- ความรักการเรียนรู้งอกงามได้จากการส่งเสริมให้เด็กได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจ
- ผู้ที่รักการเรียนรู้มักตื่นเต้นและรู้สึกดีเมื่อได้เรียนรู้ทักษะหรือความรู้ใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาทักษะหรือเติมเต็มความรู้ที่มีอยู่เดิม แม้ว่าบางครั้งต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ยากหรือเป็นความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน
- ‘ความรักในการเรียนรู้’ ทำให้เด็กไม่ปิดกั้นตัวเองจากความรู้รอบตัวและผู้คนรอบข้าง ไม่ตัดขาดตัวเองจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ เป็นแรงจูงใจให้พวกเขาแสวงหาและรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพในอนาคต
“การเรียนรู้แบบไหนถึงจะเหมาะกับเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน?”
ท่ามกลางการตั้งคำถามที่ดูเหมือนต้องการหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว
จะดีกว่าไหมหากเด็กและเยาวชนสามารถสร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ เมื่อพวกเขามี ‘ความรักในการเรียนรู้’ (Love of Learning)
จุดเริ่มต้นของความรักการเรียนรู้
โรงเรียนเป็นสถานที่สำคัญที่เปิดประตูรับเด็กๆ เข้าสู่การเรียนรู้เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม นักวิชาการด้านการศึกษาทั่วโลกต่างเห็นพ้องกันว่า การศึกษาที่มีคุณภาพในปัจจุบันต้องผลักดันให้โรงเรียนไม่เป็นเพียงสถานที่ให้ความรู้ แต่มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและสร้างรากฐานทางความคิดและทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาตนเองได้
‘ความรักในการเรียนรู้’ เป็นคุณลักษณะเชิงบวกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ทำให้เด็กไม่ปิดกั้นตัวเองจากความรู้รอบตัวและผู้คนรอบข้าง ไม่ตัดขาดตัวเองจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ เป็นแรงจูงใจให้พวกเขาแสวงหาและรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพในอนาคต
หากผู้ปกครองและครูสามารถปลูกฝังให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะข้อนี้ได้ การรักการเรียนรู้จะช่วยปลดปล่อย เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการค้นพบตัวเองของผู้เรียน
พัฒนาความรัก (การเรียนรู้) จากความสนใจใกล้ตัว
ความรักการเรียนรู้งอกงามได้จากการส่งเสริมให้เด็กได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจ ความรักในการเรียนรู้ คือ ความหลงใหลและความปรารถนาที่จะเรียนรู้ ผู้ที่รักการเรียนรู้มักตื่นเต้นและรู้สึกดีเมื่อได้เรียนรู้ทักษะหรือความรู้ใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาทักษะหรือเติมเต็มความรู้ที่มีอยู่เดิม แม้ว่าบางครั้งต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ยากหรือเป็นความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน
จากการศึกษา พบว่า คนเรามีสิ่งที่สนใจไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งอยู่แล้วในชีวิต เช่น บางคนไม่ชอบคณิตศาสตร์แต่สนใจประวัติศาสตร์ บางคนชอบแฟชั่น ชอบปลูกต้นไม้ ชอบการตกแต่งดัดแปลงวัตถุสิ่งของ ชอบกีฬาหรือเกม เป็นต้น
ทั้งนี้ ‘ความรักในการเรียนรู้’ แตกต่างจาก ‘ความสงสัยใคร่รู้’ (curiosity)
‘ความสงสัยใคร่รู้’ เป็นแรงขับที่ทำให้คนๆ หนึ่งมีความพยายามในการค้นหาข้อมูลใหม่ แรงจูงใจมาจากความต้องการแสวงหา (explore) ความรู้ ขณะที่ ‘ความรักในการเรียนรู้’ เป็นความหลงใหลหรือความสนใจที่ทำให้คนๆ หนึ่งมีความต้องการรู้ (ความปรารถนาที่จะรู้) ในเรื่องๆ หนึ่งอย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยแรงจูงใจมีที่มาจากความต้องการขยายขอบเขต (expand) ความรู้จนมีความเชี่ยวชาญหรือรู้จริงในเรื่องนั้นๆ ในเด็กโตอาจมีแรงจูงใจจากความต้องการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนเองให้ความสนใจอยู่
พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการมีความรักในการเรียนรู้ ได้แก่
- มีความรู้สึกเชิงบวกเมื่อได้เรียนรู้สิ่งใหม่
- สามารถควบคุมตนเองและมีความเพียรพยายาม แม้ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ยากหรือท้าทาย และต้องลงมือทำซ้ำๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ระหว่างการเรียนรู้ก็ไม่ย่อท้อ
- มีความเป็นอิสระในตนเอง
- ชอบความท้าทาย
- เชื่อในความเป็นไปได้: ถึงแม้จะยังทำไม่ได้ตอนนี้ แต่คิดว่าสามารถทำได้ในอนาคต
- มีไหวพริบ
- เปิดใจต่อการสนับสนุนจากผู้อื่น เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
- ชอบลงมือทำในสิ่งที่ตนเองสนใจมากกว่าการกังวลถึงผลลัพธ์ทางการเรียน เช่น เกรด หรือ คะแนนประเมินผล
เด็กคนหนึ่งสามารถมีทั้งความสงสัยใคร่รู้และความรักการเรียนรู้ร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ปกครองและครูสามารถแยกแยะได้ว่าแรงจูงใจของลูกหรือเด็กคนหนึ่ง มีที่มาจากคุณลักษณะเด่นด้านใด จะทำให้สามารถสนับสนุนเด็กๆ ได้ถูกทิศทางโดยไม่ขัดขวางการเรียนรู้ของพวกเขา
การปลูกฝังความรักในการเรียนรู้
การปลูกฝังความรักในการเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดการสนับสนุนจากผู้ปกครองและโรงเรียน รวมถึงการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ อุปกรณ์และสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เหมาะสม สำหรับโรงเรียนการจัดหลักสูตร แนวทางการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผล ล้วนมีผลต่อการส่งเสริมและทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็ก
งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าความสนใจของเด็กที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพในเรื่องเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเมื่อเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ต้องแข่งขันในเชิงวิชาการมากขึ้นในระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษา
การเรียนเพื่อการแข่งขันสร้างความกดดันให้กับผู้เรียน และจะผลักไสให้ความสนใจหันเหจากการเรียนเชิงวิชาการไปสู่กิจกรรมอื่น เช่น การเล่นเกมหรือกีฬา ที่ทำให้รู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น
จากการศึกษา พบว่า มนุษย์มีความรักการเรียนรู้และมีแนวโน้มอยากเป็นเจ้าของการเรียนรู้เมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้
- พวกเขาได้รับแรงจูงใจหรือเหตุผลที่น่าสนใจ และมีความหมายต่อพวกเขาเมื่อเรียนรู้สิ่งนั้น
- พวกเขามีทางเลือกในการลงมือทำให้การเรียนรู้นั้นน่าสนใจมากขึ้น โดยไม่ถูกบังคับ
- พวกเขาได้อยู่ในเครือข่ายทางสังคมที่ตนเองพึงพอใจ
สำหรับเงื่อนไขที่ 3 จะเห็นได้ว่าแม้กระทั่งการเล่นเกมที่หากมองจากภายนอกเหมือนเป็นการใช้เวลาหมกหมุ่นอยู่กับตัวเอง แต่เกมที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่มักเป็นเกมที่เล่นกันเป็นกลุ่มเครือข่ายร่วมกันเป็นทีม โดยไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากัน
ทั้งนี้ การปรับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเพื่อสร้างการเรียนรู้เชิงบวก เป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้เด็กพร้อมเปิดใจและมีความรักการเรียนรู้นอกเหนือไปจากเรื่องที่ตนเองสนใจได้ เช่น
- การสร้างห้องเรียนที่ปราศจากความกลัว (Fear-free) เพราะความกลัวและความกังวลใจจะทำให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้แค่ในระดับผิวเผิน ในทางกลับกันห้องเรียนที่ปลอดภัยทำให้ผู้เรียนไม่กลัวการแสดงความคิดเห็นหรือการตอบคำถาม เป็นห้องเรียนที่ไม่มีคำว่า ‘ถูก’ หรือ ‘ผิด’ และช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับผู้เรียน
- การชี้แจง/ อธิบายให้ผู้เรียนรู้ตั้งแต่ต้นว่ากำลังจะเรียนอะไร เพื่ออะไร และให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
- การดึงสถานการณ์หรือกิจกรรมใกล้ตัวมาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ เชื่อมโยงกับสังคมรอบข้าง
- การตั้งคำถามกระตุ้นคิด ต่อเนื่องจากสิ่งที่ผู้เรียนให้ความสนใจหรือกำลังทำอยู่
เช่น
- มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่ลูกอยากรู้?
- มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่ลูกกำลังสงสัยอยู่?
- ลูกคิดว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น?
หากจัดกิจกรรมในชั้นเรียน ครูสามารถให้นักเรียนเขียนคำถามที่สงสัยหรืออยากรู้คำตอบแปะไว้บนบอร์ด ทั้งก่อนและหลังการเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆ เพื่อกระตุ้นความต้องการเรียนรู้ร่วมกันในชั้นเรียน
เมื่อเด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และมีพื้นที่เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจได้อย่างอิสระ พวกเขาจะสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองและกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้ ส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในเชิงบวกที่ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
อ้างอิง
Peterson, C., & P., S. M. E. (2004). Character strengths and virtues a handbook and Classification. Oxford University Press.
Aguilar, E. (2016, April 20). Cultivating a love of learning. Edutopia. Retrieved June 4, 2022, from https://www.edutopia.org/blog/cultivating-love-learning-elena-aguilar