Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
21st Century skills
28 November 2018

คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ประเด็น ‘การบ้าน’ จำเป็นหรือไม่ เป็นคำถามที่มากคำตอบและซับซ้อนมากกว่าหลายคนคิด
  • แทนที่จะถามแค่ว่าต้องมีการบ้านหรือไม่ อีกคำถามที่ควรมีคือ หลังโรงเรียนเลิกควรมีอะไรที่ช่วยให้นักเรียนยังจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้และพร้อมจะเรียนเพิ่มเติม
  • เพราะแต่ละช่วงวัย การบ้านมีผลไม่เท่ากัน

พอพูดถึงการบ้าน เสียงก็แตกออกเป็นสองฝั่ง – มีการบ้านหรือไม่ต้องมี แต่นั่นเป็นเพียงคำถามเดียวที่ควรถามในเรื่องการบ้านหรือเปล่า?

ขณะที่ครูกับพ่อแม่กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าการบ้านช่วยสร้างทักษะและช่วยให้เด็กทบทวนความรู้ อีกกลุ่มหนึ่งก็มองว่าการบ้านเป็นเรื่องไม่จำเป็น ทำให้เด็กหมดเรี่ยวแรงและไม่อยากไปโรงเรียน แต่งานวิจัยมากมายในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ปัญหานี้แตกต่างและซับซ้อนมากกว่าที่หลายคนคิด

แทนที่จะถามแค่ว่าต้องมีการบ้านหรือไม่ อีกคำถามที่ควรมีคือ หลังโรงเรียนเลิกควรมีอะไรที่ช่วยให้นักเรียนยังจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้และพร้อมจะเรียนเพิ่มเติม

ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย: การบ้านมีผลไม่เท่ากัน

งานวิจัยตลอดหลายทศวรรษบอกว่า การบ้านก็ยังมีประโยชน์ แต่ไม่ใช่กับทุกระดับชั้น และปริมาณการบ้านก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด

• ประถม – อ่านอย่างเดียวก็พอ

การบ้านอาจทำให้เสียเวลาเพราะเด็กวัยนี้ยังไม่มีทักษะการเรียนพอที่จะได้รับประโยชน์เต็มที่ สำหรับวัยนี้จึงควรเน้นฝึกให้รักการเรียนรู้ และการบ้านก็อาจเป็นศัตรูตัวฉกาจ

การบ้านที่เข้ากัน: อ่านหนังสือตอนค่ำกับพ่อแม่เป็นกิจกรรมที่เหมาะที่สุด เพราะยิ่งเด็กๆ อ่านออกช้าเท่าไหร่ โอกาสจบมัธยมก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย (อ๊ะๆ แต่ไม่จำเป็นต้องบังคับให้อ่านออกตั้งแต่อนุบาลนะ)

• มัธยมต้น – มีได้แต่อย่าเยอะ

เมื่อเริ่มโตและค้นข้อมูลเป็นแล้ว การบ้านจึงช่วยให้จำสิ่งที่เรียนได้ แต่ก็ไม่ควรมีมากเกินไปเพราะผลวิจัยปี 2015 พบว่าเด็กวัยนี้ที่ต้องทำการบ้านวันละ 90-100 นาทีมีโอกาสเรียนแย่ลงเพราะหมดแรงจูงใจและความสนใจ

การบ้านที่เข้ากัน: นักวิจัยหลายคนแนะนำว่า การบ้านควรท้าทายความสามารถแค่ระดับหนึ่ง ไม่ต้องยากเกินไปจนทำให้เด็กๆ หมดกำลังใจและความพยายาม

• มัธยมปลาย – ประโยชน์มากแต่ความเสี่ยงสูง

การบ้านช่วยเรื่องการเรียนในวัยนี้ได้มาก ตราบเท่าที่ไม่เกินคืนละสองชั่วโมงหรือกัดกินเวลาพักผ่อน รวมถึงเวลาที่ใช้กับครอบครัวและเพื่อน งานวิจัยปี 2013 พบว่านักเรียนมัธยมปลายที่มีระดับความเครียดสูงเพราะทำการบ้านจนนอนไม่พอจะมีปัญหาสุขภาพทั้งทางกายและใจอย่างหนัก

การบ้านที่เข้ากัน: เมื่อถึงโรงเรียน พวกเขาควรได้เรียนรู้อย่างอิสระ การบ้านจึงควรเชื่อมโยงกับบทเรียนและทำได้เองโดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือ เน้นคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ ผลการตรวจจากครูก็ควรเปิดเผยและชัดเจน

5 คำถามก่อนสั่งการบ้าน

การบ้านควรเป็นเรื่องของคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ และนี่คือ 5 คำถามที่จะช่วยครูสั่งการบ้านอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

1. ใช้เวลาทำนานแค่ไหน: นานไปก็ไม่เหลือเวลาไปใช้ชีวิตตามประสาเด็ก

2. เข้ากับนักเรียนทุกคนหรือเปล่า: เด็กแต่ละคนมีวิธีเข้าใจเรื่องที่เรียนไม่เหมือนกัน อาจง่ายกับบางคนแต่ยากจนท้อแท้สำหรับบางคน

3. สนับสนุนความสำเร็จในอนาคตหรือไม่: การบ้านทำให้เด็กๆ เข้าใจสิ่งที่เพิ่งเรียนไปเพื่อพร้อมรับความรู้ใหม่ในวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า

4. มีเนื้อหาที่ไม่มีในห้องเรียน ได้หรือไม่: กุญแจที่จะทำให้เด็กเข้าใจเนื้อหาอาจอยู่ในสถานที่นอกโรงเรียน เช่น พิพิธภัณฑ์ สนามเด็กเล่น หรือแม้กระทั่งจากคนในครอบครัวก็ได้

5. ช่วยนักเรียนตอนที่ครูไม่อยู่ หรือไม่: การบ้านอาจเป็นผู้ช่วยให้นักเรียนใฝ่รู้ โดยไม่ต้องมีครูมาคอยบังคับ ยิ่งกว่านั้นอาจกระตุ้นให้เด็กๆ ต่อยอดออกมาเป็นความเข้าใจในสไตล์ตัวเองได้ด้วย

ถ้าไม่มีการบ้าน ครูจะให้ทำอะไรดี

แจ็คเกอลีน ฟลอเรนติโน (Jacqueline Fiorentino) ครู นักเขียน และบล็อกเกอร์จากเว็บไซต์ Shorepointsmom.com ตัดสินใจเลิกให้การบ้านนักเรียนชั้นประถมเมื่อปีที่แล้ว ผลที่ได้คือเด็กๆ มีเวลาว่างมากขึ้นเพื่อสำรวจตามหัวข้อที่พวกเขาสนใจแถมยังออกมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอย่างตื่นเต้นด้วย

ในฐานะครู แจ็คเกอลีนมี 4 ขั้นตอนให้คุณครูลองทำตาม

1) อธิบายกับพ่อแม่ ถ้าเป็นไปได้ก็หาเวลาพบหน้า อธิบายด้วยข้อมูลและพูดคุยกับพ่อแม่เป็นรายคนได้ยิ่งดี

2) กระตุ้นการอ่านที่บ้าน อาจส่งรายชื่อหนังสือน่าอ่านแต่ไม่ต้องกำหนดระยะเวลา และทำความเข้าใจว่าการอ่านควรเป็นทางเลือกที่สร้างความสุขมากกว่าเป็นงานที่ต้องทำ

3) มีภารกิจรายเดือนสำหรับครอบครัว กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยระหว่างนักเรียนกับพ่อแม่ กิจกรรมนั้นต้องสนุกด้วย ทั้งครอบครัวมีเวลาทั้งเดือนทำภารกิจร่วมกันและเด็กๆ จะได้มานำเสนอหน้าชั้นตอนสิ้นเดือน

4) ขยายบทเรียนให้กว้างขึ้น สำหรับเด็กที่ยังชอบการบ้าน แค่หาหัวข้อให้เขาลองสืบค้นจากนอกห้องเรียน เปิดโอกาสให้พวกเขานำผลการสืบค้นมารายงานให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง

กุญแจสำคัญคือพ่อแม่มีส่วนร่วม

มองในอีกแง่หนึ่ง การบ้านเป็นเครื่องมือที่ดีที่จะทำให้พ่อแม่มีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ เข้าถึงความสนใจและจุดแข็งของเด็กๆ ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยถึงชีวิตที่โรงเรียนของพวกเขาด้วย แต่อย่าเผลอลืมตัวไปเจ้ากี้เจ้าการเพราะนั่นจะยิ่งผลักให้เด็กๆ หมดอารมณ์ทำการบ้านกว่าเดิม

แม้การบ้านจะเปิดโอกาสให้พ่อแม่มีส่วนร่วมกับลูก แต่ข้อสำคัญคืออย่าบีบคั้นจนทำให้ช่วงเวลาทำการบ้านกลายเป็นสนามรบย่อมๆ เลยเชียว

อ้างอิง:
Freeing Students—and Teachers—From Homework
Homework vs. No Homework Is the Wrong Question

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษา4Cs

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel