงนี้ไปใช้ประโยชน์ 

เรื่องที่ 2 พอเรามองเข้าไปในแต่ละมาตรการ มีตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ คือเรื่องของข้อมูลของโรงเรียน ที่จะนำไปสู่การตั้งเป้าหมายได้ชัด เพราะว่ามีข้อมูลตัวนี้บ่งชี้ พอมีข้อมูลแล้ว ระบบดูแลช่วยเหลือเด็กจะทำได้ดี เพราะมีการเก็บสถิติเอาไว้ มี Base line บางอย่าง มีข้อมูลในการไป PLC แลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือสร้างเครือข่ายกับเพื่อน 

เราจึงมองว่าระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมา ที่เรียกว่าโปรแกรม Q-Info ถ้ามีโอกาสเป็นระบบหลักในการทำข้อมูลระบบการศึกษาของประเทศ จะเป็นประโยชน์มาก

ตอนนี้พยายามทำงานกับ สพฐ. ต้นสังกัดที่มีโรงเรียนมากที่สุด โรงเรียนทำงานกับเราพันเศษๆ ก็จริง แต่ตอนนี้ใช้ระบบ Q-Info ที่เป็นฟรีแวร์ของเราประมาณ 4,000 โรงเรียนแล้ว เรามองว่าเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของ 30,000 โรงเรียนในสังกัด สพฐ. แล้ว ความยั่งยืนอันหนึ่งที่คิดว่าเป็นเป้าหมายสำคัญ คือ การใช้ข้อมูลร่วมกันของระบบการศึกษาของประเทศ จะไม่ใช่ต่างคนต่างทำแล้ว 

เพราะฉะนั้น เราพยายามขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลชุดเดียวกันทั้งประเทศให้ได้ กสศ.บอกว่ามีเด็ก Drop Out เด็กนอกระบบเป็นล้าน แต่ว่าในกระทรวงศึกษาธิการบอกว่ามีแค่เรือนหมื่น ฉะนั้นไม่ใช่ใครถูกหรือใครผิด เพียงแต่การจัดการชุดข้อมูลควรเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน สิ่งนี้เป็นภาพฝันภาพใหญ่ที่เราอยากให้ประเทศมีระบบการใช้ข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว แต่ไม่ใช่หนึ่งเดียวที่เชื่อเหมือนกันทั้งหมด อาจจะมีการตั้งคำถามได้ในบางจุด 

ดังนั้น ถ้าเรามองการเคลื่อนจาก TSQM ก็คือ Q-Info ผมไม่ได้บังคับว่าทุกโรงเรียนต้องใช้ระบบโปรแกรมฟรีแวร์ Q-Info ที่ กสศ. ทำ แต่ยังไงก็ได้ที่ให้ทุกโรงเรียนมีข้อมูลคุณภาพ แล้วเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลสำคัญของประเทศในเรื่องของการพัฒนาการศึกษา ก็จะลดการถกเถียงกันเรื่องข้อมูลว่า อันนั้นใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง แต่เอาข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกัน ดังนั้นถ้าเกิดว่าต้นสังกัดหรือกระทรวงศึกษาธิการจับมือกับ กสศ. ขับเคลื่อนเรื่องระบบ Q-Info อย่างต่อเนื่อง จากหน่วยระดับโรงเรียนขึ้นมา มี Dashboard ระดับเขต ระดับจังหวัด และระดับภูมิภาคใช้ หรือว่า สพฐ.ใช้ ผมว่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยยกระดับคุณภาพได้จากการใช้ข้อมูล 

แล้วในส่วนของ TSQM เฟสต่อไป หรือก้าวต่อไป หมุดหมายอยู่ตรงไหน 

เฟสของ TSQM เรามองภาพไปถึงปี 70 แต่ว่าในปี 68-69-70 นั้น กสศ. จะค่อยๆ ถอยหลังตัวเองในเรื่องของงบประมาณ เพราะเราวิเคราะห์ได้แล้วว่าการใส่งบประมาณลงไปในจุดไหนจึงจะเป็นจุดที่เรียกว่ามีประสิทธิภาพที่สุด เรื่องที่ 2 คือการหนุนให้ใช้เครื่องมือ DE กับ PLC เดิมนั้นเหมือนกับเป็นภาคบังคับว่าทุกโรงเรียนต้องเข้าสู่กระบวนการนี้ ใช้เครื่องมือนี้ แต่พอถัดจากปี 70 เราจะขยับออกมาเป็นทางเลือก จะใช้หรือไม่ใช้หรือใช้แบบไหน คุณสามารถจัดการตัวเองได้ แต่ว่าถ้าต้องการคลินิก เราอาจจะเปิดคลินิกเล็กๆ ไว้คอยให้คำปรึกษา กับเรื่องของการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บางครั้งหน่วยงานต้นสังกัดหรือโรงเรียนเองอาจจะมีงบประมาณจำนวนหนึ่ง เราก็สนับสนุนบางส่วน ก็จะเป็นระยะๆ ในการทำงานต่อไป 

อีกเรื่องคือเราจะมองทิศทางเหมือนกับการทำงานวิจัยระบบการศึกษาของประเทศ เพราะว่า กสศ. มี วสศ. คือ สถาบันวิจัยการศึกษาเพื่อความเสมอภาคอยู่ ก็เป็น Issue ระดับนานาชาติ เพื่อดูทิศทางการไปข้างหน้าของระบบการศึกษาของประเทศไทย ต้องไม่ตกขบวน บทบาทของ กสศ. เราพยายามทำงานเรื่องนี้เพื่อเชื่อมโยงกับองค์กรทั้งในและต่างประเทศ 

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางคร่าวๆ ว่าถ้าสมมติเราเคลื่อนงานจนมีโรงเรียนประมาณสัก 2,000-3,000 แห่งที่อยู่ในขบวน ทั้ง A ทั้ง N มองว่าเขาน่าจะเชิญชวนเพื่อนในพื้นที่ทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ เรียกว่าไม่ต้องไปบอกแล้วว่า หนึ่งต้องไปคูณสอง สองต้องไปคูณสี่ แต่ว่าเขาจะเคลื่อนกันไปเอง วันที่เราเช็คความก้าวหน้าได้นั้นคือ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่เรียกว่ามหกรรมการศึกษาที่ กสศ. จัด ซึ่งจัดมา 2 ครั้งแล้ว

สำหรับฝันในวันข้างหน้า อยากให้ประเทศไทยมีการรับรองคุณภาพโรงเรียนเหมือนโรงพยาบาล เพราะว่าตอนนี้เรามีระบบประเมินตนเองของโรงเรียนแล้ว อาจจะเป็น SAR (Self-Assessment Report รายงานการประเมินตนเอง) เพื่อที่จะให้ สมศ. (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา) แต่ก่อนที่จะให้ สมศ. เข้าไปตรวจ 

เราอยากให้มีแรงระเบิดจากการที่มองว่า โรงเรียนต้องมีคุณภาพเพื่อรองรับเด็กที่จะเข้ามาใช้บริการ 

อาจใช้คำนี้นะครับ ‘ผู้ใช้บริการ’ แล้วก็ออกไปอย่างมีคุณภาพ เหมือนกับการที่จะเดินเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล ต้องมั่นใจในคุณภาพ เครื่องมือ แพทย์ พยาบาล เพื่อที่จะออกไปด้วยสุขภาพดี เป็นแนวคิดในปี 68-69-70 แล้วก็ขยับไปข้างหน้าอีก อาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น ในเรื่องของการพยายามรับรองคุณภาพโรงเรียน นำแนวคิดของต่างประเทศมาใช้ แต่ไม่ใช่แค่ตราแสตมป์อย่างเดียว ต้องเป็นคุณภาพของจริง อาจจะเป็นงานต่อไปในปี 70-71-72 ก็ได้

สุดท้ายอยากสื่อสารอะไรไปถึงคนที่อาจกำลังรู้สึกผิดหวังต่อระบบการศึกษาไทย

ผมฟังข่าวมันก็เป็นความจริงในมุมที่เขานำข้อมูลผลสอบไปเปรียบเทียบกับประเทศนั้นประเทศนี้ แต่พอทำงานลึกๆ กับโรงเรียน ผมก็เห็นโรงเรียนที่เรียกว่าเป็นของจริงอยู่ไม่น้อย ส่วนตัวก็เลยไม่ได้ตกใจแล้วก็ผิดหวังกับผลที่ถูกนำเสนอในลักษณะนั้น แต่มองว่ายังมีอีกหลายโรงเรียน หลายพื้นที่ ที่ทำงานด้านนี้ได้เข้มแข็ง และเป็นความหวังได้

ผมเองไม่เคยหมดหวังกับระบบการศึกษา และอยากให้ทุกคนคิดว่า ยังมีพื้นที่การเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาเด็กตามแบบที่เด็กต้องการ หรือผู้ปกครองอยากเห็นอีกเยอะ แล้วก็ผมก็ยังเชื่อว่าโดยค่าเฉลี่ยแล้ว ประเทศไทยเรายังมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผมเชื่ออย่างนั้นครับ

Tags:

TSQMเด็กหลุดระบบการศึกษาดร.อุดม วงษ์สิงห์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบQ-infoพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาการศึกษากสศ.

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Learning Theory
    สังเกต เลียนแบบ เปรียบเทียบ และการกำกับตนเอง : มองการเรียนรู้ผ่าน social cognitive theory

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trendSocial Issues
    เมื่อ ‘หลักสูตร’ อาจไม่ใช่ผู้ร้ายในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

    เรื่อง The Potential

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel