Skip to content
public spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gap
  • Creative Learning
    Unique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an Educator
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
public spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gap
Education trend
29 July 2025

‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ระบบการศึกษานอรเวย์มีพื้นฐานที่แข็งแรงจากระบบการดูแลเด็ก ที่เริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยมายด์เซ็ตที่จริงจังว่า ประเทศจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้จะต้องมีพลเมืองที่มีคุณภาพ
  • โรงเรียนในนอร์เวย์คาดหวังให้เด็กเติบโตเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และนำพาชีวิตไปในทิศทางที่ต้องการ เป็นคนที่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม และมีความเป็นตัวของตัวเอง (Authentic)
  • หัวใจสำคัญของการจัดการศึกษานอร์เวย์คือ ‘ครู’ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ โดยรัฐสนับสนุนครูทั้งด้านสวัสดิการและมาตรฐานการทำงานอย่างเหมาะสม

“การศึกษานอร์เวย์เป็นอย่างไร ทำไมนอร์เวย์ถึงสามารถพัฒนาคนให้มีคุณภาพได้จริง?”

นี่คือคำถามที่ ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร นักพัฒนาการเด็กและผู้ก่อตั้ง Play Academy พกติดตัวไปตลอดการเดินทางไปดูงานในประเทศนอร์เวย์

ในฐานะคนทำงานด้านเด็ก เธออยากรู้ว่าประเทศเล็กๆ ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในต้นแบบด้านการศึกษา เขาคิดและลงมือทำกันอย่างไร ซึ่งครูปุ๊กใช้เวลาอยู่ในนอร์เวย์เพื่อเข้าใจว่าอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศนี้สามารถสร้างระบบที่ดูแลเด็กได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน จนคนทั้งประเทศเข้าใจตรงกันว่า ‘เด็กคือทรัพยากรหลัก’ ที่ต้องดูแลตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่เพียงความรับผิดชอบของพ่อแม่หรือครู แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม

การเดินทางครั้งนี้ทำให้ครูปุ๊กได้สัมผัสมากกว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียน แต่ได้เห็นว่าการดูแลมนุษย์ถูกออกแบบอย่างไร ตั้งแต่วันที่เด็กยังไม่ลืมตาดูโลก ตั้งแต่สวัสดิการสำหรับแม่ตั้งครรภ์ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด การสนับสนุนให้พ่อแม่เลี้ยงลูกในปีแรก ไปจนถึงโรงเรียนอนุบาลที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นอิสระ เรียนรู้โลก และพัฒนาไปตามธรรมชาติของตัวเอง

เธอพบว่า การศึกษาของนอร์เวย์ไม่ได้เน้นแค่การ ‘สอนให้เก่ง’ แต่ตั้งใจสร้างคนที่พึ่งพาตัวเองได้ เห็นคุณค่าของความหลากหลาย และเติบโตอย่างเป็นตัวของตัวเอง (Authentic) โดยไม่ต้องถูกตีกรอบให้เหมือนใคร ความเข้าใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะสังคมทั้งประเทศมองเด็กเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงรัฐ

The Potential ชวนร่วมค้นหาคำตอบกับครูปุ๊ก ว่าอะไรคือหัวใจของระบบการศึกษานอร์เวย์ และเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากประเทศที่ดูแลคนตั้งแต่ต้นน้ำโดย ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’

แรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้ครูปุ๊กสนใจระบบการศึกษานอร์เวย์เป็นพิเศษคะ?

ด้วยความที่เราทำงานด้านพัฒนาการเด็กควบคู่ไปกับการทำงานกับพ่อแม่เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูลูก เราจึงมีความหลงใหลในเรื่อง ‘การสร้างคน’ ซึ่งหมายถึงการหล่อหลอมผ่านทั้งระบบการศึกษาและการเลี้ยงดู

และเมื่อหลายปีก่อน มีภาพยนตร์สารคดีเรื่อง โรงเรียนริมป่า ที่ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของเด็กอนุบาลในโรงเรียน Aurora Waldorf School ประเทศนอร์เวย์ โรงเรียนนี้เป็น Forest School หรือโรงเรียนที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ ซึ่งเน้นการเรียนรู้จากการลงมือทำ และการใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างอิสระ ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์ที่ดูอันตราย เช่น เลื่อยหรือมีด แต่สิ่งที่น่าประทับใจคือ ครูจะสอนให้เด็กรู้จักใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เราประทับใจมาก ทั้งจากวิธีสอนและบุคลิกของครูที่อ่อนโยน เมตตา และปฏิบัติกับเด็กด้วยความเคารพ จึงเริ่มสนใจระบบการศึกษาของนอร์เวย์ตั้งแต่นั้น

อีกมิติหนึ่งคือ ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผู้คนมักพูดถึงฟินแลนด์หรือเดนมาร์กในฐานะประเทศที่มีระบบการศึกษายอดเยี่ยมหรือเป็นรัฐสวัสดิการที่ดีมาก แต่นอร์เวย์ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศนอร์ดิก กลับไม่ค่อยถูกพูดถึงในมุมนี้ ทั้งที่คุณภาพไม่ด้อยไปกว่ากัน เพียงแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และรู้สึกว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจมาก เราก็เลยมีแรงจูงใจอยากไปดูงานด้านการศึกษาโดยเฉพาะ และก็โชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลเมืองดรัมเมน ทำให้ได้เข้าไปสังเกตการณ์ในโรงเรียนทั้งระดับอนุบาลและประถมเป็นเวลา 10 วันเต็ม ได้นั่งอยู่กับเด็กตลอดทั้งวัน จึงได้เห็นทั้งวิถีชีวิตของเด็กตั้งแต่เช้าจรดเย็น วิธีสอนของครู ไปจนถึงแนวคิดในการบ่มเพาะพลเมือง ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เราทำอยู่ในประเทศไทย

หัวใจสำคัญที่สุดของระบบการศึกษาที่นั่นคืออะไร?

หัวใจของระบบการศึกษานอร์เวย์ คือ ‘ครู’ ค่ะ ครูในนอร์เวย์เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูสูงมาก พูดจาดี ใจเย็น และให้เกียรติเยาวชน บุคลิกของครูส่วนใหญ่จะอยู่ในโทนคล้ายๆ กัน แม้ว่าแต่ละคนจะมีความแตกต่างในแบบของตัวเอง แต่สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือความพร้อมในการรับฟัง อธิบายเหตุผล ปลอบโยน และยื่นมือช่วยเหลือเมื่อเด็กต้องการ

หนึ่งในภาพที่เราพบเห็นอยู่บ่อยๆ ทั้งในโรงเรียนอนุบาลและประถม คือเวลาที่เด็กมีปัญหาทางอารมณ์ ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือรู้สึกว่าไม่ได้รับสิ่งที่ควรได้ ครูจะนั่งลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเด็ก จับมือ พูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมอธิบายให้เข้าใจ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กจะค่อยๆ สงบลง แล้วกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนในห้องได้ตามปกติค่ะ

ทั้งหมดนี้ทำให้เราเชื่อว่า ‘ครู’ คือหัวใจของการศึกษานอร์เวย์อย่างแท้จริง พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ ซึ่งก็สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาของนอร์เวย์ ที่กำหนดให้โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กค่ะ

ครูของนอร์เวย์ไม่ว่าจะระดับอนุบาลหรือประถม ล้วนต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูแห่งประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นระบบที่ดึงคนที่อยากเป็นครูจริงๆ ขึ้นมาทำหน้าที่ตรงนี้อีกทั้งครูที่นี่มีคุณภาพชีวิตค่อนข้างดี เงินเดือนเฉลี่ยถ้าเทียบเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 280,000 บาทต่อเดือน ชั่วโมงการทำงานของครูในนอร์เวย์ต่อวันจะไม่เกิน 7.5 ชั่วโมง (รวมเวลาพัก) เพื่อป้องกันไม่ให้ครูเกิดภาวะเบิร์นเอาต์ ที่สำคัญคือไม่มีงานเอกสารต่างๆ เข้ามารบกวนหน้าที่หลักของครูเลย  แถมยังอยู่ในระบบรัฐสวัสดิการอีก ทำให้มีแรงจูงใจหลายอย่างที่ดึงดูดให้คนเก่ง และคนที่มีใจอยากเป็นครู เข้ามาอยู่ในระบบ

ที่สำคัญคือมายเซ็ตของผู้บริหารประเทศเขามองว่าการพัฒนาประเทศเริ่มจากคุณภาพของพลเมือง และการจะสร้างพลเมืองที่ดีได้ ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ผ่านระบบการศึกษาและการดูแลที่ดีตั้งแต่ต้น 

เขาตีโจทย์ตรงนี้แตก แล้วก็ลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นบุคลากรต่างๆ ที่มาทำงานเกี่ยวกับเด็กมีคุณภาพสูง ทั้งในแง่ความรู้ ความเข้าใจ และบุคลิกภาพที่เหมาะกับการทำงานกับเด็ก พวกเขาไม่ได้แค่ทำหน้าที่ แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้เติบโตด้วย เราเลยมองว่านอร์เวย์ลงทุนกับการพัฒนาคนอย่างยั่งยืนจริงๆ

แนวคิดในการจัดการศึกษาของนอร์เวย์คาดหวังให้เด็กมีคุณลักษณะแบบไหน

ข้อแรกคือ ‘ให้เด็กเติบโตเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้’ มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และใช้ความสามารถของตัวเองนำพาชีวิตไปในทิศทางที่ต้องการ

ข้อสองคือ การสร้างคนที่มองเห็น ‘มนุษย์เป็นมนุษย์เหมือนกัน’ ตั้งแต่ระดับอนุบาล โรงเรียนจะถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย เด็กได้เรียนรู้โครงสร้างของสังคมที่หลากหลาย ทั้งด้านวัฒนธรรม ภาษาของแต่ละคน

นอร์เวย์ให้ความสำคัญกับการเคารพในความแตกต่างมากๆ ไม่มีการดูถูกหรือเหยียดหยามเชื้อชาติ ซึ่งเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาเลย เราไม่ต้องพูดถึงแค่เรื่องรุนแรงอย่างการคุกคามทางร่างกายหรือเพศ แค่เรื่องพื้นฐานอย่างการไม่เหยียดชาติพันธุ์ก็ถือเป็นหลักสำคัญที่ทุกโรงเรียนต้องยึดถือ

โรงเรียนในนอร์เวย์ก็มีความเป็น International สูงมาก แม้จะไม่ได้เป็นโรงเรียนนานาชาติก็ตาม ภายในหนึ่งโรงเรียนอาจมีเด็กจากหลายเชื้อชาติ เพราะนอร์เวย์เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม เราเลยมองว่าสิ่งเหล่านี้คือการสร้าง ‘ความเจริญทางจิตใจ’ ที่ยั่งยืนมากๆ เลย ในสังคมนอร์เวย์ที่ไม่กีดกันและไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งเขาปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กๆ ผ่านเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน 

เช่น ถ้าเด็กคนหนึ่งจะจัดงานวันเกิด แล้วอยากเชิญเพื่อนในห้องมาฉลอง ได้เลย แต่ต้องเชิญ ‘ทุกคนในห้อง’ ไม่ใช่เลือกเฉพาะเพื่อนที่สนิท เพราะนั่นถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้โรงเรียนก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าเขาปลูกฝังผ่านชีวิตประจำวัน ผ่านระบบสังคมทั้งหมด ทำให้เห็นในทุกๆ มิติ ทุกอณูของการใช้ชีวิต 

สิ่งสำคัญข้อสุดท้ายคือ การปลูกฝังให้มี ‘Authentic’ คือเป็นตัวของตัวเองแบบแท้จริง ซื่อตรงกับตัวเอง ไม่ต้องปรุงแต่ง อย่างบางทีถ้าครูเขาขอความร่วมมือ เช่น งานชิ้นนี้อยากให้คิดและทำเองนะ ไม่ต้องขอให้ใครช่วย ให้เด็กซื่อสัตย์กับตัวเอง พึ่งพาความสามารถตนเอง 

อะไรคือสิ่งที่ครูปุ๊กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในการสังเกตห้องเรียนของนอร์เวย์ 

เรามองว่ามันเริ่มต้นจากการที่เขา ‘เข้าใจชีวิต’ แล้วก็เข้าใจ ‘ธรรมชาติของมนุษย์’ จริงๆ รวมถึงเข้าใจพัฒนาการและการทำงานของสมองตามธรรมชาติด้วยนะ มันถึงกลายมาเป็นระบบการศึกษาแบบนี้ได้ 

ในระดับอนุบาล ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ขวบ จนถึง 6 ขวบ เด็กเล่นอย่างเดียวเลย เป็น free play คือการเล่นอิสระที่ไม่มีแบบฝึกหัด ไม่มีกรอบกำหนด เด็กได้เล่นเอง เลือกเอง คิดเองซึ่งการเล่นแบบนี้แหละที่ช่วยพัฒนาเด็กได้ครบ ทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ ความกล้า กล้าที่จะลอง กล้าที่จะทำ แล้วถ้าเขาเล่นกันเป็นกลุ่ม เด็กก็จะได้พัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมด้วย เช่น การมี empathy การเข้าใจคนอื่น การปรับตัวเวลาเล่นกับเพื่อน หรือการจัดการความสัมพันธ์ในกลุ่ม ทั้งหมดนี้เกิดจาก ‘การเล่น’ ล้วนๆ

ที่บอกว่าเขาเข้าใจชีวิต เข้าใจพัฒนาการ เพราะเขารู้ว่าในวัยเด็กเนี่ย ใจยังไม่มั่นคง พอเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ครูมีบุคลิกเอื้อต่อการเลี้ยงดู และมีพื้นที่ให้เล่นอิสระ เด็กจะค่อยๆ มั่นคงขึ้นทางใจ เขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเล็กๆ ของเขา และค่อยๆ มี self-esteem ที่ดี

ครูเขามีความใส่ใจเด็ก บางทีเด็กเล็กๆ ที่เป็นชาวต่างชาติ ยังพูดภาษานอร์ชไม่ได้เลยก็มี เด็กกลุ่มนี้อาจจะมีภาษาของตัวเอง หรือยังสื่อสารลำบาก ครูจะมีวิธีสื่อสารโดยเขาจะมีสายคล้องคอที่ห้อยภาพไว้เต็มไปหมดเลย เป็นภาพเล็กๆ ขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่แสดงกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นสนามเด็กเล่น เปลี่ยนผ้าอ้อม ระบายสี ต่อบล็อก อะไรแบบนี้ ภาพเหล่านี้ถูกจัดเรียงเป็นชุดๆ แล้วคล้องคอไว้ตลอดเวลาเวลาที่เด็กยังพูดไม่ได้ ครูก็จะนั่งทำกิจกรรมกับเด็ก แล้วค่อยๆ คลี่ภาพให้ดู ชี้ให้เด็กเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร เด็กก็จะค่อยๆ เรียนรู้จากตรงนั้น

แค่ตรงนี้ เขาก็ให้เกียรติเด็กมากแล้ว คือเด็กพูดไม่ได้ แต่ครูพยายามช่วยให้เด็กสื่อสารได้ ให้รู้ว่า หนูมีตัวตนนะ หนูมีความสำคัญนะ ครูดูแลหนูอยู่ แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่หนูไม่สบายใจ หนูบอกครูได้เลย ครูของเขาเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ พอเด็กโตขึ้นมาระดับประถม ถ้าภาษานอร์ชยังไม่แข็งแรง รัฐบาลก็มีนโยบายสนับสนุนให้เรียน ‘ภาษาแม่’ ควบคู่ไปด้วย เพราะเขาเชื่อว่าภาษาแม่ส่งผลระยะยาวกับเด็ก โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการคิด เพราะมนุษย์เราคิดเป็นภาษาแม่ของตัวเอง

และที่นอร์เวย์ เขาไม่ได้เน้นให้เรียนเยอะ แต่เขาเน้นว่า ‘เรียนน้อยแต่ลึก’ อย่างเช่น วันนี้เรียนเรื่อง ‘มด’ ครูก็อาจจะเริ่มจากเปิดภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับมดให้ดูเยอะๆ อินโทรนิดเดียว เด็กจะนั่งกันเป็นวงกลม แล้วในหนึ่งห้องเรียน เด็กไม่ได้เยอะ เขาก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือเรียนกันกลุ่มเล็กๆ อยู่แล้ว

กลุ่มหนึ่งเรียนในห้องก่อน เป็นภาคบรรยายเรื่องมด ครูก็ให้เด็กลอง Discuss กัน เด็กนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นคู่ๆ คุยกัน สนุกสนานเลย สีหน้าท่าทางของแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เพราะเพื่อนรับฟังกัน เด็กได้ฝึกการพูดคุยโต้ตอบตั้งแต่เล็กๆ จากนั้นวันรุ่งขึ้น เขาก็เดินป่ากันจริงๆ จากโรงเรียนขึ้นเขาไปเลย แล้วไปเรียนรู้เรื่องมดในสถานการณ์จริงในป่าเลยนะ ทั้งสังเกต ทั้งทดลองต่างๆ ในพื้นที่จริง

แล้วในปัจจุบันที่เด็กเติบโตกับโลก AI โรงเรียนในนอร์เวย์มีการรับมืออย่างไร

จริงๆ นอร์เวย์มีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูงมากตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วการใช้ AI ก็เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตของคนนอร์เวย์อยู่แล้วเหมือนกัน แต่คนนอร์เวย์ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายนะ เรียบง่าย กินอยู่ง่าย และใช้ชีวิตคู่ขนานไปกับธรรมชาติ

ต่อให้มี AI เขาก็ยังใช้ชีวิตในแบบที่เขาทำอยู่เดิมนั่นแหละ มันเป็นวิถีชีวิตของเขาอยู่แล้ว แล้วเขาก็ยังทำสิ่งนั้นต่อไป พอพูดถึงว่าเขารับมือกับ AI ยังไง เขาสอนให้เด็ก ‘ใช้เป็น’ คำว่าใช้เป็นนี่หมายถึงว่า ถ้าเด็กใช้เป็น เด็กจะควบคุมตัวเองในการใช้ได้จริงๆ เด็กจะรู้ว่าควรใช้มากแค่ไหน ขอบเขตอยู่ตรงไหน

อย่างเวลาเรียนในห้อง เด็ก ป.1 ต่อให้เป็นวิชาอ่านเขียน เขาก็ใช้จอใหญ่ๆ เลย เป็นจอสัมผัสแบบ interactive เด็กออกคำถามมา ครูก็พิมพ์คำนั้นขึ้นไปบนหน้าจอ แล้วก็จะมีเสียง AI พูดคำคำนั้นออกมาให้เลย เด็กก็จะได้เห็นทั้งคำ ทั้งภาพ ทั้งเสียง คือแบบนี้เลย ใช้ AI เข้ามาในห้องเรียนแบบเป็นรูปธรรมมาก ซึ่งพอมีผู้ใหญ่คอยควบคุมอย่างนี้ เด็กก็จะใช้เป็น แล้วเด็กจะไม่ติด ที่เหลือก็เป็นเรื่องของนโยบายจากทางบ้านแล้วล่ะ ว่าจะกำกับยังไง แต่โดยภาพรวมเขาสอนให้ใช้เป็นมากกว่าการกีดกันที่จะไม่ให้ใช้

ถ้าเปรียบเทียบกับไทย อะไรคือความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุด?

สิ่งที่นอร์เวย์แตกต่างจากไทย คือ ‘ระบบการดูแลเด็ก’ เนื่องจากเขามีมายด์เซ็ตที่จริงจังว่า ประเทศจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้จะต้องมีพลเมืองที่มีคุณภาพ และพลเมืองที่มีคุณภาพก็คือประชากรเด็กในประเทศ ดังนั้นรัฐของนอร์เวย์เขาจะทำมากกว่าแค่เรื่องการศึกษา คือเขามีระบบดูแลเด็กตั้งแต่ช่วงที่เด็กยังไม่ได้ลืมตาดูโลกเลยนะ ตั้งแต่ตอนที่เด็กมีการปฏิสนธิในครรภ์แล้วด้วยซ้ำ ถ้าแม่ตั้งครรภ์ทำงานที่มีความเสี่ยงต่อทารก จะมีแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์เป็นคนประเมินความเสี่ยงให้ แล้วถ้ามันมีความเสี่ยงจริงๆ เขาก็จะมีการจ่ายเงินชดเชยให้นะ คือดูแลกันตั้งแต่ในท้องเลย พอเด็กคลอดออกมา เด็กทุกคนที่อยู่ในนอร์เวย์ ถ้าพ่อแม่ผ่านเกณฑ์การพิจารณา ก็จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เป็นเงินก้อนเลยประมาณ 315,000 บาท (คิดเป็นเงินไทย) ซึ่งเป็นเงินที่ ‘practical’ มากๆ คือใช้งานได้จริงในแง่ของการดูแลเด็กเกิดใหม่

ยังไม่หมดแค่นั้น เขายังสนับสนุนให้พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยตัวเองในปีแรกของชีวิตเลย สามารถ ‘ลางานเพื่อเลี้ยงลูก’ ได้ โดยยังได้รับเงินเดือนตามปกติ เหมือนทำงานตามปกติ ถึงแม้จะเป็นคนรายได้น้อย เขาก็ยังจ่ายอยู่ดี ต่ำสุดก็ไม่ต่ำกว่า 150,000–160,000 บาทต่อปี (เทียบเป็นเงินบาท) อันนี้คือน้อยสุดแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่า เขาดูแลตั้งแต่ต้นทางจริงๆ

พอลูกอายุครบ 1 ขวบ ก็สามารถเข้าโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่ยังอยากเลี้ยงเอง เห็นว่าลูกยังเล็กเกินไป ยังไม่อยากให้เข้า เขาก็มีเงินสนับสนุนให้อีก สำหรับเด็กวัย 1–2 ขวบ แล้วพอเข้าสู่ระบบการศึกษาระดับอนุบาลหรือประถม รัฐบาลก็ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาอยู่แล้ว พ่อแม่จะจ่ายในอัตราที่ต่างกันตามรายได้ แต่จะอยู่ภายใต้เกณฑ์เดียวกัน เป็นระบบขั้นบันไดเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกครอบครัว

เด็กในนอร์เวย์จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐนะ ก็คือพ่อแม่นั่นแหละที่จะได้รับการช่วยเหลือในการเลี้ยงดู ตั้งแต่เด็กคลอดออกมาเรื่อยไปจนถึงอายุ 18 ปี ช่วงที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ จะได้รับเดือนละประมาณ 4,000–5,000 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) พออายุเกิน 6 ขวบขึ้นไป ก็จะได้รับประมาณ 1,200–1,300 บาทต่อเดือน จนถึงอายุ 18 ปี แล้วยังไม่รวมกรณีพิเศษอีก เช่น ถ้าลูกเจ็บป่วย แล้วพ่อแม่ต้องลางานมาดูแลลูก ก็มีเงินช่วยตรงนั้นเพิ่มอีก หรือกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นจากการหย่าร้าง แยกทาง หรือแม้แต่ตั้งครรภ์แล้วพ่อเด็กไม่รับผิดชอบ ก็มีเงินสนับสนุนให้เหมือนกัน

ซึ่งเขา ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ เลยจริงๆ แม้แต่คนเดียว เด็กทุกคนในนอร์เวย์จะต้องเข้าสู่ระบบการศึกษาหมด เป็นกฎหมายเลยนะ ว่าทุกคนต้องได้รับ ‘การศึกษาภาคบังคับ’ ไม่มีเด็กคนไหนหลุดจากระบบได้เลย ซึ่งภาคบังคับของเขาคือ เริ่มตั้งแต่ ป.1 ไปอีก 10 ปีเต็มๆ 

ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะเขาตีโจทย์แตกแล้ว เขาเข้าใจจริงๆ ว่าเด็กในวันนี้คือคนที่จะขับเคลื่อนประเทศในวันข้างหน้า เขาให้ความสำคัญกับความเป็น ‘เด็ก’ ในทุกมิติ ทุกอณู 

เราว่าตรงนี้แหละที่แตกต่างจากไทยมากๆ โดยเฉพาะเรื่องระบบการดูแลเด็ก คือเขาไม่ได้แค่พูด ไม่ได้มีแค่อุดมการณ์ แต่ลงมือทำจริงๆ และมีงบประมาณสนับสนุนจริงๆ ด้วย พ่อแม่จึงมีแรงจูงใจในการมีลูกมากขึ้น และถ้ามีลูกคนที่ 2 หรือคนที่ 3 รัฐก็ยังสนับสนุนอีก เช่น ค่าเรียนของลูกคนที่ 2 จะลดลง 30% ส่วนลูกคนที่ 3 จะลด 50% ทำให้กลายเป็นระบบที่เอื้อให้คนอยากมีลูก และเมื่อคนมีลูกมากขึ้น ประเทศก็มีพลเมือง มีแรงงานที่มีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนประเทศต่อไป

อีกเรื่องคือคุณภาพของโรงเรียนในนอร์เวย์ มันใกล้เคียงกันมาก แล้วก็ไม่ผิดเลยที่จะใช้คำว่า ‘เท่ากัน’ ไม่ว่าจะเรียนที่ไหน โรงเรียนไหนก็ประมาณนี้เหมือนกันหมด ไม่มีที่ไหนพิเศษกว่ากัน ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีการสอน ลักษณะการปฏิบัติกับเด็กของครู รวมไปถึงระบบ After School ที่เขาเรียกว่า SFO ก็มีเหมือนกันหมด เด็กจะได้ทำการบ้าน มีคนช่วยสอนภาษาเพิ่มเติมอะไรแบบนี้ คือมันเป็นระบบที่เขาวางไว้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพราะใช้ระบบบริหารแบบเดียวกัน แล้วกระจายอำนาจลงไปถึงระดับเทศบาล โรงเรียนก็เลยมีทั่วถึง พ่อแม่ไม่ต้องเดินทางไกล เด็กประถมก็สามารถเดินหรือขี่จักรยานไปโรงเรียนกันเองได้ 

อีกอย่างคือ ถ้ามีเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เขาจะมีครูการศึกษาพิเศษมาประกบดูแลให้แบบตัวต่อตัว ซึ่งตรงนี้พ่อแม่ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลย เพราะมันคือหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแล นี่คือความเสมอภาคที่เราคิดว่าเป็นของจริง เป็นรูปธรรมมากๆ ในระบบการศึกษาของเขา

อะไรคือบทเรียนสำคัญที่ครูปุ๊กได้จากการดูงานระบบการศึกษานอร์เวย์?

หลังจากได้ไปนอร์เวย์ทำให้มองว่าระบบสังคมและระบบการศึกษาเชื่อมโยงกัน ไม่ได้มองเป็นชิ้นส่วนเหมือนก่อนหน้าที่ผ่านมา มันจริงนะกับคำว่า ‘it takes a village to raise a child’ สำหรับสังคมของนอร์เวย์ โดยครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้น โดยพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี มีแนวทางในการเลี้ยงลูกที่ถูกทาง แล้วค่อยส่งต่อมายังระบบของโรงเรียน ซึ่งนอร์เวย์ดูแลตั้งแต่ระบบครอบครัวจนกระทั่งมาสู่ระบบการศึกษา 

ท้ายที่สุดเมื่อพูดถึงระบบการศึกษาไทย เราได้ยินคำว่า  ‘ปฏิรูปการศึกษา’ มาตลอด แม้ว่าเราจะปฏิรูปการศึกษาสำเร็จแต่ถ้าระบบสังคมเราเหมือนเดิม มันก็เหมือนวนกลับมาที่เดิม แล้วยังเสียทรัพยากรในการสร้างมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโตขึ้นในระยะเวลา 20 ปีเป็นอย่างน้อยที่จะคืนสู่สังคมได้ 

เพราะฉะนั้นระบบสังคมและระบบการศึกษามีความเชื่อมโยงกัน จริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อพูดมาถึงตรงนี้จะเห็นว่าอำนาจของผู้บริหารประเทศมีความสำคัญเพราะมันส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราจริงๆ

Tags:

การเล่นอิสระ(free play)การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งทักษะการพัฒนาครูระบบการศึกษานอร์เวย์ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Character building
    ‘นิสัยรักการอ่าน’ มรดกจากพ่อแม่ที่ช่วยให้เด็กเติบโตและมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep4 Incomprehensible: คลายความไม่เข้าใจ ด้วยความโปร่งใสและสัญชาตญาณ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep2 Anxious: ความวิตกกังวลที่หายขาดได้ด้วยความเข้าอกเข้าใจ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    Para Plearn : นวัตกรรม ‘ของเล่น’ ที่ช่วยให้การเล่นของเด็กๆ ปลอดภัย กระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาการ

    เรื่อง ณัฐมน ทีฆาวงศ์วัชราภรณ์ สนทนา

  • Space
    Loose Parts เล่นอย่างไรในยุคโควิด ไม่ให้วิกฤติหยุดจินตนาการเด็ก

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel